xs
xsm
sm
md
lg

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 9

โจรื้อค้นในคอนโดของวนิษาาจนทั่วห้อง ก็ยังไม่เจออะไรที่น่าสงสัย พลันมือถือก็สั่นครืดๆ โจรีบกดรับสาย

“ว่าไงวะไอ้ป๋อง”
“พี่โจ ผมคลาดกับคุณวนิษาแล้ว”
โจถอนหายใจ “ให้มันได้งี้สิวะ คลาดกันนานรึยัง”
“ประมาณยี่สิบนาทีแล้วครับ”
“งั้นฉันต้องเผ่นแล้วสิ แค่นี้นะ”
โจวางสาย รีบจัดทุกอย่างให้เข้าที่ตามเดิม ปิดไฟ กำลังจะออกไป ทันใดนั้นก็มีเสียงไขกุญแจกริ๊ก โจตาลีตาเหลือกรีบหลบวิ่งพรวดเข้าไปในห้องนอนของวนิษา ก่อนจะแง้มประตูออกมาดู แล้วก็เห็นวนิษาเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยกริช โจตกใจ
“อ๊ะ มาด้วยกันแบบนี้ สงสัยคุณวนิจะรู้สึกเปลี่ยว”
กริชนั่งลงที่โซฟา
“ขอโทษนะครับที่รบกวน แต่ผมปวดหัวมากจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันเอายามาให้ค่ะ”
วนิษาเดินไปหยิบยาแก้ปวดให้กริช โจถอนหายใจโล่งอก
“แปลว่าคุณวนิไม่ได้เปลี่ยว แต่ไอ้กริชน่ะกะหวังฟัน หึ ทำเป็นปวดหัว ปลวกเอ๊ย”
ระหว่างที่วนิษาเดินไปหยิบยา โจที่แอบดูอยู่ เห็นกริชหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบซองคอนดอมออกมาเตรียมไว้ที่กระเป๋าเสื้อ วนิษาเอาน้ำดื่มกับยามาให้
“ยาค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
กริชกรอกยาเข้าปาก “ปลายฝนไม่อยู่เหรอครับ”
“ไปเรียนเปียโนค่ะ”
กริชมองไปรอบๆ ห้อง พลางลุกเดินไปดูวิวที่หน้าต่าง
“ห้องนี้วิวสวยจังครับ บอกไม่ถูก มีอะไรสักอย่างในห้องนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าห้องนี้บรรยากาศดีมาก
อยู่แล้วสบายใจ หรืออาจจะเป็นเพราะคนที่กำลังอยู่ด้วยกันก็ได้นะครับ”
“เอ่อ” วนิษารู้สึกอึดอัด
กริชกุมมือวนิษา
“คุณวนิษาครับ ผมอยากบอกว่า”
วนิษาค่อยๆ ดึงมือออก
“อุ๊ย ลืมต้มน้ำ ว่าจะชงอะไรร้อนๆให้คุณกริชดื่มซะหน่อย อาการจะได้ดีขึ้น”
โจแอบดูอยู่ ถึงกับขำ “อย่างงี้เขาเรียกเงิบ ฮิๆ”
“น้ำขิงซะหน่อยมั้ยคะ สดชื่นดี”
วนิษาถามอย่างสุภาพ
“ก็ได้ครับ ดื่มด้วยกันนะครับ”
วนิษาชงเครื่องดื่มมาวางสองแก้ว กริชรีบดื่มน้ำเปล่าแก้วแรกจนหมด
“ขอน้ำเปล่าอีกซักแก้วนะครับ”
“ค่ะ”
วนิษาเดินไปรินน้ำให้ กริชมองตามไป พลางยิ้มอย่างใจเย็น แล้งค่อยๆ แอบหยิบยาเสียสาวออกมา แล้วก็เทยาลงไปในถ้วยน้ำขิงอีกใบ
“ไอ้กริช” โจหน้าเหี้ยมขึ้นมาทันที
กริชจิบน้ำขิงจากแก้วของเขา แล้วแกล้งทำหน้างงๆ
“ทำไมมีกลิ่นแปลกๆ”
“เหรอคะ”
“คุณวนิษาลองชิมแก้วของคุณดูสิครับ เป็นไงบ้างครับ”
โจรีบหยิบมือถือออกมา แล้วกดโทรออก วนิษายกแก้วกำลังจะจิบ มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ วนิษาลุกเดินไปหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าถือที่อยู่ตรงโต๊ะใกล้ประตู โจรีบกดปุ่มวางสาย วนิษาหยิบมือถือมาดูเห็นเป็นเบอร์โจ
“เอ๊ะ มีอะไรรึเปล่านะ”
วนิษากดโทรย้อนกลับไป หน้าจอมือถือโจมีสัญญาณแต่ไม่มีเสียง โจเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ขณะที่กริชเดินไปหาวนิษา
“ใครโทรมาเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
วนิษาเดินกลับมา โดยไม่แตะต้องถ้วยน้ำขิงอีก โจโล่งอก ในขณะที่กริชชักหงุดหงิด
“คุณกริชเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
กริชลุกขึ้น
“คุณวนิษาครับ คุณรู้ตัวไหมครับว่าคุณเป็นคนสวย สวยเหลือเกิน แล้วคุณยังมีเสน่ห์อีกด้วย คุณทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
กริชจับมือวนิษา วนิษารีบดึงมือกลับไป กริชตามไปจะจับอีก วนิษาจับมือกริชให้หยุดไว้
“คุณกริชคะ ฉันเห็นท่าทีแปลกๆของคุณตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว เรามาพูดกันตรงๆกันดีกว่านะคะ
ฉันค่อนข้างจะหัวโบราณน่ะค่ะเรื่องความสัมพันธ์กับผู้ชาย ฉันอยากขอร้องคุณว่า อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่านกับฉันเลยนะคะ กรุณาเปลี่ยนความคิดเพื่อที่เราจะได้เป็นเพื่อนกันต่อไปดีกว่า”
กริชอึ้งไป พลางกุมมือวนิษาไว้
“อย่าปิดโอกาสผมอย่างนั้นสิครับ แค่ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมรักคุณ”
กริชทำท่าจะเข้าไปกอด แต่วนิษาขืนตัวไว้ โจที่แอบดูอยู่แทบทนไม่ได้ เกือบจะวิ่งออกไปห้าม
“หยุดค่ะ ถ้าคุณใช้กำลังกับฉัน ฉันจะสู้ สู้จนกว่าจะสู้ไม่ได้ หลังจากนั้นฉันจะแจ้งความ จะล้างแค้น

จะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณสำนึกเสียใจ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่คุณเคยเห็นในละคร ฉันจะไม่รักผู้ชายที่ข่มขืนฉัน ไม่มีวันค่ะ”

กริชหยุดชะงัก มองหน้าวนิษา ที่ดู นิ่ง เอาจริง จากนั้นก็ปล่อยมือ ยอมถอย

“ตกลงครับ ผม ผมขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตราบใดที่มันหยุดลงแค่นั้น ฉันก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ”
โจโล่งอก “รอดตัวไปไอ้กริช ไม่งั้นป่านนี้แกเจ็บตัวไปแล้ว”
“คุณวนิษาครับ ผมเสียใจ ผมอยากบอกคุณว่าถึงผมจะคิดอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ผมก็ไม่เคยคิดอะไรที่ไม่ดีกับคุณเลย คุณยังคงเป็นผู้หญิงที่ผมรัก”
กริชสีหน้าซื่อ
“ขอบคุณค่ะ”
วนิษาดูระวังตังมากขึ้น จนกริชรู้สึก
“งั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ ที่ช่วยขับรถพาฉันไปทำธุระ”
“ไม่เป็นไรครับ”
วนิษาเดินมาส่งกริชที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิดประตูก็มีเสียงมือถือดังมาจากทางเดินนอกห้อง วนิษาจำเสียงเรียกเข้าได้ ก็ตกใจ พลางรีบแง้มประตูมองออกไป เห็นปลายฝนอยู่ตรงทางเดิน กำลังก้มหน้าหามือถือในกระเป๋าอยู่ พอหาเจอ ก็รีบกดรับสาย
“ว่าไงจีจี้ จะเอาไฟล์ไอ้โมจิเหรอ รอเดี๋ยวนะ”
วนิษารีบกลับเข้ามา หน้าตาตกใจ
“ปลายฝนกลับมาแล้ว”
กริชหน้าเหรอ “แล้วไงครับ”
“คุณกริช คุณต้องหลบไปก่อน ฉันไม่อยากให้ปลายฝนเข้าใจผิด”
“ให้ผมหลบไปไหนล่ะครับ”
วนิษาคิดหาลู่ทาง “คุณเข้าไปหลบในห้องฉันก่อนแล้วกัน”
วนิษาผลักกริชมาที่ห้องนอน ที่โจหลบอยู่ โจรีบหลุบหนี
“ซวยแล้ว”
โจมองซ้ายมองขวา แล้วรีบพุ่งเข้าไปหลบใต้เตียง วนิษาเปิดประตูเข้ามา พลางผลักกริชเข้ามาในห้อง
“อยู่เงียบๆนะคะ”
วนิษาปิดประตูห้อง สักครู่ก็ได้ยินเสียงปลายฝนเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีค่ะ”
ปลายฝนเอ่ยทักทาย วนิษายิ้มแปร่งๆ
“วันนี้ไม่เรียนเปียโนเหรอ”
“ไม่ค่ะ ครูมาสาย หนูรอตั้งนาน สุดท้ายให้คนมาบอกว่าครูมาไม่ได้ แล้วก็ไม่ยอมบอกแต่แรก คุณไม่สบายรึเปล่าคะ”
ปลายฝนชี้ที่ขวดยากับแก้วน้ำบนโต๊ะ “ปวดหัวนิดหน่อยจ้ะ”
ปลายฝนไม่พูดอะไร เดินไปที่ห้องวนิษา กำลังจะเปิดประตู วนิษาวิ่งมาจับประตูไว้
“จะทำอะไรอ่ะ”
“เปิดเร้าเตอร์ค่ะ หนูต้องส่งงานให้เพื่อน ไฟล์มันใหญ่มาก ส่งทางมือถือไม่ได้”
วนิษาแกล้งพูดเสียงดัง
“อ๋อ จะเปิดเร้าเตอร์ในห้องฉันใช่มั้ย ก็ต้องเข้าไปในห้องสินะ”
กริชที่หลบอยู่ในห้องได้ยินเสียงวนิษาชัดเจน มองซ้ายมองขวา แล้วหลบมาใต้เตียง โจที่หลบอยู่ก่อน เขยิบตัวหนีแทบไม่ทัน
วนิษากระแอมเสียงดัง แล้วเปิดประตูเข้ามา ปลายฝนเข้ามาเปิดเร้าเตอร์ ขณะที่กริชถอยกรูดๆ ลึกเข้าไปเรื่อยๆ โจต้องกระเถิบหนีจนหลุดออกมานอกเตียง ปลายฝนเห็นโจเข้าเต็มๆ ทั้งคู่สบตากัน ปลายฝนถึงกับอึ้ง วนิษาเห็นสีหน้าปลายฝนผิดสังเกต กำลังจะหันมาดู ปลายฝนรีบจับวนิษาหันกลับมา
โจรีบฉวยโอกาสหลบเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงวนิษา ระหว่างนั้น ปลายฝนก็รีบชวนวนิษาคุย พลางจับขมับทั้งสองข้างของวนิษา
“ปวดหัวที่ขมับรึเปล่าคะ หนูนวดให้เอามั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
วนิษาหันกลับมา โจหลบไปใต้ผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว ปลายเท้ากริชโผล่ออกมาจากใต้เตียง แต่ปลายฝน ยังมองไม่เห็น วนิษารีบเดินมาที่เตียง หยิบหมอนโยนลงบนพื้น บังขากริชไว้ ปลายฝนมองงงๆ
“อ๋อ ไม่มีอะไร เมื่อยขาน่ะ มาเอารองเท้าตอนนั่ง”
วนิษาหย่อนตัวนั่งบนเตียง ตรงที่โจนอนอยู่ ปลายฝนตาโต ร้องว้าย ปรากฏว่าโจเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
“ร้องทำไมจ๊ะ”
“อ๋อ อยู่ดีๆก็ปวดท้องน่ะค่ะ”
“งั้นออกไปกินยาเถอะ”
ปลายฝน พยักหน้าหงึก“ค่ะ”
วนิษากับปลายฝนเดินออกไปนอกห้อง กริชคลานออกมาจากใต้เตียง โล่งอก แต่แล้วก็อดไม่ได้ มองดูที่เตียงของวนิษา
“เตียงคุณวนิษาเหรอ จะหอมมั้ยเอ่ย”
กริชหยิบหมอนวนิษามาสูดดมฟืดใหญ่ แล้วก็หยิบหมอนข้างมาไซร้ดม แล้วก็ก้มดมผ้าห่ม ไล่มาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ห่างจากซอกคอโจเพียงนิดเดียว กริชสูดหายใจฟืด สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“คุณพระช่วย”
โจสยิว ขนลุกซู่ ยังไม่ทันตั้งตัว กริชก็ก้มสูดอีก
“โอ้ว สุดยอด ฟีโรโมนคุณวนิษานี่รุนแรงเหลือเกิน เร้าใจอะไรอย่างนี้ เกิดมาไม่เคยเจอผู้หญิง
คนไหนจะมีกลิ่นที่มัน” พลางสูดปาก “ซะขนาดนี้”.
กริชเขยิบดมอีก แทบจะไซร้ซอกคอโจอยู่รอมร่อ โจเกร็งไปทั้งตัว หน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“โอย จะตายอยู่แล้ว ทนไม่ไหวแล้ว วนิษา กลิ่นกายคุณมันเหมือนมีมนต์วิเศษ โอย ผมจะตายอยู่แล้ว”
กริชจะดมต่อ พลันประตูห้องก็เปิดออก กริชรีบลุกพรวด วนิษาเข้ามาในห้อง พลางมองออกไปนอกห้องอย่างระแวดระวัง
“เร็วๆค่ะ ปลายฝนเข้าห้องน้ำอยู่”
“เดี๋ยวครับ คือว่า”
“ไม่มีเวลาแล้วค่ะ”
วนิษาไม่ฟัง จับมือกริชพาออกไปนอกห้องแล้วปิดประตู โจที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้น สะบัดร้อนสะบัดหนาว เอาต้นแขนถูซอกคอตัวเองไปมาเหมือนมีเชื้อโรคติดอยู่
“ยี้ แหยะ แหวะ “
วนิษาดันกริชออกนอกประตู พอดีกับที่ปลายฝนเดินออกมาพอดี วนิษายิ้มให้
“หายปวดท้องรึยังจ๊ะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ว่าชักโครกเป็นอะไรไม่รู้ คุณดูหน่อยสิ มันเสียรึเปล่า”
“เหรอ”
พอวนิษาเดินเข้าห้องน้ำไป ปลายฝนก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องวนิษา
“พี่โจ ออกมาเร็ว”
โจออกมาจากที่ซ่อน ปลายฝนรีบพาโจออกไปนอกห้อง
“ขอบใจนะ แล้วเจอกัน”
“ค่ะ”
ปลายฝนปิดประตู วนิษาออกจากห้องน้ำ เดินออกมาพอดี
“ลูกลอยมันค้างน่ะ”

“อ๋อ เหรอคะ”
 
อ่านต่อหน้า 2

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

กริชเดินมาที่รถ ที่จอดอยู่ตรงหน้าคอนโด พลางมองขึ้นไปข้างบน

“คุณวนิษา กลิ่นฟีโรโมนของคุณมันเร้าใจจริงๆ ถึงคืนนี้ผมพลาดก็จริง แต่ผมจะไปจิ้นต่อที่บ้านได้” กริชขึ้นรถ แล้วขับออกไป โจเดินออกมาจากที่ซุ่ม มองตามรถกริชไป
“ฟีโรโมนบ้าบออะไร กลิ่นเหงื่อฉันเองโว้ย ไอ้บ้า ยังจะเก็บไปจิ้นอีกเหรอ”

โจกลับมาถึงบ้าน ก็รีบถอดเสื้อ พลางนั่งเอาสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดเข้มข้นเช็ดซอกคอ
“เป็นไงบ้างพี่ เจอหลักฐานอะไรมั้ย”
ป๋องเดินเข้ามานั่งข้างๆ พลางถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เจอเลยว่ะ”
“ขนาดนักสืบมืออาชีพอย่างพี่โจยังหาไม่เจอ หรือว่าจริงๆแล้วคุณวนิษาเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ครับ”
“ผู้บริสุทธิ์ หรือไม่ก็ฆาตกรเซียนเหนือเมฆ”
โจพูดพลางใช้น้ำยาเช็ดซอกคอไปเรื่อยๆ

“ผมบอกตรงๆนะครับ คุณน้า ตอนนี้ผมหลงรักคุณวนิษาสุดๆเลยครับ”
กริชสารภาพกับวลัยตรงๆ เมื่อทั้งคู่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ที่ร้านอาหารหรู
“ทำไมดีกรีความรักของคุณมันเพิ่มรวดเร็วอะไรอย่างนี้ละคะ พูดจริงรึเปล่าคะเนี่ย”
“ผมพูดจริงๆครับ หลอกคุณน้าก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
วลัยแกล้งค้อน
“แหม ทำไมจะไม่ได้อะไร ก็หลอกให้น้าไปเชียร์คุณให้ยัยวนิฟัง เสร็จแล้วคุณจะได้อะไรที่คุณอยากได้ง่ายๆน่ะสิ”
กริชฝืนยิ้ม พลางส่ายหน้ายิก
“ผมรู้ซึ้งแล้วครับคุณวนิษาไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”
วลัยมองกริช พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
“นั่นมันยิ่งทำให้ผมยิ่งรักเธอ”
“รักจนถึงขั้นคิดจะแต่งงานเลยรึเปล่าล่ะคะ”
กริชขมวดคิ้ว “คงไม่ถึงขนาดนั้นมั้งครับ เรื่องนั้นมันเรื่องใหญ่นะครับ”
วลัยมองหน้ากริช แล้วกวักมือให้เอียงหน้ามา ก่อนที่จะกระซิบข้างๆหูเขา กริชตาโต ท่าทางตื่นเต้น
“จริงเหรอครับ”
“จริงสิคะ ฉันเป็นแม่เขา ฉันรู้ค่ะ”
กริชกลืนน้ำลายเอื๊อก “แล้วสามีเขาสองคนก่อนหน้านี้ล่ะครับ”
“ก็คงเจออะไรคล้ายๆกับที่คุณเจอนั่นแหละ จนถึงวันแต่งงานก็ดั๊นมาตายกันซะก่อน เพราะฉะนั้นวนิเขาก็เลยยังคง”
วลัยยิ้มๆแบบมีนัย กริชเอนตัวพิงพนัก พึมพำกับตัวเอง
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ผู้หญิงที่สวยมีเสน่ห์แบบคุณวนิษาจะยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่”

จากนั้นกริชก็มาเดืนเลือกแหวนเพชร ในร้านที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า
“ตกลงผมเอาวงนี้ครับ”
“ได้ค่ะ”
พนักงานหยิบแหวนไปเตรียมใส่กล่อง จังหวะเดียวกับที่ระรินเดินเข้ามาในร้าน
“คุณกริชซื้อแหวนไปทำอะไรคะเนี่ย”
กริชหันไปเห็นระรินก็แปลกใจ “อ้าว ระริน มาได้ไงครับเนี่ย”
“ก็มาช้อปปิ้งน่ะสิคะ พอดีเห็นคุณเข้าซะก่อน เอ อย่าบอกนะว่า”
“เห็นกันจะๆแบบนี้ ไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงยังไง ครับ ผมมาซื้อแหวนแต่งงานครับ”
“แล้วหญิงสาวผู้โชคดีคนนั้น ใครเหรอคะ” ระรินเอียงหน้าถาม
“คุณวนิษา”
“แหม ซื้อหวยไม่ยักกะถูก ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นวนิษา”
กริช พยักหน้า “ครับ ผมรักเธอจริงๆ”
“คุณกริชชอบคุณวนิษาตรงไหนเหรอคะ”
กริชรีบตอบ “ซิงครับ เอ๊ยไม่ใช่”
ระรินทำหน้างง กริชหยุดคิดทบทวน ดูจริงจังมากขึ้น
“ทำไมผมถึงรักเธอขนาดนั้นน่ะเหรอ คุณวนิษาเธอเป็นคนดี ผมไม่เคยเจอคนอย่างนี้มาก่อน เธอไม่ใช่คนเสแสร้ง เวลาผมอยู่ใกล้เธอผมจะรู้สึกสบายใจ ภายนอกเธออาจจะดูแข็ง ก้าวร้าว แต่ภายในใจกลับอ่อนโยน และบอบบางรวมๆกัน เป็นเสน่ห์ที่ผมหลงใหล และกลัวว่าจะเสียเธอให้คนอื่น ถ้าผมไม่รีบขอเธอแต่งงาน”
ระรินฟังแล้วยิ้มตาม
“น่ารักจังค่ะ อุ๊ย ระรินลืมของไว้ที่ร้านเสื้อ เดี๋ยวมานะคะ คุณกริชอย่าเพิ่งไปไหนนะคะ”
“ครับ”
ระรินยิ้มหวาน แล้วรีบเดินออกไป พลางเร่งฝีเท้า เข้ามาในบันไดหนีไฟ ที่ไม่มีใครอยู่ จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดัง

“ยัยวนิษา ฉันอยากจะฆ่าแก ทำไมแกต้องคอยมาแย่งผู้ชายไปจากฉัน เป็นอะไรมากมั้ย ยัยบ้า
ยัยโสเภณี ยัยผู้หญิงชั้นต่ำ ยัยหน้าด้าน ยัยร่านสวาท ยัยดอกเน่า ยัยเฉาเฉ่า ยัยแบคทีเรีย ยัยตัวซวย ยัยบ๊วยเค็ม ยัยช้างผสมพันธ์ ยัยคันหู ยัยหมูโสโครก ยัยมะเร็งรังไข่ ยัยไหปลาวาฬ ยัย ยัย .ยัยสะดือตือบะ”

ระรินพ่นคำด่าออกมาเป็นชุด ด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง

จากนั้นก็ปั้นหน้าเป็นยิ้มแย้มอ่อนหวาน ระหว่างนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับกริช

“ระรินดีใจด้วยจริงๆนะคะ ที่คุณกริชได้พบกับความรักที่แสนงดงาม จนถึงขั้นจะแต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่คุณรักเนี่ย ช่างโรแมนติกจังเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ว่า เอ่อ คุณกริชไม่กลัวคำทำนายของหมอเม้ง จิตทิพย์ เหรอคะ เรื่องดวงของคุณวนิษาน่ะค่ะ”
กริช ส่ายหน้า “ผมเฉยๆครับ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”
“มันเป็นศาสตร์นะคะ ถ้ามันไม่มีจริงมันไม่สืบทอดมาเป็นเวลาพันๆปีหรอกค่ะ”
ระรินพยายามโน้มน้าว
“แต่ไม่มีคำทำนายของใครแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ”
“ถูกค่ะ แต่ของอาจารย์เม้งเนี่ย ถึงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มากกว่าเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์แน่ๆ แล้วยังงี้คุณกริชจะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเหรอคะ”
“แต่ผมรักคุณวนิษา” กริชยังยืนยัน
“ระรินไม่ได้บอกให้คุณเลิกกับคุณวนิษานะค่ะ ของแบบนี้มันมีทางแก้ค่ะ”
“ทำยังไงเหรอครับ”
“ผู้หญิงกินผัวน่ะ ไม่ได้มีวนิษาเป็นคนแรกหรอกนะคะ โบราณเขามีวิธีแก้เคล็ดนะคะ”
กริชมองหน้าระรินอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เราก็จะทำพิธีหลอกๆไงคะ”
“ผมไม่เข้าใจ”
“ก็ไม่ต้องจดทะเบียนสมรส ไม่ต้องมีขบวนขันหมาก ไม่ต้องมีพิธีรดน้ำอะไรทั้งนั้น”
กริชนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เอ มันจะไม่เหมาะมั้งครับ มันจะดูเหมือนผมไม่ให้เกียรติคุณวนิษากับครอบครัว”
“แต่ถ้าคุณกริชกลัวว่าคุณวนิษาจะไม่เข้าใจ ก็ต้องใช้อีกวิธี แต่ว่า”
“แต่ว่าอะไรเหรอครับ”
“ต้องใจกล้าหน่อยนะคะ”
กริชเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง”
ระรินเข้ามากระซิบ กริชขมวดคิ้ว แล้วเงียบไป
“วิธีนี้น่ะบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นคะ”
กริชคิดหนัก “ผมไม่อยากหลอกเขา แต่เพื่อความรักของเราสองคน ผมอาจจะต้องยอมโกหกเขา แล้วระรินจะช่วยผมไหมครับ”
ระริน แกล้งอึกอัก
“เอ่อ ความจริงเรื่องนี้ ระรินแค่เสนอไอเดีย ก็ดูจะเป็นการก้าวก่ายชีวิตคู่ของคุณสองคนมากเกินไปแล้วนะคะ”
“ช่วยคนก็ช่วยให้ถึงที่สุดเถอะครับ ถ้าไม่มีระรินช่วย ผมคนเดียวทำไม่สำเร็จแน่ๆ”
“เอาเป็นว่าระรินยังไม่รับปากแล้วกัน เพราะว่า”
“ผมเข้าใจครับ ว่าแต่คุณวนิษาเขาจะยอมแต่งงานกับผมรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
ระรินฝืนยิ้ม

วนิษานั่งอึ้งอยุ ในขณะที่กริชคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ขณะที่ทั้งคู่อยู่ในร้านอาหาร พลางยื่นกล่องใส่แหวนให้ แขกในร้านคนอื่นๆที่เห็น ก็หันมามองกัน
“แต่งงานกับผมนะครับคุณวนิษา”
“เอ่อ” วนิษาอึกอัก
ในขณะที่นอกร้าน โจที่เดินเล่นอยู่ไกลออกไป พลางมองเข้าไปในร้าน เห็นกริชคุกเข่าขอวนิษาแต่งงานพอดี โจชะงัก

“คุณกริชคะ อย่าคุกเข่าเลยค่ะ นั่งตามปกติก่อนเถอะค่ะ”
กริชส่ายหน้า พลางมองวนิษาด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่ครับ จนกว่าคุณจะให้คำตอบผม ว่าเยสหรือโน”
วนิษาถอนใจเบาๆ “ไม่ค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ คุณคิดว่าผมล้อเล่นเหรอครับ”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณจริงจัง สายตาคุณมันบอก”
“งั้นทำไมล่ะครับ หรือคุณไม่รักผม”
วนิษาจ้องหน้ากริช “คุณกริชคะ อย่างแรกเลยคือมันเร็วไป เราเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่”
“ผมบอกคุณแล้วไง ผมเห็นเพชรผมก็รู้ทันทีว่าเป็นเพชร”
“ฉันให้คำตอบคุณไปแล้ว คุณจะลุกขึ้นมานั่งแบบคนปกติได้รึยัง”
กริชถอนใจ พลางลุกมานั่งเก้าอี้ แขกในร้านที่นั่งลุ้น พากันหันกลับไปกินข้าวกันต่อ
“คุณวนิษาครับ”
กริชกำลังจะพูดต่อ แต่วนิษาชิงพูดตัดหน้า
“คุณกริชคะ ฉันบอกตรงๆว่าฉันตกใจนะคะ เอาเป็นว่าฉันขอร้องว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะลุกออกไปเดี๋ยวนี้”

กริชหน้าเหรอ “เอ่อ ครับ”
 
อ่านต่อหน้า 3

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ระหว่างที่วนิษากับโจนั่งกินขนมปังสังขยา ไมโลร้อน อยู่ที่ร้านริมถนน จู่ๆ วนิษาก็โพล่งขึ้นมา

“ฉันเห็นนะว่าเมื่อกี้นายดูอยู่นอกร้าน”
“คุณวนิตาดีจังครับ”
“นายคิดว่ายังไง”
“คิดเรื่องอะไรครับ”โจถ้อนยาม
“ฉันควรจะแต่งงานกับเขาไหม”
“อ้าว ทำไมมาถามผมล่ะครับ”
“เขาหล่อ”
โจพยักหน้า “แหงสิ พระเอกละครนะครับ”
“รวย”
“เล่นละครเรื่องละล้าน ถ่ายโฆษณาชิ้นละหลายล้าน แถมพ่อแม่รวยปลิ้นขนาดนั้น”
วนิษาพูดต่อ “นิสัยดี”
“ผมว่าพอใช้ได้ ไม่เลวร้าย”
“แล้วก็รักฉัน”
“จะเชื่อแบบนั้นก็พอได้”
“ผู้ชายที่หล่อ รวย นิสัยดี รักฉัน ฉันควรจะแต่งงานกับเขาใช่ไหม”
โจไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “คุณรักเขารึเปล่าล่ะ”
วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่รู้”
“ปกติคุณวนิเป็นคนตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ไม่น่าสับสนอย่างนี้นี่นา”
วนิษาถอนใจ
“ฉันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข สองครั้งที่ผ่านมา ฉันตกลงแต่งงาน เพราะเชื่อว่าฉันจะมีครอบครัวที่อบอุ่นกับพวกเขาได้ ฉันไม่เคยถามตัวเองเรื่องความรัก”
“คิดแบบคุณก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับ สมัยก่อนรุ่นปู่ย่าตายายเขาก็คลุมถุงชนกันโครมๆ ไม่ได้รักกันแต่ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นได้เหมือนกันสมัยนี้บอกว่ารักกัน ใส่ถุงชนกันโครมๆ ครอบครัวแตกแยกก็เยอะแยะ”
“แปลว่าฉันควรแต่งงานกับเขาใช่ไหม”
“คงงั้นมั้งครับ”
วนิษาหน้าจ๋อย “นายไม่คัดค้านเหรอ”
“ผมเป็นแค่คนขับรถ จะคัดค้านได้ไง แค่คุณวนิมาคุยกับผมเรื่องนี้ก็พิลึกแล้ว”
วนิษามองโจ ด้วยสายตาตัดพ้อ แอบมีความผิดหวังแฝงอยู่ ในขณะที่โจหลบสายตามองไปทางอื่น

ทางด้านวลัย ก็มานั่งคุยกับวิษณุในร้านกาแฟ
“นัดฉันมามีอะไร” วิษณุที่ดูหน้าซีดๆ เอ่ยถามอดีตภรรยา
“ก็เรื่องลูกน่ะสิ”
“ว่ามา”
“ฉันจะหาผัวใหม่ให้วนิ” วลัยพูดตรงประเด้นแบบไม่อ้อมค้อม
วิษณุถอนใจเบาๆ “ยังไม่เข็ดอีกเหรอ”
“พูดดีๆนะ ทำไมต้องเข็ด ทุกวันนี้ยัยวนิมีเงินถุงเงินถังได้ ไม่ใช่เพราะฉันแนะนำผัวรวยๆให้หรอกเหรอ”
“อย่าน้ำมาก เอาเนื้อๆ”
“คนใหม่นี่เขาชื่อกริช คุณไม่ดูละครคงรู้จัก เขาเป็นพระเอก ที่บ้านรวยมาก พ่อเป็นหมอศัลย์ชื่อดังระดับโลก นามสกุลเก่าแก่มีเส้นสายทุกวงการ คนอย่างนี้แหละหมาะที่สุดที่จะเป็นผัวยัยวนิ”
“ฉันรู้จักดาราคนนี้ ฉันไม่ชอบมัน”
“แต่เขารวยมากเลยนะ” วลัยไม่ยอมแพ้
“เอาเป็นว่าฉันไม่เห็นด้วย”
“นี่อย่าเพิ่งรีบตัดบทได้มั้ย ฉันอยากให้คุณช่วยเชียร์หน่อย ฉันคนเดียวเชียร์ไม่ขึ้น ถ้าได้คุณช่วยด้วยล่ะก็ ยัยวนิอาจจะใจอ่อนก็ได้”
วิษณุเหมือนจะพูดอะไร แต่ดูเหนื่อยจนพูดไม่ไหว
“นี่คุณเป็นอะไรเนี่ย”
“ไม่มีอะไร”
วลัยมองหน้าวิษณุ แล้วหยิบถุงยาไปดู วิษณุตกใจ จะแย่งแต่ไม่มีแรง
“ยาแก้อะไรเนี่ย”
“เอาคืนมา”
วลัยไม่สนใจ เปิดกูเกิ้ลในมือถือ พิมพ์ชื่อยาลงไป แล้วก็หน้าเจื่อน
“คุณเป็นมะเร็งเหรอ”
วิษณุหน้าซีดหนัก “อย่าบอกลูกนะ”

วลัยมาเล่าเรื่องวิษณุ ให้คุณยายวรางค์ วนิษา และหนุงหนิง ฟัง
“ถึงจะหย่ากันแล้วแต่มันก็ใจหาย ยังไงเขาก็ผัวหนู เฮ้อ กำลังจะตายลงต่อหน้าต่อตา โดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“คิดเสียว่ารู้ตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาทำใจ ถึงเวลาจะได้จากไปอย่างสงบ”
คุณยายวรางค์พูดอย่างคนเห็นโลกมามากกว่า
“ทำไมพ่อเขายอมแพ้ง่ายอย่างนี้ หนูจะพาเขาไปหาหมอเอง เมืองไทยมีหมอเก่งๆเยอะแยะ”
วลัยถอนใจ “วนิเอ๊ย หมอที่รักษาเขาน่ะ อาจารย์หมอของเมืองไทยเชียวนะ”
“ถ้าเมืองไทยไม่มีใครรักษาเขาได้ หนูจะพาไปรักษาเมืองนอก”
“ฉันรู้ว่าแกมีเงิน แต่โรคนี้เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างหรอกนะ มีก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ”
วนิษา หันขวับมาทางผู้เป็นมารดา “แม่ หมายความว่ายังไงคะ”
“เพื่อนแม่บอกที่ยุโรปที่สถาบันหนึ่งรักษาได้ แต่ที่นี่มีแค่ 150 เตียงเท่านั้น คนไข้เต็มตลอด ต่อคิวกันเป็นปีๆ”
“สถาบันที่ว่านี่ต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ”
“เงินเท่าไหร่ก็ไม่มีความหมาย เศรษฐียังไงก็ต้องเข้าคิว ถึงบอกไงว่ามีก็เหมือนไม่มี”

วนิษาเงียบไป พลางทำหน้าสลด “พ่อ”

รถของวนิษาจอดอยู่ที่สนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ดูเก่าๆ โทรมๆ วนิษานั่งอยู่กับวิษณุ ดูพ่อแม่พาลูกๆเล็กๆมาปีนป่ายเล่นเครื่องเล่นกัน โจนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย

“แม่แกนี่ยังไงก็อย่างงั้นไม่เคยเปลี่ยน”
“แต่เรื่องนี้หนูอยู่ข้างแม่ค่ะ ถ้าแม่ไม่บอกหนู หนูต้องโกรธแม่แน่ๆ”
“รู้แล้วจะทำอะไรได้”
วนิษามองหน้าวิษณุด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“อย่างน้อยที่สุดหนูจะได้หาทางช่วยพ่อไงคะ”
“นี่แหละคือสิ่งที่พ่อไม่ต้องการ วนิ ที่ผ่านมาพ่อเป็นพ่อที่ไม่ดี ตอนนี้พ่อจะตายแล้ว พ่อถึงคิดได้ พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาเหนื่อย มาเสียเวลากับพ่ออีก ไปตามเส้นทางของลูกเถอะ อย่าให้พ่อต้องกลายเป็นตัวถ่วงชีวิตของลูกอีกเลย”
วนิษาส่ายหน้า น้ำตาซึม “หนูไม่เคยคิดอย่างนั้น”
“แต่มันเป็นอย่างนั้น”
“ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นเรื่องดวง เรื่องเวรกรรมของหนูเองต่างหาก สิ่งที่พ่อทำให้วนิ วนิรู้ว่าพ่อทำเพราะรัก”
วิษณุก้มหน้า “ลูกยิ่งพูดแบบนั้นพ่อยิ่งละอายใจ”
“พ่อคะ ยังไงพ่อก็เป็นพ่อของหนูนะคะ ให้หนูได้ช่วยพ่อเถอะค่ะ”
“มันสายไปแล้ว แต่ก็ขอบใจลูกนะ ที่ยังรักพ่อเลวๆคนนี้ เท่านี้พ่อก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
วิษณุลูบศีรษะวนิษา ก่อนที่จะร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่ โจมองสองพ่อลูก แล้วค่อยๆ เดินออกไป

วิษณุกับวนิษาเดินกลับมาที่รถ มองเข้าไปในรถ เห็นโจร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็แปลกใจ
“เขาเป็นอะไรน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เดี๋ยวหนูคุยกับเขาก่อนละกันนะคะ”
“ระวังตัวด้วยนะ ดูมันพิลึกๆไอ้หมอนี่”
“ปกติจะกวนโอ๊ยมากกว่านี้อีกค่ะ”
วนิษาเอื้อมมือไปสะกิดโจเบาๆ “นายดาว”
โจรู้ตัว รีบหันหลังหยิบทิชชูในรถเช็ดน้ำตาสั่งน้ำมูก สูดลมเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา
“จะกลับแล้วเหรอครับ”
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรครับ ผมเห็นความรักของพ่อกับลูกแล้ว มันซาบซึ้งน่ะครับ”
“สรุปว่าที่ร้องไห้นี่เพราะฉันกับลูกเหรอ”
โจพยักหน้า วิษณุหัวเราะขำๆ จนวนิษาหัวเราะไปด้วย โจก็พลอยขำไปด้วยคน

จากนั้นทั้ง โจ วนิษา วิษณุ ก็มากินข้าวกันต่อ ที่ร้านชานเมือง ที่วนิษาเคยพาโจมานั่ง วนิษาเล่าเรื่องของโจให้วิษณุฟัง
“หนูก็เลยชวนนายดาวมาอยู่ด้วย ปรากฏว่าเขาทำอะไรไม่เป็นซักอย่างนอกจากขับรถ ก็เลยให้เป็นคนขับรถ”
วิษณุหันมาถามโจ “แล้วตอนนี้เริ่มจำอะไรได้บ้างรึยัง”
“เหมือนๆจะได้แต่มันก็เบลอๆน่ะครับ ไม่ชัดเจน”
“ยัยวนิรู้จักหมอเก่งๆหลายคนนะ น่าจะรักษานายได้”
“หนูเคยบอกเขาแล้วค่ะ แต่เขาก็มัวแต่โยกโย้ บอกกลัวจะจำได้ว่าตัวเองเองป็นคนหล่อ มีผู้หญิงมาหลงรักเยอะ กลัวจะทำใจลำบาก หนูว่าจริงๆกลัวจะจำได้มากกว่าว่าตัวเองเป็นคนซกมก”
“แต่พ่อว่าตัวจริงเขาเป็นคนฉลาดนะ คนฉลาดอย่างลูกดูคนไม่ออกเหรอ” วิษณุหันมาย้อนถามลูกสาว
“ก็จริงอย่างนั้นนะคะ แต่ไม่อยากพูดต่อหน้า เดี๋ยวจะเหลิง”
โจยิ้ม พลางยักคิ้วให้
“พูดยังไม่ทันขาดคำ ดูสิคะ”
“อย่าว่ากันเลยครับ นานๆจะมีคนชมผมฉลาด ผมก็อดภูมิใจไม่ได้”
“เล่นกลได้ด้วยนะคะพ่อ ไหน โชว์พ่อฉันหน่อยสิ เอาเด็ดๆเลยนะ”
โจยกมือไหว้ “ขออนุญาตนะครับ”
โจแบมือที่ไหว้ออก ก็มีดอกกุหลายสีแดงอยู่ในมือ โจเอามาเสียบตรงกระเป๋าเสื้อให้วิษณุ วนิษาหัวเราะชอบใจ
วิษณุจับตามองวนิษาที่มองโจด้วยความภาคภูมิใจ รู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“เอ เมื่อก่อนแถวนี้มีแผงขายปลาหมึกย่างนี่นา ไม่รู้ยังมีอยู่รึเปล่า วนิ ช่วยไปดูให้หน่อยสิ พ่ออยากกินจัง”
“งั้นเดี๋ยวหนูไปดูให้นะคะ”
วิษณุรอจนวนิษาลุกออกไป “นายดาว วนิเคยเล่าให้ฟังมั้ยว่าฉันทำอาชีพอะไร”
“ไม่เคยครับ”
“ฉันเข้าบ่อนเป็นอาชีพ ฉันคลุกคลีกับคนโกหก อยู่กับคนที่หลอกคนมาตลอด คนอย่างนายฉันเจอมาเยอะ ยิ่งกว่านาย ฉันก็เจอมาแล้ว นายอาจจะหลอกวนิได้ แต่นายหลอกฉันไม่สำเร็จหรอก”
โจตกใจตั้งรับไม่ทัน พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยอมจำนน
“ครับ”
“บอกมาว่า นายใคร”
“ผมชื่อโจ เป็นนักสืบเอกชน มีคนจ้างให้ผมมาสืบว่าคุณวนิษาคือฆาตกรที่ฆ่าสามีของเธอหรือเปล่า”
“แค่นั้น?” วิษณูถามย้ำ
“ครับ แค่นั้น”
“รู้ตัวมั้ยว่านายรอดตายอย่างหวุดหวิดเลยนะ”
โจมองหน้าวิษณุอย่างงงๆ ในขณะที่วิษณุยกมือขึ้นจากใต้โต๊ะ มีปืนอยู่ในมือ โจตะลึง อ้าปากค้าง หน้าซีด
“อย่านึกว่านายเล่นกลเป็นอยู่คนเดียว”
โจตาโต
“โอ้โห ผมไม่เคยพลาดท่าใครขนาดนี้มาก่อนเลย สุดยอดเลยครับ”
“บอกแล้วไงว่าฉันอยู่ในบ่อนมาทั้งชีวิต ซ่อนไพ่สลับไพ่น่ะทำเป็นอาชีพ แค่นี้ขนมๆ”
วิษณุโบกมือ ปืนหายไป
“ถ้าเมื่อกี้คำตอบของนายฟังดูเป็นอันตรายกับวนิ ฉันจะยิงนายทันที ฉันไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ... แต่คำตอบของนายช่วยชีวิตนายไว้ได้”
“คุณไม่กลัวคุณวนิษาโดนจับเข้าคุกเหรอครับ”
วิษณุส่ายหน้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น
“ฉันกล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพันแลกกับขี้หมาก้อนเดียวก็ได้ ว่าวนิษาไม่ใช่ฆาตกรแน่ๆ เพราะฉะนั้นต่อให้นายสืบให้ตาย นายก็จะไม่ได้หลักฐานอะไรทั้งนั้น”
วิษณุหยุดจิบน้ำครู่หนึ่ง “อีกอย่าง ฉันรู้จักลูกฉันดี ฉันดูออกว่าเขา”. พลางมองดูโจ แล้วยิ้มแบบเอ็นดู
“คุณวนิ เขาทำไมครับ”
วิษณุยังไม่ทันตอบ วนิษาก็เดินกลับมา
“ไม่มีนี่คะพ่อ วันนี้คงไม่ได้ขาย”
“ว้า อดกินปลาหมึกย่างเลย ไป เรากลับกันเถอะ”
“ค่ะ”
วิษณุลุกขึ้น กำลังจะเดินออกจากโต๊ะ ก็หมดแรงล้ม ชนโต๊ะเก้าอี้ล้มโครมคราม โจรีบเข้าไปประคอง

“พ่อ”
 
อ่านต่อหน้า 4

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ทางด้านวลัยก็กำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารกับกริช

“ช่วงนี้คุณวนิษายุ่งอยู่เหรอครับ ผมโทรไปเขาไม่ค่อยรับสายผมเลย”
“คงยังงั้นมั้งคะ น้าว่าคุณกริชใจเย็นหน่อยก็ดีนะคะ”
“เวลาไม่ได้อยู่กับคุณวนินี่ มันร้อนใจยังไงไม่รู้ครับ ผมกลัวสารพัด กลัวมีคนอื่นมาแย่งจีบ กลัวเธอไปชอบผู้ชายคนอื่น อะไรทำนองนี้อ่ะครับ”
วลัยยิ้มหน้าบาน “แปลว่ารักจริงนะคะเนี่ย แหม ปลื้มใจแทนยัยวนิจริงๆ”...
พลันมือถือของวลัยก็ดัง วลัยดูเบอร์ที่หน้าจอ
“ดูสิ พูดถึงก็โทรมาเลย ว่าไงจ๊ะวนิ อะไรนะ ที่ไหน จ้ะๆๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
วลัยวางสาย สีหน้าตระหนก กริชพลอยตกใจไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ คุณวนิษาเป็นอะไรไปเหรอครับ”
“ยัยวนิไม่เป็นไร แต่พ่อเขา”

โจนั่งอยู่ข้างๆ วนิษา ที่นั่งรออยู่หน้าห้องตรวจด้วยสีหน้าเป็นกังวล วลัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทางเดิน ก่อนที่จะพุ่งตรงมาหาวนิษา
“พ่อแกเป็นไงมั่ง”
“ยังไม่รู้ค่ะแม่ เราไปทานข้าวกัน แล้วอยู่ๆพ่อก็ล้มลง หนูกับนายดาวก็เลยรีบพามาที่โรงพยาบาลนี่แหละค่ะ”
หมอเดินออกมา วลัยกับวนิษารีบเข้าไปหาหมอทันที
“คุณหมอคะ คุณพ่อฉันเป็นไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยแล้วครับ นี่เป็นสัญญาณเตือนครับ ร่างกายของคุณพ่อคุณเริ่มอ่อนแอลงตามอาการของโรคที่พัฒนาขึ้น หลังจากนี้จะเป็นแบบนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ คงต้องดูแลให้ดีครับ”
วนิษาหน้าซีด “มีทางรักษาไหมคะ”
“เออ เรื่องนั้น ผมเข้าใจว่าคุณหมอที่ดูแลคนไข้ คงให้ข้อมูลที่ชัดเจนแล้วนะครับ”
วลัยรีบบอก “คุณหมอบอกว่า รักษาไม่ได้ค่ะ”
“ก็คงตามนั้นครับ”
หมอทำหน้าลำบากใจ ก่อนที่จะเดินจากไป วนิษากับวลัยร้องไห้โฮ วนิษาหันมาสบตา โจฝืนยิ้มตอบกลับไป
“ทำใจให้เข้มแข็งนะครับ ยังไงตอนนี้พ่อคุณก็ยังอยู่กับคุณ”
วนิษาพยักหน้า แต่ยังร้องไห้อยู่ วนิษาจับมือโจไว้ โจตบหลังมือเธอเบาๆเป็นการปลอบโยน ครู่ใหญ่ก็มีนางพยาบาลวิ่งถือมือถือผ่านหน้าไป
“คุณหมอคะ สายจากท่านผู้อำนวยการค่ะ”
หมอมองอย่างแปลกใจ พลางรับสายมา
“สวัสดีครับอาจารย์ ทรานสเฟอร์เหรอครับ ที่ไหนครับ อะไรนะครับ ถ้าอย่างนั้นก็ ครับ เข้าใจแล้วครับ”
หมอวางสาย พลางส่งมือถือคืนให้นางพยาบาล แล้วเดินจ้ำๆ กำลังจะกลับเข้าไปที่ห้องของวิษณุ วนิษารีบถามทันที
“มีอะไรเหรอคะ คุณหมอ”
“ปาฏิหาริย์ครับ”
วลัยมองหน้าหมอ “หมายความว่ายังไงคะ”
“ทางสถาบันรักษามะเร็งที่ยุโรปตอบรับคุณพ่อของคุณเป็นคนไข้กรณีพิเศษ เราจะทำการส่งตัวให้เร็วที่สุด”
“มีคนบอกที่นั่นเตียงเต็มตลอด ต้องรอคิวกันเป็นปีๆไม่ใช่เหรอคะ” วลัยย้อนถาม
“ถึงบอกไงครับว่าเป็นปาฏิหาริย์”
วนิษาเริ่มยิ้มออก “ที่นั่นจะรักษาพ่อฉันได้เหรอคะ”
“ที่นั่นคือสถาบันที่ดีที่สุดในโลก โอกาสหายเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ครับ”
หมอเดินเข้าไปในห้อง วนิษายิ้มทั้งน้ำตา
“มีปาฏิหาริย์จริงๆด้วยค่ะแม่”
“แม่ไม่อยากเชื่อ หรือว่าฝีมือเขา”
“ฝีมือใครเหรอคะ” วนิษายังงงๆ

“คุณกริชไง”

วนิษานั่งอยู่กับกริช ที่ร้านอาหาร ในขณะเดียวกันก็คุยโทรศัพท์ไปด้วย

“พ่อเป็นไงบ้างคะ หมอเขาว่าไงบ้างคะ ค่ะ แล้วมีปัญหาอะไรบ้างรึเปล่าคะ”
วนิษาฟังคำตอบแล้วหัวเราะ
“ค่ะ ค่ะ สวัสดีค่ะ”
วนิษาวางสาย แล้วหันมาเล่าให้กริชฟัง
“พ่อบอกทุกอย่างราบรื่นดีค่ะ สถาบันส่งรถไปรับท่านที่สนามบิน มีปัญหาเดียวคือ ที่นั่นนางพยาบาลตัวใหญ่ แรงเยอะแล้วก็แก่ สู้เมืองไทยไม่ได้เลย”
กริชพลอยหัวเราะไปด้วย วนิษายกมือไหว้กริช
“ฉันไม่รู้จะขอบคุณคุณกริชยังไง”
“เพื่อคุณวนิ ให้ผมทำมากกว่านี้ก็ได้”
วนิษายิ้มให้กริช
“ใครๆก็บอกว่าสถาบันนี้ไม่รับคนไข้เพิ่ม ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ต้องรอคิว ฉันไม่รู้ว่าคุณพาพ่อฉันเข้าไปรับการรักษาได้ยังไง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ”
“จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ คุณวนิษาคงรู้แล้วว่าคุณพ่อผมท่านเป็นอาจารย์แพทย์ เมื่อสามสี่สิบปีก่อนท่านไปเรียนที่เยอรมัน ได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งไว้ ซึ่งต่อมาก็เป็นผู้อำนวยการของสถาบันนี้ พอผมรู้เรื่องของคุณพ่อคุณ ผมก็เลยขอให้คุณพ่อผมช่วยพูดให้ ทางนั้นก็รีบรับปากทันที”
“งั้นฉันคงต้องเข้าไปกราบขอบพระคุณ คุณพ่อคุณกริชด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ อย่าคิดมากนะครับ คุณพ่อคุณโชคดีมากกว่า หรือไม่ก็เพราะพวกเราสองครอบครัวเคยทำบุญร่วมกันมา คุณวนิษาก็เชื่อเรื่องดวงไม่ใช่เหรอครับ”
วนิษา พยักหน้า “ ค่ะ”
“เป็นไปได้นะครับ ที่เราสองคนอาจจะมีดวงที่สมพงษ์ผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน จนทำให้เราได้มารู้จักกันในชาตินี้”
“ก็เป็นไปได้ค่ะ”
กริชมองวนิษายิ้มๆ วนิษาหลบตามองออกไปนอกร้าน เห็นโจนั่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬารออยู่

ป๋องเลิกงานที่ฟาสต์ฟู้ด ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำล้วน สวมหมวกไหมพรม สวมแว่นตาดำ
มองซ้ายมองขวา จนแน่ใจว่าไม่มีใครแอบตามเขา ก็ค่อยๆ เดินปะปนหายเข้าไปในฝูงชน พลางรู้สึกเหมือนมีคน
เดินตามมา แต่พอหันกลับไปมอง คนที่ตามมา ก็รีบหลบเข้าหลังป้ายร้าน ก่อนจะแอบเดินตามต่อไป

ป๋องหลบมุมอยู่ใกล้ๆร้านส้มตำสถาพร พลางมองไปรอบๆ ท่าทางลับๆล่อๆ พลันก็มีคนมาตบไหล่
“นี่”
ป๋องตกใจร้องจ้าก หันขวับกลับมาจะต่อย แต่พอเห็นเป็นปลายฝนก็หยุดมือทัน กำปั้นหยุดอยู่จ่อตรงหน้าอกพอดี ปลายฝนหน้าแดง
“เธอเองหรอกเหรอ”
“เอ่อสิ จะชกผู้หญิงเหรอ”


“แล้วฉันจะรู้มั้ยว่าเป็นผู้หญิงน่ะ อยู่ๆโผล่มาอย่างนี้ ไม่โดนฉันต่อยก็โชคดีแล้ว เพราะฉายาฉัน
คือป๋องหมัดนรก ถ้าไม่อยากตายอย่าทำแบบนี้อีก ขอร้อง”
“ป๋องหมัดนรก แหวะ”
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่
“ฉันเห็นเธอลับๆล่อๆออกมาจากร้านที่เธอทำงาน ท่าทางน่าสงสัย ก็เลยตามมาน่ะสิ”
ป๋องตกใจ “หา ตามมาตั้งแต่ร้านเลยเหรอ”
“เธอมาทำอะไร”
ป๋องเก๊กหน้าเคร่งขรึม “มาสืบคดี”
“ให้ฉันช่วยไหม”
“โอ๊ย ไม่ได้หรอก มันอันตรายมาก ถึงตายเลยนะ”
“บอกมาซิว่าต้องทำอะไร”
ป๋องหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาส่องดู เห็นพ่อค้าแม่ค้า และเพื่อนบ้านแถวนั้น แต่ละคนดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ
“มีคนชื่อสถาพร เมื่อก่อนเขาอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว เราต้องมาสืบดูว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นโรคปวดหัว จนต้องกินยาจริงหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความตายของเขาและความอยู่รอดของคนอีกคนหนึ่ง ... เราต้องเลือกเป้าหมายให้ดีว่าเราจะไปคุยกับใคร วิเคราะห์ก่อนว่าเราควรจะคุยแบบข่มขู่หรืออ้อนวอนเพื่อให้ได้ข้อมูล ถ้าเราอ่านเกมส์ผิดพลาด เราอาจตาย”
แต่ป๋องหันมา ปลายฝนก็ไม่อยู่แล้ว
“ปลายฝน ปลายฝน”.
ป๋องมองซ้ายขวา เจอปลายฝนไปคุยกับพ่อค้าหมูปิ้งคนหนึ่ง คุยไม่กี่คำ พ่อค้าก็ยิ้มแล้วหัวเราะ คุยกับปลายฝนอย่างสนุกสนาน แถมกวักมือเรียกแม่ค้าข้าวโพดให้มาคุยด้วย ปลายฝนก็คุยด้วยอย่างเป็นกันเอง
ป๋องอ้าปากค้าง

“ขอบคุณมากที่มาช่วยงาน แต่ว่าฉันมีปัญญาเลี้ยงข้าวเธอแค่นี้นะ หรูกว่านี้ไม่ไหว”
ป๋องบอกกับปลายฝน เมื่อทั้งคู่มานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารริมทาง
“ไม่เป็นไร ของฟรียังไงก็อร่อย”
ป๋องดูปลายฝนกินข้าว ท่าทางสบายๆไม่เรียบร้อยนุ่มนวล ก็ยิ้มเคลิ้ม ปลายฝนเงยหน้าขึ้นมาเห็นพอดี
“มองแล้วยิ้ม คิดอะไรอยู่”
“เฮ้ย เปล่า แค่กำลังคิดว่าเธอดูไม่ค่อยเหมือนพวกคุณหนูทั่วไปเลยนะ”
ปลายฝนยืดอก

“พ่อฉันไม่ได้เลี้ยงฉันแบบนั้นนี่นา เขาสอนฉันให้เข้มแข็ง กล้าได้กล้าเสีย และต้องเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม ตอนย่ายังอยู่ ย่าทะเลาะกับพ่อประจำ เขากลัวว่าพอฉันโตขึ้นจะไม่มีแฟน”
“แต่น่ารักอย่างเธอ ยังไงก็ต้องมีแฟน ใช่มั้ยล่ะ”
ปลายฝนไมตอบ แต่อมยิ้ม
“แน่ะ ทำเป็นไม่ตอบ”
“จริงๆก็มีดูๆ อยู่เหมือนกัน เพิ่งรู้จักกัน แต่ก็สนิทกันเร็วมาก เขาน่ารักดี อาจจะไม่รวย แต่เขาก็สู้ชีวิต”
ปลายฝนมอง จนป๋องรู้สึกขัดเขินจนบอกไม่ถูก แอบนึกเข้าข้างตัวเอง
“แล้วเขารู้รึยังว่าเธอชอบเขาน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กล้าถาม อาจจะต้องรอให้เขาถามฉันก่อนมั้ง”
ปลายฝนมองป๋อง ป๋องหลบสายตาวูบ หายใจไม่ทั่วท้อง
“มะ มันอาจจะเร็วไปก็ได้นะ ดูกันไปอีกนิดดีกว่า”
ปลายฝน พยักหน้า “ก็จริงของเธอ”
ปลายฝนกินข้าวต่อ ป๋องนึกอะไรได้ รีบพูดต่อ
“แต่ว่าถึงเธอกับเขาจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็จริง แต่เธอก็อย่าเพิ่งไปมองผู้ชายคนอื่นนะ”
ปลายฝนนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ไม่หรอก ฉันคงชอบเขาได้คนเดียวเท่านั้นแหละ”

ป๋องได้ยินแล้วตื่นเต้นดีใจ ปลายฝนยิ้มให้ป๋องแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ
 
อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น