สพฐ. เล็งจัดทำคู่มือครู วางโปรแกรมแพคเกจกิจกรรมช่วยครูสอนประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ปลูกฝังความรักชาติ ด้าน “ครู” ชี้หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ มีตัวชี้วัดให้ความรู้ชัดแต่ขาดการสร้างจิตสำนึก
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมเสวนา “การกำหนดจุดเน้นวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง” โดยมีนายวินัย รอดจ่าย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง พร้อมด้วยตัวแทนจากคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และผู้เกี่ยวข้องจากสถาบันพระปกเกล้า สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาคมครูสังคมศึกษาแห่งประเทศไทย รวมถึงศึกษานิเทศก์ กรมศิลปากร และกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุม
นายวินัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงเรื่องของโครงสร้าง เวลา เนื้อหาสาระ คู่มือการจัดการเรียนรู้ และการวัดและการประเมินผลของวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ซึ่งในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนอยู่แล้ว และมีสื่อการเรียนการสอน คู่มือต่างๆ มีความพร้อมอยู่ระดับหนึ่ง แต่ต้องเพิ่มเติมคู่มือการทำกิจกรรมให้แก่ครู เพราะที่ผ่านมาครูสอนวิชาประวัติศาสตร์จะสอนตามหนังสือเรียน แต่ไม่มีแนวทางในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่มีสื่อการเรียนรู้มากมายแต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อย่างไร
ขณะที่ในส่วนของวิชาหน้าที่พลเมือง ที่จะเป็นวิชาเพิ่มเติม อีก 40 ชั่วโมงในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ส่วน ม.4 - ม.6 จะเรียน 80 ชั่วโมงนั้น คาดว่า สามารถดำเนินการจัดการเรียนการสอนได้โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ครูสังคม หรือครูสอนประวัติศาสตร์ แต่ให้ครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นครู คณิตศาสตร์ หรือพลศึกษา สามารถมาสอนเรื่องของหน้าที่พลเมืองได้ เพราะต้องมีองค์ความรู้ ทักษะพื้นฐานหน้าที่พลเมืองอยู่แล้ว
“การเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองจะไม่กระทบโครงสร้างการเรียนการสอน หรือเพิ่มภาระให้แก่นักเรียน หรือครู เพราะเป็นวิชาเลือกในกิจกรรมของเด็กๆ เพียงแต่จะบังคับเลือกให้เด็กได้เรียน ซึ่งหลังจากนี้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุด จะไปหารือในส่วนของรายละเอียดของคู่มือ สอบถามว่าครูต้องการอะไรบ้าง เพื่อให้ครูที่มาจากหลากหลายวิชาเอกสาร สามารถมีกิจกรรม และสอนวิชาดังกล่าวได้ รวมถึงในเรื่องของตำราเรียน ที่จะต้องมาวิเคราะห์ตำราเรียนที่มีอยู่ในหลักสูตรว่ายังต้องเพิ่มเติมอะไร และหากมีเรื่องที่ต้องเพิ่มเติมมากก็อาจจะมีการจัดทำตำราเรียนใหม่ให้สอดคล้อง ขณะเดียวกัน ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้เพิ่มเติมหนังสืออ่านนอกเวลา ให้เด็กได้แต่ละระดับชั้น ซึ่งคณะกรรมการก็จะรวบรวมข้อสรุปทั้งหมด ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนตุลาคม และจะจัดอบรมครู ศึกษานิเทศก์ เพื่อให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 2 ” นายวินัยกล่าว
นางระวิวรรณ ภาคพรต กรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และพลเมือง กล่าวว่า ที่ผ่านมา การสอนวิชาประวัติศาสตร์จะเน้นความรู้ที่เป็นไปตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ตัวชี้วัดไม่ได้เน้นการสร้างจิตสำนึก ดังนั้น ก่อนที่จะมีการจัดทำคู่มือ หรือจัดทำรูปแบบใดๆ ขอให้ สพฐ. ทบทวนพิจารณาหลักสูตร และปรับให้เหมาะสมก่อน เพราะต่อให้มีคู่มือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครู แต่ไม่เปลี่ยนตัวอธิบายหลักสูตรยังมุ่งให้ความรู้มากกว่าสร้างจิตสำนึก ครูก็สอนตามตำราเรียน ดังนั้น ต้องกำหนดกิจกรรมให้ชัดเจน ว่ารักชาติ รักทำไม เป็นพลเมืองดีของชาติต้องทำไง ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาอย่างปัจจุบัน ความรู้สึกรักชาติของคนไทยต่ำมากเพราะไม่รู้ว่ารักชาติทำไม
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมเสวนา “การกำหนดจุดเน้นวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง” โดยมีนายวินัย รอดจ่าย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ในฐานะประธานกรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง พร้อมด้วยตัวแทนจากคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และผู้เกี่ยวข้องจากสถาบันพระปกเกล้า สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาคมครูสังคมศึกษาแห่งประเทศไทย รวมถึงศึกษานิเทศก์ กรมศิลปากร และกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุม
นายวินัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงเรื่องของโครงสร้าง เวลา เนื้อหาสาระ คู่มือการจัดการเรียนรู้ และการวัดและการประเมินผลของวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ซึ่งในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนอยู่แล้ว และมีสื่อการเรียนการสอน คู่มือต่างๆ มีความพร้อมอยู่ระดับหนึ่ง แต่ต้องเพิ่มเติมคู่มือการทำกิจกรรมให้แก่ครู เพราะที่ผ่านมาครูสอนวิชาประวัติศาสตร์จะสอนตามหนังสือเรียน แต่ไม่มีแนวทางในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่มีสื่อการเรียนรู้มากมายแต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้อย่างไร
ขณะที่ในส่วนของวิชาหน้าที่พลเมือง ที่จะเป็นวิชาเพิ่มเติม อีก 40 ชั่วโมงในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 และมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ส่วน ม.4 - ม.6 จะเรียน 80 ชั่วโมงนั้น คาดว่า สามารถดำเนินการจัดการเรียนการสอนได้โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ครูสังคม หรือครูสอนประวัติศาสตร์ แต่ให้ครูทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นครู คณิตศาสตร์ หรือพลศึกษา สามารถมาสอนเรื่องของหน้าที่พลเมืองได้ เพราะต้องมีองค์ความรู้ ทักษะพื้นฐานหน้าที่พลเมืองอยู่แล้ว
“การเพิ่มชั่วโมงเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองจะไม่กระทบโครงสร้างการเรียนการสอน หรือเพิ่มภาระให้แก่นักเรียน หรือครู เพราะเป็นวิชาเลือกในกิจกรรมของเด็กๆ เพียงแต่จะบังคับเลือกให้เด็กได้เรียน ซึ่งหลังจากนี้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุด จะไปหารือในส่วนของรายละเอียดของคู่มือ สอบถามว่าครูต้องการอะไรบ้าง เพื่อให้ครูที่มาจากหลากหลายวิชาเอกสาร สามารถมีกิจกรรม และสอนวิชาดังกล่าวได้ รวมถึงในเรื่องของตำราเรียน ที่จะต้องมาวิเคราะห์ตำราเรียนที่มีอยู่ในหลักสูตรว่ายังต้องเพิ่มเติมอะไร และหากมีเรื่องที่ต้องเพิ่มเติมมากก็อาจจะมีการจัดทำตำราเรียนใหม่ให้สอดคล้อง ขณะเดียวกัน ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้เพิ่มเติมหนังสืออ่านนอกเวลา ให้เด็กได้แต่ละระดับชั้น ซึ่งคณะกรรมการก็จะรวบรวมข้อสรุปทั้งหมด ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนตุลาคม และจะจัดอบรมครู ศึกษานิเทศก์ เพื่อให้ทันเปิดภาคเรียนที่ 2 ” นายวินัยกล่าว
นางระวิวรรณ ภาคพรต กรรมการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และพลเมือง กล่าวว่า ที่ผ่านมา การสอนวิชาประวัติศาสตร์จะเน้นความรู้ที่เป็นไปตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ตัวชี้วัดไม่ได้เน้นการสร้างจิตสำนึก ดังนั้น ก่อนที่จะมีการจัดทำคู่มือ หรือจัดทำรูปแบบใดๆ ขอให้ สพฐ. ทบทวนพิจารณาหลักสูตร และปรับให้เหมาะสมก่อน เพราะต่อให้มีคู่มือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครู แต่ไม่เปลี่ยนตัวอธิบายหลักสูตรยังมุ่งให้ความรู้มากกว่าสร้างจิตสำนึก ครูก็สอนตามตำราเรียน ดังนั้น ต้องกำหนดกิจกรรมให้ชัดเจน ว่ารักชาติ รักทำไม เป็นพลเมืองดีของชาติต้องทำไง ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาอย่างปัจจุบัน ความรู้สึกรักชาติของคนไทยต่ำมากเพราะไม่รู้ว่ารักชาติทำไม
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่