xs
xsm
sm
md
lg

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทรายสีเพลิง ตอนที่ 4

พัชระที่กำลังรีบเดินเข้ามา พอเห็นศรุตายืนอยู่แล้ว ก็ยิ้มดีใจ รีบเดินเข้าไปหา หญิงสาวปรายตามองพัชระแล้วยิ้มมีแผน ก่อนจะตีสีหน้านิ่งเหมือนไม่สนใจพัชระ

“ผมโทรหาคุณตั้งแต่เมื่อคืน ทำไมคุณไม่ยอมรับสาย”
พัชระพูดยังไม่ทันจบ ป้าทิศก็เดินเข้ามา ศรุตารีบเรียกไว้ แล้วจงใจเดินผ่านพัชระไปให้รู้ว่าไม่พอใจ
พัชระมองตามศรุตาอย่างหงุดหงิด

ศรุตาออกปากชวนป้าทิศให้มาอยู่ด้วยกัน แต่หญิงสูงวัยเกรงว่าจะรบกวน เพราะคิดว่าหญิงสาวน่าจะอยากอยู้คนเดียว
“ป้าทิศไม่ต้องคิดมาก ทรายจะให้พัชระเขียนแบบห้องของป้าทิศ ตรงโน้นนะคะ ติดๆกันแต่คนละส่วน ทรายก็เป็นอิสระเหมือนเดิม”

พัชระนั่งอยู่ตรงระเบียง ยังครุ่นคิอเรื่องเมื่อคืน
“ทำไมเมื่อคืนทรายรีบกลับมีใครคอยที่โรงแรมหรือ”
“ทรายควรจะถามพัชก่อนว่าทำไมไม่ไป เรานัดกันแล้วนี่นา”
พัชระหน้าจ๋อย “ผมไปดึก แต่ไม่ได้ดึกมากนี่ ทำไมคอยไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้” หญิงสาวตอบเสียงเด็ดขาด “เวลาคอยใครเขาไม่มา นาทีเดียวก็เหมือนชั่วโมง ทรายคอยพัชนานเกินไปด้วยซ้ำ”
พัชiระมองหญิงสาวด้วยlสายตาลึกซึ้งมาก
“นานกว่าที่ทรายเคยคอยใคร”
เสาวนีย์มองมายังทั้งคู่ สีหน้าไม่สบายใจ

ศรุตากับพัชระยืนประจันหน้ากัน แต่เปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องบ้าน
“โอเค ทรายจะใช้ห้องนี้เป็น living room สรุปห้องนี้คือห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องวาดรูป all in one สี เอาสีขาวปนสีเขียวนิดๆ ส่วนฟอร์นิเจอร์ สีขาวเป็นใหญ่”
“ผมเขียนห้องนี้เป็นห้องสุดท้าย แบบเสร็จทรายดูได้ พรุ่งนี้แล้วกัน”
“พรุ่งนี้ทรายไปดูที่ออฟฟิศ พัชให้บุรีดูก่อนนะ” หญิงสาวพยายามทำสุ้มเสียงให้ธรรมดา ”ทรายอยากรู้ว่าบุรีจะเห็นดีมั้ย ทรายอยากดู comment ของเค้าด้วย เค้าเก่งเหมือนพัชมั้ย”
-“ตกลงคุณจะให้พี่บุรีดูแลบ้านแทนผมเหรอ ?”
“ใช่ คุณจะได้มีเวลาไปทำหน้าที่เด็กดีของพ่อแม่”
พัชระยิ่งปังยิ่งหงุดหงิด
“เลิกเรียกผมเป็นเด็กสักที ผมอายุเท่าคุณ”
หญิงสาวยิ้มขำ “ขอโทษที ฉันชอบรู้สึกว่าคุณมันเด็ก บางทีเพราะฉันโตในประเทศ เสรี แต่ละคนมีความคิดของตัวเองที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่ทำตามที่พ่อแม่สั่ง”
พูดพลางจะเดินไป พัชระรีบพูดต่อ
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะเรียกว่าไม่เด็ก แบบพี่ฌานงั้นสิ ?”
ศรุตาหันมามองพัชระด้วยรอยยิ้มเยาะ “คุณเทียบกับฌานไม่ได้หรอกพัชระ”
จบประโยคก็เดินออกไป พัชระยืนหน้าซีด กับคำพูดดูถูกของศรุตาหญิงสาวแอบยิ้มสะใจว่าพัชระไม่รอดไปไหนแน่ พลางมองไปทางบ้านใหญ่ด้วย สายตายิ้มเยาะเสาวณีย์

ศกกำลังจะเดินออกไปข้างนอก แต่กลับถูกเสาวนีย์เรียกไว้
“คุณจะไปไหน”
“ผมจะไปหาลูก”…
เสาวณีย์หน้าตึง
“ฉันถามคุณได้มั้ยคะว่าคุณมีเรื่องอะไรพูดกับเขา”
ศกถอนหายใจ “อย่าเพิ่งรู้ได้มั้ยคุณเสาว์ แต่ผมสัญญาจะบอกคุณแน่”
“ทำไมล่ะ พอลูกสาวคุณคนนี้เข้ามารู้สึกว่าคุณอยากจะทำอะไรที่บอกฉันไม่ได้ขึ้นมา”
“คุณเสาว์” ศกพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูอ่อนลง “ขอทีอย่าพูดอะไรทำนองนี้ ผมไม่อยากฟัง นั่นลูกสาวผมนะ ลูกสาวที่คุณก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่เขาได้จากผมเหมือนลูกสาวคุณ”
ทั้งคู่ไม่ทันเห็นว่าศรุตามาหยุดยืนฟังอยู่หน้าห้อง
“หมายความว่าไง ลูกสาวฉันไม่ใช่ลูกสาวคุณเหรอ”
ศกเริ่มหงุดหงิด “ผมจะไปหมายความยังงั้นได้ไง คุณมีเหตุผลหน่อย”
“ฉันทำอะไรเหมือนคนไม่มีเหตุผลรึไง”
เสาวนีย์ยืนกัดฟันแน่น แต่ก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่
“แค่อยากจะบอกว่าคุณตื่นเต้นกับลูกคนนี้มากเกินไปแล้ว เขามาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พอเขากลับคุณก็ต้องมาเป็นพ่อที่มีลูกสาวคนเดียวคนเดิม”
“ผมจะให้ทรายซ่อมตึกนี้ให้เรา” ในที่สุดศกก็หลุดประดยคนี้ออกมาจนได้
เสาวณีย์นิ่วหน้า สายตาแสดงความไม่พอใจอย่างแรง
“เรื่องอะไรใครเขาจะมายอมเสียเงินมากมาย”
“เขามีเงินมากที่จะให้พ่อแท้ๆของเขา แต่พ่อแท้ๆของเขาไม่เคยเอื้อเฟื้อ เจือจานลูกคนนี้แม้แต่บาทเดียว”
เสาวนีย์นิ่ง อย่างเถียงไม่ออก
“ปัญหาคือผมไม่มีเงินสดมากพอที่จะทำเอง รักษาคุณแม่เงินของผมแทบจะหมดเกลี้ยง อสังหาที่คุณแม่ให้ไว้ก็ขายไม่ได้เสียที ทรายมาเหมือนน้ำฝนที่ตกในที่ที่แล้งที่สุด คุณไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ เราถึงตาจนแล้ว ตึกนี้ก็เก่าจนจำเป็นต้องซ่อมแล้ว”
เสาวณีย์รีบพูดแทรกขึ้นมา
“คุณใช้เงินรักษาคุณแม่มากเกินไป หมอดีที่สุด ยาแพงที่สุด คุณแม่เจ็บ 6 ปี คุณหมดไปร่วม 20 ล้าน แค่ต่อความหวังเพื่อที่จะจัดงานศพให้ท่านในวันหนึ่ง”

ศกฟังก็ยิ่งสะท้อนใจ นันย์ตาแดงก่ำ เสาว์ณีย์ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ

ศกจะเดินไปบ้านริมน้ำเพื่อไปคุยกับศรุตาเรื่องช่วยซ่อมบ้าน ป้าทิศเดินสวนมาพอดี ศกถามถึงหญิงสาว

“เพิ่งเดินไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ คุณศกไม่เจอเหรอคะ ?”
ศกถอนใจที่ไม่ได้คุยกับศรุตาเรื่องซ่อมบ้าน
เวลาเดียวกันนั้น ศรุตาก็นั่งยิ้มสะใจอยู่ในรถของตัวเอง พลางรีบหยิบมือถือขึ้นมากด โทร.หาดวงตา

“ทรายอยากให้แม่ไปหาทราย ?”
ดวงตา ที่อยู่ที่อเมริกาย้อนถามกลับมาด้วยความประหลาดใจ
“วันมะรืนนี้นะคะ ทรายมีอะไรเซอร์ไพรซ์แม่ค่ะ”
แววตาของหญิงสาวฉายความหมายมั่นบางอย่าง

บุรีกับฌานคุยกันอย่างเครียดๆ อยู่ในร้านกาแฟ“แข่งกับอลันงานนี้ไม่ง่ายเลยนะฌาน อลันรู้จุดว่าพ่อเลี้ยงนายทำโครงการนี้เพื่อ..”
“เงิน” ฌานพูดต่อ “ส่วนฉัน อยากทำที่อยู่ที่ไม่หวังกำไร แต่อยากใช้ที่ดินที่มีคุณค่าของฉัน ให้เป็นเหมือนบ้านของทุกคน ไม่ใช่สร้างรังนกพิราบเอาไว้ซุกหัวนอนเท่านั้น”
“และนั่นอาจทำให้แกแพ้อลันได้” บุรีกังวลแทน
“ยังไงฉันก็แพ้ไม่ได้ ถ้าอลันได้ที่ดินนั่นไป มันต้องรื้อบ้านพ่อฉันเละแน่ ฉันยอมไม่ได้ ฉันต้องเก็บ บ้านหลังนั้นไว้ ฉันยังอยากให้บ้านของพ่อเป็นเรือนหอของฉันกับทราย”
บุรีชะงักแล้วคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาพูดแรงจนทำให้หญิงสาวร้องไห้
“แล้วตกลงเมื่อคืนแกกับทรายเคลียร์กันรู้เรื่องแล้วใช่ไหม ?”
ฌานพยักหน้า
“เรียบร้อย เมื่อคืนฉันไปหาเขาที่โรงแรม เขาลืมมือถือไว้ในรถ ฉันเองก็เครียดเรื่องป๋ากับอลัน จนพาลหงุดหงิดที่เขาไม่รับสาย แล้วเรื่องบ้านของทราย อีกนานไหมกว่าพัชระจะทำเสร็จ”บุรีมองฌาน พลางคิดว่าถามเพราะกำลังคลางใจเรื่องศรุตากับพัชระรึเปล่า
ฌานเห็นบุรีมอง ก็หัวเราะ
“อย่ามองฉันอย่างนั้น ที่ถามไม่ใช่เพราะฉันระแวงทรายกับพัชระ ฉันไม่ได้หน้ามืดจนคิดว่า ทรายจะยุ่งกับคู่หมั้นของน้องสาวหรอกน่า”
ฌานขำ แต่บุรีไม่ขำด้วย ทันใดนั้นมือถือบุรีดัง
“ว่ายังไงกี้ ? อะไรนะ?”

กี้ ป๊อก จ้อย ติ่ง ชีวินยืนล้อมพัชระที่กำลังดื่มเหล้าจนเมาอยู่ในร้าน บุรีกับฌานเดินเข้ามาก็รีบตรงดิ่งมาหาพัชระและทุกคน
พัชระมองฌานด้วยสายตาแบบไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมาทันที แล้วกระดกแก้วดื่มต่อ บุรี มองสภาพพัชระที่เมามายด้วยความแปลกใจ จ้อยรีบบอกว่าพัชระนั่งดื่มคนเดียวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด
“เราเปิดร้านให้คนมานั่งดื่ม ผมก็อยากดื่มบ้าง ทำไมทุกคน ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย”
ฌานจ้องหน้าพัชระ แล้วพูดนิ่งๆ“เพราะแกไม่เคยดื่มหนักแบบนี้มาก่อนไง ไม่รู้รึไงว่าตัวเองคออ่อนขนาดไหน”
“นั่นสิ ดูสิพูดจาเสียงดังรบกวนแขกไปหมด ยิ่งห้ามก็ยิ่งดื่มทำตัวเป็นเด็กไปได้”
พัชระได้ยินกี้ว่าตัวเองทำตัวเป็นเด็ก ก็สติขาดผึง ลุกขึ้นมาตวาดเสียงดังใส่กี้
“ผมไม่ใช่เด็ก ได้ยินไหมว่าผมไม่ใช่เด็ก”
กี้และทุกคนตกใจ ฌานต้องรีบปราม
“เฮ้ย เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องตวาดใส่กันเลยนี่หว่า”
พัชระที่เริ่มรู้สึกเกลียดขี้หน้าฌาน ก็หันขวับไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“แล้วพี่มาแส่อะไรด้วย”
ฌานฉุน ปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อพัชระ
“อ้าว เฮ้ย ฉันเตือนแกดีๆ ทำไมมาพูดหมาๆแบบนี้วะ ?!”
บุรีรีบเข้าไปห้ามฌาน
“ไม่ต้องห้ามพี่บุรี” พัชระหันไปบอกบุรี แล้วหันกลับมาทางมองฌาน
“เขาไม่มีอะไรที่ผมเทียบไม่ได้ ถ้าเขาจะเข้ามา ผมก็สู้ได้อยู่แล้ว”
“ปากดีอย่างนี้ ต้องโดนสักที”
ฌานพูดอย่าวมอารามณ์ พลางจะเข้าไปต่อยพัชระ แต่บุรี กี้ จ้อย ป๊อก ติ่ง รีบแยกทั้งคู่ออกจาก กัน
“พาพัชกลับบ้านไป” บุรีหันมาสั่งจ้อย

จ้อย ติ่ง ป๊อกหิ้วปีกพัชระที่เมาและโวยวายเดินไปเข้าบ้าน จังหวะเดียวกับที่คุณแพรเดินเข้ามา พอดี
“อ๊าย! นี่มันอะไรกัน ทำไมตาพัชถึงเมามายมาอย่างนี้”
จ้อย ติ่ง ป๊อกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนที่จ้อยจะตอบแบบไม่ค่อยเต็ฒเสียง
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ยังไงพวกผมส่งพัชเรียบร้อยแล้ว ขอตัวลาเลยนะครับ”
ทุกคนรีบเดินออกไป คุณแพรมองลูกชายที่เมาอย่างไม่พอใจ

คุณแพรเอาแก้วน้ำเทใส่หน้าพัชระ ที่หลับไม่ได้สติอยู่ที่โซฟา ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง
“ทำไมถึงได้เมาแบบนี้ เมื่อเช้าแม่บอกแล้วใช่ไหมว่า พรุ่งนี้เช้าเราต้องไปวัด ไปดูฤกษ์แต่งงาน กัน สภาพอย่างนี้จะไปไหวไหม ?”
“ไม่ไหวก็ไม่ไป”
พัชระพูดหน้าตาเฉย แต่คุณแพรไม่ยอม พัชระลุกพรวดขึ้น
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ไป แม่เลิกสั่งให้ผมทำโน้นทำนี่เหมือนผมเป็นเด็กๆสักที ผมโตแล้ว ผมรู้ว่าผมต้องการอะไร แล้วต่อไปผมก็จะทำในสิ่งที่ผมต้องการเท่านั้น”
พูดจบก็เดินขึ้นห้องไปทันที คุณแพรมองตามลูชายอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าพัชระ จะกล้าพูด อย่างนี้

ศรุตาวางแก้วกาแฟพร้อมมองฌานที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พัชระเมาแล้วอาละวาดเหรอ?”
“ใช่ ไม่รู้เป็นบ้าอะไร.ฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคน แถมยังหาเรื่องจะต่อยกับผมด้วยนะ โมโหอย่าง กับผมไปทำอะไรให้มัน”
หญิงสาวแอบยิ้มที่แผนยั่วของตัวเองได้ผล พลางหยิบกระเป๋าทำท่าจะลุกไป
“แล้วทรายจะไปไหน ?”
“ไปบ้าน จะไปดูผลงานว่าพัชระทำงานไปถึงไหน”

ความหมายของหญิงสาว คือพัชระส่งผลกระทบอะไรกับเสาวณีย์บ้าง แต่ฌาน เข้าใจถึงงาน ซ่อมบ้าน

ศรุตาเดินเข้ามาในห้องรับแขก เห็นเสาวณีย์กำลังยืนหันหลังคุยโทรศัพท์กับคุณแพรด้วยสีหน้า เครียดอยู่

“เลื่อนนัดไปดูฤกษ์ก่อนเหรอคะคุณแพร ? มีอะไรรึเปล่าคะ ?”
“พัชระไม่สบาย ค่ะ ไว้อาทิตย์หน้าก็ได้” คุณแพรตอบมาทางปลายสายเสาวณีย์วางสาย พอหันมาเห็นศรุตายืนอยู่ ก็ถึงกับชะงัก ศกเดินเข้ามาเห็นลูกสาวคนโตก็ยิ้ม ดีใจ
“ทราย วันนี้มาเช้าจังเลยลูก กินข้าวเช้ามารึยัง ? กินไหม เดี๋ยวพ่อสั่งคนจัดการให้ แต้ว แต้ว”
เสาวณีย์มองศกอย่างหงุดหงิดที่แสดงการเอาใจศรุตาอย่างออกหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ ทรายทานมาแล้ว ทรายแค่จะมาบอกว่าพรุ่งนี้ทรายมีถ่ายแบบนิตยสาร และทรายขอให้ทางหนังสือถ่ายรูปทรายกับครอบครัวด้วย ทรายเลยมาชวนพ่อ คุณอา ลูกศรไปด้วยกันนะคะ”
เสาว์ณีย์ตอบสวนทันที “ไม่ไป”
“ทำไมคุณถึงไม่ไป?” ศกเสียงเข้ม “ลูกอุตส่าห์มาชวน” แล้วก็หันไปพูดกับศรุตาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตกลงพรุ่งนี้ทุกคนไปด้วยลูก”
เสาวณีย์ไม่พอใจเดินออกไปทันที ศรุตายิ้มสะใจ

ศรวณีย์กำลังอ่านนิยายเพ้อฝันความรักอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ มีกองตำราเรียนวางอยู่ข้างๆ เสาวณีย์เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“ลูกศร”
หญิงสาวรีบเก็บนิยาย แล้วหยิบตำราเรียนมาเปิดอ่าน
“ทำอะไรอยู่”
“ศรกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาสุดท้ายค่ะ คุณแม่มีอะไรรึเปล่าคะ?”
เสาวณีย์ท่าทางหงุดหงิด
“ก็แม่พี่สาวแสนสวยของลูก เขาชวนไปถ่ายแบบกับเขาพรุ่งนี้”
แต่พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของศรวณีย์ ทำเอาผู้เป็นมารดายิ่งหงุดหงิดหนัก“นี่ไม่ต้องมาทำตื่นเต้นเหมือนพ่อเราหรอกนะ เดี๋ยวออกไปหาซื้อชุดใหม่กับแม่”
“ซื้อทำไมคะ ? ชุดเก่าศรก็เยอะแยะ”ศรวณีย์ ถามหน้าซื่อ
“ใส่ชุดเก่าให้แม่พี่สาวเราข่มเราให้จมดินไปกว่านี้รึไง ไปเร็ว เดี๋ยวแม่จะพาไปเยี่ยมพี่พัชด้วย ไปดูแลพี่เขาซะ ก่อนที่คนอื่นจะไปเสนอหน้า”
หญิงสาวมองมารดาอย่างไม่เข้าใจ “คุณแม่หมายถึงใครเหรอคะ ?”

ศรุตาเดินนำศก ที่ทำหน้าตื่นเต้นออกมาจากในบ้าน
“ทรายพูดจริงๆสิคะคุณพ่อ บ้านนี้เก่าไปเยอะ เดี๋ยวทรายจัดการให้ค่ะ”
เสาวณีย์กับศรวณีย์ เดินกลับมาจากทางสนามพอดี ศกรีบเข้าไปบอกภรรยาด้วย ความตื่นเต้น
“นี่คุณเสาว์ ทรายเขาจะออกค่าซ่อมบ้านให้”
“เห็นคุณพ่อบอกว่าคุณอาจะให้บ้านนี้เป็นเรือนหอน้อง ทรายเคยได้ยินว่าครอบครัวพัชระ มีฐานะ ขืนให้เขามาเห็นบ้านซอมซ่อ เดี๋ยวเขาจะว่าตระกูลเอาได้ ทรายจำได้ว่าสมัยคุณย่ายังอยู่ คุณย่ายอมทำ ทุกอย่าง เพื่อรักษาหน้าตาเกียรติยศไว้”
ศกหน้าชา รู้สึกเหมือนโดนศรุตาเหน็บจังๆ เสาวณีย์พยายามอดกลั้นอารมณ์ตัวเอง ที่สุดจนแทบ ทนไม่ไหว หันไปพูดกับลูกสาว
“ไปกันเถอะลูกศร”
ศรุตารีบตีหน้าซื่อถาม “จะไปไหนกันเหรอคะ ?”
“คุณแม่จะพาศรไปซื้อชุดใส่ไปกับพี่ทรายพรุ่งนี้น่ะค่ะ”
เสาวณีย์มองลูกสาวอย่างหงุดหงิดว่าจะบอกทำไม
“ไม่ต้องซื้อชุดใหม่หรอกค่ะ” ศรุตาจงใจเหน็บ “คนสวยใส่อะไรก็สวย แต่ถ้าไม่สวยใส่ของเป็น แสนก็ไม่สวย”
เสาวณีย์มองศรุตาอย่างรู้ทัน ตรงข้ามกับศรวณีย์ที่ไม่รู้ว่าโดนว่าเหน็บ
“จริงด้วยค่ะพี่ทราย งั้นเราไม่ต้องไปซื้อหรอกค่ะ แค่ไปเยี่ยมพี่พัชอย่างเดียวก็พอ”
ศรุตาแกล้งทำเป็นตกใจเหมือนไม่รู้มาก่อน
“อ้าว นี่พัชระไม่สบายเหรอคะ?”
เสาวณีย์เผลอบีบมือลูกสาวแน่น เพราะไม่พอใจที่พูดเรื่องพัชระให้ศรุตารู้
“อุ้ย ! คุณแม่คะ ศรเจ็บ”
เสาวณีย์เห็นทุกคนมองตัวเอง จึงคลายมือที่บีบ แล้วหันไปพูดกับสามี“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ”
จากนั้นก็รีบจูงลูกศรเดินไปที่รถ ศรุตามองตามอย่างรู้ทันว่าเสาวณีย์รีบไป เพราะไม่อยากให้ ตัวเองขวาง
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณอาเสาว์”
เสาวณีย์ถอนใจพร้อมกับภาวนาว่า “ขออย่าให้สิ่งที่ตัวเองคิดเป็นจริง”
“เดี๋ยวทรายไปกับน้องเองค่ะ”
เสาวณีย์ข่มอารมณ์ ที่ทุกอย่างเป็นอย่างที่ตัวเองคิดจริงๆ

“มันคิดจะแย่งพัชระจากลูกศร มันกำลังแก้แค้นเสาว์ เสาว์อยากฆ่ามัน”
เสาวณีย์มาระบายความอึดอัดใจให้มารดาฟัง
“ใจจเย็นๆก่อน มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เสาว์คิดก็ได้ นี่แม่ให้คนไปสืบมา มันเองก็มีผู้ชายที่ควง กันตั้งแต่อเมริกาชื่อฌาน หว่อง”
“ฌาน หว่อง”
“ใช่ เห็นบอกว่ารูปร่างหน้าตาดีกว่าพัชระ เป็นถึงลูกชายของมหาเศรษฐีธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์ เด็กนั่นคงไม่โง่ที่จะทิ้งทายาทเศรษฐีมาเอาต๊อกต๋อยอย่างพัชระหรอก”
เสาวณีย์ฟังแล้วกลับยิ่งอิจฉาที่ศรุตาได้ผู้ชายดีกว่าลูกสาวตัวเอง“นี่คุณแม่ว่าคู่หมั้นของลูกศรต๊อกต๋อยเหรอคะ ?”
คุณหญิงเพกาชะงักที่เผลอพูดไปรีบพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน ว่าศรุตาคงไม่เอาพัชระจริง“เสาว์ไม่ได้สนใจหรอกค่ะว่ามันจะเอาพัชระจริงรึเปล่า แต่ที่เสาว์ห่วง คือกลัวว่าพัชระจะเอามัน”

“ต่อให้พัชระจะเอามัน แต่เด็กนั่นก็แย่งพัชระไปไม่ได้ ถ้าคุณแพรไม่เอา เหมือนตอนที่คุณศก อยากได้ดวงตา แต่คุณหญิงศิริไม่ยอม สุดท้ายมันกับลูกก็ต้องระเห็จไปไงลูก”
 
อ่านต่อหน้า 2

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)

คุณแพรมองศรุตาตาที่ยืนคู่กับศรวณีย์ พลางนึกเปรียบเทียบว่าน้องสาวไม่มีอะไรเทียมพี่สาวได้เลย

ศรวณีย์แนะนำศรุตาให้รู้จักกับคุณหญิงเพกา ที่ยื่นมือจะเช็คแฮนต์ แต่ศรุตากลับพนมมือไหว้ อย่างอ่อนช้อย ไม่เหมือนคนที่เติบโตเมืองนอก คุณแพรมองอย่างประดหลาดใจ
“ได้ข่าวว่าโตอยู่เมืองนอก ไม่คิดว่ามารยาทไทยได้”
ศรุตายิ้มหวาน
“ทรายจำทุกอย่างที่นี่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นมารยาท ภาษาไทย หรือวัฒนธรรมไทย”
“เหรอจ้ะ ? แปลก ที่ฉันได้ยินมา ไม่เห็นใช่อย่างนั้น” “อีกไม่นานคุณก็คงรู้ว่าความจริงอะไรเป็นยังไง”
แววตาศรุตาแฝงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คุณแพรมองหญิงสาวนิ่งๆ แล้วหันไปยิ้มเอ็นดูศรวณีย์
“ตาพัชนอนพักอยู่ในห้องน่ะจ้ะ หนูลูกศรขึ้นไปดูสิลูก”
ศรวณีย์ชะงักอายๆ “เอ่อ ให้ศรเข้าห้องพี่พัช จะดีเหรอคะ?”
คุณแพรจงใจพูดกระทบหญิงสาวผู้พี่
“เข้าได้สิลูก ศรเป็นคู่หมั้น ไม่ใช่คนอื่น”
ศรุตารู้ทันว่าโดนคุณแพรตั้งป้อมเกลียด รีบทำตัวโอนอ่อน
“ศรขึ้นไปเถอะ คุณป้าพูดถูก ศรเป็นคู่หมั้น ไม่น่าเกลียดหรอก”
คุณแพรเหลือบมองศรุตาที่ดูนิ่งสงบ ต่างจากน้องสาวที่ดูใสซื่อ ขี้กลัว แถมอ่อน ต่อ โลก แล้วแอบถอนใจอย่างอ่อนใจ ศรุตาเห็นสายตาของคุณแพร ก็แอบแล้วยิ้มเยาะความซื่อของน้องสาว

พัชระ ที่นอนเซ็งๆอยู่บนเตียง มองศรวณีย์ที่เปิดประตูเข้ามา แล้วถอนใจเบื่อหน่าย
“มาทำไมศร ?”
ศรวณีย์เปิดประตูห้องค้างไว้ ไม่กล้าเดินเข้าไปในห้อง
“คุณแม่บอกว่าพี่พัชไม่สบาย คุณแม่เลยให้ศรมาเยี่ยม คุณแม่ฝาก บอกให้พี่พัชหายเร็วๆ และ คุณแม่ยังฝาก...”
พัชระยิ่งฟังยิ่งรำคาญ
“หยุดพูดแต่คำว่าคุณแม่ คุณแม่ สักทีได้ไหมศร ศรอายุยี่สิบแล้วนะ โตแล้ว หัดคิดเอง ทำเอง บ้าง อย่าให้ใครมาว่าเราเป็นเด็ก”
หญิงสาวหน้าเสียที่โดนพัชระตวาดใส่
“ศรขอโทษค่ะ ศรก็แค่บอกตามที่คุณแม่บอกมา ไม่คิดว่าจะทำให้พี่พัชโกรธ งั้นพี่พัช พักผ่อน นะคะ ศรไปแหละค่ะ”
ศรวณีย์เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าแทบจะร้องไห้ ขณะที่พัชระมองตามอย่างไม่ใส่ใจ

ศรุตาพาศรวณีย์เดินไปที่รถ ขณะที่คุณแพรยืนรอส่งที่หน้าบ้าน
“ท่าทางคุณป้าจะชอบพี่ทรายนะคะ”
หญิงสาวผู้พี่ยิ้ม ว่าไม่มีใครที่ตัวเองควบคุมไม่ได้
“แต่ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ใครอยู่ใกล้พี่ทราย ก็รักพี่ทรายทั้งนั้น ไม่เหมือนศร”
ศรุตาแกล้งปั้นหน้าว่าเป็นห่วง “นี่ยังน้อยใจพัชระอยู่เหรอ”
“พี่ทรายเคยรักใครไหมคะ ?”
ในใจของศรุตาคิดคำนึงไปถึง “พี่บี”

ศรุตาเปิดประติฟฟิศเข้ามาแรงๆ กี้หันมาเห็นพอดี รีบเดินเอาแบบมาให้ดู
“เออนี่ ดูแบบอินทีเรียของทรายมั้ย เสร็จแล้วนะ แต่กี้ถามได้ไหม ทำไมทรายไม่ทำเองล่ะ”
ศรุตาไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “บุรียังไม่มาเหรอ”
“ยังไม่มา แต่นี่ พี่บุบอกทรายทำอินทีเรียกับบริษัทระดับโลกเลยนะ ทำไม”
“เขาอยู่ไหน?”
“น่าจะอยู่ที่บ้านนะ”
ศรุตาหันหลังกลับออกไปทันที เปิดประตูแล้วออกไปทันที กี้มองตามอย่างงงๆ

ศรุตาเดินฉับๆเข้าบ้านบุรีอย่างไม่ลังเลใจ พลางแหงนมองต้นไม้ใหญ่ เพ่งมองกิ่งพิกุลที่มีดอกเป็นกระจุก พอหันไปอีกทาง ก็เห็นต้นจำปีที่ออกดอกพราว หญิงสาวหลับตา ทำท่าสูดกลิ่นหอมเบาๆ แล้วมองเข้าไปในบ้าน ด้วยความคิดถึงบุรี
ในขณะที่บุรีหอบข้าวของกำลังจะออกจากบ้าน
“ผมไปนะครับพ่อ ไปนะครับแม่”
แต่พอเดินออกมาก็ชะงัก เมื่อเห็นศรุตายืนพิงต้นไม้กอดอก ยิ้มนิดๆ มองดูเขาด้วยสีหน้า เหมือน เอ็นดูเด็กที่กำลังเอาการเอางาน
บุรีรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย แต่อึดใจเดียว ก็รวบรวมสติจนเป็นปกติ
“ทราย มานานแล้วหรือ”
“ไม่เซอร์ไพรส์เลยหรือบุรี มีหัวใจรึเปล่าเนี่ย” หญิงสาวทำเสียงงอน
“ไม่ล่ะ ผมเซอร์ไพรส์ไปหลายอย่างแล้วเกี่ยวกับทราย”
“ชมหรือว่า”
บุรีอมยิ้ม “ไม่ชมไม่ว่า มาจากออฟฟิศเหรอครับ”
“ค่ะ ขอโทษนะที่ เอ่อ บุกรุก เข้ามาถึงบ้าน เจ้าของบ้านไม่เชิญซักหน่อย”
บุรีมองหน้าหญิงสาว แววตาเริ่มทอประกาย “เจ้าของบ้านกำลังเชิญ”
“ไม่ใช่แค่เข้าบ้าน แต่ให้เดินดูสวนด้วย”
“ครับ ดูสวนด้วย”
ศรุตายิ้มดีใจที่บุรีตามใจ ชายหนุ่มจะเดินตาม แต่ติดที่ว่ามีงานอยู่เต็มมือ หญิงสาวรีบเอื้อมมาหยิบทุกอย่างในมือออกไป
บุรีถอนใจยาว ศรุตามองนัยน์ตาบุรีเหมือนจะบอกว่าห้ามมีข้อแม้
“คืนผมเถอะทราย”
“โธ่ บุรี ทรายถือได้ ทรายอยากดูสวน”
บุรีรีบบอก “ผมจะเอาไปเก็บ คุณจะถืออยู่ได้ยังไงถ้าจะดูสวน”
หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่ม ด้วยสายตาชื่นชม บุรีจ้องตอบด้วยสายตาอบอุ่น อ่อนโยน ปนขำๆ
“หัวเราะเยาะเหรอบุรี”
“ต้นโน้น เขาเรียกว่าต้นอะไรรู้มั้ย”

“เขาเรียกว่า ต้นพิกุล แล้วนี่ดอกพิกุล”
ศรุตามองดอกพิกุลในมืออย่างอัศจรรย์
“ต้นใหญ่แต่ทำไมดอกเล็กนิดเดียว ฮ้อม หอม ชื่นใจ”
“กลิ่นโบราณ”
ศรุตาบอกว่าเหมือนบุรีที่ดูโบราณ

“เข้าใจคำว่าโบราณแค่ไหน” บุรีย้อนถาม

บุรีพาศรุตาเดินชมสวน ก่อนจะหันมามองหญิงสาวด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ยังไม่ตอบเลย เข้าใจคำว่าโบราณแค่ไหน”
ศรุตายิ้มขำ “เก่า แก่ เหี่ยว”
บุรีโบกมือห้าม “พอๆ ไปทางนี้ดีกว่า”
“ไปไหน”
“ไปหาคนเก่า คนแก่ แล้วก็คนเหี่ยว”
ศรุตามองหน้าบุรีอย่างสงสัย

“คุณพ่อ คุณแม่ สวัสดีค่ะ”
ศรุตายกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม แม่ยิ้มรับ
“อ๋อ หนูทราย ศรุตา”
แม่หันมามองหน้าบุรี ที่พยักหน้าเป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งบอก
“นั่งจ้ะ นั่ง”
พ่อรีบบอก “นั่งนี่ดีกว่า ตรงนั้นเปื้อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ทรายขอไปห้องน้ำก่อนได้มั้ยคะบุรี”
แม่รีบหันไปเรียกผักบุ้ง สาวใช้ให้เดินพาศรุตาไป ก่อนจะหันมากับบุรีเหมือนจะถามว่าเล่นอะไรกัน บุรียิ้มตอบ

แม่นั่งตำน้ำพริกไป ตาก็ลอบมองหน้าบุรีที่นั่งคอยศรุตาอยู่ใกล้ๆ พ่อมานั่งใกล้ๆ เหมือนมีเรื่องจะถาม แต่พอศรุตาเดินออกมา ทั้งหมดก็พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธ
“คุณแม่ทำอะไรคะ ให้ทรายช่วยด้วยนะคะ”
แม่ยิ้มให้หญิงสาวอย่างนึกเอ็นดู
“ทำกะปิหวานลูก ทานกับมะกอก มะดัน เดี๋ยวจะไปเก็บมะม่วงมาเพิ่มด้วย”
ศรุตาแอบกลืนน้ำลาย
“อูย อยากทานจังค่ะ อยู่ที่นู่นหาทานไม่ได้เลยค่ะ ให้ทรายช่วยนะคะ”
จากนั้นหญิงสาวก็ลงนั่งช่วยแม่ตำน้ำพริก ด้วยท่าทางสบายใจ จนในที่สุดก็เรียบร้อย“เออ เห็นมะม่วงก็เยอะทางโน้น บุรีไปเก็บสิลูก”
พอ่หันมาบอก แต่ศรุตาชิงอาสา
“ทรายเองค่ะ”

ศรุตาปีนเก็มะม่วงบนต้นอย่างคล่องแคล่ว บุรีกับผักบุ้ง่วยกันรับอยู่ใต้ต้น
บุรีแอบมองศรุตา ที่ไม่มีการวางท่า ไม่เล่นเกม เหมือนกลับไปเป็น “น้องทราย” ของ “พี่บี”
อีกครั้ง ด้วยสายตาอ่อนโยน

ศรุตามองไปรอบๆ บ้าน พลันก็รู้สึกเหมือนว่าเคยยืนอยู่ตรงนี้มาก่อน ตัวบ้านสีขาว มีขอบสีไม้ตัดเข้ม ระเบียงเล็กๆที่มีเถาดอกไม้สีเหลืองทุกสิ่งทุกอย่างราวกับถูกหุ้มด้วยกาลเวลาเก่าๆ บุรีมองลุ้นว่าหญิงสาวจะจำได้หรือเปล่า
“บ้านบุรี เหมือนทรายเคยเห็น”
“ก็บ้านสวนปกติ”
หญิงสาวครุ่นคิด
“บ้านสวน แต่ไม่ปกติ มันคุ้นมากเหมือนทรายเคยมา คุ้นมาก หน้าบุรีก็คุ้น”
พลางหันไปเห็น.... “เอ้ะ นั่นดอกจำปีนี่”
“ใช่ ทรายรู้จักด้วยหรอ”
ศรุตาพยักหน้ายิ้มๆ “รู้จัก ชอบมากด้วย ขอทรายดอกหนึ่งนะ”
หญิงสาวมองดอกจำปีในมือ สายตาหมองลง พลางไล้กลีบจำปีกับริมฝีปาก แล้วพึมพำเบาๆ “กลีบเหมือนปากผู้หญิง”
ศรุตามองสบตากับบุรี พร้อมกับยื่นดอกจำปีให้
“บุรีติดผมให้ทรายนะ”
บุรีรับมาแล้วก้าวเข้ามาใกล้ หญิงสาวเอียงหัวให้ ด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ
ชายหนุ่มติดดอกจำปีอย่างเชื่องช้า ด้วยกิริยาสุภาพ
ความรู้สึกอบอุ่นหลั่งล้นเข้ามาช้าๆเงียบๆ จนเต็มหัวใจของทั้งสองคน
“ตอนเด็กๆ แม่ติดดอกจำปีให้ทรายก่อนนอน มันหอมมากทรายได้ กลิ่นหอมทั้งคืน”
ศรุตาพูดพลางย้อนนึกถึงตอนที่ “พี่บี” ติดดอกจำปีให้เมื่อครั้งเยาว์วัย
ส่วนบุรี ก็หวนนึกถึงคำพูดชองฌาน ที่เตรียมบ้านไว้เป็น “เรือนหอ” ของเขากับศรุตา จากนั้นก็รีบดึงสติที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้กลับมา

ศรุตายกมือไหว้ขอบคุณพ่อกับแม่ ส่วนบุรีดูนิ่งขรึมลง แต่มีสติมากขึ้น “ทรายขอบคุณมากสำหรับของกินเล่นคืนนี้ค่ะ”
พูดพลางชูถุงใส่กล่องใส่กะปิหวานและมะม่วง 3 ลูกย่อมๆ แม่ออกปากชวนหญิงสาวมาเยีย่มอีก บุรีมองแม่อย่างขัดใจ
“ถ้าคุณป้าอนุญาตแล้ว รับรองทรายมารบกวนอีกแน่นอนค่ะ งั้นทรายลาล่ะนะคะ”
 
หญิงสาวยกมือไหว้ลาพ่อกับแม่ แล้วเดินผละไปพร้อมกับบุรี พ่อกับแม่มองตาม

ศรุตาเหลือบมองบุรีที่เดินตามหลังมายิ้มๆ

“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่”
หญิงสาวหยุดเดินแล้วหันมามอง
“ฉันต้องการให้คุณดูแลเรื่องการซ่อมบ้านของฉันแทนพัชระ”
บุรีชะงัก “อะไรนะ? แล้วคุณบอกพัชระแล้วรึยัง?”
“บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
บุรีคิดถึงสภาพเมามายของพัชระที่เกิดเมื่อคืน “มิน่า เมื่อคืนมันถึง....”
หญิงสาวแกล้งตีหน้าซื่อ “มีอะไรรึเปล่าคะ ?”
“ผมรู้ว่าคุณรู้” บุรีมองศรุตาอย่างรู้ทัน
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ถ้าไม่มีไฟ ก็คงไม่มีควัน”
ศรุตามองบุรีอย่างจริงจัง
“มันคงจะไม่มีควัน ถ้าเชื้อเพลิงมีฉนวนแกร่งพอที่จะไม่ยอมติดไฟ”
“ไม่มีเชื้อเพลิงอะไร ทนต่อการไม่ติดไฟได้หรอกทราย”
หญิงสาวจ้องตา แสดงความหมายว่ากำลังพูดถึงเขา
“จริงเหรอคะ ?”
บุรีรู้ว่าคำพูดตัวเองเปิดทางให้หญิงสาวย้อนมาหาตัวเอง ก็รีบหลบสายตาไปมองทางอื่น
“เอาเป็นว่าผมจะจัดการเรื่องบ้านของคุณเอง”
ศรุตามองอาการของบุรีแล้วยิ้มๆ
“ขอบคุณมาก และขอบคุณสำหรับ....” พูดพลางจับดอกจำปีที่ผูกผมอยู่ “สำหรับดอกจำปี”
จากนั้นก็หมุนตัวจะเดินไปที่รถตัวเอง แต่บุรีเรียกไว้ แล้วตัดสินใจพูดตรงๆ
“ผมขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ คนที่นี่คบคนด้วยหัวใจ ไม่มีใครทันเล่ห์เหลี่ยมคุณหรอก ผมขอร้อง อย่ามาที่นี่อีก”
ศรุตาชะงัก ด้วยไม่คิดว่าบุรีจะพูดแบบนี้ บุรีสบตาอย่างให้รู้ว่าเขาพูดจริงแล้วเดินผ่านเธอไป
ศรุตายืนอึ้งรู้สึกเจ็บหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

พ่อกับแม่ยืนรอบุรีอยู่อย่างใจจดใจจ่อ พอชายหนุ่มเดินกลับมา แม่ก็รีบป้อนคถามทันที
“ทำไมถึงไม่บอกหนูทรายไปว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนแล้ว”
พ่อถามต่อทันที
“หนูทรายยังไม่รู้ว่าบุรีคือพี่บีเมื่อ 10 กว่าปีก่อนใช่ไหม”
“ไหนบอกแม่สิว่ามีเหตุผลอะไร?”
บุรีพูดนิ่งๆ เก็บความรู้สึกเจ็บไว้ในใจ
“เพราะมันเป็นอดีตไปแล้วน่ะสิครับ .เชื่อผมเถอะครับ อย่าให้ทรายรู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่อยาก ทำให้ใครเจ็บ”
ชายหนุ่มหมายถึงฌาน จากนั้นก็เดินเข้าห้องทำงาน ไปยืนดูรูปจิ๊กซอว์ “The Starry Night” ที่ใส่กรอบติดไว้ที่ผนังนิ่งงัน และเนิ่นนาน
พ่อกับแม่มองตามไป
“แต่อย่างน้อยแม่ก็อยากบอกหนูทรายเหลือเกินว่า..สิบกว่าปีที่ผ่านมา บุรีไม่เคย คบใคร ไม่เคย รักใคร เพราะเขารอหนูทรายคนเดียว”
บุรีมองไปทางกรอบรูปที่โต๊ะทำงาน เป็นรูปถ่ายฌานกอดคอเขา แล้วมองลับมาที่ภาพ “The Starry Night” อย่างเจ็บปวด

ศรุตาทรายมองดอกจำปีด้วยความน้อยใจในคำพูดของบุรี แล้วจะปาทิ้ง แต่ก็ต้องชะงักมือ เพราะทำไม่ได้
“คนอย่างศรุตา มีแต่ผู้ชายมาง้อ แล้วคุณเป็นใคร มาไล่ฉัน รู้จักฉันน้อยไปแล้ว บุรี”
แววตาของหญิงสาว เจือทั้งความน้อยใจ และความถือดี อยากเอาชนะระคนกัน

ศรุตากำลังโพสต์ท่าถ่ายแบบ โดยมีพี่แจ๊คเป็นตากล้อง เส้อผ้าที่สวมส่งให้หญิงสาว ยิ่งดูเด่น สง่าดั่งดวงอาทิตย์ และร้อนแรงดั่งเปลวไฟ
ศก เสาวณีย์ และศรวณีย์ รวมถึงคุณแพรและพี่โป่ง พี่ดิน เดินเข้ามายืนมอง ผู้เป็นพ่อกับน้องสาวต่างมารดา มองด้วยสายตาชื่นชมในความสวยสง่า ขณะที่เสาวณีย์กับคุณแพร มองทรายอย่างทั้งทึ่ง ทั้งอึ้ง อย่างไม่คิดว่าศรุตาจะงามสง่าขนาดนี้
“คอนเซ็ปท์ที่ถ่ายนี่ คุณทรายเป็นคนเสนอด้วยนะคะ” พี่ดินรีบรายงาน
“คอนเซ็ปท์อะไร ?” คุณแพรหันมาถาม
ศรุตาที่ถ่ายแบบเสร็จ เดินออกจากหน้าเซ็ตมาหาคุณแพรพร้อมเป็นคนพูดชื่อคอนเซ็ปท์เอง
“ทรายสีเพลิงค่ะ”
เสาวณีย์จ้องมองศรุตาเขม็ง หญิงสาวจ้องตอบมารดาเลี้ยงด้วยสายตายิ้มเยาะ
“แต่ทรายคงเป็นเพลิงไม่ได้ ถ้าไม่มีเชื้อไฟอย่าง...”
พลางปรายตามองไปทางเสาวณีย์ และศรวณีย์ “ลูกศร”
เสาวณีย์มองหญิงสาวเป็นเชิงว่าอย่ายุ่งกับศรวณีย์
“พี่ทรายหมายความว่ายังไงเหรอคะ ?”
ศรุตาเข้าไปกอดไหล่น้องสาวต่างมารดาด้วยความเอ็นดู พี่โป่งรีบบอก
“หมายความว่าเราขอถ่ายรูปคู่คุณทรายกับน้องลูกศรน่ะสิครับ คุณทรายเป็นเพลิง น้องลูกศร เป็นเชื้อไฟ เป็นภาพสองพี่น้องเป็นคู่ฮอต”
เสาวณีย์มองศรุตาอย่างระแวง ปากกำลังจะพูดปฏิเสธ แต่ช้ากว่าพี่โป่ง“น้องลูกศรรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิจ๊ะ”
“ไปกันจ้ะลูกศร”

ศรุตารีบจูงมือน้องสาวไปเปลี่ยนชุด พลางปรายตายิ้มเยาะเสาวณีย์ ขณะที่เดินผ่านหน้ามารดาเลี้ยง
 
อ่านต่อหน้า 3

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)

ศรุตาโพสต์ท่าอย่างชำนาญ ดูสง่างาม ตรงข้ามกับศรวณีย์ที่ดูประหม่า เก้ๆ กังๆ

เสาวณีย์มองลูกจริงกับลูกเลี้ยงแล้ว เห็นความแตกต่างของทั้งคู่อย่างชัดเจน เมื่อปรายตามองไปทางคุณแพร ก็เห็นกำลังมองศรุตาด้วยสายตาชื่นชม
ยิ่งได้ฟังทีมงานเอ่ยปากชมศรุตา เสาวณีย์ก็ยิ่งเจ็บใจ พร้อมกับเข้าใจกระจ่างชัดว่าทำไมศรุตาถึงจงใจอยากให้ศรวณีย์มาถ่ายแบบด้วย
ศรุตามองเสาวณีย์ด้วยสายตายิ้มเยาะ

“ฉันรู้นะว่าเธอจงใจให้ลูกศรถ่ายแบบด้วย เพื่อให้คุณแพรเห็นข้อเปรียบเทียบ”
เสาวณีย์อดไม่ได้ ถึงกับมายืนดักรอเพื่อพูดกับศรุตาตรงๆ
“เปรียบเทียบอะไรคะ?” หญิงสาวแกล้งตีหน้าซื่อ “ทรายไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลย ทรายคิดเสมอ ว่าทรายกับศรเป็นลูกคุณพ่อเหมือนกัน ก็ต้องมีอะไรเท่าๆกัน ไม่ควรมีใครสูงส่งกว่าใคร”
เสาวณีย์จ้องหน้าลูกเลี้ยงเขม็ง
“ใช่ พ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ แล้วนี่คือสิ่งที่ทำให้เธอกับลูกศรต่างกัน จำไว้นะศรุตา ไม่ว่าตอนนี้ เธอจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน แต่สิ่งที่เธอเปลี่ยนไม่ได้คือที่มาของแม่เธอ”
ศรุตาเจ็บแค้น แล้วพูดด้วยเสียงเยือกเย็น
“ทรายไม่เคยลืมหรอกค่ะ แล้วก็มีอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาไม่ควรลืมเหมือนกัน “
เสาวณีย์มองหญิงสาว อย่างกับพยายามจะถามว่าหมายถึงอะไร แต่พอดีพี่โป่งเข้ามาตามศรุตาก่อน
“คุณทรายเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ งั้นเชิญครอบครัวของคุณทรายไปสัมภาษณ์กัน ตรงโน้นเลยครับ”
ศรุตามองมารดาเลี้ยงยิ้มๆ แล้วเดินเชิดหน้าผ่านหน้าไป เสาวณีย์มองตามหญิงสาวอย่างระแวง ว่าเธอจะทำอะไรอีก

ศกกับศรวณีย์นั่งรออยู่ในเซ็ตที่ทีมงานเตรียมไว้สำหรับนั่งสัมภาษณ์ คุณแพรยืนดูทีมงานอำนวย ความสะดวก โดยมีพี่ดินยืนอยู่ข้างๆ พี่โป่งเดินนำศรุตาและเสาวณีย์เข้ามา
“เดี๋ยวคุณทรายนั่งตรงนี้นะครับ คุณเสาวณีย์นั่งข้างๆ คุณศกนะครับ”
เสาวณีย์เดินไปกำลังจะนั่งข้างศก แต่ศรุตาชิงพูดขึ้นก่อน
“แล้วจะให้คุณแม่ของทรายนั่งตรงไหนคะ ?”
เสาวณีย์ชะงัก หันกลับมามองศรุตา ศกกับศรวณีย์พลอยงงไปด้วย
พี่โป่งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ผายมือไปทางเสาวณีย์ “ก็คุณเสาว...”
ศรุตามองไปทางประตูแล้วยิ้มดีใจ “แม่”
ดวงตาเดินเข้ามา พอเห็นเสาว์ณีย์กับศกก็ชะงักนิ่ง ขณะที่ศกมองดวงตาที่สวยสง่าอย่างไม่ อยากเชื่อสายตา เสาวณีย์มองอย่างอึ้ง ส่วนคุณแพรมองแล้วนึกถึงคำพูดของเสาวณีย์ที่เคยพูดกับตัวเอง
“แม่ของทรายเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน ตอนนั้นเสาว์ยังไม่มีลูก ดวงตามันมักใหญ่ใฝ่สูง มันมาอ่อย คุณศกจนท้อง แล้ววาดฝันว่าคุณแม่ของคุณศกจะยกย่องมัน แต่ก็แค่ฝันลมๆแล้งๆ ไม่นานเสาว์ก็ท้องลูกศร สองแม่ลูกนั่นก็หนีออกจากบ้าน เห็นเขาลือว่าดวงตาหนีตามสามีใหม่ที่เป็นชาวสวนชาวไร่”ศรุตาเดินไปหาดวงตา แล้วแนะนำมารดาให้คุณแพรและทีมงานทุกคนรู้จัก“นี่คุณแม่ดวงตา แม่ของทราย ภรรยาคนแรกของคุณพ่อค่ะ”
พูดพลางปรายตาทางเสาวณีย์เหมือนเป็นคำตอบว่านี่คือสิ่งที่เธออยากย้ำเตือนมารดาเลี้ยงเสาวณีย์ที่คิดไม่ถึงว่าศรุตาจะวางแผนหักหน้าตัวเองขนาดนี้ โกรธจนอยากกรี๊ด

เสาวณีย์เดินไปหาที่สงบสติอารมณ์ พร้อมๆ กับที่ศรุตากำลังจัดท่าให้ดวงตานั่งข้างๆ ศกแทนที่เสาวณีย์ ที่มองมาด้วยแววตาโกรธ
-ศรุตานั่งอยู่ระหว่างดวงตากับศก โดยจับมือพ่อแม่พร้อมกับให้สัมภาษณ์ เป็นภาพครอบครัวอันอบอุ่น
เสาวณีย์ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวดจนน้ำตาคลอ ส่วนศรวณีย์ยืนมองอยู่ห่างออกไป เหมือนโดนผลัก ออกไปเป็นส่วนเกินเหมือนที่ศรุตาเคยเป็น
เสาวณีย์เจ็บแค้น และสงสารลูก ครู่หนึ่งศรุตาก็เดินมาตาม
“คุณอาจะไปไหนคะ ?”
เสาวณีย์ชะงักเท้า กำมือแน่น อย่างพยายามเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ แล้วพูดโดยไม่หันไปมองลูกเลี้ยง
“ฉันปวดหัว จะไปหาที่นั่งพัก”
“คุณอาไม่ได้เจอแม่ตั้งนาน ไม่อยู่ทักทายถามสารทุกข์ดิบของแม่หน่อยเหรอคะ อย่างน้อยก็น่าจะ ถ่ายรูปครอบครัวเดียวกันไว้ลงหนังสือ คนทั้งประเทศจะได้เห็นลำดับหน้าตาครอบครัวของเรา” เสาวณีย์จ้องศรุตาอย่างโกรธจัด “ศรุตา”
“ แม่ของทรายไม่ใช่ของกินเล่น แม่คืออาหารจานเดียวที่พ่อเลือก”
ศรุตาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และแววตาก็หมายความตามที่พูดทุกอย่าง
“ไม่จริง ถ้าพ่อเธอเลือกแม่เธอ แล้วฉันจะยืนเป็นเมียถือทะเบียนสมรสอย่างนี้เหรอ”
“ก็เพราะคุณย่าคิดว่าอาหารที่มีผักชีโรยหน้าสะสวยเป็นของดีไงคะ ถึงได้ยัดเยียดคุณอาให้ คุณพ่อ”
เสาวณีย์ปากสั่น
“ไม่จริง ต่อให้ย่าเธอไม่ยัดเยียด พ่อเธอก็เลือกฉัน”
ศรุตามองแม่เลี้ยงอย่างไม่ยอมแพ้ จังหวะนั้นคุณแพรเดินเข้ามา
“หนูทรายอยู่ตรงนี้เอง ไปทานข้าวว่างด้วยกันก่อนสิจ๊ะ รีบไปเร็วคุณเสาว์ คุณดวงตารออยู่”
พูดจบคุณแพร ก็เดินนำไปก่อน เสาวณีย์เห็นอาการคุณแพรที่ดูชื่นชมทั้งศรุตาและดวงตาอย่าง เห็นได้ชัดก็ยิ่งไม่พอใจ
ศรุตาเห็นทีท่าของคุณแพร ก็หันมาปรายตาเย้ยเสาวณีย์
“งั้นลองดูไหมคะ ? ว่าถ้าไม่มีแม่บงการลูกชาย แล้วลูกชายจะเลือกใคร”

หญิงสาวหมายถึงคุณแพรกับพัชระ และเสาวณีย์ก็เข้าใจความหมายนั้นดี

“นะครับพี่บุรี .ผมขอกลับไปดูแลงานซ่อมบ้านทรายเหมือนเดิม” พัชระพูดเชิงขอร้องบุรี

“พัชยังมีงานอื่นต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ”
“แต่ผมอยากสานงานต่อให้มันเสร็จ”
บุรีมองดูอาการร้อนใจของพัชระออก “แน่ใจเหรอว่าแค่อยากสานงานให้จบ ไม่ใช่สานอย่างอื่น”พัชระชะงัก “พี่บุรีพูดอะไรแบบนั้น ผมกับทรายเป็นแค่เพื่อนกัน”
“และทรายก็เป็นพี่สาวของว่าที่เจ้าสาวของพัชด้วย” บุรีจงใจพูดย้ำ
“ผมทราบ ผมถึงไม่อยากทิ้งงาน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก บ้านของทราย ถึงไม่มีพัช เขาก็มีคนอื่นที่พร้อมจะดูแลช่วยเหลือทุกอย่าง ตอนนี้ที่พัชควรห่วง คือบ้านของพัชกับลูกศร เพราะลูกศรไม่มีใคร นอกจากพัชคนเดียว เชื่อพี่นะพัช”
พัชระนิ่ง ไม่แสดงอาการว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ

ดวงตามองลูกสาวอย่างไม่พอใจ
“แม่เลี้ยงทรายมา ทรายคิดว่าแม่รู้ไม่ทันทรายเหรอ ? ทรายจงใจให้แม่มาหักหน้าเขา ทรายกำลัง ใช้ แม่เป็นเครื่องมือล้างแค้นเขา”
ศรุตารีบพูด “ เปล่านะแม่ ทรายไม่เคยคิดใช้แม่เป็นเครื่องมืออะไรทั้งนั้น ทรายแค่อยากให้ทุกคน รู้ความจริง ว่าแม่มาก่อนเขา คนที่สมควรโดนประนามคือเขา ไม่ใช่แม่”
“ทำแล้วทรายได้อะไรลูก ?” มารดาย้อนถาม
“ได้ความยุติธรรมไงคะ ทรายบอกแล้วไงคะว่าทรายมาที่นี่ เพื่อทวงสิ่งที่ควรเป็นของเราคืน โดยเฉพาะตำแหน่งภรรยาของพ่อ”
ดวงตาส่ายหน้า แล้วพูดด้วยย้ำเสียงจริงจัง
“แต่แม่ไม่ต้องการ แม่ขอทรายอีกครั้ง เรื่องในอดีต ขอให้จบไปเถอะ”
ศรุตามองมารดาด้วยสายตาเจ็บปวด
“มันไม่ใช่แค่เรื่องในอดีตค่ะแม่”
พูดพลางเปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กขึ้นมาวางตรงหน้ามารดา ดวงตาหยิบ มาเปิด เห็นสร้อยข้อมือทองประดับด้วยทับทิมที่ขาดเป็นสองท่อน
“แม่จำสร้อยเส้นนี้ได้ไหมคะ? นี่คือสมบัติที่คุณย่าทิ้งไว้ให้ทราย แม่จำได้ไหมคะว่าคุณย่าให้ของ พวกนี้กับแม่ เพื่ออะไร?”
ดวงตามองสร้อยทับทิมด้วยสายตานิ่งงัน ภาพทุกอย่างย้อนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง

คุณหญิงศิรินั่งบนโซฟาใหญ่เด่นสง่า ดวงตานั่งกับพื้นตรงหน้า
“ฉันให้”
พูดพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือทองประดับด้วยทับทิมให้
“อะไรนะคะนายแม่”
“ฉันบอกว่าฉันให้ไง”
ดวงตาก้มมองสร้อยทับทิมในมืออย่างดีใจ และแปลกใจ

ดวงตาเดินถือสร้อยทับทิมออกมาด้วยความสุข ป้าทิศวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น ตกใจ
“คุณดวงคะคุณดวง คุณได้ข่าวรึยังคะ ?”
“ข่าวอะไรเหรอพี่ทิศ”
ป้าทิศอีกอัก “คุณศกจะแต่งงานกับคุณเสาว์ค่ะ”

ศรุตาพูดต่อด้วยความเจ็บปวด
“หลังจากที่คุณย่าให้คุณพ่อแต่งงานกับคุณอาเสาว์ คุณย่าให้สร้อยนี่แม่ เพื่อใช้บุญคุณร้อยแม่ไว้ เหมือนกับตอนนี้ที่พ่อกำลังให้ความรักกับทรายมากกว่าลูกศร เพราะทรายมีประโยชน์สำหรับพ่อ ทรายมีเงินให้พ่อ
มีชื่อเสียงให้พ่อ พ่อถึงใช้ความรักร้อยทรายไว้”
ดวงตาฟังลูกสาวพูด ด้วยความเจ็บปวดไ,ม่ต่างกัน
“เห็นไหมคะแม่ ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องในอดีต แต่มันเป็นเรื่องปัจจุบันที่พวกเขาไม่เคยมีความรักจริงๆ ให้เราเลย ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักให้ เขาก็ไม่ควรได้อะไรจากเรา ไม่ว่าจะได้โอกาส หรือได้การอภัย”
ศรุตาทั้งเจ็บปวด และเคียดแค้น ดวงตามองลูกอย่างเห็นใจ

“ฉันอยากจะขอโทษที่ฉันเคยปิดบังเรื่องที่ฉันเป็นภรรยาคนที่สองของคุณศก”
เสาวณีย์สารภาพกับคุณแพรตรงๆ
“ความจริงเราก็สนิทกันมาตั้งนาน คุณเสาว์น่าจะบอกกันตรงๆ”
เสาวณีบ์หน้าเสีย
“ฉันอยากให้คุณแพรเข้าใจ ที่ฉันต้องปิดบังเพราะฉันไม่อยากให้ใครว่าฉันแย่งคุณศกมา มันจะ ทำให้ลูกศรมีปัญหาได้ ฉันห่วงลูก”
“ค่ะ ฉันเข้าใจ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงทำอย่างคุณเสาว์ เดี๋ยวฉันจะให้โป่งตัดส่วนสัมภาษณ์ ที่พูดเรื่อง คุณเสาว์แย่งคุณศก เอ่อ..ขอโทษค่ะ เอาเรื่องส่วนตัวครอบครัวคุณเสาว์ออก”
เสาวณีย์ค่อยยิ้มออก
“ขอบคุณค่ะที่คุณแพรเข้าใจฉัน นั่นแปลว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่มีผลต่อการแต่งงานของพัชกับ ลูกศรใช่ไหมคะ ?”
คุณแพรถอนใจ อย่างหนักใจ

“คุณแพรบอกกับเสาว์ว่ายังไงนะลูก ?”
คุณหญิงเพาถามลูกสาวที่นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า“คุณแพรบอกว่าตัวคุณแพรยังรักและเอ็นดูลูกศรเหมือนเดิมค่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะมีปัญหานี่”
เสาวณีย์ถอนหายใจ “มีสิคะ เพราะคุณแพรบอกว่าทุกอย่างก็อยู่ที่พัชระเองด้วย”
“อ้าว อย่างนี้แปลว่า”
“แปลว่าคุณแพรมีใจชอบนังทรายไงคะคุณแม่ ถึงได้โยนให้พัชระตัดสินใจ ทั้งๆ ที่ผ่านมาคุณแพร ขีดเส้นให้พัชระทุกอย่างไงคะ”
คุณหญิงเพกาพลอยเครียดตามเสาวณีย์ไปด้วย
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ? ถ้าให้พัชระเลือก ลูกศรก็คงไม่แคล้วเป็นม่ายขันหมาก”
“ เสาว์ไม่ยอม“ เสาวณีย์น้ำตาคลอ “เสาว์ไม่ยอมให้นังทรายแย่งพัชระจากลูกศรได้ เสาว์จะทำ ทุกอย่างเพื่อให้ลูกศรชนะนังทราย ต่อให้เสาว์ต้องทำในสิ่งที่เสาว์ไม่อยากทำก็ตาม”

“เสาว์จะทำอะไร ?” คุณหญิงเพกาย้อนถาม

ศรวณีย์กำลังนอนอ่านนิยายโรแมนติกอยู่ในห้องนอน เสาวณีย์เคาะประตู หญิงสาวรีบเก็บนิยาย แล้วหยิบตำราขึ้นมาอ่าน

เสาวณีย์ถือแก้วนมเข้ามาให้ลูกสาว
“แม่เอานมมาให้น่ะลูก คิดอยู่แล้วว่าศรคงอ่านหนังสือสอบอยู่”
“ขอบคุณค่ะแม่”
หญิงสาวก้มหน้าดื่มนมเพื่อหลบสายตามารดา
“ศร เรื่องวันนี้ ศรโอเคไหมลูก ?”
“ศรโอเคค่ะ ศรห่วงคุณแม่มากกว่า”
เสาวณีย์สวมกอดลูกสาวแน่น
“แม่ไม่เป็นไร แม่ต้องยอมรับความจริงว่าแม่มาทีหลังเขา แต่แม่อยากให้ศรรู้ไว้ว่าถึงเราจะมา ทีหลัง แต่คุณพ่อรักเรามาก”
“ค่ะ .ศรทราบ เพราะอย่างนี้ พี่ทรายถึงน้อยใจ”
เสาวณียีบบอก “พรุ่งนี้ศรโทรชวนพี่พัชมาทานข้าวบ้านเราหน่อยสิลูก แม่อยากคุยเรื่องแต่งงาน”
หญิงสาวชะงัก “เอ่อ พี่พัชคงไม่ว่างมั้งคะคุณแม่”
“ยังไม่ทันโทรเลย ศรรู้ได้ยังไง โทรก่อน ต่อให้เขาไม่ว่าง ก็บอกเขาว่าแม่จะรอ ว่างเมื่อไหร่ค่อยมา เข้าใจไหม ?”
ศรวณีย์พยักหน้าจ๋อยๆ “ค่ะคุณแม่”
“ดีมากจ้ะลูก อ่านหนังสือต่อเถอะ แม่ไม่กวนแล้ว”
เสาวณีย์หอมแก้มลูกสาว แล้วเดินออกจากห้องไป ศรวณีย์ถอนใจ เพราะไม่อยากโทร. บังคับให้ พัชระมาบ้าน

พัชระเดินไปเดินมา ด้วยความหงุดหงิด งุ่นง่าน ตาก็คอยมองมือถือตลอดเวลา
“ทราย นี่คุณไม่เปลี่ยนใจจริงๆเหรอ คุณรู้ไหมว่าผมจะบ้าเพราะคุณอยู่แล้ว” พัชระกดมือถือโทรหาศรุตา แต่หญิงสาวไม่รับสาย ชายหนุ่มยิ่งหงุดหงิด
ครู่หนึ่งเสียงมือถือพัชระก็ดัง ชายหนุ่มดีใจคิดว่าเป็นศรุตา แต่พอเห็นหน้าจอเป็นชื่อ “ลูกศร” ก็ทำหน้าเซ็ง แล้วไม่ยอมรับสาย หญิงสาวโทร.ซ้ำ จนพัชระทนไม่ไหว กดรับสายและพูดเสียงเหวี่ยงกลับไป
“ว่ายังไงศร ไปกินข้าวเย็นเหรอ ? ก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเดี๋ยวนี้”
พัชระตอบอย่างมีแผนในใจ

พัชระยืนมองไปทางบ้านริมน้ำ เหมือนพยายามมองหาศรุตา ศรวณีย์เดินออกมา
“อ้าว พี่พัช มานานแล้วเหรอคะ ?”
“ก็พักนึง ทำไมวันนี้บ้านเงียบจัง”
พัชระหมายถึงศุรตา แต่ ศรวณีย์กลับตอบซื่อๆ อย่างไม่รู้ความนัย
“คุณพ่อไปกินเลี้ยงกับเพื่อน ส่วนคุณแม่ไปบ้านคุณยาย บอกให้เราทานข้าวเย็นกันก่อนเลยค่ะ”
พัชระถอนใจ “พี่หมายถึง ทรายไม่มาเหรอ”
“อ๋อ พี่ทรายไม่มาค่ะ มีแต่คนงานกำลังซ่อมบ้าน เมื่อเช้าศรเดินไปดูใกล้เสร็จแล้วนี่คะ พี่พัชจะไป ดูบ้านพี่ทรายก่อนไหมคะ แล้วค่อยมาทานอาหารเย็น”
พัชระหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“พี่จะไปดูทำไม เจ้าของบ้านไม่ให้พี่ดูแลบ้านเขาแล้วนี่”
พัชระจับมือลูกศรจะจูงเข้าบ้าน เสาวณีย์แอบมองอยู่ ด้วยสีหน้ากังวลในแผนของตัวเอง

พัชระนั่งกุมขมับ พร้อมถอนใจใหญ่ ศรวณีย์เดินเข้ามาเพ่งมอง
“พี่พัชคะ เหนื่อยใช่มั้ยคะ นี่ค่ะชามะนาว”
“ขอบใจนะศร”
“ศรเห็นพี่ทรายมาช่วยพี่พัชนี่คะ พี่พัชน่าจะไม่เหนื่อยมากเพราะ พี่ทรายเก่ง ช่วยพี่พัชได้”
พัชระวางแก้ว พร้อมกับดึงหญิงสาวเข้ามาใกล้ ก่อนจหลุดปาก
“อย่าเอ่ยชื่อพี่ทราย”
“ทำไมคะ มีเรื่องอะไรกัน” ศรวณีย์ถามซื่อๆ
“คือ พี่กลัวว่าจะไม่ถูกใจเขา ไม่อยากให้เขามาด้วยซ้ำ”
พัชระที่กำลังร้อนรุมในใจ หันมากอดศรวณีย์อย่างรรุนแรงเหมือนจะทดแทนอีกคน หญิงงสาว พยายามนิ่ง ทั้งๆที่สีหน้าหวาดหวั่น
พัชระรุกมากขึ้น ศรวณีย์ตกใจ รีบร้องห้าม แต่พัชระยังนัวเนียไม่หยุด
เสาวนีย์ยืนแอบมองอยู่ ด้วยสีหน้ากดดัน น้ำตาคลอเบ้า ครู่หนึ่งก็ปาดน้ำตา แล้วเดินออกไป โดยส่งเสียงนำไปก่อน
“ลูกศร ลูกศรจ๋า อยู่ไหนลูก”

เสาวณีย์เดินออกมาส่งพัชระที่รถพร้อมกับศรวณีย์
“ผมกลับก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนพัชระ” เสาวณีย์รั้งไว้ “ยังไงอย่าลืมหาเวลาว่างนะ เราจะได้ไปดูฤกษ์แต่งงานกัน”
พัชระก้มหน้าแอบถอนใจ ศรวณีย์มองอาการของพัชระ ไม่เห็นแววความรู้สึกดีใจ
“ครับคุณอา ผมไปนะครับ”
พัชระเดินขึ้นรถไป อย่างไม่ได้มีเยื่อใยกับศรวณีย์ ที่มองตามรถพัชระแล้วคิดบางอย่างในใจ

พัชระเดินเข้ามายืนมองบ้านริมน้ำของศรุตาที่มีนั่งร้านและสภาพการซ่อมที่ใกล้จะเสร็จแล้ว พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาว ยิ่งติด ก็ยิ่งเครียด ว่าจะทำยังไงให้ศรุตาเห็นว่าเขาไม่ต่างจากฌาน



ดวงตาโทรศัพท์คุยกับดอน แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ฉันขออยู่เมืองไทยต่อก่อนนะคะดอน ฉันเป็นคนเอาความเกลียดที่มีกับพวกนั้นใส่ในหัวใจลูก จนลูกมีชีวิตไปด้วยความแค้นขนาดนี้ ฉันต้องอยู่หาทางแก้ไข ก่อนที่ทรายจะทำอะไร ถลำลึกและเสียใจทีหลัง”
ดอนตอบกลับมาทางปลายสาย สีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
“แซนดี้เป็นเด็กมั่นใจในตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนเขา”
“แต่ฉันเชื่อ ว่ายังมีคนๆนึงที่จะเปลี่ยนหัวใจทรายได้”
“ฌานเหรอ ?” ดอนย้อนถาม
ดวงตาไม่ตอบว่าไม่ใช่ แต่เสพูดเรื่องอื่นให้เป็นปริศนาแทน
“ดอนคะ คุณช่วยเอากล่องที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือของทราย ส่งมาให้ฉันทีได้ไหมคะ”แววตาของเธอครุ่นคิดคิดบางอย่าง

ส่วนศรุตา ก็กำลังคุยมือถือกับกี้ที่หน้าบ้านที่มีคนซ่อมบ้านอยู่

“อะไรนะคะคุณกี้ ? บุรีไม่มาดูงานเพราะกำลังทำงานของฌานอยู่ แล้วเขาทำที่ไหนคะ ?”
 
อ่านต่อหน้า 4

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 4 (ต่อ)

เวลาเดียวกัน บุรีกำลังเขียนแบบงานให้ฌานอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งมีรูป “The Starry Night” ใส่กรอบติดอยู่ที่ผนัง พลางมองหาหนังสือที่จะใช้ดูแบบ แต่หาไม่เจอ

ศรุตาเดินเข้ามาในบ้านบุรี พร้อมกับมองหาคนในบ้าน แต่ไม่เจอใคร

บุรีเดินออกจากห้อง แล้วเดินไปด้านในบ้าน พร้อมๆ กับที่ศรุตาเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้าน มายืนหน้าห้องทำงาน กำลังจะเอื้อมมือเปิดประตู
บุรีกำลังจะเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปอีกห้อง แล้วชะงักเท้าเหมือนนึกได้ว่าลืมบางอย่างได้ จึงรีบเดิน ย้อนกลับไปที่ห้องทำงาน จังหวะที่ศรุตากำลังจะเข้าห้อง
บุรีรีบเข้าไปดึงแขนหญิงสสาวไว้ “คุณมาทำไม”
ศรุตาชะงัก บุรียืนขวางไม่ให้เธอเข้าไปเห็นภาพจิ๊กซอว์ในห้องทำงานเขา
“จะมาถามว่าทำไมคุณถึงไม่ไปดูแลงานซ่อมบ้านฉัน”
บุรีตอบนิ่งๆ “ผมยังไม่ได้รับปาก แล้ววันหลังถ้าคุณจะคุยกับผม ขอให้คุยที่ออฟฟิศดีกว่า ผมเคย บอกคุณแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก”
“ฉันยังไม่ได้รับปาก” หญิงสาวย้อนกลับ
“ผมไม่ได้พูดเล่นนะทราย”
ศรุตาจ้องหน้าบุรีนิ่ง
“ฉันก็จริงจังทุกคำพูด ฉันจะมาที่นี่จนกว่าคุณจะไปดูแลงานซ่อมบ้านฉัน”
บุรีถอนใจอย่างยอมแพ้ “โอเค ผมจะไป ผมรับปาก ส่วนคุณก็ต้องรับปากผมว่าจะไม่มาที่นี่อีก”
“ค่ะ ฉันรับปากคุณ คราวหน้าที่ฉันไปตรวจงานที่บ้าน หวังจะเจอคุณนะคะ”
ศรุตายิ้มให้บุรีอย่างมีความสุขเหมือนเด็กที่ได้ของดั่งใจ แล้วเดินผ่านไป
“ฉันรับปากกับคุณ แต่ไม่ได้รับปากกับพ่อแม่คุณด้วยสักหน่อยว่าจะไม่มา”
ศรุตายิ้มเจ้าเล่ห์

เสาวณีย์มองหน้าลูกสาวอย่างสุดรัก แล้วตัดสินใจพูดด้วยเสียงจริงจัง แต่กระแสอ่อนโยน
“พี่พัชเขาเป็นคู่หมั้น อีกหน่อยก็แต่งงานเป็นสามีภรรยา เวลานี้เท่ากับหนูก้าวเข้าไปในชีวิตเขาครึ่งหนึ่ง อีกหน่อยก็เป็นคนๆเดียวกัน”
ศรวณีย์มองหน้ามารดาอย่างไร้เดียงสา เสาวณีย์พยายามอธิบายต่อ
“พี่พัชเขารักศร ถ้าเขาจะแสดงความรักบ้างบางครั้ง ถ้าเราขัดขืนทำท่าหวงตัวเกินไป เขาจะระแวงได้ว่าศรไม่ได้รักเขา อีกอย่างถ้าเราขืนตัวมาก ผู้ชายเขาจะรุก บางทีเขาก็โกรธ แต่ถ้าเราแสดงท่าว่าเราก็รักเขา เขาจะหยุด”
หญิงสาวนิ่งคิด “มันเป็นเครื่องพิสูจน์หรือคะว่ารักหรือไม่รัก”
“แม่ว่า สำหรับผู้ชายอาจจะไม่เสมอไป แต่สำหรับผู้หญิง ใช่”
“เหรอคะ แล้วสมัยคุณแม่”
“สมัยแม่ต้องรักนวลสงวนตัว แต่สมัยนี้เปลี่ยนแล้ว มันเป็นอิสระมากขึ้น แต่แม่ขออย่างเดียวและแม่ก็คิดว่าคนเป็นแม่ทุกคนก็อยากขอเหมือนกัน ก็คือขออย่าให้มีอะไรกันก่อนแต่งงาน แม่ขอแค่นั้น เชื่อแม่นะลูก”
ศรวณีย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ค่ะ”
“ผู้หญิงบางคนอาจใช้พรหมจารีย์เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆกัน แต่ศรเก็บไว้นะลูก เก็บไว้ให้พี่พัชวันแต่งงาน”
เสาวนีย์กอด และหอมแก้มลูกสาวเบาๆ อย่างชื่นใจ

ศรวณีย์ครุ่นคิดเรื่องที่เสาวณีย์สอนให้ตัวเองยอมพัชระด้วยความรู้สึกสับสน พลางตัดสินใจ หยิบมือถือโทรหาศรุตา
“พี่ทรายเหรอคะ ? พี่ทรายพอจะว่างไหมคะ ? ศรมีเรื่องอยากปรึกษา”

“เรื่องนั้น สำหรับพี่ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ความรัก แต่มันคือความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย”
ศรุตาบอกกับน้องสาวต่างมารดา ขณะที่นั่งคุยกันในร้านกาแฟ หากความหมายนั้น แฝงนัยถึงสิ่งที่ศกทำไว้กับดวงตา
“ศรก็คิดอย่างนั้น ศรเคยอ่านในหนังสือ เขาบอกว่าคนเราถ้ารักกัน ต่อให้ไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน ก็รักกันได้ เหมือนคนที่อยู่คนละประเทศ เพียงแค่ได้คุยโทรศัพท์ ได้ยินเสียง ก็มีความสุขแล้ว”
ศรุตามองน้องสาวต่างมารดา ที่พูดเหมือนเด็กน้อยเพ้อฝัน
“ศรอ่านหนังสืออะไรมา ?”
“นิยายรักค่ะ พี่ทรายอย่าบอกคุณแม่นะคะ คุณแม่ไม่ชอบให้ศรอ่าน”
“ทำไมล่ะ ?” ศรุตาย้อนถาม “การอ่านนิยายดีออก ชีวิตคนเรา บางทีชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจ ก็ต้องพึ่ง นิยายเป็นทางออก ให้มีความสุขในโลกเพ้อฝันได้ แล้วในชีวิตศร มีอะไรไม่ได้ดั่งใจเหรอ ? ถึงต้องพึ่งโลกของนิยาย”
ศรวณีย์อึกอัก เพราะไม่รู้จะตอบยังไง ทันใดนั้นมือถือของเธอก็ดังขึ้นมาพอดี หน้าจอเห็นเป็นชื่อ “คุณแม่” หญิงสาวถอนใจไม่อยากรับสายเพราะรู้ว่าเสาวณีย์จะพูดเรื่องอะไร
ศรุตามองอาการอึดอัดใจของน้องสาวต่างมารดาอย่างครุ่นคิด
“ไม่อยากรับสายเหรอ?”
หญิงสาวอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่ .ศรยังไม่ได้โทรถามพี่พัชเลยค่ะว่าวันนี้ว่างไปทานข้าวรึเปล่า ศรขอโทษค่ะคุณแม่
.เดี๋ยวศรจะรีบโทรค่ะ สวัสดีค่ะ”
ศรวณีย์วางสาย แล้วทำหน้าเครียดๆ จากนั้นก็ตั้งท่าจะกดโทรหาพัชระ แต่ลังเลไม่อยากโทร
ศรุตาลอบสังเกตอาการ
“ทำไมถึงไม่อยากโทรหาพัชระล่ะ ? เขาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวลูกศรนะ”
“เพราะการโทรหาคนที่ไม่อยากคุยกับเรา มันไม่สนุกเลยน่ะสิคะ”

ศรุตามาหาฌาน ที่คอนโดหลังจากที่ส่งศรวณีย์แล้ว หญิงสาวยิ้มสะใจขณะคิดถึงสิ่งที่น้องสาวต่างมารดาพูดระบายออกมา
“ศรรู้ว่าพี่พัชไม่ได้รักศร พี่พัชแต่งงานกับศรเพราะโดนบังคับ”
“แล้วศรล่ะ? รักพัชระรึเปล่า ?” ศรุตาย้อนถาม
“ศรก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าความรู้สึกที่ศรมีให้กับพี่พัช มันใช่ความรักรึเปล่า”
“งั้นพี่ถามใหม่ พัชระใช่ผู้ชายในฝันของลูกศรรึเปล่า”
ศรวณีย์ชะงัก ตอบไม่ถูก
“งั้นพี่ถามใหม่อีกรอบ ผู้ชายในฝันของลูกศรเป็นยังไง ?”

ศรุตาเดินพลางยิ้มสะใจ เมื่อนึกถึงคำตอบของศรวณีย์
“ศรชอบผู้ชายอบอุ่นเหมือนคุณพ่อค่ะ ผู้ชายที่เป็นผู้นำเราได้ คอยแนะนำเวลาเรามีปัญหา ในขณะเดียวกันเขาคอยดูแล ใส่ใจเราไม่ห่าง”

“ผู้ชายอบอุ่นเหมือนคุณพ่อ” ศรุตาพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ศรุตาจะเดินไปขึ้นลิฟท์ พลางปรายตาเห็นฌานนั่งคุยอยู่กับผู้หญิง จึงเดินไปยืนด้านหลัง แล้วเอ่ยทักทาย ฌานชะงัก แล้วค่อยๆหันมามองเธอ

พัชระนั่งซึมอยู่ที่ล็อบบี้ที่คอนโดของศรุตา ในใจร้อนรุ่มอยากขึ้นไปหา แต่ไม่รู้จะทำยังไง สักพักก็เหลือบไปเห็นศรุตากับฌานเดินเคียงกันมา
พัชระหัวใจเต้นแรงด้วยความหึง และอิจฉา
ศรุตาเหลือบมองมาเห็นพัชระ ที่กำลังก้มลงดูอย่างอื่น แล้วก็ยิ้มลึกๆอย่างสมใจ พลางแกล้งทำท่า
สวีทกับฌาน ยั่วให้พัชระหึง

เมื่อเข้ามาในห้อง ศรุตาก็ผลักฌานลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มหัวเราะขำ
“อย่าบอกว่าคุณหึง”
ศรุตารีบตอบ “หึง”
“อย่าตลก”
ศรุตาโถมตัวเข้าหาฌาน ทอดตัวกอด จูบที่หน้า
“เมื่อไหร่จะหยุด?”
“ผมไม่เคยคิดจะจริงจังกับใครนอกจากคุณคนเดียว ผมบอกคุณไปล้านครั้งแล้ว”
“ขนาดจริงจังคนเดียว รู้มั้ยว่าเห็นคุณบ่อยที่สุดกับคนโน้นคนนี้ ฉันอ่านข่าวสังคมด้วยนะ เขาก็ลงว่าคุณน่ะ....”
ฌานประคองหน้า ปิดปากศรุตาด้วยปากตัวเองแนบแน่น

พัชระมองไปที่ลิฟท์ พร้อมกับจินตนาการไปร้อยแปด สับสนกับความรู้สึกตัวเอง ที่จะไปต่อก็ไม่ได้ จะกลับก็ไม่ได้เหมือนกัน

ฌานกับศรุตาผละตัวออกจากกัน
“ผมจะหยุด วันที่คุณตอบแต่งงานกับผม”
“คุณเป็นคนรู้ใจฉันที่สุด เป็นเพื่อนที่ฉันรักที่สุด เป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันรู้ว่าถ้าฉันมีเรื่องยุ่งยาก มีปัญหาเมื่อไหร่ ฉันจะหันไปหาคุณ ได้ทุกนาที”
ฌานยิ้มอ่อนโยน
“ผมบอกตัวเองหลายครั้งว่าผมรัก ผมต้องการ ผมอยากผูกมัดทรายไว้กับผม เป็นของผมคนเดียว แต่ผมก็ต้องบอกตัวเองอีกเหมือนกันว่า ผมรู้ใจทราย รู้ว่าทรายไม่ใช่ของผม คุณไม่มีวันยอมเป็นของผมคนเดียว”
ศรุตามองค้อน
“ฉันเสียหายมากคุณพูดอย่างนี้”
“ไม่ใช่ ทรายไม่ใช่แบบนั้น แต่ทรายยังหาตัวเองไม่พบต่างหาก ว่าทรายต้องการอะไรน่ะสิ”
“ทรายรู้ว่าทรายต้องการอะไร ขอให้ทำสำเร็จอย่างที่ต้องการก่อน แล้วต่อจากนั้น....”
ฌานจ้องฟังคำตอบ

พัชระลุกอย่างตัดใจ เดินไปทางประตู จังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟท์เปิด ฌานควงออกมากับศรุตา ที่แต่งตัวเซ็กซี่ไปทั้งตัว
หญิงสาวจ้องมองเก้าอี้ที่พัชระนั่ง ที่ตอนนี้ว่างเปล่า
พัชระแอบมองท่าทีสนิทสนมของทั้งคู่ด้วยแววตาเจ็บปวด แล้วตัดสินใจอะไรบางอย่าง

เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ตัดสินใจโทร. หาศรวณีย์ทันที
“ลูกศร พรุ่งนี้คุณอาเสาว์อยู่บ้านไหม ?”

ศรุตา ฌาน และดวงตา นั่งทานอาหารด้วยกันในร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ
“ทรายดีใจนะคะที่แม่อยู่ที่นี่กับทราย อีกวันสองวันเราก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านริมน้ำได้แล้วล่ะค่ะ”
ดวงตายิ้มนิ่งๆให้ลูกสาว แล้วยกแก้วน้ำดื่มเหมือนปิดบังแผนในใจ “นี่พัชระซ่อมบ้านให้ทรายเสร็จแล้วเหรอ ?”
ฌานหันมาถาม ทำเอาดวงตาถึงกับชะงัก “พัชระ ? ชื่อคุ้นๆ”
“คู่หมั้นของลูกศรไงคะแม่ ลูกชายของคุณแพร เจ้าของนิตยสารที่ทรายไปถ่ายแบบเมื่อวาน”
“ตอนแรกแม่คิดว่าทรายจะให้เพื่อนของฌานดูแลเรื่องซ่อมบ้านเสียอีก”
“ก็ตอนแรกเขาบอกว่าไม่ว่าง ทรายเลยเลือกพัชระค่ะ”
ดวงตากับฌานมองศรุตานิ่งๆ ต่างคนต่างคิดว่าการเลือกพัชระของหญิงสาวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ทำไมเงียบกันไปอย่างนั้นล่ะคะ คิดอะไรกันอยู่รึเปล่าเนี่ย ?”
ฌานไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “แล้วทรายล่ะ .คิดอะไรรึเปล่า ?”
ศรุตาหัวเราะ ไม่ตอบคำถาม แต่หันไปคุยกับมารดาแทน
“พรุ่งนี้ทรายจะไปดูบ้านริมน้ำ แม่ไปกับทรายนะคะ”
“ผมไปด้วยคนสิ ผมยังไม่เคยไปบ้านคุณ ไม่เคยกราบคุณพ่อคุณเลย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมไปนะจ๊ะ”
ศรุตารีบปฏิเสธ
“เอาเป็นว่าทรายพาฌานไปเจอกับคนบ้านนั้นแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ดวงตามองศรุตาอย่างสงสัยว่าหญิงสาวมีแผนอะไรต่อไปแน่

เมื่อยู่กันตามลำพัง ดวงตาก็ตัดสินใจคุยกับศรุตาเรื่องพัชระ
“ถ้าคิดจะทำ เหมือนที่คนพวกนั้นเคยทำกับแม่ อย่าทำ เรื่องของความรู้สึก มันไม่ใช่ของเล่น ถ้าพลาดไป...”
ศรุตายิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่พลาดค่ะ แม่ก็รู้ว่าในชีวิตทราย ถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว ไม่มีคำว่าพลาด ดูเสืออย่างฌานสิคะ ทรายยังปราบจนกลายเป็นแมว แล้วนับประสาอะไร ทรายควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ทรายต้องการได้ค่ะแม่”

พัชระลงนั่งต่อหน้าศกกับเสาวณีย์ ด้วยสายตาแน่วแน่อย่างตัดสินใจแล้ว พร้อมกับออกตัวขอโทษที่คุณพ่อคุณแม่ไปต่างจังหวัดกระทันหัน
“แล้วจะเอายังไง เมื่อไหร่จะได้พูดกันซะที”เสาวณีย์ดูกังวล
“ผมไปหาฤกษ์แต่งงานกับคุณอาได้มั้ยครับ”

ศรวณีย์เอียงซบอกพัชระ และยอมให้ชายหนุ่มโอบกอดไว้ด้วยความเต็มใจ ตามที่มารดาแนะนำ ทั้งคู่นั่งคุยกันเรื่องที่หญิงสาวสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เรียนจบ ก็ถึงเวลา”
พัชระพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หญิงสาวพยักหน้ารับ
“แต่งงาน พี่คุยกับคุณอาแล้ว”
“เหรอคะ คุณแม่ไม่บอก มิน่า....”
“ศรพร้อมมั้ยครับ”
“แหมพี่พัช ถามเป็นทางการจังค่ะ”
พัชระมองหน้าเหมือนรอคำตอบ หญิงสาวเขิน เสไปพูดเรื่องอื่น
“พี่พัชจะไปดูบ้านพี่ทรายอีกทีเมื่อไหร่คะ”
ความรู้สึกพัชระสะดุดขึ้นมาทันที

เสาวนีย์มองจากหน้าต่าง เห็นทั้งคู่นั่งคุยกัน ก็ยิ้มพอใจ แต่สีหน้ายังคงเป็นกังวล

ดวงตาลงจากรถพร้อมกับศรุตา พลางมองบ้านใหญ่และบริเวณสนามที่ทรุดโทรมลงไปมาก

“ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะ”
ศรุตามองอย่างยิ้มเยาะ
“ใช่ค่ะ ทรุดโทรมตกต่ำไปเยอะ”
“เห็นไหม ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามทางของมันเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาทำอะไร”
“ แม่จะบอกให้ทรายรอกรรมตามสนองเขาเองใช่ไหมคะ ?”
ดวงตาปรายตามองลูกสาว แล้วพูดนิ่มๆ
“ต้นไม้ ต่อให้พรวนดิน ใส่ปุ๋ยดูแลแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องตายไปตามกฏธรรมชาติ คนเราทำอะไรไว้ ก็ต้องเป็นตามกฏแห่งกรรมเช่นกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกฏ”
“แต่บางคน กว่าจะเป็นไปตามกฏ มันช้าไปค่ะ ต้องมีบริการดิริเวอรรี่ส่งกรรมให้ถึงมือ เราปล่อย ให้เขาครอบครองของๆ เรานานเกินพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องมาเอาคืน”
ดวงตามองดูท่าทีของศรุตาแล้วถอนหายใจ

พัชระจูงมือลูกศรเข้ามาหาบุรี ที่กำลังคุมคนงานดูแลการซ่อมบ้านริมน้ำอยู่ บุรีหันมามองอย่างแปลกใจนิดๆ
“เก็บงานแล้วเหรอครับ ?”
บุรีพยักหน้ายิ้มๆ “ใช่”
“ต่อไปก็เป็นคิวปรับปรุงบ้านของศรหรือจะเรียกให้ถูก เรือนหอของเราสองคน” ศรุตาที่เดินเข้ามาพร้อมดวงตาได้ยินและเห็นพัชระมีท่าทางสนิทกับศรวณีย์ ก็หน้าเครียดขึ้นทันที
“ศรคิดเตรียมไว้เลยนะว่าอยากได้บ้านของเราเป็นแบบไหน อุตส่าห์ได้พี่บุรีดูแลให้ ยากแค่ไหน พี่บุรีก็ทำให้ได้”
พัชระที่ยังไม่ทันเห็นศรุตาพูดต่อ
“ไม่อยากได้อะไรมากหรอกค่ะ แต่ซ่อมตรงส่วนที่เก่าและพังก็พอ พี่ทรายออกค่าใช้จ่าย ศรเกรงใจ
พี่ทราย”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกศร พี่บอกแล้วไงว่าพี่เต็มใจ”
พัชระ ศรวณีย์ และบุรีหันไปมองศรุตาที่เดินมาพร้อมกับดวงตา
ศรุตาสบตากับพัชระ ฝ่ายหลังสบตาตอบอย่างเย็นชา หญิงสาวแอบคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพัชระ
“คุณมาพอดีเลยครับทราย” พัชระพูดพลางกอดเอวศรวณีย์ “ผมอยากจะมาบอกข่าวดีกับคุณ พอดี เราสองคนจะแต่งงานอีกสองเดือนข้างหน้า ทรายต้องอยู่ร่วมงานแต่งของผมกับศรก่อนนะครับ”
พัชระยิ้มให้ด้วยความรู้สึกว่าเขาอยู่เหนือเธอ
ดวงตามองสายตาพัชระกับศรุตาอย่างกังวลใจ

ศรุตาเดินหน้านิ่ง อย่างเก็บอาการหงุดหงิดจะไปขึ้นรถ ดวงตาเดินตามมาติดๆ เสาวณีย์เดิน ยิ้มแย้ม เหมือนตั้งใจเยาะเย้ยทั้งคู่
“จะรีบไปไหนเหรอทราย ? .ไหนทรายว่าอากับแม่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากให้ทักทายถาม สารทุกข์สุขดิบไม่ใช่เหรอ ? ขอโทษนะดวงตา ที่วันนั้นฉันไม่ทันได้ทักทาย เธอสบายดีเหรอ ?”
“สบายดีค่ะ”
“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”
ศรุตารีบปฏิเสธ “ไม่ล่ะค่ะ ทรายไม่หิว”
“แต่วันนี้อาตั้งโต๊ะเร็วนะ เพราะคุณศกกับพัชระเลิกกินของว่างแล้ว ก็อย่างว่าของกินเล่นมันเป็น พวกของง่ายๆ กินครั้งสองครั้งก็เบื่อ ตอนนี้พัชระเลือกทานอาหารหลัก เพราะมันอิ่มและมีคุณค่ากว่า ทั้งๆที่ไม่มี ผู้ใหญ่คนไหนบังคับด้วยนะ”
ศรุตาจ้องจะพูดตอบโต้เสาวณีย์ แต่ดวงตาจับแขนลูกสาวเพื่อปรามไว้ก่อน
“ไปเถอะทราย”
ดวงตาจะดึงศรุตาให้เดินไปที่รถ เสาวณีย์รีบพูด
“ฉันขอชื่นชมเธอนะดวงตา เธอเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ ลูกถ่ายทอดทุกอย่างที่เธอเคยเป็นมาเปี๊ยบ”
เสาวณีย์ตั้งใจหมายถึง “ง่าย” และ “โดนผู้ชายทิ้ง“
ศรุตาจ้องเสาวณีย์อย่างเอาเรื่อง ดวงตาดึงแขนลูกสาวให้เดินไปทัน เสาวณีย์มองตามด้วยความ สะใจ
“แกไม่มีวันชนะฉันกับลูกได้หรอก นังทราย”

ดวงตามองศรุตานั่งดื่มกาแฟและทานอาหารเช้าด้วยท่าทางที่ยั่งครุ่นคิดเรื่องพัชระอยู่
“ทรายยังเปลี่ยนใจทันนะลูก”
“เปลี่ยนใจอะไรคะแม่ ?”
“กลับอเมริกากับแม่ เมื่อวานทรายก็เห็นแล้ว ว่าการเล่นกับอารมณ์ของคน มันพลาดได้”หญิงสาวดื่มกาแฟอย่างเย็นใจ
“แม่รู้ไหมคะ ทำไมทรายถึงชอบงานอินทีเรีย เพราะมันเป็นงานที่เล่นกับความรู้สึกของคน ลูกค้า มาจ้างให้ทรายออกแบบและตัดสินใจเลือกทุกอย่างแทนเขา ความท้าทายมันอยู่ที่ทรายจะต้องอ่านบุคลิก อ่าน ความต้องการของลูกค้าให้ออก แล้วการที่ทรายต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทำให้ทรายมั่นใจว่า
สิ่งที่ทรายคิด มันไม่พลาด”
“แต่ทรายก็เห็นแล้วว่าพัชระไม่ได้เล่นไปตามทางที่ทรายหวัง”
“ใครว่าเขาไม่เล่นล่ะคะ ? แค่เล่นแบบเด็กเอาแต่ใจ พอไม่ได้อะไร ก็ประชดประชัน”
“ผู้ชายอย่างนั้น ทรายยิ่งไม่ควรไปยุ่ง”
ศรุตายิ้มหยัน
“ใช่ค่ะ เด็กดื้อ เรายังไม่ควรไปยุ่ง ยิ่งประชด ยิ่งต้องปล่อย เราไปยุ่งกับเด็กหัวอ่อนดีกว่า”
ดวงตามองลูกสาวอย่างสงสัย ศรุตาหยิบนิยายรักโรแมนติกอย่างที่ศรวณีย์ชอบอ่านขึ้นมาเปิดดู

“แม่คิดว่าพระเอกในนิยาย จะมีในชีวิตจริงได้ไหมคะ?”
 
อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น