xs
xsm
sm
md
lg

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทรายสีเพลิง ตอนที่ 2

บุรีที่กำลังดูแลเรื่องเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ อดไม่ได้ที่จะลอบมองมายังศรุตา ฝ่ายถูกลอบมอง ก็มองตอบ พร้อมๆ กับที่พัชระถือแก้วเครื่องดื่มมาให้พอดี

“ขอบคุณค่ะ อร่อยจังค่ะ”
พลางยกแก้วในมือเสมอดวงตา หรี่ตามองผ่านแก้วเห็นบุรีอยู่ตรงหน้า “ขออีกแก้วนะคะ”
ฌานที่เดินมากับบุรีจากหน้าร้าน เข้ามายืนด้านหลัง แล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มจากมือของหญิงสาว
“พอได้แล้วจ้ะ เดี๋ยวเมา”
“ฌาน นี่มันน้ำมะนาวเราดีๆ นี่เองนะ กินยังไงก็ไม่มีทางเสียสมดุลร่างกาย”
จากนั้นก็จงใจส่งแก้วเหล้าของตัวเองให้พัชระ “งั้นพัชระลองซิค่ะ”
“ทำไมต้องเป็นพัชระ”
“แหม ก็เค้าหน้าเด็กอย่างเนี้ย แก้วนี้เด็กดื่มก็ไม่เมาหรอก”
คนอื่นหัวเราะขำ แต่พัชระหน้าเจื่อน จนเพื่อนๆ ต้องบอกว่าพัชระไม่ชอบให้ใครพุดว่าเขาหน้าเด็ก
ฟากพัชระก็รู้สึกหัวใจตัวเองเต้นแรง จนกริ่งเกรงว่าว่าจะเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเองไม่อยู่
“ผมขอตัวไปดูลูกค้าโต๊ะโน้นก่อนนะครับ”
พูดจบพัชระก็รีบเดินไป ศรุตาหันมายักคิ้วให้ฌานเหมือนเด็กกำลังสนุก พลอยให้ชายหนุ่มยิ้มขำกับความสนุกของเจ้าหล่อน จากนั้นก็โอบเอวมานั่งชิดตัวเองไว้อย่างห่วงใย ด้วยกลัวว่าจะดื่มมากจนมึน
พัชระที่เดินดูแลแขกที่มุมหนึ่งของร้าน แต่ก็ไม่วายแอบปรายตามองกลับมาที่ศรุตา ที่ตอบสนองอาการนั้นด้วยการสบตาตอบ พลางยกแก้วเหมือนชวนให้ดื่ม พลางค่อยๆบรรจงแตะริมฝีปากกับแก้ว
พัชระมองเสน่ห์ของอันเย้ายวนใจของศรุตาด้วยหัวใจเต้นรัว จนต้องหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะดูอาการออก
ศรุตาเห็นอาการของพัชระ ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บุรีเห็นเธอเหลือบสายตาไปสบกับพัชระนิ่งๆ แต่มีความหมาย ก็แอบคิด

ขณะที่ทุกคนออกมายืนร่ำลากันที่หน้าผับ ศรุตาลอบมองบุรีอย่างพยายามคิดว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับผู้ชายตรงหน้าคนนี้นัก เมื่อฝ่ายถูกมองหันมา หญิงสาวก็โปรยยิ้มให้ อย่างมั่นใจในเสน่ห์ของตนเอง แต่เปล่าเลย.... เพราะบุรีเพียงแต่พยักหน้านิดๆ แล้วหันไปคุยกับคนอื่นต่อ โดยไม่สนใจเธอ ศรุตารู้สึกเสียหน้านิดๆ ที่ถูกมองเมิน
จ้อยหันมากำชับเตือนศรุตาว่าเรื่องถ่ายนิตยสาร ที่ติดต่อไว้ให้เพื่อน ส่วนพัชระก็ยืนมองหญิงสาวอยู่เงียบๆ จนฌานออกปากชวนให้เธอกลับ
“ทรายจะมาอีกเมื่อไหร่ครับ” พัชระอดใจที่จะไม่ถามไม่ได้
“เร็วที่สุด ถ้ารู้ว่ามีคนอยากให้มา”
หญิงสาวตอบพร้อมกับมองพัชระเหมือนมีความหมาย แล้วก็เสมองไปทางฌาน อย่างให้เข้าใจว่าเธอหมายถึงเขา เพื่อกันไม่ให้ฌานสงสัย

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ฌานก็เอ่ยถามศรุตาตรงๆ
“ผมเห็นนะ ตอนในร้านนั่น บอกผมหน่อยสิทราย คุณพยายามจะทำอะไร ?”
หญิงสาวหัวเราะอย่างเห้นเป็นเรื่องขัน
“ถามแปลกจัง ฉันก็กำลังทำความรู้จักกับเพื่อนๆของคุณ สังคมของคุณ แล้วก็พยายามทำให้เขาชอบฉัน”
“อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มย้อนถาม “คนอย่างแซนดี้ ดาลตัน คนอย่างศรุตา พรหมมาสตร์นารายณ์ ต้องใช้ความพยายามด้วยหรือเวลาอยากจะให้ใครชอบ แค่ยืนอยู่เฉยๆ ทุกคนก็ยินดีเดินเข้ามาหาแล้ว”
“ขนาดนั้นเชียว”
ฌานส่ายหน้า อย่างอ่อนใจ เพราะรู้จักอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่ง
“รู้ตัวไหมว่าคุณเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ สว่างจ้าจนแสบตา ใครไม่ระวัง ตัวก็ถูกความร้อนหลอมจนละลายไม่มีเหลือแม้แต่กระดูก ยังไม่ทัน รู้ตัวด้วยซ้ำ”
ศรุตาหัวเราะขำ พลางสอดมือตัวเองจับมือของชายหนุ่ม
“แต่ฌานก็ยังอยู่ ครบถ้วนดี นี่ไง”
แววตาของฌานปวดร้าว ชายหนุ่มถอนใจยาว
“มีอะไรหรือฌาน วันนี้ฌานพูดแปลกๆ ถามเหมือนคู่รักขึ้หึง”
ฌานรู้สึกหงุดหงิด ค่าที่เขาหวงและรักเธออย่างจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นเล่น ปั่นหัวเขาเพื่อสนุกเท่านั้น
“แล้วมันไม่ใช่เหรอ ? ถ้าคุณบอกว่าไม่ใช่ ไหนบอกสิว่าผมอยู่ในฐานะอะไร ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปจากคุณตลอดชีวิต คุณรู้ใจผมทุกอย่านะทราย คุณเล่นกับผมอย่างนี้ทำไม คุณอยากให้มันเป็นยังไง ผมก็เป็นแล้ว ผมไม่เคยแสดงตัวว่าผมยังไงกับคุณเพราะคุณไม่ต้องการ แต่อย่าทำอย่างนี้ต่อหน้าผม อย่าทำอีกเป็นอันขาด”หญิงสาวสะบัดไหล่ตัวเองออกจากมือฌานอย่างหงุดหงิดขึ้นมา
“ฌาน ระหว่างเรามันก็เป็นแบบนี้มาตลอด เราเข้าใจ เรายอมรับข้อเสนอระหว่างกัน ไม่มีข้อแม้ คุณมีเกมของคุณ ฉันก็มีเกมของฉัน แต่ก็คงจะมีซักวันในอนาคตที่เราจะรู้สึกว่าพอเสียที ใช่มั้ยฌาน”
ศรุตาใช้น้ำเสียงอ้อน เพื่อจงใจหล่อเลี้ยงความหวังของเขา
“คุณกับฉันจะรอวันนั้น”
“วันนั้น?” น้ำเสียงของชายหนุ่มหดหู่ อย่างคนที่รู้ว่าไม่มีหวัง
“วันที่เราอยากจะหยุดชีวิตสนุกแบบนี้ พร้อมจะเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกัน”
ฌานมองศรุตา เหมือนจะค้นหาคำตอบว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นจริงได้แค่ไหน
หญิงสาวก็มองชายหนุ่มอย่างอ้อนวอนว่าขอให้รอ

ฌานถอนใจ เพราะสุดท้ายเขาก็ยินยอมให้ ด้วยการเอื้อมไปกอดหญิงสาวแทนคำตอบ และก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ที่คนอย่างศรุตาสามารถควบคุมทุกอย่างไว้ได้

เจ้าหน้าที่โรงแรมช่วยกันยกกระเป๋าของดอนกับดวงตา ที่เตรียมตัวจะกลับอเมริกา ดวงตาหันมาย้ำกับลูกสาวว่าให้เวลาอยู่ที่เมืองไทยไม่เกิน 3 เดือน หญิงสาวรับปากผู้เป็นมารดา แล้วโผเข้ากอด

“รักแม่นะคะ”
ดวงตากรีดน้ำตานิดหนึ่ง “รักลูกนะ ไปลาแด๊ดดี้”
ดอนกอดลาหญิงสาวที่รักเสมือนลูกแท้ๆ พร้อมกับสอดเช็ค 1 ใบใส่มือ
“ขอบคุณค่ะ หนูจะใช้เงินของแด๊ดดี้ ทำให้ mission ของหนูสำเร็จ”

ภายในห้องรับแขกที่บ้านศก
ทนายนั่งอยู่โซฟา โดยมีเสาวณีย์นั่งเคียงคู่กับศก ศรวณีย์นั่งอยู่ข้างๆ ศรุตานั่งถัดห่างออกไป
เสาวณีย์จับมือศกแล้วยิ้มให้ลูกสาว แสดงความเป็นครอบครัวเดียวกัน จงใจให้ลูกเลี้ยงรู้สึก
แยกออกไป
หญิงสาวเหลือบมองความเป็นครอบครัวของบิดา ด้วยความรู้สึกเจ็บ แต่พยายามกักเก็บไว้ เพราะรู้ดีว่าเสาวณีย์กำลังรอดูอาการของเธออยู่
ทนายเปิดพินัยกรรมอ่าน
“พินัยกรรมฉบับนี้ทำเมื่อ.... ข้าพเจ้าคุณหญิงศิริ พรหมาตร์นารายณ์ ขอทำคำสั่งครั้งสุดท้ายของ ข้าพเจ้าไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑. เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว ข้าพเจ้าขอยกทรัพย์ที่ยังเหลือเป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้า ที่ดิน 2 แปลงขนาด 1 ไร่ที่จังหวัดปทุมธานีให้แก่นายศก พรหมาตร์นารายณ์ ส่วนบ้านพรหมาตร์นารายณ์นั้น ข้าพเจ้าได้ มอบให้นายศก พรหมาตร์นารายณ์ ในขณะที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่เรียบร้อยแล้ว”
ศกพยักหน้ารับรู้
“ส่วนที่ดิน 5 แปลง อันได้แก่ ที่นนทบุรี พัทยา ชลบุรี สมุทรสงคราม และนครปฐมอย่างละ 1 ไร่ รวมทั้งที่ดินริมคลองด้านข้างบ้านพรหมาตร์นารายณ์ซึ่งมีการปลูกบ้านให้เช่า ข้าพเจ้ามอบให้ นางเสาวณีย์ พรหมาตร์นารายณ์ เรียบร้อยแล้ว”
เสาวณีย์ปรายตามองศรุตาเหมือนจงใจเย้ย
“ส่วนสังหาริมทรัพย์อันได้แก่เงินในบัญชีของข้าพเจ้าจำนวน 1 ล้านบาท และทองคำน้ำหนัก 20 บาท ที่อยู่ในตู้เซฟห้องนอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบให้นางสาวศรวณีย์ พรหมาตร์นารายณ์”
ศรวณีย์เหลือบมองพี่สาวต่างมารดาอย่างเป็นห่วงความรู้สึก
“แล้วพี่ทรายกับป้าดวงล่ะคะ ? คุณย่าให้อะไร ? ถ้าคุณย่าไม่ให้อะไร พี่ทรายเอาของศรไปก็ได้ค่ะ ศรยกให้พี่ทราย”
เสาวณีย์รีบดุ “ลูกศร”
ศรุตาไม่พูดอะไร แต่มีแววตายิ้มเยาะมองตอบกลับไปในความหมายว่า
“เศษเงินแค่นั้น ฉันไม่เอาหรอก”
ทนายอ่านต่อ
“ส่วนเครื่องเพชร 1 ชุด มรกต 1 ชุด รวมทั้งบ้านและที่ดินริมคลองติดกับบ้านพรหมาตร์นารายณ์ ข้าพเจ้าขอบให้นางสาวศรุตา พรหมาตร์นารายณ์”
เสาวณีย์ปรายตามองด้วยความรู้สึกว่าเหนือกว่าศรุตา
“ข้าพเจ้าขอรับรองว่า ในเวลาที่ทำพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ทุกประการ ข้าพเจ้าได้อ่านและเข้าใจข้อความนี้ดีตลอดแล้ว คุณหญิงศิริ พรหมาตร์นารายณ์”

หลังจากที่ทนายเดินทางกลับไปแล้ว ศรวณีย์ก็เดินเข้าไปจับมือยินดีกับศรุตา“คุณย่ายกบ้านริมน้ำให้พี่ทรายแล้ว พี่ทรายจะกลับมาอยู่กับเราไหมคะ?”
หญิงสาวนิ่งแล้วเหลือบมองอาการของมารดาเลี้ยง
“ต้องถามคุณอาเสาว์ว่าถ้าพี่กลับมา จะรบกวนคุณอารึเปล่า ?”
ศกกับศรวณีย์ มองไปทางเสาวณีย์ ที่มองอย่างรู้ทันว่าศรุตากำลังพูดเหน็บ จึงแส้รงปั้นหน้ายิ้ม
“ไม่รบกวนอาหรอก แต่ทรายจะลำบากเปล่าๆ เพราะตอนนี้ที่บ้านริมน้ำ มันกลายเป็นที่ดิน ตาบอดไปแล้ว”
ศกหันกลับมามองภรรยาอย่างไม่พอใจ
“อะไรนะคุณเสาว์ นี่คุณขายที่ตรงนั้นไปแล้วเหรอ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ให้ขาย บ้านริมน้ำก็ไม่มี ทางสาธารณะเข้าออก แล้วทรายจะอยู่ยังไง”
ศรุตาปรายตามองมารดาเลี้ยง แล้วพูดนิ่งๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะที่ตรงนั้นทรายซื้อไว้เอง”
เสาวณีย์ชะงักอย่างคาดไม่ถึง หญิงสาวได้ทีขยี้ต่อ
“ทรายต้องขอบพระคุณคุณอาเสาว์นะคะที่ประกาศขายที่ดินนั่น ทรายถึงได้มีโอกาสคิดที่จะ ขยายบ้านเพิ่ม”
ศรวณีย์ยิ้มดีใจที่พี่สาวต่างมารดาจะมาอยู่ด้วย เสาวณีย์มองอาการลูกสาวอย่างขัดใจ พลางรีบตัดบทเป็นเชิงสั่งให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะพัชระกำลังจะมารับ ศรวณีย์พยักรับคำ แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่าง เสียดายที่ไม่ได้คุยกับพี่สาวต่างมารดาต่อ
“ทรายขอไปดูบ้านของทรายก่อนนะคะ”

ศรุตาเดินออกไป เสาวณีย์มองตามอย่างแค้นเคือง

ศรุตาเดินทอดน่องจะไปทางบ้านริมน้ำ ด้วยความมั่นใจว่าเสาวณีย์ต้องตามมา

“ถ้าเธออยากได้นายหน้าขายบ้าน อาจัดการให้ได้นะ”
หญิงสาวค่อยๆหันมายิ้มให้
“สมเป็นคุณอาเสาว์จริงๆ คนอื่นดูทรายไม่ออก มีแต่คุณอาที่ดูออก อย่างนี้ที่คนไทยเรียกว่า ผีเห็นผีใช่ไหมคะ ?”
เสาวณีย์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะๆ
“ก็ได้ข่าวว่าแม่เธอได้สามีใหม่ ได้ดีอยู่เมืองนอก อาก็เลยคิดว่าเธอคงไม่ต้องการบ้านเก่าอีก”
“ก็ไม่แน่ค่ะ ทรายเคยบอกเพื่อนทรายว่าทรายรักบ้านหลังนี้มาก เพราะมันมีเรื่องราวที่ผูกและ พันทรายไว้อยู่”
ศรุตาตจงใจพูดเหน็บ แล้วมีหรือที่คนอย่างเสาวณีย์จะไม่รู้
“แต่ฉันว่าเธอไม่เหมาะกับที่นี่”
“ทำไมล่ะคะ” หญิงสาวย้อนถาม “ในเมื่อทรายก็เป็นพรหมาตร์นารายณ์คนนึง เป็นลูกพ่อ เหมือนกัน อีกอย่างทรายก็จะได้อยู่ใกล้น้อง พ่อบอกว่าน้องเรียนไม่ค่อยดี อยากให้ทรายสอนให้ศรเก่งได้สักครึ่ง ของทราย”
เสาวณีย์รู้สึกโดนหยามว่าลูกสาวตัวเองนั้นโง่กว่าศรุตาที่เป็นลูกเลี้ยง
“ไม่ต้อง ลูกฉัน ฉันดูแลเองได้”
ศรุตายิ้มเยาะ “ทรายก็แค่อยากช่วย เพราะเห็นที่สนามบิน คุณอาบอกว่าอยากให้น้องเก่งเหมือน ทราย”
เสาวณีย์ชะงักเมื่อโดนหญิงสาวเอาคำพูดของตัวเองมาย้อนให้เจ็บแสบ
“เอาเป็นว่าทรายยังไม่ตัดสินใจตอนนี้ ขอทรายดูบ้านก่อน และปรึกษาสถาปนิกก่อน ขอตัวนะคะ”พูดพลางจะเดินไป แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจหันกลับมา
“ได้ข่าวว่าคู่หมั้นของลูกศรเป็นสถาปนิกเหรอคะ? ถ้าคุณอาอยากช่วยทราย งั้นช่วยแนะนำ เขาให้ทรายรู้จักหน่อยนะคะ นอกจากได้งาน ทรายอยากทำความคุ้นเคยกับว่าที่น้องเขย ขอบคุณค่ะ”
ศรุตาเดินเชิดออกไปด้วยท่าที่ระหง เสาวณีย์มองตามอย่างรู้ทัน
“ฉันรู้ว่าแกคิดอะไร ฉันไม่ยอมให้แกยุ่งกับคนในครอบครัวฉันเด็ดขาด”

ศรุตายืนอยู่หน้าบ้านริมน้ำพร้อมกับยิ้มสะใจ ที่ได้พูดจาเชือดเฉือนเสาวณีย์ ป้าทิศเดินจาก บ้านใหญ่ มองเธออย่างงงๆ
“มาหาใครคะคุณ ?”
ศรุตามองป้าทิศ แล้วยิ้มดีใจ รีบวิ่งเข้าไปกอด
“ป้าทิศจ๋า จำทรายไม่ได้เหรอจ๊ะ ทรายลูกแม่ดวงตาไงจ๊ะ”
ป้าทิศมองหญิงสาวตรงหน้า อย่างทั้งอึ้ง ทั้งดีใจ
“คุณทราย คุณทรายของป้า ไม่เจอตั้งสิบๆปี สวยขึ้นจนป้าจำไม่ได้เลย”
“ทรายคิดถึงป้าทิศที่สุดเลย” ศรุตายิ้มอ้อน
“ป้าก็คิดถึงคุณทรายค่ะ เห็นคุณศกว่าวันนี้เปิดพินัยกรรมของคุณท่าน ป้าก็รอว่าคุณดวง กับคุณ ทรายจะมาไหม แต่รอตั้งนานก็ไม่เห็น จนคิดว่าคงไม่มา เลยไปเก็บผักกะเฉดข้างบ้านริมน้ำโน้น เห็นเมื่อวานคุณศก คุยฟุ้งว่าคุณทรายอยู่เมืองนอก แล้วนี่คุณดวงไม่มาด้วยเหรอคะ”
หญิงสาวตอบนิ่งๆ
“ไม่มาค่ะ แม่ฝากกราบป้าทิศมาด้วย เพราะคงไม่มีโอกาสมาด้วยตัวเอง ป้าทิศคงเข้าใจนะคะ วันนั้นที่แม่ก้าวจากบ้านนี้ไป แม่ลืมทุกอย่างที่นี่หมดแล้ว”
ป้าทิศถอนใจอย่างเข้าใจ
“แล้วคุณทรายล่ะคะ.ลืมรึยัง ?”
หญิงสาวแสร้งยิ้ม
“ลืมสิจ๊ะ ทรายเองก็ลืม ไม่อย่างนั้นทรายจะกลับมาอีกได้ยังไง แม่เขาไม่กลับมาเพราะเขาลืมแล้ว และต้องการลืมให้สนิท ส่วนทราย ทรายคิดว่าตัวเองลืมจนสนิทแล้ว ถึงกล้าพอที่จะกลับมา คนเรามีวิธีลืมที่ ต่างกัน”
ป้าทิศมองหญิงสาวอย่างพยายามค้นหาคำตอบลึกๆ ในใจ

บุรีกับฌานนั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างมีรสนิยม
“ตกลงแบบคอนโดที่นายวางแผนจะเสนอป๋านาย นายจะทำยังไงก็ได้ที่ให้บ้านของพ่อ นายยังอยู่ ใช่ไหม ?”
ฌานพยักหน้า “ใช่ ! นายพอจะมีไอเดียไหมว่าจะออกแบบยังไง ?”
“ไอเดียน่ะพอมี แต่นายต้องคุยกับป๋านายให้ดีๆนะ บอกตรงๆฉันสังหรณ์ ว่างานนี้จะไม่ง่าย”
ฌานยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
“ฉันทำแทบทุกงานให้ป๋าสำเร็จหมด งานนี้ฉันก็มั่นใจ”
จากนั้นฌานก็พูดถึงความประสงค์ว่า ตั้งใจจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้เป็นเรือนหอสำหรับเขา และศรุตาบุรีชะงัก พลางมองหน้าฌาน แล้วถามตรงๆ
“เขายอมแต่งกับแกแล้วเหรอ ?”
ฌานหน้าสลด “ยัง ฉันว่าฉันเจอผู้หญิงมามาก เข้าใจผู้หญิงก็เยอะ แต่กับทราย ฉันบอกตรงๆ ว่าบางทีฉันเหมือนเข้าไปไม่ถึงใจเขา มันเหมือนกำแพงบางอย่างกั้นอยู่ หรือเป็นเพราะเรื่องนั้น”
“เรื่องอะไร?”
“แกเชื่อเรื่องรักแรกไหมวะ ?”
บุรีถึงกับชะงักงัน
“ตอนฉันขอเขาแต่งงานแรกๆ เขาจะปฏิเสธด้วยคำตอบว่าเขามีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว เป็นรักแบบ At First sign”
บุรีที่ตีความว่าศรุตามีผู้ชายอีกคนที่อยู่ในใจ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว“ถ้าเขามีผู้ชายอีกคนในใจ แล้วเขาก็ยังมาคบกับนายเนี่ยนะ แถมยังมี...”
บุรีหวนนึกถึงท่าที่ของศรุตาที่มีต่อพัชระ
“บางทีที่เขายังไม่ตอบรับคำขอแต่งงานของนาย อาจเป็นเพราะโชคชะตาอยากให้นายคิดอีกที ก็ได้มั้ง”
ฌานมองอาการของบุรีอย่างนึกฉงน
“นี่นายหงุดหงิดเหรอ ?”
บุรีรีบปด “เปล่า ฉันก็แค่ไม่ชอบอะไรที่มันไม่ถูกไม่ควร ฉันมีงานต้องทำต่อ ฉันกลับออฟฟิศ ก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน”

บุรีลุกขึ้นเดินออกจากร้านไป ฌานมองตามอย่างงงในท่าที
 
อ่านต่อหน้า 2

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 2 (ต่อ)

พัชระเดินอ้อมจากข้างๆตึกใหญ่ ไปตามทางที่จะไปบ้านริมน้ำของศรุตา ฟากหญิงสาวก็ก้มหน้าก้มตาอย่าวครุ่นคิด เดินตรงมาเรื่อยๆ ด้วยกิริยางามสง่าดุจนางหงส์

พัชระเพ่งมอง ด้วยใจเต้นระทึก ดวงตา 2 คู่ มองสบกัน
เสาวนีย์ที่เดินผ่านแล้วเห็นโดยบังเอิญ ถึงกับหยุดมองอย่างจับสังเกต
“ไม่คิดว่าจะพบคุณ” เป็นคำทักทายแรกที่หลุดจากปากของพัชระ
“ทำไมล่ะ วันนี้อ่านพินัยกรรมของคุณย่า ฉันก็ต้องมาแทนแม่ คุณรู้อยู่แล้วนี่”
พูดพลางเดินเข้าไปใกล้
“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าฉันจะมาวันนี้”
พัชระยืนอึ้ง รู้สึกหวั่นไหวกับเสน่ห์ของหญิงสาวตรงหน้า
“พบคู่หมั้นรึยัง”
“ทราย ที่ผมหมั้นกับลูกศรเพราะผู้ใหญ่จัดการ”
หญิงสาวพยักหน้า
“อ๋อ ที่เขาเรียกว่าคลุมถุงชน จะให้เชื่อหรือว่าคุณยอม อ๋อ แต่ก็อาจไม่แปลกหรอก เด็กน้อย”
“ทราย” น้ำเสียงของพัชระเข้มขึ้น “ผมไม่.... เด็กน้อย อย่าเรียกผมอย่างนั้นอีก”
“ฉันดีใจแทนลูกศร ที่ได้ครอบครองสิ่งดีๆอย่างนี้”
ศรุตาจงใจยิ้มลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย

เสาวนีย์เดินหงุดหงิดเข้ามาที่เห็นพัชระอยู่กับศรุตา ส่วนศกก็เตรียมตัวจะออกไปทำงาน จังหวะนั้นศรุตาก็เดินเข้ามา ศกหันไปยิ้มให้ลูกสาวคนโต
“ทรายไปไหน ให้พ่อไปส่งมั้ยลูก”
“พัชระบอกว่าเขาจะไปส่งลูกศรที่มหาวิทยาลัย ทรายขอไปด้วย”
เสาวนีย์ได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไป ยิ่งเมื่อรู้ว่าศรุตากำลังเตรียมซ่อนบ้าน เพราะตั้งใจจะกลับมาอยู่เอง ก็ยิ่งเครียดหนัก
“พี่ทราย”
ศรวณีย์เดินลงมาก็รีบทักพี่สางต่างมารดา หากอีกฝ่ายกลับทำหน้าเฉยเมย แต่พอเหลือบเห็นว่าเสาวนีย์มองมา ก็รีบเปลี่ยนกิริยาเป็นยิ้มหวาน
“ศร เสร็จแล้วหรือจ๊ะ”
“ค่ะ ศรไปนะคะพี่ทราย ไม่ทราบพี่พัชมารึยัง”
“มาแล้ว” ศรุตารีบบอก พร้อมเดินตามน้องสาวต่างมารดา “พี่จะติดรถไปด้วย”
ศรวณีย์ยิ้มดีใจ
“จริงหรือคะ ดีจังคะพี่ทราย ศรจะอวดพี่ทรายกับเพื่อนศร”
สองพี่-น้องต่างมารดา เดินลับไป ศกมองตามพลางยิ้มละมัย เสาวนีย์มองอย่างหมั่นไส้
“คุณศก ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ฉันไม่อยากให้ลูกสาวคุณมาอยู่ที่นี่”

ศรวณีย์เดินเร็วๆ มาพาพัชระที่ยืนรออยู่ที่รถ แต่อีกฝ่ายกลับมองเลยเข้าไปในบ้าน จนศรุตาเดิน ออกมา ทั้งคู่สบตากันเต็มๆ
“เดี๋ยวศรแนะนำให้พี่พัชรู้จักพี่สาวของศร”
“พี่รู้จักแล้ว พบเมื่อวันเปิดร้านไวน์”
ศรวณีย์แปลกใจเล็กน้อย “พี่ทรายไปด้วยเหรอคะ”
“ใช่ เขาเป็นเพื่อนพี่ฌาน”
ศรุตาเดินมาถึงที่รถพอดี พัชระหันมองความสวยของเธออย่างเต็มตา
“พี่สาวศรสวยที่สุด พี่พัชว่ามั้ยคะ”

พัชระกับศรุตามองหน้ากัน

ศกยืนนิ่ง แล้ววางทุกอย่างในมือลงที่โต๊ะกลางในห้องรับแขก ก่อนจะหันมาทางเสาวนีย์

“คุณเกลียดทรายหรือคุณเสาว์”
เสาวณีย์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
“ทำไมคุณถามอย่างนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นอะไรคือเหตุผล”
ผู้เป็นภรรยาทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าอัดอั้นตันใจ
“มันคือความสังหรณ์ ฉันสังหรณ์ว่าจะยุ่งยาก จะเป็นเรื่องราวที่น่าเสียใจต่อไป”
“ผมไม่เข้าใจ คุณจะให้ผมเข้าใจว่ายังไงเนี่ย”
เสาวณีย์ถอนใจยาวมองเหม่อไปข้างนอก อย่างรู้สึกอัดอั้นเหลือประมาณ
“ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เขาหายไปนานมาก วันหนึ่งเขากลับมา จะมารักใคร่อะไรเรานักหนา
พี่น้องไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีมันไม่มีทางที่จะต้องมารักกันจี๋จ๋าทันทีหรอก มันก็ต้องค่อยๆเป็นไป”
“คุณไม่เห็นหรือว่าศรเองก็รักพี่สาวมาก” ศกย้อนกลับ
“ศรเป็นเด็กอ่อน และก็ไม่เป็นคนเสแสร้ง”
“แล้วทรายล่ะ คุณคิดว่าทรายเสแสร้งเหรอ”
เสาวณีย์ถอนหายใจ
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณอย่าหาเรื่องได้มั้ย ฉันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสงสัยทราย มันเกิดขึ้นเอง คุณเข้าใจมั้ยที่ฉันว่าเป็นความสังหรณ์”
“สังหรณ์มันก็มาจากอคตินั่นแหละ” ศกสวนกลับทันควัน
“คุณศก ฉันแทบจะไม่รู้จักทราย ตอนเขาเด็กๆ เขาก็อยู่ส่วนเขา แม่เขาฉันก็ไม่เคยสนทนาวิสาสะด้วย ฉันจะมีอคติอะไรกันเขาล่ะ คนไม่รู้จักกันจะมีอคติได้ไง”
เสาวณีย์เริ่มพูดเสียงดัง พร้อมกับอารมณ์แรงขึ้น แต่ก็พยายามสงบใจ
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าฉันสังหรณ์ ขอให้คุณเชื่อฉันอย่าให้ทรายมาอยู่บ้านเล็ก แนะนำให้เขาขายไป ให้เขากลับไปอเมริกา เขาเจริญรุ่งเรืองที่นั่นเขาจะมาจ่อมจมอยู่ที่นี่ทำไม”
ศกมองจ้องหน้าภรรยาย่างพยายามค้นหาความนัย
“คุณเสาว์ ผมจะลืมทั้งหมดที่คุณพูด ผมจะไม่พูดอะไรกับทรายทั้งสิ้น ทรายโตแล้ว เขาตัดสินใจได้เองว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ที่สำคัญคุณลืมแล้วหรือว่าบ้านนั้นเป็นบ้านของแม่เขา”
เสาวนีย์โดนตอกกลับก็ถึงกับนิ่งงัน

พัชระจอดรถที่หน้ามหาวิทยาลัย ศรวณีย์หันมาไหว้ขอบคุณ และหันกลับมาสวัสดีศรุตาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลัง จากนั้นก็ลงจากรถ
คล้อยหลังศรวณีย์ พัชระก็หันหน้ามาถามศรุตา
“ทราย ไม่มานั่งข้างหน้าเหรอครับ”
“ที่ตรงนั้นเป็นที่ของลูกศร ทรายนั่งตรงนี้ดีกว่า” หญิงสาวแสร้งพูดอย่างเจียมตน
“ผมขอให้คุณมานั่งข้างหน้า”
หญิงสาวแอบยิ้มในหน้า ทว่ายังนิ่งอยู่ จนพัชระต้องเร่งซ้ำ
“อยากรู้ว่าพัชจะถึงขนาดมาอุ้มทรายไปมั้ย”
พัชระมองจ้องเหมือนจะอ่านให้ถึงหัวใจ อีกฝ่ายจ้องตอบอย่างท้าทายเละเชิญชวน

ที่ออฟฟิศของพัชระซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับบุรี
พนักงานทุกคนกำลังง่วนกับงานตรงหน้า ติ่ง กี้ และจ้อยนั่งปรึกษากันตรงโต๊ะเขียนแบบ ข้างๆ ตัว มีแปลนบ้านของฌานวางอยู่ บุรีเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“กี้ แกต้องคุยกับฌานเขาเอง ไม่ใช่มาถามจากไอ้พวกเนี้ย เค้าเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์นะ”
จากนั้นก็หันมาถามหาพัชระ จังหวะเดียวกับที่คนที่ถูกถามถึงเปิดประตูเข้ามา แล้วรีบบอก
“พี่บุรีครับ มีแขกมาขอพบ”
“พี่ต้องไปแล้วเนี่ย” บุรีตั้งท่าจะออกไปจริงๆ
“พี่บุรี ออกไปก็เจอเขาครับ”
“อ้าว เขามาถึงแล้วเหรอ”
ศรุตาก้าวเข้ามาทันได้ยินคำถามพอดี “ถึงแล้วค่ะ”
ท่วงท่าที่งามสง่าของเธอ ที่ยืนอยู่ที่ประตู กระตุ้นให้คนทั้งออฟฟิศ เหลียวไปดูเป็นตาเดียวกัน
“ผมต้องขอโทษนะครับทราย ต้องไปทำงานข้างนอก คุยกับใครดี ใครว่างมั่ง”
ยังไม่ทันทีใครจะตอบ ศรุตาก็พุดสวนขึ้นมา
“ทรายไปกับบุรีแล้วกัน คุณเสร็จงาน ทรายจะพาคุณไปดูบ้านที่จะให้ออกแบบซ่อม”
“วันนี้ไม่น่าจะได้ครับ ผมยังไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ต้องไปไกลถึงสุขุมวิท” บุรีพยายามเลี่ยง
“คอยได้ค่ะ ทรายไม่รีบ มีเวลาทั้งวัน”
พัชระพูดแทรกขึ้นมา
“ทรายไม่คุยกับสถาปนิกที่นี่ก่อนเหรอครับ ติ่งหรือจ้อยหรือผมก็ได้”
ศรุตาส่ายหน้าเบาๆ “ทรายอยากคุยกับบุรีค่ะ”
“เอาอย่างนี้” บุรีตัดบท “คุยกับผมก็ได้ เพราะคุณเป็นคนเลือก ถึงแม้ว่าออฟฟิศน่าจะตัดสินได้ว่าสถาปนิกคนไหนควรคุยกับคุณ แต่ไม่เป็นไร จ้อยทำนัดหมายกับคุณทราย ดูวันว่างของฉัน”
พูดจบก็จะเดินออก
“ขอทรายไปกับบุรีนะ อย่างน้อยจากสุขุมวิท ทรายก็กลับโรงแรมทรายใกล้นิดเดียว”
บุรีมองจ้องหญิงสาว พัชระรีบบอก
“ทรายครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ศรุตาสวนกลับนิ่มๆ
“พัชระ ที่ทรายจะไปกับบุรีเพราะเหตุผล 3 ข้อ ข้อแรก ทรายอยากคุยกับบุรี ทรายเลือกบุรีให้เป็น consultant ของทราย ข้อ 2 ที่ที่บุรีจะไปอยุ่สุขุมวิท ทรายก็อยู่โรงแรมแถวสุขุมวิท ทำไมพัชระต้องขับรถเข้าเมืองไปส่งทราย และข้อ 3 ตอนที่นั่งรถไปกับบุรี ทรายก็จะคุยเรื่องงานซ่อมบ้านทราย ไม่เสียเที่ยว ไม่เสียเวลา”
ทุกคนนิ่งอึ้ง มองบุรี
“ทรายไปกับบุรีได้มั้ยคะ”
บุรียิ้มอ่อนโยน “ก็น่าจะไปได้นะ แต่เผอิญผมเตรียมงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ตอนนั่งรถไปผมจะใช้เวลานั้นคิดตอนจบของงานผม ผมถึงอยากขับรถไปคนเดียว”
ศรุตามองท่าทีที่จงใจบ่ายเบี่ยงของบุรีอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน
“โอเคค่ะ.งั้นก็ไปได้ อย่างนั้นยิ่งดีใหญ่ เพราะทรายจะนั่งรถด้านหลัง จะทำตัวเป็นผู้โดยสารที่ดี จะไม่พูดแม้แต่คำเดียวค่ะ”

เจอไม้นี้เข้า บุรีถึงกับพูดอะไรไม่ออก

คล้อยหลังที่รถของบุรี ที่มีศรุตานั่งอยูที่เบาะหลังเคลื่อนตัวออกไป พวกจ้อย ติ่ง กี้ ก็จับกลุ่มวิพากษ์กันอย่างสนุกปาก

ประเดิมด้วยกี้
“ในฐานะเป็นผู้หญิง ฉันว่าเราควรจะวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมคุณทราย เขาถึงอยากจัง และพยายามจะไปกับพี่บุจนออกนอกหน้าซะขนาดนั้น ตามมารยาทเขาจะให้เราออกแบบซ่อมบ้านให้ เขาควรจะคุยกับ คนที่ออฟฟิศ ให้เราเสนอให้ อย่างเช่นพัชเงี้ยะ เขามากับพัชนี่”
ติ่งพยักหน้าเห็นด้วย
“เออ จริง เขาไม่ได้คุยกะแกเหรอพัช”
“คุยนิดหน่อย ฉันไม่เห็นแปลกอะไรเลย เขาอยากคุยกับเบอร์หนึ่งของออฟฟิศก่อน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา อย่าลืมว่าเขาเป็นลูกค้า เขามีสิทธิ์เลือก ตอนนี้ถ้าวัดกันตามสถานภาพ พี่บุรีย่อมเจ๋งสุดจริงมั้ย”
พัชระตอบเรียบๆ แล้วก็เดินออกไปเลย
“สำหรับฉันนะ ฉันว่าแปลก ทำไมต้องตามพี่บุรีขนาดนั้น” ติ่งพูดขึ้นมาบ้าง
“นั่นดิ ตามมารยาท พี่บุเขาก็ปิดกั้นหมดทุกทางแล้ว”
พัชระได้ยินที่กี้พูด ก็ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจศรุตา

บุรีพยายามตรึกตรอง เหมือนกำลังค้นหาอุปนิสัยที่แท้จริงของศรุตา ทั้งคู่สบตากันผ่านกระจกหน้ารถ
“ทราย คุณทำสำเร็จ”
“เรื่องอะไร” หญิงสาวที่นั่งที่เบาะหลังย้อนถาม
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ไง คุณชนะ เพราะคุณอยากชนะ นี่ไงชนะแล้ว”
ศรุตาแสร้งตีหน้าซื่อ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือเหตุการณ์อะไร”
“คือเหตุการณ์ที่คุณมานั่งอยู่บนรถผมเพื่อไปที่ไหนสักแห่งที่คุณยังไม่รู้ว่าคือที่ไหน?”
หญิงสาวหัวเราะ “ดีใจที่บุรีรู้จักทราย”
“แค่นี้ คุณคิดว่าผมรู้จักคุณแล้วหรือ”
ศรุตาขยับตัวจะเปิดประตู “อย่างน้อยก็วันนี้ ต่อไปก็คอยดูกัน”
“ผมคิดว่า ผมไม่อยากรู้จักคุณมากกว่านี้นะทราย”
“ทำไม” หญิงสาวย้อนถาม นัยน์ตาวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณอาจจะซับซ้อนเกินไป ผมชอบคนปากกับใจตรงกัน”
คำตอบชัดเจนและซัดตรงของบุรี ทำเอาศรุตาถึงกับอึ้งไปทันที ก่อนจะเสหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อน
“บุรีช่วยจอดรถตรงนี้เลยค่ะ ทรายพักที่นี่พอดี ขอบคุณนะคะ”
พูดพลางขยับตัวเปิดประตูลงจากรถ แล้วจงใจปิดประตูอย่างค่อยๆ ก่อนจะเดินจากไป
บุรีนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม

ศรุตาเดินเข้าโรงแรม ด้วยท่วงท่าที่สง่าและมั่นใจ ในใจนึกลุ้นว่าบุรีจะหันมาดูหรือไม่
แต่คำตอบคือ....บุรีออกรถขับตรงไป โดยไม่ได้หันมาดูแม้แต่นิดเดียว

ศรุตานั่งจมอยู่ในโซฟาตัวหนานุ่มในห้องพัก ครุ่นคิดถึงคำพูดของบุรีเมื่อครู่ที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ ครู่หนึ่งเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวลุกไปดู ก่อนจะเปิดประตูให้
“ฌาน ไปไหนมา”
หญิงสาวถาม พร้อมกับโทรศัพท์มือถือดังรัวขึ้น
“จะมาบอกว่าผมจะไม่อยู่เมืองไทยอาทิตย์หนึ่ง ไม่รับโทรศัพท์เหรอ”
“ช่วยรับหน่อย แม่โทรมา บอกว่าฉันไม่อยู่”
ฌานส่ายหน้า “ไม่เอา ถ้าคุณจะโกหก ก็ทำเอง”
“จะไปไหนตั้งอาทิตย์”
“สิงคโปร์ ป๋าเรียกตัวด่วน ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็เลยจองตั๋วไว้วีคหนึ่งก่อน ทราย เป็นอะไร”
หญิงสาวยิ้มอย่างพยายามให้ปกติ ฌานเข้ามาตรงหน้า จับมือเธอไว้ทั้งสองมือ
“อยากเล่ารึเปล่า”
หญิงสาวจ้องหน้าฌาน แล้วส่ายหน้านิดๆ
“อยากเล่าเมื่อไรก็บอกล่ะกัน ได้ยินว่าจะซ่อมบ้าน ใช้บริษัทของบุรีใช่มั้ย มีอะไรปรึกษาเขา เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม และเป็นคนดีมาก”
ศรุตาฟังแล้วนิ่งไป

ที่บ้านฌานที่สิงค์โปร์
อลัน จาง กำลังชกมวยกับกระสอบทรายอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับกระสอบทรายเป็นฌาน“แกไม่มีทางเอาชนะฉันได้หนอกชาร์ลส์”
หลังซ้อมมวยเสร็จ ลิซ่าก็เดินเข้ามา
“อลันที่รัก แปลกใจหรือที่เจอฉันที่นี่”
“คุณมาทำไม ผัวเก่าของคุณยังไม่มาหรอก มาพรุ่งนี้นู่น”
ลิซ่าไม่ฟัง เดินเข้าประชิดตัว ก่อนจะเงยหน้าและจูบอลันอย่างดูดดื่ม

“ผมไปนะ”
ฌานสวมกอด ก้มลงแตะปากกับปากหญิงสาวเบาๆ แล้วเดินไป
“พรุ่งนี้กี่โมง” ศรุตาถามไล่หลัง
“บ่ายๆ เช้าต้องไปดูบ้านกับบุรี”

หญิงสาวตาวาว
 
อ่านต่อหน้า 3

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 2 (ต่อ)

พ่อกับแม่ของบุรี เห็นลูกชายหน้าเครียด ก็อดที่จะออกมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ผมไม่สบายใจตัวผมเองครับ คือผมพูดจาไม่ค่อยดีกับลูกค้า”
พ่อกับแม่ขมวดคิ้ว ก่อนที่แม่จะถามต่อด้วยน้ำเสียงอาทร
“บุรี ไม่ใช่เรื่องซีเรียสใช่มั้ย ลูกค้าสำคัญเหรอ”
“ไม่เชิงครับแม่”
“แม่รู้บุรีเป็นคนถนอมน้ำใจคน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ลูกก็ไม่อยากพูดว่าให้คนเจ็บใจ แต่บางครั้งต้องคิดดูให้ดี ให้ยาแรงไปเลย ถ้าหายก็ดีกว่าเลี้ยงไข้ไปวันๆ”
บุรียิ้มรับคำปลอบใจของแม่ด้วยสายตาอ่อนโยน ผู้เป็นแม่ตบไหล่ลูกชาย แล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับพ่อ
บุรีมองตาม แล้วกลับมาจ่อมจมอยู่กับความคิดเดิม คือสงสารศรุตา แต่ก็ไม่คิดว่าที่ตัวเองพูดนั้น แรงเกินไป
“คุณอาจจะซับซ้อนเกินไป ผมชอบคนปากกับใจตรงกัน”

ฟากหญิงสาว ก็กำลังคิดถึงเขาอยู่เช่นกัน
“คนอย่างศรุตาไม่เคยแพ้ใคร”
เธอรำพึงกับตัวเอง แล้วหยิบมือถือมากด
“ฮัลโหลพัชระ ทรายเปลี่ยนใจแล้วล่ะ อยากให้คุณมาทำบ้านฉันแทนบุรี”
ศรุตายิ้มเจ้าเล่ห์กับแผนเอาชนะบุรี

บุรียืนจ้องมองรูปจิ๊กซอว์ “Starry Night” ที่ใส่กรอบไว้อย่างดี ด้วยสายตาแน่วนิ่ง เสียงของเด็กหญิงศรุตาเมื่อครั้งเยาว์วัยยังก้องในหู
“พี่ชื่อ “พี่บี” เหรอคะ”
“ทรายกลับมาหา “พี่บี” ได้เหรอคะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เพราะขณะที่เขาจดจ่อรอศรุตากลับมา ครั้นพอเธอกลับมาจริงๆ กลับจำเขาไม่ได้ ซ้ำร้ายยังโปรยเสน่ห์ผู้ชายไปทั่ว
“น้องทรายคงลืม “พี่บี” คนนี้แล้ว ไหนๆก็ลืมกันแล้ว ก็ดีที่พูดแบบนั้น จะได้ไม่ต้องมายุ่งกันอีก”
พลันมือถือของบุรีก็ดังขึ้น เจ้าตัวขมวดคิ้วอย่างสงสัย ด้วยหน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นตา
“สวัสดีครับ ใช่ครับ ผมบุรีพูดครับ”
“ฉันเสาวณีย์ค่ะ แม่ของลูกศร เห็นพัชระบอกว่าคุณเป็นทั้งอาจารย์และเจ้าของบริษัท ที่เขา ทำงานอยู่”
เสาวณีย์ที่เลี่ยงมาคุยตามลำพังตอบกลับไปทางปลายสาย
“ใช่ครับ คุณเสาวณีย์มีอะไรรึเปล่าครับ ?”
“คือฉันได้ข่าวว่าพัชระจะปรับปรุงบ้านริมน้ำของศรุตา ฉันไม่อยากให้พัชระมาทำงานนี้คนเดียว ฉันไม่ไว้ใจ” หญิงสูงวัยละเว้นชื่อศรุตาไว้ “ฉันกลัวว่าพัชระจะทำไม่ไหว เพราะบ้านหลังนั้นเก่าแก่มาก อยากรบกวน ให้คุณรับทำงานนี้แทน หรือไม่มาคุมงานนี้ด้วย ได้ไหมคะ”
สีหน้าบุรีลำบากใจ ลองว่าฝ่ายนั้นพูดออกมาแบบนี้ นั่นหมายความว่าเสาวนีย์ไม่ไว้ใจศรุตา เขาเองก็ไม่อยากอยู่ใกล้หญิงสาวเช่นเดียวกัน

เช้าวันรุ่งขึ้น บุรีหอบพะรุงพะรังออกจากบ้าน เดินมาตามซอยเล็กๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าออฟฟิศ ไม่ทันสังเกตว่าศรุตาที่นั่งอยู่ในรถ ที่จอดอยู่ไกลออกมา ลอบมองเขาทุกฝีก้าว
เมื่อบุรีเข้ามาถึงออฟฟิศ ป๊อกก็รีบออกไปรับ ส่วนจ้อยกับติ่ง กำลังปรึกษาเรื่องงานของของลูกค้าคนหนึ่ง
บุรีละสายตาจากคนทั้งสอง แล้วหันมาถามพัชระ
“คุณทรายเขาติดต่อมาอีกรึเปล่า เรื่องที่จะให้เราออกแบบบ้านที่เขาจะซ่อม”
“ครับ”
บุรีค่อยโล่งใจ
“เดี๋ยวแกโทรหาเขานะ นัดเขามาคุย นัดเขาเร็วๆหน่อยแล้วกัน พรุ่งนี้หรือมะรืนก็ได้”
กี้รีบพูดแทรกมาว่าบุรีมีนัดแล้วทั้งสองวัน
“เอ้อ ฉันไม่ลืม นัดเช้าไม่ใช่เหรอ พัช นัดคุณทรายเขาตอนบ่ายนะ ฉันรู้ว่าเค้ารีบ”
บุรีพูดไปโดยไม่ทันเห็นว่าคนที่ถูกพูดถึงเดินเข้ามาถึงตรงหน้าโต๊ะแล้ว
“ฉันจะได้รีบไปดูบ้านให้เขา รีบๆซ่อมเขาจะได้ย้ายไปอยู่บ้านเร็วๆ เห็นใจ เขาอยู่โรงแรมมันเปลือง”
“นัดเดี๋ยวนี้เลยได้มั้ยคะ”
บุรีเงยหน้า อย่างไม่ประหลาดใจมากนัก “สวัสดีครับ”
“ขอบคุณนะบุรีที่เห็นใจทราย ทรายอยู่โรงแรมไม่กี่วันเอง ไม่กี่วันเองจ่ายไปตั้ง....”
บุรีไม่รอให้หญิงสาวพุดจบ ก็รีบแทรกขึ้นมา
“เปลี่ยนโรงแรมสิครับ ถูกกว่านั้นก็มี”
“ก็แนะนำโรงแรมให้หน่อยสิคะ”
ทุกคนแอบอมยิ้ม ที่บุรีโดนย้อนเข้าให้เต็มๆ พัชระรีบหันมาบอก
“ทรายโทรนัดผมเมื่อคืนครับพี่บุรี ว่าวันนี้จะมาคุยเรื่องนี้”
“อ๋อ อ้อ เอาสิครับ เชิญนั่ง ผมว่างพอดีเช้านี้ ความจริงผมอยากไปดูบ้านก่อน แต่วันนี้บ่ายผมไม่ว่าง จะคุยก่อนพอเป็นไอเดียก็ได้ เชิญครับ”
“ทรายนัดพัชระไว้ค่ะ” ศรุตาบอกนิ่งๆ “ก็บุรีไม่ค่อยมีเวลา ทรายเปลี่ยนใจให้พัชดูให้”
“ถ้าเปลี่ยนใจเพราะผมไม่มีเวลา ก็ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ เมื่อวานผมไม่มีเวลา แต่วันนี้มี เชิญครับทราย ผมทำให้อยู่แล้วฌานเขาสั่งไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะบุรี ทรายเปลี่ยนใจไปแล้ว ไปค่ะพัช”
พัชระพาศรุตาไปโต๊ะตัวเอง บุรีนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหยิบงานออกมาทำ พลางแอบชำเลืองไปที่ ศรุตากับพัชระ ที่หัวใจเต้นระทึก แม้จะพยายามควบคุมสติและอารมณ์

คนที่เก็บกิริยาได้ดีที่สุด กลับเป็นศรุตา ที่แอบซ่อนแววตาสะใจที่ทำให้บุรีงงงันไปได้

ศรุตากับพัชระเดินออกมาจากออฟฟิศด้วยกัน บุรีรีบเดินตามออกมา

“พี่บุรีจะไปไหรครับ ?” พัชระหันมาถาม
“นายไปไหน พี่ก็ไปที่นั่นแหละ ขออนุญาตนะครับ”
ประโยคหลังชายหนุ่มหันมาพูดกับศรุตา
“ไม่อนุญาตค่ะ”
ทั้งคู่มองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“แต่ผมต้องไปครับ เพราะผมเป็นหัวหน้าพัชระ งานนี้เป็นงานหนัก ผมจำเป็นต้องตามไปคุม พัชระอีกที”
“ผมทำได้ครับพี่บุรี”
“แต่คุณเสาวณีย์เขาไม่ไว้ใจ”
บุรีพูดพลางปรายตาไปทางศรุตา จงใจให้หญิงสาวรู้ความหมายว่าไม่ไว้ใจเธอ
เพียงเท่านี้ศรุตาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเสาวณีย์จะให้บุรีมาขวางเธอกับพัชระ
“แต่บ้านหลังนั้นเป็นบ้านฉัน ฉันมีสิทธิ์จะเลือกให้ใครทำบ้านฉันก็ได้ คุณอาเสาว์ไม่มีสิทธิ์”
“งั้นผมต้องขอใช้สิทธิ์ในความเป็นหัวหน้าของพัชระ ดูแลโปรเจ็กต์นี้”
บุรียื่นคำขาด แต่ก็โดนศรุตาตออกกลับนิ่มๆ
“การเป็นหัวหน้าคนที่ดี ไม่ใช่แต่สนุกกับอำนาจในมือ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่สิ่งสำคัญต้อง รู้จักให้เกียรติเพื่อนร่วมงานและ เชื่อมั่นในทีม COME ON DON’T SHOW OFF ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่า ฉันเลือก พัชระและมั่นใจในฝีมือพัชระ ไปค่ะ”
พุดจบก็จงใจเอื้อมมือไปควงแขนพัชระต่อหน้าบุรี แล้วเดินไปขึ้นรถ บุรีมองตามอย่างไม่พอใจ
อีกด้านหนึ่งกี้ก็แอบมองบุรีมาจากหน้าต่างออฟฟิศ อย่างพยายามจับสังเกต

ศรุตาเดินควงแขนพัชระมาที่รถ แอบยิ้มกับอาการไม่พอใจของบุรี
“สุภาษิตไทยพูดว่ายังไงนะคะ ที่ว่าทำอะไรอย่างนึง ได้ผลถึง 2 อย่าง”
“อ๋อ ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว ทำไมเหรอครับ”
“อยู่ๆ ก็รู้สึกอย่างนั้น”
พัชระจะซักต่อ แต่หญิงสาวรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าที่แม่ยายคุณ หวงคุณมากนะ”
พัชระชะงักหน้าเจื่อน “ไม่หรอกครับ”
“หรือฉันควรจะเปลี่ยนตัวคนทำบ้านฉันดี ?”
พัชระรีบพูดสวน “อย่านะทราย”
หญิงสาวแกล้งตีหน้าซื่อมองพัชระด้วยแววตาสงสัย พัชระรีบกลบเกลื่อนความรู้สึก “ผมไม่อยากให้คนในออฟฟิศคิดว่าเรื่องส่วนตัวมีผลกับงาน”
“แต่ฉันไม่อยากทำให้ใครลำบากใจ ความจริงฉันผิดเองที่กลับมา น่าจะรู้ว่าไม่มีใครต้อนรับ แค่หวังว่าเวลาจะทำให้เขาเปิดใจรับลูกเลี้ยงอย่างฉันบ้าง แต่เขากลับคิดว่าฉันกลับมาแย่งพ่อคืน”
ศรุตาตีหน้าเศร้า แล้วแกล้งมองพัชระด้วยแววตาเจ็บปวด
“แล้วเขายังคิดว่าฉันจะแย่งคุณอีก”
“คุณไม่ได้แย่ง ผมเต็มใจ” พัชระเผลอพูดความรู้สึกในใจออกมา
“เต็มใจ ?”
พัชระรีบแก้ตัว “ผมหมายถึงเต็มใจทำงานให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่ต้องการใคร นอกจากคุณ”
พูดพร้อมกับส่งตาหวานให้อย่างจงใจ พัชระอึ้งมองตาหญิงสาวที่มองมาเหมือนมีความหมายแฝง
หญิงสาวหลบตาต่ำเหมือนคนที่เก็บความรู้สึกบางอย่างไว้
แต่พอลับหลังก็กลับยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ได้ปั่นหัวพัชระ

บุรีเอาแต่ชะเง้อคอยมองที่ประตู จนไม่ทันเห็นกี้ ที่แกล้งย่องเดินไปยืนข้างหลัง
“พี่รอใคร หนูเห็นพี่มองไปที่ประตูหลายรอบแล้วนะ”
บุรีสะดุ้ง แล้วรีบแก้ตัว “รอไอ้ป๊อกน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่มาอีก”
ป๊อกที่ก้มไปเก็บหนังสือโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ “ผมอยู่นี่ครับ”
บุรีเห็นป๊อกแล้วชะงัก พลางโวยวายกลบเกลื่อน
“มายืนอะไรตรงนี้ ฉันสั่งให้แกไปซื้อข้าวกลางวันไม่ใช่เหรอ”
พอป๊อกบอกว่าซื้อมาแล้ว บุรีก็แถต่อว่าให้ไปซื้อเพิ่ม
กี้เลยแกล้งกระซิบแซวบุรี “ดีนะที่เป็นพี่บุ ถ้าเป็นคุณฌาน กี้คงคิดว่ารอพัชกับคุณทราย”
พูดจบก็เดินไปทำงานต่อ บุรีชะงัก แล้วก้มหน้าทำงานต่อ พยายามปัดความความคิดที่รอ พัชระกับศรุตาออกไป

กี้หันมามองบุรีอย่างเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ

ศรุตากับพัชระมาเลือกดูเฟอร์นิเจอร์กันที่ห้างสรรพสินค้าหรู พอเดินผ่านร้านค้าร้านหนึ่ง หญิงสาวปรายตาเข้าไป แล้วรีบหันไปบอก

“ขอทรายเข้าดูในร้านนี้หน่อยนะคะ”
เมื่อเดินเข้ามาในร้านด้วยกัน ศรุตาก็จงใจหันไปพูดกับพัชระเหมือนจะให้ใครได้ยิน
“แน่ใจนะคะ ถ้าคุณมีธุระก็ไปก่อนได้ ฉันว่าจะไปดูของแต่งบ้านกับเฟอร์นิเจอร์ต่ออีกสักสอง-สามที่ แล้วค่อยส่งคุณที่ออฟฟิศ”
“ผมว่างครับ”
“ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งฉัน แล้วอย่างนี้ฉันจะไม่เลือกคุณได้ยังไง”
ศรุตายิ้มหวานให้พัชระ
คุณหญิงเพกาที่กำลังดูของอีกมุมหนึ่งใกล้ๆ กัน ได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งคู่คุยกัน จากนั้นก็ไม่รีรอที่จะรีบโทร. ไปบอกเสาวณีย์ทันที
“จริงเหรอคะคุณแม่ ?!”
“เสาว์ใจเย็นๆก่อนนะ เพราะยังไง แม่ก็ยังได้ยินพัชระคุยเรื่องงาน เขาอาจมาเรื่องงานกันจริงๆ แต่เสาว์ให้ลูกศรเฝ้าพัชระไว้บ้างก็ดี”
เสาวณีย์ได้ฟัง ก็ยิ่งโมโห
“ก็เสาว์โทรไปเปลี่ยนคนทำบ้านแล้ว ทำไมยังไปด้วยกันอีก เด็กคนนั้นจงใจท้าทายเสาว์ ขนาดแม่ มัน เสาว์ยังกำจัดได้ ทำไมเสาว์จะกำจัดมันไม่ได้”
ครั้นเหลือบไปเห็น ป้าทิศเดินเข้ามา เสาวณีย์ก็รีบวางสาย

“ทำไมล่ะอุทิศ อยู่ดีๆ ทำไมถึงจะไป”
เสาวนีย์ถามอย่างแคลงใจ เมื่อได้ฟังความต้องการของป้าทิศ
“คุณหญิงท่านสิ้นไปแล้ว อิฉันคิดว่าอย่าอยู่รบกวนคุณเสาว์ งานการอะไรก็ไม่มีหน้าที่ประจำ”
“อยู่มานานเป็นสิบๆปี จะไปอยู่ที่ไหนอยู่กับใคร”
“มีญาติอยู่บ้านนอกค่ะ”
เสาวนีย์มองป้าทิศด้วยแววตาที่เฉยเมย ”ไม่เคยอยู่กับเขาจะอยู่ได้หรือ”
“ก็ต้องอยู่ให้ได้ อยู่ที่นี้ไปคุณเสาว์ต้องจ่ายเงินเดือนให้อิฉัน สิ้นเปลืองเปล่าๆ”
เสาวนีย์ถูกจี้จุดเรื่องเงิน ก็คอแข็งขึ้นมาทันที
“อย่าพูดอย่างนั้น เรื่องเงินฉันไม่ถือเป็นสำคัญ ฉันจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องไปเพราะเงิน แต่ถ้าอยากไป เพราะอย่างอื่นก็ตามใจ”
ป้าทิศมองเสาวนีย์อย่างรู้ทัน ว่าในใจก็อยากให้ไป
ศรวณีย์เดินลงมาจากชั้นบนพอดี เสาวนีย์รีบดึงแขนลูกสาวออกไปคุยห่างๆ
“ยังไม่ไปหรือลูก แม่นึกว่าพัชมารับไปแล้ว”
“พี่พัชโทรตั้งแต่เมื่อคืนค่ะว่าวันนี้มารับไม่ได้ มีงานด่วน”

เติม ที่กำลังยืนทำความสะอวดรถอยู่ รีบเปิดประตูรถรอท่า ศรวณีย์ยกมือไหว้มารดา แล้วทำท่าจะไปขึ้นรถ
“ศร อย่าให้พัชระเลื่อนนัดหรือยกเลิกนัดบ่อยๆ เขาควรต้องมารับลูกไปเรียนทุกวัน รับกลับบ้านทุกวัน”
เสาวณีย์พูดเสียงเบาๆ อย่างที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“คุณแม่คะ ศรเห็นว่างานสถาปนิกเค้าไม่ค่อยเป็นเวลาค่ะ บางทีต้องคุยกับลูกค้านานๆ ศรเกรงใจพี่พัชค่ะ”
“งานของเขาคือหน้าที่ มารับส่งศรก็เป็นหน้าที่เหมือนกัน ทำให้เขาชินว่าถึงเวลาเขาต้องทำ แล้วเขาจะแบ่งเวลาเอง”
หญิงสาวงนิ่งไปครู่หนึ่ง “ค่ะ คุณแม่” แล้วก็ขึ้นรถไป
เสาวณีย์รีบหยิบมือถือขึ้นมา

พัชระหยิบมือถือขึ้นมาดูที่หน้าจอ แล้วกดรับ
“ครับคุณอา อ๋อ เผอิญผมมีงานด่วนมากครับ ต้องขอโทษด้วยครับ”
ศรุตาที่อยู่ใกล้ๆ แอบเหลือบตามอง
“แล้วเย็นนี้พัชจะรับศรรึเปล่า ถ้าไปไม่ได้อีกอาจะได้ส่งเติมไปรับ” เสาวณีย์ถามมาทางปลายสาย
พัชระชำเลืองดูหญิงสาวแว่บหนึ่ง ก่อนตอบ
“ผมกำลังทำงานเร่งครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะเสร็จทันมั้ย ผมจะโทรเรียนคุณอานะครับ”
“ไม่ต้องโทรบอกอา พัชโทรบอกน้องแล้วกัน”
“ครับ ผมจะโทรบอกศร ครับ สวัสดีครับคุณอา”
ศรุตาได้ยินทุกคำพูด หญิงสาวหน้านิ่ง แต่แววตาลุ่มลึก
ส่วนบุรีก็กำลังนั่งคุยกับพวกคนอื่นถึงปัญหาเรื่องไม่มีช่างทำงานที่โครงการเขาใหญ่ เพราะกลับไปทำนากันหมด ชายหนุ่มยืนหน้าเครียด ศรุตาลอบมอง ส่วนพัชระมัวแต่ร่างแบบในกระดาษ จึงไม่ทันเห็นทีท่าของหญิงสาว
“ผมร่างคร่าวๆให้ทรายดูก่อน ถ้าชอบจะได้เอาลงไฟล์ดูกันอีกที แก้ได้ตลอดเวลาจนกว่าจะเสร็จ”
ศรุตาส่งตาหวาน แล้วถามอย่างเอาใจ
“กลางวันแล้ว พัชทานอาหารกลางวันที่ไหน”
ยังไม่ทันที่พัชระจะตอบ ป๊อกก็เข้ามาบอกบุรีว่าอาหารที่สั่งมาแล้ว กี้ได้ยินก็รีบตะโกนเสียงดัง
“พัช eat เร็ว ของกินเพียบ พี่บุเลี้ยงใหญ่”

ทุกคนเดินเข้ามานั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหาร บุรีมองพัชระที่ดูเทคแคร์ศรุตาอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่เก็บอาการเป็นหน้านิ่งไว้
“โอ้โห อาหารเยอะจัง”
ศรุตาพูดอย่างตื่นเต้น กี้เลยแกล้งตอบกระทบบุรี
“พี่บุเลี้ยงต้อนรับทรายมั้งค่ะ ถึงให้ป๊อกไปซื้อของตั้งสองรอบ”
ศรุตาหันมามองบุรี “จริงเหรอคะ ?”
“เปล่าหรอกครับ แต่ถ้าคุณอยากทานด้วยกัน ก็เชิญ”
“ไม่ล่ะค่ะ ทรายนัดกับพัชระแล้วว่าจะออกไป ทานส้มตำไก่ย่าง ทรายอยากกิน”
หญิงสาวพูดด้วยอารมณ์อยากเอาชนะล้วนๆ พัชระปรายตามอง ศรุตาจับมือเขามาบีบเบาๆ อย่างตั้งใจไม่ให้ใครเห็น แต่บุรีก็เห็นจนได้
“พัช พาคุณทรายไปทานส้มตำร้านหน้าปากซอยสิ ร้านนั้นอร่อย แล้วก็อย่าลืมซื้อไก่ย่างไว้ฝากลูกศรด้วย จำได้ไหม ว่าลูกศรชอบ”
พัชระที่กำลังจะเดินไปถึงกับชะงัก นึกรู้ว่าบุรีจงใจพูดย้ำให้เขารู้ตัว ขณะที่บุรียิ้มนิ่งๆเหมือนไม่มีอะไรในใจ ศรุตาก็เข้าใจเหมือนพัชระ เลยพูดย้อนด้วยอารมณ์อยากเอาชนะ
“ตกลงไปร้านนั้นกันนะพัช ฉันอยากลองชิมของที่ลูกศรชอบว่าอร่อยจริงไหม ?”

พัชระเดินเคียงศรุตาออกไป บุรีตามอย่างรู้ทันว่าหญิงสาวจงใจพูดยั่วอารมณ์เขา
 
อ่านต่อหน้า 4

ทรายสีเพลิง ตอนที่ 2 (ต่อ)

ศรวรณีย์นั่งรออยู่ที่มหาวิทยาลัย พอเห็นรถที่เติมขับแล่นเข้ามาจอด ก็รีบเดินมาที่รถ แต่พอเปิดประตูรถก็เห็นมารดานั่งอยู่ด้านใน

“พัชระไม่ว่างทำไมไม่บอกแม่ เขาบอกไหมว่าทำไมมารับลูกไม่ได้”
ศรวรณีย์อึกอัก “พี่พัช เอ่อ ติดงานค่ะ”
“งานอะไรนักหนา ศรน่ะอย่าไปตามใจสิ ติดงานจนมารับศรไม่ได้นี่มันไม่ถูก แค่นี้ยังดูแลไม่ได้ แล้วต่อไปจะดูแลกันได้ยังไง แล้วยังไง ถ้าเติมไม่บอกแม่แล้วต้องไปรับคุณพ่อ แล้วศรจะกลับบ้านยังไง”
ครั้นพอเห็นลูกสาวหน้าเสียก็แอบสงสาร
“เอาเถอะ คราวนี้ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน ไปกลับบ้าน แต่คราวหน้าถ้าพัชระไม่ว่าง ให้โทรบอกแม่ แม่จะคุยกับเขาเอง”

หลังจากที่ทุกคนทานอาหารจนเกลี้ยงโต๊ะ ฌานก็เดินเข้ามาพอดี บุรีรีบบอกว่าศรุตาออกไปทานกลางวันกับพัชระ
“เขารู้รึเปล่าว่าแกจะมา”
ฌานอึ้งไปนิดหนึ่ง “รู้มั้ง รู้สึกฉันจะบอกเขาเมื่อคืน ตอนไปบอกเขาว่าฉันจะไม่อยู่”
“แกกลับมา บ้านทรายคงลงมือซ่อมแล้ว เพราะพัชระเขียนแบบเร็ว”
“อ๋อ ให้พัชเหรอ ฉันได้ยินทรายเขาว่าจะให้แกทำ”
บุรีส่ายหน้า “เขาเปลี่ยนใจ โน่นเขามาแล้ว”
ศรุตากับพัชระเดินเข้ามา หญิงสาวทำเป็นแปลกใจที่เห็นฌานมาที่นี่ พลางหันมาคุยกับพัชระต่อ “พัชระ มาทำงานต่อ”
“โอเค ถึงห้องนอนแล้วทราย คุณอยากได้แบบไหน”
พัชระพูดพร้อมกับเดินมาที่โต๊ะทำงาน
“ก่อนถึงห้องนอน ฉันอยากได้ห้องพิเศษสักห้อง”
“ห้องอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้ ไปห้องน้ำก่อนนะ”
ศรุตาเดินผละไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ยิ้มกับเงาตัวเองในกระจกอย่างสมใจ

ทางด้านบุรีก็รีบคะยั้นคะยอให้ฌานรีบออกไปด้านนอกด้วยกัน พอศรุตาออกมา ไม่เจอทั้งคู่ ก็ทำหน้าผิดหวัง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กี้รีบกดรับสาย
“ฮะ พี่บุ กี้พูดมีอะไร”
ศรุตาได้ยิน ก็แอบหันไปมอง
“ฉันจะเอาไอ้ติ่งไปด้วย บอกมันให้ออกมาเร็วๆ ไม่ต้องพูดมากนะว่า จะไปไหน”
บุรีตอบกลับมาทางปลายสาย
“โอเคๆ” กี้วางสายแล้วหันมาตะโกนบอกติ่ง “เฮ้ย ไอ้ติ่ง พี่บุเขาให้แกไปกะเขา แล้วไม่ให้พูดมาก ว่าจะไปไหน”
สีหน้าศรุตานิ่งสนิท แต่ในแววตาฉายยิ้ม

“ความจริงฉันอยากชวนทรายไปด้วย ฉันอยากให้เค้าเห็นบ้านฉัน”
ฌานหันมาบอกกับุบุรี พร้อมๆ กับที่ติ่งวิ่งกระหืดกระหอบออกมา แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะเคลื่อนตัวไปไหน ศรุตาก็เดินออกมา ฌานยิ้มอย่างดีใจ
“ทราย ไปเที่ยวกันมั้ย”

บุรีนั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับติ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ ส่วนศรุตานั่งคู่กับฌาน ที่เบาะหลัง
“ฌาน บอกทางนะ ติ่งมันไม่เคยไป” บุรีหันมาบอก
“โอเค. ติ่ง ไปทางนี้ ไม่ไกลหรอก แต่รถเข้าไปไม่ถึงนะ”
ทุกคนมองฌานอย่างแปลกใจ

ฌานขับเรือเร็วพาศรุตา บุรี และติ่งแล่นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะพาเรือจอดเทียบท่า แล้วเดินไปทางบ้านด้วยกัน
บ้านของฌานเป็นบ้านหลังใหญ่ หลังคาเป็นโคมโค้งอยู่ตรงกลาง โอบด้วยปีกตึกแบบโรมันเห็นรำไรอยู่หลังแนวไม้ใหญ่
ศรุตามองบ้านอย่างชื่นชม ฌานมองหญิงสาว แล้วก็ทำหน้าสลดเหมือนมีเรื่องหนักใจอยู่“ชอบมั้ยทราย”
ฌานโอบไหล่ศรุตามาหาตัวอย่างสนิทแนบ บุรีมองสายตาเพื่อนที่มองหญิงสาวด้วยความรัก แล้วก็ยิ่งรู้สึกโกรธแทน เพราะทั้งๆ ที่ฌานรักเธอ แต่เธอกลับไปปั่นหัวผู้ชายคนอื่น
ศรุตาบอกว่าคาดไม่ถึงว่าฌานที่ดูเป็นหนุ่มทันสมัยในลักษณะคลาสสิกแบบนี้
“ถ้าเป็นบุรีฉันจะไม่แปลกใจเลย เพราะหน้าตาแบบบุรีน่ะ อยู่ตึกแบบเนี้ย เข้ากั๊น เข้ากัน”
ฌานหันมากระเซ้าบุรี “ทรายว่าแกแก่ว่ะ”
“ฉันรู้แล้ว ไปดูข้างในดีกว่า ผมต้องรีบกลับ”
ฌานยกแขนให้ศรุตาควงเดินไปที่บ้านพร้อมเขา บุรีเดินตาม พลางมองท่าทีสนิทใจของหญิงสาวที่ทำกับฌาน เหมือนว่าไม่เคยปั่นหัวพัชระมาก่อน

“ฌาน ที่พ่อเลี้ยงคุณเรียกคุณให้กลับไปสิงคโปร์วันนี้ มันเกี่ยวอะไรกับ ที่นี่รึเปล่า ?”

จู่ๆ ศรุตาก็ถามขึ้น ระหว่างที่ฌานพาทั้งหมดเดินชมรอบๆ บริเวณบ้าน ชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง แววกังวลเผยออกมาอย่างชัดเจน

ในห้องประชุมบริษัทนอร์แมน หว่อง ที่สิงค์โปร์

ที่จอวิดีโอ กำลังฉายภาพในมุมสูงของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่คดเคี้ยวไปตามเส้นทาง
“เหมือนการทอดตัวของพญามังกร ทางนี้หัว ทางโน้นหาง”
นอร์แมนอธิบายให้คนในห้องประชุมฟัง
ภาพบนจอผ่านไปเรื่อยๆ ถึงสะพานพุทธ แล้วก็หยุด
“มีข่าวลือ ฟังกันเพลินๆนะ เขาลือกันว่านักการเมืองที่ทำหน้าที่เปิดสะพานข้ามแม่น้ำแห่งนี้โดนปฏิวัติรัฐประหารทุกคน”
“คุณลุงเลยอยากลองท้าว่าจะโดนปฏิวัติบ้างใช่ไหมคะ ?”
ลิซ่าหันมาหยอกเบาๆ อลันรีบพูดอย่างประจบ
“อย่างคุณลุงฉันไม่เคยโดนปฏิวัติ มีแต่ไปปฏิวัติเศษดินให้เป็นกองทอง”
ภาพในจอเคลื่อนไหวต่อ พร้อมๆ กับเสียงบรรยายของนอร์แมน
“นอกจากเป็นที่ติดแม่น้ำแล้ว ที่ดินนี้ยังมี....”
ภาพฉายไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านหลังใหญ่ของฌาน ที่ตั้งตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์

ฌานแหงนหน้าขึ้นมองบ้าน ด้วยแววตาหมอง ทั้งว้าเหว่ ทั้งใจหาย
“ผมเกิดที่บ้านนี้ บ้านหลังนี้สร้างมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว เจ้าของบ้านคือบรรพบุรุษของผม เป็นทหาร เป็นนักรบ ท่านได้รับพระราชทานที่ดิน ให้สถาปนิกอิตาเลียนเป็นคนออกแบบคุมก่อสร้าง”
ศรุตามองนิ่ง สายตาใคร่ครวญ ส่วนบุรีก็มองเพื่อนอย่างพิจารณาว่ากำลังกังวลเรื่องอะไร
“กว้างจัง ที่ดินทั้งหมดเท่าไรคะฌาน”

“ที่ดิน 10 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกทรง colonial หรูหราเหมือนคาสเซิลในยุโรป เป็นสมบัติเก่าของพ่อชาร์ลส์”
นอร์แมนบอกต่อหน้าทุกคน อลันชักสีหน้าอย่างหมั่นไส้ ส่วนลิซ่ายิ้มหวาน
“อ๋อ ที่ดินที่เป็นบ้านพ่อของชาร์ลส์นั่นเอง ลิซ่าก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน เป็นที่ที่ ชาร์ลส์บอกว่าเขาควรได้ แต่พวกอาแย่งไป แล้วคุณลุงจะทำยังไงกับที่ดินนี้คะ? ยกให้ชาร์ลส์จัดการ เหมือนที่ผ่านมาไหมคะ ? ชาร์ลส์คงดีใจ”
อลันหัวเราะสะใจ ลิซ่ามองอย่างสงสัย
“หัวเราะอะไร ?”
นอร์แมนพูดต่อ “ตอนแรกผมคิดว่าจะทำคอนโดอยู่เหมือนกัน แต่อลันทักขึ้นมาว่า...”

ความกังวลฉายชัดในแววตาของฌาน“เขาบอกว่าตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจของเมืองไทยไม่น่าลงทุน มีคอนโดขึ้นแข่งกันเยอะ ถ้าจะทำเป็น หมู่บ้านก็ขายไม่ออกเยอะ ฉันเลยคิดว่าป๋าอาจจะ...”

อลันยิ้มสะใจ
“ขายที่ดินผืนนั้นเก็งกำไรดีกว่า”
นอร์แมนพยักหน้า อย่างเห็นด้วยกับที่อลันพูด
ลิซ่ามองอลันที่ยิ้มอย่างสะใจ นึกรู้ว่าเขาจงใจแกล้งฌาน

ฌานเดินพาทุกคนมาหยุดยืนในห้องๆ หนึ่ง
“ฌานนักธุรกิจอย่างเขา เขารู้ว่าตึกอย่างนี้ ที่ดินขนาดนี้ เขาไม่ควรขาย มันจะทำกำไรให้เขาได้มากกว่า ถ้าเขาจะทำเอง”
บุรีพูดอย่างจริงจัง ศรุตาพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ ทรายเห็นด้วยกับบุรี”
“แกไปหาเขา แล้วไปบอกเขาว่า แกจะพัฒนามันด้วยโปรเจ็กต์ที่แกคุยกับฉัน ฉันจะช่วยแกสุดตัวเลย”
ศรุตาจับมือฌานอย่างให้กำลังใจ “ทรายด้วย ทำอินทีเรียให้”
ฌานจับมือหญิงสาวขึ้นมาจูบ แล้วมองด้วยสายตาแสดงความรักอย่างหมดใจ
“ขอบคุณนะทราย”

บุรีมองหญิงสาวที่แสดงความรักกับฌานแล้วยิ่งรู้สึกไม่พอใจ ที่เห็นเธอสนุกกับการปั่นหัวผู้ชายทุกคน

ศรุตาเดินมาหยุดยืนดูที่มุมหนึ่งของบ้าน บุรีเดินตามมา

“ฌานเคยบอกว่าคุณเป็นอินทีเรียให้ Davidson Space & Design แล้ว ทำไมคุณไม่ทำบ้าน
คุณเอง”
หญิงสาวหันมายิ้มขำ
“ฉันเพิ่งเห็นเจ้าของบริษัทที่พยายามจะพูดให้ลูกค้าเอางานไปทำเอง”
“ผมก็แค่อยากรู้ความต้องการของคุณ”
“ฉันก็บอกคุณไปแล้วนี่คะว่าฉันต้องการพัชระ”
พูดพร้อมกับมองบุรีด้วยสายตาเหมือนเด็กที่กำลังสนุกกับการยั่วโมโหผู้ใหญ่ พร้อมกับแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ
“แสดงความรู้สึกมาสิบุรี ว่าคุณกำลังไม่พอใจที่ฉันปั่นหัวพัชระ ปั่นหัวฌาน แสดงมาสิว่าคุณแพ้ เสน่ห์ฉันไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น”
บุรีรู้ทัน พยายามข่มอารมณ์ไม่โมโหอย่างที่หญิงสาวหวังจะได้เห็น
“เอาอย่างนี้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมออกแบบให้ หาช่างให้ ผมมีสถาปนิกกับหัวหน้าช่างคุมงานให้คุณ แต่คุณทำอินทีเรียเอง”
“ที่คุณบอกว่าเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย มันหมายถึงใครบ้างคะ ?” ศรุตาย้อนถาม
“หมายถึงพัชระกับกี้ คุณฝีมือระดับโลก ใครมาทำให้ก็ต้องเกร็ง ผมสงสารไอ้กี้มัน ถ้าเขาเกร็งเขาก็ไม่ทำซักที งานคุณจะช้าไปนะทราย”
“ถ้าฉันออกแบบเอง มีแค่สองคนนี้เหรอคะที่สบายใจ คุณลืมไปอีกคนนะคะ”
หญิงสาวมองบุรีอย่างรู้ทัน
“คุณเสาวณีย์เขาขอให้ คุณมาทำแทนไม่ใช่เหรอ เขากลัวฉันจะแย่งว่าที่ลูกเขยเขารึไง”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ ที่ผมพูด ก็เพื่อความถูกต้อง”
“ความถูกต้อง ? งั้นคุณบอกฉันหน่อยสิคะ ฉันทำอะไรผิด พัชระทำอะไรผิด ฉันถึงต้องเปลี่ยนความคิดอย่างที่คุณหรือคุณเสาวณีย์ต้องการ”
บุรีชะงักเพราะศรุตาพูดถูก
“บ้านนั้นเป็นของฉัน ฉันจะไม่ยอมให้เขามายุ่งกับของๆฉันอีกแล้ว”
พูดจบก็เดินออกไปทันที บุรีมองตาม ไม่เคยเห็นหญิงสาวแสดงอาการอย่างนี้มาก่อน พลางคิดทบทวนถึงเรื่องราวระหว่างเธอกับแม่เลี้ยง

บุรีนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขามีอายุได้เพียง 14 ขณะที่เขากับครูนารียืนมองท้ายรถของดวงตา ที่ขับพาเด็กหญิงศรุตาออกจากรั้วบ้านไป
“สุดท้ายสองแม่ลูกก็ทนอยู่บ้านนั้นไม่ไหว ต้องระหกระเหินไปไหนกัน ก็ไม่รู้ ยายล่ะเห็นใจจริงๆ เรื่องความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวแท้ๆเชียว ทำให้เด็กเกิดมาร่วมรับบาป รับความกดดัน ทั้งๆที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ด้วยสักนิด”
“ยังไงครับคุณยาย” เด็กชายบุรีถามอย่างไม่ประสา
“แม่ของทรายเป็นลูกเลี้ยงคุณหญิงศิริ ทีนี้คุณหญิงมีลูกชาย แม่ของทรายก็คงใฝ่ฝันไปตาม ความคิดเด็กสาวว่าถ้าลูกชายคุณหญิงรักตัวเองก็ยกฐานะได้ คุณหญิงศิริก็หวังจะมัดแม่ทรายไว้ใช้ เลยเป็นใจให้ ลูกชายใช้ความรักของแม่ทรายไว้ใช้ แม่ของทรายก็หวังร้อยลูกชายคุณหญิงไว้เลยท้อง จนวันนึงคุณหญิงศิริ เจอ ผู้หญิงที่เหมาะสมกับลูกชาย ก็จัดการตกแต่งใหญ่โต”
“พ่อน้องทรายแต่งงานใหม่ แล้วน้องทรายกับแม่เขาล่ะครับ”
“ก็อยู่บ้านริมคลองไกลบ้านใหญ่ มีฐานะไม่ต่างจากผู้อาศัย หนูทรายน่าสงสารที่สุด ถูกพ่อ-แม่-ย่าใช้เป็นเครื่องต่อรอง เมื่อพ่อมีเมียใหม่ มีลูกใหม่ ย่าก็ไม่สนใจ ทรายก็หมดความสำคัญ”
บุรีมองไปทางที่ศุตาเดินอย่างรู้สึกผิดกับอดีตของเธอที่เขาลืมไป

ดวงตาของศรุตาแข็งกร้าวด้วยความโมโหเสาวณีย์และบุรี ดอกไม้ปลิวตกใกล้ๆ หญิงสาวมองตาม แล้วก้มลงเก็บ อย่างพยายามนึกว่าเป็นดอกอะไร
บุรีเดินเข้าทางด้านหลัง
“นั่นเรียกว่าดอก....” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อดอกไม้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ศรุตาหยิบดอกไม้ขึ้นมาดม “หอมจังนะคะ”
บุรีเดินมาหยิบดอกไม้อีกดอกขึ้นมาดมบ้าง
“อืม หอม” พลางเก็บดอกไม้ไว้ในกระเป๋า
“คุณทำอะไรคะ ?”
“ผมชอบเอาดอกไม้หอมๆทับในสมุดหรือหนังสือไว้ มันได้กลิ่นหอมเวลาเปิดอ่าน”
ศรุตาอึ้ง ภาพของ “พี่บี” ที่เก็บดอกจำปีไว้ในหนังสือย้อนกลับมาในความทรงจำ
บุรีมองหญิงสาวที่มองตัวเองอย่างงงๆ
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า ?”
“บุรีรู้มั้ย บุรีเหมือนคนๆหนึ่ง ที่ทรายไม่เคยลืมเขาเลย”
ชายหนุ่มชะงัก มองหญิงสาวอย่างลุ้นๆ ว่าคนหนึ่งคนนั้น ใช่ “พี่บี” คนนี้รึเปล่า
“เขาเป็นหลานชายของคุณยายที่มีพระคุณกับแม่ของทราย เขาชอบเอาดอกไม้ใส่หนังสือเหมือนบุรีเลย”
นัยน์ตาของบุรีฉายแววดีใจ ศรุตาจำเขาได้ ชายหนุ่มเกือบจะยิ้ม แต่หญิงสาวพูดขัดขึ้นมาก่อน
“แต่บุรีไม่ใช่เขาหรอก ถึงจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกันก็เถอะ”
บุรีหุบยิ้ม “รู้ได้ไง ?”
“เพราะว่าถ้าใช่ เขาต้องจำทรายได้ เขาไม่มีวันลืมทราย ถ้าเป็นเขา เขาก็ต้องบอกทรายว่าเขาคือ
“พี่บี” ของทราย”
บุรีกำลังจะหลุดปากเรียกตัวเองว่า “พี่บี” แต่เสียงตะโกนของฌานขัดจังหวะมาก่อน
“ทราย มาทางนี้สิ ผมมีอะไรจะให้ดู”
ศรุตารีบเดินไปหาฌาน บุรีมองตามกิริยาของศรุตาที่อยู่กับฌานอย่างสับสน
ฌานคือผู้ชายที่เหมาะกับเธอในตอนนี้ ส่วน ”พี่บี” คือพี่ชายในอดีตเท่านั้น
ความดีใจเมื่อครู่หายไป กลายเป็นคิดหนักว่าจะบอกเธอดีไหมว่าเขาคือ “พี่บี”
หรือควรเก็บไว้ในอดีตอย่างนั้น

“พี่ควรบอกไหม ว่า “พี่บี” ของน้องทรายอยู่ตรงนี้
 
อ่านต่อตอนที่ 3
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 8 ตอน สามเกลอผจญภัย
พล นิกร กิมหงวน เดอะมิวสิคัล ตอนที่ 8 ตอน สามเกลอผจญภัย
คลอ เลขาฯคนใหม่ กำลังเอาแจกันดอกไม้มาจัดวางไว้ที่โต๊ะรับแขก ในห้องทำงาน พลเดินเข้ามาเปิดประตูค้างไว้ พลยิ้มให้ ขยันจริงๆนะจ๊ะ คลอ ทำงานมือไม่ว่างเลย พลเดินเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะทำงาน คุณเมตตากรุณาขนาดนี้ เหน็ดเหนื่อยยังไง ดิชั้นก็ทำได้ค่ะ คลอจ๊ะ ขา แหม ทีหลังอย่าขาบ่อยๆนะจ๊ะ พูดกระโชกโฮกฮากบ้างเถอะ ใจชั้นแป้ว คุณเป็นนายของดิชั้นนี่คะ จะโฮกฮากได้ยังไง เธอช่างผิดกับแม่นันทาของชั้นลิบลับ ถามจริงๆนะจ๊ะ คลอเธอทำบุญไว้ด้วยอะไร ดิชั้นไม่สวยไม่งามอะไรหรอกค่ะ นัยน์ตาของคนที่มีเมียแล้วมักหลอกลวงตัวเอง เห็นคนอื่นสวยกว่าเมีย
กำลังโหลดความคิดเห็น