ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 10
นายพลวิฑูรตบหน้าสุเทษด้วยความโมโห
“ไอ้โง่ แกกล้าลงมือโดยไม่ผ่านฉันเหรอ”
“เป็นพระประสงค์ขององค์ราชินีครับ ผมขัดไม่ได้จริงๆ”
“ฉันรู้นะว่าแกอยากจะเสนอหน้าเอาความดีความชอบ...ใครจะคิดแผนตื้นๆแบบนี้ได้นอกจากแก”
“ผมขอโทษครับ”
“ไปให้พ้นหน้าฉัน”
สุเทษเดินแยกไป เทวีวิ่งเข้าบ้านมา
“ท่านพี่ กลับมาได้เวลาเหมาะเหม็งจริงๆ น้องมีข่าวจะบอก”
นายพลวิฑูรเสียงเข้ม
“ไม่ต้องพูด ฉันรู้เรื่องแล้ว”
“หะ ท่านพี่รู้ข่าวดีของลูกแล้วเหรอคะ...” เทวีชะงัก
“ข่าวดีบ้าอะไร”
เทวีกระซิบ นายพลวิฑูรตาโต
“จริงเหรอ...”
ในห้องตรวจ...หฤทันหลับอยู่แล้วฝันไป ในฝันหฤทัยฟื้นขึ้นเห็นเจ้าชายมาคียืนอยู่ข้างเตียงหน้าตาดุดัน
“เจ้าชาย”
“ผู้หญิงเลว ไหนรับปากเราแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องคืนนั้น”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดอะไรเลย”
“โกหก เจ้าแกล้งเป็นลมเพื่อจะให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าท้อง เจ้าคิดทำลายความรักของเรากับมัทนามาตั้งแต่แรก”
เจ้าชายมาคีเขย่าหฤทัย
“ไม่...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างงั้น”
หฤทัยสะบัด เจ้าชายมาคีบีบคอ
“ไม่ว่าเด็กในท้องเจ้าจะเป็นลูกใคร เราจะไม่ปล่อยให้เด็กในท้องเกิดมาเป็นมารความรักของเรา
หฤทัยตาเหลือก”
“อย่าเพคะ...เจ้าชาย...อย่า...” หฤทัยดิ้น
“ฤทัย” นายพลวิฑูรเรียก
หฤทัยลืมตาเห็นนายพลวิฑูรยืนอยู่กับเทวี
“ท่านพ่อ ท่านแม่”
เทวียิ้มพอใจ
“โถ ลูก แม้แต่หลับยังละเมอถึงเจ้าชายเลย”
“นี่ฤทัยยังไม่ตาย” หฤทัยแปลกใจ
“นอกจากยังไม่ตายแล้ว ลูกก็ยังจะได้เป็นองค์ราชินีของรายาอีกด้วย”
หฤทัยงง นายพลวิฑูรลูบหัวลูกสาวยิ้มกับลูกเป็นครั้งแรก
“ครั้งนี้เป็นครั้งที่ลูกทำได้ดีที่สุด หฤทัย”
“ทำอะไรคะ”
“ก็ให้กำเนิดบุตรแห่งสวรรค์ เลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าชายมาคีไงล่ะ”
“แม่เล่าให้พ่อฟังแล้วละ เรื่องคืนนั้น ลูกคงกลัวใช่มั้ยถึงไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ว่าลูกกับเจ้าชาย...”
“ไม่นะคะ คือลูก...”
นายพลวิฑูรปลอบ
“ลูกไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครทำอะไรลูกได้ พ่อจะจัดการทุกอย่างเอง ไป”
“ไปไหนคะ” หฤทัยไม่เข้าใจ
“เข้าเฝ้าองค์ราชา”
หฤทัยอึ้ง
ในห้องหนึ่งของวังรายา...ราชาอินทราโกรธมาก
“อารักขากันยังไงทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้แล้วคามินล่ะ คามินไปไหน ทำไมถึงตามไปทีหลัง”
“เกล้ากระหม่อมทราบแค่ คามินไม่สบายพะยะค่ะ” โภคินกราบทูล
“ตอนนี้หม่อมฉันกับเจ้าชายก็ปลอดภัยแล้ว อย่าทรงกริ้วเลยเพคะ แต่คุณหฤทัยดูอาการไม่ค่อยดี ไม่ทราบว่าเป็นยังไงบ้าง เราควรจะไปเยี่ยมเธอหน่อยนะเพคะ” มัทนาพูดขึ้น
พระนางสาวิตรีเดินเข้ามา
“เจ้าอยู่กับหฤทัยในโรงนาไม่ใช่เหรอ หฤทัยเจ็บแค่ไหน ยังไง เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด”
“คุณหฤทัยเธอดูไม่สบายอยู่ แล้วก็มาสำลักควันอีกก็เลยสลบไปเพคะ”
“แน่ใจเหรอว่าแค่นั้น อยู่ในนั้นสองคน ใครจะรู้ว่าเจ้าทำอะไรกับหฤทัยบ้าง”
เจ้าชายมาคีรีบบอก
“เสด็จแม่ คุณมัทนาเข้าไปช่วยหฤทัยก็เลยถูกคนร้ายขังไปด้วย”
พระนางสาวิตรีสวน
“แล้วหฤทัยจะเข้าไปอยู่ในโรงนาทำไม คนร้ายมีหรือเปล่าก็ไม่มีใครเห็น ทุกอย่างเจ้าพูดเองทั้งหมดแล้วที่บอกว่าถูกขัง ขังจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
มัทนาไม่พอใจ
“ตรัสแบบนี้ทรงคิดว่าหม่อมฉันสร้างเรื่องขึ้นเหรอเพคะ”
“เจ้าทำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจ” พระนาวสาวิตรีเบ้หน้า
“ทรงหมายถึง เรื่องที่มีผู้หญิงเข้าไปทำร้ายหม่อมฉันที่ตำหนัก เรื่องที่ม้าที่หม่อมฉันขี่เกือบตกเหวด้วยใช่มั้ยเพคะ ถ้าใช่ หม่อมฉันก็คงเก่งมากที่เป็นคนนอกแต่จัดฉากให้ตัวเองเสี่ยงตายได้ขนาดนี้”
“มันมีคนช่วยเจ้าทำน่ะซิ”
“เราว่าพอเถอะ มันจะไปกันใหญ่แล้ว” ราชาอินทราตัดบท
“แต่หม่อมฉันกำลังพูดสิ่งที่ควรพูด ตั้งแต่มัทนามาที่นี่ ก็มีแต่คนจ้องทำร้ายและคนที่มาช่วยก็ต้องเป็นคามินทุกครั้ง ใครเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็โง่เต็มทน”
คามินเข้ามาพอดี ได้ยินทั้งหมด ราชาอินทราเรียก
“คามิน”
พระนางสาวิตรีไม่พอใจ
“ใหญ่โตเหลือเกินนะ จะไปจะมาก็ไม่ต้องขออนุญาตใคร”
ราชาอินทราขัดขึ้น
“เราสั่งให้คามินเข้ามาเอง หฤทัยเป็นยังไงบ้าง”
สินธรอารักขาอยู่ด้านหน้า นายพลวิฑูรลากหฤทัยมา หน้าตาขึงขัง เทวีตามฟูมฟายแบบเว่อร์
สินธรโค้ง
“ท่านวิฑูร”
“ถอยไป เราจะเข้าเฝ้า”
“คงต้องรอก่อน ผมจะเข้าไปกราบทูลองค์ราชา”
“แต่เราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
หฤทัยร้อนรนสุดท้ายเข้าไปแตะแขนนายพลวิฑูร อย่างหวาดๆเสียงเหมือนจะร้องไห้
“ท่านพ่อคะลูกขอร้อง...กลับบ้านก่อนเถิดค่ะ”
“ไม่...”
สินธรมองงงๆ หฤทัยมองสินธรส่ายหน้าแบบให้ช่วยด้วย ไม่อยากเข้าไป สินธรขวาง
“เกรงว่าคงไม่ได้”
“เหิมเกริมเกินไปแล้ว”
นายพลวิฑูรปัดแขนสินธรแล้วสู้กันด้วยมวยรายาสองสามกระบวนท่า จนนายวิฑูรสามารถล็อคสินธรดันไปอัดกับกำแพงได้อย่างรวดเร็ว
“แกยังห่างไกลเกินกว่าที่จะต่อกรกับฉัน”
นายวิฑูรลากหฤทัยเข้าไป เทวียิ้มเยาะแล้วแสร้งร้องไห้ต่อ
“สมน้ำหน้า ไอ้หมารับใช้”
สินธรมองตามแค้นๆ
ราชาอินทราถามคามิน
“ตกลง หฤทัยเป็นอะไรกันแน่ ทำไมต้องให้รอรายงานจากหมอหลวง”
“เธอบาดเจ็บมากเหรอคะ หรือว่าเป็นโรคร้ายอะไร” มัทนาเป็นห่วง
“มิได้ครับ แต่ว่า...”
คามินยังพูดไม่จบ นายพลวิฑูรลากหฤทัยเข้ามา เทวีตามมาติดๆ
“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้าที่เกล้ากระหม่อมต้องขอเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน”
สินธรตามเข้ามา คามินทำนองห้ามไม่อยู่จริงๆ ราชาอินทรามองนายพลวิฑูร แล้วเลยไปที่หฤทัย
“เห็นว่าเจ้าถึงกับสลบไป ดีขึ้นแล้วรึหฤทัย”
หฤทัยอึกอัก นายพลวิฑูรแทรกขึ้น
“เกล้ากระหม่อมมาก็เพราะหฤทัย”
นายพลวิฑูรทำเศร้า ดึงหฤทัยปราดเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าราชาอินทรา
“โปรดมีรับสั่งให้ประหารเกล้ากระหม่อมด้วยเถิดพะยะค่ะ”
หฤทัยมองนายพลวิฑูรอย่างคาดไม่ถึง
“ท่านพ่อ”
เทวีหันขวับตกใจ
“ประหารเลยเหรอ”
นายพลวิฑูรถลึงตา
“เพราะเจ้าที่ไม่สั่งสอนลูก”
เทวีได้สติร้องไห้ต่อ
“ฮือๆ น้องผิดไปแล้ว”
“หฤทัยทำผิดอะไร ทำไมถึงกับต้องประหาร” พระนางสาวิตรีตกใจ
นายพลวิฑูรทำท่าอึดอัดคับข้องใจหันไปมองหฤทัย นายพลวิฑูรบีบน้ำตาเสียงสั่นเครือ
“ความผิดของหฤทัยครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แต่หฤทัยก็เป็นลูกของเกล้ากระหม่อม การที่หฤทัยปล่อยตัวปล่อยใจทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ ก็เป็นความผิดของเกล้ากระหม่อมเองที่ไม่อบรมสั่งสอนลูกให้เป็นกุลสตรี โปรดลงโทษเกล้ากระหม่อมแทนเถิดพะยะค่ะ”
ทุกคนต่างไม่เข้าใจ ราชาอินทรางงๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อธิบายให้เราเข้าใจหน่อยสิ”
“หฤทัย...ตั้งครรภ์กับเจ้าชายมาคีพะยะค่ะ”
ทุกคนตะลึง หฤทัยเครียดสุดๆ พระนางสาวิตรีหน้าตื่น
“เป็นความจริงเหรอหฤทัย”
หฤทัยอึ้งงุนงงไปหมด นายพลวิฑูรกระซิบเข้ม
“ทูลไปสิ”
ทุกคนมองเจ้าชายมาคีที่ตะลึงงัน มัทนายิ้มสะใจเหลือบมองคามินที่อึ้งไป หฤทัยยังอึกอัก เจ้าชายมาคีลุกพรวด ระเบิดเสียงดังมาก
“ไม่จริง...”
ทุกคนมอง เจ้าชายมาคีเข้าไปกระชากหฤทัยอย่างโกรธสุดขีด
“เจ้าบอกพ่อว่าท้องกับเราเหรอหฤทัย เจ้ากล้าพูดอย่างนั้นเหรอ”
เจ้าชายมาคีเขย่าตัวหฤทัยอย่างแรง หฤทัยตกใจ
“เปล่านะเพคะเปล่า...โอ๊ย”
ทุกคนตะลึง สินธรแค้นจะเข้ามาพอดีคามินเข้ามาดึงตัวเจ้าชายมาคีออกมาก่อน
“พระทัยเย็นก่อนฝ่าบาท”
“เย็นยังไงไหว ผู้หญิงอะไรไม่มียางอาย นายไม่ได้ยินเหรอคามิน มาหาว่าท้องกับเรา”
พระนางสาวิตรีปราม
“มาคี ทำไมพูดกับน้องแบบนั้น”
“หม่อมฉันไม่เคยพูดว่าตั้งครรภ์กับฝ่าบาท” หฤทัยเสียงแข็ง ข่มใจ พูดกับนายพลวิฑูร “คุณพ่อเข้าใจผิดไปเอง”
“แต่คืนนั้น ลูกอยู่กับเจ้าชายทั้งคืน นับตามเวลาแล้วมันก็เกือบเดือนเท่าอายุครรภ์ จะไม่ใช่ได้ยังไง” เทวีเถียงทันที
“ลูกบอกแล้วว่าคืนนั้น เจ้าชายทรงเมามาก ลูกแค่นั่งเฝ้าดู เพื่อถวายรับใช้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
พระนางสาวิตรีมองหฤทัย
“ถ้าหลานไม่ได้มีอะไรกับมาคี แล้วเด็กในครรภ์เป็นลูกใคร”
“หม่อมฉันบอกไม่ได้เพคะ”
นายพลวิฑูรตะลึง
“หฤทัย...รู้มั้ยว่าข้อหานางในที่ตั้งครรภ์โดยไม่มีพ่อ จะเป็นยังไง”
“คุณหฤทัยกำลังกลัว เราไม่ควรจะข่มขู่เธอนะคะ” มัทนาแทรกขึ้น
พระนางสาวิตรีปลอบ
“หฤทัย หลานไม่ต้องกลัว ถึงมาคีจะเป็นลูกของเราหากเด็กในท้องเป็นลูกมาคีจริง เราจะให้มาคีรับผิดชอบ”
“พูดเดี๋ยวนี้” นายพลวิฑูรสั่งเสียงเข้ม
“หม่อมฉันยังยืนยันคำเดิมเพคะ”
เจ้าชายมาคีโกรธมาก
“ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ยท่านลุง ถึงเราจะเป็นญาติแต่ ท่านบังอาจมากที่มากล่าวหาเราแบบนี้ ทหารมาเอาตัวนายพลวิฑูรไปลงโทษ”
“หยุดนะมาคี...” ราชาอินทราปราม
“เสด็จพ่อ...แต่...”
จู่ๆราชาอินทราหน้าซีด เซพิงพนัก พระนางสาวิตรีตกใจ โภคินเข้าประคอง
“เสด็จพี่”
ทุกคนตกใจ ราชาอินทราโบกมือ
“ไม่เป็นไร”
ทุกคนอึ้ง พระนางสาวิตรีตวาด
“ยืนเฉยกันอยู่ทำไม ตามหมอหลวงเร็วเข้า”
คามินวิ่งออกไป นายพลวิฑูรสุดแค้น มัทนาสงสัย มองเจ้าชายมาคี เจ้าชายหลบตาแล้วไปมองหฤทัยอย่างโกรธมาก
ในตำหนักพระนางสาวิตรี...นายพลวิฑูรกับเทวี เข้าเฝ้าอยู่
“หม่อมฉันแน่ใจว่า หฤทัยต้องถูกบังคับข่มขู่ เลยไม่กล้าพูดอะไร ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ”
“ก็รู้กันอยู่ว่าตอนนี้มาคีหลงมัทนายิ่งกว่าอะไร มาคีไม่มีทางยอมรับ”
“เกล้ากระหม่อมขอเอาชีวิตเป็นประกันว่าพ่อของเด็กในท้องหฤทัยคือเจ้าชายมาคีแน่นอนพะยะค่ะ” นายพลวิฑูรยืนยันขันแข็ง
พระนางสาวิตรีหนักใจ
“ถ้าใช่ทำไมหฤทัยไม่พูด เราช่วยออกตัวให้ขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กล้าพูดออกมา นอกเสียจาก...”
เทวีรีบถาม
“นอกเสียจากอะไรหรือเพคะ”
พระนางสาวิตรีเจ็บใจพูดเน้น
“มาคีไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องไง ท่านพี่ต้องเข้าใจนะ ว่าถึงเราจะเอ็นดูหฤทัยและเคยอยากให้เป็นราชินีแห่งรายา แต่เราก็อยากได้เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของมาคีมากกว่า”
พระนางสาวิตรีจะเดินออกไปอย่างไม่พอใจมาก เทวีร้อนรน
“อย่าเพิ่งเสด็จเพคะ ทรงช่วยหฤทัยด้วย”
“ถ้าเราไม่คิดช่วยก็คงไม่สั่งการให้สุเทษไปกำจัดมัทนา แต่คนของท่านก็ทำไม่สำเร็จ และยังปล่อยให้หฤทัยเข้าไปอยู่ที่นั่นจนเรื่องมันบานปลาย ถึงตอนนี้ก็มีทางเดียวคือพิสูจน์ให้ได้ว่าหฤทัยตั้งครรภ์กับมาคีจริงๆ แล้วค่อยมาว่ากัน เราจะไปเฝ้าดูอาการเสด็จพี่”
พระนางสาวิตรีเดินไป เทวีร้อนใจ
“ทำไงดีคะท่านพี่องค์ราชินีทรงกริ้วพวกเราใหญ่แล้ว”
นายพลวิฑูรแค้นมากพึมพำน่ากลัว
“นังลูกไม่รักดี”
ตำหนักรับรองมัทนา...มินตราโมโห
“บ้าที่สุด นี่เหรอกุลสตรี ใช้วิธีท้องเพื่อมัดผู้ชาย ทุเรศที่สุด”
มัทนาแปลกใจที่มินตราโมโหมาก
“มัทไม่คิดอย่างนั้นนะคะ พี่มิน มัทคิดว่าคุณหฤทัยเธอถูกบังคับ เธอไม่ได้อยากจะทำแบบนี้”
“แต่ผู้หญิงที่ตั้งท้องโดยไม่ได้แต่งงาน มันก็น่าประณามไม่ใช่เหรอคะ”
“จริงด้วย...มัทได้ยินว่า หฤทัยต้องถูกลงโทษหนักอยากรู้จริงๆว่า เป็นโทษอะไร” มัทนาหนักใจ
บุหลันนำหฤทัยเข้ามาหหน้าห้องมืด หฤทัยเดินตามมาท่าทางหวาดกลัวหน้าห้องมีนางใน
ที่เป็นหญิงแต่แต่งชุดทะมัดทะแมงคุ้มกัน
“ที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ คุณหฤทัยจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อสำนึกผิด จนกว่าจะมีผู้ชายมาแสดงตัวว่าเป็นสามีของคุณค่ะ”
หฤทัยเริ่มกลัว บุหลันเห็นใจแต่ต้องทำตามกฎ
“มีอะไรจะให้ฉันช่วยอีกมั้ยคะ”
“ไม่...ไม่มี”
บุหลันพยักหน้าให้นางในที่เฝ้าเปิดประตู หฤทัยเดินเข้าไป บุหลันปิดประตู เสียงดังก้องจนหฤทัยสะดุ้งมองห้องมืดที่เป็นลักษณะเหมือนห้องใต้ดิน มีช่องให้แสงผ่าน เป็นห้องที่ใช้ลงโทษมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีเตียงเล็กๆ หมอน ผ้าห่ม ลวดลายพื้นเมืองอยู่มุมห้อง หฤทัยเดินไปนั่งที่เตียงพยายามปลอบใจตัวเอง แค่ห้องมืดไม่เห็นน่ากลัวเลย
เจ้าชายมาคีเดินไปมาถึงหน้าตำหนัก ชวาลได้แต่มอง
“อย่าทรงกังวลไปเลยพะยะค่ะ หมอหลวงก็บอกแล้วว่าพระอาการขององค์ราชา ไม่น่าเป็นห่วง ถ้าได้บรรทมก็จะดีขึ้น”
“เรื่องนั้นเราไม่ห่วงอยู่แล้ว เราห่วงหฤทัยต่างหาก”
“อ๋อ...ก็ยังดีพะยะค่ะ กระหม่อมนึกว่าจะทรงไม่รู้สึกรู้สมที่คุณหฤทัยต้องผจญเคราะห์กรรมขนาดนี้ซะอีก”
เจ้าชายมาคีมองหน้าชวาล
“ทำไม เจ้าพูดเหมือนหฤทัยเป็นแบบนี้เพราะเรา”
“กระหม่อมก็ไม่ได้หมายความอย่างงั้นหรอกพะยะค่ะ แต่ว่า คืนนั้นทรงเมามาก อาจจะจำไม่ได้ ว่าทรงทำอะไรๆ ไปบ้าง”
เจ้าชายมาคีเข้าไปขยุ้มคอ
“ไม่มีทาง เราไม่มีทางมีลูกกับหฤทัย ไม่มีวัน ได้ยินมั้ย”
“แค่กๆ พะยะค่ะ ๆ ไม่มีก็ไม่มี”
“แต่ว่าเสด็จแม่ ท่านลุงกับคุณเทวีคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปแน่ ทุกคนต้องการให้หฤทัยเป็นชายาเราอยู่แล้ว มัทนาเองก็ต้องสงสัยในตัวเรา...หฤทัย เป็นเพราะหฤทัยคนเดียว” เจ้าชายมาคีบ่นอย่างหงุดหงิด
ในห้องบรรทมราชาอินทรา...คามินยืนอยู่ข้างๆ กับโภคิน มองราชาอินทราอย่างห่วงใย ราชาอินทราตื่นขึ้น
“โภคิน”
“เกล้ากระหม่อมอยู่นี่พะยะค่ะ”
ราชาอินทราพยายามลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าคิดว่ามาคีทำจริงหรือเปล่า”
โภคินก้มหน้า ราชาอินทรามองคามิน
“เจ้าล่ะ คามิน”
“เกล้ากระหม่อม...ไม่ทราบจริงๆพะยะค่ะ”
ราชาอินทราหน้าเครียด
“หฤทัยเป็นคนดี หากมาคีล่วงเกินหฤทัยจริงๆ เราต้องให้ความยุติธรรม”
โภคินมองกับคามิน
“อย่าเพิ่งทรงกังวลพระทัยเลยพะยะค่ะ อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
ราชาอินทราถอนใจ พูดแผ่วๆ ยานอนหลับยังออกฤทธิ์
“บางที...มันอาจจะถึงจุดเปลี่ยนของราชวงศ์แล้ว”
“เป็นความบกพร่องของเกล้ากระหม่อมเอง” คามินรู้สึกผิด
“ไม่มีใครฝืนบัญชาสวรรค์ได้ ทุกคนต้องรับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเอง รวมทั้งเราด้วย...”
ราชาอินทราหลับไปอีก
“ฝ่าพระบาท” คามินตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอก คงเพราะฤทธิ์ยา”
โภคินบอกให้คลายกังวล คามินถอนใจ
โภคินเดินนำคามินออกมาหน้าห้องบรรทม
“เพิ่งประชุมเรื่องการจัดงานอภิเษกเสร็จแท้ๆ ก็มีอุปสรรคอีกจนได้...คามิน”
“ครับ”
“เห็นว่าวันนี้ท่านตามขบวนเสด็จไปทีหลัง เพราะอะไร”
“เมื่อคืน ผมดื่มกับพวกองครักษ์หนักไปหน่อยก็เลยตื่นสายครับ ผมเลวอย่างไม่น่าให้อภัย”
“นี่ ท่านดื่มด้วยเหรอ...คามิน ช่วงนี้ท่านดูเครียดแล้วก็ใจลอยบ่อยๆ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ปัญหาส่วนตัวน่ะครับ ผมก่อขึ้นเอง ก็ต้องหาทางแก้เองให้ได้...”
“แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ เรื่องคุณหฤทัยหากเจ้าชายเป็นพระบิดาของเด็กในครรภ์จริงก็เท่ากับ ราชบัลลังก์จะอยู่ในมือท่านวิฑูรครึ่งนึงแล้ว”
คามินคิดหนัก
เสียงนกกลางคืนร้องน่ากลัว...หฤทัยลุกขึ้นยืน มองมาที่หน้าต่างเจอนกกลางคืน ที่ตาสว่างวาบในความมืด หน้าห้องมุมหนึ่งไม่ไกลมองเห็นห้องมืด มีทหารยามเฝ้าอยู่ด้านนอก สินธรยืนมองสีหน้าปวดร้าว ทันใดนั้นเสียงหฤทัยร้องลั่น
“อ๊าย...ช่วยด้วย ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้”
สินธรลังเล มือขยับจับปืนทำท่าจะเข้าไป แล้วชะงักรีบถอยหลบมาที่เดิม เมื่อเห็นนายพลวิฑูรเข้ามา ทหารยามรีบเปิดประตูให้ นายพลวิฑูรโบกมือไล่ทหารไปแล้วเข้าไป สินธรถอยไปหลบแอบ
ในห้องมืด หฤทัยดีใจที่เห็นประตูเปิด นายพลวิฑูรเข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านพ่อจะมาพาลูกออกไปใช่มั้ยคะ”
“ใช่...พ่อจะพาลูกออกไปแน่ ถ้าลูกยอมบอกว่ามาคีเป็นพ่อของเด็กในท้อง”
“ฤทัยทำไม่ได้ค่ะ อย่าบังคับฤทัยเลย”
“ไม่ต้องกลัว จะไม่มีใครกล้าแตะต้องลูกแม้แต่ปลายเล็บ พ่อจะคุ้มครองลูกจนกว่าลูกจะได้นั่งบัลลังก์เป็นราชินีแห่งรายา”
นายพลวิฑูรโอบหฤทัยมาที่เตียง
“บอกพ่อมา ใช่มาคีหรือเปล่า”
หฤทัยเครียด อัดอั้น ก้มหน้า นายพลวิฑูรบีบปาก ข่มขู่
“รู้มั้ยว่าฉันผิดหวังแค่ไหน ตอนที่รู้ว่า แม่แกคลอดลูกสาวสิ่งเดียวที่แกจะทำให้ฉันภูมิใจได้ ก็คือได้เป็นชายาองค์รัชทายาท เพราะฉะนั้น ถ้าแกทำไม่สำเร็จ แกก็ไม่ใช่ลูกสาวฉันอีก และฉันก็จะไม่รับเด็กในท้องเป็นหลานฉันด้วย”
นายพลวิฑูรปล่อย หฤทัยน้ำตาร่วงส่ายหน้า นายพลวิฑูรเจ็บใจ
“ฉันจะคอยดูว่าแกจะปากแข็งได้แค่ไหน”
นายพลวิฑูรออกไป หฤทัยนั่งร้องไห้ สินธรเข้ามาดูช่องที่ประตู เห็นหฤทัยก็สงสาร คิดแค้นเจ้าชายมาคี
สินธรตวัดดาบฟันกิ่งก้านต้นไม้แหลกลาญ ก่อนปักดาบลงกับพื้น ตัวเองทรุดลงกุมหัวตะโกนคลั่งแค้น
“อ๊าก”
เสียงคามินดังขึ้น
“นายเป็นอะไร”
สินธรชะงัก ข่มอารมณ์ คามินเข้ามายืนตรงหน้า มองต้นไม้ที่ถูกฟันสะบั้นก่อนหันมามองสินธร ที่รีบลุกขึ้นหยิบดาบเก็บเข้าฝักจะเดินหนีไป คามินจับบ่าไว้
“เดี๋ยวก่อน เราถามว่าเป็นอะไร”
สินธรนิ่งแต่ไม่หันกลับมา คามินอ้อมมายืนตรงหน้า สินธรหน้าแดงก่ำน้ำตาคลอ คามินตกใจ
“สินธร...นี่มันเรื่องอะไรกันบอกเราสิบอกเรามาเดี๋ยวนี้”
สินธรระเบิดอย่างเหลืออด
“ผมอยากฆ่าเจ้าชายมาคี ผมจะแก้แค้นให้คุณหฤทัย”
“นายพูดอะไร” คามินตะลึง
“เจ้าชายย่ำยีคุณหฤทัย ดูถูกเหยียดหยามเหมือนเธอเป็นดอกหญ้าข้างทาง”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ผมเห็นคุณหฤทัยเดินร้องไห้ออกมาจากตำหนักของเจ้าชาย แล้วก็ไม่ใช่แค่นี้ครั้งเดียว คนที่ทำแบบนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่ควรจะเป็นเจ้าชายรัชทายาทด้วย”
คามินตบเต็มแรง สินธรหน้าสะบัดไป แตะเลือดที่ริมฝีปาก คามินทำไปแล้วก็เสียใจ สินธรโมโหเดินออก คามินจับแขนไว้
“เดี๋ยว สินธร เราขอโทษ...”
ในบ้าน คามินยื่นลูกประคบให้สินธร
“ประคบซะ เรามือหนักไปหน่อย”
สินธรรับมามองคามินน้อยใจ
“ท่านก็เข้าข้างเจ้าชายเหมือนเดิม ทำไมท่านต้องห่วงเจ้าชายขนาดนี้ทำไมต้องทำเพื่อเจ้าชายตลอดเวลา”
คามินจับบ่าสินธร พูดจริงจัง
“เราไม่ได้ทำเพื่อเจ้าชาย แต่ทำเพื่อรายาประเทศของเรา สินธร เราต่างก็รู้ว่าเจ้าชายมาคีไม่เคยรักคุณหฤทัยเลย”
“ไม่รัก แล้วย่ำยีเล่นแบบนี้เหรอ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายจะทำยังไงก็ได้หรือไง”
“นายก็ไม่ได้เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่าเจ้าชายทรงล่วงเกินหฤทัย”
“แล้วท่านเชื่อเหรอครับว่าเจ้าชายไม่ได้ทรงทำ”
“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะมีคนจัดการอยู่เบื้องหลัง คนที่ต้องการกุมอำนาจทั้งหมด”
“นายพลวิฑูร” สินธรได้สติ
“ใช่...ทั้งเจ้าชายและคุณหฤทัยต่างตกเป็นหมากตัวหนึ่งของท่านวิฑูร”
สินธรนิ่งคิดตาม
“แล้วคนที่รับเคราะห์ก็คือ คุณหฤทัย ถ้าไม่มีใครแสดงตัวว่าเป็นพ่อเด็ก คุณหฤทัยอาจจะต้องถูกเนรเทศเหมือนกับ...”
“แม่ของเรา”
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจพูด”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก มันเป็นความจริง”
“ไม่มีทางจะช่วยคุณหฤทัยได้เลยเหรอครับ” สินธรหนักใจ
ตำหนักมัทนาเช้าวันใหม่...มัทนาตกใจที่มินตรามารายงาน
“ถูกขังในห้องมืด”
“ค่ะ เป็นกฎของราชสำนัก”
“นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่ใช่ยุคหินที่จะมาลงโทษกันแบบป่าเถื่อนอย่างนี้นะคะ ไม่ได้ มัทต้องไปช่วยคุณหฤทัย”
“ช่วยยังไงคะ”
“ตอนนี้มัทก็ยังไม่รู้ มัทต้องคุยกับเธอก่อนมัทต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง มัทจะไม่ยอมให้คุณหฤทัยเป็นเหยื่อเหมือนกรรณิการ์อีกคน”
“คุณมัทพูดเหมือนสงสัยว่าพ่อของเด็กในท้องคือเจ้าชาย”
“ถ้าใช่ เจ้าชายต้องรับผิดชอบ ช่วยมัทหน่อยนะคะพี่มิน”
มินตราแกล้งถอนใจ
“ถ้าพี่มินไม่ช่วย มัทก็จะไปให้ได้”
“ก็ได้ค่ะ พี่จะล่อทหารยามไปที่อื่น แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะ”
หฤทัยร้องไห้จนน้ำตาแห้ง ครุ่นคิดตัดสินใจ ก้มลงมองที่ท้อง
“ถ้าไม่มีเด็กคนนี้ทุกอย่างก็จบ”
หฤทัยปีนขึ้นไปยืนบนเตียง เตรียมจะโดดประตูเปิดผลัวะเข้ามา
“อย่า...”
หฤทัยโดด คามินวิ่งเข้าไปรับตัวหฤทัยล้มไปด้วยกัน
“หฤทัย ทำไมทำแบบนี้”
“มันเป็นทางเดียวที่จะหยุดปัญหาทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องมีใครมาวุ่นวายกับฤทัยอีก ปล่อยๆ”
หฤทัยดิ้นรน จะขึ้นไปโดดอีก คามินตบหน้า หฤทัยชะงัก
“อย่าใช้วิธีโง่ๆแบบนี้แก้ปัญหาอีก มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น...”
หฤทัยร้องไห้ กอดคามิน
หน้าห้องมืด...มัทนาในชุดทะมัดทะแมง เข้ามาหานางในที่เฝ้า
“ฉันมัทนา พระคู่หมั้น ต้องการมาเยี่ยมคุณหฤทัย”
“เอ้อ...”
“เกิดอะไรขึ้นฉันรับผิดชอบเอง”
คนเฝ้าจำต้องถอย มัทนาเดินเข้าไป
มัทนาเดินเข้ามาเอะใจที่หน้าห้องเปิดแง้ม เลยเปิดเข้าไปแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นคามินกำลังกอดกับหฤทัย แล้วผละออกเช็ดน้ำตา
“คามิน”
ทั้งคู่ชะงัก คามินหันมา
“คุณมัทนา”
“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่”
คามินมองมัทนาแล้วเกิดความคิดทันที หฤทัยจะขืนตัวออกแต่คามินกลับกอดไว้แน่น
“ผมมาที่นี่ก็เพราะ ผมตัดสินใจแล้วว่าเรื่องระหว่างผมกับหฤทัยต้องเปิดเผยซะที”
“คุณหมายถึง...”
“ผมเป็นพ่อเด็กในท้องหฤทัย”
“พี่คามิน” หฤทัยตกใจ
มัทนาอึ้ง
มุมเงียบๆมุมหนึ่ง คามินเดินนำออกมา มัทนาตาม
“ฉันรู้นะว่าคุณทำเพื่อปกป้องเจ้าชาย เหมือนเรื่องกรรณิการ์นั่นแหละ”
“มันเป็นความจริง ผมกับหฤทัยรักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ท่านวิฑูรไม่เห็นด้วยกับความรักของเรา เราก็เลยต้องแอบคบกันมาตลอด”
“แล้วฉันล่ะ ที่คุณทำกับฉันทั้งหมดมันแปลว่าอะไร”
“ผมขอโทษ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ที่ผมพยายามยื้อเวลา ก็เพราะไม่รู้จะบอกคุณเรื่องหฤทัยยังไง แต่ตอนนี้ผมคงหนีความจริงไม่พ้น ผมต้องรับผิดชอบลูกของผม”
“ฉันไม่เชื่อ...”
“ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมเองก็จนใจ แต่ผมอยากให้คุณคิดให้ดีว่ายังไงเรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จบกันซะตรงนี้ดีกว่า”
“คุณพูดกับฉันง่ายๆแค่นี้เหรอ”
“ผม...เสียใจ”
มัทนาหัวเราะออกมา
“เสียใจงั้นเหรอ คุณเสียใจแต่ฉันเสียทั้งชีวิตความรู้สึกทั้งหมดของฉันที่ทุ่มเทให้คุณ ฉันเชื่อใจ ไว้ใจคุณมาตลอด คุณพูดได้แค่เสียใจ”
คามินนิ่ง
“คุณไม่เคยรักฉันเลยใช่มั้ย”
“คุณเคยได้ยินคำนั้นออกจากปากผมรึเปล่า”
มัทนาอึ้ง
“ใช่ซิ ที่ผ่านมา ฉันมันโง่เอง”
มัทนาวิ่งหนีไปอย่างสะเทือนใจ คามินก้าวตามแต่แล้วหยุด ถอยกลับมาที่เดิมหลับตาข่มความสะเทือนใจ
หน้าห้องมืด...มัทนาวิ่งมาชนกับเจ้าชายมาคี องครักษ์มาด้วย เจ้าชายมาคีคว้าตัวมัทนาไว้
“คุณมัท ทำไมคุณถึงมาที่นี่”
มัทนาพยายามสะบัดจะไป เจ้าชายมาคีรั้งเอาไว้
“เดี๋ยวคุณมัท...คุณร้องไห้ เกิดอะไรขึ้น หฤทัยพูดอะไรกับคุณ”
“รับสั่งถามเธอเองแล้วกันเพคะ หม่อมฉันปวดหัวอยากกลับไปพักผ่อน”
มัทนาเดินออกไป
“คุณมัทๆ...หฤทัย” เจ้าชายมาคีเครียด
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
คามินกลับมาคุยกับหฤทัย
“ทำไมพี่คามินต้องทำแบบนี้”
“นี่เป็นการจบปัญหาทุกอย่าง ทั้งของฤทัยและของพี่”
“นี่พี่กับคุณมัทนามีสัมพันธ์กันจริงๆเหรอคะ”
“มันเป็นความผิดพลาดที่พี่ก่อขึ้น และกำลังจะมีผลกระทบถึงแผ่นดินรายา ซึ่งพี่ยอมไม่ได้”
“แต่ฤทัยก็ไม่ต้องการให้พี่ต้องมารับผิดชอบสิ่งที่พี่ไม่ได้ก่อ”
“แล้วฤทัยจะปล่อยให้ลูกเกิดมาโดยไม่มีพ่อเหรอพี่เคยผ่านความทุกข์แบบนี้มาก่อน และพี่ก็ไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ต้องเป็นแบบพี่”
คามินแตะหลังมือหฤทัย
“ไว้ใจพี่ชายคนนี้มั้ย”
เจ้าชายมาคีเข้ามา
“คามิน”
หฤทัยเห็นเจ้าชายมาคีตัดสินใจได้ทันที
“ค่ะ...พี่คามิน ฤทัยจะบอกความจริงเพื่อลูก...ของเรา”
เจ้าชายมาคีอึ้งไป
“อะไรนะ”
เจ้าชายมาคีเดินกอดคามินออกมาหน้าห้องมืด
“เรายินดีด้วยจริงๆนะคุณพ่อคนใหม่”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีถอนใจโล่งอก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านายกับหฤทัยรักกัน นี่ถ้าไม่ออกมาจากปากนาย เราต้องไม่เชื่อเด็ดขาด ตอนแรกเราคิดว่านายทำเพื่อช่วยเราซะอีก”
“ในเมื่อทรงแน่พระทัยว่าไม่ได้มีอะไรกับหฤทัย ทำไมกระหม่อมจะต้องช่วยฝ่าบาท”
“ก็...ก็ท่านลุงพยายามยัดเยียดหฤทัยให้เราไง แต่ยังไงก็ต้องขอบใจมากนะคามิน นายทำให้เรารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คุณมัทนาจะได้ไม่สงสัยเราอีก...เออ แต่พูดถึงคุณมัท ทำไมเธอต้องร้องไห้ด้วย”
“คุณมัทคงจะสงสารคุณหฤทัย”
“นั่นน่ะสิ คุณมัทเธอเป็นคนจิตใจดีจริงๆแล้วนายจะบอกทุกคนเมื่อไร”
คามินนิ่ง
ในห้องทำงาน ราชาอินทรามองคามิน อึ้งไม่อยากเชื่อ คามินยืนก้มหน้า
“นี่คือเรื่องจริงรึ...”
“พะยะค่ะ”
ราชาอินทราไม่แน่ใจ ลังเลอยู่ครู่ก่อนถาม
“เจ้าคงไม่ได้ทำเพื่อมาคีหรอกนะ”
คามินอึ้ง
“ว่ายังไง”
“เกล้ากระหม่อมทูลความจริงพะยะค่ะ ขอทรงพระกรุณาด้วย”
คามินคุกเข่าลงก้มหน้า ราชาอินทรามองกับโภคิน พูดไม่ออก
ทุกคนอยู่กันพร้อมในห้องโถงวังรายา คามินคุกเข่าอยู่ข้างหฤทัย นายพลวิฑูรไม่เชื่อ
“ไม่จริง...แกถูกมันข่มขู่ให้พูดแบบนี้ใช่มั้ย”
“ลูกขอโทษ แต่ลูกรักกับพี่คามินมานานแล้วค่ะ”
พระนางสาวิตรีก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
“เป็นไปไม่ได้ เราไม่เชื่อ”
“เป็นความจริงพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมผิดไปแล้วขอทรงเห็นใจในความรักของเราทั้งสองด้วย”
นายพลวิฑูรแค้น ชักปืนออกมาจ่อคามิน
“ไอ้คามิน...แกตาย”
ทุกคนตกใจ ราชาอินทราลุกขึ้นตวาดเสียงดัง
“นายพลวิฑูร...”
นายพลวิฑูรชะงัก
“กล้าใช้อาวุธต่อหน้าเราเหรอ”
นายพลวิฑูรได้สติ รีบข่มอารมณ์ เก็บปืน
“เกล้ากระหม่อมขาดสติไปชั่วครู่ โปรดพระราชทานอภัยด้วยพะยะค่ะ”
“ที่จริงคามินก็เป็นคนดีมีอนาคต เมื่อเรื่องจบลงได้อย่างนี้ท่านก็น่าจะยินดี”
“เกล้ากระหม่อมไม่อาจทำใจยอมรับคนที่มีอดีตอันมืดมนไม่รู้แม้นกระทั่งว่าใครเป็นพ่อมาเป็นลูกเขยได้ เกล้ากระหม่อมทูลลา”
นายพลวิฑูรลากหฤทัยไปด้วย เทวีงงทำอะไรไม่ถูก รีบถอนสายบัววิ่งตามออกไป พระนางสาวิตรีลุกขึ้นตวาด
“นี่เรื่องบ้าอะไรกัน เสด็จพี่เชื่อไอ้คามินเหรอเพคะ”
“เราเชื่อหลานของเจ้าต่างหาก”
ราชาอินทราเดินไปหาคามิน
“รีบไปจัดการให้เรียบร้อย ถ้ามีอะไรที่เราช่วยได้ก็บอกมา”
คามินคำนับราชาอินทราก่อนหันมาทำความเคารพพระนางสาวิตรีแล้วออกไป
“เสด็จพี่...”
ราชาอินทราไม่ฟังเดินออกไปอีกคน พระนางสาวิตรีแค้นจัด
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
มัทนานอนนิ่งท่าทางไร้วิญญาณอยู่ในห้องนอน เสียงเคาะประตูดังติดๆกัน มัทนาเฉย มินตรา
เปิดประตูเข้ามาหน้าตื่นเต้น
“คุณมัท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
มัทนาถอนใจ มินตรารีบพูด
“เขาลือกันทั่วว่าคุณคามินเป็นพ่อของเด็กในท้องคุณหฤทัยค่ะ”
มัทนานิ่ง มินตราสงสัย
“คุณมัท...คุณมัทรู้แล้วเหรอคะ เอ๊ะ...หมายความว่ายังไงคะ หรือว่าเป็นเรื่องจริง”
มัทนาหันหลังให้ หลับตา
“ขอมัทอยู่คนเดียวเงียบๆได้มั้ยคะ”
มินตรามองมัทนา ค่อยๆลุกขึ้น ถอยออกไปที่ประตูพึมพำ
“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน”
มินตราเปิดประตูออกไป มัทนาร้องไห้ เอาหมอนมาปิดหน้าสะอื้น
คามินเดินบุกเข้ามาในบ้านนายพลวิฑูร
“ฉันต้องการพบหฤทัย”
สุเทษขวาง
“บังอาจมากไปแล้ว โยนมันออกไป”
ทหารเข้ารุม แต่ถูกคามินต่อยหมอบ สุเทษเข้าสู้ก็ถูกอัดทรุด อย่างดุดันรวดเร็ว คามินเข้าไปในบ้าน
วิฑูรลากหฤทัยจะขึ้นบันได เทวีตามติดๆตกใจ
“ท่านพี่จะเอาลูกไปไหน”
“ฉันจะเอามันไปล่ามโซ่ไว้ มันจะได้ออกไปทำเรื่องบัดซบแบบนี้ไม่ได้อีก”
หฤทัยขืนตัวไว้ ตกใจ
“ไม่นะคะคุณพ่อ อย่าทำกับลูกแบบนี้ ลูกไม่ไป”
นายพลวิฑูรลากหฤทัยมาชะงักหยุดไม่เดินต่อ หฤทัยกับเทวีมองตามเห็นคามินยืนอยู่ที่ประตู หฤทัยดีใจ
“พี่คามินช่วยหฤทัยด้วย”
คามินกำลังจะก้าวเข้ามา นายพลวิฑูรตะคอก
“หยุดนะที่นี่ไม่มีองค์ราชาคอยช่วยแก ถ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียวฉันยิงแกแน่”
นายพลวิฑูรกระชากปืนออกมา เทวีตกใจ
“ว้ายท่านพี่อย่าค่ะ”
นายพลวิฑูรกับคามินจ้องกัน คามินสีหน้าอ่อนลง
“ผมมาขอโทษและมาขอรับผิดชอบคุณหฤทัย”
“ไม่ต้อง...ไสหัวแกไป ฉันไม่ต้องการความรับผิดชอบของแก”
“แต่คุณหฤทัยเป็นภรรยาของผม”
นายพลวิฑูรแค้น
“ไอ้สารเลว...”
หฤทัยอ้อนวอน
“คุณพ่อขาลูกและพี่คามินรู้ว่าเราทั้งคู่ทำผิด แต่ได้โปรดยกโทษให้พวกเราสักครั้งนะคะ”
นายพลวิฑูรหันมาตบอย่างสุดแค้น หฤทัยกระเด็นไปฟุบลง คามินเข้ามาประคอง
“คุณหฤทัย”
นายพลวิฑูชักปืน หฤทัยขวาง
“อย่าค่ะ อย่ายิงพี่คามิน”
“แกเลือกเอาระหว่างฉันกับไอ้คามิน ถ้าแกจะอยู่ที่นี่แกต้องเลิกติดต่อกับมันอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าแกเลือกมัน แกกับฉันก็ตัดความเป็นพ่อเป็นลูกกันนับตั้งแต่วันนี้”
“ท่านพี่...” เทวีตกใจ
หฤทัยตะลึง
“ท่านพ่อ...”
หฤทัยมองพ่อสลับกับมองคามิน ลังเลอยู่นาน หฤทัยลุกขึ้นเดินไปหาพ่อ นายพลวิฑูรเหยียดยิ้มเยาะคามิน หฤทัยทรุดลง แตะเท้านายพลวิฑูรกับเทวี เงยหน้ามองน้ำตานองหน้า
“ลูกขอโทษค่ะ”
หฤทัยลุกขึ้นเดินกลับไปหาคามิน นายพลวิฑูรตะลึงสุดแค้น ยิงปืนขึ้นฟ้าตะโกนไปด้วย
“ไปๆออกไปให้พ้นบ้านฉันไป”
คามินโอบหฤทัยพาออกไป นายพลวิฑูรเจ็บใจสุดแค้น กำปืนแน่นมองตามอาฆาต เทวีหน้าซีด
“แกไอ้คามินฉันจะฆ่าแกด้วยมือของฉัน”
คามินเดินนำหฤทัยเข้าไปในตัวบ้าน หันมามองเห็นหฤทัยยังยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตู คามินพูดอ่อนโยน
“เข้ามาสิฤทัย...”
หฤทัยค่อยๆเดินเข้ามาถึงเก้าอี้จะนั่งแต่มีเสื้อคามินพาดไว้ หฤทัยชะงัก คามินมองรีบเข้ามาหยิบออก แล้วเลยไปหยิบข้าวของที่วางรกๆไว้เข้าที่ เขินๆ
“ขอโทษที บ้านพี่ออกจะรกไปสักหน่อย”
คามินรีบหยิบของเข้าที่เท่าที่พอจะทำได้ หฤทัยตรงเข้าช่วย
“ฤทัยช่วยค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่จะให้ทหารมาทำความสะอาด ฤทัยนอนในห้องพี่นะ”
หฤทัยมองหน้าคามิน สีหน้าอึดอัด
“ฤทัยมาทำให้พี่ลำบาก”
“อย่าคิดมาก ปกติพี่ก็แทบจะกินจะนอนอยู่ในห้องทำงานอยู่แล้ว ถ้าห้องนอนพี่พูดได้มันคงจะบอกว่า...คามินช่วยเข้ามานอนหน่อย ฉันจะจำหน้านายไม่ได้แล้วนะ”
หฤทัยหัวเราะออกมา คามินพอใจ
“ต้องอย่างนี้สิ...หัวเราะเยอะๆยิ้มบ่อยๆเด็กในท้องจะได้อารมณ์ดีไปด้วย”
หฤทัยลูบท้อง
“ฤทัยไม่รู้จะขอบคุณพี่ยังไงดีที่...”
คามินรีบขัด
“ไม่ต้องพูดแล้ว จำไว้นะฤทัยต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ลืมอดีตให้หมด ตกลงมั้ย”
“ค่ะพี่คามิน”
“ดีมาก...เอาล่ะตอนนี้พี่ว่าฤทัยไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
“เอ้อแต่ฤทัยไม่มีของใช้ส่วนตัวมาเลยค่ะ”
คามินนึกได้
“จริงด้วย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะให้คนไปซื้อมาให้ ฤทัยทำตัวตามสบายนะ พี่ขอตัวเข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวในห้องนิดหนึ่ง”
คามินเดินเข้าห้องไป หฤทัยเดินมองรอบๆบ้าน รู้สึกโหวงๆขึ้นมา เศร้านิดๆ แต่แล้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง
“ฉันต้องทำให้ได้...”
หฤทัยลงมือเก็บโน่นนี่เท่าที่จะทำได้อย่างคล่องแคล่ว
คามินรีบเก็บของใช้ส่วนตัวในห้องนอน เดินมาหยิบของที่เตียงแล้วชะงัก มองเตียง ภาพมัทนาพยักหน้าเชิดๆทำท่าราวกับเป็นราชินีแล้วแว่บเข้ามา
“ดี...องครักษ์คามินจงฟังคำสั่งเรา”
คามินอึ้งๆ มัทนาพูดต่อจริงจัง
“เราขอสั่งให้เจ้าอ้าปาก”
คามินงง มัทนาเข้ามาใกล้ เสียงเข้ม
“อ้าปากสิ”
เขาค่อยๆอ้าปาก เธอป้อนยา คามินพะอืดพะอม มัทนาดุ
“อย่าคายนะ...กลืนเข้าไปเดี๋ยวนี้”
คามินกลืนยาทำหน้าแบบขมมาก มัทนาพยักหน้าพอใจ
“ดี...เอาล่ะที่นี่กินยาแล้วก็กินข้าว”
มัทนาหันไปหยิบชามข้าวต้ม ทำท่าจะป้อน คามินรีบห้าม
“ไม่ต้องครับ...ผมทานเองได้”
มัทนาเสียงดุ
“ใครสั่งให้พูด...ทำตามอย่างเดียว อ้าปาก”
คามินอ้าปาก มัทนาป้อนข้าว เขาอมไว้ มัทนาดุ
“รีบๆเคี้ยวสิ”
คามินรีบเคี้ยว...เวลาผ่านไปจากป้อนกันดุๆ กลายเป็นอ่อนหวาน มัทนาป้อน คามินกินอย่างมีความสุข
คามินยิ้มเศร้า
“คามิน...นายเองก็ต้องลืมอดีตให้หมด”
คามินสลัดทุกอย่างออกจากหัว หันกลับเดินออกไปจากห้องอย่างเด็ดเดี่ยว
ห้องโถงตำหนักมัทนา...บุหลันถือถาดเดินมาเจอมินตราพอดีบุหลันร้อนใจ
“คุณมัทนาไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยค่ะ”
มินตรามองอาหารในถาด
“หรือว่าเธอจะไม่สบายคะ ดิฉันว่าไปตามหมอหลวงมาดูอาการหน่อยดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” มินตราแอบหมั่นไส้ “เดี๋ยวหิวทนไม่ไหวก็ทานเอง”
บุหลันมองงงๆ มินตรารีบเปลี่ยนท่าทางอธิบาย
“นี่เป็นเรื่องปกติของคุณมัทเธอนะคะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็พอเธอไม่ได้ดั่งใจก็มักจะประท้วงไม่กินข้าวกินปลาแบบนี้ละคะ คุณบุหลันอย่าร้อนใจไปเลยค่ะ”
“ไม่ได้ดั่งใจ...เรื่องอะไรกันคะ”
“ก็เรื่อง...อุ๊ย...”
มินตราตกใจเมื่อพบว่า ท่านหญิงมาณวิกา เข้ามา นางกำนัลช่วยถือกระเป๋าเดินทางเข้ามา
“ท่านหญิง...”
มัทนานอนตะแคงหันหลังให้ประตู เศร้า เสียงประตูเปิดเข้ามา มัทนาถอนใจพูดเสียงเนือยๆ
“ก็มัทบอกแล้วไงคะว่ายังไม่หิว แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย แค่อยากอยู่เงียบๆ ขอให้มัทอยู่เงียบๆเถอะนะคะ”
ท่านหญิงมาณวิกา เข้ามาลูบผมเบาๆ มัทนาแปลกใจ หันไปมอง ตะลึง
“แม่...”
มัทนารีบลุกขึ้นนั่งโผเข้ากอดแม่ร้องไห้สะอื้นเหมือนเด็กๆ ท่านหญิงมาณวิกา นั่งลงบนเตียง
กอดตอบมองอย่างสงสัย
ในตำหนัก ราชาอินทราดีใจมาก กอดธรรมรัตน์ผละออก ยิ้มแย้ม
“ดีใจจริงๆที่ได้เจอกันอีก”
“ทรงหายประชวรแล้วหรือพะยะค่ะ”
ราชาอินทรามองโภคิน พูดหยอก
“เจ้าน่าจะเปลี่ยนไปเป็นเจ้ากรมข่าวนะ”
โภคินยิ้มเจื่อนๆ ธรรมรัตน์รีบแก้ให้
“คุณโภคินเป็นห่วงพระองค์มาก”
“แค่โรคคนแก่ ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
ราชาอินทราตบบ่าสนิทสนม
“ทำตัวตามสบายเลยนะ”
“เป็นพระกรุณาพะยะค่ะ”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าระหว่างเราไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ”
ราชาอินทราทำเคือง
“ถ้าพูดแบบนี้กับเราอีกคำเดียวมีเคืองแน่”
โภคินพลอยขำไปด้วย
“ผมจะไม่ลืมตัวอีก ตอนแรกที่ได้ยินว่า ป่วย ผมร้อนใจคิดว่า ยัยหนูแผลงฤทธิ์อะไรให้ปวดหัว”
“ไม่มีเลย มัทนาเป็นเด็กน่ารักมาก ทั้งฉลาดทั้งเก่ง”
ธรรมรัตน์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ ราชาอินทราพยักไปทางโภคิน
“ไม่เชื่อลองถามโภคินดูสิ”
“จริงๆครับ...ตั้งแต่คุณมัทมาอยู่ที่รายา เจ้าชายมาคีทรงเปลี่ยนแปลงองค์เองไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ใช่แล้วตอนนี้เราสบายใจมากจริงๆ รายาได้มัทนามาเป็นราชินี ถึงเราตายก็คงตายตาหลับ”
“อย่าพูดเป็นลาง คุณยังต้องอยู่อีกนาน”
“นั่นสินะเราสองคนต้องอยู่จนเห็นลูกมีหลานเห็นหลานมีเหลนกันเลยดีมั้ย”
ราชาอินทราหัวเราะอารมณ์ดีมากๆ ธรรมรัตน์พลอยสบายใจไปด้วย โภคินมองสองคนอย่างมีความสุข
มัทนาเช็ดน้ำตาไป ปฏิเสธไป
“มัทไม่ได้เป็นอะไรจริงๆคะแม่”
“แล้วที่ร้องไห้อยู่นี่ล่ะ”
“มัทคิดถึงพ่อกับแม่อยู่พอดี พอเห็นแม่มัทเลยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่นะคะ แล้วพ่อละคะ”
“พ่อรีบไปเฝ้าองค์ราชาจ้ะได้ข่าวว่าทรงพระประชวร”
มัทพยักหน้า โผเข้ากอดแม่อีก
“มัทคิดถึงแม่มากนะคะทำไมถึงมาหามัทช้าจัง”
“แม่ขอโทษจ้ะพอดีคุณพ่อติดงานสำคัญอยู่แต่พอเรียบร้อยแม่ก็รีบมาทันที”
ท่านหญิงมาณวิกา เช็ดน้ำตาให้ลูกสาว
“ถ้าไม่มีอะไรก็เลิกขี้แยเป็นเด็กๆซะทีจะแต่งงานแต่งการอยู่อีกไม่กี่วันแล้ว ออกไปข้างนอกกันดีมั้ย”
“อย่าเพิ่งเลยค่ะมัทไม่อยากเจอใครอยากอยู่กับแม่แบบนี้นานๆ”
“ตายจริงแบบนี้ทอสอของมัทได้ยินก็น้อยใจแย่นะสิ”
มัทนาตาโต
“อะไรนะคะเหมันต์มาด้วยเหรอ”
ท่านหญิงมาณวิกา พยักหน้า มัทนาหยุดร้องไห้ทันที เหมันต์ โผล่เข้ามา
“องครักษ์เหมันต์ รายงานตัวครับพ้ม” เหมันต์ตะเบ๊ะ
มุมหนึ่งใกล้บ้านคามิน...สินธรมองคามินอย่างไม่พอใจก่อนตอบ
“ผมคงไปจัดการให้ท่านไม่ได้ครับ”
คามินงง
“ทำไม...แค่ไปหาซื้อของใช้ให้หฤทัย นายเองก็เคยไปซื้อของใช้ให้ฉันบ่อยไป”
“ตอนนี้ผมไม่ว่าง เพราะต้องจัดทีมอารักขาท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณมัทนา ผมขอตัวก่อน”
สินธรจะไป คามินถามเรียบๆ
“นายโกรธฉันใช่มั้ย”
สินธรชะงัก เงียบ
“ไม่พอใจอะไรก็พูดมาเลย”
สินธรหันขวับ
“ไหนท่านเคยบอกผมว่าไม่ได้ทำเพื่อเจ้าชาย แต่ที่ท่านทำอยู่ตอนนี้หมายความว่าอะไร”
“ฉันทำเพื่อตัวฉันเอง”
“ท่านจะบอกว่าท่านรักคุณหฤทัยหรือครับ”
“หฤทัยเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม นิสัยก็ดี เธอไม่น่ารักตรงไหน”
สินธรอึ้ง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“ท่านจะให้ผมเชื่อว่าลูกในท้องของคุณหฤทัยเป็นลูกของท่าน”
“ตอนนี้...เด็กคนนั้นเป็นลูกของฉัน”
“แต่ว่า...”
คามินเสียงแข็ง
“นายสัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
สินธรนิ่ง คามินเสียงเข้ม
“ถ้ายังคิดว่าฉันเป็นหัวหน้านายอยู่ ก็ไปทำตามที่สั่งส่วนเรื่องพ่อแม่คุณมัทนา ฉันจะจัดการเอง”
สินธรจำใจเดินไป คามินมองตามถอนหายใจ
มุมเงียบๆข้างตำหนัก มัทนาทำหน้างอนสุดๆ เหมันต์ตกใจตาม
“คุณมัทโกรธผมเรื่องอะไรครับ บอกผมมาเถอะ”
“สายเกินไปแล้ว พี่เหมันต์ทิ้งมัทไปตั้งนาน ถ้ามัทตายก็คงตายไปแล้ว”
“ฮ้า...ถึงตายเลยเหรอครับ...คุณมัทเป็นอะไร ทำไมคุณคามินถึงรายงานไปว่าคุณมัทสุขสบายดี มีความสุขมากๆ...ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
มัทนาชะงัก
“คามินเหรอ...พี่คุยกับเขาเมื่อไหร่”
“ตั้งแต่คุณมัทนามาที่นี่ คุณคามินจะส่งข่าวไปที่เมืองไทยทุกวัน เพราะท่านประธานขอเอาไว้ ครับ”
“เขาบอกว่ามัทมีความสุข สนุกสบายดีงั้นเหรอ”
“ครับ...คุณคามินบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย ท่านประธานกับท่านหญิงก็เลยวางใจ”
มัทนาแค้น พึมพำ
“แบบนี้นี่เอง นายวางแผนเอาไว้หมด...ฉันเกลียดนาย เกลียดๆ”
มัทนาปึงๆเข้าตำหนักไป เหมันต์หน้าเหวอ
“เดี๋ยวสิคุณมัท...คุณมัท โธ่แค่นี้ต้องเกลียดกันเลยเหรอ คุณมัท”
ในห้องรับรองตำหนักมัทนา...มินตราทำอึกอัก ท่านหญิงมาณวิกา ยิ่งสงสัย
“ยัยมัทอยู่ที่นี่มีปัญหาอะไรรึเปล่า ท่าทางยัยมัทเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ ไม่อย่างนั้นไม่ร้องไห้ขนาดนี้หรอก”
“คุณมัทเธอคงดีใจที่ได้พบหน้าท่านหญิงมั้งคะ”
“ไม่ใช่นิสัยยัยมัท ถ้าไม่มีอะไรก็ต้องหัวเราะร่ากระโดดโลดเต้นจนต้องดุกันแล้วล่ะ”
มินตราอึกอัก
“คือ...เอ่อ...”
“ฉันเป็นแม่ยัยมัทนะทำไมจะดูลูกสาวตัวเองไม่ออก อย่ามาช่วยกันปิดบังหน่อยเลยมินตรา”
ท่านหญิงมาณวิกา จ้องคาดคั้น มินตราทำเหมือนเลี่ยงไม่ได้จะบอก
“คือ...”
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะ มินตราหันไปถาม
“ใครคะ”
เสียงเรณูดังมา
“ได้เวลาไปเข้าเฝ้าองค์ราชากับองค์ราชินีแล้วค่ะ”
ท่านหญิงมาณวิกา มองมินตราดุๆ
“ไว้กลับจากเข้าเฝ้าก่อน เธอต้องเล่าให้ฉันฟังให้หมดว่ามันเกิดเรื่องอะไรที่นี่บ้าง”
ท่านหญิงมาณวิกา หันกลับไปที่กระเป๋าหยิบของที่จะไปถวายออกมา มินตรามองตามอย่างหมั่นไส้พอท่านหญิงมาณวิกา หันกลับมา มินตรายิ้มนอบน้อม รีบเข้าไปช่วยถือของ
มัทนา ท่านหญิงมาณวิกา มินตรา เหมันต์ออกมาจากตำหนัก คามินตั้งขบวนอารักขารออยู่
“สวัสดีครับท่านหญิง ยินดีต้อนรับสู่รายาครับผม” คามินตรงเข้ามาไหว้ท่านหญิงมาณวิกา
“สวัสดีค่ะ” ท่านหญิงมาณวิกา ยิ้มให้
คามินมองเลยไปที่เหมันต์
“สวัสดีครับคุณเหมันต์ ดีใจที่ได้พบกันอีก”
“เช่นกันครับ” เหมันต์ยิ้มแย้ม
มัทนาหมั่นไส้ พูดลอยๆ
“ความจริงช่วงข้าวใหม่ปลามันแบบนี้ น่าจะลาหยุดยาว ขยันเกินไประวังภรรยาจะน้อยใจเอานะคะคุณคามิน”
คามินอึ้งรู้ว่าโดนประชด ท่านหญิงมาณวิกา ตื่นเต้น
“อ้าวคุณคามินแต่งงานแล้วเหรอคะ”
“ครับผม”
“ฉันยินดีด้วยจริงๆค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เหมันต์ยิ้มแย้มแซว
“น่าอิจฉาผู้หญิงที่โชคดีคนนั้นจริงๆนะครับ”
“ใครจะรู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย” มัทนายิ่งเจ็บใจ
“ตายจริงมัททำไมพูดแบบนี้ล่ะลูก ขอโทษนะคะคุณคามิน ยัยมัทชอบพูดเล่นไม่ทันคิดแบบนี้เสมอ” ท่านหญิงมาณวิกา ตกใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินกับมุกของคุณมัทนาแล้วครับ”
คามินหัวเราะมองมัทนาเหมือนมองเด็กเกเร มัทนายิ่งโมโห เดินเร็วๆจะไปขึ้นรถสะดุดขาตัวเองพลิกจะล้ม คามินเข้าประคอง
“ปล่อย”
“ทำตัวเป็นเด็ก” คามินกระซิบ
มัทนาจิกเล็บบนแขนคามินเต็มแรง เสียงเจ้าชายมาคีดังขึ้น
“คุณมัทเป็นอะไรครับ”
สองคนผละออกจากกัน มัทนาหันไปยิ้มแย้ม
“ไม่มีอะไรคะสะดุดขาตัวเองแค่นั้น”
เจ้าชายมาคีมาประคอง มัทนารีบเกาะแขนยิ้มหวาน
“ผมมารับคุณกับท่านหญิงครับ”
“เจ้าชายไม่น่าต้องลำบากเสด็จมาด้วยองค์เองเลย” ท่านหญิงมาณวิกา เกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ”
“หม่อมฉันก็กำลังรอฝ่าบาทอยู่ ถึงจะมีองครักษ์กี่สิบคนก็ไม่เท่ามีฝ่าบาทประทับอยู่ข้างๆ”
มัทนาออดอ้อนคล้องแขน เจ้าชายมาคีปลื้ม
“หัวใจผมอยู่กับคุณมัทตลอดเวลา”
เจ้าชายมาคีจับมือมัทนา คามินหน้านิ่ง
“เราไปกันเลยดีมั้ยครับ”
“ค่ะ”
มัทนาเกาะแขนเจ้าชายมาคีเดินผ่านคามินไปอย่างเชิดมาก มินตราตาวาวด้วยความอิจฉา
เหมันต์มองท่าทีมินตราอยู่อย่างแปลกใจ
ในห้องรับรองใหญ่...ธรรมรัตน์นั่งอยู่กับราชาอินทรา และทุกคนพร้อมหน้า โภคินเดินเข้ามา
“องค์ราชินีให้คนมาแจ้งว่า ทรงพระประชวร เสด็จมาไม่ได้พะยะค่ะ”
ราชาอินทราถอนใจ
“เราก็คิดอยู่แล้ว”
“ทรงเป็นอะไรมากมั้ยครับ” ธรรมรัตน์แปลกใจ
“ไม่มีอะไรหรอก โรคประจำตัวเล็กๆน้อยๆ เหมือนเรานั่นแหละ แก่แล้วก็เป็นแบบนี้”
“แหม ถ้าเป็นโรคคนแก่นี่ผมคงไม่สู้แล้วก็ไม่ยอมเป็นง่ายๆด้วย”
ทั้งสองหัวเราะกัน
“แหม กำลังสนุกกันเลย ขอโทษที่มาช้า”
พระนางสาวิตรีเข้ามา ทุกคนอึ้งลุกขึ้น ราชาอินทราหันไปมอง
“อ้าว...เห็นว่าป่วย”
“ถึงไม่สบายเจียนตายหม่อมฉันก็ต้องตะเกียกตะกายมาต้อนรับสหายสนิทของพระองค์จนได้แหละเพคะ”
ธรรมรัตน์ลุกขึ้นโค้ง
“เป็นพระกรุณาพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อม ธรรมรัตน์ ส่วนท่านนี้คือท่านหญิงมาณวิกา ภรรยาของเกล้ากระหม่อม”
ท่านหญิงมาณวิกา ถอนสายบัว พระนางสาวิตรีนั่งลง ราชาอินทรามองโภคินเป็นเชิงถามว่าพระนางสาวิตรีมาไม้ไหน คามินอารักขาอยู่มุมห้องมอง ไม่ค่อยสบายใจ
“ขอให้คิดว่าที่นี่เป็นบ้าน และเราเป็นญาติสนิทกันทำตัวตามสบายอย่างที่เคยเถอะ เห็นว่า บ้านของคุณหัวสมัยใหม่กันมาก ไม่ค่อยชอบพิธีรีตองเท่าไหร่”
บรรยากาศอึมครึมทันที ทุกคนลงนั่ง ธรรมรัตน์รีบพูด
“เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้พะยะค่ะ”
ท่านหญิงมาณวิกา รีบลุกไปยอบตัวถวายกล่อง ที่มีเครื่องเคลือบเบญจรงค์
“ของที่ระลึกเล็กน้อยจากเมืองไทยเพคะหวังว่าพระองค์จะทรงโปรด”
พระนางสาวิตรีมอง
“ขอบใจ สวยดี”
“เป็นเครื่องเบญจรงค์ที่หม่อมฉันให้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดทำเป็นพิเศษเพคะ”
พระนางสาวิตรีเก็บลงกล่อง ธรรมรัตน์ยิ้มแย้มบอก
“เมืองไทยมีของดีๆอีกหลายอย่างทีเดียวพะยะค่ะหากมีโอกาสน่าจะได้เสด็จไปพักผ่อนบ้าง”
สาวิตรีหัวเราะขำ
“ถึงไม่ได้ไปเราก็รู้ว่าเมืองไทยมีอะไรดีจนน่าทึ่งทีเดียว โดยเฉพาะหญิงไทย”
ท่านหญิงมาณวิกา ปลื้ม
“ได้ยินรับสั่งแบบนี้ หม่อมฉันค่อยสบายใจ ยังเกรงอยู่ว่ามัทนาอาจทำอะไรไม่เหมาะสม”
“โอ๊ย...ไม่เลย ลูกสาวของคุณเก่งกล้ามาก ทำให้พวกองครักษ์มีงานทำกันไม่ได้หยุด เดี๋ยวก็ขี่ม้าไปตกเหว เดี๋ยวก็หายตัวไปอย่างลึกลับ แถมเรื่องวาจาก็ไม่เป็นรองใคร แม้นกระทั่งเรายังต้องยอมแพ้”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด พระนางสาวิตรีหน้าเฉย มัทนายิ้มแย้ม
“หม่อมฉันชอบทำตัวแบบจิ้งจกเพคะ ต้องเปลี่ยนสีให้เหมาะกับสถานการณ์รอบตัว”
เจ้าชายมาคีเสริม
“สุภาษิตไทยเขาว่า เข้าเมืองตาเหล่ต้องเหล่ตามใช่มั้ยครับ”
ทุกคนเว้นพระนางสาวิตรีกลั้นขำ มัทนาแก้ให้
“หลิ่ว เพคะ ไม่ใช่เหล่”
เจ้าชายมาคีหน้าเหวอ
“อ้าวเหรอ...”
“หลิ่วน่ะ แบบนี้...” มัทนาทำตาหรี่ไปข้างนึง “แต่ถ้าเหล่แบบนี้”
มัทนาแกล้งทำตาเหล่ ท่านหญิงมาณวิกา จะเป็นลมเจ้าชายมาคีหัวเราะ
“ฮะฮ่าๆ เข้าใจแล้ว เหล่แบบนี้ใช่มั้ย”
สองคนทำตาเหล่กันสนุกสนาน ราชาอินทรา ธรรมรัตน์ โภคิน ขำ คามินก็อดยิ้มไม่ได้ แต่พระนางสาวิตรีไม่ขำด้วย ท่านหญิงมาณวิกา หยิกมัทนา
“พอแล้ว...”
บรรยากาศทำท่าจะดี พระนางสาวิตรีแสร้งหัวเราะ
“น่ารักเปิดเผยจริงๆ น่าภูมิใจแทนคุณที่มีลูกสาวน่ารักแบบนี้ คนไทยชอบพูดว่าอะไรนะลูกไม้ที่หล่นไกลต้นใช่มั้ย”
ทุกคนเงียบ เจ้าชายมาคีขัดขึ้น
“ลูกคิดว่าน่าจะใช้คำว่าใกล้มากกว่านะ”
“อ้าวเหรอ...ขอโทษ เราคงต้องเรียนภาษาไทยเพิ่มเติมแล้วละ”
ราชาอินทราตัดบท
“คงหิวกันแล้ว คามินอาหารพร้อมรึยัง”
“พร้อมแล้วพะยะค่ะ เชิญเสด็จได้เลย”
พระนางสาวิตรีลุกพรวด
“เราคงขอตัวเพราะไม่ค่อยสบาย ไม่อยากทำให้ทุกคนหมดสนุก”
พระนางสาวิตรีลุกขึ้น แล้วแกล้งปัดเอาเครื่องเบญจรงค์ตกลงมาแตกกระจาย ทุกคนตะลึง
“ตายจริง ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ...ขอโทษจริงๆ”
ท่านหญิงมาณวิกา รีบบอก
“ไม่เป็นไรมิได้เพคะ”
ราชาอินทรามองพระนางสาวิตรีแบบโกรธมาก พระนางสาวิตรีมองตอบไม่สะท้าน มัทนาไม่พอใจ เจ้าชายมาคีกระอักกระอ่วน คามินเครียด
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
เหมันต์กับมินตราเดินคุยกันมาตามทางเดินกลับตำหนัก
“หลังจากเรากลับไปเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรกับคุณมัทอีกเหรอ”
“ถามทำไม...ในเมื่อฉันบอกเธอแล้ว ว่าให้คุณมัทกลับเธอก็ไม่ทำ”
“เธอก็รู้ว่ามันทำไม่ได้”
“ก็ดีแล้วนี่ เธอก็คอยยืนดูความหายนะของคนที่เธอรักก็แล้วกัน”
“มิน พูดอะไรของเธอ ตกลงเธอรู้อะไรยังไง บอกฉันมาซิ”
มินตราเห็นพระนางสาวิตรีเดินออกมากับนางกำนัล
“บอกไปเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้ สู้ฉันบอกคนที่ช่วยฉันได้ดีกว่า”
ชาลีเข้ามา
“คุณเหมันต์ คุณมินตราครับ คุณธรรมรัตน์ให้เชิญไปร่วมโต๊ะเสวย”
“นายไปเถอะ เราขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะตามไป”
มินตราเดินแยกไป เหมันต์จำต้องตามชาลีไป
อีกมุมในวัง...พระนางสาวิตรีเดินมา มินตราวิ่งตาม
“องค์ราชินี ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ”
พระนางสาวิตรีชะงัก
“เจ้าเองเหรอ...”
“หม่อมฉันมาขอพระบารมีคุ้มเกล้าเพคะ...”
พระนางสาวิตรีโบกให้นางกำนัลถอยไป
“เราไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้านะ ผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่สั่งลงโทษก็ถือว่าเรากรุณาเจ้ามากแล้ว ถอยไป”
“คราวที่แล้ว ที่ผิดพลาดเพราะคุณเทวีทำหลักฐานสำคัญหายไปเอง”
พระนางสาวิตรีนิ่ง มินตราร้องไห้
“หม่อมฉันไม่อยากทนอยู่รับใช้คนพวกนั้นอีกแล้ว ท่านหญิงมาถึงยังไม่ทันข้ามวันก็จิกหัวใช้ แถมด่าว่าหม่อมฉันต่างๆนาๆ”
“แค่น้ำตาสองสามหยด แล้วจะให้เราเชื่อ ก็ลงทุนน้อยไปแล้ว...เจ้าอาจจะถูกนายเจ้าใช้มาเป็นไส้ศึกก็ได้”
มินตราดีใจ
“หมายความว่าหากหม่อมฉันมีผลงานที่ทรงพอพระทัยจะทรงรับหม่อมฉันเป็นคนของพระองค์แน่ๆใช่มั้ยเพคะ”
“ตอนนี้ไอ้คามินมันก็แต่งงานไปกับหฤทัยแล้ว เจ้ายังจะมีหลักฐานอะไรมาให้”
“ถึงไม่มีคามิน ก็ยังมีคนอื่น...”
“หมายความว่า...มัทนายังมีสัมพันธ์กับชายอื่นอย่างงั้นเหรอ”
มินตราไม่พูดแต่สีหน้ามั่นใจ
ใบหน้าหฤทัยเต็มไปด้วยเหงื่อ ขณะที่จัดกองหนังสือ ข้าวของในบ้านอย่างขยันขันแข็ง สินธรอุ้มกล่องหวายใบใหญ่ของใช้ เสื้อผ้า เดินเข้ามา ชะงักมองหฤทัยชื่นชม
“คุณหฤทัย”
หฤทัยหันมายิ้มให้
“คุณสินธร พี่คามินโทรบอกฉันแล้วค่ะว่าคุณจะเอาของมาให้ วางตรงนั้นเลยค่ะ”
สินธรเอากล่องหวายไปวางมองหฤทัยอย่างห่วงใย
“กำลังตั้งครรภ์ไม่ควรจะออกแรงมากนะครับงาน พวกนี้เรียกทหารรับใช้มาทำดีกว่า”
“ฉันอยากทำเอง...พี่คามินดีกับฉันมาก ฉันอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนพี่คามินบ้าง”
“งั้นผมช่วยนะครับ”
สินธรมาช่วยจัดกองหนังสือ หฤทัยมองสินธรซึ้งใจแล้วคิดบางอย่างได้
“นายต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่ๆ...พี่คามินชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไรบ้าง”
สินธรที่กำลังจัดหนังสือเจ็บปวดที่หฤทัยสนใจเรื่องคามิน
“ไม่ทราบครับ”
หฤทัยงง
“นายเป็นองครักษ์ที่สนิทกับพี่คามินที่สุดแต่ไม่รู้ว่าพี่คามินชอบอะไร...เป็นไปได้ยังไง”
“ท่านคามินกินอะไรก็ได้นอนตรงไหนก็ได้ไม่เคยเรียกร้องอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวเลยสัก ครั้งผมเลยให้คำตอบคุณไม่ได้ครับ”
“พี่คามินทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นตลอดเวลาเลยเหรอ”
“เรื่องนั้นผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ดีที่สุด”
หฤทัยมองสินธรอึ้งๆ ร้อนตัวกลัวสินธรรู้เรื่องท้องกับเจ้าชายมาคี
“ฉันรู้ว่า นายหมายความว่าอะไร นายคงนึกรังเกียจฉันมาก”
“ทหารชั้นผู้น้อยอย่างผมไม่กล้ารู้สึกแบบนั้นหรอกครับ”
สินธรหันไปจัดหนังสือต่อ หฤทัยแย่งมา
“ถ้าไม่เต็มใจก็อย่าทำเลย นายกลับไปเถอะ”
สินธรจำเป็นต้องโค้งแล้วเดินออกไป
สุเทษในชุดดำ ใส่ไอ้โม่งปิดบังใบหน้านั่งอยู่บนต้นไม้ใช้กล้องส่องทางไกลส่องไปที่บ้านคามิน ด๔บรรยากาศรอบๆ เห็นทหารล้อมบ้านคามินอารักขาแน่นหนา สินธรเดินออกมาสั่งงาน
สุเทษพูดกับนายพลวิฑูร
“ไอ้สินธรเอาของไปให้คุณหฤทัยครับน่าจะเป็นพวกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ส่วนรอบบ้านมีทหารอารักขา แน่นหนาแผนของเราคงไม่สำเร็จง่ายๆครับ”
เทวีที่นั่งฟังอยู่ด้วยพูดอย่างหงุดหงิด
“ฉันก็ไม่ยอมให้ไอ้คามินมาเป็นลูกเขยง่ายๆเหมือนกัน ถ้าแผนที่วางไว้มันยุ่งยากนักก็ส่งคนไปฆ่ามันเลยสิคะท่านพี่”
นายพลวิฑูรมองเทวีอย่างไม่พอใจ
“ตอนนี้ใครๆก็รู้ว่าไอ้คามินมีปัญหากับฉัน ขืนทำอย่างนั้นทุกคนต้องพุ่งเป้าหาหลักฐานสาวมาถึงฉันได้แน่...ถ้าคิดได้แต่เรื่องโง่ๆก็นั่งเฉยๆดีกว่านะ”
เทวีมองนายพลวิฑูรอย่างไม่พอใจ
“ไม่เห็นด้วยก็บอกดีๆสิคะไม่เห็นต้องด่ากันเลย”
เทวีค้อนนายพลวิฑูรแล้วเดินออกไป นายพลวิฑูรมองตามเทวีหงุดหงิด สุเทษหันมาถาม
“แผนที่คิดกันไว้ก็ทำไม่ได้ ฆ่ามันก็ไม่ได้แล้ว ท่านจะปล่อยไอ้คนที่หยามหน้าท่านไว้แบบนี้เหรอครับ”
นายพลวิฑูรหันมองสุเทษอย่างไม่พอใจ
“รู้ได้ยังไงว่าฉันจะปล่อยมันไว้แบบนี้ ฉันจะยืมมือคนอื่นกำจัดมันต่างหาก”
นายพลวิฑูรคิดถึงคามินเคียดแค้น
ค่ำนั้น อสิตนั่งอยู่ที่เครื่องออกกำลังกายยกเวทไป พูดโทรศัพท์
“ได้เลยครับท่าน พร้อมเดี๋ยวนี้แลย ครับๆ”
อสิตกดวางสาย บอกยักษ์
“ท่านวิฑูรติดต่อมาแล้วสั่งคนของเราให้ข้ามชายแดนไปรอที่จุดนัดพบได้เลย”
“สั่งคนของเราให้ข้ามชายแดน ก็หมายความว่าเราก็ต้องเดินทางกันแล้วน่ะสิครับ”
“ก็เออน่ะสิ จะแปลไทยเป็นไทยทำไมวะ”
“แล้วคุณหนูละครับ”
อัคนีอยู่ในห้องขังนอนนิ่งมองเพดานไม่ไหวติง ดอนคร่ำครวญอยู่ข้างๆ
“คุณหนู ๆครับ”
ดำอังจมูก
“ไม่หายใจ”
ดำกับดอนร้องไห้
“คุณหนูตายแล้ว ฮือๆ ไม่น่าเลยเห็นกันอยู่หลัดๆ”
“ฉันยังไม่ตาย” อัคนีโวยออกมา
“อ้าว” ดำกับดอนหน้าเหวอ
“แต่ฉันกำลังประท้วงด้วยการทำอารยะขัดขืน คือ ขัดขืนอย่างสงบแบบผู้ดีมีการศึกษานะรู้จักมั้ยฉันจะไม่กินอะไรทั้งนั้นจะนอนอั้นหายใจ อย่างนี้จนกว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนจะตายไปเอง”
ดอนกับดำมองอัคนีอย่างร้อนใจ ดอนหันมาบอกดำ
“รีบไปบอกเสี่ยดีกว่า”
ดอนกับดำออกจากห้องไป เสียงมือถือดังขึ้น อัคนีหยิบมาดูแล้วยิ้มดีใจมาก
“คุณมินตรา”
มินตรายืนหลบมุมคุยโทรศัพท์กับอัคนีที่มุมหนึ่งบริเวณตำหนักมัทนาอย่างระแวดระวัง
“ทำไมหายเงียบไปเลยละคะ ลืมคุณมัทไปแล้วเหรอ”
อัคนีพูดอย่างร้อนใจ
“ไม่ใช่นะครับ ผมยังรักคุณมัทเท่าชีวิตแต่ที่ผมยังไปช่วยคุณมัทไม่ได้เพราะป๊าผมจับผมขังไว้ในบ้านครับ”
“งั้นคุณจะบอกป๊าคุณทำไมละคะว่าคุณจะมารายา”
อัคนีพูดอย่างงงตัวเอง
“นั่นสิแล้วผมจะต้องบอกป๊าทำไม...ผมรู้แล้วครับ ทำไมคิดไม่ออกแต่แรกนะ” อัคนีดีใจ
“ไอ้หนู ป๊ามาแล้ว” เสียงอสิตดังขึ้น
อัคนีหันมองประตูอย่างตกใจ
“แค่นี้ก่อนนะครับแล้วผมจะติดต่อไป”
อัคนีลงนอนเหมือนเดิม อสิตเปิดประตูเข้ามา
“ไอ้หนู เป็นไงบ้างลูก ไอ้ยักษ์ลื้อแบกลูกอั๊วไปที่รถ เอาไปโรงพยาบาลซิวะ”
ยักษ์ ดอน ดำ เข้ามาช่วยแบก อัคนีเห็นท่าไม่ดี โวยวาย
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ผมไม่ไปโรงพยาบาลนะ”
“อ้าว...ก็ไอ้ดำไอ้ดอนบอกว่าลื้อกำลังจะตาย”
“ผมก็แค่น้อยใจป๊า ป๊าขังผมเหมือนผมเป็นหมูเป็นหมา...”
“ก็ลื้อดื้อจะไปแต่รายา...ป๊าก็ต้องขังลื้อน่ะสิ”
“ผมเลิกคิดแล้วป๊า เมื่อคุณมัทไม่ใช่เนื่อคู่ ผมก็จะตัดใจ”
“นี่ลื้อพูดจริงเหรอ” อสิตดีใจ
“ใช่ คนอย่างผมหล่อเลือกได้อยู่แล้ว ทำไมต้องไปง้อผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงขี้วีน เอาแต่ใจ แถมกำลังจะแต่งงานจะมีค่าเท่าป๊าที่ผมรักที่สุดได้ยังไง”
อสิตกอดอัคนีอย่างดีใจ
“เห็นคุณค่าของป๊าขนาดนี้เขาเรียกว่าอภิชาตบุตร...ป๊าดีใจจริงๆที่มีลูกอย่างแก”
“ขอค่าตัดใจล้านนึงจะไปช้อปปิ้งที่ฮ่องกงครับ” อัคนีแบมือ
“เป็นเด็กดีอย่างนี้ล้านเดียวมันน้อยไปเอาไปสองล้านเลยเลยเดี๋ยวป๊าเซ็นเช็คให้”
“รักป๊าที่สุด” อัคนีกอด
“ป๊าก็รักลื้อ”
อสิตมองกับยักษ์ ดีใจ พยักเพยิดกัน อัคนียิ้มพอใจ ต่างคนต่างโกหก
มัทนาคุยกับท่านหญิงมาณวิกา ที่หน้าตำหนัก
“แน่ใจนะลูกว่าไม่มีอะไร”
“ค่ะไม่มี”
“แต่ที่แม่เห็นตอนที่เข้าเฝ้าวันนี้ องค์ราชินีไม่ทรงพอพระทัยลูกเท่าไหร่”
“มันก็เป็นธรรมดาของแม่สามี กับลูกสะใภ้ไม่ใช่เหรอคะ แต่มัทไม่แคร์หรอก ขอให้เจ้าชายรักมัทก็พอ” มัทนายิ้มเยาะๆ ประชดตัวเอง
“มัท แม่ถามก็เพราะเป็นห่วงนะลูก”
“แล้วถ้ามัทบอกแม่ว่าอยากกลับเมืองไทยเดี๋ยวนี้ แม่จะพามัทไปมั้ยคะ”
“ลูกพูดจริงเหรอ” ท่านหญิงมาณวิกา อึ้ง
“ไม่จริงค่ะ อยู่ที่นี่ทั้งสนุกทั้งตื่นเต้น...มีเรื่องท้าทายทุกวัน ถูกใจมัทสุดๆ จะกลับทำไมละคะ”
มัทนาเดินไป ท่านหญิงมาณวิกา กลุ้ม มินตราแอบฟัง
“ถ้าชอบเรื่องท้าทาย ฉันจะสนองให้ นังมัทนา”
มัทนาเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้า น้ำตาทะลัก เธอไปยืนที่หน้าต่าง เห็น เงาคามินแว่บๆ มัทนาชะเง้อมอง แต่เงานั้นก็หายไปแล้ว...นอกตำหนักคามินหลบอยู่หลังต้นไม้ แอบมองมัทนาที่ยืนตรงหน้าต่าง มัทนาไม่เห็นใครก็ปิดม่าน คามินเดินออกมามองด้วยความเศร้า
เช้ารุ่งขึ้น...คามินเดินมาหน้าห้องอย่างเหนื่อยอ่อนเปิดประตูห้องแล้วชะงัก เขาเดินเข้าไปในห้องเห็นที่นอน ข้าวของถูกจัดเก็บเรียบร้อย มีชุดทำงานแขวนเตรียมไว้ให้บนโต๊ะทำงานมีการ์ดน่ารักๆวางอยู่ คามินเดินไปหยิบมาเปิดอ่านเห็นเป็นภาษารายา
“ขอโทษที่เข้าห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต หวังว่าจะไม่โกรธฤทัยนะคะ”
คามินยิ้มอ่อนโยนขอบคุณความมีน้ำใจของหฤทัย
คามินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาเห็นอาหารตั้งเต็มโต๊ะมองตื่นเต้น หฤทัยยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวาง
“นี่พี่ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“ฝัน” หฤทัยมองคามินงงๆ
“ฝันว่าอาหารที่ทั้งหอมทั้งน่ากินมาตั้งเต็มโต๊ะ แทนกาแฟ ไข่ลวกอาหารประจำของพี่ไง”
หฤทัยดันหลังคามินให้มานั่ง
“เดี๋ยวก็รู้”
คามินนั่ง หฤทัยนั่งตามแล้วตักซุปที่ควันฉุยป้อน คามินมองหฤทัยเขินๆ แต่ก็ยอมกินแล้วสะดุ้งเฮือก
“โอ้ย...ร้อนจี๋เลย”
หฤทัยมองคามินยิ้มขำ
“รู้รึยังคะว่าความฝันหรือความจริง”
“จริงซะยิ่งกว่าจริง ปากพองหมดแล้วแต่พี่จะยกโทษให้เพราะซุปอร่อยมาก”
หฤทัยตักอาหารใส่จานคามิน
“อร่อยก็ทานเยอะๆนะคะจะได้มีแรงไปสู้กับคนร้าย”
คามินตักอาหารใส่จานหฤทัย
“ฤทัยก็ต้องทานเยอะๆเหมือนกันเด็กในท้องจะได้แข็งแรง”
หฤทัยกับคามินยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน
“เช้านี้พี่พอจะมีเวลาพี่จะตอบแทนที่ฤทัยจัดบ้านทำกับข้าวให้ ด้วยการพาออกไปเที่ยวอยากไปมั้ย”
“อยากค่ะ”หฤทัยดีใจ
“อยากไปไหนครับ”
วิหารปรารถนา...คามินพาหฤทัยเดินเข้ามาที่หน้าวิหาร
“ฤทัยอยากมาสวดมนต์ขอพรให้ลูกแข็งแรงน่ะค่ะ”
“พี่จะเข้าไปสวดด้วยจะได้ช่วยขอพรให้ลูกฤทัยอีกแรง”
คามินกับหฤทัยชะงักเมื่อเจอมัทนา ท่านหญิงมาณวิกา เจ้าชายมาคี สินธรกำลังจะเข้าไปไหว้พระเหมือนกัน มัทนามองคามินเจ็บปวด คามินเจ็บปวดเช่นกันแต่ต้องเก็บอาการ หฤทัยมองเจ้าชายมาคีด้วยสายตาเยือกเย็น เจ้าชายมาคีมองหฤทัยอย่างไม่รู้สึกรู้สา
คามินกับหฤทัยทำความเคารพเจ้าชายมาคีแล้วคามินก็หันมาบอกหฤทัย
“ท่านหญิงมาณวิกา มารดาของพระคู่หมั้น”
หฤทัยทำความเคารพท่านหญิงมาณวิกา แบบรายา คามินแนะนำ
“หฤทัย...ภรรยาผมครับ”
ท่านหญิงมาณวิกา ยิ้มมีไมตรี
“สวย สง่า มารยาทงาม สมกันเหลือเกินกับหัวหน้าราชองครักษ์”
“ขอบพระคุณค่ะ”
เจ้าชายมาคีหันมาหาคามิน
“สินธรบอกว่านายให้มาอารักขาแทนเพราะมีธุระไม่คิดว่าธุระของนายคือการมาที่นี่”
หฤทัยมองเจ้าชายมาคีอย่างหมั่นไส้
“หม่อมฉันกับพี่คามินไม่ได้จัดงานแต่งงาน เลยจะมาไหว้เทพเจ้าเพื่อให้ท่านเป็นพยานความรักของเราน่ะเพคะ”
ท่านหญิงมาณวิกา อวยพรให้
“ขอให้คุณกับภรรยาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
มัทนามองคามิน แล้วชะงักเมื่อเห็นคามินยังใส่ต่างหูสองข้าง
“ถึงไม่ได้แต่งงาน แต่คุณก็ควรจะมอบกุณฑลให้คนที่คุณรักไม่ใช่เหรอคะ”
ทั้งคามินกับหฤทัยอึ้งไป เพราะลืมไปทั้งคู่ เจ้าชายมาคีมองตาม
“จริงด้วย...เอ๊ะ หรือว่าอยากจะจัดงานพร้อมกับเรา แล้วรอมอบวันนั้น”
“นี่พูดเรื่องอะไรกัน แม่ไม่เข้าใจ” ท่านหญิงมาณวิกา ถามมัทนา
“ตามประเพณีของรายา ผู้ชายจะต้องมอบกุณฑลข้างหนึ่งเป็นของหมั้นให้กับฝ่ายหญิงเพื่อยืนยันว่าจะเลือกเธอเป็นคู่ครองตลอดไป เรื่องสำคัญแบบนี้ คุณคามินไม่น่าลืม” มัทนามองจ้องคามิน
“ผมไม่ได้ลืม แต่นี่คงเป็นความต้องการของเทพเจ้าที่ดลพระทัยให้เจ้าชายเสด็จมาพร้อมพระคู่หมั้นเพื่อจะได้ทรงเป็นพยานในพิธีแต่งงานของกระหม่อม”
เจ้าชายมาคีตื่นเต้น
“นี่...นายจะจัดงานแต่งงานที่นี่หรือคามิน”
“พะยะค่ะ ไม่ทราบว่าจะทรงเมตตาหรือไม่”
“ได้สิ เราเต็มใจที่สุด...พี่ชาย”
มัทนาแค้น รู้ทันว่าคามินตั้งใจประชด
ในวิหารปรารถนา...คามินกับหฤทัยนั่งคู่กันต่อหน้าเทวรูปเทพเจ้า เจ้าชายมาคี ท่านหญิงมาณวิกา
มัทนานั่งบนตั่งเตี้ยๆ สินธรถือขันใส่กลีบดอกไม้เดินตามแม่ชีที่สวดมนต์พร้อมโปรยดอกไม้ให้คามินกับหฤทัย
แม่ชีโปรยเสร็จ หันไปพยักหน้าให้สินธรหยิบขวดน้ำมนต์ ที่อยู่ในพานเงินมายื่นให้ แม่ชีพรมให้คามินกับหฤทัยเบาๆ พร้อมสวดมนต์ คามินกับหฤทัยยิ้มให้กัน คามินถอดต่างหูแล้วใส่ให้หฤทัย
เจ้าชายมาคีมองหฤทัยอย่างโล่งอก มัทนามองคามินเจ็บปวด นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต...คามินอยู่ในชุดสบายๆกำลังนวดแป้ง
“แป้งนึ่งเป็นอาหารประจำชาติของรายาที่ชาวรายาทุกคนต้องทำเป็นคุณเลยต้องฝึกทำเพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่าคุณคือชาวรายาโดยสมบูรณ์...เชิญครับ”
มัทนามองคามินเซ็งแล้วยิ้มมีแผนลุกไปยืนข้างๆ คามินใช้สองมือกอบผงแป้งมาวางบนโต๊ะ
มัทนาหยิบก้อนแป้งที่จะต้องนวดขึ้นมาแล้วปาลงไปในกองผงแป้งอย่างแรง ผงแป้งฟุ้งกระจายขึ้นเต็มหน้าคามิน มัทนาแกล้งตกใจ
“ว้าย...โทษทีฉันมือหนักไปหน่อย”
คามินรู้ว่ามัทนาแกล้งมองอย่างแค้นใจแต่เก็บอารมณ์
“ฉันเช็ดให้”
มัทนากุลีกุจอหยิบผ้า
“หลับตาสิเดี๋ยวแป้งเข้าตา”
คามินหลับตา มัทนาบรรจงแอบจุ่มน้ำมันพืช วาดหนวดแมวบนหน้าคามิน แล้วก็ขำไปด้วย คามินลืมตา มัทนาเสถามเช็ดหน้าคามินไปด้วย
“ต่างหูสวยดี จริงเหรอที่รายาใช่ต่างหูแทนแหวนหมั้น”
“ใช่ครับ”
“แสดงว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องใส่ต่างหูข้างเดียวไปตลอดชีวิตเพื่อแสดงว่ามีเจ้าของแล้วเหรอ ตลกตาย”
“ไม่ครับ หลังจากวันแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะเก็บกุณฑลไว้ หรือจะเอามาทำเป็นสร้อยคอก็ได้มีแต่ฝ่ายชายที่แต่งงานแล้ว ต้องใส่กุณฑลข้างเดียว”
“แบบนี้ผู้ชายก็เสียเปรียบ จะหลอกใครว่าเป็นโสดก็ไม่ได้”
“ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว ต้องซื่อสัตย์กล้าหาญ เมื่อเลือกหญิงใดเป็นคู่ครอง ก็ต้องอยู่กับคนนั้น ชั่วชีวิต”
มัทนาฟังเรื่องกุณฑลยิ้มมีความสุข
“ผู้ชายรายานี่โรแมนติกชะมัด”
มัทนาเช็ดหน้าไปพูดไป แล้วก็ชะงัก ตามองตากับคามิน
มัทนามองคามินเจ็บปวดน้ำตาคลอพยายามสะกดอารมณ์ ปาดน้ำตา ท่านหญิงมาณวิกา หันมาเห็น
“มัทร้องไห้เหรอลูก”
“เปล่าค่ะ มัทคงแพ้ควันจากกำยาน แสบตามาก ขอออกไปสูดอากาศหน่อยนะคะ ขอประทานอนุญาต สักครู่นะเพคะ”
มัทนาลุกขึ้น ถอนสายบัว ออกไป แม่ชีพูดขึ้น
“เชิญ คู่แต่งงานขอประทานพรจากเจ้าชายและท่านหญิง”
คามินมองมัทนาออกไป หฤทัยเหลือบมองสังเกต
มัทนายืนทำอารมณ์อยู่นอกวิหารปรารถนา แม่ชีเดินมาข้างหลัง
“ค่อยยังชั่วหรือยัง”
“ค่ะ พิธีเสร็จแล้วเหรอคะ”
แม่ชีพยักหน้า
“พระคู่หมั้นคงมีเรื่องทุกข์ใจ”
“ไม่นี่คะ ฉันปลื้มใจมากกว่าที่เห็นคู่แต่งงานที่น่ารักเหมาะสมกันอย่างคามินกับคุณหฤทัย”
แม่ชีมองมัทนายิ้มอ่อนโยน
“มันเป็นพระประสงค์ของเทพเจ้าแห่งโชคชะตาที่นำพาให้เขามาคู่กัน”
“และก็คงเป็นพระประสงค์ของเทพเจ้าที่ทำให้คู่รักต้องพลัดพราก”
“ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอ ดูอย่างท่านราชองครักษ์กับแม่หญิงผู้นั้น วันก่อนมาที่นี่ก็ยังดูท่าทางเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่พอวันนี้ ก็ได้ครองรักกันในที่สุด”
มัทนาแปลกใจ
“สองคนนั่นเคยมาที่นี่ด้วยกันเหรอคะเมื่อไหร่ วันไหนคะแม่ชี”
“บ่ายวันก่อน...ท่านราชองครักษ์กับคุณหฤทัยมาสวดมนต์ที่นี่”
มัทนาเศร้าไปทันที เมื่อรู้สึกว่าคามินโกหกเธอมาตลอด
มัทนากับมาคียืนคุยกัน มองไปที่กลุ่มของ คามินกับหฤทัยที่กำลังคุยกับ ท่านหญิงมาณวิกา และแม่ชี หลังจากพิธีแต่งงาน
“ผมดีใจจริงๆที่สองคนนี่ลงเอยกันได้ คนหนึ่งก็เหมือนกับพี่ชาย อีกคนหนึ่งก็เหมือนกับน้องสาววันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมากๆ”
“สองคนนั่น รักกันมานานแล้วจริงๆเหรอเพคะ เขามีเวลาสนิทกัน พูดคุยกันตอนไหน เพราะเท่าที่เห็นก็แทบไม่ได้พบกันลย”
“ที่จริงเราสามคนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะท่านลุงพยายามจะให้หฤทัยกับผมสนิทสนมกัน เราก็เลยเหมือนพี่น้องกัน แต่พอผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่า คามินคงรักหฤทัยมานานแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
ในอดีต...ช่วงวัยรุ่น เจ้าชายมาคีถือกบวิ่งไล่หฤทัย
“อ๊าย ไม่เอา ฤทัยกลัว”
“กลัวทำไมน่ารักดีออก”
หฤทัยวิ่งมาแอบมุมหนึ่งตัวสั่น เจ้าชายมาคีสะใจ
“สมน้ำหน้าตามตื๊อดีนัก”
เจ้าชายมาคีเดินกลับมาหาคามินและหมู่องครักษ์
“คุณหฤทัยล่ะฝ่าบาท” คามินถามอย่างร้อนใจ
เจ้าชายมาคียักไหล่
“ไม่รู้ซิ มัวแต่เล่นซ่อนหาเหมือนตอนเด็กๆอยู่มั้ง”
เจ้าชายมาคีเดินไปไม่สน องครักษ์ตาม คามินจะตามแล้วรู้สึกถึงความผิดปกติ ในอ่างน้ำเห็นผิวน้ำสั่น คามินรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของแผ่นดิน
“แผ่นดินไหว”
หฤทัยที่ซ่อนอยู่ในเพิงตกใจที่เห็นข้าวของตก จะวิ่งหนีแต่เสาโคมไฟล้มลง เสียงคามินดังมา
“ระวัง”
คามินวิ่งมาดึงหฤทัยล้มลง แต่คามินถูกเสาทับลงมาที่หลัง แต่ก็พยายามดึงหฤทัยไปหลบใต้โต๊ะที่แข็งแรง พอฝุ่นจาง คามินกอดกับหฤทัยสลบอยู่
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปัจจุบัน มัทนายืนฟังนิ่งๆ ขณะที่เจ้าชายมาคีบอกอย่างมั่นใจ
“คามินเสี่ยงชีวิตเพื่อหฤทัยทั้งๆที่ไม่มีหน้าที่ ก็ต้องแสดงว่ามีใจให้หฤทัยแน่นอน”
มัทนาใจหาย บอกกับตัวอย่างเศร้าๆ
“ที่ผ่านมาก็คงเป็นแค่หน้าที่ซินะ ฉันมันบ้าไปเอง”
เมื่อกลับมาที่ตำหนัก มัทนาดึงแบตด้านหลังโทรศัพท์ออก เดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ โยนโทรศัพท์กับแบตใส่ไว้อย่างไม่ใยดี ปาดน้ำตาทิ้งอย่างตัดใจได้เด็ดขาดว่าจะไม่สนใจคามินอีกแล้ว
ชาลีเปิดประตูให้มินตราเมื่อมาถึงย่านชุมชน มินตราก้าวลงจากรถ อย่างสง่า เธอวางมาดเต็มที่ ยิ้มหวานให้ชาลี
“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ขับรถมาให้ฉัน”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณมินตราตามสบายผมจะรออยู่ตรงนี้”
“ได้ยังไงคะ ไปรอที่ร้านน้ำชาตรงหัวมุมโน้นนี่กว่าค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
มินตราเข้าไปเกาะแขน หว่านเสน่ห์เต็มที่
“คุณชาลีอุตส่าห์มีน้ำใจ ทั้งๆที่ทำงานเหนื่อยจะแย่ให้ฉันได้ตอบแทนคุณบ้างนะคะ”
ชาลีอึ้งๆงงๆไม่แน่ใจ มินตราอ้อน
“ถ้าคุณไม่ยอมรับน้ำใจจากฉัน คราวหลังฉันก็คงไม่กล้ารบกวนคุณแล้วล่ะ”
มินตราทำงอนๆ ชาลีหลงกล
“ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะ”
มินตรากระซิบ
“นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคนรับรองว่าฉันไม่ให้ใครรู้หรอกค่ะ”
มินตรายิ้มหวานทอดสะพานเต็มที่
“เอ้อ...ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรอที่ร้านน้ำชา”
“อุ๊ยเดี๋ยวค่ะคุณชาลี มินขอกุญแจรถได้มั้ยคะ คือเผื่อมินจะเอาของมาเก็บก่อนนะคะ คงซื้อเยอะหน่อยเพราะมินจะฝากท่านหญิงกลับไปให้เพื่อนที่เมืองไทยนะคะ”
ชาลีส่งให้อย่างว่าง่าย
“เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
ชาลีเดินไป มินตรามองตามเยาะๆ
“หน้าโง่...”
อีกมุมในตัวเมืองรายา ชาวรายาจับจ่ายซื้อของขวักไขว่ ร้านขายของแผงเล็กๆตามริมทางมากมาย มินตราเดินมองหาทั่วๆ ท่าทางร้อนใจ
“อีนี่ถั่วร้อนๆมั้ยนาย ถั่วกรอบๆอร๊อย อร่อย ลองชิม ดูก่อนก็ได้นะนายจ๋า”
มินตราเดินผ่านบังขายถั่วไป อัคนีที่ปลอมตัวเป็นบังรีบร้องดังขึ้น
“อีนี่คนสวยแวะชิมถั่วก่อนสิจ้ะ”
มินตรามองรำคาญจะเดินเลยไป อัคนีวิ่งมาดักหน้ายื่นถั่วให้
“ถั่วฉานอิมพอร์ตมาจากเมืองไทยเลยน่าคนสวย ชิมก่อนก็ได้จ้า เพิ่งลงจากเครื่องสดๆร้อนๆใหม่ๆ”
มินตรารำคาญ
“ไม่เอา...ไปให้พ้น...”
อัคนียัดเหยียดถั่ว
“ชิมก่อนจ้า” อัคนีกระซิบ “คุณมินนี่ผมเอง”
มินตราชะงัก จ้องตกใจ กระซิบ
“คุณอัคนี”
“ทำไมช้าจัง ผมมารอตั้งนานแล้ว” อัคนีกระซิบตอบ
“นี่คุณทำอะไรของคุณ อยู่ๆมายืนขายถั่วทำไม”
“เอ้าก็คุณบอกให้ระวังตัวอย่าให้ใครจำได้ ผมก็ต้องปลอมตัวสิ เห็นมั้ยขนาดคุณยังจำไม่ได้เลย เร็วๆเข้าเถอะรีบพาผมไปจากที่นี่ ผมจะไปช่วยคุณมัทจากไอ้เจ้าชายซาดิสม์นั่นซะที”
สินธร องครักษ์หลายนายฝึกซ้อมมวยรายากันอยู่อย่างขยันขันแข็ง เจ้าชายมาคีเดินมาดูอย่างอารมณ์ดี
ทุกคนหยุดฝึกทำความเคารพ
“ฝ่าบาทไม่ทรงโปรดสนามฝึก แล้วก็ไม่เสด็จมานานแล้ว ทำไมวันนี้ถึงเสด็จมาล่ะพะยะค่ะ” สินธรถามอย่างหมั่นไส้ในที
“เราอยากมาออกกำลังบ้างน่ะ นั่งอ่านแต่ตำราน่าเบื่อ...มาสินธร...มาเป็นคู่ซ้อมให้เราหน่อย”
สินธรมองเจ้าชายมาคีด้วยความเกลียดชัง
เจ้าชายมาคีกับสินธร ร่ายรำท่วงท่ามวยรายาสวยงาม เหล่าองครักษ์รอดูการซ้อมอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าชายมาคีพุ่งเข้าใส่ สินธรหลบอย่างคล่องแคล่ว เจ้าชายมาคีบุกแหลก สินธรถอยแต่ในที่สุดก็กลับมาเป็นฝ่ายรุก พอได้โอกาสก็เงื้อหมัดสุดแขนจะต่อยใส่หน้า เจ้าชายมาคีมองอย่างตกใจแต่ก่อนที่หมัดจะถึงหน้าก็มีมือหนึ่งยื่นมาจับหมัดสินธรไว้ซะก่อน
“ท่านคามิน”
คามินมองสินธรอย่างไม่พอใจ
“แค่ซ้อมมือทำไมต้องใช้กำลังขนาดนี้ พลาดพลั้งทำให้เจ้าชายบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง”
สินธรแย้ง
“การต่อสู้ไม่ว่าจะจริงหรือซ้อมก็ต้องมีเจ็บตัวทั้งนั้น ถ้าพลาดพลั้งทำเจ้าชายทรงบาดเจ็บ ขึ้นมาผมก็คงทำอะไรไม่ได้”
เจ้าชายมาคีเห็นด้วย
“ใช่...สินธรพูดถูก ช่างมันเถอะ”
“ไม่ได้พะยะค่ะ ราชองครักษ์มีหน้าที่ถวายความปลอดภัย ไม่ใช่ทำให้พระองค์ทรงบาดเจ็บซะเอง...กระหม่อมคงจะปล่อยไปไม่ได้ ทูลขอประทานอภัยซะ”
สินธรไม่ยอมคุกเข่า คามินปราม
“สินธร”
สินธรจำใจคุกเข่า
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ”
“เรายกโทษให้” เจ้าชายมาคีรีบบอก
คามินไม่ยอม
“ยังไม่พอพะยะค่ะ ไปทำความสะอาดโรงเลี้ยงม้า อาบน้ำม้าทุกตัวให้เสร็จภายในวันนี้ด้วย”
“ครับ”
สินธรออกไปแค้นๆ
คามินมาส่งเจ้าชายมาคีที่หน้าตำหนัก เจ้าชายมาคีพูดขึ้นอย่างรู้สึกแปลกๆ
“เรารู้สึกว่าสินธรแปลกๆเหมือนจะไม่ชอบหน้าเรา”
“อย่าทรงคิดมากเลยพะยะค่ะ สินธรคงจะเครียดเรื่องงานมากกว่า”
“แต่เราเจ็บใจตัวเอง ขนาดสินธรเรายังเอาชนะไม่ได้ แล้วจะปกป้องคนที่เรารักได้ยังไง...”
“กระหม่อมยินดีถวายชีวิต”
“ตอนนี้นายก็มีคนที่นายต้องดูแลแล้ว เราก็ต้องดูแลคนของเราซิ...ต่อไปเราจะตั้งใจฝึก เราจะเอาชนะสินธรให้ได้”
ชวาลวิ่งหน้าเริ่ดมา
“ฝ่าบาทเสด็จไปไหนมาพะยะค่ะ”
“เราจะไปไหนมาไหนต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ”
“มิได้...โธ่ฝ่าบาทคือองค์ราชินี ทรงมีรับสั่งด่วนให้ฝ่าบาทเสด็จออกงานคืนนี้ด้วยพะยะค่ะ”
“งานอะไรทำไมเราไม่เห็นรู้ล่วงหน้า”
“ก็เป็นงานด่วนไงพะยะค่ะจะทรงรู้ล่วงหน้าได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นต้องรีบไปบอกคุณมัทแล้วล่ะ คามิน...”
ชวาลรีบขัด
“รับสั่งให้ฝ่าบาทเสด็จองค์เดียวทรงรีบไปสรงน้ำเถอะกระหม่อมเตรียมฉลองพระองค์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีพยักหน้ารีบเข้าไปด้านใน ชวาลจะตาม คามินเรียกไว้
“เดี๋ยว...องค์ราชินีเสด็จที่ไหนเหรอชวาล”
“ผมก็ไม่รู้ครับ รู้แค่ว่าจะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์มีรับสั่งมาด้วยว่า ท่านคามินไม่ต้องตามเสด็จเพราะมีองครักษ์มือดีที่สุดไปถวายอารักขาแล้ว”
คามินฟังอย่างสงสัยว่าใครกัน
ในตำหนัก...พระนางสาวิตรีถามราชาอินทราเสียงเยือกเย็น
“หม่อมฉันทำอะไร เสด็จมาถึงนี่เพื่อจะมาตำหนิหม่อมฉันใช่มั้ยเพคะ”
“ใครๆก็ดูออกว่า ที่เจ้าทำเครื่องเบญจรงค์แตกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นถึงราชินีแห่งรายา สมควรรึที่จะแสดงแบบนั้นต่อหน้าอาคันตุกะ ถึงจะไม่ชอบแต่ก็น่าจะเก็บความรู้สึกบ้าง”
“ของที่มันไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่ มันก็ต้องมีอันเป็นไปเป็นธรรมดา ถ้าจะมาตำหนิหม่อมฉันด้วยเรื่องแค่นี้ หม่อมฉันขอตัว หม่อมฉันมีนัดกินเลี้ยงกับเพื่อน”
“นักธุรกิจต่างชาติใช่มั้ย”
พระนางสาวิตรีเยาะ
“สายของเสด็จพี่นี่หูไวตาไวไม่ใช่เล่นเลยนะเพคะ”
“นี่ก็อีกเรื่องที่เราอยากจะมาเตือน นักธุรกิจพวกนี้เล่ห์เหลี่ยมจัด หาความจริงใจไม่มี การที่เธอไปให้ความสนิทสนมรับนัดเขาก็เท่ากับสร้าง สะพานให้เขาเดินเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากรายา”
“ถ้านักธุรกิจทุกคนต้องเป็นเช่นนั้น นายธรรมรัตน์สหายของพระองค์ก็คงไม่แตกต่างอะไร งั้นการที่ยอมยกลูกสาวให้ง่ายๆก็คงหวังกอบโกยผลประโยชน์เช่นกันสิเพคะ”
ราชาอินทราอึ้งมองไม่พอใจ พระนางสาวิตรีหัวเราะแค่นๆ ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สนใจคำเตือน ราชาอินทรามองตามไม่สบายใจ
หน้าเซฟเฮาส์อัคนี...มินตราขับรถมาจอด กำลังจะลงเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น มินตรายิ้มรีบรับ
“หม่อมฉันเพิ่งมาถึงเซฟเฮ้าส์ที่ทรงเตรียมไว้ให้เพคะ”
“มีใครรู้เห็นเรื่องนี้หรือเปล่า”
“ไม่มีเพคะ ชาลีไม่เห็นหรือสงสัยอะไรเลย ทรงเปิดทางให้คนของหม่อมฉันด้วย”
“ฉันรู้แล้ว...อย่าให้พลาดเด็ดขาดนะ เพราะคราวนี้เธอจะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก”
พระนางสาวิตรีตัดสาย สีหน้าสะใจ...มินตรายิ้มพอใจ รีบวิ่งลงไปเปิดท้ายรถที่กองถุงสุมๆไว้เต็ม มินตราคุ้ยออกอัคนีนอนพะงาบๆ
“คุณอัคนี...คุณอัคนี”
“โอ๊ยนี่ผมยังหายใจอยู่ใช่มั้ย” อัคนีค่อยๆลุกขึ้น
มินตราช่วยอัคนีออกจากท้ายรถ
“คุณเป็นไงบ้างคะ”
อัคนีมองรอบๆ
“นี่ที่ไหน ทำไมต้องให้ผมมุดอยู่ใต้ถุงของพวกนี้โอ๊ยจะหายไม่ออกอยู่แล้ว”
“ใจเย็นๆสิค่ะนี่คุณแอบมาช่วยคุณมัทนะจะให้ใครเห็นคุณได้ยังไง”
“จริงด้วย โอเค งั้นตอนนี้ก็พาผมไปช่วยคุณมัทได้แล้วสิ ไป ไปกันเลย”
อัคนีวิ่งออกไป มินตราวิ่งตามดึงตัวไว้
“คุณอัคนี...มีสติหน่อยสิคะจะช่วยคุณมัทก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้”
“อ๋อเหรอ ก็จริงของคุณ แล้วเราจะลงมือเมื่อไร”
“คืนนี้ค่ะ ตอนนี้คุณหลบอยู่ที่นี่ก่อน ใกล้เวลาเมื่อไหร่ ฉันจะพาคุณไปซ่อนในตำหนัก โอเคมั้ยคะ”
“โอเค...คุณมัทที่รักรอผมก่อนนะ คืนนี้แหละผมจะพาคุณออกไปจากขุมนรกนี่เอง”
อัคนีหมายมาดทำท่าเหมือนฮีโร่สุดเท่ห์ มินตราพอใจ
มินตราเดินถือถุงของเข้ามาในตำหนักมัทนาท่าทางสบายใจมาก ชะงักที่เหมันต์เข้ามาดักหน้ามองแปลกๆ
“มองอะไร”
“ก็มองคนอารมณ์ดีไง ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีมากเลยนะ”
เหมันต์มองของเต็มมือ
“ท่านประธานส่งเธอมาดูแลคุณมัทไม่ใช่เหรอ แต่เท่าที่ฉันเห็นรู้สึกว่าเธอจะไม่ค่อยได้ดูแลคุณมัทสักเท่าไร”
มินตราไม่พอใจ
“คุณมัทง่อยเปลี้ยเสียขา ปัญญาอ่อนหรือไงฉันถึงต้องคอยดูแลทุกฝีก้าว ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะพี่เลี้ยงไม่ใช่ขี้ข้า จะได้ต้องคอยรองมือรองเท้าตลอดเวลา”
“ฉันไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้น ตอนนี้คุณมัทดูไม่ค่อยสบายใจแทนที่เธอจะออกไปช้อปปิ้งฉันว่าเธอน่าจะอยู่กับคุณมัทมากกว่า อีกอย่างหนึ่งท่านหญิงก็ต้องการพบเธอ”
“ฉันไม่ได้ออกไปช้อปปิ้งแต่ฉันออกไปทำธุระให้องค์ราชินี”
“องค์ราชินี” เหมันต์งง
“ใช่ท่านทรงโปรดฉันมาก ก็เลยไหว้วานให้ไปทำโน่นนี่ให้บ่อยๆ แล้วอย่างเนี่ยเธอคิดว่าระหว่างท่านหญิงกับองค์ราชินี ฉันควรเลือกไปรับใช้ใครมากกว่ากันล่ะ”
มินตรายิ้มเยาะก่อนเดินเชิดผ่านเหมันต์ไปอย่างไม่สน เหมันต์มองตามสงสัย
ค่ำคืนนั้น คามินยืนกอดอกนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ครุ่นคิด หฤทัยเข้ามาด้านหลังถือถ้วยน้ำชามาด้วย
“พี่คามินคะ”
คามินนิ่ง หฤทัยเรียกซ้ำ
“พี่คามิน...”
คามินรู้สึกตัวรีบหันกลับไปมอง
“ฤทัย”
“น้ำชาโสมแดง บำรุงสุขภาพค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” คามินรับมา
หฤทัยเดินกลับไปที่เก้าอี้ลงนั่ง หยิบไหมพรมขึ้นมาดูหลายสี พูดไปด้วย
“ช่วงที่ลูกคลอดอากาศคงหนาวพอดี ฤทัยเลยจะถักหมวกกับถุงมือถุงเท้าให้ลูก พี่คามินว่าสีไหนดีคะ”
เงียบ หฤทัยหันไปมอง เห็นเขาถือแก้วชาไว้แต่ไม่ได้ดื่ม สีหน้าครุ่นคิด
“พี่คามินคะ...”
คามินหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่
“พี่คามินคะ”
คามินรีบหันมามอง เห็นหฤทัยมองอยู่
“พี่คามินไม่ได้ยินที่ฤทัยถามเหรอคะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
คามินอึกอัก มองแก้วน้ำชารีบตอบ
“ไม่มีจ้ะ...น้ำชานี่กลมกล่อมชุ่มคอดีจริงๆ”
หฤทัยอึ้ง คามินยกดื่มจนหมดมาวางแก้วให้ยิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากนะฤทัย เอ้อพี่ลืมสั่งงานบางอย่าง เดี๋ยวจะรีบกลับนะ”
คามินรีบออกไป หฤทัยมองตามแปลกใจท่าทางของเขามาก
หน้าตำหนักมัทนา ชาลี กับทหารเฝ้าอยู่ไม่กี่คน มินตราถือถาดใส่น้ำชาเข้ามายิ้มแย้มให้
“คุณมินตรา” ชาลีตื่นเต้น
“ฉันเอาน้ำชามาให้ค่ะ”
“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”
“ลำบากอะไรละคะวันนี้คุณก็ช่วยเหลือฉันทุกอย่าง แถมยังให้ยืมรถกลับมาอีก คืนนี้ทหารก็มีน้อย คงต้องอยู่เวรกันทั้งคืน ดื่มน้ำชาร้อนๆจะได้กระชุ่มกระชวยไงคะ”
ทหารคนอื่นมองชาลียิ้มๆล้อเลียน มินตราหันไปยิ้มแย้มกับทุกคน
“ฉันเอามาเผื่อทุกคนด้วยนะคะ มาดื่มกันก่อนเถอะค่ะ”
ชาลีมองมินตราอย่างปลื้มมากๆ มินตรายิ้มหวาน
ในห้องเตรียมอาหาร...มินตราเข้ามาวางถาดใส่ถ้วยน้ำชาเปล่าๆหลายใบลงบนโต๊ะ ยิ้มร้าย ก่อนหยิบโทรศัพท์มากดข้อความอย่างรวดเร็ว ไม่ทันเห็นเหมันต์ที่ผ่านหน้าห้องเตรียมอาหาร
เหมันต์รีบหลบมองอย่างสงสัย
จบตอนที่ 10