อนิลทิตา ตอนที่ 1
ซุ้มประตูทางเข้าเวียงวังแห่งนี้ บ่งบอกว่าเป็นศิลปะแบบขอม ทับหลังรูปหน้ากาลประดับเด่นเหนือประตูแลดูเข้มขลัง ตลอดทางเดินภายในปูด้วยศิลาแลง จากประตูตรงเข้าไปถึงตัวปราสาทหินที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดไม่ใหญ่มากนัก บริเวณใกล้เคียงกัน มีเวียงวังสร้างด้วยไม้ เรียงราย งดงาม
ที่นี่คือ เมืองบันทายศิลา เมืองชายแดนระหว่าง อยุธยา และ กัมพูชา เมื่อ 300 ปีก่อน
ในราวป่าเขียวขจีด้านนอกเมือง มีเส้นทาง ที่ชาวเมืองบันทายศิลาใช้สัญจรไปสู่ลำน้ำที่มีน้ำตกสวยอยู่บริเวณต้นลำธาร
ตอนกลางวันของวันนี้ หญิงสาว 3 คน วิ่งไล่กันมาตามทางสายนั้นอย่างสนุกสนาน ดูออกว่าทั้งสามมุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณน้ำตกนั่นเอง
จากเครื่องแต่งกายของหญิงสาวที่วิ่งนำหน้า ฉายชัดว่ามีฐานะดีกว่า 2 คนหลัง เสียงหัวเราะคิกคักร่าเริงของทั้ง 3 นาง ดังก้องป่า
จังหวะเดียวกันนี้ มีหมูป่ากำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างมา ท่าทางของมันตื่นกลัว ที่แท้มีม้า 3 ตัว กำลังควบไล่หมูป่าไม่ลดละ
หญิงสาวทั้ง 3 นาง วิ่งมาถึงบริเวณน้ำตก ทั้งสามยังคงหัวเราะร่าเริง ก่อนจะลุยลงไปเล่นน้ำในบริเวณที่น้ำตื้นๆ ริมตลิ่ง ส่วนหมูป่าก็วิ่งหนีมายังบริเวณใกล้ๆ น้ำตก
บุรุษผู้อยู่บนหลังม้าที่วิ่งนำหน้าและไล่ตามหมูป่าชะตาขาดมานี้ เขาคือ เจ้าชัยวิริยะ ในเครื่องแต่งกายของเจ้าเมืองขอมอันน่าเกรงขาม ทว่า ด้วยเครื่องประดับพิสดาร ใบหูมนุษย์ร้อยเป็นสร้อย ห้อยคออยู่นั้น บ่งบอกได้อย่างดีว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมร้ายกาจเพียงใด
องครักษ์ 2 คน ควบม้าไล่ตามหลังหมูป่ามาอย่างกระชั้นชิด เจ้าชัยวิริยะหยุดม้า พลางยกคันธนูขึ้นง้าง เล็งแลเพื่อหาจังหวะยิงหมูป่า ก่อนที่จะยิงธนูออกไปอย่างรุนแรง รวดเร็ว และแม่นยำ
หมูป่าถูกลูกศรพุ่งเข้าปักกลางลำตัวอย่างจัง มันส่งเสียงร้องดังลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลง เจ้าชัยวิริยะยิ้มสมใจในผลงาน บังคับม้าให้วิ่งทะยานไปยังหมูป่าตัวนั้น พร้อม 2 องครักษ์
ครั้นพอเจ้าชัยวิริยะกระโดดลงจากหลังม้า วิ่งเข้าไปดูฝีมือการล่าหมูป่าของตนแล้วชะงัก เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง 3 คน หัวเราะคิกคักดังแว่วเข้ามา เจ้าชัยวิริยะชะเง้อแลมองไปทางทิศที่มาของเสียง
เจ้าชัยวิริยะเห็นจากที่ไกลๆ ว่าเป็นหญิงสาว 3 นาง กำลังเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนาน องค์ประมุขแห่งบันทายศิลาเขม้นมอง ไปยังสตรีผู้เด่นสะดุด นางอยู่ในน้ำครึ่งตัว เสื้อผ้าเปียกแนบเนื้อ ดูงดงามและเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง นางค่อยๆ หันหน้ามาทางนี้
ที่แท้นางคือ อนิลทิตา ธิดาของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งแห่งบันทายศิลา อนิลทิตายังไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นถูกแอบมองอยู่
ใบหน้าเจ้าชัยวิริยะ ตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นอนิลทิตาถนัดตา และหลงรักทันที เจ้าชัยวิริยะ ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ ริมน้ำตกเพื่อจะดูให้ถนัดตา อีกที แต่เผลอเหยียบกิ่งไม้แห้ง จนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
อนิลทิตาเหลียวขวับมาทางต้นเสียงที่ผิดปกตินั้นทันที ท่าทางนางตื่นตระหนกเหมือนกวางตกใจกลัวกระนั้น แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ก็มีเสียงเรียกดังแว่วมาจากริมฝั่งอีกด้าน
“แม่หญิงอนิลทิตา”
อนิลทิตาหันกลับไปทางเสียงเรียก แลเห็นบ่าวหญิงคนหนึ่งยืนตะโกนเรียกอยู่ที่ริมฝั่งหน้าตาร้อนรนใจ
“แม่หญิง หนีออกมาไกลถึงที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ รีบกลับเถิด คุณพี่เลี้ยงบันดาสาถามหาใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
อนิลทิตาเหลียวกลับไปมองยังบริเวณที่เจ้าชัยวิริยะซุ่มอยู่อีกครั้ง ในใจยังสงสัยไม่คลาย
เจ้าชัยวิริยะรีบก้มลงฉากหลบทันที แล้วยังโบกมือให้องครักษ์ทั้ง 2 หลบลงอีกด้วย
อนิลทิตาเขม้นมองโดยรอบ แต่ไม่พบเห็นอะไรผิดปกติ บ่าวหญิงเห็นผู้เป็นนายไม่ยอมขึ้นจากน้ำสักทีก็ตะโกนเร่งอีก
“เร็วเถิดเจ้าค่ะ แม่หญิงอนิลทิตา”
อนิลทิตารีบขึ้นจากน้ำ เลิกสนใจต้นเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ บ่าวอีก 2 คนที่เล่นน้ำอยู่ด้วยกันรีบขึ้นตามกันไป
เจ้าชัยวิริยะชะโงกดูอนิลทิตาอีกครั้ง สีหน้าท่าทาง ยังตื่นเต้นไม่หาย ถึงกับพึมพำออกมา ในกิริยา และอารมณ์ลุ่มหลงสุดจะประมาณ
“อนิลทิตา”
เรือนที่พักของอนิลทิตา เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ในหมู่เรือนอีกหลายหลัง ข้าวของเครื่องใช้ตกแต่งมากมาย บอกฐานะอันมั่งคั่ง
ส่วนในห้องนอน ยามค่ำคืนนี้ อนิลทิตานั่งนิ่งอยู่ที่หน้ากระจก มีเครื่องประทินผิว เครื่องหอม หลายอย่างวางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าอนิลทิตาในกระจกงดงามอ่อนหวานในชุดเตรียมเข้านอน มีบ่าวหญิงช่วยสางผมอยู่
บันดาสาเดินเข้ามา พอบ่าวเห็นคุณพี่เลี้ยงก็ถอยออกไปอย่างเกรงกลัว ปล่อยให้อนิลทิตาอยู่กับบันดาสาตามลำพัง
“เมื่อกลางวันหนีไปเที่ยวมา ใช่ไหมเจ้าคะ” บันดาสาถามเสียงเคร่ง
“พี่บันดาสารู้ได้อย่างไร” อนิลทิตาทำท่าล้อเลียนหยอกเย้า “เอ๊ะ หรือที่พวกบ่าวไพร่ มันซุบซิบกันว่าพี่เป็นแม่มด มีเวทย์มนตร์อาคมขลังนั้นเป็นเรื่องจริง”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับพี่” บันดาสาตำหนิ “แม่หญิงไม่ควรออกไปเที่ยวเล่นไกลถึงน้ำตกโน่นนะเจ้าคะ มันอันตราย”
“ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหน ขืนพี่บันดาสาให้น้องอยู่แต่ในบ้าน น้องก็คงอึดอัดตาย”
บันดาสาเอ็ดอีก “นี่ถ้านายหญิงรู้เรื่องเข้า คงห้ามแม่หญิงออกจากบ้านอีก”
“ท่านแม่จะรู้ได้อย่างไร วันๆ ก็มัวแต่เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อแพรพรรณแลเครื่องประดับจากพ่อค้าที่มาจากอยุธยาอยู่ละ”
อนิลทิตาโต้
ตอนเช้าวันต่อมา บริเวณชายป่า ริมฝั่งแม่น้ำ อันเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นสถานที่พักแรมของพ่อค้าจากเมืองอยุธยาที่มาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า เวลานี้พวกเขากำลังทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในกองคาราวานใกล้ลำธาร
พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งนาม สินธุ เดินหิ้วถังน้ำออกมาจากบริเวณกองคาราวาน เพื่อจะไปตักน้ำในลำธารมาดื่มกิน เขาเดินปะปนมากับพ่อค้าคนอื่นในกองคาราวาน และแยกตัวไปทางต้นลำน้ำ
ข้างฝ่ายอนิลทิตาหาได้เชื่อฟังคำเตือนของบันดาสาไม่ ซ้ำร้ายวันนี้ นางยังหนีมาเล่นน้ำที่น้ำตกคนเดียวเพียงลำพัง นางแหวกว่ายเริงเล่นน้ำในแอ่งบริเวณน้ำตกอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
แต่พอว่ายเล่นไปได้สักพัก ก็เกิดชาบริเวณขาเพราะน้ำที่ว่ายเล่นอยู่นั้นเย็นมาก อนิลทิตาเป็นตะคริว และกำลังจะจมลงในน้ำ นางร้องตะโกนสุดเสียง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะที่สินธุตักน้ำขึ้นมา เขาได้ยินเสียงร้องนั้น มันดังมาจากบริเวณต้นลำธารทางฝั่งน้ำตก สินธุเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ เขาทิ้งถังน้ำ ออกวิ่งไปทางเสียงที่ได้ยิน
ร่างอนิลทิตาผลุบโผล่อยู่ในน้ำ กำลังจะจมแหล่มิจมแหล่ สินธุวิ่งเข้ามา ตกใจเมื่อเห็นร่างอนิลทิตาจมหายลงไปในน้ำต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มตัดสินใจกระโจนลงไปช่วยทันที
สินธุกลั้นหายใจพยายามดำน้ำตามหาอย่างร้อนใจ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ สินธุโผล่พรวดขึ้นมาสูดอากาศเหนือน้ำ แล้วกลั้นหายใจดำน้ำลงไปตามหาใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นอนิลทิตาจมอยู่ใต้ลำธาร นางใกล้จะหมดสติแล้ว
สินธุตัดสินใจใช้ปากประกบให้อากาศแก่อนิลทิตาทันควัน อนิลทิตาที่ใกล้จะสิ้นสติ กลับได้อากาศมีสติขึ้นมา วูบแรกนั้น นางตกใจมากที่เห็นว่าคนที่มาช่วยตนนั้นเป็นชายรูปงามและสิ้นสติไปในที่สุด
สินธุกอดประคองร่างแบบบางของอนิลทิตาไว้ ถีบตัวพากันขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วพาอนิลทิตาว่ายเข้าหาฝั่ง
สินธุอุ้มอนิลทิตาขึ้นฝั่ง วางร่างนางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มเหนื่อยหอบ ส่วนอนิลทิตายังมีท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง
“แม่หญิง” สุนธุเขย่าร่างอนิลทิตาเรียกสติ “แม่หญิง”
อนิลทิตาก็สำลักน้ำพรวดออกมา สินธุยิ้มอย่างดีใจ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านที่ช่วยข้าไว้”
“ไม่เป็นไร”
อนิลทิตาพยายามจะยันกายลุกขึ้น แต่กลับซวนเซ สินธุประคองเอาไว้
“เจ้านั่งพักก่อนเถิด”
อนิลทิตาเขินอาย ที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของชายแปลกหน้า นางผละตัวออก
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร พักอยู่ที่ไหน ข้าจะพาไปส่ง” สินธุถามด้วยน้ำเสียงอาทร
“ข้าชื่อ...”
อนิลทิตายังไม่ทันพูดจบคำ บ่าวหญิงสองคน ก็วิ่งมาทางนี้ พร้อมกับตะโกนเรียก
“แม่หญิง...อนิลทิตา”
เบื้องแรกทั้งสองคนได้ยินเสียงไม่ถนัดนัก จนเสียงดังเข้ามา
“แม่หญิง...อนิลทิตา”
สินธุและอนิลทิตาที่ประคองกันอยู่ต่างคนต่างตกใจ รีบผละออกจากกัน บ่าวทั้งสองคนตกใจที่เห็นชายหนุ่มอยู่กับอนิลทิตา รีบเข้าไปประคองนายหญิงแทน บ่าวหญิงทั้งสองพยุงอนิลทิตาลุกขึ้น รีบพาเดินออกไป ก่อนไปอนิลทิตาหันกลับมามองสินธุด้วยแววตาซาบซึ้งประทับใจ
สินธุเองก็มองตามไม่ละสายตา พึมพำออกมา
“อนิลทิตา ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะนัก”
ภายในห้องพักของบันดาสาเวลานี้ กลิ่นควันจากกำยานที่กำจายคลุ้งไปทั่วห้อง ยิ่งทำให้บรรยากาศดูทะมึน ผนังห้องด้านหนึ่งมีแท่นวางเทวรูปมากมาย และที่โดดเด่นกว่าเทวรูปองค์อื่นๆ คือองค์เจ้าแม่กาลี เบื้องหน้ามีเครื่องบูชาวางถวาย
บันดาสานั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนยกพื้นหน้าเทวรูปเจ้าแม่กาลี โดยมีสองบ่าวที่คอยรับใช้อนิลทิตานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น สักครู่หนึ่งบันดาสาลืมตาขึ้น หันมาหา กำตะปูอาคมสาดออกไปที่บ่าวสองนาง ตะปูจมหายเข้าไปใต้ผิวในพริบตา
สองบ่าวดิ้นรน ร้องครวญครางโอดโอย ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง บันดาสาลุกขึ้น เดินเข้าหาสองบ่าวที่นอนดิ้นอยู่ด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“นี่คือโทษของการละเลยหน้าที่ ดีนะ ที่แม่หญิงอนิลทิตาไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้น เจ้าทั้งสองจักต้องตาย”
บ่าวทั้งสองดิ้นครวญครางน่าเวทนา
บ่าว 1 อ้อนวอน “ข้าผิดไปแล้ว คุณพี่เลี้ยงบันดาสาโปรดอภัยด้วย”
“เจ้าสองคนไปเก็บข้าวของออกไปจากเรือน ณ บัดนี้ แล้วไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
บันดาสาจะเดินออกไปจากห้อง บ่าวทั้งสองกัดฟันอดทนความเจ็บปวด รีบคลานเข่าไปจับขา
บันดาสา ขอความเมตตา
“ตะปูในตัวข้าเล่า จะเอาออกอย่างไร” บ่าว 1 ว่า
บ่าว 2 ร้องไห้ “แล้วพวกเราจะตายรึไม่”
“ไม่ถึงตายหรอก ข้าจะให้พวกเจ้าลิ้มรสความทรมานสักครู่ อีกไม่เกินสองชั่วยาม ตะปูนี้จะหายไปเอง”
อนิลทิตาในเสื้อผ้าชุดใหม่แง้มม่านแอบดูสินธุที่นั่งคอยบันดาสาอยู่บริเวณห้องรับรองในเรือน หน้าตาของนางยังดูซีดเซียวอิดโรยอยู่มาก สักครู่หนึ่งจึงเห็นบันดาสาเดินเข้าไปหาสินธุ
แล้วส่งอะไรบางอย่างให้เขา เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“นี่คือรางวัลที่เจ้าช่วยชีวิตแม่หญิงเอาไว้”
สินธุมองของในมือบันดาสา เห็นเป็นถุงใส่เงินถุงใหญ่ สินธุส่ายหน้า
“ข้าช่วยชีวิตแม่หญิงอนิลทิตา มิได้หวังรางวัลใด”
บันดาสาแปลกใจที่สินธุปฏิเสธเงินรางวัล
“แล้วเจ้าหวังสิ่งใด”
“ข้ามิได้หวังสิ่งใด ขอเพียงแม่หญิงรอดชีวิต ข้าก็ดีใจยิ่งแล้ว”
อนิลทิตามองสินธุอย่างประทับใจ
“ฝากอวยพรให้แม่หญิงหายดีโดยเร็ววันด้วยก็แล้วกัน”
สินธุก้มหัวให้บันดาสานิดหนึ่งเป็นเชิงลา แล้วเดินออกไป
บันดาสาเรียกไว้ “เดี๋ยว”
สินธุชะงัก เขาหันกลับมามองบันดาสา สีหน้าเป็นเชิงถามว่าต้องการอะไรอีก
“เจ้าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
อนิลทิตายังคงแอบดูอยู่ที่เดิม จดสายตาจับจ้องอยู่ที่สินธุโดยเฉพาะ ในทุกอากัปกิริยาของเขา
อนิลทิตามองจ้องด้วยแววตาลึกซึ้ง คลี่ยิ้มระบายบนใบหน้างาม ด้วยพึงใจในตัวสินธุ โดยเปิดเผย
บันดาสาเดินกลับเข้ามา อนิลทิตารีบผละจากหน้าต่างวิ่งไปหา
“พี่บันดาสา...คนที่ช่วยข้าเขาเป็นใคร”
“เขาเป็นพ่อค้าที่เพิ่งมาจากอยุธยา ชื่อสินธุเจ้าค่ะ”
“สินธุ”
อนิลทิตาทวนชื่อของเขาออกมาเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า ดูออกว่านางหลงรักสินธุจนหมดหัวใจ
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตอนเช้า อีกวันหนึ่ง อนิลทิตา พร้อมบ่าวหญิงผู้ติดตาม 1 คน เดินเข้ามาในกองคาราวานของพ่อค้าอยุธยา ซึ่งตั้งสินค้าสำหรับขายเรียงรายอยู่เป็นแถว อนิลทิตาเดินนำ มีบ่าวเดินตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นกังวล
“แม่หญิงมาที่นี่ทำไมเจ้าคะ นี่ถ้าคุณพี่เลี้ยงรู้...”
อนิลทิตาชิงพูดตัดบท “เจ้าก็อย่าแพร่งพรายให้พี่บันดาสารู้สิ ข้าแค่อยากจะมาขอบคุณคนที่ช่วยชีวิตข้าด้วยตนเอง”
ระหว่างนี้ทหารองครักษ์คนที่เคยติดตามเจ้าชัยวิริยะไปล่าหมูป่ากำลังเดินเลือกดูของอยู่อีกมุมหนึ่ง จนเมื่อเห็นอนิลทิตาก็แปลกใจ จึงเดินตามาห่างๆ โดยที่อนิลทิตาไม่รู้ตัว
สินธุอยู่ในกระโจมที่พักของเขา และกำลังหยิบสร้อยคล้องเหรียญท้าวเวสสุวัณขึ้นมาประนมนิ่งคล้ายบูชา เอาฤกษ์เอาชัย จากนั้นจึงเอาสร้อยคล้องคอ
เหรียญจากสร้อยนั้นระลงที่อกแกร่งของสินธุ เป็นใบหน้าท้าวเวสสุวัณที่ทั้งเข้มขลัง
กลุ่มพ่อค้าจากอยุธยา ตั้งร้านขายของเป็น สี่แถวยาว เว้นช่องให้คนเดินเลือกซื้อ สินค้าที่นำมาขายมีทั้งผ้าจากอินเดีย เปอร์เซีย และจีน เครื่องกระเบื้อง เครื่องลายครามจากจีน เครื่องทองเหลือง ตลอดจนถ้วยโถโอชาม มากมาย
สินธุ จัดร้านอยู่ เขาเรียงผ้าสวยงามที่นำมาจาก อินเดีย เปอร์เซีย และจีน มากมายหลายผืนอย่างเป็นระเบียบ อนิลทิตา เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าสินธุ มีบ่าวคอยดูแล สินธุเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจแกมดีใจ
อนิลทิตาเปิดปากทักทาย “ท่านสินธุ”
“แม่หญิงอนิลทิตา ท่านมาถึงที่นี่ มิทราบต้องการสินค้าใด”
อนิลทิตายิ้มให้ “เมื่อวันก่อน พี่บันดาสาบอกข้า ว่าท่านปฏิเสธรางวัลที่ช่วยข้า แต่ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้ชีวิตใคร” พลางส่งนางถุงเงินให้เขา
สินธุยิ้ม รับถุงเงินมา เปิดดูเห็นเป็นเงินจำนวนมาก สินธุยิ้มให้อนิลทิตา
“ข้าช่วยคนมิได้หวังรางวัลใด” ครั้นเห็นอนิลทิตาส่ายหน้า ยืนยันให้ตนรับ สินธุจึงว่า “ถ้าหากจะให้ข้ารับไว้ ข้าขอตอบแทนแม่หญิงด้วยสิ่งอื่นก็แล้วกัน”
สินธุถือวิสาสะจูงมืออนิลทิตาไปที่กระโจมหลังร้าน บ่าวหญิงตาโต ตกใจจะเข้ามาดึงมือเขาออก อนิลทิตาส่ายหน้าห้ามว่าไม่เป็นไร
อนิลทิตายอมให้สินธุจูงมือไปโดยดี แต่ไม่วายถาม
“เจ้าจะพาข้าไปหนใด”
สุดท้ายสองหนุ่มสาว มาหยุดที่หน้าหีบใหญ่ใบหนึ่งตรงด้านหลังกระโจม สินธุปล่อยมือ อนิลทิตายังรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือนั้นอยู่ สินธุหันไปเปิดหีบผ้า หยิบผ้าพื้นขาวดอกม่วงงดงามออกมาหนึ่งผืน
“นี่คือผ้าย่ำมะหวาด เป็นผ้าลายอย่างดีเนื้อละเอียดจากอินเดีย เป็นผ้าที่ดีที่สุดที่ข้ามี”
ดวงตาอนิลทิตาเป็นประกาย จะยื่นมือไปรับ
“ข้าตกลงซื้อผ้าผืนนี้”
สินธุเปลี่ยนใจคลี่ผ้าออก คลุมไหล่ให้อนิลทิตา พร้อมกับกระซิบเสียงอ่อนหวานนุ่มหู
“มันงดงามเหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก”
สินธุตระกองกอดอนิลทิตาไว้ อนิลทิตาวาบหวามเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด
สินธุมองอนิลทิตาอย่างดื่มด่ำ ทั้งสองจุมพิตกันและกัน โดยมิอาจหักห้ามใจ
สองคนไม่รู้ว่าที่ด้านนอกกระโจม ทหารองครักษ์ของเจ้าชัยวิริยะ สอดส่องสายตามองผ่านระหว่างรอยแยกของผ้ากระโจม แอบดูอยู่ และมันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ตำหนักเจ้าชัยวิริยะ ตั้งอยู่กลางเวียงวังบันทายศิลา ภายนอกอาคารเป็นเรือนไม้โอ่อ่า ภายในตกแต่งอย่างเข้มขลัง มีเขากวาง เขากระทิง มากมาย ประดับอยู่ที่ฝาผนัง บ่งบอกว่าเป็นคนโหดร้าย ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ภายในห้องโถงประทับมีหนังเสือปูอยู่บนที่นั่ง เจ้าชัยวิริยะนั่งอยู่บนตั่งเหนือหนังเสือนั้น
องครักษ์ที่เห็นเหตุการณ์ในตลาด เข้ามารายงานเจ้าชัยวิริยะทุกอย่างที่มันรู้เห็นมา สีหน้าเจ้าชัยวิริยะถมึงทึงไม่พอใจมาก
“ไอ้พ่อค้าต่างเมือง มันบังอาจนัก”
“พระเจ้าค่ะ แม่หญิงอนิลทิตาก็มีท่าทางพึงใจพ่อค้านั่น”
เจ้าชัยวิริยะกำมือแน่นอย่างแค้นจัด
“ข้าจะต้องเร่งรัดให้แม่หญิงมาเป็นของข้าโดยเร็ว จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาแย่งชิงของที่ข้าหมายตาไว้ไปได้”
เจ้าชัยวิริยะยิ้มร้ายกาจอย่างหมายมาด ดูออกว่ามีแผนร้ายบางประการ
ฟากฝ่ายอนิลทิตา หลังกลับจากตลาด นางก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในในห้องนอน บนเรือน เอาผ้าผืนสวยที่สินธุให้ห่มคลุมตัวอย่างมีสุขล้น บันดาสาเดินเข้าห้องมา มองกิริยานายอย่างพิจารณา ท่าทีระแวง
“แม่หญิงไปได้ผ้าผืนนี้มาจากที่ใด”
อนิลทิตายิ้ม ไม่ยอมตอบ ดวงตาเคลิ้มฝัน ชื่นชมผ้าอยู่อย่างนั้น
“งามไหมพี่บันดาสา”
“แม่หญิงไปที่กองคาราวานของพ่อค้าอยุธยามาใช่ไหม”
“ใครๆ ก็ไปกัน เหตุใดข้าจะไปบ้างไม่ได้” อนิลทิตากระชับผ้ากิริยาเคลิ้มฝัน “หากเชื่อคำพี่ อยู่แต่ในบ้าน มีหรือจะได้พบผ้างามเช่นนี้”
บันดาสามองดูอาการหลงใหลผ้าของอนิลทิตาด้วยท่าทีไม่สบายใจ ทำได้แค่พูดดักคอ
“ที่แม่หญิงชื่นชม คือผ้าหรือเจ้าของผ้ากันแน่”
“คนที่ว่า ก็คือคนที่ช่วยชีวิตข้า เหตุใดข้าจะไม่ชื่นชมเขาล่ะ” อนิลทิตารีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ที่พี่บันดาสามาหาน้อง จะมาถามเรื่องผ้าหรือมีเรื่องอื่นกันแน่”
บันดาสาบอกว่า “นายหญิงให้มาตามแม่หญิงไปหาเจ้าค่ะ”
นายหญิงแม่ เศรษฐีนีม่ายวัยกลางคน ผู้เป็นมารดาของอนิลทิตานั่งอยู่ที่เตียงในห้องนอน อนิลทิตาลงนั่งอยู่ข้างๆ ใกล้ๆ กัน นายหญิงมองลูกสาวอย่างชื่นชมในความงดงาม
“แม่มีเรื่องจะบอกเจ้า” นายหญิงเยื้อนยิ้ม เปิดปากบอกลูกสาวด้วยความปลาบปลื้มใจสุดๆ “เจ้าชัยวิริยะส่งคนมาบอกแม่ให้เจ้าเตรียมตัวอภิเษก เป็นชายาของท่าน”
อนิลทิตาตะลึง ตกใจสุดขีด “อะไรนะเจ้าคะ”
ขณะเดียวกันที่ตำหนักเจ้าชัยวิริยะ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้แทนไปสู่ขอกำลังรายงานต่อเจ้าเหนือหัวอยู่
“นายแม่ของแม่หญิงอนิลทิตายินดียิ่งนัก และจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามพระบัญชา ในทันทีพระเจ้าค่ะ”
สีหน้าเจ้าชัยวิริยะที่นั่งรับฟังรายงาน ระบายยิ้มออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด
ฟากอนิลทิตาปฏิเสธผู้เป็นมารดา น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างรวดเร็ว
“ไม่เจ้าค่ะ”
นายหญิงแม่ตกใจที่อนิลทิตาปฏิเสธเจ้าชัยวิริยะ
“เป็นตายร้ายดีอย่างไร ลูกก็ไม่ยอมเป็นบาทบริจาริกาของเจ้าชัยวิริยะเป็นอันขาด” อนิลทิตายืนกราน
“ทำไมพูดเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการปฏิเสธพระประสงค์ของเจ้าเหนือหัวจะเป็นเช่นไร”
อนิลทิตายังดื้อดึง “แต่เจ้าชัยวิริยะเป็นคนมักมาก มีนางสนมเป็นร้อยเป็นพัน อีกทั้งยังเป็นคนโหดเหี้ยมชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซ้ำยังวิปริต เมื่อฆ่าคนแล้ว ยังตัดเอาใบหูมาร้อยห้อยอยู่ที่คอ น่าเกลียดน่าชังนัก”
นายหญิงแม่รีบปิดปากลูกสาว “อย่าพูดดังไปอนิลทิตา” พลางเหลียวซ้ายแลขวากลัวใครมาได้ยินคำพูดนี้ “ประเดี๋ยวใครมาได้ยินคำพูดของเจ้าเข้า เจ้าอาจหามีชีวิตต่อไปไม่”
อนิลทิตาบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “ลูกไม่กลัว! ถ้านายแม่บังคับให้ลูกอภิเษกกับเจ้าชัยวิริยะจริงๆ ละก็ ลูกก็จักฆ่าตัวตาย”
นายหญิงแม่ตะลึงกับคำพูดของธิดาสุดสวาท
อนิลทิตามีดวงตาแข็งกร้าว สมองครุ่นคิดหาทางออก และดูออกว่านางไม่ยินยอมแต่งงานกับเจ้าชัยวิริยะแน่
ค่ำคืนนั้น อนิลทิตาร้อนรนใจมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ ตัดสินใจใช้ผ้าที่สินธุให้ คลุมหัวปิดหน้าลอบออกมาหาสินธุที่กระโจมในกองคาราวาน
“สินธุ สินธุ” อนิลทิตาร้องเรียกเบาๆ
สินธุได้ยินเสียงจึงเปิดกระโจมออกมาดู
“ใคร...”
สินธุมองไปมุมหนึ่งเห็นอนิลทิตาคลุมผ้าของเขาอยู่ก็จำได้ อนิลทิตาเลื่อนผ้าลงมาที่ไหล่ แม้ในแสงดาวสินธุก็เห็นชัดว่าใบหน้าอนิลทิตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ น้ำตาไหลรินเป็นทาง
อนิลทิตาซึ่งกำลังต้องการที่พึ่ง โผเข้าในอ้อมกอดของสินธุเต็มรัก สินธุเก้กังตกใจนิดๆ ในเบื้องแรก แล้วจึงกอดกระชับร่างอนิลทิตาแน่นขึ้น เมื่อตั้งสติได้จึงจูงมือพาอนิลทิตาเข้าไปในกระโจม สองคนลงนั่งที่ตั่งซึ่งใช้เป็นที่นอน
“ข้าจะทำอย่างไรดี สินธุ เจ้าชัยวิริยะส่งคนมาสู่ขอข้ากับท่านแม่ แล้วจะให้ข้าเข้าพิธีอภิเษกให้เร็วที่สุด
สินธุตกใจ “เจ้าชัยวิริยะ ท่านเจ้าเมืองน่ะรึ”
อนิลทิตาพยักหน้าบอกด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยว “แต่ข้าไม่ต้องการเป็นพระชายาของเจ้าชัยวิริยะ...ข้าจะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ข้าไม่รักเป็นอันขาด”
สินธุตั้งสติได้ ตัดสินใจถามออกไปว่า “แล้วเจ้าจะยอมแต่งงานกับข้าหรือไม่ ถ้าเราแต่งงานกัน เจ้าชัยวิริยะจะได้เลิกยุ่งกับเจ้า”
ครู่ต่อมาสินธุจับไหล่อนิลทิตา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มองจ้องเข้าไปในดวงตาของนางอันเป็นที่รัก
“ข้ารักเจ้า อนิลทิตา รักตั้งแต่แรกเห็น…หมดทั้งหัวใจ”
อนิลทิตาเขิน “ชีวิตของข้าเจ้าช่วยไว้ หัวใจของข้าเป็นของเจ้าตั้งแต่วันนั้น”
สินธุมองซึ้ง ใช้มือข้างหนึ่งซับน้ำตาที่สองแก้มของอนิลทิตาอย่างทะนุถนอม
อนิลทิตามองสินธุด้วยดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก สินธุบรรจงจูบอนิลทิตาด้วยความรัก
ทั้งสองคนเอนตัวลงบนตั่ง เห็นมือทั้งสองสอดประสานกันอย่างนิ่มนวลละมุนละไม
เวลาแห่งความสุขผ่านไป สินธุนอนกอดอนิลทิตาอยู่บนตั่ง ใบหน้าสุขล้นเปี่ยมไปด้วยความรัก อนิลทิตากลับมีสีหน้ากังวล
“เจ้าชัยวิริยะเป็นคนโหดเหี้ยม เขาจะต้องไม่ปล่อยเราทั้งสองไปแน่”
“ข้าจะพาเจ้าหนีไปด้วยกัน เจ้ายอมทิ้งทุกอย่างไปกับข้าหรือไม่”
“ทั้งกายและใจข้าเป็นของเจ้า เจ้าไปไหนข้าก็ไปด้วย”
“เราต้องไปโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป”
“ข้าจะกลับบ้านไปเก็บของ คืนพรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าที่นี่”
“แล้วเราจะหนีไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ให้พ้นจากอำนาจของเจ้าชัยวิริยะ”
ที่โถงกลางตำหนักเจ้าชัยวิริยะ วันต่อมา ภายในนั้นมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนสนิทของเจ้าชัยวิริยะคนเดิมเข้าเฝ้าอยู่ ทหารองครักษ์จำนวน 2 คน อารักขาอยู่ด้านหน้า
จู่ๆ จอกเหล้าในมือเจ้าชัยวิริยะ ถูกเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจายเสียงดังสนั่น นายหญิงแม่ มารดาของอนิลทิตาที่หมอบเฝ้าเจ้าเหนือหัวอยู่ด้วยสะดุ้งสุดตัว ออกอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น
เจ้าชัยวิริยะย้อนถาม “ลูกสาวเจ้ากล้าปฏิเสธเราเชียวรึ”
“คือ...ลูกสาวหม่อมฉัน ซาบซึ้งในพระกรุณา แต่ทว่านาง...นางว่านางมีชายคนรักแล้วเพคะ”
“บังอาจนัก! มันผู้นั้นเป็นใครกัน”
จังหวะนี้เององครักษ์ที่ติดตามดูอนิลทิตา เดินเข้ามาในห้อง ถวายเคารพ แล้วเดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเจ้าเหนือหัว
เจ้าชัยวิริยะมีสีหน้าโกรธแค้นถึงขีดสุด
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน ขณะที่ทุกคนกำลังหลับไหลอยู่นั้น กลุ่มทหารของเจ้าชัยวิริยะ 4-5 คน บุกกระโจมที่พักหัวหน้าพ่อค้าคาราวานจากอยุธยา ทหาร 1 ขยุ้มคอพ่อค้าถามเสียงห้วน
“อ้ายคนที่ชื่อสินธุมันอยู่ที่ใด”
พ่อค้าลนลานหวาดกลัว เมียพ่อค้ายกมือไหว้กลุ่มทหารปลกๆ ขอชีวิต
พอพ่อค้าชี้มือไปทางกระโจมสินธุ ทหารฟันพ่อค้า และเมีย ขาดใจตายคาที่ แล้วจึงผละออกไปทางกระโจมของสินธุทันที
ทหารเปิดกระโจมสินธุ พุ่งเข้าไป มองไปยังร่างที่นอนคลุมโปงอยู่บนที่นอน ยกดาบในมือขึ้นปักลงไปที่ร่างนั้นสุดแรง แต่แล้วก็รู้ในบัดดลว่าไม่ใช่คน ทหารเปิดผ้าดูเห็นเป็นเพียงม้วนผ้าอยู่ข้างใต้
ที่แท้สินธุแอบอยู่ข้างหลังถีบทหารคะมำไป ทั้งคู่ต่อสู้กัน สุดท้ายสินธุแย่งดาบมาได้ เขาจ่อดาบกับคอทหารคนนั้น บังคับให้มันค่อยๆ คุกเข่าลง
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาลอบสังหารข้า”
ยังไม่ทันที่ทหารจะตอบอะไร เจ้าชัยวิริยะก็ก้าวพรวดเข้ากระโจมมาอย่างรวดเร็ว แทงดาบทะลุหลังสินธุด้วยความแค้น เจ้าชัยวิริยะดึงดาบออกมาสุดแรง ถีบร่างสินธุลงไปนอนกองกับพื้นไม่รู้เป็นหรือตาย
“ก่อนที่เจ้าจะตายอย่างงมงาย ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ ข้าคือเจ้าชัยวิริยะ เจ้าบังอาจหมายปองหญิงคนเดียวกับข้า...อนิลทิตา เจ้าจึงต้องมีจุดจบเช่นนี้ ฮ่าๆๆๆ”
เจ้าชัยวิริยะหัวเราะอย่างสะใจ แล้วใช้ดาบตัดใบหูข้างขวาของสินธุออกมา เป็นการทำเครื่องหมายว่าได้พิชิตศัตรูไปอีกหนึ่งราย
ฝ่ายอนิลทิตาอยู่ในห้องนอน รอเวลาที่นัดหมายกับสินธุ นางพยายามทำตัวเป็นปกติไร้พิรุธใดๆ นั่งนิ่งให้บ่าว 1 สางผมอยู่หน้ากระจก มือของนางลูบไล้เนื้อผ้าผืนที่ได้จากสินธุซึ่งใช้ห่มตัวอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ กระจกก็แตกร้าวเป็นทางยาว โดยไม่มีสาเหตุ
อนิลทิตาตะลึง มองผวา ท่าทีหวาดกลัว “อะไรกัน”
บ่าว 1 อุทาน “ลางร้าย”
จังหวะนี้เอง บ่าว 2 เปิดประตูพรวดเข้ามา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ แม่หญิง”
ไม่นานต่อมา อนิลทิตาเดินแกมวิ่งท่าทางร้อนรน สะพายห่อผ้าขนาดย่อมบนบ่า เมื่อเข้ามาในบริเวณที่ตั้งกองคาราวานพ่อค้า พบว่าทั่วทั้งบริเวณเกลื่อนไปด้วยศพพ่อค้าแม่ขาย คนที่ยังไม่ตายก็ร้องครวญครางโหยหวน ไฟไหม้เป็นหย่อมๆ และกำลังลุกลามไปทั่วบริเวณ
อนิลทิตาเดินผ่านกระโจมต่างๆ ไป เห็นพ่อค้าถูกฆ่าตายในอีกหลายกระโจม อนิลทิตาใจเสียและหวั่นกลัวเหลือเกิน แต่ก็แข็งใจเดินตรงไปที่กระโจมของสินธุ
อนิลทิตาวิ่งมาถึงหน้ากระโจมที่พักสินธุ ชะงักเมื่อเห็นภายในกระโจมเงียบ และเริ่มติดไฟ อนิลทิตาเปิดกระโจมเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อนิลทิตาเดินพรวดเข้ามาภายในกระโจม เห็นสินธุนอนหงายอยู่กับพื้น อนิลทิตาผวาเข้าไปหาสินธุ พอเห็นอาการของสินธุที่เพียบหนัก อนิลทิตาก็ร้องไห้ น้ำตาหยดรินรดลงบนหน้าสินธุ ทำให้สินธุซึ่งยังไม่ตายสนิท ค่อยๆปรือตาขึ้นมอง เมื่อรับรู้ว่าเป็นอนิลทิตาก็รวบรวมเรี่ยวแรงฝืนยิ้มให้
สินธุพยายามพูด “อ นิล ทิ ตา...”
อนิลทิตาร้องไห้ “สินธุ เจ้าต้องไม่เป็นอะไร”
“ข้ารู้ตัวดี เป็นห่วงแต่เจ้า”
“ข้าจะพาเจ้าไปรักษา”
“ไม่...ฟังข้า เจ้าชัยวิริยะต้องไม่ปล่อยเจ้าแน่ เจ้าต้องหนี อนิลทิตา ข้าไม่อาจอยู่ช่วยเจ้าได้อีกต่อไป”
“ไม่...เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“นี่คือเหรียญท้าวเวสสุวัณ เป็นสมบัติที่ข้ารักมาก มอบให้แก่เจ้าแทนใจข้า”
อนิลทิตารับเหรียญไว้ “เจ้าตายไม่ได้ เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“ถึงข้าจะตาย...ข้าจักขอสาบานว่า...เกิดชาติหน้าฉันใด...ขอให้ได้พบเจอกับเจ้า...ขอให้ได้ร่วมเรียงเคียงหมอน เป็นคู่กัน...ทุกชาติไป” จากนั้นสินธุก็สิ้นลมขาดใจตายไป
อนิลทิตากรีดร้องลั่นร่ำไห้ หัวใจแตกสลาย “ไม่...”
พร้อมกับซบหน้าเกลือกกลิ้งกับศพสินธุอยู่อย่างนั้น
ภายในห้องนอนอนิลทิตา วันถัดมา อนิลทิตานั่งนิ่งหลับตาอยู่ มือของนางกำสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณของสินธุแนบกับอก ใบหน้าสวยเศร้าน่าเวทนา
คิดถึงคำพูดสุดท้ายของสินธุที่ฝากไว้ก่อนสิ้นใจตายผุดซ้อนขึ้นในห้องคิด
“ถึงข้าจะตาย...ข้าจักขอสาบานว่า...เกิดชาติหน้าฉันใด...ขอให้ได้พบเจอกับเจ้า...ขอให้ได้ร่วมเรียงเคียงหมอน เป็นคู่กัน...ทุกชาติไป” จากนั้นสินธุก็สิ้นลมขาดใจตายไป
อนิลทิตาลืมตาขึ้น แววตาเจ็บช้ำ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอาฆาตมาดร้าย
วันอภิเษกมาถึง อนิลทิตากำลังนั่งนิ่งให้นายหญิงแม่กับบันดาสา และบ่าวช่วยกันจับแต่งชุดเจ้าสาวสุดอลังการให้ มือของนางยังคงกำเหรียญท้าวเวสสุวัณที่ห้อยคออยู่ไม่ยอมปล่อย และไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
บันดาสาจับตามองสีหน้าอนิลทิตาตลอดเวลาด้วยความสงสารจับใจ
นายหญิงแม่ขอร้อง “สร้อยนั่นถอดออกเสียดีไหมลูก มันไม่เข้ากับเครื่องแต่งตัวเจ้าสาวของเจ้าเลย”
ทว่าอนิลทิตากำเหรียญแน่นท่าทางไม่ยอมถอดสร้อยง่ายๆ แน่ นายหญิงแม่ถอนใจ ยอมตามใจ แต่งตัวให้อนิลทิตาต่อ
“นี่ถ้าเจ้ายอมอภิเษกกับเจ้าชัยวิริยะเสียตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่อง แม่จักให้บันดาสาไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ในวังด้วย ไปเถิด จวนได้เวลาแล้ว”
“ข้าขออยู่คนเดียวสักครู่” อนิลทิตาเอ่ยขึ้น
นายหญิงแม่และบันดาสาเดินออกไป
ดวงตาของอนิลทิตามีแต่แววอาฆาตอยู่เต็ม นางเดินไปหยิบเครื่องประดับผมชิ้นหนึ่ง มีปลายแหลมเหมือนมีด ปักบนเรือนแทนเครื่องประดับ
ที่ตำหนักเจ้าชัยวิริยะเวลาเดียวกันนี้ กำลังโกลาหลได้ที่ บ่าวไพร่ เจ้านาย ชาววังกำลังจัดเตรียมงานอภิเษกของเจ้าชัยวิริยะกับอนิลทิตากันเป็นที่วุ่นวาย
ตกตอนกลางคืน บัดนี้ อนิลทิตานั่งอยู่บนที่นอนในห้องหอแล้ว มือของนางยังกำเหรียญของสินธุแน่น บันดาสาลงนั่งข้างๆ โอบไหล่ให้กำลังใจ
“พี่อยู่ห้องข้างๆ ถ้ามีอะไรเรียกพี่ได้...ตลอดเวลา...”
ยังไม่ทันที่บันดาสาจะพูดอะไรต่อไป เจ้าชัยวิริยะในชุดเจ้าบ่าวสุดอลังการก็เดินเข้ามา โบกมือไล่คุณพี่เลี้ยงให้ออกไปจากห้องหอ บันดาสากอดอนิลทิตาแน่นขึ้นอย่างปกป้อง
เจ้าชัยวิริยะเห็นบันดาสายังไม่ยอมขยับออกไปก็ตวาดเสียงลั่น
“ออกไปได้แล้ว”
บันดาสาจำใจถอย ลุกเดินออกไป แต่ตายังมองอนิลทิตาที่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเป็นห่วง
พอบันดาสาออกไป เจ้าชัยวิริยะยิ้มกริ่ม มองดูอนิลทิตาอย่างสมใจ เข้ามานั่งใกล้ ลูบผมอนิลทิตาอย่างหลงใหล อนิลทิตาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แต่เจ้าชัยวิริยะจับไหล่ทั้งสองข้างของอนิลทิตาตรึงไว้แน่นเตรียมพร้อมเผด็จศึก
อนิลทิตาเอนตัวลงบนที่นอน เจ้าชัยวิริยะโน้มหน้าเข้าหา มองอนิลทิตาอย่างหลงใหล
“เจ้างามจริงๆ เมื่อแรกที่เห็นเจ้าในระยะไกลข้าก็ว่าเจ้างามแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเจ้าใกล้ชิดเช่นนี้ จึงได้รู้ว่าเจ้างามไปทุกส่วน”
อนิลทิตา น้ำตาไหลรินรดแก้มนวล
“หญิงงามเยี่ยงเจ้าเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นเมียข้า หาใช่ไอ้ไพร่ต่างชาติคนขายผ้านั่นไม่”
ขาดคำนั้นเองเจ้าชัยวิริยะกระชากสร้อยท้าวเวสสุวัณออกจากคออนิลทิตาสุดแรง ขว้างทิ้งไปโดยไม่แยแส นัยน์ตาอนิลทิตาฉายโชน ความเคียดแค้นประทุขึ้นมาเป็นริ้วๆ เจ้าชัยวิริยะโน้มตัวกอดจูบซุกไซ้ดอมดมตามใบหน้าเนื้อตัวอนิลทิตาไม่วางเว้น
มืออนิลทิตาเอื้อมไปจับเครื่องประดับผมช้าๆ ดึงออกมาเห็นเป็นมีดแหลมเรียว นางกระชับมั่นในมือ แล้วจ้วงแทงด้วยความแค้นเต็มแรง มีดปักเข้าที่คอเจ้าชัยวิริยะอย่างจัง เลือดกระฉูดไหลพรู
“เจ้า”
เจ้าชัยวิริยะแค้นสุดขีด โถมเข้าบีบคออนิลทิตาแน่น หวังให้ตายไปตามกัน อนิลทิตาดิ้นหนี สุดชีวิต เอื้อมมือไปคว้าคนโททองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ฟาดเข้าที่ขมับอย่างจัง ร่างเจ้าชัยวิริยะเซไป
อนิลทิตารีบวิ่งลงจากเตียง เจ้าชัยวิริยะยังไม่ยอมง่ายๆ พุ่งตามไปทั้งๆ ที่บาดเจ็บเจียนตาย อนิลทิตาคว้าดาบที่มุมห้องเสียบแทงเข้าที่กลางลำตัว คราวนี้เจ้าชัยวิริยะผงะหงายลงบนเตียงขาดใจตาย เลือดแดงฉานไหลทะลักนองเต็มพื้นห้อง
“นี่คือการชดใช้ให้คนรักของข้า” อนิลทิตาคำรามในลำคอ
อนิลทิตาทิ้งมีดในมือที่เปื้อนเลือด ตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งไปเปิดประตู ร้องเรียกหาคุณพี่เลี้ยงเสียงสั่นสะท้าน
“พี่บันดาสา”
บันดาสาวิ่งมาในห้อง เห็นเจ้าชัยวิริยะนอนจมกองเลือดก็ตกใจ
“แม่หญิงทำอะไรลงไปนี่”
อนิลทิตาที่เพิ่งฆ่าคนตายเป็นครั้งแรก เริ่มมีสติ บันดาสาดึงมือพาอนิลทิตาหนี
“เร็วเถิดแม่หญิง !เราต้องรีบหนีก่อนที่ใครจะมาพบเข้า”
อนิลทิตาจับที่คอตัวเอง “ประเดี๋ยวก่อน”
อนิลทิตาเหลียวไปมองที่เตียง แล้ววิ่งกลับไป เห็นเจ้าชัยวิริยะนอนคว่ำหน้าอยู่ เลือดแดงฉานไปทั้งเตียง
อนิลทิตาทำหน้าขยะแขยง แล้วรีบควานหาสร้อยท้าวเวสสุวัณของสินธุ จนเจอที่มุมเตียง ขณะกำลังจะหยิบมา นางก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าชัยวิริยะที่ยังไม่ตายสนิทคว้ามืออนิลทิตาเอาไว้ จ้องหน้าอย่างโกรธแค้น อนิลทิตากรีดร้องด้วยความตกใจ
บันดาสาวิ่งเข้ามาช่วย หยิบมีดที่วางทิ้งอยู่บนเตียงจ้วงแทงเจ้าชัยวิริยะอีกหน คราวนี้เจ้าชัยวิริยะตายสนิท อนิลทิตาตะลึงค้าง บันดาสาฉุดมืออนิลทิตาให้วิ่งหนี
“ไม่ได้ ข้าต้องหาสร้อยของสินธุให้พบก่อน”
อนิลทิตาพยายามหาสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณอย่างร้อนรน บันดาสาอดทนรอเฉยๆ ไม่ไหว วิ่งเข้ามาช่วยหาอีกคนจนเจอ อนิลทิตาคว้าสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณไว้ แล้วสองนายบ่าวก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องไป
ทิ้งร่างเจ้าชัยวิริยะให้นอนตายตาเบิกโพลงไว้เพียงลำพัง
จังหวะนี้ทหารองครักษ์ 2 คน ซึ่งได้ยินเสียงเอะอะ รีบวิ่งเข้ามาภายในห้องบรรทมเจ้าเหนือหัวท่าทางร้อนรนใจ และต้องตะลึงสุดขีดเมื่อได้เห็นเจ้าชัยวิริยะสิ้นพระชนม์อยู่บนเตียงในสภาพอันน่าสยดสยอง
องครักษ์ 1ยังอยู่ในอาการช็อก ตกใจสุดขีด แต่รีบวิ่งเข้าไปที่พระศพ เอามือรองจมูกตรวจอาการพบว่าไม่มีลมหายใจแล้ว
“เจ้าเหนือหัวถูกลอบปลงพระชนม์”
องครักษ์ 2 บอกอย่างมั่นใจว่า “ต้องเป็นแม่หญิงอนิลทิตากับนางพี่เลี้ยงแน่ๆ พวกเราไปตามล่าพวกมัน”
บันดาสาสะพายย่าม จูงมือพาอนิลทิตาวิ่งหนีสุดชีวิต สองคนเล็ดลอดออกจากในวังได้ ก็วิ่งไปทางป่าทึบ ด้วยความรีบร้อนจังหวะหนึ่งอนิลทิตาเลยสะดุดหกล้ม
“พี่...ข้าไปไม่ไหวแล้ว”
บันดาสาเข้ามาประคอง “อดทนหน่อยแม่หญิง หากทหารหลวงตามมาทัน เราไม่รอดแน่”
บันดาสาเหลียวแลไปด้านหลัง เห็นคบไฟของทหารหลวงตามมาห่างๆ อีกไม่นานคงตามทัน
สองนายบ่าวใจเต้นระทึก สอดตามองหาหนทางเอาชีวิตรอด
จบตอนที่ 1 โปรดติดตามอ่านตอนที่ 2