xs
xsm
sm
md
lg

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 6

ห้องวีไอพี...มินตรานวดเท้าให้เจ้าชายมาคีอย่างแผ่วเบาชม้ายตายิ้มหวานให้อย่างให้ท่าสุดๆ
เจ้าชายมาคีมองมินตราชื่นชมไม่ได้สนใจในเชิงชู้สาว
“นี่ถ้าคุณแม่รู้ว่าคุณมัททำให้ฝ่าบาทเจ็บพระวรกายคงเสียใจมาก” มินตราแกล้งหนักใจ
“เราเจ็บเพราะความคึกคะนองของเราเองไม่ใช่เพราะคุณมัท”
มินตราอิจฉามัทนาแต่แกล้งพูดดี
“เจ้าชายทรงเมตตาคุณมัทเหลือเกินเพคะ”
“เราชอบคุณมัทนา”
“ทั้งๆที่ยังไม่ทรงรู้จักนิสัยใจคอคุณมัทเลยน่ะเหรอเพคะ”
“แค่เห็นหน้าเราก็รู้แล้วว่าคุณมัทเป็นคนดี”
“คุณมัทเป็นคนดีเพคะ...เสียที่ใจร้อน ใช้อารมณ์ตัดสินใจมากกว่าใช้เหตุผล เอาแต่ใจ แล้วก็ดื้อมาก...หากอภิเษกกันไปแล้วคุณมัททำสิ่งใดให้ไม่พอพระทัยขอฝ่าบาททรงให้อภัยคุณมัทด้วยนะเพคะ”
“เราจะให้อภัยคุณมัททุกอย่าง...เราสัญญา”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เราค่อยยังชั่วมากแล้ว...พอแล้วล่ะ”
“เพคะ”
มินตราจับเท้าเจ้าชายมาคีที่อยู่บนตักวางลงอย่างทะนุถนอม
“ขอบใจนะ”
“ด้วยความเต็มใจเพคะ”
มินตราลุกขึ้นแกล้งหน้ามืดเซล้มใส่ เจ้าชายมาคีรีบรับตัวมินตราไว้อย่างตกใจ
“มินตรา”
มินตราส่งสายตาหวานฉ่ำให้แต่ เจ้าชายมาคีไม่รู้สึกอะไร
“หม่อมฉันยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน เลยหน้ามืด”
“แย่จริง คงมัวแต่บริการเรา นั่งพักก่อน”
มินตรามองเจ้าชายมาคีที่ไม่มีท่าทีหวั่นไหวอย่างเซ็งๆ แล้วครุ่นคิด เจ้าชายมาคีประคองมินตราลงนั่งที่โซฟา เธอแกล้งเสียหลักแล้วดึงเจ้าชายให้ล้มลงไปนอนบนโซฟาด้วยกัน
“ว้าย”
เจ้าชายมาคีนอนทับอยู่บนตัวมินตรา จ้องอย่างตกใจแล้วรีบลุกพรวดขึ้น
“เราขอโทษ”
มินตรามองอย่างเซ็งๆแล้วลุกขึ้นถอนสายบัวแบบรายา
“หม่อมฉันต่างหากที่ต้องขอประทานอภัยที่ทำให้ฝ่าบาททรงเสียหลักล้มลงมาด้วย...ทรงเจ็บตรงไหนรึเปล่าเพคะ”
“เราไม่เป็นไร...เจ้านั่งพักตรงนี้ก่อนนะเราจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะให้คามินหายามาให้”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป มินตรามองตามอย่างหงุดหงิด
“ตาอัคนีมัวทำอะไรอยู่นะ ไม่ได้เรื่องจริงๆ”

คามิน มัทนา มินตรา เจ้าชายมาคี เดินมาที่ลานจอดรถ
“สนุก ตื่นเต้น ท้าทาย...พอได้ลองเล่นผมก็ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมคุณมัทชอบกีฬาแบบนี้” เจ้าชายมาคีบอกยิ้มแย้ม
“ฝ่าบาททรงโปรดเหรอเพคะ”
“ผมต้องขอใช้คำของคุณว่ารักเลยดีกว่า”
มัทนาถอนหายใจเซ็งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
“เราจะไปที่ไหนกันต่อดี”
คามินแทรกขึ้น
“เสด็จกลับเถอะพะยะค่ะ แค่นี้ก็ทรงเหนื่อยมากแล้ว”
มัทนาเห็นด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ เกิดประชวรไป เดี๋ยวท่านองครักษ์จะโกรธหม่อมฉันแย่”
“เราไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกคามิน...หาที่สนุกๆไปเที่ยวต่อดีกว่านะครับ”
คามินจะแย้ง
“แต่ว่า...”
เจ้าชายมาคีสวน
“นึกออกแล้วมีที่นึงที่ผมอยากไปมาก”
“ที่ไหนเพคะ” มัทนาสงสัย

ในบ้าน...อสิตพูดกับอัคนีอย่างแปลกใจ
“สวนสนุก”
อัคนีงอแง
“ครับ...พี่เลี้ยงคุณมัทส่งข้อความมาเดี๋ยวนี้เองเที่ยวกันเสร็จไปที่นึงแล้วคนของป๊ายังทำให้เจ้าชายพาคุณมัทกลับบ้านไม่ได้เลยถ้าผมช่วยคุณมัทไม่ได้ต่อไปเวลาคุณมัทเดือดร้อน คุณมินคงไม่โทรมาบอกผมแล้วล่ะ...ผมจะไปจัดการเอง”
อัคนีจะออกไป อสิตรีบไปขวาง
“เดี๋ยวๆ...ป๊าบอกแล้วไงว่าคนธรรมดาอย่างเราประกาศตัวเป็นศัตรูกับเจ้าชายซึ่งหน้ามันมีแต่เสียกับเสีย เดี๋ยวเขาใช้อิทธิพลทำให้ธุรกิจเราล้มละลายแกกับป๊าจะอดตายเอาได้ ให้ลูกน้องป๊าจัดการน่ะดีแล้ว”
“ถ้าลูกน้องป๊ามีปัญญาจัดการเจ้าชาย คงไม่ได้พาคุณมัทไปเที่ยวต่ออย่างนี้หรอก”
“คนเป็นเจ้าชายไปเที่ยวมันก็ต้องมีการคุ้มกันแน่นหนาลูกน้องป๊าเลยทำอะไรลำบาก เอางี้นะเดี๋ยวป๊าจะวางแผนให้เด็ดกว่าเดิมแล้วโทรไปบอกพวกมัน คราวนี้พวกมันทำได้แน่ แกรออยู่ที่
นี่แหล่ะลูกน้องป๊าทำงานเสร็จเมื่อไหร่แกค่อยไปเอาหน้ากับหนูมัท”
“แต่ผมรอไม่ไหวแล้ว”
“ต่อสู้กับคนที่เหนือกว่ามันต้องอดทน...เชื่อป๊าสักครั้งเถอะนะแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

อัคนีมองอสิตอย่างงอนๆ แล้วกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด อสิตมองอัคนีโล่งใจ

มัทนา เจ้าชายมาคี คามิน และมินตรา ยืนอยู่ด้วยกันด้านหน้าทางเข้าสวนสนุก

“ที่นี่น่ะเหรอเพคะ” ยืนอยู่ด้วยกัน มัทนาหันมาถาม
“ครับ...ที่รายาไม่มีสวนสนุกแบบนี้ ผมเคยดูในเวปไซด์มีเครื่องเล่นน่าเล่นเยอะเลย” เจ้าชายมาคีตื่นเต้นมาก
“เจ้าชายยังทรงชอบเล่นแบบเด็กๆอยู่เหรอเพคะ” มัทนามองขำๆ
เจ้าชายมาคีหน้าเจื่อน เสียฟอร์ม
“แต่ถ้าคุณมัทไม่ชอบเราไปเที่ยวที่อื่นก็ได้”
คามินมองรอบๆเห็นคนเยอะก็มองอย่างกังวล
“ที่นี่คนเยอะดูแลความปลอดภัยลำบากไปที่อื่นเถอะพะยะค่ะ”
มัทนามองคามินอย่างหมั่นไส้แล้วพูดกับเจ้าชายมาคี
“แต่หม่อมฉันอยากเที่ยวที่นี่”
“งั้นก็ไปกันเลย”
เจ้าชายมาคีจะเข้าไปด้านใน คามินเข้ามาขวาง
“กระหม่อมขอประทานอนุญาตส่งตำรวจอารักขา เข้าไปตรวจดูความปลอดภัยก่อนพะยะค่ะ”
“ทำอย่างงั้นเขาก็รู้กันหมดซิ ว่าเจ้าชายเสด็จมา แบบนี้อันตรายมากกว่ารึเปล่า” มัทนาแย้ง
“อย่าเลย...กว่าจะตรวจเสร็จสวนสนุกคงปิดจนไม่ได้เล่นอะไรพอดี...ไปครับ”
เจ้าชายมาคีจูงมัทนาเดินไป เธอหันมายักคิ้วยิ้มเยาะ คามิน มองหนักใจ บอกตำรวจ
“คุณสองคนไปกับผม อีกคน เฝ้าอยู่ด้านหน้า ถ้ามีอะไรผิดปกติรีบแจ้งทันที”
คามินเดินตามไป กับตำรวจสองคน...ด้านหนึ่ง สุเทษ ยักษ์ ลูกน้อง 2 คนเดินปะปนเข้ามาในกลุ่มนักท่องเที่ยว สุเทษมองมัทนาอยู่ตลอดเวลา

เจ้าชายมาคีเล่นเครื่องเล่นสนุกสนานแต่คามินเครียด...บริเวณล่องแก่ง เจ้าชายมาคี กับมัทนานั่งคู่กัน คามินกับมินตรานั่งคู่กันด้านหลัง ระหว่างนั่งล่องไปเรื่อยๆ มินตรามองมัทนาอิจฉา พอถึงทางลาด เจ้าชายมาคีกับมัทนาร้องอย่างสนุกสนาน มินตราปิดตากลัว ซุกคามิน

เจ้าชายมาคีกับมัทนาขับรถโกคาร์ตแข่งกันอย่างสนุกสนาน คามินยืนมองอย่างกังวล
มินตรามองเจ้าชายมาคีที่หัวเราะร่าเริงอย่างหลงใหล

เจ้าชายมาคีเล็งยิงตุ๊กตา...ถูกเฉียดๆ ก็โมโห มินตราตบมือไม่มีเหตุผล มัทนายิงเปรี้ยงๆ แม่นมาก ร่วงทุกตัว เจ้าชายมาคีทึ่ง มัทนาหันไปเชิดใส่คามิน หยิบปืนโยนให้เขา ทำนองกล้ามั้ย คามินรับมาหน้านิ่งๆ เล็งยิงเปรี้ยง ตัวหนึ่งกระเด็นถูกชิ่งอีกตัวร่วงสองตัวเลย มัทนาหน้าบูด คามินส่งตุ๊กตาให้มินตรา มัทนาเชิดเดินออกไป เจ้าชายมาคีรีบตาม

มัทนากับเจ้าชายมาคีและคามิน เดินมาหามินตราที่คอยอยู่ที่มุมหนึ่ง มินตราถวายน้ำเจ้าชายมาคี คามินฉวยไป
“ขอโทษครับ”
คามินเอาเข็มเงินที่พกมาจิ้มดู
“เสวยได้พะยะค่ะ”
คามินถอยไปยืนอารักขา เจ้าชายมาคีหยิบน้ำจากมินตราไปดื่ม
“ขอบใจ”
มินตรามองยิ้มชื่นชม คามินมองรอบๆอย่างสำรวจแล้วชะงักเมื่อเห็นสุเทษใส่หมวกใส่แว่นกันแดดยืนซุ่มดูอยู่มุมหนึ่ง สุเทษเห็นคามินมองมาก็ตกใจรีบเดินออกไป คามินรีบบอกเจ้าชายมาคี
“กระหม่อมขอตัวสักครู่นะพะยะค่ะ”
คามินเดินออกไปอย่างปกติเพื่อไม่ให้ใครสงสัย เจ้าชายมาคีหันมาถามมัทนา
“เราจะไปเล่นอะไรกันต่อดี”
มัทนามองไปที่บึงใหญ่...มีหนุ่มสาวนั่งเรือรูปสัตว์สีสันสวยงาม จู๋จี๋กัน เจ้าชายมาคีมองตาม
“คุณมัทนาอยากนั่งเรือเล่นใช่มั้ย ใจเราตรงกันเลย”
“เพคะ หม่อมฉันอยากนั่งเรือมากเลย”
มัทนามองข้ามไปที่ไวกิ้ง ที่กำลังแกว่งไกวอย่างน่าหวาดเสียว

คามินเดินตามชายที่ใส่หมวกใส่แว่นใส่เสื้อเหมือนสุเทษ ชายคนนั้นเดินหนีอย่างรีบร้อน หายลับไปในหมู่คน คามินมองหาร้อนรน ชายคนนั้นวิ่งหลบเข้าไปในข้างๆอาคาร คามินวิ่งตามเข้ามาในซอกอาคารที่เห็นชายคนนั้นวิ่งเข้าไป ชายคนนั้นเดินหนีอย่างรีบร้อนออกไป คามินเข้ามามองหา ระแวดระวัง แล้วเห็นเงาหลบวูบวาบ คามินกระโดดเข้าจู่โจม อย่างรวดเร็ว กระชากตัวออกมา เงื้อจะต่อย ชายคนนั้น ไม่ใช่สุเทษ
“อย่า...อย่าทำผม”
คามินอึ้ง

มัทนาเดินนำเจ้าชายมาคีเข้ามาชี้ไปที่เรือไวกิ้งที่กำลังแกว่งไกวอยู่
“ที่คุณอยากนั่ง คือเรือนั่น” เจ้าชายมาคีอึ้ง
“เพคะ มัทไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว นี่ละเครื่องโปรดของมัทเลยตอนเด็กๆ มาทีไรมัทนั่งทีละสามสี่รอบ”
“สาม สี่รอบ”
เจ้าชายมาคีมองอย่างสยอง มัทนามองหน้า
“หรือว่าเจ้าชายทรงกลัวความสูง”
“ไม่ใช่ครับ โธ่...ผมไม่เคยกลัวอยู่แล้ว”
“งั้นก็เยี่ยม เดี๋ยวเราจะเล่นเครื่องทุกเครื่องที่น่ากลัวที่สุดใครขอให้หยุด คนนั้นแพ้”
มินตราพยายามขัด
“แต่มันอันตรายนะคะ พี่ว่ารอท่านองครักษ์ก่อนดีกว่า”
“ถ้าเขามา เราก็คงอดเล่น ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวมัทไปเล่นคนเดียวก็ได้ ถ้าเจ้าชายไม่ทรงโปรดก็ประทับรอตรงนี้แหละค่ะ...”
เจ้าชายมาคีเสียฟอร์ม
“เดี๋ยวครับ...”

คามินวิ่งกลับมาที่เดิมแต่ไม่เห็น เจ้าชายมาคี มัทนา มินตรา เขารีบหยิบมือถือมาโทรหามินตรา แต่เธอไม่รับสาย

เจ้าชายมาคีนั่งกลางขนาบด้วยมัทนากับมินตราบนไวกิ้ง มัทนาร้องวู้ๆสนุกสนาน เจ้าชายมาคีหน้าซีด แข็งใจส่วนมินตราซุกหน้ากับไหล่เจ้าชายมาคี หลับหูหลับตากรี๊ด

คามินกดวอ ติดต่อตำรวจนอกเครื่องแบบ
“เสือภูเขา1 เรียกเสือภูเขา 2”
เสียงวอเงียบ คามินเรียกซ้ำ

ตำรวจสองนายกำลังถูกมาสคอท สามสี่ตัวมารุม กอดดันให้เดินถอยหลังไปมุมหนึ่ง
“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย ไปเล่นกับเด็กโน่น”
พวกมาสคอท ไม่ฟัง พัวพัน ดันตำรวจเข้าไป ในที่ปลอดคน มือมาสคอทมีที่ช็อตไฟฟ้า ช้อตตำรวจทั้งคู่ สลบลงไป ก่อนจะลากไปซ่อน ยักษ์ถอดหัวมาสคอทออกมองตำรวจที่นอนสลบยิ้มสะใจ หันไปพยักหน้ากับลูกน้อง

ยักษ์ตกตึก(ไจแอนท์ดรอป)ทิ้งดิ่งลงมาจากที่สูง เสียงกรี๊ดแซ่ซ้อง เจ้าชายมาคีนั่งตัวแข็ง มินตรากลัวจนร้องไห้น้ำตาไหล ขณะที่มัทนามีความสุข
“โอ๊ย...สุดยอด นี่สิ มันถึงจะได้อารมณ์ เป็นไงเพคะ ทรงพระสำราญมั้ย”

เจ้าชายมาคียิ้มหน้าซีด

มินตราลงไปนั่งหมดแรงแล้วควักยาดมมา มัทนาเข้ามาลูบหลัง
“ไหวมั้ยคะ พี่มิน”
มินตราส่ายหน้า
“งั้นพี่มินก็นั่งรอเถอะค่ะ เดี๋ยวมัทจะไปเล่นกับเจ้าชายสองคน”
มัทนาหันไปมองเจ้าชายที่เดินหน้าซีดพะอืดพะอมเข้ามา
“นะเพคะ” มัทนามองหน้าแกล้งถาม “พระพักตร์ซีดมาก คงจะไม่ทรงโปรด”
เจ้าชายมาคีส่ายหน้า
“หรือว่า ยังหวาดเสียวไม่พอเพคะ...งั้นได้เลย หม่อมฉันจะจัดถวายให้ คราวนี้เอาแบบเสียวสุดๆ”
เจ้าชายมาคีอั้นไม่ไหว พุ่งไปอาเจียน มินตราตกใจ
“เจ้าชาย”
มัทนามองไม่คิดว่าจะขนาดนี้

คามินวิ่งมามองหาตำรวจแล้วจะวิ่งไปหาเจ้าชายมาคีแต่มาสคอทสามตัวเดิมมารุมกอดแล้วดันไปมุมหนึ่ง คามินพยายามแกะมือ มาสคอทไม่ปล่อยดันมาที่มุมที่ยักษ์ช๊อตตำรวจ ยักษ์จะช็อตแต่คามินเห็นจับมือหัก มาสคอทอีกตัวถือไม้เบสบอลฟาดคามินหลบเลยฟาดถูกยักษ์ล้มตึง แล้วลุกขึ้นไม่ได้ สมุนมองตกใจแล้วเงื้อไม้ปรี่เข้าหาคามินอีกครั้ง คามินถีบท้อง แล้วหันมาถีบมาสคอทลูกน้องอีกคนที่เข้ามาล้มลงไป ทั้งคู่พยายามลุกขึ้นแต่ลุกไม่ได้เพราะชุดมาสคอทหนักมาก คามินจะไปถอนหัวมาสคอทแต่ได้ยินเสียงอู้อี้มาจากมุมหนึ่ง เขาหันไปเห็นตำรวจโดนผ้าใบคลุมอยู่จึงรีบไป เปิดผ้าใบเห็น ตำรวจถูกเทปปิดปากมัดตัวติดกัน คามินรีบลอกเทปออกแล้วแก้มัด
“เจ้าชายกับพระคู่หมั้นอยู่ที่ไหน”
“ทรงเล่นเครื่องเล่นอยู่ด้านโน้น ผมอารักขาอยู่ข้างล่าง แล้วก็ถูกไอ้พวกมาสคอทนั่นมันทำร้าย”
คามินหันไปมอง มาสคอททั้งหมด ตะเกียกตะกายวิ่งหนีไป
“ตามไปจับตัวมันให้ได้”
ตำรวจสองคนวิ่งตามไป คามินรีบวิ่งไปอีกทางที่ตำรวจชี้ว่าเจ้าชายมาคีอยู่

มินตรายื่นผ้าเย็นให้เจ้าชายมาคีเช็ดหน้า
“ขอบใจมาก คงเป็นเพราะอาหารยังไม่ย่อย”
“แสดงว่าฝ่าบาททรงยอมแพ้หม่อมฉัน เฮ้อ...หมดสนุกเลย”
“ยัง..ใครว่าผมยอมแพ้ มีเครื่องที่น่ากลัวกว่าเครื่องเมื่อกี๊มั้ยครับพาผมไปเล่นได้เลยผมพร้อมแล้ว”
มินตราดึงแขนมัทนามากระซิบ
“พอเถอะค่ะ คุณมัท อย่าแกล้งเจ้าชายอีกเลย พี่ขอร้อง”
มัทนาหันไปหาเจ้าชายมาคี
“เครื่องเล่นที่น่ากลัวกว่าเมื่อกี๊ มันมีอยู่แล้ว แต่มัทว่าเราหยุดแค่นี้เถอะค่ะ”
“ไม่...ผมยังอยากเล่นต่อ ไป...เราไปหาเครื่องเล่นที่น่ากลัวที่สุดกัน”
เจ้าชายมาคีฉุดมัทนาไป มินตรามองตามเซ็งๆ สุเทษเข้ามาชนมินตราที่กำลังจะตาม แล้วประคองกระซิบ
“คุณอัคนีส่งผมมาอารักขาคุณมัทนา คุณหมดหน้าที่แล้ว”
มินตรางงๆ แต่เมื่อเห็นสุเทษเดินตามมัทนาไป ก็เข้าใจว่าห้ามตามเพราะสุเทษจะไปจัดการมัทนา

มัทนากับเจ้าชายมาคีเดินมาถึงหน้าบ้านผีสิง
“บ้านผีสิงเพคะ ไม่น่าสนุกหรอก” มัทนากลัว แต่พูดเลี่ยงๆ
หนุ่มสาวเดินกอดกันออกมาจากด้านใน ผู้หญิงท่าทางกลัวมาก ผู้ชายปลอบ
“โธ่...ของปลอมทั้งนั้นกลัวอะไร”
“ไม่เอาแล้วนะ หลอนมาก...ต้องฝันร้ายแน่”
เจ้าชายมาคีชะงักคิดเจ้าเล่ห์
“เราลองเข้าไปมั้ยครับ”
“อย่าเลยเพคะ ไม่เห็นสนุกเลย” มัทนาหน้าแหย
“คุณมัทนากลัวผีเหรอครับ”
“ไม่กลัวเพคะ ไม่เคยเชื่อเรื่องผีด้วยซ้ำ” มัทนาเชิด
“งั้นเราเข้าบ้านผีสิงกัน ใครตกใจร้องก่อน คนนั้นแพ้”
เจ้าชายคามินเดินนำหน้าไปอย่างนึกสนุก สุเทษเดินมาหยุดมอง เห็นเป็นโอกาสจึงตามเข้าไป

คามินพยายามตามหากลุ่มเจ้าชายคามิน จนมาเจอมินตราที่นั่งรออยู่
“คุณมินตรา เจ้าชายกับคุณมัทนาละครับ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณมัทนาสั่งให้มินรออยู่ตรงนี้ บอกว่าจะพาเจ้าชายไปเล่นเครื่องเล่นแปลกๆ”
“แย่แล้ว” คามินหน้าตื่น
มินตราฉุดคามินไว้
“มินเตือนแล้วนะคะ แต่คุณมัทไม่ฟัง ยิ่งรู้ว่าเจ้าชายทรงกลัวความสูง คุณมัทก็ยิ่งสนุกใหญ่”
“ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นแล้วครับ”
คามินจะไป มินตราแกล้งทรุด คามินพยายามประคอง
“มิน...หน้ามืดค่ะ โลกมันหมุนไปหมด”
“นั่งพักก่อนนะครับ ผมต้องรีบไปถวายอารักขาเจ้าชาย”
คามินวิ่งไปอย่างไม่ใยดี มินตรายัวะ ลุกขึ้น หันขวับไปที่บ้านผีสิง
“คราวนี้ คงสำเร็จซะทีนะ อัคนี”

ในบ้านผีสิงมืดสลัว น่ากลัว มีหุ่น มีไฟกระพริบบางจุดสร้างบรรยากาศ เจ้าชายมาคี กับมัทนาเดินเข้ามาอย่างสบายๆ หุ่นผีตัวหนึ่งเด้งขึ้นมาจากที่ซ่อน มัทนาร้องออกมานิดหนึ่งแล้วนึกได้ รีบปิดปาก เจ้าชายมาคียิ้มโอบไว้
“อยู่ใกล้ๆผมไว้ ไม่ต้องกลัว”
“หม่อมฉันแค่ตกใจ ไม่ได้กลัวซะหน่อย”
พอเดินไปนิดหนึ่งมีหุ่นผีทิ้งลงมาตรงหน้า เจ้าชายมาคีกระโดด
“เฮ้ย”
มัทนาหันไปมองยิ้มขำ
“แค่หุ่นเพคะ ไม่ต้องตกพระทัย”
เจ้าชายมาคีเสียฟอร์มรีบแก้ตัว
“ผม...ผมไม่ได้ตกใจ แต่ผมกลัวมันจะตกมาถูกคุณต่างหาก”
“อ๋อ...อย่างงั้นเหรอเพคะ ต้องขอบพระทัยมากๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งทรงเป็นลมไปก่อนนะเพคะ หม่อมฉันคงแบกฝ่าบาทไม่ไหว”
มัทนาหัวเราะ แต่เห็นหน้าเจ้าชายมาคีอึ้งๆ มัทนามองตามสายตาเจ้าชายเห็นเป็นแม่นาคห้อยหัวอยู่ ผมยาวหน้าขาว...
“อ้าก...”
ทั้งคู่ร้องลั่น วิ่งเปิดเปิงไป คนละทิศคนละทาง มัทนาไปหยุดที่โลงศพแบบฝรั่งที่ฝาโลงเปิดปิดอัตโนมัติอยู่มุมหนึ่ง แดร๊กคูล่าเด้งขึ้นมา มัทนาตกใจต่อยแดร๊กคูล่าลงไปนอน แล้ววิ่งหนีออกไป สุเทษเดินเข้ามา แดร๊กคูล่าเด้งตัวมาแบบมึนๆ สุเทษมองเหี้ยมแล้วฟันศอกใส่แดร๊กคูล่าหงายลงไปสลบ ก่อนกระชากหน้ากากกับผ้าคลุมมา

คามินกลับเข้ามาหน้าบ้านผีสิง กังวลสุดๆ เขาพูดวอกับตำรวจ
“เรื่องคนร้ายเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องตามเจ้าชายกับ คุณมัทนาให้เจอ”
กะเทยสองคนกำลังดูรูปเจ้าชายมาคีในไอแพท
“ดูซิแก น่ากินที่สุด ยังกะนายแบบหลุดออกมาจากแคทวอร์ค”
“อ๊าย...จริงๆด้วย...แล้วตอนนี้ฮีไปไหนแล้ว”
“เข้าไปในบ้านผีสิงกับชะนีนางหนึ่ง”
“ว้าย...งั้นรีบไปตามเข้าไปสิงชะนีนางนั้นด่วน”
มือคามินเข้ามาแย่งไอแพดไปดู กะเทยโวยวาย
“เอ๊ะ อะไรกันเนี่ย ช่วยด้วย ขโมย...”
พอเห็นรูปเจ้าชายมาคี คามินรีบถาม
“ขอโทษ เมื่อกี๊คุณบอกว่าเห็นสองคนนี้ไปที่ไหนนะครับ”
กะเทยชี้เข้าไปในบ้านผีสิง
“ขอบคุณ”
คามินส่งไอแพดคืน แล้วรีบวิ่งเข้าไป กะเทยมองหน้ากัน ก่อนจะกรี๊ดพร้อมกัน
“อ๊าย...เริ่ดเว่อร์”

ในบ้านผีสิง เสียงหัวเราะน่ากลัวดังลั่น เจ้าชายมาคีวิ่งเข้ามาแล้วหยุดนึกได้
“คุณมัทนา คุณมัทนาครับ...”
เจ้าชายมาคีโมโหตัวเอง
“บ้าจริง เราทิ้งคุณมัทมาได้ยังไงเนี่ย”
มัทนาพรวดเข้ามาอีกมุม
“บ้าที่สุด...รู้ว่าผีปลอมแท้ๆจะตกใจทำไม ยัยมัทเอ๊ย เสียฟอร์มชะมัด”
มัทนาหันไปปะกับหัวกะโหลกไฟแว่บๆ คราวนี้ทำใจได้ เธอสูดลมหายใจ ยื่นหน้าไปใกล้
“เฮอะ ฉันตั้งสติได้แล้ว คิดว่าจะหลอกฉันได้อีกเหรอ”
เงาของสุเทษทาบเข้ามา ด้านหลัง เงื้อมีดวาววับ ก่อนจะจ้วง แล้วถูกคามินเข้ามาจับมือไว้ เสียงเจ้าชายมาคีดังมา
“คุณมัทนา”
มัทนามองไป แล้วรีบเดินไป โดยไม่เห็นว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้น สุเทษภายใต้หน้ากากร้องมองคามินอย่างตกใจแล้วถีบอย่างแรงคามินกระเด็นไป สุเทษแทง คามินหมุนตัวหลบไปได้ เตะตัดขาสุเทษลงไปนอนกองที่พื้น คามินเตะมีดออกจากมือ สุเทษรีบลุกขึ้นแล้วร่ายรำมวยรายา คามินมองตกใจ
“มวยรายา”
สุเทษใช้มวยรายาจู่โจมทันที คามินใช้มวยรายาต่อสู้กับสุเทษ หุ่นผีเด้งขึ้นมาสุเทษต่อยไปที่หุ่นผีแล้วมองอย่างโมโห โดดเข้าไปเล่นงานคามินต่อ สุเทษกับคามิน ต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายคามินอัดสุเทษลงไปนอนนิ่ง จะกระชากหน้ากาก แต่สุเทษปัดมือแล้วสะบัดอาวุธลับใส่ คามินผงะ สุเทษรีบฉวยโอกาสวิ่งหนีไป คามินจะวิ่งตามแล้วชะงัก เปลี่ยนใจวิ่งตามไปทางมัทนา

มินตราเดินไปมาหน้าบ้านผีสิง รอเวลา เจ้าชายมาคีกับมัทนาเดินกันมา มินตรามองไปผิดหวังที่มัทนายังอยู่
“พี่มิน...”
มินตราฝืนยิ้ม
“เป็นยังไงคะ สนุกมั้ย หวาดเสียวสะใจรึเปล่า”
“ก็งั้นๆแหละค่ะ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย”
เจ้าชายมาคีรีบเสริม
“ใช่...มีแต่ของเด็กเล่น ไม่น่ากลัวสักนิด”
วางฟอร์มกันทั้งคู่ มินตรามองพยายามเลียบๆเคียงๆถาม
“แสดงว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยเหรอคะ”
“ไม่เลยค่ะ”
คามินเข้ามาหน้าเครียด
“ถ้าอย่างงั้น เราควรจะกลับได้แล้ว”
มัทนามองคามินหมั่นไส้
“ท่านองครักษ์ยกมือขึ้นหน่อยค่ะ”
คามินมองมัทนางงๆแต่ยกมือขึ้น
“ลองนับสิคะว่าวันนี้ชวนเจ้าชายกลับกี่ครั้งแล้ว”
“ผมจำไม่ได้ครับนับไม่ถูกหรอก”
“ถึงจะจำได้ก็นับไม่ถ้วนเพราะคุณพูดบ่อยมาก...ฝ่าบาททรงพระทัยเย็นมากเลยนะเพคะถ้าเป็นหม่อมฉันมีคนมาเซ้าซี้เรื่องเดิมๆแบบนี้ทั้งวันหม่อมฉันคงไล่ออกไปแล้ว”
คามินโกรธมาก ข่มใจสุดๆ
“คุณไม่ทราบหรอกว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าผมเข้าไปในบ้านผีสิงไม่ทัน คุณก็คง...”
“คงอะไร หัวใจวายตายน่ะเหรอ คุณคิดมากเกินไปรึเปล่าระวังเส้นเลือดในสมองจะแตกนะ”
เจ้าชายมาคีขัดขึ้น
“คามินเขาเป็นห่วงเราสองคนน่ะครับ คุณมัทนา เขาทำตามหน้าที่...”
มินตราแทรกขึ้น
“ตอนนี้สวนสนุกก็ใกล้ปิดแล้ว ยังไงเราก็คงต้องกลับไปตอนนี้แล้วละคะ”
เจ้ามาคีมองคามิน
“ถ้าอย่างงั้นเราขอเล่นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องสุดท้ายนะ คามิน”

บริเวณม้าหมุนยามค่ำคืนเปิดไฟสวยงามมีฟองสบู่ลอยเต็มบรรยากาศโรแมนติค เจ้าชายมาคี กับมัทนา นั่งม้าหมุนเคียงคู่กัน มาคียิ้มแย้มมีความสุข มัทนานั่งเซ็งๆ แต่พอมองไปสบตาคามินที่จ้องมาก็แกล้งยิ้มแย้มสนุกสนานกับเจ้าชายมาคี

คามินยืนอารักขา เสก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ แล้วพูดวอที่เสียบหูอยู่
“อีกประมาณสิบห้านาทีเจ้าชายคงจะเสด็จออกไปเตรียมรถให้พร้อมด้วย...”
“ตกลงเมื่อกี๊ในบ้านผีสิง เกิดเรื่องใช่มั้ยคะ” มินตราถาม
คามินหน้าเครียด
“ครับ...มีคนร้ายลอบเข้าไป”
“แล้วจับได้มั้ยคะ รู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร”
“จับไม่ได้ครับ มันหนีไปก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน”
“แย่จริงๆ เจ้าชายไม่น่าจะตามพระทัยคุณมัทเลย คงไม่ทรงทราบว่าคุณมัทไม่ได้เต็มใจจะอภิเษก แล้วคนอย่างคุณมัท ไม่เคยมีใครบังคับได้ เธอจะทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะ...โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนยังไง”
คามินมองมินตราที่พูดค่อนข้างใส่อารมณ์
“แต่ผมคิดว่าคุณมัท เธอไม่ทราบมากกว่าว่า เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มันร้ายแรงขนาดไหน”
มินตราแปลกใจ

เจ้าชายมาคียิ้มกริ่ม มองมัทนาอย่างตกหลุมรัก
“ขอบคุณนะครับที่แนะนำให้เราเดทกัน...ผมว่าเราเข้ากันได้ดีทีเดียว”
“เพิ่งทำความรู้จักกันแค่วันเดียวยังตัดสินไม่ได้หรอกเพคะ” มัทนาแย้ง
“งั้นเรามาคุยกันดีมั้ยครับว่าใครชอบหรือไม่ชอบอะไร เราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”
“แล้วแต่ฝ่าบาทเพคะ”
“ผมชอบนั่งม้าหมุน เวลานั่งเหมือนได้...” เจ้าชายมองบรรยากาศรอบๆ “อยู่ในโลกของนิทานที่เต็มไปด้วยความสวยงาม เต็มไปด้วยความสุข”
“แต่หม่อมฉันไม่ชอบเพคะ...เพราะมันทำให้คนมีความหวังกับโลกที่เพ้อฝันมากกว่าโลกแห่งความจริง”
“อะไรที่ทำให้คุณคิดอย่างนั้น”
“ม้าขาวของเจ้าชายรูปงามที่ผู้หญิงหวังว่าสักวันจะได้เจอ รถฟักทองที่ทำให้ผู้หญิงที่เข้าไปนั่งคิดว่าสักวันตัวเองจะได้กลายเป็นเจ้าหญิง”
เจ้าชายมาคียิ้มให้มัทนาอย่างอ่อนโยน
“ผมยอมรับนะครับว่าที่คุณพูดมาทั้งหมดมันอยู่ในโลกของความฝัน แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นจริงไม่ได้”

มัทนามองอย่างแปลกใจ เจ้าชายมาคีมองมัทนาอย่างอ่อนโยนแล้วจับมือของเธอ

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

มินตราอยู่ที่ข้างม้าหมุนถามคามินอย่างสงสัย

“คุณบอกว่า คุณมัทตกอยู่สถานการณ์ร้ายแรงเหรอคะ หมายความว่ายังไง”
“ผมคงใช้คำรุนแรงเกินไป ผมหมายความถึง อยู่ในสภาวะที่ต้องระวังตัว เพราะเราไม่รู้ว่าคนร้ายต้องการทำร้ายคุณธรรมรัตน์หรือคุณมัทกันแน่”
มินตราสงสัย ส่วนคามินไม่อยากให้พวกมัทนารู้ว่า มีพวกรายามาทำร้าย

บนม้าหมุน เจ้าชายมาคีคุยกับมัทนาอย่างมีความสุข...
“อย่างคุณกับผมตอนนี้ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ผมเป็นเจ้าชายจริงๆและคุณก็กำลังจะแต่งงานกับผมและได้เป็นเจ้าหญิงจริงๆ...ผมรักคุณ”
มัทนามองอย่างตกใจ เจ้าชายมาคีคิดว่าเธออึ้งเคลิ้มไปกับคำว่ารักยื่นหน้าเข้าไปจะจูบ มัทนามองอย่างตกใจแล้วต่อยหน้าอย่างแรง เจ้าชายมาคีตกม้าดังพลั่กร้องเจ็บปวด
“โอ้ย”
คามินกับมินตราหันไป ตำรวจนอกเครื่องแบบก็กรูเข้ามา คามินรีบเข้าไปดูเจ้าชาย
“ฝ่าบาท...” คามินหันไปดุมัทนา “คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเจ้าชายรัชทายาท”
“ฉันมีสิทธิ์ทำร้ายทุกคนที่ไม่ให้เกียรติฉัน”
มัทนาโดดลงจากม้าแล้วเดินออกไป
“กลับกันเถอะค่ะ พี่มิน”
มัทนาเดินออกไป มินตราละล้าละลังต้องตาม เจ้าชายมาคีรีบเรียก
“คุณมัทนา”
คามินดุ
“ทรงทำอะไรคุณมัทพะยะค่ะ”
มาคีจ๋อย คามินกลุ้ม

สุเทษนั่งเครียดอยู่ในบ้าน อัคนีโวยวาย
“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา ผู้หญิงคนเดียวยังไม่มีปัญญาจัดการ กระจอกที่สุด”
สุเทษมองหน้า อสิตรีบปรามลูก
“อัคนี เงียบก่อนได้มั้ยลูก ใจเย็นๆ”
“ไม่...ผมเย็นไม่ไหวแล้ว แฟนผมอุตส่าห์ขอร้องให้ช่วยแต่ก็ช่วยเขาไม่ได้ แล้วผมจะไปสู้หน้าเขาได้ยังไง”
“คนที่กระจอก คือพวกนายต่างหาก...ถ้าไม่มีลูกน้อง สวะๆอย่างพวกนายไปเป็นตัวถ่วง ฉันก็เอาชีวิตนังมัทนาได้แล้ว”
อัคนีชะงัก
“อะไรนะ แกจะเอาชีวิตคุณมัท”
อสิตรีบแก้
“ท่านสุเทษหมายความว่าเอาตัวหนูมัทนามาให้ลูกน่ะ คือ...ภาษาไทยท่านไม่แข็งแรง...ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ไอ้ลูกน้องผมมันไม่เอาไหนจริงๆ เดี๋ยวผมจะยิงมันทิ้งให้หมดเลย แล้วหามือดีดีมาแทน”
ยักษ์ ดำ ดอนสะดุ้ง อสิตรีบเอาใจสุเทษ
“เชิญไปพักผ่อน แช่น้ำอุ่นให้สบายใจก่อน ไอ้ยักษ์ แกจัดสาวๆไปรับใช้ท่านสุเทษที”
“ไม่ต้อง...”
สุเทษเดินออกไป
“ดี...ไปเลยไป โธ่ ทำเป็นเท่ ท่าดีทีเหลว”
อสิตรีบถามยักษ์
“นั่นซิ ถึงพวกแกจะไม่เอาไหน แต่สุเทษเป็นนักรบมือดีที่สุดในรายา ทำไมทำงานพลาดได้...เล่ามาซิ ไอ้ยักษ์”

สุเทษอยู่ในสำนักงานอสิตสไกป์ คุยกับนายพลวิฑูร
“ไอ้คามินมันเข้ามาขวางไว้ครับ”
นายพลวิฑูรนั่งในห้องทำงานขึ้นอยู่ที่หน้าจอไอแพดสุเทษ
“แล้วแกไม่มีปัญญาเอาชนะมัน สู้กันกี่ครั้งก็เอาชนะมันไม่ได้แสดงว่าฝีมือแกไม่เคยพัฒนาขึ้นเลย”
สุเทษมองนายพลวิฑูรอย่างรู้สึกผิด
“ผมจะพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้ครับ”
นายพลวิฑูรตะคอกใส่ สุเทษอย่างโมโห
“ไม่มีเวลาสำหรับความพยายามของแกอีกแล้ว...แกต้องทำให้มันตายก่อนที่มันจะมาเหยียบที่นี่ ได้ยินมั้ย”
นายพลวิฑูรกดดับหน้าจอไป

เจ้าชายมาคีมุมปากเขียวช้ำนั่งบนโซฟา ชวาลเอาน้ำแข็งประคบมุมปากให้ โภคินกับคามินยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“ยังไม่ทันอภิเษกก็ทรงโดนซ้อมซะแล้ว...ว่าที่พระคู่หมั้นรักความรุนแรงแบบนี้ขืนอภิเษกไปถ้าฝ่าบาททำอะไรไม่ถูกใจ...” ชวาลมองเป้าเจ้าชายมาคี “ต้องน่วมแน่ๆ อย่าอภิเษกเลยพะยะค่ะ”
“ในชีวิตเราไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนกล้าขัดใจเรา กล้าเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเราเท่าคุณมัทเลย เราชอบผู้หญิงแบบนี้...อยู่ด้วยแล้วชีวิตมีรสชาติ”
คามินมองเจ้าชายมาคีอย่างตกใจ
“ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าการทำแบบนี้กับผู้หญิงไทย เป็นการหมิ่นเกียรติอย่างรุนแรงทำไมฝ่าบาทยังทรงทำพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีลุกขึ้นปัดกางเกงยิ้มขำแก้ตัว
“บรรยากาศโรแมนติค มีผู้หญิงสวยๆอยู่ตรงหน้า เราจะอดใจไหวได้ยังไง”
คามินมองเจ้าชายอย่างหนักใจ เจ้าชายมาคียิ้มชื่นชมมัทนา
“แต่เราว่าเราคิดถูกนะที่เราทำแบบนี้...อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าคุณมัทเป็นคนไว้ตัวทำให้เรารู้ว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์คู่ควรกับราชินีของรายา”
โภคินกับชวาลยิ้มดีใจ แต่คามินก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“ชอบผู้หญิงโหดๆ ทรงซาดิสต์เหรอพะยะค่ะ” ชวาลสงสัย
“อือ...เตะคนแล้วมีความสุขมาก”
เจ้าชายมาคีทำท่าจะเตะ ชวาลรีบหลบจนล้มกลิ้งลงไปกับพื้น
“อู้ย...”
เจ้าชายมาคี โภคิน คามิน มองชวาลยิ้มขำโภคินหันมาหาเจ้าชาย
“ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาททรงพร้อมที่จะพาคุณมัทนาไปอภิเษกที่รายาแล้วใช่มั้ยพะยะค่ะ”
“ทันทีเลย ท่านโภคิน เราอยากจะแต่งงานกับมัทนาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ”
เจ้าชายมาคีเดินมาตบไหล่คามิน
“ถ้าไม่มาตามที่นายบอกเราคงต้องเสียใจไปทั้งชาติที่ไม่ได้เจอเนื้อคู่...ขอบใจนายมาก”
“เป็นพระกรุณาพะยะค่ะ” คามินโค้งรับ

คามินกับโภคินเดินมาด้วยกันที่ทางเดินหน้าห้องพัก
“ท่านแน่ใจนะว่า คนร้ายเป็นคนรายา” โภคินถามอย่างหนักใจ
“ครับ...”
“นึกไม่ถึงว่า ท่านนายพลวิฑูรจะกล้าส่งคนมาทำร้ายคุณมัทนาที่นี่ แสดงว่าเขาต้องมีพรรคพวกอยู่ในเมืองไทย”
“ที่นี่ไม่ใช่ถื่นของเรา การอารักขาทำได้ยากมากเราไม่มีทางรู้เลยว่า คนที่ถูกส่งมามีคนร้ายปะปนอยู่หรือเปล่า”
“แล้วจะเอายังไงกันดี”

“เราต้องรีบพาคุณมัทนากลับรายา” คามินบอกอย่างหนักแน่น

ห้องสมุดรายา...วันใหม่...หฤทัยเดินหาหนังสือของประเทศไทยตามชั้นต่างๆ
“ทำไมถึงไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยเลยนะ”
หฤทัยหันไปเจอเข้ากับสินธรที่หอบหนังสือปกแข็งที่เป็นเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ต่างๆของเมืองไทยเป็นตั้ง
“ท่านสินธร”
“สวัสดีครับ ไม่นึกว่าจะได้พบคุณหฤทัยที่นี่”
“ทำไมเหรอ หน้าอย่างฉันเข้าห้องสมุดแล้วแปลกรึไง นายคงคิดว่าฉันโง่เหมือนคนอื่นๆ”
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ เพียงแต่ผมมาที่นี่บ่อยๆ แต่ไม่เคยพบคุณก็เลยแปลกใจ”
“นายชอบอ่านหนังสือเหรอ”
“ไม่ชอบหรอกครับ”
หฤทัยแปลกใจ
“อ้าว...”
“ท่านคามินเป็นคนอ่านครับ ผมก็แค่มาค้นหนังสือที่ท่านต้องการให้”
หฤทัยมองเห็นเล่มบนรีบหยิบมาดู
“นั่นมันหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยนี่”
“ครับ แต่นี่ไม่ใช่สำหรับท่านคามิน แต่เป็นเจ้าชายมาคี ถ้าคุณหฤทัยอยากอ่านเล่มนั้น ก็เอาไปได้เลยประเทศไทยเป็นประเทศที่สวยงาม น่าศึกษามากมีภูเขา ทะเล แม่น้ำ มีธรรมชาติครบทุกแบบ แล้วคนไทยก็ยิ้มแย้มแจ่มใส จนเรียกกันว่าเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม”
หฤทัยหุบยิ้ม
“งั้นผู้หญิงไทยก็คงยิ้มเก่งมาก...ต่อไปนี้ฉันจะยิ้มตลอดเวลาเลยจะได้เอาชนะว่าที่พระคู่หมั้นของเจ้าพี่มาคีได้”
“ผมไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้นนะครับ”
“แล้วเรื่องไหนล่ะ หรือว่านายรู้เคล็ดลับอะไรของผู้หญิงไทยบอกฉันบ้างซิ”
สินธรถอนใจ
“ผมไม่ทราบหรอกครับ ผมว่าเรื่องแบบนี้ต้องสัมผัสเอง ไม่ใช่ฟังคนอื่นพูด เชื่อเถอะครับว่าความดีเราสัมผัสได้ ด้วยใจ”
สินธรเดินแยกไป

วังรายามุมหนึ่ง...หฤทัยนั่งดูรูปวิวสวยงามของเมืองไทย
“ทะเลที่เมืองไทยสวยจัง”
เทวีเดินมามา เห็นหฤทัยอ่านหนังสืออยู่
“หฤทัย”
หฤทัยตกใจรีบเอาหนังสือซ่อนข้างหลัง เทวีตะคอกถามอย่างไม่พอใจ
“ซ่อนอะไรไว้”
หฤทัยมองเทวีอย่างหวาดกลัว เทวีกระชากแขนหฤทัยเห็นว่าถือหนังสืออยู่ก็กระชากมาดู
“ประเทศไทย”
“ฤทัยอยากรู้จักเมืองไทยเลยเอามาอ่านดูน่ะค่ะ”
“เมืองของศัตรูแกจะอยากรู้จักไปทำไม”
“แต่ถ้าเราไม่รู้จักศัตรู เราจะสู้กับเขาได้ยังไงละคะ”
“นี่ยอกย้อนฉันเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“ฟังนะสิ่งที่แกควรทำที่สุดตอนนี้คือคิด...” เทวีเอานิ้วจิ้มหน้าผากหฤทัยอย่างแรง “สมองเท่าเม็ดถั่วของแกเนี่ยคิดเข้าไปว่าต้องทำยังไงถึงจะเอาชนะนังผู้หญิงไทยที่ขึ้นชื่อเรื่อง ยั่วผู้ชายอย่างนังมัทนาได้...”
เทวีขว้างหนังสือทิ้ง หฤทัยตกใจ
“คุณแม่เคยไปเมืองไทยเหรอคะ ถึงรู้ว่าผู้หญิงไทยเขาเป็นอย่างงั้น”
“ไม่ต้องไปก็รู้ ว่าผู้หญิงไทยชื่อเสียงกระฉ่อนขนาดไหนเพราะฉะนั้น ถ้าแกมัวงุ่มง่าม แกก็คงเป็นได้แค่สนมหางแถวของเจ้าชาย”
เทวีเดินออกไป หฤทัยเก็บหนังสือที่อยู่บนพื้นอย่างเซ็งๆ

ราชาอินทราเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน พระนางสาวิตรีมองอย่างโมโห
“ทำไมเพคะ...ทำไมเสด็จพี่ถึงอยากได้นังผู้หญิงต่างชาติ ต่างภาษาคนนั้นมาเป็นสะใภ้นัก”
ราชาอินทราเหม่อมองไปทางหนึ่งคิดถึงบางคน
“ผู้หญิงไทยมีความอ่อนโยน อ่อนน้อม ถ่อมตนและเคร่งครัดประเพณี ไม่แพ้ชาวรายา” ราชาอินทราหันมาพูดกับพระนางสาวิตรี “มัทนาฉลาด มีความรู้ เราแน่ใจว่า ผู้หญิงคนนี้จะทำให้มาคีมีความสุขได้”
พระนางสาวิตรีประชด
“บรรยายสรรพคุณหญิงไทยได้ละเอียดจนเห็นภาพขนาดนี้...เคยมีชายาเป็นหญิงไทยรึไงเพคะ”
ราชาอินทราหยิบกล่องโบราณสวยงามออกมาจากลิ้นชัก เปิดกล่องหยิบรูปสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ถ่ายกับธรรมรัตน์และปรารถนาออกมา ในรูปธรรมรัตน์กับปรารถนายิ้ม ราชาอินทรามองปรารถนายิ้มอ่อนโยนด้วยความรัก...ราชาอินทรา มองรูปนั้นด้วยสายตาอ่อนโยนคิดถึงความหลัง

ในอดีต...เจ้าชายอินทราในวัย 19 ปี ใส่ชุดนักศึกษานั่งอยู่ด้านหลังรถหรูที่วิ่งเข้ามาในซอยข้างมหาวิทยาลัย
“จอดตรงนี้ล่ะ เราจะเดินไปเอง”
องครักษ์พระยายามแย้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า...”
“เราอยากเป็นคนธรรมดาสักช่วงหนึ่งของชีวิต พวกเจ้ากลับกันไปได้แล้ว”
“แต่ว่าฝ่าบาท...”
“อ้อ...และก็หลังเลิกเรียนเราจะกลับรถเมล์เองไม่ต้องมารับ”
“ฝ่าบาท” องครักษ์ตกใจ
“กลับกันไปได้แล้ว...นี่คือคำสั่ง”
รถจอด เจ้าชายอินทราเดินลงมา รถเลื่อนออกไป

เจ้าชายอินทราเดินไปสักพัก พอเลี้ยวมุม ก็ถูกโจรขี้ยาพรวดออกมาเอามีดจี้
“มีเงินเท่าไหร่เอามาให้หมด”
“ใจเย็นๆ เราไม่มีเงินหรอก” เจ้าชายอินทรายกมือ
“อยากตายเหรอวะ”
คนร้ายค้นตัว ไม่เจอเงิน แต่เห็นกุลฑลสองข้าง
“ถอดตุ้มหูนั่นออกมา”
เจ้าชายอินทราจำต้องถอดข้างซ้ายออกยื่นให้
“เอาอีกข้างด้วยเร็ว”
“ไม่ เราให้เจ้าไม่ได้” เจ้าชายอินทราเปลี่ยนใจ
โจรโมโหเงื้อมีดจะแทง แต่ถูกของแข็งหวดเข้าก้านคอล้มลง หันไปมองคนฟาดมึนๆ
“นังบ้า”
ปรารถนากำร่ม ท่าทางเอาเรื่อง โจรจะลุก แต่ปรารถนาตีกระหน่ำมีดหลุดมือ โจรล้มลุกคลุกคลานหนีไป...เจ้าชายอินทรานั่งตะลึงอึ้ง ประทับใจ แต่นึกได้
“กุณฑล ผมต้องเอากุณฑลคืน”
เจ้าชายอินทราวิ่งตามโจรไปที่ซอกตึก โจรคนเดิมหันมาหา มีอีกสองคนเดินเข้ามา เจ้าชายอินทราชะงัก โจรเดินย่างสามขุมเข้าหา
“หนีเร็ว”

ปรารถนาที่ตามมา ฉุดเจ้าชายอินทราวิ่ง จะข้ามถนน รถยนตร์ธรรมรัตน์วิ่งมาจอดเอี๊ยด ธรรมรัตน์ลงมา
“เฮ้ย อะไรกันวะ”
“ธรรม ช่วยด้วย ไอ้พวกนี้มันเป็นโจร”
ธรรมรัตน์ชักปืนเด็กเล่นจากเก๊ะมาขู่
“หยุดเลย พวกมึง เดี๋ยวยิงไส้แตก”
โจรชะงัก เจ้าชายอินทรารีบบอก
“คืนของเรามาเดี๋ยวนี้”
โจรขว้างต่างหูลงพื้นแล้ววิ่งหนีไป ธรรมรัตน์ตะโกนไล่หลัง
“เฮ้ย...อย่าหนีนะโว้ย”
“ช่างมันเถอะพี่ธรรม” ปรารถารีบบอก
“ขู่ไปอย่างงั้น เราไม่ตามไปให้มันกระทืบหรอก ปืนนี่มันปืนเด็กเล่น”
เจ้าชายอินทราเก็บต่างหูขึ้นมาดูร่องรอย
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ปรารถนามองเจ้าชายอินทราอย่างเป็นห่วง
“ชอกช้ำนิดหน่อยครับ”
ปรารถนาขำออกมา ธรรมรัตน์แก้ให้
“ฟกช้ำต่างหาก นายไม่ใช่คนไทยเหรอ”
“เอ่อ...ครับ ขอบคุณ คุณสองคนมากที่ช่วยชีวิตผมไว้คุณกล้าหาญมาก”
“พลเมืองดีต้องไม่จำนนกับพวกคนชั่วๆค่ะ ยิ่งคุณมาจากบ้านเมืองอื่น ฉันยิ่งยอมไม่ได้ที่จะให้คนไทยเลวๆมาทำร้ายคุณ”
เจ้าชายอินทรามองปรารถนาอย่างประทับใจอย่างมาก
“แล้วคุณมาจากประเทศอะไรคะ”
“รายาครับ”
ธรรมรัตน์ทวนคำ
“รายา...ถึงว่าหน้าตาไปทางลูกครึ่ง แต่ทำไมพูดไทยแจ๋วเชียว”
“เอ่อ...ผมต้องเรียนภาษาอย่างน้อยเก้าภาษาครับ ผมเลือกเรียนภาษาไทยด้วยเลยพูดได้แต่บางคำผมก็ไม่ค่อยทราบครับ”
ปรารถนาอึ้งๆ
“โห...ทำไมคุณถึงต้องเรียนภาษามากมายขนาดนั้นด้วยคะ”
ธรรมรัตน์ดูนาฬิกา
“เฮ้ย...ได้เวลาต้องเข้าเรียนแล้ว ไปเถอะ ปุ้ม...”
“ปุ้ม...” เจ้าชายอินทราพึมพำ
“ฉันชื่อปรารถนาค่ะ ปุ้มเป็นชื่อเล่น” ปรารถนายิ้ม
“ผม ชื่อธรรมรัตน์ เรียกธรรมเฉยๆก็ได้ ผมกับปุ้มเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”
“ผมชื่อ อินทราเป็นเกียรติที่ได้พบเพื่อนใหม่ทั้งสองท่าน”
“คุณเรียนวิชาอะไร ตึกไหน ผมไปส่ง”
“ปรัชญาตะวันออกครับ”
ธรรมรัตน์มองหน้ากับปรารถนา
“วิชาเดียวกับเราเลย” ปารถนายิ้มๆ
“เป็นพรหมลิขิตจริงๆ” เจ้าชายอินทราดีใจ
“แต่ผมว่าพระพรหมท่านน่าจะลิขิตให้ตื่นเต้นน้อย กว่านี้หน่อยท่าจะดีนะ...ไปขึ้นรถ”
ธรรมรัตน์พูดขำๆเดินนำไป เจ้าชายอินทรารีบเดินไปเปิดประตูให้ปรารถนา แต่เธอก็ยื่นมือเปิด มือจับกันไม่ตั้งใจ ชะงัก
“ขอโทษครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ปรารถนายิ้ม

ปัจจุบัน...ราชาอินทรามองรูปปรารถนาอย่างคิดถึง
“คุณคือคำตอบว่าทำไมผมถึงอยากให้มาคีแต่งงานกับผู้หญิงไทย”

ในห้องพระ...มัทนาเข้ามา ท่านหญิงมาณวิกาซึ่งนั่งต่อหน้าพระอยู่ก่อนแล้ว พูดโดยไม่หันไปมอง
“มานั่งตรงนี้”
มัทนาเข้าไปนั่งข้างแม่
“ถ้า แม่จะลงโทษมัทที่มัททำร้ายเจ้าชายเมื่อคืน ก็ช่วยขังมัทไว้ในนี้สักปีสองปีเลยนะคะ”
“อย่ามาประชดแม่ มัททำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำควรหรือเปล่า”
“คนที่ทำผิดคือเจ้าชายต่างหาก...”
“ทรงโทรมาขอโทษแม่แล้ว...”
มัทนาอึ้งไป แต่ก็ยังเถียง
“ทรงล่วงเกินมัท แค่ขอโทษก็หายกันเหรอคะ”
“แล้วมัทคิดว่าเจ้าชายควรทรงทำอะไรมากกว่านั้นล่ะ ลองบอกแม่มาซิ”
คำถามนั้นทำให้มัทนาอึ้งไป

มินตราเปิดประตูห้องตนเองเข้ามาเห็นชุดที่มัทนาต้องใส่ไปรายาวางอยู่ก็มองอย่างตกใจ เธอรีบเข้าไปจับ
“ชุดที่คุณมัทต้องใส่ไปรายา”
ทันใดนั้นเสียงท่านหญิงมาณวิกาดังขึ้น
“ฉันให้อนงค์เอาเข้ามาไว้เอง”
มินตราหันไปเห็นท่านหญิงมาณวิกายืนอยู่
“เธอจะต้องใส่ชุดนี้ไปรายาในฐานะ พระคู่หมั้นของเจ้าชายมาคี”
มินตราไม่อยากเชื่อ
“จริงเหรอคะคุณแม่”
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้า
“ฉันทนเห็นยัยมัททุกข์ไม่ไหว เลยตัดสินใจให้เธอไปเป็นราชินีของรายาแทนเธอเสียสละเพื่อยัยมัทได้มั้ย”
มินตรายิ้มดีใจ

มินตราใส่ชุดรายา ใส่หมวก เดินออกมาจากบ้านอย่างสง่างาม มัทนา คามิน โภคิน เหมันต์ ยืนเข้าแถวอยู่ถวายความเคารพแบบรายา มินตรามองทุกคนยิ้มภูมิใจ เจ้าชายมาคีที่ยืนอยู่กับธรรมรัตน์ ท่านหญิงมาณวิกาเดินมาหายื่นมือให้ มินตรายื่นมือไปจับมือเจ้าชาย เจ้าชายมาคีจูบมือมินตราอย่างอ่อนโยน
มินตรายิ้มมีความสุข แล้วต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงปึงปังมาจากทางหนึ่ง มินตราหันไปมอง

มินตราใส่ชุดเสื้อคลุม นั่งเหม่ออยู่หน้ากระจก สะดุ้งตื่นจากภวังค์อย่างตกใจได้ยินเสียงอนงค์เคาะประตูตะโกนเรียก
“คุณมินคะ คุณมิน”
มินตราลุกพรวดมองรอบๆอย่างตกใจ
“คุณมินคะเปิดประตูหน่อยค่ะ”
มินตรารีบลงจากเตียงไปเปิดประตูเห็นอนงค์หิ้วชุดเหมือนในความฝันยืนหน้าห้อง
“ท่านหญิงให้เอาชุดมาให้บอกว่าวันนี้ให้คุณมินใส่ชุดนี้ค่ะ”
“แต่นี่มันชุดของคุณมัทนี่”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
อนงค์เดินออกไป มินตรารีบปิดประตูมองชุดยิ้มดีใจ

“หรือเรื่องที่เราคิดจะกลายเป็นความจริง”

ท่านหญิงมาณวิกานั่งหน้านิ่งในห้องรับแขกห่วงมัทนาที่ไปรายาแต่ไม่รู้จะทำยังไง ธรรมรัตน์เดินเข้ามา
“ยัยมัทไปแล้ว”
“เราตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยคะ”
“ถูกที่สุดในชีวิตเรา...อย่างน้อยการไปรายาก็ทำให้ยัยมัทรอดพ้นจากคนที่จ้องทำร้ายผม”
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้าเครียดๆ มินตราใส่ชุดรายาเดินเข้ามา ท่านหญิงมาณวิกากับธรรมรัตน์หันไปมอง
“เธอใส่ชุดนี้แล้วสวยมาก” ท่านหญิงมาณวิกาชม
“ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นราชินีของรายา” ธรรมรัตน์ยิ้มพอใจ
มินตราที่เข้าใจไปเองว่าท่านหญิงมาณวิกาจะให้ไปแต่งงานแทนมัทนายิ้มดีใจ

มินตรา ท่านหญิงมาณวิกา ธรรมรัตน์ เดินออกมาจากบ้านเห็น รถตู้จอดอยู่ ฟิล์มมืด มินตราหันมาถาม
“แล้วคุณมัทละคะ”
“มัทนายังไม่รู้เรื่องนี้ ฉันจะอธิบายให้เขาฟังอีกที” ธรรมรัตน์บอก
มินตราดีใจจนเนื้อเต้นอดที่จะพูดไม่ได้
“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากนะคะ ที่ไว้ใจมอบภารกิจยิ่งใหญ่ให้มินรับผิดชอบ”
ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกาและเหมันต์มองมินตราอย่างชื่นชม ธรรมรัตน์พูดกับมินตราอย่างรู้สึกผิด
“ไม่โกรธใช่มั้ยที่พ่อกับแม่ทำแบบนี้”
“ไม่เลยค่ะ...รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้เสียสละเพื่อคุณมัท”
ท่านหญิงมาณวิกาจับมือ
“ขอบใจนะมินตรา ฉันจะไม่ลืมความเสียสละของเธอในครั้งนี้เลย”
มินตราไหว้ทั้งคู่ ประตูรถเลื่อนออก เห็นขาของเหมันต์ในชุดสูท มินตรานึกว่าเป็นเจ้าชาย ถอนสายบัว แล้วขึ้นนั่งคู่ก้มหน้าเหนียมอาย ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกา ไปขึ้นรถอีกคันที่มีคนขับเป็นตำรวจเหมือนกัน ขับตามไป มินตรายังคิดว่าเหมันต์เป็นเจ้าชายมาคี
“ขอบใจนะมินที่เสียสละแทนคุณมัท”
มินตรางง หันไปเห็นเหมันต์แต่งเลียนแบบเจ้าชายนั่งข้างๆ
“เหมันต์”
เหมันต์มองมินตราอย่างชื่นชม มินตรายังงงไม่หาย

มัทนาใส่ชุดและใส่หมวกเหมือนมินตรานั่งรถมากับคามิน เธอนั่งอยู่เบาะหลังมองคามินที่ขับรถอยู่หน้าเครียด คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตอนที่เธอคุยกับแม่ในห้องพระ
“แล้วมัทคิดว่าเจ้าชายควรทรงทำอะไรมากกว่านั้นล่ะ ลองบอกแม่มาซิ”
“ยกเลิกการอภิเษก ปล่อยมัทไป เพราะยังไงก็ทรงรู้แล้วว่ามัทไม่เหมาะกับการเป็นราชินีของรายา ที่สำคัญมัทไม่ได้รักเจ้าชาย”
“ถึงตอนนี้ แม่คิดว่าเราคงไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องนี้แล้ว...แม่เรียกมัทมาเพื่อกราบลา...ท่านตาและท่านยาย”
“กราบลา” มัทนาชะงัก
“เราจะไปรายากันวันนี้”
“วันนี้” มัทนาตะลึง

ปัจจุบัน...มัทนาถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ทำไมไม่เห็น พ่อแม่กับพี่มินตามมาเลยล่ะ”
“เราจะไปเจอกันที่สนามบินครับ” คามินตอบเรียบนิ่ง
“แต่นี่ไม่ใช่ทางไปสนามบิน”
รถแล่นมาถึงโกดัง ประตูโกดังเปิดออก คามินขับรถวิ่งเข้าไปจอดคู่กับรถอีกคันที่จอดในโกดัง มัทนามองแปลกใจ
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“เปลี่ยนรถครับ”
คามินลงจากรถ มัทนาลงตามถามอย่างร้อนใจ
“ทำไมต้องเปลี่ยน”
“คุณกำลังจะไปเป็นราชินีของรายา คุณไม่ใช่แค่มัทนา เกียรติกำจรคนเดิมอีกต่อไปแล้วเราเลยต้อง
เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของคุณมากกว่าเดิมครับ เชิญครับ”

รถองครักษ์คันหนึ่ง ขับนำหน้า รถตู้ของมัทนาอยู่กลาง มีรถของธรรมรัตน์ ปิดท้ายอีกคัน ขับมาบนถนน ที่มุมหนึ่งของถนนมีรถจอดอยู่ 2 คัน สุเทษยืนใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูขบวนรถของมัทนา ลูกน้อง 5 คนใส่ชุดดำ ใส่โม่งปิดหน้า ยืนอยู่ใกล้ๆ สุเทษบอกลูกน้อง
“พวกมันมากันแล้ว...รอฟังคำสั่งจากฉันคนเดียวเท่านั้นอย่าทำอะไรโดยพละการเด็ดขาด”
“ครับ”
“แล้วจำไว้นะว่าเป้าหมายของภารกิจนี้คือผู้หญิงที่ชื่อมัทนา ถ้าใครทำเจ้าชายมาคีบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว...ตาย”
“ครับ”
สุเทษมองไปทางขบวนรถ เตรียมเล่นงาน

มินตรานั่งอยู่ในรถอย่างโมโห
“หมายความว่า คุณท่านให้ฉันกับเธอปลอมเป็นคุณมัทกับเจ้าชายเพื่อล่อเป้าคนร้ายอย่างงั้นเหรอ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็แค่กันเอาไว้เพื่อความปลอดภัย คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”
เหมันต์ยังไม่ทันตอบรถของสุเทษและลูกน้องวิ่งมาปาดหน้าจนรถองครักษ์ที่นำมาต้องเบรกกะทันหัน เหมันต์ร้องตกใจ
“เฮ้ย”
สุเทษและลูกน้องใส่ไอ้โม่งปิดหน้าวิ่งกรูลงมาจากรถจะวิ่งไปที่รถตู้ องครักษ์หลายคนวิ่งกรูลงจากรถทั้งสองคัน องครักษ์ตะโกนลั่น
“คุ้มกันคุณมัทนา”
องครักษ์ส่วนหนึ่งวิ่งไปล้อมรถตู้ อีกคนหนึ่งวิ่งไปขวาง สุเทษใช้มวยรายาต่อสู้กับองครักษ์คนนั้น ส่วนองครักษ์อีกสองคนจะวิ่งมาช่วย แต่ลูกน้องสุเทษใช้ปืนยิงใส่นอนแน่นิ่งไป
ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกา มองเหตุการณ์อย่างตกใจ สุเทษถีบองครักษ์กระเด็นไปแล้วใช้ปืนยิงซ้ำจนแน่นิ่งไปอีกคน องครักษ์ที่ล้อมรถตู้ชักปืนจะยิง สุเทษใช้มวยรายาเข้าจู่โจมองครักษ์คนนั้นอย่างรวดเร็วแล้วยิงองครักษ์กระเด็นไปอีกคน ลูกน้องวิ่งเข้ามารุมยิงองครักษ์คนอื่นที่ล้อมรถตู้ตายหมด สุเทษวิ่งมาที่รถตู้ฝั่งที่มินตรานั่งกระชากประตูแต่ประตูล็อค สุเทษใช้ปืนยิงไปที่ประตูรถแล้วกระชากประตูเปิดออกกระชากมินตราลงมาจากรถ
“อ๊าย”
ธรรมรัตน์กับเหมันต์รีบลงจากรถเข้ามาช่วยมินตรา
“ปล่อยลูกฉันเดี๋ยวนี้นะ”
สุเทษไม่สนเอาปืนจ่อไปที่มินตรา เหมันต์โดดถีบอย่างแรง สุเทษเซไปมือหลุดออกจากมินตรา เธอวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว สุเทษจะวิ่งตามไป เหมันต์วิ่งมาขวาง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...ฉันเจ้าชายมาคีขอสั่งให้แกกลับไปเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่กลับไปแกจะมีโทษประหารชีวิต”
สุเทษมองเหมันต์ยิ้มเยาะ
“แกน่ะเหรอเจ้าชายมาคี...ไอ้โกหก”
สุเทษหันปืนมาจะยิง เหมันต์ตกใจรีบโดดหลบกระสุนไปได้อย่างฉิวเฉียด ลูกน้องสุเทษคนหนึ่งวิ่งตามมา
“มันไม่ใช่เจ้าชายมาคี จัดการมัน” สุเทษตะโกนบอกลูกน้อง

ลูกน้องจ่อปืนไปที่เหมันต์ ธรรมรัตน์วิ่งเข้ามาแย่งปืนจากลูกน้อง เหมันต์เข้ามาช่วย ต่างคนต่างยืดยุดกัน ท่านหญิงมาณวิกาที่นั่งบนรถมองอย่างหวาดกลัว

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

มินตราวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว เธอหกล้มร้องเจ็บปวดแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งต่อ สุเทษวิ่งตามมากระชากอย่างแรง
 
“แกหนีฉันไม่พ้นหรอก”
มินตรารีบถอดหมวกอย่างหวาดกลัว
“ฉันไม่ใช่คุณมัทนา ฉันชื่อมินตราถูกบังคับให้ปลอมตัวมา”
สุเทษมองมินตราอย่างโกรธจัดที่โดนหลอก
“โธ่โว้ย”
สุเทษเอาปืนจ่อหัวมินตราอย่างโมโห มินตรายกมือไหว้อย่างหวาดกลัว
“ฉันไม่ใช่คุณมัทนาจริงๆอย่าทำอะไรฉันเลย”
สุเทษไม่สนจะเหนี่ยวไก แต่ก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไกก็มีเสียงปืนดังขึ้นกระสุนเข้าที่แขน สุเทษหันมองเห็นองครักษ์คนหนึ่งที่เลือดท่วมตัวใช้รถเป็นเกราะกำบังยิงเขาอยู่ สุเทษรีบยิงต่อสู้ เสียงหวอรถตำรวจดังมาแต่ไกล เขาหันไปมองอย่างตกใจรีบวิ่งหนีไป มินตราเข่าอ่อนทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงน้ำตาไหลอย่างกลัวสุดขั้วหัวใจ มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดตามด้วยเสียงตะโกนของท่านหญิงมาณวิกา
“คุณธรรมรัตน์”
มินตราหันไปมองเห็นธรรมรัตน์นอนเลือดเต็มเสื้ออยู่บนพื้น ลูกน้องมองรถตำรวจแล้ววิ่งหนีไป ท่านหญิงมาณวิกาวิ่งลงมาจากรถประคองธรรมรัตน์ร้องไห้อย่างตกใจ
“คุณธรรมรัตน์...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
มินตราที่น้ำตายังไหลพรากมองธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกาด้วยความเคียดแค้น

สนามบินขนาดเล็กมีเครื่องบินส่วนตัวจอดอยู่...เจ้าชายมาคียืนชะเง้อรอมัทนาอย่างกระวนกระวายอยู่ในห้องวีไอพี
“เปลี่ยนรถเป็นชั่วโมงแล้วทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
โภคินมองอย่างเข้าใจ
“กรุงเทพรถติด คาดเดาเวลาในการเดินทางไม่ได้พระทัยเย็นๆก่อนเถอะพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีเดินมานั่งอย่างร้อนใจ ชวาลที่ยืนอยู่มองยิ้มขำแล้วเข้ามาหา
“ขอประทานอนุญาตพะยะค่ะ”
ชวาลกางนิ้วชี้นิ้วก้อยวัดคอ เจ้าชายมาคีผงะ
“เจ้าทำอะไรของเจ้า”
“ฝ่าบาทชะเง้อพระศอรอคุณมัทเป็นชั่วโมงๆ แล้ว กระหม่อมเลย อยากรู้ว่าพระศอของฝ่าบาทยาวขึ้นรึเปล่าน่ะพะยะค่ะ”
ชวาลพูดแล้วก็รีบกระโดดห่างออกไป คามินพามัทนาเดินเข้ามา ชวาลมองตะลึงความสวย เจ้าชายมาคียิ้มดีใจรีบลุกไปต้อนรับ ยื่นมือเหมือนจะจับตัว มัทนาถอยห่าง ถอนสายบัว เจ้าชายมาคีชะงัก
“คุณมัท...ทำไมมาช้าจังรถติดเหรอครับ”
“นิดหน่อยค่ะ...พ่อแม่หม่อมฉันกับพี่มินละเพคะ”
เจ้าชายมาคี คามิน โภคิน ชวาล มองมัทนาอย่างรู้สึกผิด
“พวกเขาจะตามไปทีหลังครับ” โภคินบอกเรียบๆ
มัทนาชะงัก
“อ้าว...ก็นัดกันแล้วว่าจะมาเจอที่สนามบิน ทำไมถึงจะตามไปทีหลังละคะ”
โภคินตอบเลี่ยงไป
“พวกเขามีปัญหาในการเดินทางนิดหน่อย แต่คุณมัทนาไม่ต้องกังวลนะครับยังไงพวกเขาตามคุณไปรายาแน่ๆ”
มัทนาไม่ยอม
“แต่ฉันอยากไปพร้อมพวกเขา...ฉันจะโทรถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไร”
มัทนาหยิบมือถือมากดหาธรรมรัตน์แต่เป็นฝากข้อความ เธอกดตัดสายแล้วโทรเข้าเบอร์ท่านหญิงมาณวิกา มินตรา เหมันต์ มัทนาร้อนใจมาก
“ทำไมติดต่อใครไม่ได้สักคน บอกฉันมา เดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”
โภคินหน้านิ่ง
“ทุกคนปลอดภัยดีครับ”
“ปลอดภัยดีแล้วทำไมฉันติดต่อไม่ได้สักคน” มัทนาโวย
คามินแทรกขึ้น
“พวกเขามีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนี้...ได้เวลาแล้วขึ้นเครื่องเถอะครับ”
“ไม่...ถ้าครอบครับฉันไม่มาฉันจะไม่ไปรายาเด็ดขาด”
ทุกคนมองมัทนาหนักใจ
“ฉันจะกลับไปดูพวกเขาที่บ้าน”
มัทนาวิ่งออกไป เจ้าชายมาคีตกใจ
“คุณมัท”
เจ้าชายมาคีจะวิ่งตาม คามินห้ามไว้
“กระหม่อมมาเมืองไทยเพื่อพาคุณมัทไปรายา ขอกระหม่อมทำหน้าที่นะพะยะค่ะ”
คามินวิ่งตามมัทนาออกไป ชวาลยิ้มปลื้ม
“พระคู่หมั้น งามแท้ กระหม่อมเข้าใจแล้วว่าทำไมฝ่าบาทถึงยอมเป็นเป้าให้ซ้อม”
เจ้าชายมาคีมองอย่างวาดหวัง
“ผู้หญิงคนนี้แหละคือคนที่เราจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต”
“รู้สึกประโยคนี้จะคุ้นๆนะพะยะค่ะ”
ชวาลบ่นๆแล้วก็รีบเดินออกห่างไป

มัทนาวิ่งออกมาตามทางห้องวีไอพี คามินวิ่งตามมาดักหน้า
“คุณไปไม่ได้นะครับ”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันไปก็บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้”
คามินมองมัทนาอย่างรู้สึกผิดตอบเลี่ยงแบบโกหกน้อยที่สุด
“ท่านโภคินบอกคุณแล้วนี่ครับว่าพวกเขามีปัญหาเรื่องการเดินทาง”
“ถ้าแค่มีปัญหาเรื่องการเดินทางทำไมฉันถึงโทรติดต่อใครไม่ได้เลย”
“การสื่อสารขัดข้อง หรือไม่พวกเขาก็กำลังแก้ปัญหาเพื่อจะตามคุณไปรายาให้เร็วที่สุด
“ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไงว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร”
“ด้วยเกียรติของราชองครักษ์แห่งรายาผมขอยืนยันครับว่าพวกเขาปลอดภัยดี”
“หมายความว่า ฉันต้องไปรายากับคนแปลกหน้าอย่างพวกคุณงั้นเหรอ”
“ผมอยากให้คุณคิดว่าผมเป็น...เป็นคนที่คุณไว้ใจผมได้ ผมรับรองด้วยชีวิตว่าคุณจะปลอดภัย”
“ชีวิตคุณมีไว้เพื่อเจ้าชายมาคีต่างหาก คงไม่เหลือมาเผื่อฉันหรอก นอกจากคุณจะมากกว่า 1 ชีวิต”
“ใช่ผมมีชีวิตเดียว และก็มีหัวใจดวงเดียวเหมือนกัน”
มัทนาอึ้ง
“ชีวิตของผมเป็นของเจ้าชายและราชบัลลังก์รายา”
“แล้วหัวใจล่ะ”
เงียบกันทั้งคู่แทบได้ยินเสียงหัวใจเต้น คามินเปลี่ยนเรื่อง
“การแต่งงานระหว่างคุณกับเจ้าชายเป็นข้อตกลงระหว่างคุณพ่อคุณกับองค์ราชา ถ้าจะยกเลิกก็ต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย...คุณธรรมรัตน์รักคุณมากคงยอมยกเลิกเพื่อคุณไม่ยากแต่ถ้าคุณอยากให้องค์ราชาทรงยอมด้วยก็คงต้องไปทูลพระองค์ด้วยตัวคุณเอง”
“เฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปได้อีกตามเคย แต่พูดไปข้อเสนอของคุณก็น่าสนใจไม่เลว...ได้ ฉันจะไปรายากับพวกคุณ”
“ขอบคุณมากครับ”
“หวังว่าสักวันฉันคงมีโอกาสได้รู้นะว่า หัวใจที่แสนจะแข็งแกร่งของคุณ มอบไว้ให้ใคร”

มัทนาเดินไป คามินมองตาม อยากตะโกนว่าหัวใจเป็นของมัทนา...แต่ก็ต้องกล้ำกลืนไว้

โรงพยาบาล...เหมันต์หน้าเขียวช้ำ มินตรามีผ้าปิดแผลที่แขนบาดเจ็บตอนล้ม เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน มินตราพูดด้วยความเคียดแค้น
“คุณพ่อบอกแค่ว่ามีคนจะขัดขวางคุณมัทไม่ให้ไปรายาเลยขอให้ฉันปลอมตัวเป็นคุณมัทเพื่อหลอกพวกมัน ไม่บอกสักคำว่าพวกมันต้องการฆ่าคุณมัทจนทำให้ฉันต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงจนเกือบตายอย่างนี้”
“ท่านประธานก็คงคิดไม่ถึงว่ามันจะฆ่าคุณมัทถ้ารู้ คงไม่เอาเธอมาเสี่ยง”
มินตราแค้นใจ
“ถึงจะรู้คุณพ่อก็เอาฉันมาเสี่ยงอยู่ดี เพราะคนใกล้ตัวที่ไว้ใจได้ก็มีแค่ฉันคนเดียวที่รูปร่างใกล้เคียงพอจะหลอกคนร้ายได้ว่าเป็นคุณมัท”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเธอก็ควรจะภูมิใจที่ท่านประธานวางใจให้เธอตายแทนคุณมัท ถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่มากนะที่ได้ตายแทนลูกสาวผู้มีพระคุณ”
“เป็นเกียรติเหรอ...พวกเขาไม่เห็นค่าชีวิตลูกแม่บ้านอย่างฉันอยู่ในสายตาหรอก...ถ้าพวกเขาเห็นคุณค่าชีวิตฉันคงไม่เอาชีวิตไปแลกกับชีวิตลูกสาวตัวเอง”
เหมันต์หันมามองมินตราอย่างเข้าใจ
“ฉันรู้นะว่าเธอกำลังโกรธท่านประธานมาก”
มินตราชะงักที่พลาดเก็บอาการไม่อยู่มองเหมันต์อย่างระแวง
“แต่ฉันก็เข้าใจว่าเธอโกรธเพราะความกลัวเดี๋ยวหายกลัว เธอก็หายโกรธ... เหมันต์ประคองมินตราไปนั่ง “นั่งให้ใจเย็นๆก่อนฉันไปซื้อน้ำหวานเย็นๆมาให้ดื่มเธอจะได้อารมณ์ดีขึ้น”
เหมันต์เดินแยกไป มินตรามองตามโล่งอกที่เหมันต์ไม่รู้ว่าเธอโกรธแค้นครอบครัวธรรมรัตน์จริงๆ

ธรรมรัตน์อยู่ในชุดคนไข้มีผ้าปิดแผลปิดมาถึงหน้าอกนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้น ท่านหญิงมาณวิกามองอย่างเป็นห่วง สักครู่ธรรมรัตน์ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น ท่านหญิงมาณวิกายิ้มดีใจรีบวิ่งเข้าไปข้างเตียง
“คุณธรรมรัตน์”
“ท่านหญิงไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“ยัยมินกับเหมันต์ล่ะ”
“สองคนนั้นบาดเจ็บนิดหน่อย มีคุณคนเดียวค่ะที่โดนยิง แต่โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ”
ธรรมรัตน์จับมือท่านหญิงมาณวิกาอย่างรู้สึกผิด
“ผมว่าที่โชคดีที่สุดคือท่านหญิง มินตรา เหมันต์ ปลอดภัย...ถ้าพวกคุณเป็นอะไรไปผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“ตกลงพวกนั้นมันเป็นใครกันแน่ ทำไมมันเจาะจงทำร้ายยัยมัท ตอนแรกที่คุณบอกฉันว่า เราต้องเปลี่ยนตัวเพื่อความปลอดภัย ฉันไม่นึกว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้”
“เป้าหมายพวกมันคงอยู่ที่ผมมากกว่า มันอาจจะต้องการจับตัวยัยมัทเพื่อเรียกค่าไถ่หรือข่มขู่ผม”
“ทำไมมันต้องทำขนาดนี้ เราไปทำอะไรให้มันแค้นนักหนาเหรอคะ”
“ไม่ต้องกังวล ยังไงตอนนี้ทั้งผมทั้งยัยมัทก็ปลอดภัยแล้ว ส่วนเรื่องคนร้าย เหมันต์กำลังติดต่อกับทางตำรวจ ไม่นานก็คงได้ตัว แต่ที่สำคัญเรื่องนี้ ยัยมัทจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

คามินเข้าเฝ้าราชาอินทราพร้อมโภคิน สินธร ราชาอินทรายิ้มแย้ม เข้ามาแตะไหล่คามิน
“ลำบากเจ้าจริงๆ ขอบใจมากนะคามินที่พามัทนามาถึงรายาได้อย่างปลอดภัย”
“เป็นหน้าที่ของเกล้ากระหม่อมอยู่แล้วพะยะค่ะ”
ราชาอินทรามองคามินอย่างมีความนัย
“เจ้าไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย”
คามินมองตอบรู้สึกประหลาดในสายตาของราชาอินทราที่จ้องอยู่ โภคินมองอยู่รีบแทรกขึ้น
“ขอเดชะ...”
ราชาอินทรารู้สึกตัว ถอยห่างคามินหันมามองโภคิน ควบคุมเสียงให้ปกติ
“มีอะไรรึ”
“เรื่องการอภิเษกคงไม่มีปัญหาอย่างที่ฝ่าพระบาทเคยทรงวิตก เพราะเจ้าชายทรงพอพระทัยคุณมัทนามาก”
ราชาอินทราพยักหน้า
“แต่เหตุการณ์ที่สนามบิน เราคิดว่านายพลวิฑูรคงไม่ยอมให้เกิดการอภิเษกขึ้นง่ายๆ”
คามินกับโภคินมองหน้ากันก่อนหันมามองราชาอินทรา โภคินแปลกใจที่พระองค์ทรงรู้เรื่อง
“ฝ่าพระบาททรงทราบ”
“เรารู้เรื่องทั้งหมดจากสินธรแล้ว...ธรรมรัตน์ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปลอดภัยแล้วพะยะค่ะ”
คามินขยับเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด ราชาอินทราสังเกตเห็นรีบถาม
“มีปัญหาอะไรรึคามิน”
“เกล้ากระหม่อมขอบังอาจกราบทูลว่าฝ่าพระบาทจะทรงวางพระทัยยังไม่ได้ ถึงแม้พระคู่หมั้นจะเข้ามาอยู่ในวังแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย”
“เจ้าหมายความว่า...”
คามินมองไปที่สินธร
“ควรมีคนคอยอารักขาพระคู่หมั้นอย่างลับๆเพื่อไม่ให้เธอตื่นตระหนกพะยะค่ะ”
ราชาอินทราพยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่มีใครเหมาะที่จะปกป้องเจ้าสาวของมาคี ราชินีในอนาคตของรายาได้ดีเท่าเจ้า...คามิน”
คามินอึ้งไป

มัทนารอบๆภายในตำหนักที่พัก เธอยืนเคว้งงงๆ สักครู่เธอก็เห็นอะไรแว่บๆเหมือนมีคน
แอบมอง เธอหันขวับไม่มีใคร พอหันกลับไปรู้สึกมีคนแอบมองอีก มัทนาหันมาอีกไม่มีใคร เธอชักฉุนจ้องมองตะโกนใส่
“นี่จะเล่นซ่อนหากันเหรอไง”
เสียงบุหลันดังมา
“ขอโทษค่ะที่ดิฉันออกมาต้อนรับช้า”
มัทนาหันมา บุหลันเข้ามา มองไปที่หลืบด้านในเสียงดุ
“พวกเจ้าออกมาถวายการต้อนรับพระคู่หมั้นสิ”
นางกำนัลที่หลบแอบดูอยู่ด้านใน ค่อยๆออกมา ตั้งแถวอย่างพร้อมเพรียง เรณูถือพานมีมาลัยสวยงาม นางกำนัลอีกคนถือช่อดอกไม้ พากันยอบตัวให้ มัทนามองงงๆอึ้งๆแต่ก็รับมา
“ดิฉันชื่อบุหลัน มีหน้าที่ดูแลคุณมัทนาตลอดระยะเวลาที่เตรียมตัวเพื่อเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชาย”
มัทนาพึมพำ

“อาจจะไม่มีวันนั้นก็ได้นะ”

บุหลันชะงัก
“อะไรนะคะ”
“เปล๊า...” มัทนามองรอบๆ “คุณคามินอยู่ไหน คุณช่วยไปตามให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
“คงไม่ได้ค่ะ ท่านคามินเป็นองค์รักษ์ของเจ้าชายรัชทายาท ต้องคอยดูแลถวายอารักขาเจ้าชายค่ะ”
“แต่ฉันมีเรื่องจะถามเขา เอ้อ...เกี่ยวกับเรื่องของรายา”
“ถามดิฉันก็ได้ค่ะเพราะดิฉันมีหน้าที่คอยแนะนำเกี่ยวกับประเพณีต่างๆของรายาให้คุณมัทนาทราบอยู่แล้ว”
มัทนาฉุนประชด
“โอเค เริ่มกันเลยมั้ยล่ะ”
“ค่ะข้อแรกคือห้ามออกจากตำหนักรับรองนี้โดยที่ดิฉันไม่ทราบอย่างเด็ดขาด...”
มัทนาทำหน้าเหวี่ยง
“นี่ฉันเป็นพระคู่หมั้นหรือนักโทษกันแน่เนี่ย...”
“สอง...ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือและเครื่องมือสื่อสารใดใดภายในเขตพระราชฐานค่ะ”
“อะไรนะ” มัทนาหน้าเหวอ
“หากต้องการใช้ต้องขอประทานอนุญาตโดยผ่านทางราชองครักษ์เท่านั้น...”
มัทนาแกล้งถอนใจดังๆเดินไปกระแทกตัวนั่งอย่างแรงหน้างอพึมพำ
“นายคามิน...นี่นายหลอกให้ฉันมาติดคุกแท้ๆเลย”
มัทนาหน้าตาเอาเรื่อง

คามินอยู่ในห้องของตนถอดเสื้อเดินทางออกจะเปลี่ยนชุดองค์รักษ์ ท่าทางเหน็ดเหนื่อย สินธรมองเห็นใจ
“ท่านคงเหนื่อยมาก...”
“แค่เราทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลงได้ เราก็ลืมคำว่าเหนื่อยหมดแล้ว”
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าชายจะทรงยอมอภิเษกง่ายดายเช่นนี้ ตอนแรกทรงดึงดันไม่ยอมท่าเดียว”
สินธรช่วยหยิบเสื้อ อาวุธลับต่างๆส่งให้ คามินหันมารับไปแต่งตัว
“ขนาดคุณหฤทัยทั้งสวย อ่อนหวานเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมเจ้าชายยังไม่ทรงโปรด”
สินธรอึกอักแต่ตัดสินใจถาม
“พระคู่หมั้นงดงามมากกว่าคุณหฤทัยอีกหรือครับ”
คามินชะงักการแต่งตัว
“ไม่เหมือนกันหรอก แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
คามินพูดต่อเหมือนใจลอยนิดๆ
“เป็นผู้หญิงที่แทบจะหาไม่ได้ในรายา”
จบคำพูดด้วยการแอบถอนใจเบาๆ แต่สินธรมองท่าทางคามินอย่างแปลกใจ

มัทนาค่อยๆย่องมาถึงริมกำแพงตำหนัก มองซ้ายขวายิ้มร้าย
“คิดว่าให้ทหารยืนขวางอยู่หน้าประตูแล้วฉันจะออกไปไหนไม่ได้นะเหรอ ดูถูกกันเกินไป”
มัทนาเงยหน้ามองกำแพงพึมพำ
“สูงเหมือนกัน ต้องหาตัวช่วย...”
มัทนามองหา เห็นกระถางพอปีนได้ เธอยิ้มหมายมาด

มัทนาไต่ลงมาเกือบถึงพื้นแล้วกระโดดตึ๊บอย่างคล่องแคล่ว ถอยมองกำแพงปัดมือเสียงโอ่
“ไงล่ะ...เห็นฝีมือหรือยัง”
ทันใดนั้นเสียงคามินดังขึ้น
“เห็นแล้ว”
มัทนาตกใจมองกำแพง
“เอ๊ะ”
แล้วนึกได้รีบหันกลับไปมองเห็นคามินยืนมองสายตาระอาเหมือนมองเด็กซนๆ มัทนาดีใจเผลอยิ้มแล้วนึกได้รีบหุบยิ้ม หน้าบึ้งเชิดใส่ คามินมองแปลกใจ

ในสวนสวย...มัทนายังหน้าบึ้งไม่ได้เห็นความงามของดอกไม้ คามินเข้ามาด้านหลัง
“ยังไม่ตอบผมเลยว่าคุณแอบปีนออกจากตำหนักรับรองมาทำไม”
มัทนาหันขวับ
“ยังมีหน้ามาถาม”
มัทนาเดินตรงเข้าหาคามินใส่เป็นชุดในขณะที่เขาถอยร่นไปเรื่อยๆ
“ก่อนจะมาคุณพูดกับฉันว่ายังไง ยังไม่ทันไรก็ทิ้งให้ฉันต้องอยู่ในกฎระเบียบบ้าๆอะไรเยอะแยะไปหมด รู้มั้ยแม้แต่โทรศัพท์ฉันก็โดนยึด ฉันจะพูดจะคุยกับใคร จะไปไหนก็ไม่ได้ คุณก็มาหายหน้าไป พ่อกับแม่ก็ยังไม่มา...ฉัน...ไม่มีใครสักคน”
มัทนาหยุดไปเพราะแรงสะอื้นที่ขึ้นมา คามินชะงัก มัทนาน้ำตาไหลรีบหันหลังให้ยกมือจะเช็ดน้ำตา คามินจับมือไว้ มัทนาชะงัก คามินอ้อมมายืนข้างหน้า ใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆซับน้ำตาให้เขาพูดอย่างอ่อนโยน
“ผมขอโทษ”
มัทนาอึ้งเหลือบมอง ตาสบตานิ่ง

ในห้องพิเศษของโรงพยาบาล ธรรมรัตน์นอนหลับอยู่บนเตียง ท่านหญิงมาณวิกาคุยโทรศัพท์ดีใจ
“แม่ก็ดีใจที่ลูกไปถึงรายาอย่างปลอดภัย...คุณพ่อ...เอ้อคุณพ่อไม่ได้เป็นอะไรอ๋อ...พอดี คุณพ่อต้องไปเคลียร์งานที่นิคมด่วน ก็เลยยังตามไปตอนนี้ไม่ได้ มัทลูกต้องอดทน ต้องเข้มแข็งนะ...จ้ะแม่สัญญาว่าพ่อกับแม่จะรีบตามไปให้เร็วที่สุด”
มัทนาคุยโทรศัพท์อยู่ในสวนสวยวังรายาเสียงละห้อย
“ค่ะแม่...มัทรักพ่อกับแม่นะคะ”
มัทนาตัดการติดต่อส่งโทรศัพท์คืนให้คามิน
“ได้คุยกับคุณแม่ สบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ”
มัทนาพยักหน้ารับเนือยๆ
“ที่นี่คุณจะทำตามสัญญาได้หรือยัง”
“ได้อยู่แล้วคนอย่างมัทนาไม่เคยผิดคำพูด”
มัทนาทำท่าจะเดินไป คามินรีบเรียกไว้
“เดี๋ยว...คุณจะไปไหน”
“อ้าวก็กลับเข้าไปเป็นนักโทษอยู่ในตำหนักไง”
“จะเข้าตำหนักต้องด้านนี้ครับ”
คามินผายมือไปทางประตูด้านหน้า มัทนาเชิด
“ไม่ ฉันจะกลับเข้าทางเดิม”
มัทนาจะไป คามินคว้ามือไว้ มัทนาทำแข็งขืน เขาจึงดุ
“ถ้าพลาดพลั้งตกลงมาขาหักจะทำยังไง”
มัทนาประชด
“ดี...คอหักตายซะจะได้ไม่ต้องแต่งงาน”

คามินอ่อนใจ ดึงมือมัทนาไปจนได้ มัทนาตามไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

คามินปล่อยมือมัทนาหน้าประตูหน้าตำหนัก กำชับ
“อย่าออกไปไหนอีกโดยไม่บอกคุณบุหลัน”
“ทำไม...ทำอย่างกับจะมีคนคอยฆ่าฉันอย่างนั้นแหละ”
คามินอึ้ง แล้วชะงักเมื่อเขามองข้ามมัทนาไปด้านหลังเห็นนายพลวิฑูรเดินมากับทหารสองสามคนมัทนาหันไปมองบ้าง นายพลวิฑูรเข้ามาตรงหน้ามัทนาก้มหัวยิ้มเป็นมิตร
“กระหม่อมนายพลวิฑูรขอต้อนรับพระคู่หมั้นสู่ประเทศรายาพะยะค่ะ”
คามินมองนายพลวิฑูรอย่างไม่ไว้ใจ
“อุ๊ย...ไม่ต้องพูดกับฉันแบบนั้นหรอกค่ะ ฉันเป็นแค่คนธรรมดา”
“อีกไม่นาน ก็จะเป็นราชินีแห่งรายา”
“ก็ยังไม่แน่หรอกค่ะ”
นายพลวิฑูรเลิกคิ้วงง
“อะไรๆในโลกนี้มันก็ไม่แน่นอนนี่คะ ชาวพุทธอย่างฉันเรียกว่าอนิจจัง...”
“แต่สำหรับเรื่องนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ” คามินแทรกขึ้น
นายพลวิฑูรหัวเราะ
“นั่นสิ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ยังไง มีท่านราชองครักษ์คอยดูแลทุกขั้นตอนขนาดนี้ ชาวรายาคงดีใจมากที่จะมีองค์ราชินีที่มีสิริโฉมงดงาม และร่าเริงแจ่มใสแบบนี้”
“ขอบคุณมากค่ะ” มัทนายิ้มให้
“ผมขอตัวก่อน หากเบื่อตำหนักในนี้เมื่อใดเชิญคุณมัทนาแวะไปดื่มน้ำชาที่บ้าน ลูกสาวของผมคงเป็นเพื่อนคุยให้คุณหายเหงาได้บ้าง”
มัทนาตื่นเต้น
“ค่ะ ฉันจะไปแน่นอน”
คามินไม่พอใจ นายพลวิฑูรยิ้มอบอุ่นก้มหัวให้มัทนา ก่อนจะไปเหลือบมองคามินเยาะๆ คามินพูดนิ่งๆ
“เดินทางระวังด้วยนะครับ ท่านนายพล”
นายพลวิฑูรชะงัก
“ทำไม”
“เพราะไม่เห็นสุเทษคอยอารักษ์ขาท่านเหมือนทุกวัน ท่านคงส่งสุเทษไปทำภารกิจสำคัญมาก...กระมัง”
“เวลามีงานสำคัญเราก็ย่อมต้องส่งคนที่ไว้ใจที่สุดไปทำ ก็คงคล้ายกับที่องค์ราชาทรงส่งท่านไปเมืองไทยนั่นแหละ”
นายพลวิฑูรมอง คามินมองตอบอย่างรู้ทันกัน

ในห้องพิเศษที่โรงพยาบาล...ธรรมรัตน์มองท่านหญิงมาณวิกาพูดอย่างอิดโรย
“ท่านหญิงทำถูกแล้ว ถ้ายัยมัทรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลต้องหนีกลับมาแน่ๆ”
มินตราถือถุงผลไม้เข้ามาพอดี ทำเหมือนไม่ได้ฟังตรงไปโต๊ะมุมห้อง หยิบมีดหยิบจานมาเตรียมปอกแต่หูฟังอย่างสนใจ
“แต่ยังไงก็ยังอดห่วงลูกไม่ได้ อยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าคงทั้งเหงาทั้งว้าเหว่”
“ผมเข้าใจ ผมเองก็คิดถึงลูก แต่เราก็ต้องหักห้ามใจ เรากำลังทำเพื่อลูกนะท่านหญิง อย่าลืมสิลูกกำลังจะเป็นราชินีของรายา เรื่องแค่นี้ต้องผ่านไปให้ได้”
คำพูดของธรรมรัตน์สะกิดความรู้สึกมินตราให้เจ็บใจขึ้นมาอีก เธอรำพึงในใจ
“ใช่สิแค่ต้องการส่งลูกตัวเองขึ้นนั่งบัลลังค์ ใครจะตายก็ไม่สน”
มินตรากวาดมือไปหยิบผลไม้อย่างแรง พลาดไปโดนจานตกแตกกระจาย ท่านหญิงมาณวิกาเสียงดัง
“อะไรนะยัยมิน...”
มินตราได้สติรีบหันมาหน้าสลด
“ขอโทษค่ะ”
“ทำอะไรระวังหน่อยสิ สองสามวันมานี่เป็นอะไร เหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
มินตราอึกอัก
“คือ...มิน...มินห่วงคุณมัทนะคะ...ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง มิน...มินสงสารเธอ”
มินตราน้ำตาซึม ทำท่าเช็ดแล้วรีบก้มลงเก็บจานที่แตก ท่านหญิงมาณวิกาสีหน้าอ่อนลง ธรรมรัตน์พูดเบาๆ
“อย่าดุยัยมินเลย...แกคงคิดถึงยัยมัทมาก คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน แกเองคงยังช็อกเรื่องที่สนามบินด้วย”
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้า ลุกขึ้นเข้าไปโอบมินตราให้ลุกขึ้น เสียงอ่อน
“ฉันขอโทษนะที่เสียงดังกับเธอ ตอนนี้ฉันเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ...มินเข้าใจท่านหญิง ขนาดมินเองยังเป็นห่วงคุณมัทขนาดนี้ ท่านหญิงเป็นแม่แท้ๆจะห่วงขนาดไหน”
มินตรารำพึงในใจ
“หึตบหัวแล้วลูบหลัง อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน”
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้าเชิงขอบใจที่เข้าใจ มินตรายิ้มอ่อนโยน

ประตูหน้าตำหนัก...มัทนามองคามินละห้อย ยังอ้อยอิ่งประมาณไม่อยากเข้าไป คามินไม่พูดแต่มองสายตาดุๆประมาณให้เข้าไปได้แล้ว มัทนาถอนใจ
“สัญญานะว่าจะไม่หายหน้าไปอีก”
“ครับ”
“เฮ้อ...ต้องเข้าไปเจอคุณบุหลันจอมโหดอีกแล้วเหรอเนี่ย”
คามินหัวเราะ
“ถ้าคุณบุหลันโหดก็ไม่มีใครใจดีอีกแล้ว”
“มีสิ...ท่านนายพลวิฑูรไง ให้ฉันไปอยู่ที่บ้านท่านนายพลวิฑูรยังจะดีกว่า ดูใจดี อบอุ่น ไม่เย็นชา หน้านิ่งมีแต่กฏๆแล้วก็กฎ เหมือนคุณบุหลัน”
“สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป”
“คุณหมายถึงใคร”
“ทุกคน ทุกสิ่ง ทุกอย่าง...คุณเพิ่งมาถึงรายา อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไร เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง”
มัทนาถอนสายบัวแบบรายาแต่ออกแนวประชดๆ
“เจ้าค่ะท่านองค์รักษ์คามิน”

มัทนาแลบลิ้นใส่ก่อนจะวิ่งตัวปลิวเข้าประตูไป คามินอึ้งๆมองตามอย่างกังวล

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 6 (ต่อ)

ศาลาในสวน...หฤทัยกางตำราชาววังที่มีวิธีการแกะสลักผักผลไม้ อยู่บนโต๊ะแล้วนั่งแกะฟักแฟงแตงกวา เป็นลวดลายสวยงามวางไว้ในถาด
“ก็ไม่ยากนี่นา”
เสียงฝีเท้าคนเดินมา หฤทัยตกใจ รีบเอาผ้าขาวบางปิดถาด เก็บของใส่ตะกร้า ผักที่แกะสลักหล่นไปที่พื้นหนึ่งอัน สินธรเดินตรวจตรามา
“คุณหฤทัย มาทำอะไรตรงนี้ครับ”
“มาเดินเล่น...”
หฤทัยจะรีบไป สินธรเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ...”
หฤทัยหยุด สินธรเก็บผักแกะสลักขึ้นมาให้
“ของคุณหรือเปล่า”
หฤทัยอาย
“ใช่...ฉันทำเล่นๆน่ะ”
“สวยมากครับ”
“จริงเหรอ...ฉันเพิ่งหัดทำเมื่อคืนเอง”
“จริงซิครับ ผมเคยเห็นแต่ในรูป ไม่คิดว่าจะมีใครทำได้จริงๆ”
“ฉันเอาหนังสือที่นายให้มาไปคืนห้องสมุด เลยเจอหนังสือตำรับอาหารชาววังของเมืองไทย แล้วก็ลองทำดู นายว่าเจ้าชายจะทรงโปรดมั้ย”
สินธรเซ็งนิดๆ ที่หฤทัยทำเพื่อเจ้าชายมาคี แต่ก็ฝืนยิ้มแย้ม
“ต้องทรงโปรดแน่นอนครับ”
หฤทัยดีใจมาก เชิดภูมิใจ
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีนี่อีก”
หฤทัยเปิดให้สินธรดู
“ฉันแกะสลักเอาไว้หลายแบบเลย...ผู้หญิงไทยนอกจากจะมีรอยยิ้มเป็นเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามแล้ว ก็ยังมีฝีมือการทำอาหารที่อร่อยเยี่ยมยอดติดอันดับโลก ฉันต้องทำให้ดีกว่า”
“ครับ คุณต้องทำได้แน่”
“ไปก่อนนะ จะรีบเอาไปอวดคุณแม่”
สินธรยื่นผักในมือคืน หฤทัยไม่รับ
“ไม่ต้องหรอก ฉันให้”
หฤทัยเดินร่าเริงไป

นายพลวิฑูรนั่งลงที่โต๊ะทำงานมองเทวีอย่างรำคาญ
“รู้ได้ยังไงว่าฉันไม่สนใจ”
“ถ้าสนใจก็ต้องมีความคืบหน้าบ้างสิคะ น้องอกจะแตกตายอยู่แล้ว ใช้ใครไปสืบก็ไม่ได้เรื่อง”
“ฉันไปพบผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว”
เทวีตาโต ถลาเข้ามาชิดโต๊ะ
“อะไรนะคะ”
“เธอได้ยินไม่ผิดหรอก”
“เป็นยังไงบ้างคะคงจะซื่อๆโง่ๆ หาคู่ไม่ได้ถึงได้ยอมให้คลุมถุงชนแบบนี้”
“ตรงข้ามกับที่เธอพูดมาทั้งหมด ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก ท่าทางฉลาดปราดเปรียว ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าชายทรงยอมอภิเษกโดยไม่มีข้อแม้”
เทวีไม่พอใจ
“ท่านพี่...นี่ท่านพี่เสียสติเหรอคะถึงได้ไปเข้าข้างศัตรู แทนที่จะรีบกำจัดมันกลับมานั่งชื่นชม”
นายพลวิฑูรหันมาจ้องไม่พอใจ
“เธอนะสิเลิกสติแตกซะที จะพูดจะจาอะไรให้ระมัดระวังไว้บ้าง ปากมีหูประตูมีช่อง”
นายพลวิฑูรลุกขึ้นก้าวเข้ามาจับแขนเทวีบีบ กระซิบเหี้ยมๆ
“ฉันไม่จำเป็นต้องลงมือ คนที่จะจัดการกำจัดผู้หญิงคนนั้นมีอยู่แล้ว”
นายพลวิฑูรปล่อยเมียเหมือนผลัก ตัวเองออกไป เทวีทั้งเจ็บทั้งงง

หฤทัยถือถาดมีผ้าขาวบางๆคลุมเดินเข้ามา พบเทวีที่เดินมาอีกทาง
“คุณแม่ขา ดูนี่ซิคะ ลูกมีอะไรมาอวด คุณแม่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ”
เทวีปัดไปอย่างไม่ใยดี
“ศัตรูแกเข้ามาเหยียบจมูกถึงถิ่นแล้ว แต่แกกลับไปทำอะไรบ้าๆบอๆอยู่”
หฤทัยชะงัก
“ศัตรู”
“สมองช้าแบบนี้ซิถึงไม่ทันกินอะไรสักอย่าง นังมัทนาคู่หมั้นเจ้าชายมาถึงรายาแล้ว”
หฤทัยอึ้งๆ
“ทำไมเร็วแบบนี้...”
“รีบไปแต่งตัว เตรียมเข้าเฝ้าองค์ราชินีกับฉันเดี๋ยวนี้”
เทวีเดินไป หฤทัยมองถาดในมือ หันไปยื่นให้สาวใช้ที่เข้ามาพอดี
“เอาไปทิ้งให้หมดไป”

สาวใช้รับไป มองแปลกใจ

บุหลันคุยกับเรณูที่เข้ามารายงานอย่างประหลาดใจมาก
 
“องค์ราชินีนะเหรอ”
“ค่ะ ทรงมีรับสั่งให้คุณมัทนาเข้าเฝ้าด่วน”
มัทนาที่ยืนมองวิวที่หน้าต่างได้ยินก็เดินเข้ามาหา
“ก็ดีซิ ฉันกำลังอยากจะเข้าเฝ้าองค์ราชาอยู่พอดี”
บุหลันขัดขึ้น
“ไม่ใช่องค์ราชาค่ะ แต่เป็นองค์ราชินี...”
“แล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยละคะคุณบุหลัน”
บุหลันโบกมือให้นางกำนัลออกไป ตัวเองเดินเข้ามาหามัทนา
“ท่าทางองค์ราชินีคงจะดุมากใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ”
“แล้วทำไมคุณบุหลันต้องตกใจด้วย”
“ดิฉันแปลกใจไม่ได้ตกใจค่ะ”
“แปลกใจทำไมคะยังไงฉันก็ต้องไปพบองค์ราชินีไม่ใช่เหรอ”
“ถูกค่ะ...เพียงแต่มันไม่ได้มีหมายกำหนดการในวันนี้ ดิฉันเลยแปลกใจ”
บุหลันหน้ากังวลแต่รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเตรียมชุดที่จะเข้าเฝ้า”
มัทนาก้มมองตัวเอง
“ชุดนี้ไม่ได้เหรอคะ”
“ได้นะได้ค่ะแต่ยังไม่เหมาะดิฉันจะช่วยดูให้แล้วกันนะคะ”
บุหลันบอกอย่างกังวล

ในห้องแต่งตัววังรายา...เทวีกับหฤทัยเข้ามาเฝ้าพระนางสาวิตรี
“ไม่ต้องกลัวนะหฤทัย เจ้าคนเดียวที่จะได้อภิเษกกับมาคี ไม่ใช่ใครทั้งนั้น”
“เป็นพระกรุณาเพคะ ลูกฤทัยร้องไห้ ทุกวัน ไม่ได้กินข้าวกินปลาจนร่างกายซูบผอมหมดแล้ว”
“ไม่ได้นะ ต้องบำรุงตัวเองให้สวยงามสดใส จะยอมแพ้ไม่ได้”
หฤทัยรับคำเสียงอ่อย
“เพคะ”
นางกำนัลถวายการรับใช้อยู่หลายคน นางกำนัลคนหนึ่งเข้ามายอบตัวรายงาน
“คุณบุหลันพาพระคู่หมั้นมาเข้าเฝ้าแล้วเพคะ”
พระนางสาวิตรีมองเงาเทวีในกระจก สบตากันมีเลศนัยก่อนพูดดังๆ
“เอ เรารู้สึกเหมือนมีอะไรที่มันดูขัดๆตาไม่กลมกลืนกัน ช่วยดูหน่อยสิว่าเราควรจะเปลี่ยนอะไรดีเทวี”
เทวีทำทีมองสำรวจทั่วองค์
“อ๋อ...หม่อมฉันรู้แล้วเพคะ...ต้องเปลี่ยนสีพระนขาเพคะ”
หฤทัยและนางกำนัลงงๆ พระนางสาวิตรียกมือดู
“จริงด้วย...เล็บสีนี้ดูซีดๆไม่เหมาะกับชุดเลย” พระนางสาวิตรีมองนางกำนัล “มาเปลี่ยนสีเล็บให้เราหน่อย”
นางกำนัลพากันกระวีกระวาดไปเตรียมอุปกรณ์กันโกลาหล หฤทัยขัดขึ้น
“เอ้อคือ...ถ้าเปลี่ยนชุดให้เข้ากับสีพระนขาจะไม่เร็วกว่าหรือเพคะ”
เทวีโมโห หันมากระซิบ
“นังลูกโง่...ไม่รู้อะไรก็อย่าพูด”
พระนางสาวิตรีหัวเราะ
“ฉลาดจริงหฤทัย...ที่เจ้าพูดก็ถูกแต่เผอิญเราไม่รีบร้อนยิ่งช้าเท่าไรก็ยิ่งดี จริงมั้ยเทวี”
“จริงอย่างที่สุดเพคะ”
พระนางสาวิตรีกับเทวีหัวเราะกันอย่างพอใจ หฤทัยไม่เข้าใจ

หน้าห้องรับรองวังรายา...มัทนาเมื่อยแล้วเมื่อยอีกเริ่มยุกยิกขยับแข้งขาหันมองบุหลันที่ยืนนิ่งสงบอย่างประหลาดใจ มัทนาพึมพำ
“เหมือนหุ่นยนต์ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ”
นางกำนัลออกมา มัทนาดีใจรีบยืนตัวตรง นางกำนัลพูดกับบุหลัน
“องค์ราชินียังไม่ทรงว่างค่ะคุณข้าหลวง”
บุหลันนิ่งรู้ว่าแกล้ง มัทนาโวยทันที
“อะไรนะ...ถ้าไม่ว่างแล้วเรียกมาพบทำไม...”
บุหลันรีบหันมาปราม
“คุณมัทนาคะ”
บุหลันมองจนนางกำนัลถอยออกไป พูดเรียบๆ
“กรุณาระวังคำพูดหน่อยค่ะ”
“แต่นี่มันเป็นชั่วโมงๆแล้วนะคะคุณบุหลัน ฉันยืนขาแข็งจนจะเป็นหินอยู่แล้ว”
“ถือว่าเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งก็แล้วกันนะคะ เพราะเวลามีงานพระราชพิธีต่างๆก็ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
บุหลันหันกลับไปยืนสำรวมนิ่งเหมือนเดิม มัทนาเซ็งสุดขีด

เวลาผ่านไป...มัทนาสีหน้าหมดความอดทนแล้วพึมพำ
“เป็นไงเป็นกัน ฉันจะนับหนึ่งถึงสิบถ้ายังไม่ออกมาฉันกลับแน่ใครจะรอก็รอไป” มัทนานับเร็วมาก “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า...”
ทันใดนั้นเสียงนางกำนัลดังขึ้น
“องค์ราชินีเสด็จ”
มัทนาชะงัก หันไปมอง พระนางสาวิตรีเดินออกมา เทวีตาม หฤทัยอยู่หลัง บุหลันรีบถอนสายบัว
“นี่คือพระคู่หมั้นของเจ้าชายเพคะคุณ...”
มัทนาเตรียมถอนสายบัวแต่ พระนางสาวิตรีไม่สนหันไปมองหฤทัยพูดแทรกขึ้น
“มาคีต้องคิดถึงหฤทัยมากแน่”
หฤทัยไม่ตอบอึ้งๆ เทวีสะกิด หฤทัยยังงงๆเทวีค้อนลูกรีบตอบแทน
“เพคะ...เคยพบเคยเจอกันทุกวัน”
มัทนางง บุหลันหน้าเสีย
“เราสงสารลูกจังต้องมาโดนบังคับให้ไปเมืองไทยดูตัวผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เราเชื่อว่ามาคีไม่มีทางเปลี่ยนใจไปชอบใครได้นอกจากหฤทัย”
เทวีมองหฤทัยให้ตอบแต่หฤทัยไม่กล้า เทวีแอบหยิก หฤทัยรีบตอบ
“เป็น...เป็นพระกรุณาเพคะ”
พระนางสาวิตรีเข้ามาโอบหฤทัย

“เจ้าอย่ากังวลไปเลยนะ เจ้าเป็นคนดีคนดีย่อมชนะคนชั่ว”

พระนางสาวิตรีเหลือบไปมองมัทนา หฤทัยอึดอัดสุดๆ พระนางสาวิตรีเดินนำไปไม่สนมัทนาที่ยืนตะลึง เทวีดึงแขนหฤทัยให้รีบตาม หฤทัยมองมัทนายิ้มเหมือนจะขอโทษ เทวีหันมาเห็นหยุดถลึงตาใส่กระซิบ
“ไปยิ้มให้ศัตรูทำไมถ้าจะยิ้มก็ต้องยิ้มเยาะมันสิแบบนี้”
เทวียิ้มเยาะมัทนา หฤทัยพยายามยิ้มเยาะตามแต่ก็ไม่เนียนนักดูตลก ทั้งหมดพากันเดินไป มัทนาพยักหน้าท่าทางเอาเรื่อง
“เป็นการเข้าเฝ้าที่น่าประทับใจมาก”
“กลับตำหนักเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ...ผู้หญิงที่ชื่อหฤทัยเป็นใครกันคะ”
“ลูกสาวท่านนายพลวิฑูร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดค่ะ”
มัทนาประหลาดใจ

ในตำหนัก...เจ้าชายมาคีจ้องชวาลที่กางแขนกั้นอยู่ไม่ให้ไป เจ้าชายมาคีข่มขู่
“ถอยไป...”
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท แต่กระหม่อมให้ฝ่าบาทออกไปไม่ได้ แล้วก็ให้ใครเข้ามาไม่ได้ด้วย”
ทันใดนั้นเสียงพระนางสาวิตรีดังขึ้น
“แม้นกระทั่งเราหรือ”
“ใช่เพคะ...อี๊ยย์...”
ชวาลนึกได้ หันมาเห็นพระนางสาวิตรียืนอยู่ก็ตาเหลือก
“มิบังอาจพะยะค่ะ”
ชวาลรีบกราบ พระนางสาวิตรีส่ายหน้าเดินผ่านชวาลเข้าไป ชวาลวิ่งแจ้นออกไป เจ้าชายมาคีเข้ามากอด
“เสด็จแม่มาพอดี ลูกจะได้ออกไปพบคุณมัท เจ้าชวาลมันกันท่า เสด็จกับลูกมั้ยรับรองว่าเสด็จแม่ทอดพระเนตรคุณมัทแล้วต้องถูกพระทัยเหมือนลูกแน่ๆ เสด็จพ่อทรงเลือกเจ้าสาวให้ลูกได้ถูกใจเหลือเกิน”
พระนางสาวิตรีหมั้นไส้ ตีเจ้าชายมาคีเบาๆ
“หยุดพร่ำเพ้อซะทีเถอะมาคี นี่มันไม่ใช่ความรักหรอกมันคือความหลง”
“ไม่นะเสด็จแม่ลูกรักคุณมัทจริงๆ รักมากรักอย่างไม่เคยรักใครมาก่อน”
“คราวกรรณิการ์ลูกก็พูดแบบนี้”
เจ้าชายมาคีตกใจ
“เสด็จแม่อย่าพูดเรื่องกรรณิการ์ให้คุณมัทรู้เด็ดขาดเลยนะ สัญญานะเสด็จแม่”
เจ้าชายมาคีร้อนร้น พระนางสาวิตรีมองลูกชาย นึกอะไรได้ยิ้มร้ายกาจ

คามิน สินธรนั่งคุยกับโภคินในบ้านของเขา
“ยังไม่มีข่าวสุเทษกลับมารายาครับ ผมคิดว่า อาจจะไม่ได้เดินทางด้วยเครื่องบิน แต่อาจจะใช้รถยนต์ขับข้ามทางชายแดนเพื่อไม่ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง” สินธรรายงาน
โภคินหน้าเครียด
“ถึงไม่มีสุเทษ ก็ใช่ว่า ท่านนายพลวิฑูรจะลงมืออีกไม่ได้ เราคงต้องวางแผนอารักขาคุณมัทนาอย่างรัดกุมมากกว่าเดิม”
คามินหันไปหาสินธร
“สินธร ฉันคงต้องให้นายไปทำหน้าที่ถวายการอารักขาเจ้าชายมาคีแทนฉัน จนกว่าจะมีการอภิเษก”
สินธรไม่ชอบเจ้าชายมาคีจึงแย้ง
“แต่ผมคงไม่เหมาะกับหน้าที่นี้”
“นายเป็นมือขวาของฉันถ้านายไม่เหมาะก็คงไม่มีใครเหมาะอีกแล้ว”
โภคินมองสินธร
“มีเรื่องลำบากใจอะไรรึเปล่า สินธร”
“เปล่าครับ ผมเพียงแต่กลัวว่าจะสนองพระประสงค์ของเจ้าชายทุกอย่างไม่ได้ อาจจะทำให้ไม่พอพระทัย”
“เจ้าชายอาจจะเอาแต่พระทัยก็จริง แต่ก็รับมือได้ไม่ยาก ถ้าเทียบกับพระคู่หมั้นแล้ว”
สินธรชะงักสงสัย
“พระคู่หมั้นเป็นยังไงเหรอครับ”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงบุหลันดังขึ้น
“ฉันเองค่ะ บุหลัน”
สินธรเปิดประตู บุหลันเข้ามาอย่างร้อนรน
“ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาขัดจังหวะแต่ฉันมีเรื่องด่วนเกี่ยวกับคุณมัทนามาบอก”
คามินรีบถาม
“เรื่องอะไรครับ”

กรรณิการ์ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินในวังหลวง พระนางสาวิตรีเดินมาที่หน้าห้อง มีทหารเฝ้าอยู่ ทหารโค้ง
“เปิดประตู”
ทหารไขกุญแจเปิด พระนางสาวิตรีเข้าไปในห้องมองกรรณิการ์ที่นั่งขดตัวอยู่ สาวิตรีเข้าไปจับบ่า
“กรรณิการ์”
กรรณิการ์สะดุ้งเอามือปิดหู
“ไม่นะเราไม่ให้ เจ้าชายประทานกุลฑลให้เราแล้ว เราต้องได้เป็นราชินีแห่งรายา”
“ใจเย็นๆกรรณิการ์ เราไม่ได้มาแย่งกุณฑลของเจ้า แต่เราจะพาเจ้าไปหาศัตรูของเจ้าต่างหาก”
“ศัตรู”
“ก็คนที่แย่งเจ้าชายไปจากเจ้ายังไงล่ะ”

สาวิตรียิ้มร้าย

มัทนาเดินไปมาอยู่ในตำหนัก ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เดินตามบุหลันมาหลังจากกลับจากเฝ้าสาวิตรี
“คุณจะไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหน่อยเหรอ”
“เรื่องอะไรคะ”
“องค์ราชินีจงใจตรัสให้ฉันได้ยินว่าลูกสาวท่านนายพลวิฑูรคือคู่หมาย ของเจ้าชาย หรือคุณไม่ได้ยิน”
“ดิฉันไม่ได้ยินค่ะ”
“คุณจงใจจะไม่ตอบคำถามฉันมากกว่า...”
“ดิฉันจะตอบในเรื่องที่ดิฉันทราบเท่านั้นค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น ก็ตามคามินมา ฉันจะถามเขา”
“ท่านคามินประชุมอยู่กับท่านโภคินค่ะ”
“หมายความว่าถ้าฉันอยากได้คำตอบของเรื่องนี้ฉันต้องหาคำตอบเองใช่มั้ย”

ปัจจุบันมัทนาหน้าตามุ่งมั่น
“ได้...จะเอาอย่างงั้นก็ได้ คงรู้จักมัทนาน้อยไป”
เรณูเข้ามา
“เชิญพระคู่หมั้นรับประทานอาหารเย็นค่ะ”
“ดีเลยจ้ะ กำลังหิวพอดี”
มัทนาทำเป็นจะเดินไปที่ส่วนของห้องอาหารแล้วชะงัก จับนิ้วตัวเองแอบรูดแหวนออกอย่างรวดเร็วกำไว้ในมือ
“แหวนฉันหลุดหายไป สงสัยหล่นอยู่ในห้องน้ำตอนที่อาบน้ำเมื่อกี๊”
“เดี๋ยวเรณูไปดูให้คะ”
“ขอบใจมากนะจ๊ะ”
เรณูกระวีกระวาดเข้าไปในห้องน้ำ มัทนาเดินตามไป เห็นเรณูก้มๆเงยๆหาแหวน มัทนาค่อยๆปิดประตูแล้วล็อค

ประตูด้านในตำหนัก...มัทนาเดินเข้ามาเปิดประตูออก กรรณิการ์ยืนผมเผ้ารุงรังอยู่ และโดยไม่ทันตั้งตัว กรรณิการ์ก็กระโจนบีบคอมัทนาทันที
คามิน สินธร บุหลันเดินมาอย่างรีบร้อน
“เจอเรื่องแบบนี้คุณมัทนาไม่อยู่เฉยแน่”
“แล้ว ท่านคิดว่า คุณมัทนาจะทำอะไรเหรอครับ”
คามินชะงักมองๆ บุหลันหันมาถาม
“มีอะไรคะ”
คามินกวาดตามอง
“ทหารยาม ปกติจุดนี้ต้องมีทหารยามเฝ้าอยู่”
บุหลันหน้าตื่น
“จริงด้วย”
คามินกับสินธรมองหน้ากัน คามินวิ่งกระโดดข้ามแนวต้นไม้วิ่งเข้าไปในตำหนักอย่างว่องไว สินธร รีบตาม บุหลันวิ่งตามสุดท้าย

ในตำหนัก...กรรณิการ์บีบคอมัทนาที่ถอยมา ชิดโต๊ะที่วางสำรับอาหาร มัทนาดิ้น จานตกแตกกระจาย
“แก...แกแย่งเจ้าชายไปจากฉัน เอาเจ้าชายคืนมา”
มัทนาหน้าดำหน้าแดง พยายามเอื้อมหยิบของใกล้มือเจอชามซุปก็คว้าสาดเข้าหน้า กรรณิการ์กรี๊ดผงะ ปล่อยมือ มัทนาหอบ ไอค้อกแค้ก มองกรรณิการ์ที่ปิดหน้า
“โอ๊ย แสบตา ฮือๆ”
มัทนาหลงกล ก้มลงไปหา
“คุณ...”
กรรณิการ์ล็อกตัวมัทนาล้มลงกับพื้น หยิบเศษข้าวของที่แตกเงื้อจะแทง มือคามินเข้ามายึด
มือกรรณิการ์ไว้ ยื้อกันกรรณิการ์สะบัดอย่างแรงปาดแขนคามินเลือดไหล แล้วจ้องจะแทง คามินจับไว้ได้คราวนี้ออกแรงบิด กรรณิการ์จำต้องปล่อย สินธรเข้ามา ช่วยดึงกรรณิการ์ล็อกไว้
“ปล่อย...ปล่อยฉัน...ฉันจะฆ่ามัน นังมัทนาแก...แกส่งคนมาทำร้ายฉัน ขโมยกุณฑลไป ฉันจะฆ่าแก”
สินธรลากตัวกรรณิการ์ออกไป คามินประคองมัทนาขึ้น บุหลันตามเข้ามา
“คุณมัทนาเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่...ฉันไม่เป็นไร”
“แล้วนี่เรณูไปไหนคะ”
เสียงเรณูทุบประตูห้องน้ำดังมา บุหลันวิ่งไปที่ห้องน้ำ เห็นล็อค รีบเปิด
“คุณบุหลัน ใครไม่รู้ล็อคประตูด้านนอกไว้ค่ะ”
คามินหันมาหามัทนา
“คุณใช่มั้ย”
“คุณนั่นแหละที่ต้องตอบคำถามฉัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ผมต้องตามหมอหลวงมาตรวจคุณ ถึงไม่มีบาดแผลก็ไว้ใจไม่ได้”
คามินจะไป มัทนาจับแขนไว้
“อย่าเพิ่งไป ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้”
เลือดคามินเปื้อนมือ มัทนาตกใจ
“เลือด”

หมอหลวงตรวจดูชีพจร และดูรอยรอบคอมัทนาอย่างใจเย็น ขณะที่มัทนาหงุดหงิดมาก บุหลันยืนอยู่ข้างๆ
“เป็นยังไงบ้างคะ” บุหลันถาม
“มีแผลฟกช้ำที่คอกับแขนเล็กน้อยครับ ทายาไม่กี่วันหาย”
“ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไรๆ ก็ไม่เชื่อ โน่นคนที่เป็นหนักคือคามิน ป่านนี้เลือดหมดตัวรึยังไม่รู้ทำไมไม่ไปรักษา”
หมอหลวงงงๆ
“ท่านคามินบาดเจ็บเหรอครับ”
บุหลันพยักหน้า
“ค่ะ แต่ท่านองครักษ์บอกว่า แผลเล็กน้อย จะจัดการเอง”
“เล็กน้อยอะไร แผลลึกเกือบถึงกระดูก คุณก็เห็น แล้วนี่เขาอยู่ที่ไหนคะ”
“คงไปสอบสวนคนร้ายที่บ้านของท่านโภคินค่ะ”
มัทนานึกได้
“ดี หมอคะ งั้นเราไปบ้านของท่านโภคินกัน”
บุหลันรีบห้าม
“ไม่ได้นะคะ”
“ฉันเป็นพระคู่หมั้น ในอนาคตจะต้องเป็นองค์ราชินีของรายาหมอคงตัดสินใจได้นะคะ ว่าควรจะเชื่อใคร”

หมอมองตาปริบๆ บุหลันอยากจะบ้าตาย
จบตอนที่ 6
 
กำลังโหลดความคิดเห็น