หัวใจเถื่อน ตอนที่ 5
ท่ามกลางความมืด ค่ำคืนนั้นภากรเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าตึกห้องพักของสีไพร เขาสูดหายใจ ลึกๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่คุยกับบิดาเมื่อช่วงบ่าย
ท่านกวีนั่งคุยอยู่กับภากร เป็นเวลาหลังจากที่คุณนายชื่นลากลับไปแล้ว
“ฉันพูดเรื่องการแต่งงานของแก กับแม่ และกับใครๆแล้วนะ แกจะเอาเรื่องนี้มาทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้ รู้มั้ย”
“เพราะฉะนั้น ผู้หญิงคนไหนที่แกแอบคบอยู่ จะคบเล่นๆ หรือจริงจังแค่ไหนก็ตามเมื่อถึงเวลาแต่งงานแกต้องเลิกให้หมด แกต้องมียายอ้อคนเดียว สัญญากับพ่อได้รึเปล่า”
“ได้ครับ...ผมสัญญาครับพ่อ”
ภากรเดินเข้ามาในห้องพักสีไพรแล้ว สีไพรขยับตัวมาเบื้องหน้าภากร สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“วันนี้คุณภากรว่างเหรอคะ”
“อือม”
“คุณภากรหายไปตั้งนาน ไพคิดว่าคุณภากรคงจะงานยุ่งมาก”
“ใช่งานยุ่ง...มันยุ่งรุงรังไปหมดเลย”
ภากรเดินไปหาที่ว่างที่พอจะนั่งได้ สีไพรกุลีกุจอ ปรนนิบัติพัดวี ชายผู้เป็นที่รัก
“ดื่มเบียร์มั้ยคะ ไพไปซื้อให้”
“ไม่ละ ฉันอยากคุยกับสีไพรก่อน”
“ค่ะ”
สีไพรขยับตัวลงนั่งข้างๆ ภากร
ภากรพยายามเรียบเรียงความในใจที่อยากจะพูดออกมาทีละนิด เขาเริ่มจากการเกริ่นนำ
“เราคบกันมานานแค่ไหนแล้ว จำได้มั้ย”
สีไพรจำแม่น “แปดเดือนครึ่งค่ะ...อีกสองอาทิตย์ก็จะครบเก้าเดือน”
“ถ้าเป็นท้อง เด็กก็คลอดพอดี”
สีไพรตาลุกวาว “คุณภากรอยากมีลูกเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ฉันเปรียบเทียบเฉยๆ เธอรู้สึกบ้างมั้ย ว่าฉันเอาเปรียบเธออยู่สีไพร”
สีไพรส่ายหน้าอย่างบริสุทธิ์ใจ
“ฉันเลือกเวลามาหาสีไพรตามอารมณ์ของฉัน ฉันมาแล้วฉันก็ไป ฉันไม่เคยนึกถึงใจสีไพรบ้างเลย...ฉันมานั่งคิดดูว่า ฉันเนี่ย เห็นแก่ตัวมากๆ”
“อย่าคิดอย่างนั้นเลยค่ะ สีไพรซะอีกที่ภูมิใจ ที่คุณภากรอุตส่าห์มาหาไพ ไพรู้ว่าตัวเองต่ำต้อย แต่คุณภากรก็ยังอุตส่าห์มีเมตตา...ไพไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีกแล้วค่ะ”
ภากรนิ่งไปนิดนึง เขาไม่นึกว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้จากสีไพร
“แม้ว่าฉันจะมาหาสีไพรได้บ้าง ไม่ได้บ้างน่ะเหรอ”
“ขอแค่คุณภากรมีความสุข เวลาที่อยู่กับสีไพร แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไพก็ดีใจแล้วละค่ะ”
ภากรอึ้ง มันกลายเป็นความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“วันนึงคุณภากรอาจจะต้องไปจากสีไพร ถึงวันนั้นไพก็ยังมีความทรงจำอันมีค่านี้ ที่ไพจะเก็บมันไว้กับตัวตลอดไปค่ะ”
สีไพรพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริง น้ำตาแห่งความสุขใจของเธอเอ่อเต็มสองเบ้าตา ส่วนภากรนั้น นิ่งอึ้ง จนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่อาจเอ่ยปากพูดเนื้อความที่เตรียมตัวไว้ได้อีกต่อไป
“เธอช่างน่ารักกับฉันจริงๆ สีไพร”
พลันภากรจึงเปลี่ยนความตั้งใจใหม่
“ไปแต่งตัวสวยๆ เถอะ...วันนี้ฉันจะพาเธอไปกินข้าวนอกบ้าน”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ...ฉันจะควงเธอ ไปร้านที่หรูที่สุด สวยที่สุด และแพงที่สุดเลย”
สีไพรดีใจสุดชีวิต
“งั้นไพอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊ปเดียวนะคะ”
ภากรรั้งตัวสีไพรมาโอบกอดไว้แนบแน่น
“ก่อนอาบน้ำ ฉันขอดมกลิ่นตัวสีไพรให้ทั่วก่อนได้มั้ยจ๊ะ”
สีไพรยิ้มรับคำ ภากรดันร่างของสีไพรหายไปใต้เฟรม
ทั้งสองมีความสุขร่วมกันท่ามกลางกลิ่นกายและเหงื่อไคลของกันและกัน
โทรศัพท์มือถือของภากรที่หล่นอยู่ตรงพื้นแถวนั้น ตัวเครื่องสั่นจากการที่มีสายเรียกเข้า
หน้าจอโทรศัพท์ มีหมายเลขเรียกเข้า พร้อมกับตัวหนังสือที่บันทึกไว้ว่า เป็นหมายเลขของ จูดี้
รถของราชวิ่งเข้ามาจอดในบ้านชิดชไม โดยในรถ ชิดชไมนั่งเคียงข้างมากับราช กระเป๋าเดินทางใบย่อมวางให้เห็นอยู่บริเวณเบาะรถ
“เข้าไปในบ้านก่อนนะคะ กินกาแฟซักแก้วก่อน”
“ก่อนอะไรครับ”
“ก็อยู่ที่ว่าราชอยากจะทำอะไร แคลร์ได้หมดอยู่แล้ว อุตส่าห์สละเวลามารับแคลร์ทั้งที...จะปล่อยให้เสียเที่ยวได้ไง”
ชิดชไมก้าวลงจากรถ ราชขยับรถไปจอดให้เรียบร้อย ตรงบริเวณที่จอดรถ คุณนายชื่นเดินออกมาหาชิดชไม
“สวัสดีจ้ะหลานชิดชไม”
ชิดชไมแปลกใจเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะคุณป้า...คุณป้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“มาตั้งแต่เย็นแล้ว พอป้ามาถึง พ่อหนูก็ออกไปงานเลี้ยง ฝากให้ป้าเฝ้าบ้านให้ซะอย่างนั้น...ป้าก็เลยว่าจะค้างซะที่นี่เลย”
“แล้วคุณป้ามายังไงคะ”
“ป้าก็ใช้แท๊กซี่น้ายมน่ะสิ วันนี้ตระเวนเยี่ยมคนรู้จักซะทั่วเมือง ขนเอาขนุนที่สวนมาฝากเขา...ก่อนมานี่ก็ไปบ้านคุณกวี เลยโชคดี ได้พ่อภากรขับรถมาส่ง”
ราชลงจากรถเดินมาร่วมเฟรมทันได้ยินพอดี ชิดชไมรีบแนะนำ
“คุณป้าคะ นี่ ราช เพื่อนสนิทของแคลร์จ้ะ”
“สวัสดีครับ” ราชไหว้
“สนิทแบบพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ” คุณนายสัพยอก
ชิดชไมสบตาราช ยิ้ม “งั้นมั้งคะ”
“เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคุณภากรมาส่งคุณป้าเหรอครับ”
“จ้ะ”
ราชหันไปพูดจาล้อชิดชไม “คงเสียดายแย่ที่ไม่ได้เจอคุณนะ แคลร์”
“กลัวเขาจะมาจีบแฟนเธอเหรอ...โอ๊ย ไม่มีทางหรอก ท่านกวีพ่อเขา เตรียมจะจับแต่งงานอยู่แล้ว”
ชิดชไมแปลกใจ “เหรอคะ”
“จ้ะ คุณกวีบอกกับป้าเองเลย แล้วแต่งกับใครรู้มั้ย...หลานในบ้านนั่นแหละ ชื่อยายอ้อ ยายอมาวสีนั่นแหละ...เฮ้อ บ้านนี้ชอบจับคลุมถุงชนซะจริงจรี๊ง”
ราชอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่มีใครทันได้เห็น
“เข้าบ้านกันเถอะค่ะ เดี๋ยวแคลร์ชงกาแฟสดให้ทานนะ”
ชิดชไมเดินนำทุกคนเข้าในบ้าน
เสียงเพลงรัก เหงา เศร้าสร้อยค่อยๆ ดังขึ้น ในห้องนอนอันเงียบเชียบของอมาวสี แสงจันทร์สาดเข้ามาทางหน้าต่าง งามตา อมาวสีนั่งซึม นิ่ง ราวกับคนหมดสิ้นความหวัง
ฝ่ายราชและชิดชไมนั่งดื่มกาแฟกัน กลางโถงบ้าน คุณนายชื่น ร่วมสนทนาด้วยอย่างออกรส
สีหน้าราชยามนี้ มีร่องรอยภาวะร้อนรุ่มใจอยู่ลึกๆ
ที่ร้านอาหารหรู ใจกลางเมือง ตรงโต๊ะอาหารสวยเด่นที่สุดในร้านหรู ภากรขยับเก้าอี้ให้สีไพรนั่ง สีไพรอยู่ในชุดที่สวยที่สุดเท่าที่เธอจะหาได้ ทว่า มันทำให้สีไพรดูงามอย่างมีคุณค่า จนชายหนุ่มทุกคนในร้านพากันเหลียวตามอง
ออกจากบ้านชิดชไมพร้อมข่าวร้าย ราชขับรถไปบนถนนสายเหงาเพียงลำพังคนเดียว ริ้วรอยของความว้าวุ่นใจในแววตาของเขาฉาบชัด
ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์จากจันทร์ดวงเดียวกับห้องอมาวสีสาดเข้ามาทางช่องแสงเล็กๆ ภากรและสีไพรล้มตัวลงนอน บนที่นอนเดิมของเธอ กิจกาม กิจกรรมของคนทั้งสองเคลื่อนไหวขยับเป็นจังหวะในเงามืด
ส่วนอมาวสี ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ค่อยๆ เอนตัวลงนอนตะแคงบนเตียงนั้น ดวงตาทั้งสองยังเปิดกว้าง ไม่มีวี่แววว่าจะหลับลงได้
ราชขยับตัวลงนั่งกลางห้องพักในบ้านของเขา ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ที่บ้านคุณนายชื่น ในหลืบมุมหนึ่ง ปรากฏร่างของหญิงสาวกำลังซุกตัวพูดโทรศัพท์เรื่องสำคัญ น้ำเสียงของเธอเท่าที่เราได้ยินนั้น มีเสียงสะอื้นไห้ปะปนอยู่ด้วย เธอคือ ชาลินี
“ฉันเสียใจค่ะ”
เสียงชายที่อยู่ปลายสายดังเข้ามาให้เราได้ยิน
“ทำไมคุณไม่รอผม...เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันรู้ค่ะ...แต่ว่ามันนานเกินไป สิบปีที่คุณหายไปจากบ้าน สิบปีที่ไม่มีใครรู้ว่าเราติดต่อกันอยู่ และจนวันนี้ คุณก็ยังไม่ยอมกลับมา...ใครๆอาจจะจำหน้าคุณไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แล้วฉันจะบอกพวกเขายังไง...โดยเฉพาะแม่ฉัน”
ปากชายผู้ที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ของชาลินี
“แม่คุณเห็นชอบให้คุณแต่งงานด้วยใช่มั้ย”
“ค่ะ...แม่บอกว่า ไม่มีใครเหมาะกับชาลินีเท่าคุณภากรอีกแล้ว...ลาก่อนนะคะ ภาคย์”
ชาลินีวางหูโทรศัพท์ลง เธอตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้ทันที
อารมณ์ของราชคุกรุ่นขึ้นมา ความแค้นพลุ่งพล่าน ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะนอนไม่หลับเช่นกันกับ อมาวสี
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตอนบ่าย วันหนึ่ง เมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านี้ ผืนทะเล ระอุอวลไปด้วยเกลียวคลื่น ถาโถมเข้าหาฝั่ง ความสูงของยอดคลื่น คะเนด้วยตา ไม่ต่ำกว่าสองเมตร มีวัตถุสะดุดตาคล้ายเรือลอยปะปนอยู่บนยอดคลื่นนั้น
มันคือซากเรือเร็วที่ถูกคลื่นซัดกระแทกหินจนแหลกไม่เป็นชิ้นดี ข้าวของสัมภาระกระจัดกระจายไปทั่ว เสียงฉะฉานของชายผู้มีภูมิดังเข้ามาในจังหวะนี้
“คนเราทุกวันนี้ พอมีปัญหาชีวิต ไม่รู้จะแก้ยังไง หลายต่อหลายคนก็หันไปเลือกทางออกด้วยการ ฆ่าตัวตาย...กินยาตายบ้าง...โดดน้ำตายก็ไม่น้อย”
บนรถทัวร์ที่วิ่งมุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้ กลางดึก เด็กชายภาคย์ หนีออกจากบ้าน เขานั่งอยู่บนเบาะท้ายรถทัวร์คันนี้ แสงไฟจากภายนอกสาดผ่านช่องหน้าต่างมากระทบใบหน้าเด็กชายเป็นระยะๆ เขาเหม่อมองไกลออกไป ภายนอกรถ
เสียงฉะฉานของชายคนเดิมดังเข้ามาอีก
“ทางออกแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง...ฉะนั้นถ้ามีโอกาส เราควรจะให้ความช่วยเหลือพวกเขา”
ที่เบาะอีกฝั่งหนึ่งด้านหน้าเด็กชาย เห็นชายเจ้าของเสียง อยู่ในชุดลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ มาดคุณครู เขากำลังอธิบายความให้กับลูกเสือสำรองตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ กันฟัง
“ซึ่งนั่นคือหนึ่งในกฎสำคัญของลูกเสือ”
ริมชายหาดทะเลเดิม ปลายคลื่นที่สาดเข้าหาผืนทราย มีร่างของชายผู้หนึ่ง นอนคว่ำหน้า หมดสติอยู่ตรงนั้น
ส่วนบนรถทัวร์ ชายในชุดลูกเสือสามัญ ยังคงอธิบายให้ลูกเสือตัวเล็กฟัง พร้อมกับยกรูปภาพในหนังสือให้ดูประกอบไปด้วย
“ทีนี้เรามาทบทวนวิธีการกัน ว่าเราจะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้อย่างไร...เริ่มต้นจาก การช่วยเหลือคนจมน้ำก่อน”
เด็กชายภาคย์หันไปมองที่ชายในชุดลูกเสือผู้นี้
เด็กชายคนหนึ่งวิ่งตรงลงไปยังชายทะเล จนกระทั่งไปถึงร่างของชายผู้นั้น
เสียงชายบนรถทัวร์ดังต่อเนื่อง
“ทางเดินหายใจของเขาอาจจะอุดตัน เนื่องจากมีน้ำอยู่ในหลอดลม ซึ่งจะทำให้หายใจไม่ได้และเสียชีวิต...ดังนั้นเราต้องเอาน้ำออกมาก่อน วิธีแรกคือใช้นิ้วล้วงคอให้อาเจียน”
เด็กชาย พลิกร่างชายผู้นอนแน่นิ่ง แล้วใช้นิ้วล้วงคอชายผู้นั้น ตรงตามวิธีการที่ชายบนรถทัวร์พูด
“หรือไม่ก็จับให้เขานอนคว่ำ แล้วใช้มือสอดใต้ท้องเขา ยกกระแทกขึ้น ลงเพื่อบีบให้น้ำออกมาจากปอดและหลอดลม”
เด็กชายออกแรงพลิกร่างชายให้นอนคว่ำ แล้วจึงยกช่วงกลางลำตัวของเขาขึ้นลง
“ถ้ายังไม่หายใจ ก็ต้องทำการผายปอด จะด้วยการกดหน้าอก...หรือใช้ปากแบบเม้าท์ทูเม้าท์ก็ได้”
เด็กชายพลิกร่างของชายผู้นั้นขึ้นมา แล้วใช้มือกดลงบนหน้าอกเขา
บนรถทัวร์ ชายในชุดลูกเสือ ลูบหัวลูกเสือตัวเล็กที่หน้าตา ง่วงและงงแล้วในตอนนี้
“วันนี้อาจจะฟังแล้ว ดูยากไปสำหรับเธอ...ไม่เป็นไร เธอโตขึ้นเมื่อไหร่เธอก็จะเข้าใจมากขึ้น และทำได้เอง”
ริมชายหาดทะเลเดิม ชายที่กำลังถูกผายปอด ที่แท้คือ รักษ์ ราชภูมิ วัยเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ลุงรักษ์ สำลักน้ำ หายใจออกมาจนได้ เขาหรี่ตามองเด็กคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“ขอบใจมาก ไอ้หนู”
เด็กชายคนนี้ เขาคือ เด็กชายภาคย์ ที่หนีออกจากบ้านนั่นเอง
ทะเลปราณบุรี ยามเช้า อวดความสวยงามตามธรรมชาติสรรสร้าง แก่ผู้มาเยือน
รถตู้คันใหญ่ของบ้านวารินแล่นเข้ามาจอดชิดชายหาด หน้าบ้านพักหลังใหญ่ริมทะเลสวย
วารินเป็นผู้ขับรถคันนี้ เขาก้าวลงมาเปิดประตูข้างรถตู้ ราวกับเป็นพนักงานขับรถ
“ขอต้อนรับสาวสวยทั้งสี่ เข้าสู่ บ้านชื่นชลธี บ้านของตระกูลรัตนพงษ์ เชิญทุกคนลงมาเยี่ยมชมบ้านพักของเราได้ ณ บัดนี้คร้าบ”
สาวสวยทั้งสี่ทยอยเดินลงจากรถตู้
นิลรัตน์ยิ้มขำ เย้าหยอกออกมาว่า “แหม หุ่นให้มากเลยค่ะพี่วาริน”
“ให้อะไร” วัชรีถาม
“ให้เป็นพนักงานโรงแรม” พึงใจตอบ
“ว่าพี่ชายฉันเป็นบ๋อยเหรอ”
“เป็นพนักงานขับรถย่ะ” พึงใจว่า
“เป็นอะไรพี่ก็ยอมครับ เพื่อให้น้องๆ ทุกคนมีความสุข สมองปลอดโปร่งก่อนสอบ
นิลรัตน์หันไปซุบซิบกับพึงใจ “เฉพาะอมาคนเดียวละไม่ว่า”
วารินกระเถิบเข้าใกล้อมาวสีที่นั่งซึมมาตลอดทาง
“น้องอ้อไม่ชอบทะเลเหรอครับ ดูไม่ยิ้มแย้มเลย”
“คงจะเพิ่งหายไข้น่ะค่ะ” อมาวสีบอก
“ไปพวกเรา ไปดูบ้าน เลือกห้องนอนกันดีกว่า”
วัชรีเดินนำหน้าเพื่อนๆ วิ่งเข้าบ้าน
ครู่ต่อมา วัชรีเดินนำสาวๆ เข้ามากลางโถงบ้านพัก ลักษณะบ้าน เป็นบ้านไม้ มีสามห้องนอน หนึ่งห้องโถงและระเบียงสวย
นิลรัตน์ชอบใจ “โห...น่าอยู่จังเลย”
“อยู่ซักสองเดือนเลยดีมั้ย” พึงใจว่า
“ไม่ต้องสอบ ไม่ต้องจบ ไม่ต้องรับปริญญากันเลยละซี”
“พูดเล่นจ้ะ รู้จักพูดเล่นบ้างมั้ยคะ คุณนิลรัตน์”
“ฉันก็กำลังพูดเล่นกับเธออยู่นี่ไงล่ะ”
“นอนห้องไหนกันดีพวกเรา” วัชรีถามความเห็นเพื่อนๆ
ทุกคนชี้ไปที่ห้องใหญ่
“ห้องนี้ มีระเบียงสวยงาม มองเห็นทะเล ตื่นเช้ามาต้องสวยแน่ๆ” นิลรัตน์บอก
พึงใจเสนอ “งั้นเรานอนรวมกันเลยดีมั้ย”
ทุกคนร้อง “โอเค”
“ส่วนห้องนี้ให้พี่วาริน”
พึงใจมองอีกห้อง “แล้วอีกห้องล่ะ”
วัชรียิ้มเจ้าเล่ห์ “ห้องนี้เอาไว้เป็นเซอร์ไพร้ส์ย่ะ”
นิลรัตน์แปลกใจ “มีเซอร์ไพร้ส์ด้วย”
“แน่นอน”
วารินเดินเข้ามาสมทบ ในมือของวาริน ถือถาดเครื่องดื่มสีสวยงาม
“เวลคัม ดริ๊ง สำหรับทุกคนครับ”
พึงใจกรี๊ด “ต๊าย...น่ารักจังอ้ะ”
“และนี่ดอกไม้สำหรับน้องอ้อ”
นิลรัตน์แหย่ “คนเดียวเหรอคะ”
“ก็น้องเพิ่งหายป่วยก็ต้องเอาใจเป็นพิเศษหน่อย”
ขาดคำพึงใจรีบทำท่าเซ เหมือนจะเป็นลม
“โอ๊ะ...อยู่ๆ ก็ป่วยฉับพลัน อยากได้ดอกไม้บ้างจังเลย”
“เอาดอกหน้าวัวมั้ย เดี๋ยวฉันหาให้”
วารินส่งดอกไม้ให้อมาวสี อมาวสียิ้มรับ
“ขอบคุณนะคะ สำหรับเซอร์ไพร้ส์ดอกนี้”
“มีเซอร์ไพร้ส์มากกว่านี้อีกครับ”
นิลรัตน์กระเถิบเข้าใกล้วาริน “ไหนล่ะคะ...อยากรู้อยากเห็นเร็วๆ แล้วค่ะ”
“ห้องนอนห้องที่สามนี้ จะเป็นของนักท่องเที่ยวรายใหม่ที่กำลังมาถึง”
ทุกคนร้อง “ใคร คะ” พร้อมกัน
เสียงแตรรถดังเข้ามาจากหน้าบ้าน ทุกคนหันไปมองตามทิศทางของเสียง
รถเก๋งคันใหญ่คันใหม่จอดนิ่งอยู่หน้าบ้านพัก อนุและการันต์ก้าวลงจากรถ นิลรัตน์ กับพึงใจวิ่งออกมาจากตัวบ้าน ตามมาด้วยวัชรี
นิลรัตน์ร้อง “อุ๊ยตาย คุณอนุมา”
“คุณการัณย์ก็มาด้วย” พึงใจยิ้มแป้น
อนุและการัณย์หันมาทัก “สวัสดีคร้าบ”
ราชก้าวลงจากรถเป็นคนสุดท้าย
สองสาวร้อง “ตายักษ์” พร้อมกัน
“มาถูกได้ยังไงคะเนี่ย”
“ฉันเป็นคนส่งแผนที่ให้เอง” วัชรีบอก
“ดีจัง” สองสาวยิ้มเขิน
“คุณการัณย์จะตามมา ก็ไม่บอกก่อน จะได้เตรียมเสื้อผ้าสวยๆ มาใส่” พึงใจตัดพ้อ
การัณย์ว่า “แค่นี้ก็สวยบาดใจแล้วครับ”
วารินเดินออกมาพร้อมกับอมาวสี
“ห้องที่สามก็เป็นห้องนอนของหนุ่มๆ ทั้งสาม”
“ทีนี้ก็จะได้ครบคู่ทุกคนเลย” วัชรียิ้มกระหยิ่ม
ราชเหลือบมองอมาวสี
“ตามสบายทุกคนนะ พี่ขอไปเช็คเรือก่อนนะ เผื่อจะเอามาขับเล่นกัน”
ทุกคนจับคู่แยกย้ายกระจายกันออกไป ราชเดินเฉียดเข้าไปใกล้อมาวสี
“หายดีแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ”
“คงได้ยาดี...หมอดี”
น้ำเสียงราช เหมือนเป็นการถากถาง ตามถนัด
อมาวสีตอบกลับด้วยสำเนียงที่ไม่แพ้กัน
“ค่ะ พี่วารินเป็นธุระดูแลให้อย่างดี”
“น่าสงสารไอ้หมอวาริน...ถ้ามันได้ข่าวคราวบางอย่างของคุณเข้า มันอาจจะช็อก หมดสติไปเลยก็ได้”
อมาวสีไม่เก็ต “ข่าวอะไร”
“ข่าวงานมงคล จากประมุขแห่งบ้านพิชิตพงษ์...หวังว่าคงเป็นข่าวโคมลอยนะ” ราชว่า
อมาวสีอึ้งไปถนัดตา
ขณะเดียวกัน ท่านกวีนั่งอ่านเอกสารในแฟ้มอยู่ในหนังสือที่บ้านพิชิตพงษ์ มันเป็นเอกสารอธิบายลำดับขั้นตอนการใช้เงินลงทุน กิจการขายยาของบ.เฮลท์ตี้ ฟาร์ม่า คุณหญิงอำภา นั่งอยู่ข้างๆ เธอนั่งอ่านเอกสารแบบเดียวกันอีกชุดหนึ่ง
ทนายชอบยืนอธิบายรายละเอียดประกอบเอกสารอยู่ใกล้ๆโต๊ะนั้น
“ผมดำเนินการจดทะเบียนบริษัทแล้วนะครับ...มีชื่อคุณหญิงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ส่วนรายชื่อกรรมการเจ็ดคน ก็ตามรายชื่อเดิมของเรา ทุนจดทะเบียนอยู่ที่หนึ่งรอยล้าน”
“ไม่มีชื่อผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยนะ” ท่านกวีเงยหน้าถาม
“ครับ นอกจากเป็นประธานที่ปรึกษาเท่านั้น”
“ถ้ามีปัญหาอะไร ฉันก็รับคนเดียวเต็มๆ เลยสินะ” คุณหญิงประชดในที
“ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนครับ...เราทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างยกเว้นแต่ว่าบริษัทนี้ไปก่อหนี้ก่อสินเท่านั้นแหละ...ที่จะเป็นภาระของคุณหญิง”
คุณหญิงอำภาถอนใจออกมาดังพอได้ยิน
“หรือเราควรจะจดทะเบียนหย่ากันไว้ก่อน เพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะเกี่ยวโยงกัน” อดีตรมต. ว่า
“ฉันว่าคุณเลิกเล่นการเมืองไปเลย ดูจะง่ายกว่านะคะ”
ท่านกวีหัวเราะเบาๆ ยังอารมณ์ดีอยู่ “เอ้ามาดูเรื่องcash flowต่อซิ”
“เดือนแรกเราต้องลงทุนซื้อที่ดินสำหรับทำโรงงาน ผมดูไว้แถวลาดกระบัง...เนื้อที่สิบสองไร่ ราคาประมาณสี่สิบล้าน ยังไม่รวมค่าถมที่...ส่วนออฟฟิศที่ใช้ติดต่อทั่วไปก็ต้องอยู่กรุงเทพฯ ใจกลางเมือง ผมพยายามจะดูตึกที่ซื้อแล้วพร้อม ย้ายเข้าอยู่เลย ราคาประมาณ ยี่สิบล้าน เดือนถัดมาคงต้องเร่งสร้างโรงงาน...รวมค่าออกแบบด้วยแล้วประมาณ แปดสิบสี่ล้าน เราแบ่งจ่ายได้สิบงวด สิบเดือนน่าจะสร้างเสร็จ...เครื่องจักรต่างๆ เดี๋ยวรอจากทางคุณหว่อง แต่เราวางเงินแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จนส่งของครบค่อยจ่ายส่วนที่เหลือ...นอกนั้นก็เป็นค่าลิขสิทธิ์ของกลุ่มนักวิจัย...รอตัวเลขจากคุณหว่องเหมือนกัน” ทนายชอบจาระไน
“เท่ากับปีแรกเราลงเงินอย่างเดียว” คุณหญิงพูดเป็นเชิงถาม
“ครับ”
“แล้วเราจะเริ่มมีรายได้เข้ามาเมื่อไหร่”
“ปีที่สามครับ ...หลังจากทำประชาสัมพันธ์ดีๆ รายได้จะเข้ามาแบบพรวดพราด...ดูจากเอกสารคุณหว่อง เชื่อได้ว่า ลูกค้าของเราจะมีมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร”
“แปลว่าปีที่สามจะกำไรถล่มทะลาย” ท่านกวีประเมิน
“ยังครับ ปีที่สามและสี่ถือเป็นการคืนทุน กำไรจะอยู่ที่ปีที่ห้า...จากนั้นก็จะกำไรตลอด การลงทุนเพิ่มเติมแทบจะน้อยมาก”
คุณหญิงอำภายังดูมีความกังวลอยู่ “คุณจะเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนคะ”
ท่านกวีลุกขึ้นเดิน เปลี่ยนอิริยาบถ
“ผมจะดึงเงินจากบัญชีเมืองนอกของผมกลับมา...”
คุณหญิงอำภาทักท้วง “มันเป็นเงินที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมจะขายตึกที่ถนนตก”
“ฟอกเงิน?” คุณหญิงว่า
“ใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น แต่เงินของเรามันไม่ได้มาจากการคอรัปชั่น โกงบ้านโกงเมืองนะ มันแค่คอมมิชชั่นนิดหน่อยเท่านั้น และผมก็จะโอนบ้านหลังนี้ให้นายภากร ให้มันเอาไปเข้าแบงค์ เอาเงินจากแบงค์มาผสม...ทำได้มั้ยคุณชอบ”
“อย่างท่านว่านั่นแหละครับ ใครๆก็ทำกัน”
คุณหญิงย้อนแย้ง “แล้วมันถูกหรือผิดล่ะคะ”
“ผมทำถูกมาทั้งชีวิต จะผิดนิดผิดหน่อยบ้างไม่ได้เหรอ”
“ผิดก็คือผิด จะผิดมากหรือน้อยก็คือผิด...ฉันไม่อยากทำอะไรผิดมากไปกว่าที่เคยทำมาอีกแล้วค่ะ”
คุณหญิงอำภาพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่นจริงจัง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนพูด
ส่วนที่บ้านพักชายทะเล วัชรียืนอยู่กลางโถงบ้าน ป้องปากตะโกนลั่น
“ทุกคน...ถึงเวลาเล่นน้ำทะเลกันแล้วจ้า....”
นิลรัตน์ พึงใจ อมาวสีเดินออกมาจากห้องนอน อนุ การัณย์ ราช มาจากอีกทางหนึ่ง ทั้งหมดยืนล้อมรอบตัว วัชรี
“โอ้โฮ...ไม่มีใครใส่ชุดว่ายน้ำซักคนเลยเหรอครับ” อนุแซวเอาจริง
“เราเล่นน้ำค่ะ เราไม่ได้ว่ายน้ำ” นิลรัตน์ว่า
“ถูกต้องค่ะ” พึงใจเสริม
“กิจกรรมทุกอย่างที่พี่วารินเตรียมไว้ให้ล้วนแต่เป็น สปอร์ตเอ๊กซ์ตรีมทั้งนั้น” วัชรีประกาศอีก
“ไป ไปดูกัน” พึงใจเนื้อเต้น
ทุกคนขยับตัวเดินออกจากบ้านไป
บริเวณชายหาดยามนี้ แลเห็นอุปกรณ์ประกอบกิจกรรมต่างๆ พร้อมผู้ควบคุมอุปกรณ์ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันริมทะเล มันประกอบไปด้วย ม้าชายหาดสี่ตัว พร้อมคนคุมเพศชายผอมเกร็ง ตัวดำฟันขาว
kite boarding สองชุดพร้อมคนคุมเพศหญิงหุ่นล่ำบึ๊ก และเรือเร็วหนึ่งลำ พร้อมคนคุมร่างอ้วนหนึ่งคน
วาริน ราชและเพื่อน พร้อมด้วยสาวทั้งสี่ก้าวเข้ามามองอุปกรณ์เหล่านี้ วารินเอ่ยปากก่อน
“เอาละ ทีนี้จะเล่นอะไรกัน ใครเลือกก่อนดี”
นิลรัตน์ พึงใจชี้ไปที่สปีดโบ๊ท “เอาอันนี้”
“สบายไป เรือเร็วนั่งสบาย ต้องสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้” วัชรีว่า
นิลรัตน์บอก “งั้นฉันขี่ม้า”
“ฉันด้วย” พึงใจว่า
อนุกะการัณย์ประสานเสียง “ผมด้วย”
“สี่ตัวพอดี” นุบอก
“คุณราชกับวัช เล่นไค้ท์กันนะคะ”
“ได้ครับ”
“พี่วารินขับเรือให้อมานั่งนะคะ” วัชรีจัดแจง
“ยินดีครับผม”
“โอเค ทุกอย่างลงตัว...show time” วัชรีร้องบอก
ทุกคนวิ่งไปยังอุปกรณ์ที่ตัวเองเลือก ราชลอบมองหน้าอมาวสีอีกหนึ่งที
แต่ละคนอยู่ในกิจกรรมของแต่ละกลุ่ม เป็นภาพสวยงาม สนุกสนาน นิลรัตน์ และพึงใจ ขึ้นม้า อย่างคล่องแคล่ว ขณะที่อนุ การัณย์ กลับดูไม่ทะมัดทะแมงเท่าที่ควร คนคุมม้าต้องคอยดันก้นทั้งสอง
ฝ่ายวารินจูงอมาวสีก้าวลงเรืออย่างทะนุถนอม เขาสวมหมวกกันแดดให้อมาวสีด้วย ก่อนจะหันไปบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องสปีดโบ้ทลำงาม
ฟากราชและวัชรี ใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ kite boarding ดูทะมัดทะแมงทั้งคู่
ม้าสี่ตัวค่อยๆ เดินเคียงกันเป็นคู่ๆ บนหาดทรายสวยสะอ้านตา การัณย์และพึงใจคุยกันไปด้วย
“คุณพึงใจเคยดูหนังมั้ยครับ”
“เคยค่ะ”
“ในหนังรักหลายเรื่อง จะมีฉากพระเอกจีบนางเอกบนหลังม้า”
“เคยดูแต่เรื่องบางระจัน ฟันกันคอขาดบนหลังม้าค่ะ”
อนุและนิลรัตน์ ก็หาเรื่องคุยกัน
“ม้าเป็นสัตว์ที่สวยงามมาก คุณนิลรัตน์ว่ามั้ยครับ”
“ว่าค่ะ”
“ยิ่งได้ผู้หญิงที่งามสง่านั่งอยู่บนหลังม้า ผมว่ามันน่าดูกว่ารถสปอร์ตอีกนะครับ”
“งั้นคุณอนุน่าจะเปลี่ยนจากขายรถ เป็นขายม้านะคะ”
“คอนเนคชั่นของผมกับบริษัทน้ำมันก็จะเสียเปล่าสิครับ”
“คุณอนุก็ย้ายสายสัมพันธ์ไปผูกมิตรกับเกษตรกรชาวไร่สิคะ จะได้หาซื้อหญ้าราคาถูกให้ม้า”
การัณย์ และ พึงใจ คุยเรื่องหนังต่อ
“แล้วหนังโรแมนติก ที่เกี่ยวกับม้า คุณพึงใจไม่เคยดูบ้างเหรอครับ”
“ดูค่ะ...เรื่อง แก้วหน้าม้า”
การัณย์หันมาทางทุกคน “เรามาแข่งกันดีมั้ยครับ...เดินเหยาะๆ เดี๋ยวหลับ...ใครชนะได้รางวัล”
“รางวัลเป็นอะไรคะ” นิลรัตน์ถาม
“อะไรก็ได้ที่คุณนิลรัตน์และคุณพึงใจ ต้องการ”
สองสาวมองหน้ากัน ยิ้ม
“โอเค” สองสาวบอก
นิลรัตน์และพึงใจ บีบน่อง กระแทกส้นเท้าไปที่ท้องม้า ม้าทั้งสองตัวออกวิ่งโกยแน่บ แต่ม้าของอนุและการัณย์กลับยืนนิ่งเฉยๆ
หนุ่มทั้งสอง พยายามออกแรง กระทุ้ง และส่งเสียงเรียกให้ม้าวิ่ง
“ฮึ่ยยย...ชู่ย์ย์ย์...ไปซี่ ไป...วิ่ง...”
การออกคำสั่งไม่เป็นผล
ม้าทั้งสองตัวยืนนิ่ง ครู่เดียว ขี้ก้อนใหญ่ก็ทะลักออกมาจากตูดม้า
“แกกับฉันทำอะไรผิดวะ”
อนุบ่นท่าทีเซ็งๆ
ส่วนในเรือเร็วลำนั้น วารินขับเรือด้วยท่าทางที่สมาร์ท หล่อ เท่ห์ หน้าตา ดูมีความสุข อมาวสีก็เพลิดเพลินใจไปด้วยไม่น้อย
วารินคอยเหลือบมองดูหน้าอมาวสีพร้อมกับรอยยิ้ม
“เอ้อ...คุณอ้อว่ายน้ำเป็นใช่มั้ยครับ...ผมลืมถาม”
“ถามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ...”
อมาวสีเอื้อมมือหยิบชูชีพในเรือมาใส่ วารินถึงกับสะดุ้งเล็กๆ
“ห๊ะ!”
“ว่ายเป็นค่ะ...แต่คงไม่มีเหตุการณ์อะไรทำให้ตกน้ำใช่มั้ยคะ”
“รับรอง ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ...อยากลองขับบ้างมั้ยล่ะ”
“อย่าเลยค่ะ”
“ลองสิครับ...ไม่ยาก ง่ายกว่าขี่ม้าตั้งเยอะ”
วารินขยับตัวเปิดทางให้ อมาวสีกระเถิบมายืนหน้าพวงมาลัย เขาใช้มือโอบอมาวสี เพื่ออธิบายการขับเรือ
หากมองมาจากที่ไกลๆ จะเห็นวารินโอบร่างอมาวสีไว้อย่างสนิทแนบแน่น
ราช ในชุดพร้อมบอร์ดดิ้ง เขายืนอยู่ริมหาด จ้องมองภาพในเรือลำนั้น วัชรี ในชุดลักษณะเดียวกัน กระเถิบเข้ามายืนข้างๆราช เธอมองไปยังจุดเดียวกับราช
“สองคนนั้นดูน่ารัก และเข้ากันดีนะคะ...คุณราชว่ามั้ย”
“เราเชียร์นายวาริน เราก็ต้องว่าอย่างนั้นสิครับ”
“แต่รู้อะไรมั้ยคะ...คุณราชอยู่ในชุดนี้เท่ห์กว่าพี่วารินขับเรือเป็นไหนๆ” วัชรีหยอด
“ถามจริง”
“แต่อย่าไปบอกพี่วารินนะคะ เดี๋ยวแกจะเสียใจ”
ราชหัวเราะเบาๆ
“เราโฉบไปใกล้ๆ เขาดีมั้ยคะ”
“ไปครับ”
ราชและวัชรีเดินถืออุปกรณ์ลงทะเล พร้อมเล่น
ขี้ก้อนใหญ่ยังคงหล่นออกมาจากตูดม้าไม่ยอมหยุด อนุและการัณย์นั่งเอี้ยวตัว ชะเง้อมองดูตูดม้า
“แกว่า มันกินอะไรมาวะ ถึงได้ขี้ไม่หยุดอย่างนี้” การัณย์ถาม
“ไม่รู้เว้ย...ไม่รู้ด้วยว่าป่านนี้คุณนิลรัตน์ คุณพึงใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว...ไปโผล่หัวหินแล้วมั้งเนี่ย”
การัณย์เร่งม้า “ขี้เสร็จแล้วก็วิ่งซะทีสิ...ชี่ย์ย์ย์...ไป...วิ่งดี้”
ทั้งสองพยายามออกคำสั่งอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ คนคุมม้าสองคนเดินยิ้มตะโกนมาไกลๆ
“หวดครับ ต้องหวดมัน”
อนุและการัณย์ใช้มือตีไปที่ก้นม้าตามที่คนคุมบอก
“ชีย์ชี่ย์ชี่ย์...มันไม่ไปว่ะ”
“แรงๆครับ” คนคุมตะโกนบอก
การัณย์ว่า “สุดแรงแล้ว”
คนคุมม้าเดินมาถึงม้า “ต้องแรงอย่างนี้ครับ” ขาดคำคนคุมม้าเขาเงื้อแส้ฟาดอย่างแรง ม้าทะยานออกไปโดยเร็ว
อนุและการัณย์หงายหลังตกม้า...ม้าออกวิ่งไปไกล
เรือแล่นห่างฝั่งออกมา อมาวสี ขับเรือ อย่างสนุก วารินจ้องมองอมาวสี อย่างสุขใจ
ราชและวัชรี โลดแล่นอยู่บน kite boarding วัชรีมีความสุข เธอส่งสัญญาณคอยเชียร์พี่ชาย
ราช ที่ดูสมาร์ท หล่อ แข็งแรงอยู่บนบอร์ด ลอบมองแต่อมาวสี
ฟากนิลรัตน์และพึงใจ สองสาวควบม้าอย่างมีความสุข ม้าของอนุและการันต์วิ่งแซงขึ้นมา...แต่ไม่มีคนขี่ อนุและการันต์วิ่งไล่ตามม้า หน้าตั้ง สภาพน่าขบขัน
ราชและวัชรี เล่นบอร์ด โฉบไปกับเรือเร็วลำนั้น วารินประคองมืออมาวสีบังคับเรือ ราชและอมาวสี สบตากันจังๆ ในจังหวะหนึ่ง
วารินขับหนีออกจากวงล้อม มุ่งตรงสู่เกาะแก่งสวยงามเบื้องหน้า
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 5 (ต่อ)
เรือเร็วลำนั้นแล่นเข้ามาจอดลอยลำ ตรงบริเวณเวิ้งอ่าว ของเกาะ แก่ง ทะเลสวย คลื่นลมสงบ
“น้องอ้อ ขับเรือได้แล้ว เห็นมั้ย ไม่ยากเลย”
“เพราะมีพี่วารินช่วยประคองต่างหาก อ้อถึงขับได้”
“ถ้างั้น จากนี้ไปไม่ว่าเรื่องอะไรที่ติดขัด เป็นปัญหา พี่ยินดีประคับประคองน้องอ้อทุกเรื่อง”
“จะดีเหรอคะ”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะครับ”
“พี่วารินก็จะเหนื่อยแย่ เพราะอ้อทำอะไรไม่เป็นตั้งหลายอย่าง”
“พี่ยินดี อาสา ทุกอย่างครับ...เริ่มตอนนี้เลยมั้ย พี่จะสอนน้องอ้อดำน้ำ”
“อ้อเพิ่งหายไข้นะคะ”
“อือมจริง...งั้นนี่ ผลไม้ และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ”
วารินหันไปหยิบ ผลไม้และเครื่องดื่มที่เตรียมไว้ ส่งให้อมาวสี
“พี่วารินเตรียมมาด้วยเหรอคะ”
“ยายวัชรีสั่งไว้...แล้วห้ามบอกอ้อด้วยว่าเธอเป็นคนสั่ง”
อมาวสีขำ “อ้าว”
“ตายจริงพี่บอกหมดเลยอ้ะ”
อมาวสีน่ารักดีค่ะ
ทั้งสองหัวเราะเบาๆ พอสนุก
วารินเอ่ยขึ้นในจังหวะต่อมา “พี่คิดว่า ความสัมพันธ์ที่ดี ต้องเริ่มจากการพูดความจริงซึ่งกันและกัน”
อมาวสียิ้มรับ
“น้องอ้อ นั่งทานผลไม้ไปก่อนนะ...พี่ขอสน็อกเกิร์ลลิ่ง แถวนี้เล่นพักนึง”
วารินถอดเสื้อ กระโดดลงน้ำดังตูม อมาวสีเหลียวมองตามไป เธอรู้สึกสดชื่นสบายใจไม่น้อย จู่ๆ ราช รัชภูมิ โผล่ขึ้นมาจากน้ำ อีกฝั่งหนึ่งของเรือ
“มีความสุขดีมั้ยครับ”
อมาวสีตกใจนิดๆ “คุณ...”
ราชปีนขึ้นไปนั่งบนเรือ เขาอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น สวมสน็อกเกิร์ล ไม่ใส่เสื้อ ดูเซ็กซี่
“ผมตีมือกับนายวาริน...ระหว่างมันไปดำน้ำ ผมก็อยู่เป็นเพื่อนคุณแทนมันไง หรือคุณไม่ชอบหน้าผม” เขาเปิดฉากกระแนะกระแหน ตามเคย
“คุณเป็นคนที่คิดเอง พูดเอง เออเอง ตลอด”
“งั้นคุณชอบหน้าผม”
“มุกนี้อีกแล้ว” อมาวสีออกอาการเซ็ง เหนื่อยหน่าย
“ผมไม่เก่งเหมือนคุณนี่ มีมุกใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ มุกหลอกล่อคนโน้น อ่อยเหยื่อคนนั้น”
คราวนี้อมาวสีชักสีหน้า เริ่มไม่พอใจ
“อะไรของคุณ”
“นี่ขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ วางตัวจะหมั้นหมาย แต่ง งง แต่ง งาน อยู่แล้ว ยังมีเวลามาอ่อยเพื่อนผมอีกต่างหาก”
อมาวสีโกรธจัด “คุณราช”
ราชไม่หยุดง่ายๆ “โดยเฉพาะลูกไม้แกล้งป่วยนี่ แหม...ได้ผลชะงัด”
อมาวสีโกรธถึงขีดสุด จนเงื้อมือหมายจะตบ ราชพูดสวนดักคอ จนอมาวสีต้องชะงัก
“เถียงสู้ไม่ได้ก็จะตบ...ผู้หญิงมีแค่นี้เหรอ”
“มีมากกว่านี้”
ขาดคำอมาวสีผลักราชจนหงายหลังตกลงไปในน้ำ
ช่างบังเอิญเหลือเกินว่า วารินโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเจอราชพอดี
“เฮ้เพื่อน...นัดกันว่าจะเอาเจ๊ตสกีมาไม่ใช่เหรอ นี่แกว่ายน้ำมาหรือไง”
“โน่นเจ๊ตอยู่ที่วัชรี มาโน่นแล้ว”
วัชรีขี่เจ็ตสกีมาไกลๆ โบกไม้โบกมือให้อมาวสี
“เราไปก่อนนะ...ไม่อยากขัดจังหวะคนกำลังมีความสุข” ราชเหน็บส่งท้าย
“ฝากน้องสาวเราด้วย”
“ได้เลยเพื่อน”
ราชว่ายน้ำไปหาเจ็ตสกีที่วัชรีขี่มา อมาวสีมองตาม แววตาเคืองขุ่นเป็นอย่างยิ่ง
อีกฟากหนึ่ง รถภากรแล่นมาจอดบริเวณหน้าตึกแถว บ่อนไอ้จอน มีสายบัวนั่งเคียงคู่มาด้วยในรถคันนั้น ภากรมองไปรอบๆ
“ทำไมเงียบเชียบจัง...แล้วมันจะสนุกเหรอครับ”
“ความสนุกอยู่ข้างบนค่ะ...ไม่ได้อยู่ข้างล่าง”
สายบัวยื่นหน้าเข้าไปพูดจนชิดหน้าภากร
“ไปข้างบนกันเถอะค่ะ...พี่จอนรออยู่”
สักครู่หนึ่ง สายบัวเดินนำภากรเข้ามาในบ่อน แสงสีในห้องนี้ สวยงามตระการตาผิดไปจากที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ เหล่านักพนันเดินสวนกันไปมา พร้อมกับหมู่สาวในชุดวาบหวาม ถือเครื่องดื่มผ่านหน้าภากรไป
“อือม...ข้างบนมันกว่าข้างล่างจริงๆ ด้วย”
“จูดี้บอกแล้วไงคะ” สายบัวว่า
“ไม่เหมือนคาสิโนที่ผมเคยไปเลย”
“บ่อนไหนคะ...ของเฮียอะไร” สายบัวอวด
“ไม่ใช่เฮียครับ ที่เวกัส...พวก เอ็มจีเอ็ม ซีซาร์พาเลส เบลลาจิโอ มิราจ อะไรพวกเนี้ยครับ”
“จูดี้ไม่มีโอกาสไปที่อย่างนั้นหรอกค่ะ วันหลังพาจูดี้ไปบ้างได้มั้ยคะ”
จอนเดินยิ้มร่าตรงมาที่ภากร
“สวัสดีครับคุณภากร”
ภากรทักตอบ “สวัสดีครับพี่จอน”
“เป็นไงบ้าง บ่อนของผม...เร้าใจดีมั้ย”
“ผมไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อนเลยครับ”
“เห็นเฉยๆไม่ได้...เห็นแล้ว ต้องเล่นเลย...มาทางนี้ตามผมมา”
จอนลากภากรมายังโต๊ะรูเล็ต
“นี่ เซิร์ฟๆกันที่ รูเล็ตก่อน...น้องหลีกทางให้แขกพิเศษของพี่หน่อย”
จอนส่งชิปแทนเงินให้ภากร
“เอ้านี่ ทุน...เอาของผมไปเล่นก่อนเลย”
“ขอบคุณครับ”
ภากรเลือกวางเงินลงบนช่องที่ต้องการ เจ้ามือกดปุ่มหมุนกระดานรูเล็ต ลูกเต๋าตกตรงช่องที่ภากรแทง ภากรกระโดดดีใจ เจ้ามือจ่ายเงินให้ภากร
“แน่ะ มีดวงทางนี้ด้วย...อย่างนี้ต้อง เล่นต่อ เล่นต่อไปเลยครับ”
จอนว่า พลางโอบไหล่ภากรอย่างสนิท ภากรเลือกช่องวางเงินอีกเจ้ามือกดปุ่มหมุนกระดานรูเล็ต โคลสอัพ ลูกเต๋ากลิ้งไปตามช่องต่างๆบนกระดาน
เจ้ามือดึงคันโยกให้หยุดตามล็อคที่ต้องการ ลูกเต๋าตกลงตรงช่องที่ภากรแทง
ภากรกระโดดตัวลอยอีกครั้ง เขาหันไปกอดจูดี้อย่างสนุกสนาน
“เยี่ยมไปเลย เก่งมากครับ”
เจ้ามือส่งเงินให้ภากร สายบัวมองเงินที่เจ้ามือจ่ายภากร
ตรงซอกหลืบหลังห้องนั้น ลูกน้องสามคนแอบมองดูอยู่ พวกมันกลืนน้ำลาย เฮือกใหญ่
เผือกบอกเบาๆ “เงินกูทั้งนั้นเลยนั่นน่ะ”
ภากรพูดกับจอนอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง
“ถ้าสนุกอย่างนี้ ผมอยู่ได้ทั้งคืนเลยนะ”
“จริงรึเปล่า...ถ้าอยู่ต่ออีกนิด เดี๋ยวจะมีลูกค้ารายใหญ่ ขาประจำของพี่มา...เราจะเล่นโป๊กเกอร์กัน สนุกมาก เดิมพันเป็นแสน สนมั้ย”
ภากรบอก “โอ้ว...ขนาดนั้น ผมคงไม่ไหว”
“ไหวซี่...ดวงดีอย่างนี้จะกลัวอะไร”
จอนหันไปตะโกนสั่งสาวๆที่เดินอยู่แถวนั้น
“น้อง...เอาเหล้าเบียร์มาบริการแขกพี่หน่อย”
สายบัวลอบถอนใจเบาๆ หวั่นเกรงว่างานนี้อาจจะล้มเหลว
ม.ร.ว. หญิงทิพย์สุดายังเดินหน้าหาความจริงต่อ ในเดียวกันนี้ รูปถ่ายหม่อมเจ้าคฑาเทพถูกดึงเข้ามาโดยคุณนาถ ผู้พิพากษา ผู้เป็นสามีของคุณหญิง และกำลังจ้องดูรูปในมืออย่างพินิจ เขาหยิบเอารูปราช รัชภูมิ ที่นิลรัตน์ส่งมาให้ ขึ้นมาเทียบกับรูปถ่ายท่านชาย
“บังเอิญมั้ง คุณ” คุณนาถปรารภ
ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดานั่งอยู่ข้างๆ สามี
“ถ้าจะบังเอิญ ก็ต้องถือว่า เป็นการบังเอิญที่น่าอัศจรรย์ที่สุด...เพราะเหมือนไปหมดทุกอย่าง ท่าทาง หน้าตา การพูดจา แม้แต่รอยยิ้ม”
“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายความบังเอิญให้เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ได้ยังไงนะ”
“สายเลือดไงคะ...สายเลือดพอจะเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ได้มั้ยคะ”
“แต่ก็มีบ่อยไป ที่สายเลือดเดียวกันแท้ๆ แต่หน้าตาฉีกกันไปคนละเรื่องเลย”
“แต่คู่นี้เป๊ะค่ะ...ดิฉันอยากให้คุณได้เห็นหน้านายราชคนนี้จริงๆ แล้วคุณจะต้องเชื่อที่ดิฉันพูด”
“ถึงผมไม่เห็น แต่คุณก็บรรยายซะชัดยิ่งกว่าเห็นเองซะอีก” ผู้เป็นสามีสัพยอก
“ที่สำคัญก็คือ...ดิฉันจะไม่มีความสุขเลย ตราบใดที่ยังไม่สามารถตามหาคนที่ท่านอาฝากฝังไว้ได้”
“ผมว่าคุณควรเริ่มที่ต้นตอ นะ”
“ยังไงคะ” คุณหญิงฉงน
“ก็ที่แม่เขาไงครับ...เราอาจจะได้ข้อมูลมากขึ้น” คุณนาถหมายถึง คุณหญิงอำภา
“ดิฉันไม่อยากเจอหน้าแม่คนนั้น” น้ำเสียงและสรรพนามมีร่องรอยของความชิงชังในนั้น
“ถ้าไม่ยอมเจอ คุณก็จะวนอยู่แค่นี้แหละ...กี่ปีมาแล้วล่ะคุณ...ตามใจคุณนะ...ผมไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องไปศาลแต่เช้า ออกนั่งบัลลังก์หลายคดีเลย”
งานปาหี่ในบ่อนของจอนยังดำเนินไปอย่างราบรื่น พบว่าเวลานี้ภากรกำลังมือขึ้นอย่างมาก เขารวบรวมเงินมากมายมาวางที่หน้าตัก หัวเราะร่าเริง มีความสุขกับการเล่นได้ สายบัวยืนคลอเคลียข้างๆ ด้วยท่าทางสนุกสนานใกล้เคียงกัน
“คุณเป็นตัวนำโชคของผมจริงๆ ครับ จูดี้”
จอนส่งซิกพยักหน้าให้เจ้ามือ เปิดโชว์ฉากต่อไป
“ขออนุญาตปิดโต๊ะก่อนนะครับ” เจ้ามือบอก
ภากรแปลกใจ “เลิกแล้วเหรอ”
“ถึงเวลาของโป๊กเกอร์แล้วครับ...ขาประจำมาแล้ว”
จอนเดินนำ เผือก อ้อน เหิม เข้ามาในจังหวะนี้ ทั้งสามสมุนอยู่ในลีลาของนักพนันต่างถิ่น พวกมันสวมบทบาทได้เหมือน และเนียนมากๆ
“คุณภากรครับ รู้จักกับขาประจำผมหน่อย...นี่เฮียจั๊ว นี่พ่อเลี้ยงทวีชัย นี่คุณบอย...นี่คุณภากรครับ ลูกชายท่านรัฐมนตรีกวี”
“อ๋อเคยได้ยินชื่ออยู่” เหิมว่า
เผือกเชื้อชวน “มาเล่นด้วยกันสิครับ...จะได้ครบสี่ขาพอดี”
ภากรปฏิเสธ “วันหลังดีกว่าครับ...วันนี้ดึกแล้ว...ผมจะพาจูดี้ไปทานข้าวข้างนอก...พี่จอนคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
เผือก เหิม อ้อน มองหน้ากัน มันผิดไปจากแผนที่วางไว้ จอนอึกอัก มองหน้าสายบัว
“เอ้อ...”
สายบัวจำต้องเล่นบทของเธอ คือเอาใจภากร
“นะ พี่จอน...นะ...วันหลังคุณภากรก็มาอีก คราวหน้าจูดี้จะยอมให้อยู่นานๆ เลย ไม่ออกไปไหนเลย”
จอนจำใจ ไม่มีทางเลือก
“ครับ...แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นครับ มีจูดี้อยู่ด้วย ผมมาได้เสมอ...”
“อย่านานนักนะ...พี่มันใจร้อน”
ภากรแบ่งเงินส่งให้เจ้ามือ
“เอ้า น้อง...ทิปจากพี่...ไปนะครับทุกคน”
ภากรควงสายบัวออกไป สายบัวลอบหันมามองจอน เหมือนจะบอกว่าเธอก็ไม่มีทางเลือก
ทุกคนถอนใจ เซ็ง
เมื่อร่างภากรพ้นออกไป จอนเอื้อมมือดึงเงินทิปมาจากเจ้ามือ
“เอาเงินทิปมานี่...ของกู”
เหิมเซ็ง “ทำไงดีล่ะลูกพี่”
“ใจเย็นๆ จะตกปลาตัวใหญ่ มันต้องใช้เวลา และใช้เหยื่อเยอะหน่อย”
อ้อนปากดี “ระวังจะเสียฟรีๆ ทั้งเหยื่อ ทั้งเมียนะลูกพี่”
“เดี๋ยวกูก็ถีบเข้าให้หรอก”
พูดจบ จอนก็ถีบไอ้อ้อนจนลอยกระเด็นไปติดฝา
กองไฟขนาดใหญ่ลุกโชนกลางความสลัวของชายหาด มันคือกิจกรรมแค้มป์ไฟ ริมหาดที่วารินและวัชรีเตรียมไว้ อาหารทะเลหน้าตาดีมากมาย ถูกจัดวางเรียงรายอยู่แถวนั้น ทุกคนนั่งล้อมเป็นวงกลม โดยมีนักดนตรีเดินเล่นกีตาร์ร้องเพลงรอบๆ เขาและเธอ
นักร้องนักดนตรี ครวญเพลง
“โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส...มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล
หาดทรายงามเห็นปู ดูสิดูหมู่ปลา...กุ้งหอยปูปลา ว่ายไปมาในทะเล
อยากจะมาทะเล ทำไมถึงอยากจะมาทะเล...ที่อยากมาทะเลเพราะใคร
หรือมีความฝัน...ก็อธิษฐานเลยดีไหม...ประกาศลงไปในท้องทะเล...เอ้า”
นักร้องหยุดพูด “วันนี้วันดี พระจันทร์สวย เป็นวันที่ทุกความฝันจะกลายเป็นจริง...สุภาพสตรีท่านนี้ ฝันว่าอะไรครับ”
นักร้องหยุดยืนข้างวัชรี และเอ่ยปากถามเธอ วัชรีตอบโดยไม่ลังเล
“ฝันว่าสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งค่า”
ทุกคนส่งเสียงเฮฮา ชอบใจ นักร้องนักดนตรีร้องเพลงต่อ
“อยากจะมาทะเล ทำไมถึงอยากจะมาทะเล...ที่อยากมาทะเลเพราะใคร
หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม...ประกาศลงไปในท้องทะเล...เอ้า”
แล้วหยุดอีก หันมาถามอนุ “ฝันว่าอะไรครับ คุณผู้ชาย”
“ขอโบนัสปีนี้ สิบสี่เดือนรวดคร้าบ”
“จะเอาไปทำอะไรคะ โบนัสเยอะขนาดนั้น” นิลรัตน์ถาม
“ซื้อของขวัญให้คุณนิลรัตน์ไงครับ”
ทุกคนส่งเสียง เฮอา ชอบใจ
นักดนตรีร้องเพลงต่อ “หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม...” แล้วหันมาถามนิลรัตน์ “คุณนายฝันว่ายังไงครับ”
“ขอให้คุณอนุเลือกของขวัญได้ถูกใจดิฉันค่า”
นักร้องนักดนตรีร้องเพลงอีก “อยากจะมาทะเล ทำไมถึงอยากจะมาทะเล...ที่อยากมาทะเลเพราะใคร หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม...” เขาหยุดร้องหันมาถามว่า “สาวสวยท่านนี้ฝันว่าอะไรครับ”
“ขอให้ดิฉันผอมเพรียว...และมีหนุ่มหล่อมาขอแต่งงาน”
คำตอบของพึงใจ ทำเอาเพื่อนๆส่งเสียงกรี๊ด
“หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม” นักดนตรีหันมาหาการัณย์ “คุณผู้ชายล่ะครับ”
“ผมขอเป็นหนุ่มหล่อคนนั้นครับ”
เพื่อนๆ พึงใจส่งเสียงกรี๊ดอีก
นักดนตรีร้องเพลงท่อนเดิม “หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม” แล้วหันมาถามวาริน “คุณพี่จะขออะไรดีครับ”
“พี่ไม่ขอครับ...เพราะพี่มีแต่ให้”
ทุกคนส่งเสียงกรี๊ด เฮลั่นชายหาดกันอีกครั้ง
นักร้องนักดนตรีเดินร้องเพลงต่อ
“อยากจะมาทะเล ทำไมถึงอยากจะมาทะเล...ที่อยากมาทะเลเพราะใคร...หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม...” เขามาหยุดยืนข้างอมาวสี “น้องอยากจะขออะไรครับ
ราชลอบจ้องมองอมาวสี
“ขอ...ขอคิดในใจค่ะ”
เพื่อนๆ ส่งเสียง แสดงความผิดหวัง
นักดนตรีร้องเพลงไป “อยากจะมาทะเล ทำไมถึงอยากจะมาทะเล...ที่อยากมาทะเลเพราะใคร...หรือมีความฝัน...อธิษฐานเลยดีไหม” เขาถามราช “คุณพี่เป็นคนสุดท้ายแล้วครับ อยากจะขออะไรในคืนนี้ครับ”
อมาวสีลอบมองหน้าราช แต่ราชนิ่งยังไม่ตอบ
ชิดชไม เดินนวยนาดมาสวยส่งเสียงนำเข้ามา
“ขอจอยด้วยคนได้หรือเปล่า”
ทุกคนหันไปมองด้วยความประหลาดใจ
นักดนตรีร้องเพลงต่อไปจนจบ
“โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส...มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล
หาดทรายงามเห็นปู ดูสิดูหมู่ปลา...กุ้งหอยปูปลา ว่ายไปมาในทะเล”
เพลงจบ ทุกคนตบมือ ชิดชไมเดินเข้าไปหาราชอย่างสนิทสนม
การมาของชิดชไม ทำเอา วัชรี นิลรัตน์ พึงใจ ต้องกลับเข้ามาหารือในบ้านพัก ทั้งสามหน้าตายุ่งเหยิง อารมณ์เสีย
“มาได้ไงน่ะ ยายคนนี้ เซ็งเลย” พึงใจบ่น
“คู่แข่งตัวแสบของเธอเลยนะ ยายวัช” นิลรัตน์หน้าคว่ำ
“ขรึมๆแบบตายักษ์น่ะ ไม่มีทางชอบยายคนนี้หรอกรับรอง” วัชรีบอกตาขุ่น
“แน่ใจเหรอ...ดูนั่น”
สองสาวมองตามพึงใจ เห็นชิดชไม กำลังเอียงกายคลอเคลีย ราช อย่างชิดเชื้อ
วัชรีว่า “ท่านี้ฉันก็ทำได้...ดีกว่ายายนั่นอีก”
“เอ ไม่แน่นะ หล่อนอาจจะมาแย่งพี่ชายเธอก็ได้...ดูนั่น” นิลรัตน์บุ้ยใบ้ใหดู
สองสาว มองตามไป เห็น ชิดชไมกำลังเอียงกายไปเคลียคลอวาริน
สามสาวกรี๊ด “อ๊าย...”
วัชรีแค้นสุดพลัง “อย่างนี้รับไม่ได้”
ชิดชไม กำลังเอียงกายพิงวาริน เพื่อให้ราชถ่ายรูปให้
“ขอบคุณค่ะ...อัพเดท ไอจี ซะหน่อย”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณแคลร์จะมาด้วย...อันนี้เซอร์ไพร้ส์จริงๆครับ” วารินบอก
“พอดีงานเสร็จก่อนกำหนดน่ะค่ะ ก็เลยรีบมา กลัวราชจะเหงา”
อมาวสีเหลือบมองเล็กน้อย
การัณย์แขวะ “ไอ้ยักษ์มันชอบปั้นหน้าเหงาไปงั้นเอง...มันเคยเหงาซะเมื่อไหร่”
ชิดชไมหันมายิ้มตาเชื่อม “เหรอคะ...ปกติคุณแพ้ทะเลนี่นา คุณเคยบอกแคลร์”
เสียงโทรศัพท์ของอมาวสีดังขึ้น อมาวสีก้มดูโทรศัพท์ แล้วเดินเลี่ยงออกไปนอกวง
“ขอโทษนะคะ”
ทุกคนมองตามอมาวสี รวมทั้งชิดชไมด้วย
“น้องเธอน่ารักนะคะ...เกือบได้ถ่ายโฆษณากับเราแล้วเชียว ใช่มั้ยคุณอนุ”
“ใช่ครับ...แต่พอเป็นหลานนักการเมือง ลูกค้าเลยไม่กล้ายุ่งด้วย...กลัวแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งข้างแบ่งสีกัน...เดี๋ยวไม่สนุก”
ราชออกตัว “ผมไปตักน้ำแข็งให้นะ เดี๋ยวมา...ใครเอาอะไรมั้ย”
“อย่าไปนานนะคะ เดี๋ยวน้ำแข็งละลาย” ชิดชไมเย้า
“ฝากคุณชิดชไมด้วยนะคร้าบ เพื่อนๆ”
ราชลุกขึ้น เดินออกจากวง
ริมถนนสายหนึ่งในกรุงเทพฯ รถภากรจอดนิ่งอยู่ตรงนั้น เขานั่งพูดโทรศัพท์ในรถ
“ทำไมรับโทรศัพท์ช้าจัง...พี่โทรตั้งนานแล้วนะ”
อมาวสียืนพูดโทรศัพท์เพียงลำพังที่มุมหนึ่ง ริมทะเล
“อ้อไม่ได้ยินค่ะ เสียงทะเลมันดังมาก”
“อ้อก็ต้องถือโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวตลอดสิจ๊ะ...รู้อยู่แล้วว่าพี่เป็นห่วง”
อมาวสีเฉไฉ “ป้าพริ้งก็เป็นห่วงอ้อ ไม่เห็นต้องสั่งให้อ้อถือโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลาเลย”
“อ้อ อย่ายอกย้อนพี่นักเลยน่า...ถ้าพี่ไม่ติดงานคุณพ่อ พี่ต้องไปทะเลกับอ้อด้วยแน่ๆ”
“นับเป็นโชคดีของอ้อค่ะ”
เสียงภากรลอดออกมาว่า “ยั่วพี่เข้าไปเถอะ...ถ้าอ้อเรียนจบเมื่อไหร่ละก้อ...”
“คุณภากรตั้งใจโทร.มาบอกแค่นี้เหรอคะ” อมาวสีตัดบท
“จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆนะอ้อ หวังว่าทะเลที่อำเภอปราณบุรี คงจะไม่มีไอ้ราชโผล่ไปอยู่ด้วยหรอกนะ”
ขาดคำของภากร ราชเดินหน้าหล่อเข้ามายืนข้างๆ อมาวสี
อมาวสีมองหน้าราช แล้วจึงตอบภากรไปว่า “ไม่มีค่ะ”
สายบัวเดินถือของกินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ตรงมาที่รถภากร
“นอนหลับฝันดีจ้ะ...กู๊ดไน้ท์”
ภากรกดเลิกการสนทนา หันไปหาสายบัว
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่เดิมใช่มั้ย?”
“เรากลับไปเล่นโป๊กเกอร์ต่ออีกซักรอบดีมั้ยคะ”
“ขอเป็นวันหลังดีกว่า พรุ่งนี้ผมมีงานสำคัญกับคุณพ่อ”
“ค่ะ”
ภากรขับรถออกไป สายบัวลอบถอนใจนิดๆ
ส่วนทางด้านอมาวสีลดมือที่ถือโทรศัพท์ลง ท่าทางเธอค่อนข้างเซ็ง ราชพูดด้วยเสียงขำๆ อมยิ้มนิดๆ
“ให้ผมเดามั้ย ว่าใครโทร.มา”
อมาวสีนิ่ง ไม่ตอบ
“คงโทรมาเช็คความประพฤติของว่าที่เจ้าสาวมั้ง”
“คุณ” อมาวสีโกรธแล้ว
ราชทำทีเป็นตกใจ เหมือนไม่รู้อะไรมาก่อน
“อุ๊บ...ผมพูดไปเรื่อยเปื่อยนะเนี่ย...บังเอิญถูกเหรอ ตรงเป๋งเลยเหรอครับ
อมาวสีนิ่งเงียบไปอีก
“ผู้หญิงเกินครึ่งมักจะเป็นอย่างนี้...ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ในสถาบันดีๆ รีบจบไวๆ เพื่อรอให้ผู้ชาย มีฐานะ มาขอแต่งงาน...จบปุ๊ปแต่งปั๊ป รักหรือไม่รักไปว่ากัน ทีหลัง...โชคดีก็อยู่กันไปได้ยาว โชคร้ายก็หย่ากัน สร้างปัญหาสังคมไม่รู้จบ”
อมาวสีนิ่งระหว่างที่ราชพูด เมื่อเธอหันหน้ามาหาราช จึงเห็นว่ามีหยาดน้ำตาอาบแก้มนวลอยู่
“กรุณาหยุดพูดเถอะค่ะ...ถ้าคุณจะมีความเห็นใจให้ฉันสักนิด
ราชถึงกับอึ้งไป เมื่อเห็นน้ำตาของอมาวสี
“คุณคงยังไม่อยากแต่งงาน...หรือ นายวารินทำให้คุณลำบากใจ เพราะดูเหมือนวารินน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า”
“พอเถอะค่ะ ได้โปรด” อมาวสีก้มหน้า ร้องไห้โดยไม่อายใครแล้ว
ราชตรงเข้าไปประคองไหล่ทั้งสองของอมาวสี เขาเปล่งเสียงพูดจากใจจริงออกมา
“ผมขอโทษ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรอึดอัดใจ หรือมีเรื่องทุกข์ใจ ที่หาทางแก้ไม่ได้ผมยินดีช่วยเหลือ...ขอให้นึกถึงผม...จำไว้นะ นึกถึงผมเถอะ...แม้จะนึกถึงเป็นคนสุดท้าย ก็ยังดี”
ราชและอมาวสีมองจ้องหน้ากันนานเนิ่น
อมาวสีคุ้นกับถ้อยคำนี้เหลือเกิน มันทำให้เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก กว่าสิบห้าปีที่แล้ว
เวลานั้นเด็กหญิงอ้อนั่งร้องไห้อยู่หลังจากถูกภากรแกล้งหักคอตุ๊กตาของเธอ
เด็กชายภาคย์เดินเข้ามาใกล้ๆ ประคองสองไหล่ของอมาวสี
“อ้อ...มีปัญหาอะไร ขอให้นึกถึงพี่นะ จำไว้ นึกถึงพี่ แม้จะนึกถึงเป็นคนสุดท้าย พี่ก็ยินดีช่วยเสมอ”
อมาวสีดึงตัวเองออกมาจากความคิด เธอยังคงจ้องหน้าราชอยู่อย่างนั้น
“ขอบคุณค่ะ...คุณ...”
“ราช รัชภูมิครับ”
เสียงอนุตะโกนดังเข้ามาขัดจังหวะ “ไอ้ยักษ์โว้ย รอน้ำแข็งอยู่นานแล้ว แกอยู่ไหนวะ”
ราชยังคงพูดกับอมาวสี โดยไม่สนใจเสียงเรียกของอนุ
“ไม่สบาย หายดีแล้วใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
“ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ...ผมเห็นนายวารินเป็นห่วงคุณมากๆ แล้ว สงสารมัน”
ราชเดินออกไป
อมาวสีมองตาม ขัดใจเล็กๆ กับประโยคสุดท้ายของเขา
วัชรีและนิลรัตน์ลากกระเป๋าผู้ชายออกมากองตรงระเบียง
นิลรัตน์ดูจะกังวลอยู่ “ทำอย่างนี้จะดีเหรอยายวัช”
“ดีสิ”
“ฉันว่าพวกผู้ชายเขาคงไม่ลำบากกับการนอนริมหาดหรอกนะ”
“ไม่ลำบากก็ไม่เป็นไร แต่จะสบายมากไป ไม่ได้ ฉันไม่ยอม...”
นิลรัตน์ติง “โกรธยายชิดชไม ไปลงกับคนอื่น ไม่ดีมั้ง”
“ไม่รู้ เห็นเข้าคู่กันดีนัก ต้องโดนให้หมด”
อมาวสีเดินเข้ามาพอดี
“อมา เธอนอนคนเดียวได้มั้ย” วัชรีถาม
อมาวสีแปลกใจ “อ้าว แล้วพวกเธอล่ะ”
“นิลรัตน์ พึงใจหนึ่งห้อง ฉันหนึ่งห้อง ครบสามห้อง ล็อคบ้าน ผู้ชายนอนระเบียงไป”
พึงใจวิ่งหน้าเริดเข้ามา
“พวกเรา...ยายชิดชไม เอาโคมลอยมาด้วยละ...กะจะทำโรแมนติกแหงๆเลย”
วัชรีของขึ้นอีก “ไม่ได้ ยอมไม่ได้...ไปพวกเรา”
นิลรัตน์งง “ไปไหน”
“ไปโรแมนติกกับยายชิดชไมซะหน่อย...ไป ยายอมา ไปด้วยกัน เร็ว”
สาวจอมวางแผนวิ่งนำเกิร์ลแก๊งออกไป
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชิดชไมกำลังหยิบโคมออกจากกระเป๋า เพื่อแจกให้บรรดาชายหนุ่ม
วารินอดแปลกใจไม่ได้ “คุณชิดชไมไปไหนมาไหน มีโคมลอยติดไปด้วยเสมอเหรอครับ”
“ดิฉันเตรียมมางานนี้โดยเฉพาะค่ะ...สี่โคมครบคนพอดี เห็นมั้ยคะ...นี่ของคุณอนุ...นี่ของคุณการัณย์...คุณวารินค่ะ...อันนี้ของราชกับแคลร์”
วัชรีเดินนำเพื่อนๆ ส่งเสียงเข้ามา “ครบคนจริงๆ ต้องเผื่อพวกเราด้วยสิคะ”
ชิดชไมผู้รอบคอบหยิบโคมเล็กออกมาจากกระเป๋า
“นี่ไงคะ โคมเล็กน่ารักสำหรับเด็กๆทั้งสี่”
“โคมเดียวสี่คนไม่เหมาะค่ะ ต้องจัดกลุ่มใหม่...”
วัชรีดึงโคมจากมือชายหนุ่มมาแจกใหม่
“คุณอนุกับนิลรัตน์โคมที่หนึ่ง...คุณการัณย์กับพึงใจ โคมที่สอง...พี่วารินกับอมา โคมที่สาม...คุณยักษ์กับวัชรีโคมที่สี่ และนี่โคมเล็กของคุณชิดชไม คนเดียวเลยค่ะ”
วารินพยายามปรามน้องสาวด้วยการดุเบาๆ
“วัชรี!”
วัชรีหันไปสวนพี่ชายด้วยสายตาและเสียงที่ดุกว่า
“ตามนี้ค่ะ พี่วาริน...ไม่งั้นก็ไม่ต้องจุดกันเลย”
เปลวไฟที่อยู่ใต้โคมถูกจุดขึ้นจนลุกโชน เห็นหนุ่มสาวแต่ละคู่กระจายกันจุดโคมบนชายหาด คู่อนุและนิลรัตน์ยืนอยู่มุมหนึ่ง
“คุณอนุเคยปล่อยโคมลอยกับสาวที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“เคยแต่ปล่อยข่าวโคมลอยครับ”
คู่การัณย์กับพึงใจอยู่ถัดมา
“ถ้าเราลอยไปกับโคมนี้ได้ก็ดีสินะคะ”
“คุณสวยจังครับ”
พึงใจอาย “แหม...ใช่เวลาจะมาชมกันเหรอคะ”
“คุณสวยที่สุดเลยนะครับ คุณรู้มั้ย”
พึงใจอายม้วนต้วน “คุณการัณย์น่ะ...พูดอะไรก็ไม่รู้”
“พูดชมคุณไงครับ คุณจะได้ตัวลอย ลอยไปกับโคมไง ชอบไม่ใช่เหรอครับ”
ส่วนคู่วารินกับอมาวสี อยู่ใกล้กับชิดชไมที่กำลังพยายามจุดโคมเล็กอยู่คนเดียว วารินหันไปพูดกับชิดชไมด้วยมารยาท
“คุณชิดชไมทำให้ช่วงเวลาคืนนี้มีความหมายขึ้นเยอะเลย”
“ด้วยความยินดีค่ะ...คุณอมาวสีคงชอบนะคะ”
“ค่ะ”
ชิดชไมยิ้มให้ “ถือเป็นการปล่อยทุกข์ปล่อยโศกออกไปให้พ้นตัว”
คู่ของวัชรีและราชกระเถิบตัวมาใกล้ๆ อมาวสี วัชรียื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ ชิดชไม
“แต่ถ้าไม่ลอยละก้อแย่เลยนะคะ...จะเป็นการเพิ่มทุกข์เพิ่มโศก”
วัชรีค่อยๆ แอบเอื้อมมือมาจุดไฟที่โคมของชิดชไม โดยที่ไม่มีใครเห็น
“โคมร้านนี้ทำอย่างประณีตค่ะ ยังไงๆก็ลอย รับรอง” ชิดชไมว่า
“แต่ถ้าลุกเป็นไฟตั้งแต่ยังไม่ทันลอย จะถือว่าซวยซ้ำซวยซากซวยมากแก้ไม่หายใช่มั้ยคะ”
ชิดชไมมองหน้าวัชรี ฉงนเล็กน้อย
“ค่ะ”
โคมของชิดชไม ลุกเป็นไฟ ชิดชไมสะดุ้งตกใจ
“ตายแล้ว ราชขา ช่วยแคลร์ด้วยค่ะ...ไฟไหม้ค่ะ”
ทุกคนพากันตื่นตกใจ หันมาช่วยกันดับไฟ
ทว่าไฟของโคมชิดชไม ปลิวไปโดนโคมอื่นๆ ทุกคนจึงต้องทิ้งโคมของตนปล่อยให้ไฟไหม้เป็นเพลิงกองใหญ่ เหลือแต่เพียงโคมของอมาวสี เธอยังคงประคองโคมให้อยู่ในสภาพที่ดี
ราชขยับเข้าไปช่วยอมาวสีประคองโคมนั้น ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง
“ไม่ว่าคุณจะอธิษฐานสิ่งใด ขอให้เป็นผลจริงตามนั้นนะครับ”
อมาวสีค่อยๆ ปล่อยโคมออกจากมือ พร้อมๆ กับราช
มือของทั้งสองเกี่ยวกัน ทั้งสองคนมองหน้ากัน โดยเบื้องหลังเป็นกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังช่วยกันดับไฟ
เพลงรักเพราะพริ้งดังกังวานในใจสองคน
พระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า บอกว่าเป็นตอนเช้า
สีไพร นั่งถักเชือกบางอย่างอยู่บนระเบียง ดาดฟ้า
นายสุดเดินขึ้นบันไดเข้ามาหา
“พ่อจ๋า ไพต้มข้าวต้ม กับทอดปลาเค็มไว้ให้พ่อนะจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะ ลูก”
นายสุดเดินไปนั่งไม่ไกลจากลูกสาว “นายภากรเขาไม่ได้มาหาลูกนานแล้วใช่มั้ย”
“สองอาทิตย์กว่าแล้วจ้ะ”
“ทำไมเอ็งยังยิ้มอยู่ได้ล่ะ...รู้หรือเปล่าว่าเขาไปไหน”
“รู้ค่ะ...เขาไปเปิดบริษัทใหม่กับคุณพ่อของเขา...ช่วงนี้ก็เลยยุ่ง...หายยุ่งเมื่อไหร่เขาก็มาหาสีไพรเองหละค่ะพ่อ”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
นายสุดขยับตัวลุกขึ้นยืน สังเกตเห็นสิ่งที่สีไพรกำลังก้มหน้าก้มตาทำอยู่
“นั่นเอ็งทำอะไรน่ะ”
“ของขวัญจ้ะ ของขวัญสำหรับคุณภากร”
ที่มือของสีไพร กำลังสานเชือกเส้นนั้นให้เป็นกำไลข้อมือ บนเชือกมีตัวพิมพ์ว่า P&Pปรากฏอยู่
ท่านกวี ถือฤกษ์ดี เปิดบริษัท เฮ้ลตี้ฟาร์ม่า ในวันนี้ ผู้คนในงานกำลังทยอยเข้ามามอบดอกไม้ให้ภากร มีท่านกวีและคุณหญิงอำภา ให้การต้อนรับแขกในงานห่างออกไป ช่างภาพถ่ายรูปคนดังในแวดวงการเมือง ธุรกิจ แลเหล่าเซเลบกันสนุก
ม.ร.ว.ทิพย์สุดากับนพเดินเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้ ตรงไปที่ภากรทันที
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
ภากรมองหน้าคุณหญิงทิพย์สุดาและนพ งงๆ
“อาเป็นพ่อของนิลรัตน์ เพื่อนหนูอมา” นพเฉลย
“อ๋อ...”
“มา ถ่ายรูปกับอาหน่อยนะ”
คุณหญิงทิพย์สุดา และนพ ขนาบภากรคนละข้าง ภากรเรียกช่างภาพให้เข้ามาถ่ายรูป ระหว่างที่กำลังยืนยิ้มรอช่างภาพ คุณหญิงทิพย์สุดาก็พูดเบาๆ กับภากร
“เธอมีพี่ชายคนนึงใช่มั้ย”
“เอ่อ...” ภากรค่อนข้างแปลกใจในคำถามของแขกแปลกหน้าท่านนี้
ทว่า ม.ร.ว. ทิพย์สุดานั้นพูดพร้อมกับทำหน้ายิ้มไปด้วย เพื่อให้ดูไม่ผิดปกติสำหรับผู้พบเห็น
“คนที่หายสาบสูญไปน่ะ...พี่ชายเธอใช่มั้ย”
“เอ่อ...ครับ”
ช่างภาพส่งสัญญาณให้ยิ้ม ภากรจึงตอบไปพร้อมกับยิ้มไปด้วยเช่นกัน
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ หลานพอจะรู้ข่าวคราวมั้ยว่า เขาเป็นตายร้ายดียังไง”
พลันเสียงอันดังทรงอำนาจของท่านกวี ก็ก้องกังวานเข้ามา
“ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา”
ทุกคนหันไปมองที่ท่านกวีผู้เป็นต้นเสียง คุณหญิงทิพย์สุดาปั้นหน้ายิ้มใส่
“อ๋อ ท่านรัฐมนตรีกวี...แหม ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะคะ”
“ใช่ นานจนผมไม่เคยคิดว่าเราจะได้เจอกันอีก...ภากร ไปรับแขกด้านนู้นไป”
ภากรขยับจะเดินออก คุณหญิงทิพย์สุดายังอุตส่าห์พูดรั้งไว้อีกนิด
“ยินดีด้วยอีกครั้งนะลูก...เอ แม่ล่ะ คุณแม่อยู่ไหน”
“ไม่ทราบสิครับ” ภากรว่า แล้วรีบเดินออกไป
ท่านกวีพูดเสียงเข้มใส่ “ใครเชิญคุณมาที่นี่”
ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาทำไม่รู้ไม่ชี้ มองหน้าน้องเขย นพตัดสินใจเอ่ยปากตอบแทน
“อ๋อ...พอดีว่า ผมเป็นพ่อของนิลรัตน์เพื่อนหนูอมาวสีน่ะครับ”
“ผมถามว่าใครเชิญคุณมา”
“ผมทราบจาก ข่าวสังคมธุรกิจน่ะครับ...คือ...” นพอึกอักใหญ่
คุณหญิงทิพย์สุดาตัดสินใจพูดโพล่งออกมา
“ดิฉันตั้งใจมาถามข่าวคราวลูกชายคนโตของท่านน่ะค่ะ”
“ไม่มีข่าว ใครก็ตามที่หนีออกจากบ้านพิชิตพงษ์ไป ก็หมายความว่า เราแทงบัญชีศูนย์...คือสาบสูญ อาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“โถ...น่าสงสารคนเป็นพ่อนะคะ”
ทั้งสองจ้องหน้ากัน ท่าทีดุดัน แววตาเชือดเฉือน
นพดึงม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา ออกมามุมหนึ่งในงาน ท่าทางนพดูจะหงุดหงิดกับท่าทีที่คุณหญิงทิพย์สุดาแสดงต่อหน้าท่านกวี
“ผมไม่รู้ว่าที่คุณพี่พูดกับท่านกวี มันมีความหมายอะไรลึกซึ้งแค่ไหน...ผมรู้แต่ว่า มันไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลยนะครับ”
คุณหญิงทิพย์สุดาไม่ยี่หระ “ฉันรู้อยู่แล้ว”
“รู้อยู่แล้ว?...แล้วคุณพี่ทำทำไมครับ...โธ่ ผมอุตส่าห์ยอมพาคุณพี่มางานทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เชิญ แต่พี่กลับมาทำอย่างนี้ ผมว่าอีกนิดนึงเขาคงเรียกรปภ.มาลากเราสองคนออกไปโยนทิ้งแน่”
“ลากก็ไม่ไป” คุณหญิงว่า
“แน่ะ...” นพเหนื่อยใจ
“เพราะมันคุ้มค่าที่จะอยู่ต่อ ถ้าทำให้การตามหาทายาททวยไทใกล้เคียงความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น...โน่นเป้าหมายของฉันมาแล้ว”
คุณหญิงทิพย์สุดา มองไป เห็นคุณหญิงอำภาเดินอยู่ไกลๆ จึงทิ้งนพ แล้วเดินตรงไปหาเอ่ยทัก
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงอำภา”
คุณหญิงอำภาหันมาทางเสียงคนทัก เธอถึงกับสะดุ้ง
“จำดิฉันไม่ได้เหรอคะ”
“คุณหญิง...ทิพย์สุดา”
“ค่ะ...ถามจริงๆเถอะนะคุณหญิง...คุณยังจำท่านชายคฑาเทพ อาของดิฉันได้อยู่หรือเปล่า”
คุณหญิงอำภาทรุดตัวลงนั่ง เธอเบือนหน้าหนีจากทิพย์สุดา ในแววตาของเธอ น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาให้เห็น
ท่านกวีมองมาเห็นคุณหญิงทิพย์สุดา ขยับลงนั่งข้างๆ คุณหญิงอำภา เธอเอ่ยปากพูดบางอย่างกับคุณหญิง
ขณะที่ท่านกวีจดสายตามองไปยังภริยาและคุณหญิงทิพย์สุดาอยู่นั้น ทนายชอบเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ท่านครับ หัวหน้าพรรคมาครับ...เชิญท่านทางนี้ก่อนเถอะครับ”
ท่านกวีจำใจเดินตามทนายชอบไป แต่ไม่วายเหลียวมองผู้เป็นภริยาก่อนตามไป
กลับจากปราณบุรี ราชตรงดิ่งมายังบ้านแก้ว เวลานี้เขานั่งนิ่งๆ กลางห้องโถงบ้านแก้ว ถือโทรศัพท์แนบหู ข้าวของ สัมภาระจากทะเล วางอยู่ข้างๆ ตัวเขา รอบๆ บ้านมีการซ่อมแซมเสร็จไปแล้ว
“งานใหญ่มั้ย...ชื่อบริษัทอะไรนะ...ขายยาเหรอ...คนบ้านนั้นไม่น่าจะมีใครมีความรู้เรื่องยานี่นา...งานนี้คงโดนหลอกอีกเช่นเคย เชื่อผมสิ...ปล่อยเขาไป อย่าไปยุ่งกับเขาเลย รอเขาเจ๊ง ย่ำแย่ เราค่อยซ้ำ...ขอบคุณมากนะ น้าเทิน”
ราชวางโทรศัพท์ลง ในจังหวะที่ทินเดินเข้ามาหา
“บอสครับ...บอสพูดโทรศัพท์เสร็จรึยังครับ”
ราชหันไปมองหน้าทิน ยกโทรศัพท์ที่วางอยู่ ชูให้ดู
“แกเห็นไหมล่ะ เนี่ย”
“งั้นบอสพอจะลุกจากเก้าอี้ได้แล้วใช่ไหมครับ”
“มีอะไรนักหนาวะ”
“มีสาวส๊วยสวยมาหาบอสครับ”
“ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่มาหาฉัน แกจะต้องบอกว่าเขาส๊วยสวยทุกคน”
“ก็จริงนี่ครับ สวยทุกคน แต่สวยคนละแบบ”
“แล้วคนนี้แบบไหน”
“แบบ น่ารัก คิขุ อาโนเนะ” ทินเล่นลิ้นตามประสา
“ฉันไม่เคยรู้จักผู้หญิงบุคคลิกนี้ว่ะ...แล้วมาที่นี่ได้ยังไง...ไปถามซิว่าเขาชื่ออะไร”
“ชื่อ นางสาวอรัญญาครับผม” ทินบอก
อรัญญา หรือ แก้ว ก้าวตามหลังทินเข้ามา เธอค้อมศีรษะ สวยงาม
“คอนนิจิวะ...สวัสดีตอนกลางวันค่ะ”
“สวัสดีครับน้องแก้ว”
“เห็นมั้ยบอส คิขุ อาโนเนะอย่างผมว่ามั้ยล่ะ” ทินเสนอหน้า
“ไปหาน้ำให้แขกหน่อยสิวะ ไป”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องค่ะ น้องแก้วทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“น้องแก้วมาที่นี่ถูกได้ยังไงครับ”
“ลุงรักษ์เป็นคนให้แผนที่ค่ะ...พอดีน้องแก้วพาลูกทัวร์ขึ้นมากรุงเทพฯ ก็เลยแวะเอาอินทผลัมมาฝากพี่ราช”
อรัญญาส่งถุงอินทผลัม ให้ราช
“ของชอบของผมพอดีเลยครับบอส”
“เขาไม่ได้ฝากแก”
ทิน จ๋อยลงไป...นิดเดียว
“เข้ามาในบ้านก่อนมั้ยครับ”
“ไม่ละค่ะ...น้องแก้วต้องไปอีกหลายที่...อ้อ ลุงรักษ์ฝากความคิดถึงมาด้วยนะคะ คุณลุงบอกว่าถ้าว่างให้โทร.หาลุงด้วยค่ะ...ขอให้พี่ราชโชคดีนะคะ...ซาโยนาระ”
“สวัสดีครับ”
อรัญญาเดินจากไป ทินหันมามองหน้าราช ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“ยิ้มอะไรไอ้ทิน”
“บอสนี่ คาสซาโนว่าจริงๆ ครับ...เพิ่งกลับจากเที่ยวทะเลกับสาวๆ ปุ๊บ มีสาวคนใหม่มาหาถึงบ้านปั๊บ”
“เดี๋ยวก็โดนเตะป้าปเข้าให้หรอก”
ราชเงื้อเท้าจะถีบ ทินรีบค้อมหัว ถอย หนี
“โกเมนนาไซ...”
ลุงรักษ์เดินพูดโทรศัพท์อยู่ที่ออฟฟิศรักษ์เล หัวเราะร่วน
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...แปลกใจเหรอ”
ราชเดินพูดโทรศัพท์กับลุงอยู่ที่บ้านแก้ว
“แปลกใจที่ คุณลุงต้องฝากความคิดถึงมาให้น่ะครับ...เพราะผมก็ไปหาลุงอยู่ตลอด หรือมีอะไรลุงก็โทร.หาผมเองทุกที...คราวนี้ ผมก็เลย งงๆ”
“ก็น้องอรัญญาเขาคิดถึง เขาอยากแวะไปเยี่ยมราช...ทำไม ไม่ชอบน้องเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่ชอบครับ”
“แปลว่าอีกหน่อยเธอก็อาจจะชอบน้องได้”
“คุณลุงพูดเหมือนกำลังจะเป็นพ่อสื่อนะครับ” ราชเย้า ขำๆ
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า...ไม่มีอะไรหรอก ลุงว่าน้องอรัญญาเขาน่ารักดี ขยัน เอางานเอาการผู้หญิงแบบนี้เหมาะจะเป็นศรีภรรยา”
เสียงราชค้านขึ้น “ลุงครับ”
“เอาน่ะ ลุงก็พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าราชจะลองดูๆ ไว้ก็ไม่เลวนะ”
ราชหัวเราะ ขำๆ ผู้เป็นลุง “แล้วลุงจะขึ้นมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ครับ”
เสียงรักษ์ ดังลอดออกมา “มีอะไรน่าสนใจสำหรับลุงเหรอ”
“ก็จะได้มาดูบ้านแก้วไงครับ แล้วก็ ไม่แน่...ผมอาจจะพาลุงไปเที่ยวงานแต่งงานของนายภากร”
เสียงรักษ์ดังออกมาว่า “แต่งกับใคร”
“อมาวสี คนที่ลุงอยากจะเจอตัวไงครับ”
รถตู้วัชรีแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ในตอนบ่าย อมาวสีก้าวลงจากรถ
“สดชื่นแจ่มใส อาการไข้หายดีหมดแล้วนะยายอมา”
“จ้า”
“จากนี้ไปก็พร้อมแล้วสำหรับการสอบ”
อมาวสียิ้มรับคำ
“สอบเสร็จ แล้วค่อยให้พี่วารินเลี้ยงอีกทีนะ”
“พอแล้วมั้งวัชรี...กวนพี่เขาเรื่อยเลย”
วารินส่งถุงของฝากจำพวกอาหารทะเลให้อมาวสี
“พี่ฝากให้คุณลุงคุณป้าด้วยนะครับ”
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ”
วารินขับรถตู้เคลื่อนออกไปจากบ้าน จันวิ่งเข้ามารับของจากมืออมาวสี
“คุณอ้อคะ...เดี๋ยวคุณอ้อเดินเลี่ยงๆ ไปทางหลังบ้านดีกว่านะคะ”
อมาวสีฉงนฉงาย “ทำไมล่ะ”
“คุณท่านกำลังทะเลาะกันอยู่ค่ะ เอ็ดตะโร เสียงดังลั่นเลย”
อมาวสีงงหนัก “ทะเลาะเรื่องอะไรเหรอ”
จริงดังที่นางจันว่า ท่านกวีพูดเสียงดังใส่ภริยา หน้าตาเครียดเคร่ง อยู่ในห้องหนังสือ
“ผมถามว่า เขาคุยอะไรกับคุณบ้าง...ทำไมคุณต้องปิดบังผม”
“ดิฉันบอกแล้วว่าไต่ถามสารทุกข์กันธรรมดาๆ”
“ไต่ถามสารทุกข์?...แล้วคุณร้องไห้ทำไม...หรือแค่เห็นหน้ายายหม่อมราชวงศ์คนนั้น คุณก็น้ำตาไหลขึ้นมาเฉยๆ เพราะนึกถึงอาเขารึไง”
“คุณกวี”
น้ำเสียงของคุณหญิงอำภาดังขึ้น ท่านกวีก็ยิ่งตอบโต้ด้วยเสียงที่ดังกว่า
“คุณก็ยอมรับมาสิ ว่าแม่คนนั้นมาชวนคุณคุยเรื่องหม่อมเจ้าคฑาเทพใช่มั้ย”
อมาวสีก้าวเข้ามายืนหลบมุมไม่ไกลจากห้องนั้น เธอเงี่ยหูฟังการสนทนาของกวีกับอำภา
“คุณกวีคะ คุณกำลังผิดสัญญาที่ให้ไว้กับดิฉันนะคะ”
“สัญญา”
“คุณเคยให้สัญญาว่าจะไม่พูดถึงท่านชายคฑาเทพให้ดิฉันได้ยิน”
“แต่คุณพูดได้ใช่มั้ย...คุณจะแอบพูดกับใครๆ ก็ได้งั้นเหรอ...ยังคงคิดถึง ยังคงเห็นใจ ยังคงเสียดายที่ไม่ได้สั่งเสียล่ำลากับมันก่อนตายใช่มั้ย”
“คุณกวี” คุณหญิงโกรธมาเป็นริ้วๆ
“แทงใจดำใช่มั้ยล่ะ สามสิบปีที่ผ่านมา คุณยังไม่เคยลืมไอ้หม่อมนั่นเลย ผมรู้...ตัวคุณอยู่กับผม แต่หัวใจคุณอยู่กับมัน...อยากจะตายตามมันไปด้วยซ้ำ ใช่มั้ย”
อมาวสีสนใจฟังอย่างตื่นเต้น
“ทำไมคุณพูดกับฉันอย่างนี้...ฉันไม่เคยคิดเลยซักนิด”
“ไม่เคยคิดว่าผมจะเอ่ยปากพูดบ้างใช่มั้ย”
คุณหญิงอำภาร้องไห้คร่ำครวญด้วยความผิดหวัง ชอกช้ำใจ
“คุณลืมหมดแล้วเหรอคะ ที่คุณบอกว่าคุณให้อภัยฉันทุกอย่าง...ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ฉันเล่าทุกเรื่องให้คุณฟังจนหมด...คุณสัญญากับฉันเองว่าเราจะลืมเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา และเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน แต่วันนี้ คุณหยิบเรื่องนี้มาพูดเสียดแทงฉันทำไม”
“เพราะผมทนเป็นไอ้โง่ ให้ยายญาติชู้รักของคุณ มาดูถูกผมไม่ได้...หนอย ทำเป็นมาถามหาลูกชายคนโตด้วยความเป็นห่วง...มันคงคิดจะมาดูหน้าทายาทของอามันน่ะสิ...เชอะ สายเลือดของทวยไท...ฝากไปบอกมันด้วยว่า ไอ้ภาคย์ ลูกของอามันน่ะ ตายโหงตายห่าไปนานแล้ว...และขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ ผมจะได้ยินชื่อ ไอ้ภาคย์ และ ไอ้คฑาเทพ พ่อของมัน”
อมาวสี ตกใจเป็นที่สุด
คุณหญิงอำภาเป็นลม ล้มลงต่อหน้า ท่านกวีตกใจ ร้องตะโกนลั่น
“อำภา..เฮ้ย มีใครอยู่แถวนี้บ้าง มาช่วยกันหน่อยซิ”
อมาวสีวิ่งเข้าไปหาโดยเร็ว
“คุณป้า...คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ”
“อ้อ ไปหยิบยาดมบนโต๊ะลุงมาหน่อย แล้วไปเรียกนมพริ้งและคนอื่นๆ มาด้วย...เร็วๆเข้า”
กวีประคองอำภาไว้ด้วยความห่วงใยและกังวล
อมาวสีก้าวยาวๆ เร็วรี่มายังหน้าเรือนนมพริ้ง เธอตะโกนลั่น
“ป้าพริ้งขา ป้าพริ้ง”
นมพริ้งก้าวยาวๆ ออกมาจากเรือน หน้าตาตื่นตกใจ พอกัน
“ป้ารู้แล้วค่ะ...นังจันมันวิ่งมาบอกแล้ว...ป้ากำลังจะรีบไปดูอยู่นี่แหละ”
“ป้ารู้มั้ย พี่ภาคย์ไม่ใช่ลูกของคุณลุง”
นมพริ้งหยุดชะงัก
อมาวสีบอกต่อ “พี่ภาคย์คือลูกชายของท่านชายคฑาเทพ”
“ใครบอกหนูอ้อคะ”
“อ้อได้ยิน คุณลุงทะเลาะกับคุณป้า”
“อย่างนี้นี่เอง คุณหญิงท่านถึงได้เป็นลม”
“อ้อเคยบอกป้าแล้วใช่มั้ยคะ ว่าคุณราชหน้าเหมือนท่านชายคฑาเทพ”
“แปลว่า...คุณราชก็อาจจะเป็นคุณภาคย์”
อมาวสีต่อคำ “และตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อทำลายพิชิตพงษ์”
นมพริ้ง ยกมือไหว้ท่วมหัว
“สาธุ อย่าให้ความเกลียดชังกันแต่หนหลัง ทำให้ต้องมาทำร้ายทำลายกันวันนี้เลย เจ้าประคู้น”
คืนเดียวกันคุณหญิงทิพย์สุดานั่งครุ่นคิดอยู่เงียบๆ คุณนาถกลับจากทำงานเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“ได้ความว่าไงล่ะคุณ”
คุณฆยิงทิพย์สุดาส่ายหน้า
“นายนพบอกว่า โดนด่ามาหน้าหงายเลย”
“หน้าฉันไม่หงายหรอกค่ะ...แต่น้องชายคุณน่ะสิ หน้าออกจะบางไปหน่อย”
“ก็เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยนี่ ก็ต้องตกอกตกใจเป็นธรรมดา...ตกลงไม่ได้ความคืบหน้าเลยเหรอ”
“พวกเขาตัดขาดเรื่องนี้ทั้งผัวทั้งเมีย ใจร้ายจริงๆ แต่ดิฉันมั่นใจว่าเด็กคนที่หนีหายไปนั่นแหละ ลูกชายของท่านอา”
“อือม...แล้วไง”
“เป็นไปได้ว่า เด็กคนที่เศรษฐีภูเก็ตอุปการะไว้ อาจจะใช่ สายเลือดทวยไทของท่านอา”
ค่ำคืนนั้นคุณหญิงอำภานอนลืมตานิ่งกลางเตียงในห้องนอน หวนคิดถึงเหตุการณ์ในงานเปิดบรัทเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา
ตอนนั้นคุณหญิงทิพย์สุดาเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถามจริงๆเถอะค่ะ...คุณหญิงเคยรู้สึกผิดบ้างมั้ยคะ”
คุณหญิงอำภานั่งอยู่ข้างๆ ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา ท่าทางเศร้าสลด
“ดิฉันอยู่กับความรู้สึกนี้มาตลอด”
“จริงเหรอคะ...แต่คุณหญิงไม่เคยคิดจะตามหาเขาเลย...ทั้งเด็กคนนั้นและก็พ่อของเด็กคนนั้น...หรือว่าคุณหญิงเพิ่งจะรู้สึกผิดคะ”
“คุณไม่ได้เป็นดิฉัน คุณไม่มีวันรู้หรอกค่ะ ว่าดิฉันลำบากใจแค่ไหน”
“ค่ะ ดิฉันไม่รู้ และดิฉันจะไม่มีทางได้รู้ เพราะดิฉันจะไม่มีวันตัดสินใจทำแบบที่คุณหญิงทำ”
คุณหญิงอำภาก้มหน้า พยายามสะกดน้ำตาไม่ให้ไหล
“กรุณาหยุดพูดเถอะนะคะ ได้โปรดเถอะ”
“ดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาว่ากล่าวอะไรหรอกนะคะ แค่อยากถามข่าวคราวหลานชายของดิฉัน...ไม่นึกว่าคนในสกุลของพวกคุณจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้”
คุณหญิงทิพย์สุดาขยับตัวจะลุกขึ้น แล้วฉุกคิดได้
“อ้อ...อีกนิดนึงนะคะ...ก่อนท่านอาจะสิ้น ท่านอาของดิฉันไม่ได้ทุรนทุรายอะไรเลย และก็ไม่ได้เอ่ย หรือฝากอะไรถึงคุณแม้แต่น้อย...ฉันคิดว่า ท่านคงชิงชังคุณจนไม่เห็นหัวคุณเลยนั่นละ”
สมใจแล้ว ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาจึงเดินหนีไป
น้ำตาของคุณหญิงอำภาไหลรินออกมาไม่หยุด
คุณหญิงอำภาดึงความคิดตัวเองกลับมา แต่ยังนอน นิ่ง น้ำตาไหลเอ่อออกมาอาบสองแก้ม
ท่านกวีนั่งทานอาหารเช้าเงียบๆ อยู่เพียงลำพัง ภากรเดินเข้ามา หน้าตาแจ่มใส
“วันนี้พ่อทานข้าวคนเดียวเหรอครับ...ดูเหงาๆไปนะ...แม่ล่ะ”
“ยังอยู่บนห้อง...เขาคงไม่อยากทานอะไร”
ภากรสังเกตท่าทีพ่อ แล้วจึงเอ่ยปากถาม
“เอ๊...มีอะไรกันหรือเปล่าครับ...หรือว่า ไม่มีอะไรกันรึเปล่า”
ท่านกวีจ้องหน้าลูกชาย ดุๆ
“งั้น ผมไปดีกว่า”
“ไปไหนน่ะ”
“ไป...สำรวจตลาดยาแก้แพ้ไงครับ”
ภากรรีบเดินออกไป ท่านกวีตักอาหารทานเงียบๆ อมาวสีเดินเข้ามาในนี้
“ไปมหา’ลัยเหรอ”
“ค่ะ คุณลุง”
“ทำไมเจ้าภากรไม่ไปส่งล่ะ...มันเคยอาสาแล้วนี่”
“คงลืมมั้งคะ...แต่ อ้อไปเองง่ายกว่าค่ะ”
อมาวสีกำลังจะเดินออกไป
ท่านกวีเรียกไว้ “อ้อ”
“คะ”
“เมื่อวานนี้ อ้อได้ยินที่ลุงคุยกับป้าหรือเปล่า...ก่อนที่เขาจะเป็นลมน่ะ”
อมาวสีได้เตรียมคำตอบไว้ในใจเธออยู่แล้ว
“อ้อไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ”
“ดีแล้ว...ไปได้”
นมพริ้งก้าวเข้ามาในห้องนอน ตรงไปที่เตียงคุณหญิงอำภา คุณหญิงนั่งนิ่งอยู่บนเตียงของเธอ
“คุณหญิงจะไม่ลงไปทานอะไรซะหน่อยเหรอคะ”
คุณหญิงอำภาส่ายหน้า “ฉันไม่อยากทาน”
“ทานซะหน่อยพอให้มีเรี่ยวมีแรงดีกว่านะคะ...เดี๋ยวปุบปับจะเป็นลมขึ้นมาอีก”
“งั้นพริ้งยกขึ้นมาให้ฉันบนนี้ก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ”
นมพริ้งมองดูท่าทีอำภาแล้วจึงตัดสินใจพูด
“เอ้อ...เมื่อบ่ายวานนี้ ที่คุณหญิงทะเลาะกับคุณท่านน่ะ...หนูอ้อเธอได้ยินด้วยนะคะ”
คุณหญิงอำภาตกใจ “เหรอ...แล้วเธอว่าไงบ้าง”
“เธอก็ปะติดปะต่อเรื่องได้เอง เรียบร้อยเลยค่ะ”
คุณหญิงถอนใจออกมาจนดัง
“บางที ฉันอยากจะเป็นคนเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดซะเอง ให้มันจบๆ กันไปซะที”
“อย่าเลยค่ะ...มันไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลยนะคะ...และก็ไม่ได้ทำให้เราแก้ไขอะไรในอดีตได้ด้วย”
“ไปยกอาหารมาให้ฉันเถอะ”
นมพริ้งยังอยากจะพูดต่อ
“คุณหญิงรู้มั้ยคะ...นายราช รัชภูมิ ที่ซื้อบ้านแก้วไปจากเราน่ะ...หน้าเหมือนท่านชายคฑาเทพมากเลยค่ะ”
คุณหญิงอำภาอึ้ง นิ่งงันไปนานแสนนาน มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ยังไหวระริกในแสงสลัว
อ่านต่อตอนที่ 6