xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หัวใจเถื่อน ตอนที่ 3

ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องไปยัง ราช รัชภูมิ ในจังหวะนี้ นิลรัตน์ พึงใจ ที่เพิ่งฉี่เสร็จวิ่งเข้ามาในงานเลี้ยง ทั้งสองสาวมองไปยังราชเช่นกัน ในอาการเนื้อเต้น

“อุ๊ย ตายักษ์โกนหนวดแล้ว”
ราชเดินไปร่วมกลุ่มกับ อนุและการัณย์
“มัวแต่โกนหนวดอยู่รึไง ปล่อยให้เพื่อนยืนเด๋ออยู่ตั้งนาน” การัณย์หมั่นไส้ แซวขำๆ
“จะเด๋ออะไร...โน่น” ราชชี้ไปทางสองสาว “น้องพึงใจ กับ น้องนิลรัตน์”
นิลรัตน์และพึงใจหันมายิ้มให้
“ไปคุยกับเขาซี่” ราชว่า
การัณย์ยิ้มย่อง “ก็รอแกพาไปแนะนำอยู่นี่ไง”
“ไป...”
ราชเดินนำเพื่อนไป

พิธีกร และนายห้างวิรัตน์ยังยืนอยู่บนเวทีนั้น
“และเพื่อให้ผู้มีเกียรติทุกท่านได้มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับคุณวารินอย่างทั่วถึงเราจึงมีกติกาการเต้นรำคืนนี้ ที่กำหนดโดยนายห้างเอง”
“เมื่อทุกท่านได้ยินเสียงกระดิ่งนี้” วิรัตน์ยกกระดิ่งขึ้นมาเขย่า “ท่านจะต้องสลับเปลี่ยนคู่เต้นทันที...ผมจะเป็นคนสั่นกระดิ่งด้วยตัวเอง ตามความเหมาะสมของผมเอง”

ราชเดินนำอนุและการัณย์เข้าไปหาสาวๆ ทั้งสามคนริมฟลอร์เต้นรำ
“สวัสดีครับ คุณนิลรัตน์ คุณพึงใจ...คุณวัชรีล่ะครับ” ราช ไม่ยอมทักอมาวสี
“เก็บตัวอยู่ค่ะ...คุณราชลืมทักยายอมารึเปล่าคะ”
“อ๋อ ชื่อเธอยาว ผมกลัวเรียกผิดน่ะครับ นี่เพื่อนผมครับ อนุ การัณย์” ราชยังบ่ายเบี่ยงเฉไฉ
“จำได้ค่ะ” สองสาวประสานเสียง
“ผมชวนมา ให้รู้จักกับวารินไว้ เผื่อต่อไปมีอะไรพึ่งพากันได้”
“ขออนุญาตนะคะ...เดี๋ยวมาค่ะ” พึงใจกระซิบกับนิลรัตน์อีก “ไป ฉี่”

พิธีกรเจ้าเก่าวาดลวดลายเม้าท์น้ำลายแตกฟองอยู่บนเวที
“และแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน ครื้นเครง...เราจะเปิดฟลอร์เต้นรำด้วยคู่เต้นคู่แรก...คุณวาริน รัตนพงษ์ และ คุณวัชรี รัตนพงษ์ น้องสาวของเขาเองครับ”
วงดนตรี บรรเลงเพลงจังหวะวอลทซ์ แขกในงานตบมือกันทุกคน วัชรีเดินสวยออกมายืนกลางฟลอร์ วารินก้าวเข้าไปประชิดตัวน้องสาว
แล้วทั้งคู่ก็เต้นรำกันในจังหวะเพลงวอลทซ์ อย่างสวยงาม

วารินและวัชรี โลดแล่นอยู่กลางฟลอร์ วัชรีนัดแนะพี่ชาย
“เดี๋ยวพอป๋าสั่นกระดิ่งปั๊ป คุณพี่ก็ไปโค้งยายอมาเลยนะ”
“เออ รู้แล้วน่า...”
“แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น ยายพึง หรือนิลรัตน์ก็ได้...แล้วก็วนกลับไปที่อมาอีก...วนอยู่แค่นี้แหละ”
“จะดีเหรอ...แล้วแขกคนอื่นๆล่ะ”
“ช่าง...ไม่ต้องเต้นกับคนอื่นอีกแล้วนะ ไก่กาทั้งนั้น”
“นี่ทำหน้ายิ้มๆหน่อย คนอื่นจะนึกว่าเราทะเลาะกัน”
วัชรีปั้นหน้ายิ้มกว้าง
“มาทางนี้ซี่ ยายอมาอยู่ทางนี้...เร็วคุณป๋าจะสั่นกระดิ่งแล้ว”
วัชรีเต้นนำวาริน เคลื่อนไปใกล้ๆตำแหน่งที่อมาวสียืนอยู่ แขกสาวๆ ในงานขยับตัวมายืนรอริมฟลอร์

จังหวะนี้ราชพูดลอยๆ ข้างๆ อมาวสี
“พนันกันได้เลยว่านายวารินกำลังจะมาขอคุณเต้น”
“ดิฉันไม่ชอบเล่นการพนันค่ะ”

บนเวที นายห้างวิรัตน์ หยิบกระดิ่งขึ้นมาสั่นใส่ไมโครโฟน วารินโค้งให้วัชรี แล้วหมุนตัวมองหาสาวคนที่เขาชื่นชอบ วารินไปหยุดเบื้องหน้าอมาวสี แล้วโค้งให้อมาวสี
“ให้เกียรติเต้นรำกับพี่หน่อยนะ”
อมาวสียิ้มตอบ แล้วก็จูงกันเข้าไปเต้นกลางฟลอร์

วัชรีมองพี่ชายกับอมาวสีแล้วยิ้มชอบใจ วัชรีมองหาราชจนเจอ เธอส่งยิ้มหวานให้เขา ราชยิ้มตอบ แล้วเดินตรงไปโค้งวัชรีกลางฟลอร์
ส่วนอนุและการัณย์ อนุหันไปโค้งให้นิลรัตน์ การัณย์หันไปโค้งให้พึงใจ ทั้งหมดออกไปเต้นกลางฟลอร์

กลางฟลอร์เต้นรำยามนี้ คู่เต้นรำทุกคู่มีความสุขล้นอยู่กลางฟลอร์

วารินเต้นรำคู่กับอมาวสีอย่างมีความสุข
“น้องอมาวสีเต้นรำเก่งนะ”
“เพิ่งหัดพร้อมๆกับยายวัชรีค่ะ”
“อย่าบอกนะ ว่าหัดเพื่องานพี่โดยเฉพาะ”
“ค่ะ เพื่องานนี้โดยเฉพาะ”
“พี่ก็เหมือนกัน ไม่งั้นมีหวังปล่อยไก่แน่”
“จริงเหรอคะ”
“จริง ปกติแล้ว เรื่องเต้นรำพี่ยอมแพ้จริงๆ...แปลว่าเราเริ่มมีอะไรเหมือนๆกันแล้วนะ ชุดที่น้องอมาใส่นี่ก็สีประจำตัวพี่เลยหละ แสดงว่าเรารสนิยมเดียวกัน”
“อ๋อ...ยายวัชเลือกให้ค่ะ...รสนิยมยายวัช” อมาวสีว่า
วารินร้อง “อ้าว”

ฝ่ายราชที่เต้นรำคู่กับวัชรี ทั้งคู่เหลือบมองไปทางวาริน
“พี่ชายคุณดูมีความสุขมากเลยนะครับ...หัวเราะเหมือนเด็กๆเลย”
“เธอแอบชอบยายอมาค่ะ”
“ไม่แอบแล้วมั้งครับ โจ่งแจ้งซะขนาดนี้” ราชว่า
“ยังไงๆ คุณราชก็ช่วยเชียร์พี่วารินอีกทางด้วยนะคะ วัชไม่อยากได้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นพี่สะใภ้”
“จะพยายามครับ”
“ดีจัง...อ้อ อีกอย่างนึงค่ะ...คุณราชโกนหนวดแล้วล้อหล่อ”

วัชรียิ้มเขินซะเอง

ส่วนคู่เต้น ระหว่างอนุกับนิลรัตน์ คุยกันเรื่องงานโฆษณา

“ตกลงโฆษณาที่ดิฉันไปแคสต์ วันนั้น ผู้กำกับเขายังไม่เลือกอีกเหรอคะ” นิลรัตน์ถาม
“อ๋อ เลือกไปนานแล้วครับ...ผู้กำกับเขาทำงานเร็ว”
“แปลว่าเขาไม่ได้เลือกนิลกับเพื่อนๆ”
“ครับ”
“ว้า...”
น้ำเสียงและท่าทีของนิลรัตน์ เห็นได้ชัดว่าผิดหวังมากๆ อนุรีบแก้ตัว
“อ๋อ คือผมบอกเขาเองว่า สวยๆอย่างนี้ขอเก็บไว้ทำแคมเปญตัวหน้าดีกว่า เป็นหนังเกรด A ลงทุนสูง และฉายพร้อมกันทั่วโลก...ดูดีกว่าเยอะเลยครับ”
“เหรอคะ...”
นิลรัตน์ยิ้มหวาน ถูกใจ...ทันใดนั้นเด็กสาวก็ร้องขึ้น
“อุ๊บ...คุณเหยียบเท้าผมครับ คุณนิลรัตน์”
ฝ่ายการัณย์กับพึงใจ ทั้งสองหน้าตาเคลิบเคลิ้ม มีความสุข ฝันหวาน
“คุณพึงใจครับ วันนี้มีเรื่องที่นึกไม่ถึงเกิดขึ้นกับผม เยอะมากเลย รู้มั้ยครับ
“ดิฉันก็เหมือนกันค่ะ”
“ไม่นึกเลยว่าผมจะได้แต่งชุดย้อนยุคอย่างนี้”
“ค่ะ...คุณการัณย์”
“ไม่นึกเลยว่าผมจะได้เต้นรำกับคุณพึงใจที่นี่”
“ดิฉันก็ไม่นึกเหมือนกันค่ะ”
“วิเศษจริงๆ”
“คุณการัณย์คะ”
“ครับ”
“จะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าดิฉันจะบอกว่า...”
“บอกเลยครับ ผมอยากฟัง”
“ขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ”

นายห้างวิรัตน์อยู่บนเวทีมองบรรยากาศฟลอร์เต้นรำ อย่างสนุกถูกใจ นายห้างหยิบกระดิ่งขึ้นมาสั่น และคว้าไมโครโฟนมาพูด
“ดนตรีเปลี่ยนจังหวะ เป็น ชะชะช่า”

วงดนตรีเล่นเพลงชะชะช่า ทุกคู่บนฟลอร์หยุดเต้น
วัชรีเซ็ง “สั่นกระดิ่งเร็วจังเลยป๋าเนี่ย”
วัชรีชะเง้อมองหาวารินจนเห็น จึงร้องตะโกนเรียก
“พี่วาริน” พลางบอกกับราชว่า “เปลี่ยนคู่แป๊บนึงนะคะ”
วัชรีผละจากราช วิ่งไปหาวาริน
นิลรัตน์เข้ามาเข้าเต้นคู่กับราชแทน
“อุ๊ย ได้คู่กับคุณยักษ์ด้วย”

วัชรีวิ่งไปดึงมือวารินมา บอกกับอมาวสี “แป๊ปนึงนะ เดี๋ยวพามาคืน”
การัณย์เข้ามาโค้งขอเต้นกับอมาวสี “รู้มั้ยครับ...ผมยืนรอหาคู่เต้นตั้งนานแน่ะ”
“เมื่อกี้คุณการัณย์เต้นกับพึงใจไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ...แล้วเธอก็ขอไปเข้าห้องน้ำ...น้าน นานแล้ว ยังไม่ออกมาเลยครับ”

วารินเต้นอยู่กับวัชรี
“เป็นไงบ้างคุณพี่...จีบติดรึยัง”
“จะติดได้ไง...ยังไม่ทันไรเลย ป๋าเราก็สั่นกระดิ่งแล้ว”
“โอ๊ว...งุ่มง่ามๆจังเลยนะคุณพี่”
“จะให้เร็วขนาดไหน...ฉุดเลยรึไง”
“พูดอย่างนี้ก็ ตัวใครตัวมันแล้วกัน ไม่ช่วยแล้ว”

นายห้างวิรัตน์สั่นกระดิ่งอีกครั้งอย่างสนุกสนาน พร้อมกับประกาศใส่ไมโครโฟนเสียงดังลั่น
“ขอจังหวะ แทงโก้หน่อย...”

ทุกคู่หยุดเต้น ดนตรีบรรเลงเพลงในจังหวะ แทงโก้
นักเต้นสลับเปลี่ยนคู่กัน และเริ่มเต้นอย่างสนุก
อมาวสียืนอยู่กลางฟลอร์ไม่ไกลจากราช ทั้งสองยังไม่มีคู่เต้น

ท่ามกลางหมู่นักเต้นในงาน ที่กำลังวาดลวดลายในจังหวะแทงโก้นั้น อมาวสี มองมายัง ราช
ราช เองก็มองมาที่อมาวสี ทั้งสองคนมองหน้ากันจังๆ
พลันราชยักไหล่แสดงท่าทีไม่แยแสต่ออมาวสี แล้วจึงเดินออกจากฟลอร์ไป

อมาวสีค่อยๆ เดินออกจากฟลอร์ แยกไปคนละทางกับราช

มุมหนึ่งนอกฟลอร์เต้นรำ วัชรีนั่งดื่มน้ำอยู่ พึงใจก้าวเข้ามาหา ท่าทางอ่อนเพลีย

“ไปไหนมายายพึง”
“ท้องเสีย...แย่เลย...แล้วเธอเป็นอะไร หน้าตาไม่สบอารมณ์”
“เซ็งพี่ชาย” วัชรีบอก
การัณย์เดินเข้ามาหา หน้าตาตื่นเต้น
“ผมรอคุณตั้งนานแน่ะ คุณพึงใจ...มา เรามาแทงโก้กันเถอะ”

ขณะที่อมาวสี ยืนเหงาๆ อยู่คนเดียวในมุมร่มรื่น ราชเดินเข้ามายืนไม่ไกลจากเธอนัก
“ไม่สนุกเหรอครับ ถึงแยกมาอยู่เงียบๆ อย่างนี้”
“คุณถามตัวเองรึยังล่ะคะ...เพราะคุณก็แยกตัวออกมาเหมือนกัน” อมาวสีย้อนเอา
“ผมเดินตามหาคุณต่างหาก”
น้ำเสียงอมาวสีฟังดูเย้ยหยัน “ตามหาดิฉัน…ดิฉันหูฝาดไปรึเปล่า”
“อ้าวทำไมล่ะ...ในเมื่อคุณเป็นสาวงามที่ใครๆ ก็อยากเหลียวมอง แล้วผมจะตามหาคุณเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไง”
“คุณท่าจะพูดผิดแล้วหละค่ะ...เท่าที่ฉันจำได้ ในสองสามครั้งหลังที่เราเจอกัน คุณจงใจทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน ไม่พูดด้วย ไม่ทักทายซักคำ”
ราชย้อน “รู้สึกด้วยเหรอ”
“ดิฉันมีการศึกษามากพอที่จะดูออกค่ะ”
“คุณอยากให้ผมสนใจคุณ...โอ้โลม...เล้าโลมคุณเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ งั้นเหรอ”
อมาวสีฉุนกึก “คุณพูดจาไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่เลยนะคะ...นึกว่าโกนหนวดแล้วจะหาย”
“ผมพูดผิดมั้ยล่ะ...ผู้หญิงอวดเก่ง ฉะฉานอย่างคุณ ก็มีเพียงแค่หวังจะยั่วยวนผู้ชายให้หลงใหล แล้วทอดทิ้งในภายหลัง”
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ผมหมั่นไส้คุณ”
“คุณหมั่นไส้คนด้วยการคิดเอาเองงั้นเหรอ”
“หรือว่าคุณไม่หมั่นไส้ผม...คุณผิดหวังที่ผมไม่ใช่คนที่คุณอยากให้เป็น...คุณก็เลยหมั่นไส้ผม”
ราชและอมาวสีจ้องหน้ากันนิ่ง
“คุณก็หมั่นไส้ผมด้วยการคิดไปเองเหมือนกันแหละ”
“ดิฉันไม่เคยหมั่นไส้คุณ”
“งั้นคุณก็ชอบผมน่ะสิ”
“ดิฉันไม่มีวันพูดอย่างนั้น”
“ถ้าผมยอมรับว่าผมเป็นผู้ชายคนนั้นของคุณ คนที่ชื่อภาคย์...คุณคงจะหลงใหลผมมากเลยสินะ”
“คุณไม่มีทางเป็นพี่ภาคย์ได้หรอก...ไม่มีทาง...ไม่แม้แต่นิดเดียว” อมาวสีเค้นคำบอกไป
“รู้ได้ไง”
อมาวสีจ้องลึกลงไปในดวงตาของราช เธอเริ่มลังเลอยู่ลึกๆ ในใจ
“เพราะพี่ภาคย์สุภาพ อ่อนโยน และมีหัวใจที่ต่างจากคุณโดยสิ้นเชิง”
อมาวสีขยับตัวจะวิ่งออกไป ราชคว้ามืออมาวสีไว้ได้ ก่อนที่เธอจะวิ่งหนี
“อยู่เต้นรำกันก่อนน่า...ผมว่าผมได้ยินเพลงจังหวะสโลว์นะ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันจะกลับบ้าน”
“คุณยังกลับไม่ได้ คุณต้องรอให้วัชรีเอารถไปส่ง”
“ฉันกลับเองได้”
“หรือว่านัดผู้ชายอีกคนมารออยู่หน้างาน...โอ...ผมจะเรียกคุณว่าผู้หญิงแบบไหนดี”
อมาวสีโกรธจนหน้าแดง พยายามจะดึงมือออกมาจากมือราช แต่เขาจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมไม่ยอมปล่อย”
อมาวสีพลิกตัว เงื้อมืออีกข้างตบลงไปบนหน้าราชอย่างแรง ทว่าราชเอี้ยวตัวหลบไว้ได้ พร้อมกันนั้นราชจับหน้าของอมาวสีดึงเข้ามาใกล้ตัวเขาในระยะประชิด
“ลองเดาซิ ว่าผมจะทำอะไรต่อไป”

ราชและอมาวสีจ้องหน้ากันนิ่งและนาน

ความหลังเมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านี้ ผุดซ้อนขึ้นในห้วงคิดใครคนหนึ่ง ตอนนั้นเด็กชายภาคย์ส่งกระดาษโน้ตให้เด็กหญิงอ้อ...อมวาสี

“อ้อต้องมานะตามนัดนะ อย่าหลอกพี่นะ”
“แล้วพี่ภาคย์บอกคุณลุงกับคุณป้าหรือเปล่า”
“ถ้าบอก เขาก็ไม่เรียกว่าหนีน่ะสิ...แล้วเจอกันนะอ้อ เราจะท่องเที่ยวไปด้วยกันนะ”
เด็กชายภาคย์วิ่งออกไป เด็กหญิงอ้อมองตามด้วยความกังวล ข้อความกระดาษโน้ตใบนั้นเขียนว่า
“วันที่....เวลา....หน้าห้องนมพริ้ง"
เด็กหญิงอ้อพลิกกระดาษใบนั้นขึ้นมาดู จึงพบว่า ด้านหน้าของกระดาษ คือรูปถ่ายเด็กชายภาคย์ที่ยิ้มกว้าง หน้าตาน่ารักสมวัย

คนขับรถบ้านวัชรีเดินเข้ามาขัดจังหวะ เขาเอ่ยปากเรียกเสียงดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“คุณอมาวสีครับ”
อมาวสีและราชหันไปมองยังต้นเสียง ราชจึงปล่อยมือออกจากวงหน้าของอมาวสี
“มีอะไรเหรอลุง”
“มีคนมารอคุณอมาวสีอยู่ที่หน้าบ้านครับ ผมเชิญให้เข้ามาในงานก็ไม่ยอมเข้าบอกว่าจะรออยู่ในรถ ท่าทางเหมือนจะเมาหน่อยๆ ผมเลยรีบมาบอกคุณหนูก่อน...ไม่ทราบว่าคุณอมาวสีนัดใครไว้หรือเปล่า”
ราช ยิ้มเยาะขึ้นมานิดๆ “ว่าแล้วเชียว”
“อ้อไม่ได้นัดใครค่ะ”
อมาวสีหันไปจ้องหน้าราชเป็นการตอบโต้ แล้วจึงหันกลับไปหาคนรถ
“แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวอ้อไปดูเองค่ะ ลุง”
อมาวสีได้จังหวะเดินเลี่ยงออกจากฉากไป ราชมองตาม คนรถเดินเข้ามาพูดกับราช
“ไม่ทราบว่า ผมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”
ราชส่ายหน้า “มาได้จังหวะพอดีต่างหาก”
ว่าแล้วราชก็เดินออกไป ทิ้งลุงคนขับรถที่ดูจะยัง งงๆ ไว้อย่างนั้นเพียงลำพัง

ภากรเปิดประตูรถลุกขึ้นยืน ขณะอมาวสีเดินเข้ามาหยุดชะงักไม่ไกลจากรถคันนั้น
“คุณภากร”
“ไป...กลับบ้านกัน พี่จะไปส่ง”
“งานเพิ่งเริ่มได้ไม่เท่าไหร่ อ้อยังไม่กลับหรอกค่ะ”
“งั้นพี่รอในรถ” ภากรขยับตัวลงนั่งในรถ
อมาวสีเดินเข้าไปใกล้ เธอเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด ในท่าทีอึดอัด
“อ้อบอกแล้วไงว่าคุณภากรไม่จำเป็นต้องมารับอ้อ คุณภากรจะมาลำบากรออ้ออยู่ทำไม”
“ไม่ลำบากตรงไหน พี่สั่งเหล้าในงานมาดื่มแล้วด้วย สบายจะตาย”
“แล้ววัชรีเพื่อนอ้อจะคิดยังไงคะ...คุณวารินอีกคน...เหมือนอ้อไม่ให้เกียรติเขาไม่ไว้ใจเขา แค่นี้ก็ต้องให้คุณภากรมาคุม”
“พี่มารับอ้อ มันผิดตรงไหน ไม่มีอะไรเสียหายซักหน่อย”
“แล้วอ้อกลับกับเพื่อนมันผิดเหรอคะ ในเมื่ออ้อขออนุญาตคุณลุงคุณป้าแล้ว” อมาวสีย้อนแย้ง
“ไม่ผิด แต่กลับกับพี่ย่อมดีกว่ากลับกับเพื่อน”
“นั่นความเห็นของคุณภากร ไม่ใช่ความเห็นของอ้อค่ะ”
อมาวสีขยับตัวเดินหนีเข้าไปในงาน ภากรฉุดมือเธอไว้
“คืนนี้อ้อต้องกลับกับพี่ ไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้หรือดึกแค่ไหนก็ตาม...แต่ถ้ากลัวว่าเพื่อนๆ จะไม่เข้าใจ จะให้พี่ไปประกาศอย่างนี้ในงานด้วยมั้ย”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง อมาวสีพยายามสะกดกลั้นความโกรธ

หญิงสาวรับรู้ในนาทีนั้นว่า ความรู้สึกของเธอแตกต่างไปจากการจ้องตากับ ราช รัชภูมิ ลิบลับ

อ่านต่อหน้า 2

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 3 (ต่อ)

ที่มุมใกล้ๆ กันนั้นเอง ราชยืนมองภาพนี้อยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และอมาวสีหันมาเห็นราชพอดี เขายักคิ้วยั่วล้อเข้าให้ ลุงคนขับรถเดินเข้ามาด้านหลังราช หยุดยืนมองภาพเดียวกัน ราชพูดเบาๆ กับลุงคนขับรถคนนั้น

“อย่าเล่าเรื่องนี้ให้นายวารินฟังเป็นอันขาด ไม่งั้นจะเสียทั้งจังหวะและอารมณ์ เป็นอย่างแรง”
คนรถพยักหน้ารับคำ อย่างไม่เข้าใจนัก

รถของภากรแล่นไปท่ามกลางแสงสีของท้องถนนหลวงยามค่ำคืน ภากรขับรถอย่างเบิกบานอารมณ์ดี ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้ม จากฤทธิ์แอลกอฮอลล์ ที่เขาดื่มก่อนหน้าจะมาที่บ้านวัชรี ส่วนอมาวสีนั่งหน้าบึ้ง มองตรงไปเบื้องหน้า เงียบกริบมาตลอดทาง
“อ้อ โกรธพี่เหรอ”
อมาวสีนิ่งเงียบ
“โกรธพี่ใช่มั้ยล่ะ...โกรธมากด้วย”
“เปล่าค่ะ”
“โกรธก็บอกว่าโกรธเถอะน่า อย่าปฏิเสธเลย”
“ถ้าคุณภากรต้องการให้อ้อพูดคำว่าโกรธก็ได้ค่ะ...อ้อโกรธคุณภากร”
ภากรชอบใจหัวเราะเสียงดังลั่น จนอมาวสีต้องหันไปจ้องหน้า
“คุณภากรเมารึเปล่าคะ”
“พี่รู้ว่าพี่ทำให้อ้อโกรธและไม่พอใจ...แต่อ้อก็ควรจะรู้ด้วยว่า พี่ทำไปเพราะหวังดี ต่ออ้อนะ”
“ดื่มเหล้าแล้วขับรถไม่น่าจะเป็นการหวังดีต่อผู้โดยสารนะคะ”
“งั้นให้พี่จอดรถ รอให้หายเมาก่อนดีมั้ย เผื่อผู้โดยสารจะได้ประทับใจในตัวโชเฟอร์คนนี้ขึ้นมาบ้าง”
อมาวสีนิ่งเงียบอีกครั้ง ภากรยังคงมีความร่าเริงอยู่
“เห็นมั้ย ว่าพี่ตามใจอ้อได้ทุกอย่าง เพื่อความปลอดภัยของน้องอ้อ”
“ถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆ อ้อลงตรงนี้แล้วนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่า”
“พี่น่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ...อ้อมองไม่เห็นความห่วงใยของพี่เลยเหรอ” ภากรตัดพ้อ
“ถ้าแบบนี้คือความห่วงใย...อ้อคงต้องขอร้องคุณภากรว่า กรุณาอย่าห่วงใยอ้ออีกเลยค่ะ”
ภากรผู้เอาแต่ใจ มีอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที เขาหักพวงมาลัยรถเลี้ยวลงข้างไหล่ทาง อย่างกระทันหัน

ภายในรถที่จอดนิ่ง ภากรหันมาจ้องหน้าอมาวสี ดุดันทั้งสีหน้าและน้ำเสียง
“มากไปแล้วนะอ้อ อ้อก้าวร้าวกับพี่มากไปแล้วนะ”
“ตรงไหนของอ้อที่ก้าวร้าวคะ”
“ก็ตรงท่าทีที่รังเกียจพี่ไง มันชัดเจนเกินไป ทีกับไอ้สารเลวภาคย์นั่น อ้อไม่เห็นเคยเป็นอย่างนี้เลย”
อมาวสีฉุนกึก “คุณใช้คำว่าสารเลวกับพี่ชายของคุณเองนะคะ”
“ใครบอกว่ามันเป็นพี่ฉัน ฉันไม่เคยนับมันเป็นพี่ มันคือศัตรู คนที่หวังจะช่วงชิงทุกอย่างในบ้านพิชิตพงษ์ไปเป็นของมันต่างหาก”
“ใช่เหรอคะ...อ้อว่า น่าจะตรงข้ามกันมากกว่า”
“ทำไม...ไอ้เลวนั่นมันวิเศษตรงไหน”
“พี่ภาคย์อาจจะไม่มีอะไรวิเศษ แต่พี่ภาคย์เป็นคนดี ที่น่ารักและน่าเคารพ”
ภากรโกรธจัดถึงขีดสุด เขาตัดสินใจ เคลื่อนรถออกอย่างเร็วและแรง เสียงล้อเบียดพื้นถนนดังลั่น
พร้อมกับที่ภากรหักพวงมาลัยรถ กลับลำเปลี่ยนทิศทาง

รถภากรออกตัวแรงและเร็ว มันเลี้ยวกลับลำวิ่งเข้าสู่ซอยเปลี่ยว ฝุ่นและควันคลุ้งกระจายเต็มทาง

ภากรขับรถนิ่ง สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้าด้วยความดุดัน อมาวสีมองออกไปรอบๆ สองข้างทาง ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
“คุณภากรจะไปไหนคะ”
ภากรเป็นฝ่ายนิ่งเงียบบ้าง
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่คะ...คุณกำลังจะพาอ้อไปไหน”
“ไปหาที่คุยกันให้รู้เรื่อง”
“ทำไมต้องหาที่คุย เราก็กำลังคุยกันอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่ต้องการที่ที่มีบรรยากาศดีกว่านี้”

ภากรขยับพวงมาลัยรถเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง รถภากรเลี้ยวเข้าไปจอดซุกอยู่ใต้โพรงไม้ลับตา ข้างทางเปลี่ยว

ในรถคันดังกล่าว ภากรหายใจยาวๆ แล้วหันหน้าเข้าหาอมาวสี ด้วยท่าทีที่นุ่มนวลขึ้น

ในขณะที่อมาวสีพยายามระแวดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
“เอาละ เรามาตั้งหลักกันใหม่นะ เริ่มต้นใหม่...พูดกันดีๆ”
“อ้อก็พูดดีๆตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่คะ”
“พี่กับอ้อ...เรารู้จักกันมานานแล้วนะ...พี่อาจจะมีส่วนที่เลวไปบ้าง แต่พี่ก็พร้อมจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ถ้าอ้อต้องการ”
อมาวสีนิ่งเงียบ เธอรอดูท่าทีต่อไปของอีกฝ่าย ภากรเปล่งเสียงที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้นออกมา
“แต่ตอนนี้ อ้อพอจะบอกพี่ได้มั้ย ว่าอ้อรู้สึกอย่างไรกับพี่บ้าง”
“อ้อไม่มีความรู้สึกอะไรค่ะ”
“แต่พี่มี และมันก็มีมากขึ้น มากขึ้น จนพี่ชักจะห้ามใจไม่อยู่”
ภากรกระเถิบตัวเบียดชิดอมาวสีมากขึ้น
“คุณภากรจะทำอะไรคะ”
“ทำตามความปรารถนาของหัวใจไง...อยากรู้มั้ยว่าพี่ปรารถนาอะไร”
อมาวสีเลือกที่จะไม่ตอบ
“พี่ปรารถนาในตัวอ้อ...พี่อยากจะแต่งงานกับอ้อ”
อมาวสีตกใจ “คุณภากร”
“พี่รักอ้อ”
ภากรดึงร่างอ้อมากอดไว้ชิดตัว พร้อมกับซุกหน้าลงไปเพื่อจูบ แต่อมาวสีออกแรงยันร่างภากรเอาไว้
“อ้อไม่ได้รักคุณภากรนะคะ”
“รักหรือไม่รัก เอาไว้พูดกันทีหลังก็ได้จ้ะ”
“อย่านะ คุณภากร...ปล่อยอ้อนะ ปล่อยอ้อเดี๋ยวนี้”
อมาวสีไม่อาจทานแรงของภากรได้ เธอทำได้แต่เพียงเอียงหน้าหนี ริมฝีปากของภากรจึงซุกลงไปที่ซอกคอของอมาวสี
ฉับพลันทันใดนั้นเอง แสงไฟอย่างแรงสาดลงไปที่ใบหน้าของภากรจังๆ ภากรเงยหน้าขึ้นหรี่ตามอง เขาพบว่าต้นกำเนิดแสงมาจากกระบอกไฟฉายท่อนใหญ่ที่ยื่นชิดกระจกรถ โดยมีเงาดำของชายร่างใหญ่เป็นผู้ถือไฟฉายกระบอกนั้น
เมื่อเขาเปล่งเสียงออกมาเราจึงรู้ว่า เขาคือ ราช รัชภูมิ นั่นเอง
“ผมว่าคุณควรจะปล่อยสุภาพสตรีคนนี้ได้แล้วนะ”
“แกเป็นใครมาแส่เรื่องของชาวบ้าน” ภากรโกรธสุดขีด
“บังเอิญชาวบ้านที่ผมเห็น กำลังทำเรื่องที่ไม่ดีไม่งามอยู่ ผมก็เลยขอเสนอทางเลือกที่ถูกทำนองคลองธรรมให้...แต่ถ้าคุณทั้งสองอยากจะทำกิจกรรมเดิมต่อให้เสร็จ ผมก็จะปิดไฟฉายซะ...ก็เท่านั้น”
อมาวสีฉวยจังหวะนี้ดันร่างภากรห่างออกไป เธอรีบเปิดประตูรถก้าวลงมายืนด้านหลังราชทันที
“ดูเหมือนว่าสุภาพสตรีท่านนี้จะไม่เล่นด้วยแล้วนะครับ”
ภากรก้าวลงจากรถ ตะโกนเรียกอมาวสี
“อ้อ ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ”
“แล้วอ้อจะมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวได้ยังไง อ้อจะกลับบ้านยังไง”
“งั้นผมขอเสนอทางเลือกอีกทางนึงให้ ด้วยการให้เธอกลับไปกับผม”
“จะบ้าเหรอ...แกเป็นใคร อยู่ๆจะพาน้องสาวฉันไปตามลำพังได้ยังไง”
“อ้าวนี่น้องสาวของคุณเหรอครับ...โฮ้โฮ คุณเป็นมนุษย์พันธ์ไหนกันเนี่ย ถึงได้แสดงความรักกับน้องสาวแบบนี้ คุณภากร”
ภากรอึ้ง “แกรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“อ๋อ ผมยืนฟังอยู่นานแล้วน่ะครับ...คุณผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อคุณออกดั๊งดัง”
ราชหันไปหาอมาวสี
“เอาละครับ คุณผู้หญิงต้องเลือกแล้วหละ ว่าคุณจะไปกับผม หรือจะนั่งรถไปกับพี่ชายวิปริตของคุณ”
ภากรโกรธกระชากคอเสื้อราชหันกลับมา ราชจ้องหน้าภากรตาเขม็ง ดุดัน จนภากรไม่อาจทำอะไรต่อได้
“คุณคิดจะทำอะไรผม...หวังว่าคงไม่ได้อยากจะแสดงความรักกับผม แบบเดียวกับที่ทำกับน้องสาวคุณหรอกนะ”
ภากรผละจากราชเดินไปหาอมาวสี
“อ้อ ขึ้นรถกลับกับพี่เถอะ พี่สัญญาว่าจะตรงกลับบ้านเลย”
อมาวสีกลับเดินหนีห่างจากภากรออกไปอีก ราชยกมือชี้บอกทิศทางกับอมาวสี
“รถผมจอดอยู่ด้านโน้นครับ”
อมาวสีเดินไปตามทางที่ราชชี้บอก ภากรตะโกนลั่น
“อ้อ...ไอ้หมอนี่มันเป็นใครก็ไม่รู้ อ้อไปไว้ใจมันได้ยังไง”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ไว้ใจคุณมากกว่านะครับ”
ภากรวิ่งไปฉุดแขนอมาวสีไว้ อมาวสีสะบัดจนหลุด เธอวิ่งไปหลบหลังราชจนได้ ราชยิ้มเย้ยหยัน
“โอ...ถ้าผมโดนผู้หญิงแสดงท่าทีอย่างนี้ ผมรีบหนีกลับบ้านแล้วหละครับ...ไม่อยู่ให้อายผู้อายคนหรอก”
“แต่ฉันไม่ใช่แก”
ภากรเหวี่ยงหมัดใส่ราช ราชหลบ ชกตอบสองสามที ภากรล้มหมอบลงไปกองกับพื้น
“ถ้าเชื่อผมตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้วหละ คุณภากร”
ราชเดินนำหน้าออกไป อมาวสียังเหลียวดูภากร ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ถึงตายหรอกครับ...เดี๋ยวก็ฟื้น คงหลังจากคุณถึงบ้านพอดีนั่นแหละ...หรือคุณจะเปลี่ยนใจยืนเฝ้าเขาอยู่ตรงนี้ก็เชิญ”

ราชเดินนำไป อมาวสีเดินตาม

ราชเดินนำอมาวสีไปตามขอบไหล่ทาง ข้างถนนเปลี่ยว บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ทำให้อมาวสีต้องคอยระมัดระวังทุกย่างก้าว

“รถของคุณจอดอยู่ตรงไหน ไม่เห็นมีเลย”
“เดี๋ยวถึงก็เห็นเอง แต่ถ้าเดินไม่ไหวก็รอตรงนี้ได้ เดี๋ยวมารับ”
ราชหยุดเดินหันไปหาอมาวสี
“หรือไม่เชื่อใจผม กลัวว่าจะหนีเสือปะจระเข้”
อมาวสีไม่ตอบ
“หน้าผมเหมือนจระเข้รึเปล่า”
“การที่ฉันเดินตามคุณมา...ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเชื่อใจอะไรคุณนักหนา...ไม่ว่าหน้าคุณจะเหมือนหรือไม่เหมือนจระเข้ก็ตาม”
ราชยิ้มขำๆ แล้วเดินต่อ “ผู้หญิงนี่เรื่องมากจริงๆ”
“คุณเรื่องน้อยนักนี่”
“มันจะไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวายอย่างนี้เลย ถ้าคุณยอมปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับนายภากรซะ ก็จะสิ้นเรื่อง...คุณกับเขาก็ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่ใช่คนมักง่ายอย่างนั้นนะคะ ฉันเป็นคนมีหัวใจค่ะ”
ราชหยุดเดินหันไปจ้องหน้าอมาวสีอีกครั้ง
“แน่ใจนะว่าหัวใจยังอยู่กับตัว...หรือว่ายกให้ผู้ชายอื่นไปแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณค่ะ”
“พี่ภาคย์อะไรนั่นรึเปล่า”
อมาวสีจ้องหน้าราชนิ่ง ก่อนตัดสินใจตอบ
“ค่ะ...พี่ภาคย์คือคนที่ดิฉันรักและคิดถึงอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงดิฉันเลยสักนิด”
“น้ำเสียงเหมือนงอน”
“พี่ภาคย์ไม่เห็น...ฉันไม่เสียเวลางอนหรอกค่ะ”
ทั้งสองจ้องตากันต่ออีกนิด ราชจึงเอ่ยปากพูด
“เชิญชึ้นรถได้แล้วครับ”
“ไหนคะ รถคุณราช”
“นั่นไง”
รถมอเตอร์ไซค์ดูคาติ มอนสเตอร์ คันงามจอดอยู่ ราชหยิบหมวกกันน็อคที่วางอยู่บนรถส่งให้
อมาวสีมอง ด้วยความแปลกใจ
“คุณขับรถคันนี้มาเหรอคะ”
“ทำไมล่ะ...ดีออก จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการเอื้อมมือเปิดปิดประตูไง”

ราชขี่มอเตอร์ไซค์ดูคาติโลดแล่นทะยานไปบนถนน โดยมีอมาวสีนั่งซ้อนท้าย บรรยากาศรอบข้างระยิบระยับไปด้วยแสงไฟและตึกสวย
หากมีเพลงเพราะซึ้ง ดังขึ้นยามนี้ สองคน ดูเหมือนพระเอก นางเอก ในช่องละครหลังข่าว ช่อง 7 เฮชดี ยังไงยังงั้น

รถมอเตอร์ไซค์ของราชแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ อมาวสีก้าวลงจากรถ
“ขอบคุณค่ะที่กรุณามาส่ง”
“ผมเชื่อว่า หมอนั่นคงยังกลับมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นคุณควรรีบเข้าห้อง นอนซะ เพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้”
อมาวสีมองหน้าราช เป็นคำถาม ราชจึงเอ่ยปากพูดต่อ
“เพราะนายภากรคงจะต้องแต่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนี้ขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะเหตุที่ใบหน้าของเขามีรอยช้ำจากการถูกผมชก...เนื้อเรื่องคงจะโลดโผนน่าดู”
“ค่ะ”
“นี่นามบัตรของผม ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวมาทางผม หรือผมพอจะช่วยเหลืออะไรได้ เชิญโทร.ได้ทุกเวลา”
ราชหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า มันเป็นเครื่องโทรศัพท์ของอมาวสี
“และนี่ โทรศัพท์มือถือของคุณ มันตกอยู่ที่หน้างาน ผมเก็บมาให้...รู้สึกจะมีสายเรียกเข้าประมาณยี่สิบกว่าครั้ง”
แล้วราชก็ขี่รถออกไปจากหน้าบ้านหลังนี้หลังคำนั้น

ไม่นานต่อมา อมาวสี ค่อยๆ ย่อง เดินก้าวเบาๆ เข้ามาในโถงบ้านที่ปิดไฟมืด พร้อมกับพูดโทรศัพท์มือถือไปด้วย
“วัชรี...เราขอโทษนะ เราออกมาจากงานโดยไม่ได้บอกเธอน่ะ”

วัชรีพูดโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง ด้านหลัง เห็นอนุ การัณย์ และ นิลรัตน์ พึงใจ กำลังคุยกันสนุกถูกคอ
“โธ่ เป็นห่วงแทบแย่ โทรไปก็ไม่มีใครรับ...รู้มั้ยว่าพี่วารินก็พลอยเป็นกังวลไปด้วย”
“เรามีเรื่องนิดหน่อยน่ะ...แต่ตอนนี้เราโอเคแล้ว ถึงบ้านแล้ว...พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ จะเล่าให้ละเอียดเลยจ้ะ”
อมาวสีเปิดประตูรีบผลุบเข้าห้องนอนไป

ที่ริมถนน ไม่ไกลจากบ้านพิชิตพงษ์นัก ราชยืนพูดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ดูคาติคันงามของเขา
“บอกมาซิ ใครเป็นคนสั่งให้แกเอารถคันนี้มาให้ฉัน”
ทินนอนพูดโทรศัพท์มือถือโต้ตอบกับราชอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของราชนั่นเอง
“ไม่มีใครสั่งครับ เป็นภูมิปัญญาของทินเอง”
“ทีหลังไม่ต้องใช้ภูมิปัญญาของแกอีกแล้วนะ...ไม่แน่ใจอะไรให้ถาม อย่าคิดเอง”
“ตกลงผมผิดเหรอครับ...ก็บอสเร่ง ผมก็รีบ ผมกลัวไม่ทัน ก็เลยต้องเปลี่ยนจากรถสี่ล้อเป็นสองล้อ คล่องตัวและทันเวลาเป๊ะ...ผมทำไม่ถูกเหรอครับ”
“แล้วแกรู้บ้างมั้ยว่าฉันแต่งตัวยังไง มันเหมาะกับการขี่มอเตอร์ไซค์คันนี้มั้ย”
“แหม บอสแต่งอะไรก็หล่อ ก็เหมาะทั้งนั้นแหละครับ” ทินปะเหลาะ
“แล้วก็จอดรถซะไกลเชียวนะ”
“โธ่ ก็จุดนัดหมายที่บอสบอกมันดูยากนี่ครับผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเสาไฟฟ้าต้นไหนเป็นต้นไหน”
“เอาละ บอกพ่อว่ากลับบ้านได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”
เสียงทินรับ “ครับผม” ดังลอดออกมา

ราชสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขับทะยานออกไปมาดอย่างหล่อโครตๆ

นามบัตรชื่อ ราช รัชภูมิ ถูกเสียบลงบนที่วางหน้ากระจกโต๊ะแต่งตัวในห้องนอนอมาวสี ข้างๆ กันเป็นรูปถ่ายเด็กชายภาคย์ยิ้มกว้าง ที่เสียบอยู่ก่อนแล้ว

อมาวสีนั่งจ้องดูชื่อราชบนนามบัตร เปรียบเทียบกับ รูปเด็กชายภาคย์
เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาในคืนนี้ ผุดซ้อนขึ้นมาไล่ๆ กัน ท่วงที กิริยา ตลอดจนคำพูดของเขาสะกิดความรู้สึกของเธอ
พลันนั้นเอง อมาวสี ได้ใช้ลิปสติกขีดกากบาททับลงไปบนชื่อราช
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในจังหวะนี้ อมาวสีหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง นิ่ง และเงียบ
เสียงภากรดังขึ้น ตามด้วยเสียงเคาะประตูซ้ำ ตามมา
“อ้อ พี่รู้นะว่าอ้อยังไม่นอน...พี่ขอโทษ...”
อมาวสีนั่งนิ่ง ไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
“ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะพี่หวังดีต่ออ้อนะ...แล้ววันนึง อ้อจะเข้าใจพี่เอง”
เสียงฝีเท้าของภากร เดินห่างออกจากหน้าห้องนี้ไป
อมาวสี นึกทวนหวนย้อนถึงเรื่องราวในอดีตที่ข้องเกี่ยวกับเขาคนนี้ ภากร พิชิตพงษ์

มันเป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นมามากกว่า สิบห้าปีแล้ว
เวลานั้นเด็กหญิงอมวาสี นั่งซุกตัวอยู่ในห้องมืดๆ หลังตู้ใบใหญ่ เสียงเด็กชายภากรดังเข้าเฟรมมา
“ออกมาเหอะ ฉันไม่แกล้งเธอแล้วสาบานได้”
เด็กชายภากร ยืนกอดอกอยู่หน้าตู้ใบนั้น ในมือของภากร ถือตุ๊กตาตัวน่ารักอยู่ตัวหนึ่ง
“ฉันเอาตุ๊กตามาคืนด้วย...ไม่อยากได้เหรอ...ฉันอุตส่าห์เก็บไว้ให้เธอนะ กลัวมันจะหาย...เห็นมั้ย ฉันหวังดีกับเธอนะ...มาเอาไปซี่”
เด็กหญิงอ้อค่อยๆ แทรกตัวออกมาจากตู้นั้น เด็กชายภากรยื่นตุ๊กตาตัวโปรดคืนให้เธอ แต่เมื่ออมาวสีกำลังจะคว้าตุ๊กตา
ภากรกลับดึงมือกลับมา พร้อมกับหักคอตุ๊กตาจนหัก ขาด ติดมือภากร
เด็กหญิงอ้อ ตะโกนก้อง ร้องกรี๊ด พร้อมกับร้องไห้ออกมาเป็นที่น่าเวทนายิ่ง
ในขณะที่ภากรหัวเราะชอบใจ มีความสุข ที่แกล้งเธอได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า...สมน้ำหน้า นังหน้าโง่ อ้อหน้าโง่...อ้อหน้าโง่...อ้อหน้าโง่...”

ห้องนอนอมาวสีตกอยู่ในความเงียบสงัด ความหลังครั้งอดีต ทำให้อมาวสีแสยะยิ้มออกมาอย่างรังเกียจ ต่อท่าทีของภากรในค่ำคืนนี้

ที่อพาร์ตเม้นท์ของราช เวลาเดียวกัน ราชนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา กำลังพิมพ์ข้อความเพื่อส่งเมล์ไปให้ลุงรักษ์ เสียงของราชดังขึ้น ทวนถ้อยความที่เขากดพิมพ์ลงไปแต่ละคำ
“เชื่อได้ว่าอมาวสีไม่ได้รักนายภากร อย่างน้อยก็ในเวลานี้...แต่นายภากรนั่นแหละที่รักและปรารถนาในตัวอมาวสีเป็นอย่างมาก...ดังนั้นแผนการเดิมที่วางไว้ ก็ยังคงใช้ได้ เพราะจะทำให้นายภากร รู้สึกถึงความสูญเสีย เจ็บช้ำ และพ่ายแพ้อย่างยับเยิน...ส่วนเรื่องบ้านแก้ว คงจะมีการโอนกันไม่เกินสัปดาห์หน้า...ขอบคุณลุงรักษ์มาก สำหรับความกรุณาที่มีต่อผมมาโดยตลอด...ราช รัชภูมิ”
ราชจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือข้อความในจอตรงกับเสียงในใจของเขา

รุ่งอรุณ พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าเหนือบ้านพิชิตพงษ์

สายอีกหน่อย อมาวสีนั่งทานอาหารเช้าเพียงลำพังกลางโต๊ะอาหาร นมพริ้งเดินถือแก้วน้ำเข้ามาวางข้างๆ ตัวอมาวสี
“เมื่อคืนคุณอ้อคงจะกลับดึกมากละซีคะ”
“จ้ะ”
“งานสนุกมั้ยคะ ได้เต้นรำทั้งคืน สมกับที่ได้ซ้อมมามั้ยคะ”
อมาวสีถอนใจเบาๆนิดเดียว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายเมื่อคืน
“จ้ะ”
นมพริ้งขยับตัวลงนั่งข้างๆ อมาวสี ท่าทีเหมือนอยากจะคุยด้วยเต็มที
“เอ คุณอ้อกับคุณภากร ใครถึงบ้านก่อนกันก็ไม่รู้”
“ทำไมเหรอป้า”
นมพริ้งบังคับเสียงตัวเองให้เบาลง แต่ก็ฟังได้ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“คุณอ้อยังไม่เจอคุณภากรใช่มั้ยคะ โอ๊ยหน้าตาช้ำปากคอแตก ไม่รู้ไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา”
อมาวสีวางท่านิ่งเฉยกับเรื่องนี้
“กลับมาก็ดึกดื่น นั่งดื่มเหล้าจนถึงเช้า แล้วก็รีบออกจากบ้านไปเลย”
“จริงเหรอป้า”
“ป้าไม่ได้เห็นเองหรอก นางจันมันเห็น มันเอามาเม้าท์กันทั้งโรงครัว”
“แล้วคุณลุงคุณป้าทราบหรือยังจ๊ะ” อมาวสีออกจะกังวลกับสิ่งนี้มากกว่า
“คงยังหรอก เพราะถ้าถึงหูคุณท่านเมื่อไหร่ มีหวังเอ็ดตะโรลั่น...ดีไม่ดีจะเรียกเด็กในบ้านทุกคนมาสอบสวนเรียงตัวเลยด้วยซ้ำ...เฮ้อ...แย่จริง นิสัยคุณภากรนี่ช่างต่างจากคุณภาคย์หน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ”
คุยมาตั้งนาน อมาวสีเพิ่งสังเกตพบว่านมพริ้งแต่งตัวต่างไปจากวันก่อนๆ
“วันนี้ป้าพริ้งจะไปไหนจ๊ะ แต่งตัวซะสวยเชียว”
“ไปบ้านแก้วค่ะ ไปเป็นเพื่อนคุณหญิงท่าน ท่านว่าจะขอไปดูด้วยตาอีกซักครั้งก่อนจะไม่มีโอกาสได้เห็นกันอีก”
“คุณลุงไม่ไปเหรอคะ”

“ท่านไม่ผูกพันเหมือนอย่างคุณหญิงหรอกค่ะ ท่านเป็นนักการเมือง สนใจแต่เรื่องบ้านเรื่องเมือง”

อ่านต่อหน้า 3

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 3 (ต่อ)

เป็นจริงดังที่นมพริ้งว่า ด้วยในเวลาเดียวกันนี้ ที่ห้องอาหารหรูหรา ตรงโต๊ะตัวที่สง่าเป็นศรีที่สุดในร้าน ท่านกวีนั่งอยู่ที่นั่น พร้อมด้วยทีมงานนักการเมืองอีกสองสามคน

สักครู่ ทนายชอบเดินนำชายหนุ่มหน้าตาแปลกๆ สองคนตรงเข้ามาหาท่านกวี
“นี่ท่านอดีตรัฐมนตรีกวี พิชิตพงษ์”
ชายเหล่านั้นสวัสดี แล้วจึงแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อหว่องครับ เป็นตัวแทนของบริษัท เอเออาร์ ออลแอเรีย รีเสิร์ชประจำประเทศไทย...นี่นามบัตรผมครับ”
“มีอะไร ให้ผมช่วยเหลือ ก็ว่ามา...ที่นั่งกับผมนี่พรรคพวกกันทั้งนั้น พูดได้เลย ไม่มีอะไรต้องปิดบัง” ท่านกวีแสดงไมตรี
“ขอบคุณมากครับที่ท่านกรุณาให้เข้าพบ”
“ไม่เป็นไร เข้าเรื่องเลยเถอะ”
นายคนชื่อหว่อง โอภาปราศรัย “บริษัทเอเออาร์เป็นสถาบันวิจัย ให้ทุนนักวิจัยทั่วโลก เพื่อค้นคว้าเรื่องราวดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”
“ฟังดูดีนี่...แล้วไง”
“ช่วงหลังๆ นี้เรามุ่งเน้นงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ” นายหว่องว่า
“จะขายวิตามินอะไรให้ผมรึเปล่า...ผมไม่เอานะ ผมแข็งแรงดีอยู่แล้ว”
“เปล่าครับ...ผมจะขายโปรเจ็คท์ท่านครับ”
ท่านกวีฉงน “โปรเจ็คท์อะไร”
“สองปีที่ผ่านมา เราติดตามงานวิจัยของแพทย์ชาวเกาหลีคนนึง พบว่า สามารถผลิตยารักษาโรคภูมิแพ้แบบถาวรได้ ท่านทราบมั้ยครับว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนรุ่นใหม่ เป็นโรคภูมิแพ้ และเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้รักษาไม่หาย ได้แต่กินยาแก้แพ้ไปเรื่อยๆ ซึ่งนานไปอาจมีผลข้างเคียงกับตับ แต่งานวิจัยชิ้นนี้ จะนำเราไปสู่สูตรการผลิตยาแก้แพ้ที่กินแล้วหายขาด”
ท่านกวีค่อยๆ คิดตามไปกับข้อมูลที่ได้รับฟัง
“คุณต้องการความช่วยเหลืออะไรจากผม”
“ผมจะขายสูตรยานี้ให้กับท่าน เพื่อให้ท่านเป็นเจ้าของยาตัวนี้แต่เพียงผู้เดียวในภาคพื้นอาเซียนครับ”
ท่านกวีมองหน้าทนายชอบเป็นเชิงหารือ ทนายชอบพูดเบาๆใกล้ๆท่านกวี
“หมอดูเคยแนะให้ท่านทำธุรกิจเรื่องยา...ท่านจำได้มั้ยครับ”

ฟากสองนายบ่าว พากันมาอยู่ในอาณาบริเวณของบ้านแก้วแล้ว คุณหญิงอำภาเดินทอดสายตา เหลียวมองไปรอบๆ บ้าน นมพริ้งเดินตามหลังมาห่างๆ
แน่นอนว่า มันช่างมากมีความทรงจำเหลือเกิน ในบ้านเก่า บ้านแก้ว หลังงามนี้ สีหน้าคุณหญิงอำภา บอกอย่างนั้น

ตรงมุมเดิมที่คุณหญิงเหลียวแลไป เห็นเป็นภาพเด็กหญิงอำภา วิ่งเล่นอยู่กับคุณยาย เสียงหัวเราะสดใส ของเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ดังก้องกังวานไปทั่ว

เสียงนั้นดังก้องในหูคุณหญิงอำภา ขณะที่ท่านยังคงมองไปรอบๆ บ้าน

ภาพสาวงามวัยใส อำภา กำลังวิ่งเล่นกับ ชายหนุ่มหุ่นดีคนหนึ่ง ผุดซ้อนขึ้นมา คุณหญิงอำภายังจมอยู่กับอีกหลายๆ เหตุการณ์ในอดีต ที่ผุดขึ้นมาในความคิดคำนึงของท่าน

อีกเหตุการณ์หนึ่ง คุณหญิงอำภา และนมพริ้ง จูงคุณยายให้นั่งที่เก้าอี้ พบว่ามีช่างภาพ เตรียมตัวที่จะถ่ายภาพนี้ เด็กชายภาคย์วิ่งเข้าไปนั่งตักคุณยาย คุณหญิงอำภาดึงตัวเด็กชายภาคย์ออกมา ช่างภาพจึงกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ

ภาพถ่ายใบนั้น ถูกนำมาเขียนใหม่ด้วยเทคนิคสีน้ำมัน และมันถูกแขวนประดับอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงกลางบ้านแก้ว
คุณหญิงอำภา และนมพริ้งยืนอยู่ท่ามกลางความโล่ง กว้าง และ วังเวง ในโถงนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือคุณหญิงดังแทรกความเงียบขึ้น คุณหญิงกดรับสาย
“ค่ะ”
เสียงท่านกวีลอดออกมา “คุณอยู่ไหนน่ะ”
“ดิฉันออกมาทำธุระที่มูลนิธินิดหน่อย กำลังจะกลับบ้าน”
ท่านกวี นั่งอยู่ภายในรถที่ขับแล่นมาบนท้องถนน หน้าตาท่านกวีมีแววตื่นเต้นดีใจแฝงอยู่
“วันนี้เรามีงานเลี้ยงท่านทูตตอนห้าโมงเย็นนะ อย่าลืมล่ะ”
เสียงอำภาดังลอดออกมาว่า “ค่ะ”
“แต่ผมมีข่าวดีกว่าเรื่องงานเลี้ยง...เดี๋ยวไปเล่าให้ฟังที่บ้านก็แล้วกัน...รับรองว่าถูกใจคุณแน่ๆ”
“รู้ได้ยังไงคะ ว่าจะถูกใจดิฉัน”
“ก็คุณสนใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ...เดี๋ยวเจอกันที่บ้านค่ะ”
อำภากดปุ่มเลิกการสนทนา
นมพริ้งที่ยืนฟังอยู่ห่างๆ เอ่ยปากถาม “ต้องกลับแล้วใช่มั้ยคะ”
“อือม” คุณหญิงพยักหน้า
“วันหลังค่อยมาดูใหม่ก็ได้นี่คะ ดิฉันมาเป็นเพื่อนคุณหญิงได้ทุกเวลา”
“คงไม่แล้วละ...บางที อาจจะดีกว่า ถ้าฉันจะลืมเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ให้หมด”
คุณหญิงอำภาเดินออกไปเมื่อพูดจบ แม่นมสูงวัยเดินตามไปเงียบๆ

เกิร์ลแก๊ง ทั้ง 4 วัชรี พึงใจ นิลรัตน์ และ อมาวสี แต่ละนางอยู่ที่ห้องหับในบ้านตัวเอง โดยเพื่อนสาวทั้งสี่คน ต่างพูดโทรศัพท์มือถือจากบ้านของตัวเอง โดยเปิดเป็นระบบประชุมสาย คุยพร้อมกันทั้งสี่คน สามสาวรุมซักฟอก อมาวสี เรื่องหายตัวไปโดยไม่บอกใครเมื่อคืนนี้
วัชรีซึ่งอยู่มุมหนึ่งของบ้านเปิดประเด็นขึ้น บอกมาให้ละเอียดเลยนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“เอาตั้งแต่ตอนเต้นรำเลยนะ” พึงใจอยู่ในห้องนอน
นิลรัตน์อยู่ในห้องรับแขก “ตอนเต้นรำไม่มีอะไร เอาหลังจากนั้นดีกว่า”
อมาวสีถือโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน ฟังเพื่อนๆ แต่ละนางผลัดกันพูด
พึงใจถาม “ฉันอยากรู้พี่วารินพูดอะไรกับเธอบ้าง...จีบเธอใช่มั้ย
วัชรีแย้ง “ไม่เอา เอาตรงประเด็นเลยดีกว่า ตั้งแต่เธอเดินหายไปจากในงานน่ะ”
“คนรถยายวัชบอกว่ามีผู้ชายมารับ” นิลรัตน์ว่า
พึงใจหมั่นไส้ “อุ๊ย hot นะยะหล่อน...ใครอ้ะ”
อมาวสีบอกไป “คุณภากร”
พึงใจผิดหวัง “อ้าวพี่ชายหรอกเหรอ”
วัชรีนึกได้ “แต่เธอบอกเขาแล้วว่าไม่ต้องมานี่นา”
“แสดงว่าจงใจกีดกันเธอกับพวกเรา” นิลรัตน์ดูจะฉุน
พึงใจก็เช่นกัน “ไม่เข้าท่า”
“แล้วทำไมถึงบ้านซะดึกเลยล่ะ...พี่ชายเธอพาเธอไปไหนก่อนรึเปล่า” นิลรัตน์ถาม
“ก็...เขากินเหล้ามาน่ะ เมาๆ นิดๆ ขับรถเป๋ไปเป๋มา...ก็เลยจอดพักข้างทาง”
นิลรัตน์กะพึงใจถามว่า “แล้วไง” พร้อมกัน
“แล้วคุณราชก็ขับรถมารับเธอ” วัชรีตอบแทน
คนต้นเหตุงง “รู้ได้ไง”
“พี่วารินเล่าให้ฟัง” วัชรีว่า
พึงใจหมั่นไส้ “ต๊าย ตายักษ์ ขาเม้าท์เหมือนกันน่ะนี่...”
“แค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องรับโทรศัพท์อีกสายก่อน”
อมาวสีกดปุ่มยกเลิกการสนทนาระบบประชุมสายเกิร์ลแก๊ง แล้วกดปุ่มรับโทรศัพท์สายใหม่ที่เรียกเข้ามา
“ฮัลโหล”
เสียงราชดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ แต่อมาวสียังฟังไม่ถนัดหูนักว่าเป็นเสียงใคร
“สบายดีมั้ยครับ”
“ใครคะ”
ราชโทร.มาจากห้องพักในอพาร์ตเม้นท์ ราชเดินพูดโทรศัพท์อารมณ์ดี
“คุณน่ะแหละครับ สบายดีมั้ย เช้านี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
อมาวสีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงราชชัดขึ้น เธอเผลออุทานโดยไม่ทันรู้ตัว
“ตายักษ์”
เสียงราชลอดออกมาว่า “ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้วครับ”
อมาวสีนึกได้ “คุณเอาเบอร์โทรศัพท์ฉันมาจากไหน”
“อ้าว โทรศัพท์คุณอยู่กับผมตั้งหลายชั่วโมง มันก็มีบังเอิญเหลือบไปเห็นเบอร์ได้บ้าง ไม่เห็นแปลกเลยครับ”
“แปลกตรงที่คุณโทร.มาหาดิฉันนี่หละคะ”
“แหม ผมอุตส่าห์โทร.มาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าอาจจะมีปัญหา แล้วคุณไม่กล้าโทร.หาผม...งั้นขออีกซักคำถามนึงแล้วกัน...ผมได้ยินคุณพูดถึงพี่ภาคย์บ่อยๆ...ถามตรงๆ เลยนะ เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ออกจากบ้านไปสิบห้าปีที่แล้ว แล้วไม่เคยกลับมาอีกเลย”
“แสดงว่าเขาคงช้ำใจกับ อะไรบางอย่างที่อยู่ที่บ้าน...และผมเชื่อว่า ถ้าเป็นแบบนี้ เขาคงไม่กลับมาอีกแล้วหละครับ...หรือถ้าจะกลับมา ก็คงจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนไปเลย...แค่นี้นะครับ...เอ้อ มีผู้ชายคนนึงกำลังไปหาคุณนะครับ คุณรอรับของฝากจากเขาด้วยก็แล้วกัน...สวัสดี”
อมาวสีค่อยๆ กดปุ่มยกเลิกการสนทนา เธอคิดตามข้อความที่ราชพูด ด้วยความแปลกใจ
พลัน เสียงของจันเคาะประตูห้องเรียกดังขึ้น
“คุณอ้อคะ มีคนมาหาค่ะ”
อมาวสีเปิดประตูห้องรับ “ใคร”
“ชื่อ คุณวาริน ค่ะ”
“เขาอยู่ไหนล่ะ”
“ไปแล้วค่ะ...แต่ฝากของสิ่งนี้ มาให้คุณอ้อค่ะ”
จันยื่นซองจดหมายให้ อมาวสีเปิดออกดู เห็นเป็นโปสการ์ด รูปนักเต้น สวยงามมาก พร้อมข้อความที่การ์ดเขียนว่า
"ขอบคุณที่มาร่วมงานเลี้ยงของผม
หวังว่าคงมีโอกาสเต้นรำด้วยกันอีกนะครับ
พี่วาริน"

ไม่นานหลังจากนั้น ที่ร้านอาหารบรรยากาศ ตกแต่งสไตล์สวยเก๋ ราชขยับตัวลงนั่งข้างๆวาริน
“ปัดโธ่ แทนที่จะให้กับมือนายกลับไปฝากไว้ซะนี่”
“มันต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทีละขั้น จู่โจมเร็วเกินไปไม่ดีหรอก” วารินบอก
ราชเย้า “ลีลาเยอะขนาดนี้ ระวังจะไม่ทันกินนะ...จีบเด็กมันต้อง ว่องไวหน่อยคร้าบ”
“เร็วไปก็เลิกไว ไม่มั่นคง ไม่เอาหรอก”
“แสดงว่าคนนี้รักจริง?...เพิ่งเจอกันสองวันเนี่ยนะ”
“อือม...แต่เหมือนรู้จักมานาน คงเพราะยายวัชเชียร์ไว้เยอะ”
“งั้นให้น้องสาวนายจีบให้เลยแล้วกัน”
“โอ๊ย คงสำเร็จหรอก...ให้มันจีบนายให้ได้ก่อนเหอะ”
“อ้าว ให้ท้ายน้องสาวมาทางนี้อีกแล้ว”
“ก็ถ้าเผื่อนายไม่คิดจริงจังกับคุณชิดชไมละก้อ...ฝากดูๆน้องสาวเราซักคนแล้วกันนะเพื่อน”

สองเกลอหัวเราะกัน พอครื้นเครง

ที่สวนสาธารณะอันร่มรื่น ตอนบ่ายวันเดียวกัน ภากรนอนเล่นอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ เขาสวมแว่นตาดำ ปกปิดรอยฟกช้ำบริเวณใต้ดวงตา มีสีไพรนั่งอยู่ข้างๆ เธอกำลังปอกผลไม้ใส่จาน และเสียงโทรศัพท์มือถือของภากรก็ดังขึ้น

ทว่าภากรยังคงนอนนิ่ง ไม่สนใจจะรับโทรศัพท์
“โทรศัพท์ค่ะ”
“รู้แล้ว”
“ไม่รับเหรอคะ”
ภากรยังคงนอนนิ่ง ไม่มีคำตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องงานสำคัญล่ะคะ”
“อยากรับ เธอก็รับเองสิ”
“แล้วจะให้ไพพูดยังไงคะ”
“ไม่ต้องพูด”
ภากรมีท่าทีหงุดหงิด จนสีไพรทำอะไรไม่ถูก แล้วเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไป
สีไพรปอกผลไม้ต่อ เธอพยายามชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศดูดีขึ้น
“คุณภากรรู้มั้ยคะ พ่อไม่ว่าอะไรแล้วที่ไพยังคบกับคุณภากรอยู่...พ่อเข้าใจไพแล้วนะคะ...คุณภากรก็ไม่ต้องหาเงินแปดล้านบาทมาให้พ่อแล้วด้วย”
“ฉันรู้แล้ว หยุดพูดเถอะ”
“ไพเพียงแต่อยากให้คุณภากรเข้าใจพ่อ พ่อไม่ได้จงเกลียดจงชังคุณภากรเลยนะคะ...พ่อแค่อยากเห็นไพมีความสุข”
ภากรกลับหงุดหงิดมากขึ้น เขากระชากแว่นกันแดดออกพูดเสียงดังขึ้น
“ฉันบอกให้หยุดพูดไง ฉันเข้าใจหมดแล้ว ฉันขี้เกียจฟัง ฉันจะนอน”
สีไพรเพิ่งเห็นรอยช้ำที่ตาภากรชัดๆ
“ตาคุณภากรช้ำมากเลยค่ะ บอกได้มั้ยคะว่าโดนอะไรมา”
“โดนอะไรมาก็ช่างเถอะ ให้ฉันอยู่เงียบๆสักนิดได้มั้ยสีไพร”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง
“ปิดเสียงซะ ปิดโทรศัพท์ไปเลยก็ได้” ภากรสั่ง
“คุณภากรจะไม่ลองรับหน่อยเหรอคะ เผื่อเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ”
“เธอก็รับสิ แล้วให้เขาฝากเรื่องไว้...ช่วยเดินไปพูดไกลๆ ด้วย หนวกหู”
สีไพรหยิบโทรศัพท์ภากรขึ้นมากดรับสาย แล้วเดินพูดออกไปอีกมุม ภากรพลิกตัวเปลี่ยนท่านอน
พลันสายตาของภากร สะดุดกับภาพบางอย่างเบื้องหน้า
ที่แท้เป็น สายบัว นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบึงน้ำ สายบัวยิ้มหวาน กิริยายั่วยวน ภากรยิ้มตอบบางๆ อย่างสนใจ
สีไพรเดินกลับเข้ามา หลังจากพูดโทรศัพท์เสร็จ
“ลูกค้าประกันของคุณภากรเกิดอุบัติเหตุ รถชนที่สระบุรี เขาต้องการให้คุณภากรไปดูแลเขาหน่อยค่ะ”
ภากรถอนหายใจ เซ็งๆ
“ไพกลับบ้านเองได้ค่ะ คุณภากรไปทำงานเถอะ ไปช้าเดี๋ยวเขาจะว่าเอานะคะ”
“สีไพรไปซื้ออะไรเย็นๆให้ฉันหน่อย ขอฉันหลับซักงีบนึง...เดี๋ยวต้องขับรถอีกไกล”
“ค่ะ”
ภากรส่งสตางค์ให้ สีไพรรับแล้วเดินออกไป
ภากรเหลือบมองไปยังสายบัวอีก พบว่าสายบัวยิ้มหวาน ในกิริยายั่วยวนมากยิ่งขึ้น

รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าออฟฟิศของราช ชิดชไมก้าวลงจากรถพร้อมด้วยแฟ้มงานในมือ ทินวิ่งเข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีคร้าบคุณชิดชไม”
ชิดชไมยิ้มขำ “จำชื่อฉันได้ด้วย”
“ถ้าเป็นสาวๆสวยๆ ผมมักจะจำชื่อได้แม่นครับ”
“ลวดลายพอๆ กับเจ้านายเลยนะเรา”
“อ๋อ...บอสฝึกมาดีครับ”
“เขาอยู่มั้ย”
“รอคุณชิดชไมอยู่ข้างในแล้วครับ เชิญครับผม”

ราชยกหูโทรศัพท์ในออฟฟิศขึ้นพูด
“ฮัลโหล ดีเอสเอฟ มูฟวิ่งครับ...ผมว่าคุณโทร.ผิดแล้วหละครับ หาเบอร์ที่ถูกต้องแล้วโทร.ใหม่นะครับ...ที่นี่ไม่เลี้ยงสัตว์เลื้อยคลานครับ”
ชิดชไมเดินเข้ามาทันได้ยิน ราชวางหูโทรศัพท์ลง ท่าทีเขาไม่ถึงกับหงุดหงิดมากมายนัก
“ไงจ๊ะพ่อรูปหล่อ ทะเลาะกับใครอยู่เหรอ”
“น่าจะพวกโรคจิตน่ะ มันโทร.มาแจกอวัยวะ”
“ราชไปขัดใจใคร ในงานเมื่อคืนนี้รึเปล่า”
“โอ๊ย งานมีแต่เด็กกับคนแก่ ผมจะไปมีเรื่องกับใคร”
“แหม...แต่ในเน็ต โพสต์ภาพกันกระจายเลยนะ พบหนุ่มหล่อชุดย้อนยุค ในงานบ้านนายห้างวิรัตน์ ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน แต่ฮ็อตมากๆ สาวใหญ่เป่าปากกันเฟี้ยว น้ำลายหกเป็นแถว”
ราชขำ “พูดกันเกินไป”
ชิดชไมเอื้อมมือลูบรอบๆ คางที่เกลี้ยงเกลาของราช
“โกนหนวดแล้วหล่ออย่างนี้นี่เอง รู้งี้แคลร์ไปด้วยดีกว่า”
“ผมชวนแล้วนะ...คุณไม่ว่างเองนี่นา”
“จ้า ถึงว่างก็ไม่ไปจ้า...ไม่อยากไปขวางหูขวางตา สาวแก่แม่หม้ายในงาน...เอ้านี่ เอางานมาให้ อันนี้งานจริงๆ งานได้เงิน”
“งานอะไร”
“งานโฆษณา หมู่บ้านจัดสรร มีเฟอร์นิเจอร์ต้องย้ายห้าสิบกว่าชิ้น ราชช่วยตีราคาให้แคลร์ทีนะ จะได้เอาเข้าที่ประชุมอาทิตย์หน้า”
“ขอบคุณคร้าบ...คิดค่าคอมมิชชั่นกี่เปอร์เซ็นต์ดี”
“ขอเป็นดินเนอร์หรูๆสองมื้อ กับรีสอร์ตริมทะเลซักคืนนึงได้มั้ย”
“โอเค. งั้นคืนนี้ ออร์เดิร์ฟแบบเบาๆ ที่นี่ก่อนแล้วกันนะ”
เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ราชยกหูรับ
“ฮัลโหล”
ปากชายลึกลับพูดใส่โทรศัพท์ "อยากตายมั้ย...กูจัดให้ได้นะ....ฮ่ะฮ่ะฮ่า"
“ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็โทร.ไปหาพ่อหาแม่คุณแล้วกัน...แต่ถ้ายังโทร.มาที่นี่อีก ผมจะไปหาคุณถึงที่ และผมจะไม่เตือนไม่ขู่ ผมจะยิง...เข้าใจนะ”
ราชวางโทรศัพท์ลง
ชิดชไมถาม “พวกโรคจิตอีกแล้วเหรอ”

“อือม...ช่วยผมเข้าครัวกันดีกว่า”

ตรงมุมลับตาในตึกแถว ไอ้อ้อนอยู่บริเวณนั้น วางโทรศัพท์ลง ในมือมันถือนามบัตรราชอยู่ ไอ้เผือกเดินเข้ามาหามัน

“ทำอะไรน่ะ”
“โทร.ไปขู่มัน” อ้อนบอก
“แล้วมันกลัวมั้ย”
อ้อนส่ายหน้า “มันขู่กลับมาอีก”
“ปัดโธ่...” เผือกเซ็งเป็ด
“อย่าบอกลูกพี่นะ” อ้อนกำชับ
เผือกนึกธุระออก “เออ...ไปเร็ว ลูกพี่เรียกซ้อมแล้ว”

เย็นแล้ว ขณะ จอนยืนพูดกลางห้องโถงชั้น 2 ของตึกแถว ลูกน้องทั้งสามคนยืนกระจายกันอยู่รอบๆ บัดนี้ห้องดังกล่าวได้ดัดแปลงเป็นบ่อน เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีโต๊ะเล่นการพนันสองสามตัว วางตั้งให้เห็น
“พวกเอ็งฟังให้ดีนะ เรากำลังจะทำงานใหญ่ บ่อนแห่งนี้จะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเรา จากนี้ไปเราจะเลิกตกปลาเล็กๆ แต่เราจะหันมาจับปลาตัวใหญ่ กินกันยาวๆ เพราะฉะนั้นพวกเอ็งต้องมีบทบาทเล่น และต้องเล่นให้ดีด้วย เอาเสื้อผ้าของพวกเอ็ง”
จอนโยนเสื้อผ้าให้ลูกน้องทีละคน พร้อมกับอธิบายบทบาทการแสดงของพวกมันให้ฟัง
“ไอ้เผือก เอ็งเป็นพ่อเลี้ยงทวีชัย พ่อค้าไม้เถื่อนจากภาคเหนือ...ไอ้เหิม เอ็งคือเถ้าแก่จั๊วะ เจ้าของร้านทองจากจันทบุรี...ไอ้อ้อน เอ็งชื่อบอย ใครๆ เรียกว่าคุณหนูบอย ลูกนักเลงใหญ่จากระนอง”
“แล้วลูกพี่ล่ะ” เหิมสงสัย
“ข้าก็ มิสเตอร์จอน เจ้าของบ่อนน่ะสิ...พวกเอ็งไปหานักเลงหางแถวอีกซักห้าหกคน มายืนคุมบ่อน เรียกมาเฉพาะเวลาที่มีเหยื่อ”
“แล้วเหยื่อของเราจะมาจากไหน” เผือกถาม
สายบัวเดินเข้ามาพอดี ในมือมีถุงเสื้อผ้าที่เธอหาซื้อมา เธอบอก
“เป็นหน้าที่ของสายบัวเองจ้ะ”
“เธอก็ต้องเปลี่ยนชื่อซะหน่อยนะสายบัว ชื่อของเธอคือจูดี้ น้องสาวของพี่จอน”
“ในบ่อนเป็นน้อง นอกบ่อนยังเป็นเมียเหมือนเดิมรึเปล่าพี่” อ้อนสงสัย
“เออสิวะ”
“วันนี้ฉันเจอเหยื่อรายนึงแล้วนะพี่”
“ใคร”
“อยู่ข้างล่าง พี่ลองดูสิ”
จอนแอบมองตรงช่องข้างหน้าต่าง สายบัวยื่นหน้าชะโงกมองลงไปข้างล่าง พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ ภากรยังยืนอยู่ข้างรถของตนที่จอดอยู่หน้าตึก เขายกมือโบกให้สายบัว ก่อนขึ้นรถขับออกไป
จอนถามขึ้นทันควัน
“มันเป็นใคร ชื่ออะไร รวยมั้ย”
“ลูกนักการเมืองน่ะ พี่ว่ารวยมั้ยล่ะ” สายบัวยิ้มย่อง
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า...จีบมันให้ติดให้ได้นะน้องจูดี้”
จอนหอมแก้มสายบัวฟอดใหญ่ จนลูกน้องพากันอิจฉา

อาหารถูกจัดเสิร์ฟกลางโต๊ะอาหารมื้อค่ำ ท่านกวี คุณหญิงอำภา และอมาวสีนั่งประจำที่อยู่แล้ว
ทั้งสามคนทานอาหารอย่างเงียบๆ ภากรเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะประจำ เขายังคงสวมแว่นตาสีดำอยู่
“ฉันโทร.ไปตามแกตั้งนาน ทำไมเพิ่งมา” ท่านกวีดูอารมณ์เสียนิดๆ
“โทษทีครับพ่อ พอดีผมติดธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไร...แกมีธุระอะไรนอกเหนือไปจากงานที่บริษัทอีกเหรอ”
เสียงท่านกวีเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะค่ะคุณ”
คำพูดของคุณหญิงดูจะไม่ได้ผล “บริษัทประกันเขาโทร.มาบอกฉันว่าวันนี้แกเบี้ยวงาน...และเป็นงานสำคัญของบริษัท...ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทเขาโทร.มาขอความช่วยเหลือจากแก แกก็ไม่รับสาย ฝากเรื่องไว้ แกก็ไม่ตามเรื่อง ไม่ไปดูแลเขา แกเป็นนายประกันภาษาอะไร...ฉันอุตส่าห์ฝากฝังแกเข้าทำงาน ทำอย่างนี้เสียชื่อฉันหมด”
ภากรฉุน “งั้นพ่อก็สั่งให้เขาไล่ผมออกเลยแล้วกัน”
“ไม่ต้องสั่งหรอก เขาเตรียมจะหาทางเอาแกออกอยู่แล้ว รู้ไว้ด้วย”
“ขอบคุณครับ”
ภากรประชด แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเงียบๆ
“ใส่แว่นทำไม ปิดบังอะไร ถอดแว่นออก”
ภากรถอดแว่นออกตามคำสั่งพ่อ เห็นรอยแผล รอยช้ำชัดเจน
คุณหญิงอำภาตกใจ “ตายจริง ทำไมหน้าตาเป็นอย่างนั้นล่ะลูก ไปโดนอะไรมา มีเรื่องกับใครเหรอ”
อมาวสีเหลือบมองดูท่าทีภากร เช่นเดียวกับที่ภากรเหลือบมองดูอมาวสี
“นักเลงปากไม่ดี มันพูดไม่เข้าหู”
“อ๋อ แค่เจอคนพูดไม่เข้าหู แกถึงกับลงไม้ลงมือเลยเหรอ...มีใครเห็นบ้าง นักข่าวรู้มั้ย...เดี๋ยวก็ได้พาดหัวใหญ่ แขวะมาให้เสียชื่อฉันอีกจนได้”
“ไม่มีใครรู้หรอกครับ พ่ออย่าห่วงเลย...พ่อจะไม่ถามเหรอครับว่าเรื่องเป็นยังไง”
“เรื่องเป็นยังไงลูก” คุณหญิงเอ่ยปากถาม
ภากรสบตาอมาวสีก่อนเอ่ยปากพูด
“ก็ที่งานเลี้ยงของเพื่อนน้องอ้อนั่นแหละครับ ผมอุตส่าห์ขับรถไปรับด้วยความเป็นห่วง ดันเจอกลุ่มวัยรุ่นมันพูดถึงอ้อในทางไม่ดี”
“มันพูดว่าอะไร”
ภากรจ้องหน้าอมาวสีอีก อมาวสีจ้องตอบ รอฟังว่าภากรจะพูดอย่างไร
“มันว่า หน้าตาอย่างนี้ น่าหลอกไปฟันจริงๆ และคงหลอกได้ไม่ยาก...มันบอกว่าอยากฟันหลานรัฐมนตรีฟรีๆ ซักครั้ง”
“หยาบคายกันจริงๆ” คุณหญิงโมโห
“แล้วแกทำยังไง” ท่านกวีมองหน้าลูกชาย
“ผมก็ลุยกับพวกมันเลยสิครับ ปล่อยไว้ได้ยังไง”
“พวกมันมีกี่คน” คุณหญิงถาม
“สาม”
“แล้วลูกล่ะ”
“คนเดียว”
คุณหญิงอำภาร้อง “โธ่”
ระหว่างที่ภากรกำลังสร้างเรื่องเท็จอยู่นั้น อมาวสีฟังนิ่งๆ ทานไปเงียบๆ
“เอาละ ทำดีอย่างนี้พ่อพอจะให้อภัย...แต่คราวต่อไป ต้องรู้จักหาวิธีหลีกเลี่ยงแบบอื่นบ้าง ไม่ใช่จบด้วยการชกต่อยทุกครั้งไป...อ้อก็ต้องระวัง อย่าไปอยู่ในที่เสี่ยงมากนัก เข้าใจมั้ย”
อมาวสีรับ “ค่ะ”
“พ่อครับ จากนี้ไปผมขออาสาเป็นคนไปรับไปส่งอ้อ ได้มั้ยครับ เพื่อไม่ให้น้องต้องเสี่ยงกับการเจอคนเลวๆ แบบนี้อีก”
“จะไหวเหรอ กิจกรรมยายอ้อก็ไม่ใช่น้อยอยู่นะ”
“ผมยินดีครับ เพื่อน้องสาวของผม”
ท่านกวีมองหน้าภริยาเหมือนถามความเห็น อมาวสีมองลุ้นว่าท่านกวีจะตัดสินใจอย่างไร
“ก็ดี เอาตามนั้น”
ภากรยิ้มชื่น มีความสุขล้น “ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณพี่เขาสิ อ้อ” คุณหญิงบอก
อมาวสีพูดอะไรไม่ออก และเธอไม่กล้าพูดความจริง ซึ่งมันจะหักล้างทุกสิ่งที่ภากรพูด เธอจึงได้แต่ยอมจำนนออกมาเป็นคำว่า

“ขอบคุณค่ะ”

อ่านต่อหน้า 4

หัวใจเถื่อน ตอนที่ 3 (ต่อ)

หลังมือค่ำ อมาวสีนั่งซึมๆ เซ็งๆ อยู่เพียงลำพัง ตรงระเบียงข้าง เรือนนมพริ้ง ภากรเดินเข้ามายืนข้างๆ

“อ้อ”
“คุณภากรมีธุระอะไรกับอ้ออีกเหรอคะ”
“พี่อยากจะขอโทษอ้อ”
“เรื่องไหนคะ”
“เรื่องเมื่อคืน”
“เรื่องเมื่อคืนเวอร์ชั่นไหนคะ เพราะเมื่อคืนของคุณภากร กับเมื่อคืนที่อ้อได้เจอมา มันคนละเรื่องกันชัดๆ”
ภากรขยับตัวลงนั่งข้างๆ อมาวสี
“เหอะน่า พี่ขอโทษทั้งหมดนั่นแหละ...ขอโทษที่ต้องโกหกพ่ออย่างนั้น...และขอบคุณที่อ้อไม่โต้แย้งพี่ ไม่งั้นพี่โดนพ่อเล่นงานตายเลย”
“คงไม่หรอกค่ะ เพราะอ้อไม่เคยเห็นคุณลุงทำโทษคุณภากรสักครั้ง”
“อ้อ พี่สัญญา ว่าพี่จะไม่ล่วงเกินอ้ออย่างนั้นอีกแล้ว พี่ยังยืนยันว่าพี่หวังดีกับอ้อ...แล้ววันนึงอ้อจะรู้ว่าพี่รู้สึกกับอ้อยังไง”
อมาวสีไม่ตอบอะไร และไม่ตื่นเต้นประทับใจใดๆกับท่าทีของภากรแม้แต่น้อย
“มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึง...พี่อยากรู้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร”
“ใครคะ”
“คนที่มันชกหน้าพี่ไง อ้อยอมนั่งรถไปกับมัน แสดงว่าอ้อรู้จักมันใช่มั้ย”
“เขาชื่อ ราช รัชภูมิ...คนที่ซื้อบ้านแก้วของคุณป้า”
“อ๋อ...ไอ้เศรษฐีบ้านนอกหน้าโง่คนนี้นี่เอง ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
“คุณภากรจะทำอะไรเขาเหรอ”
“ลูกผู้ชายมันก็ต้องมีการเอาคืนกันบ้าง เป็นธรรมดา”
ภากรขยับตัวจะเดินออกไป นมพริ้งถือถาดอาหารเดินสวนเข้ามา
“คุณภากรเดินเล่นมาถึงนี่เชียวเหรอคะ”
“อื้อม...ป้าพริ้งช่วยบอกยกเลิกมอเตอร์ไซค์วินที่มารับน้องอ้อเป็นประจำด้วยนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“จากนี้ไป ฉันจะเป็นคนไปรับไปส่งน้องอ้อเอง”
ภากรเดินออกไป นมพริ้งขยับเข้าไปใกล้อมาวสี
“ทำไม อยู่ๆ เธอก็มาทำดีกับคุณอ้อล่ะคะ”
“มันก็ต้องมีเหตุน่ะสิป้า”
“แต่ก็ดีแล้วละค่ะ ดีกว่าซ้อนมอเตอร์ไซค์...เอ้อ วันนี้ป้าไปบ้านแก้วกับคุณหญิงท่าน”
“เหรอคะ”
“ทุกอย่างที่นั่นยังเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ความทรุดโทรม...แต่รูปวาดนายแม่เท่านั้นแหละ ที่ยังสวยงามไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลย”
“รูปวาดที่พี่ภาคย์ชอบที่สุด”
พูดขึ้นมาแล้ว อมาวสีนึกถึงรูปวาดรูปนั้น

ท่านกวี เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ถือถ้วยกาแฟขยับลงนั่งข้างๆ คุณหญิงอำภาอย่างอารมณ์ดี
“คุณรู้มั้ยว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนรุ่นใหม่ เป็นโรคภูมิแพ้ และรักษาไม่หาย”
“ค่ะ ดิฉันพอจะทราบ”
“คุณจะรู้สึกยังไง ถ้าผมบอกว่ามียารักษาโรคภูมิแพ้แบบหายขาดได้แล้ว”
“เรื่องนี้เหรอคะคือข่าวดีที่คุณบอกดิฉันตอนบ่าย”
“ใช่...และตรงที่ดีที่สุดของข่าวนี้ก็คือ ยาที่ว่านี้จะเป็นยาที่ผลิตโดย บริษัทกลอนกวีของผม”
“ดิฉันไม่เคยเห็นคุณสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อน”
“ข้อดีของนักการเมืองคือ จะมีคนนำเรื่องที่น่าสนใจใหม่ๆ มาบอกเล่าเราอยู่เสมอ”
“เราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาไม่ได้หลอกเรา”
“ประสบการณ์...คุณต้องเชื่อในประสบการณ์ของสามีคุณ”
คุณหญิงอำภาไม่อยากโต้เถียงผู้เป็นสามี
“แปลว่า คุณตัดสินใจแล้วที่จะลงทุนในธุรกิจนี้”
“ใช่...เราดีลโดยตรงกับนักวิจัยที่ค้นพบยาตัวนี้...เขาจะให้สูตรเราฟรีๆ ให้เราลงทุนกระบวนการผลิตทั้งหมด เขาขอแบ่งกำไรสิบห้าเปอร์เซ็นต์หลังจากเราได้ทุนคืนแล้ว...เห็นมั้ยงานนี้มีแต่ได้ ได้ทั้งยาที่มีประโยชน์ต่อมวลมหาประชาชน และเราก็มีกำไรที่ไม่ได้มาจากการโกงกินใคร”
“แต่เราต้องลงทุนสูงนะคะ” คุณหญิงแย้ง
“เราเรียกหุ้นได้ พรรคพวกเราเยอะแยะไป...แต่เราต้องถือหุ้นใหญ่ เพื่อสะดวกในการตัดสินใจ”
สีหน้าคุณหญิงอำภาดูมีแววกังวลอยู่ลึกๆ ต่างจากท่านกวีที่ออกจะมีความสุขกับโครงการนี้มาก
“เฮ้ ผมเอาเรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟัง คุณต้องยิ้มแย้ม มีความสุข ดีใจไปกับผมด้วยซี่ ไม่ใช่นั่งอมทุกข์แบบนี้”
“ฉันอดห่วงไม่ได้หรอกค่ะ...กลัวคุณจะโดนเขาหลอกเหมือนคราวก่อน...ที่ถูกตัดสิทธิ์ห้าปี ก็ไม่ใช่เพราะเชื่อคนอื่นหรอกเหรอคะ”
“ไม่มีทาง...คนอย่างผมไม่มีวันพลาดซ้ำสอง”
“ก็แล้วแต่คุณ”
ท่านกวีขยับตัวจะเดินออกแล้วนึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้
“เอ้อ...หมู่นี้คุณสังเกตท่าทีแปลกๆของนายภากรบ้างมั้ย”
“มีอะไรเหรอคะ”
“มันทำท่าเหมือนว่ามันจะชอบยายอ้อนะ”
อำภาครุ่นคิดตามคำของสามี

อมาวสีกลับเข้าห้องนอน ขยับตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอเหลือบมองดูการ์ดที่ได้รับจากพี่วาริน ข้างๆ การ์ดแผ่นนั้นเป็นนามบัตรของราชวางอยู่
อมาวสีหยิบนามบัตรนั้นขึ้นมาดู เธอตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขของราช และพิมพ์ข้อความลงไปว่า
"ระวังตัวด้วย มีคนจะไปแก้แค้นเอาคืนกับคุณ"
นิ้วอมาวสีเลื่อนไปอยู่ที่ปุ่ม send และหยุดชะงักอยู่แค่นั้น เธอกำลังตัดสินใจว่าจะส่งข้อความไป ดีหรือไม่ดี ในที่สุดโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น หน้าจอเป็นหมายเลขและรูปหน้าของวัชรี อมาวสีกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล วัชรี”
วัชรีเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน “นอนหรือยังจ๊ะอมา”
เสียงอมาวสีตอบว่า “ยัง”
“กำลังนั่งมองการ์ดของพี่วารินอยู่หรือเปล่า”
“เธอเป็นคนเลือกให้ใช่มั้ยล่ะ”
“เปล่านะ พี่วารินเขาทำเองทั้งหมด...ไม่บอกฉันเลย...ส่วนเรื่องการ์ดเนี่ย ดูเหมือนคนที่เลือกให้จะเป็นตายักษ์นะ...เพราะพี่วารินเลือกอะไรพวกนี้ไม่เป็นหรอก”
มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นเมื่ออมาวสีได้ยินชื่อ...ตายักษ์
“เหรอ”
เสียงวัชรีดังออกมา “ไม่รู้ละ แต่เธอนอนฝันถึงพี่วารินบ้างก็ดีนะเพื่อน...เท่านี้หละ กู๊ดไน้ท์”
“ไน้ท์ไน้ท์จ้ะ”
อมาวสีกดยกเลิกการสนทนา
หน้าจอโทรศัพท์กลับมาที่หน้าข้อความเดิมอีกครั้ง สุดท้ายอมาวสีตัดสินใจกด cancel ไม่ส่งข้อความนี้

บ้านแก้วทั้งหลังตกอยู่ในความสลัวรางของยามค่ำคืน รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน ภากรก้าวลงจากรถ เดินไปจนถึงประตูรั้ว ที่เขาเคยแทรกตัวเข้าไปได้ง่ายๆ แต่คืนนี้ มีกุญแจดอกใหญ่คล้องไว้อย่างแน่นหนา
ภากรค่อยๆเดินเลาะแนวรั้ว ไปจนถึงตำแหน่งที่ง่ายต่อการปีน เขาล้วงหยิบปืนจากกระเป๋าออกมา
มันอยู่ในสภาพพร้อมทำงาน

ดูเหมือนว่าภากร ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรชั่วร้ายบางอย่าง

หลังพระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือผืนฟ้า กรุงเทพมหานคร ได้ไม่นานนัก นายเทินลงจากรถ เดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์ของราช เทินไขกุญแจเข้ามาในห้อง แล้วเดินตรงไปจนถึงหน้าประตูห้องนอนราช เคาะประตูดังสองสามครั้ง

“คุณราชครับ...คุณราช”
ประตูห้องนอนเปิดออก ผู้ที่ยืนอยู่กลางประตูคือชิดชไม ในสภาพเพิ่งตื่นนอน เธออยู่ในชุดนอนตัวใหญ่ของราช นั่นยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น เทินถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“อุ้ย...คุณชิดชไม”
ชิดชไมทักทาย “น้าเทินมีอะไรเหรอ”
เทินอึกอัก “เอ้อ...”
ชิดชไมอธิบาย “เมื่อคืนเรามีปาร์ตี้กันที่นี่ หลังจากน้ากลับไปแล้วน่ะ...ทำไมทำหน้า งงๆ ล่ะ”
“เอ้อ คือ ตั้งแต่ผมอยู่กับคุณราชมา คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่เดินออกมาจากห้องนอนคุณราชในตอนเช้าตรู่...ผมก็เลย...เอ้อ ดีใจ”
“ปกติเป็นผู้ชายเดินออกมางั้นเหรอ” หญิงสาวเย้า
ชิดชไมเดินยิ้มไปเข้าห้องน้ำ เทินตะโกนเข้าไปในห้อง
“ผมรอข้างนอกนะครับ คุณราช”
ราชเดินออกมาในชุดเสื้อยืด กางเกงบ็อกเซอร์
“ไม่เป็นไร น้าเทินมีอะไรว่ามาตรงนี้เลย”
“ผมจะมาเตือนเรื่องบ้านแก้วน่ะครับ...พรุ่งนี้ต้องไปโอนที่สำนักงานที่ดินแล้วนะครับ”
“น้าเทินไปแทนผมแล้วกัน...โอนเป็นชื่อน้าเทินนั่นละ แล้วค่อยโอนคืนให้ผมทีหลัง”
เทินทักท้วง “จะต้องไปเสียค่าโอนสองทีสามทีทำไมล่ะครับ...คุณไปเองทีเดียวพรุ่งนี้ก็จบเรื่อง”
“ผมยังไม่อยากเจอหน้าเจ้าของเก่า...นะ ทำให้ผมหน่อยนะ”
“ครับ”
ราชหมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในห้อง เทินรีบเรียกไว้
“แล้ววันนี้...”
“ผมจะไปเดินห้างกับชิดชไม”
เทินประหลาดใจ “ห๊ะ”
ราชบอก “ไปช่วยเธอเลือกของสำหรับงานโฆษณา”

สองคนอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเมืองไทย ราชและชิดชไมเดินควงและคุยกันมา กลางทางเดินในห้างหรูแห่งนั้น
“น้าเทินบอกว่าบ้านแก้วที่ราชเพิ่งซื้อเนี่ย เป็นบ้านไม้เก่าๆ”
“อื่อฮื้อ”
“อายุเกินห้าสิบปี”
“ประมาณนั้น”
“มีผีมั้ย”
“อื๊อม...อย่าทักสิ”
“แล้วราชจะเอาบ้านหลังนี้ไว้ทำอะไร”
“ก็ยังไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากเก็บไว้ให้สภาพเหมือนเดิมๆ น่ะ”
“แคลร์ไปเช่าถ่ายโฆษณาบ้างได้มั้ย”
“ไม่มีปัญหา...สำหรับแคลร์ ให้ถ่ายฟรีๆ เลย”
“แน่นะ”
“ชัวร์...โน่นเฟอร์นิเจอร์อยู่ทางโน้น”
“แคลร์ขอเข้าร้านหนังสือตรงนี้ก่อนแป๊บนึงนะ”
ชิดชไมเลี้ยวเข้าร้านหนังสือ...ราชเดินเลี้ยวตามไป เขาชนกับสุภาพสตรีผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากทางเดินไปห้องน้ำ สุภาพสตรีท่านนั้นคือ มรว.หญิงทิพย์สุดา
“ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
คุณหญิงทิพย์สุดาจ้องหน้าราชนิ่ง มีแววตื่นเต้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของทิพย์สุดา
“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ”
“จ้ะ”
ราชจึงเดินเข้าร้านหนังสือตามชิดชไมไป

ไม่นานต่อมาคุณหญิงทิพย์สุดาขยับลงนั่งที่โต๊ะอาหารในร้านสวย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านหนังสือ ข้างๆ ราชนิกุลสูงวัยท่านนี้ เป็น นุ่น หรือ นิลรัตน์หลานรัก กับนพผู้เป็นน้องชายสามี
“นี่ค่ะ ยำปลาดุกฟูที่คุณป้าสั่ง มาพอดีเลยค่ะ” นิลรัตน์ว่า
“หลานนุ่นจ๊ะ ป้าวานหน่อยเถอะ ช่วยเอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปผู้ชายคนนั้นให้ป้าทีสิ ป้าไม่กล้า”
“ใคร คนไหนคะ” หลานสาวมองฉงน
“โน่นแน่ะ อยู่ในร้านหนังสือคนโน้นน่ะ”
ทุกคนหันไปมองตามทิศทางที่คุณหญิงทิพย์สุดาชี้ เห็นเป็นด้านหลังของราชยืนเลือกหนังสืออยู่กับชิดชไม
“เอ๊...ยังไงกัน อยู่ๆ คุณพี่เกิดอยากได้รูปผู้ชาย” นพแปลกใจใช่น้อย
“เขาเหมือนน่ะตานพ...เหมือนมาก”
นิลรัตน์มองไป ในจังหวะที่ ราชพลิกตัวหันหน้ามาให้เห็นเต็มๆตา
“อุ๊ย ตายักษ์นี่”
“หลานนุ่นรู้จักเหรอจ๊ะ” คุณหญิงสนใจ
“ค่ะ เขาชื่อราช รัชภูมิ เป็นเพื่อนกับพี่วารินพี่ชายยายวัชรี ส่วนผู้หญิงชื่อชิดชไม ทำงานอยู่บริษัทโฆษณา”
“โอ้โฮ รอบรู้จริงนะลูกพ่อ”
“ถ้าคุณป้าอยากได้รูปเดี๋ยวหนูหาให้ ไม่ยากค่ะ ไม่ต้องไปแอบถ่ายหรอกค่ะ” สาววัยใสว่า
“ป้าอยากรู้จักเขาจังเลย”
“ทำไมเหรอครับ” นพแปลกใจ
“หน้าตาเธอเหมือนท่านชายคฑาเทพ อาของพี่มากๆ”
“แต่ถ้าคุณป้าเห็นก่อนนี้ซักวันนึงละก้อ คุณป้าจะต้องพูดอีกอย่างนึงแน่ๆ”
มรว.หญิงทิพย์สุดามองหน้าหลานเป็นคำถาม
“ก็หนวดเคราเขารกรุงรัง ไม่หล่อสะอาดสะอ้านแบบนี้หรอกคะ”
“เอาอย่างนี้นะ หลานช่วยสืบประวัติคุณคนนี้ให้ป้าทีได้มั้ยจ๊ะ ป้าอยากรู้ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร...ได้มั้ยหลาน”
“งานถนัดเลยค่ะ...เรื่องลึกลับอย่างนี้นุ่นชอบค่ะ”
นพหันไปมองที่ราชและชิดชไมอีกที
“พ่อดูสองคนนี้เหมาะสมกันดีนะ”
“ยายวัชรีได้ยินเข้ามีหวังกรี๊ดสลบแน่” นิลรัตน์บอกบิดา

แทบจะทันทีทันใด วัชรีพูดโทรศัพท์มือถือพร้อมกับวิ่งออกกำลังอยู่บนสายพาน ในห้องออกกำลังกายของบ้าน
“ว่าไงนะ พูดใหม่อีกทีซิ”
นิลรัตน์ เดินพูดโทรศัพท์ตามหลังราชกับชิดชไม ตามทางในห้าง
“เธอมีคู่แข่งคนสำคัญแล้วหละยายวัช”
“ใคร” เสียงวัชรีขุ่นเขียว
“คุณชิดชไมน่ะสิ อู๊ย เดินเกาะแขนกันแจเลย พ่อฉันยังบอกว่าดูเหมาะสมกันดีด้วยนะเธอ”
“ไม่สนหรอก ฉันกับคุณชิดชไม คนละสไตล์ คนละลุคกันย่ะ”
เสียงนิลรัตน์ลอดออกมาว่า “แล้วเธอจะรู้ได้ไงว่าตายักษ์น่ะชอบลุคแบบเธอ”
“ไม่รู้ ฉันเปลี่ยนลุคตามแบบที่เขาชอบก็ได้ ไม่ยาก”
นิลรัตน์หยุดเดิน เธอยืนพูดอยู่ที่มุมหนึ่งในห้าง
“ฉันกลัวจะไม่ทันคุณชิดชไมน่ะสิ”
“ไม่มีทาง พี่วารินบอกว่าสองคนนี้เป็นแค่เพื่อนรักกันย่ะ”
“โอเค แต่ตอนนี้ป้าฉันฝากให้ช่วยสืบประวัติคุณราช...เราซักจากพี่วารินได้มั้ย”
“ได้เลย”
“เรียกยายพึง กับอมา มาด้วยนะ จะได้ครบเซ็ต”

“ได้...แต่อมาไม่ชอบหน้านายยักษ์นะ”

ราชกับชิดชไม ที่เดินดูเฟอร์นิเจอร์อยู่ อีกมุมหนึ่งในห้างสรรพสินค้า โทรศัพท์มือถือราชดังขึ้นเขาหยิบมันขึ้นมาพูด

“ฮัลโหล น้าเทิน...ว่าไงนะ กระจกแตกทุกบาน...อย่างอื่นล่ะ...งั้นก็เปลี่ยนกระจกใหม่ เปลี่ยนกุญแจล็อคให้แข็งแรงขึ้น...แล้วก็...ผมอาจจะต้องให้เจ้าทินนอนเฝ้าที่บ้านแก้วนะ...ขอบใจมากน้า”
ราชกดปุ่มเลิกการสนทนา ชิดชไมสังเกตได้ถึงความเครียดนิดๆ ของราช
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“มีคนยิงปืนใส่บ้านแก้วของผม”
“มีใครเป็นอะไรรึเปล่า”
ราชส่ายหน้า “ไม่มีคนอยู่ กระจกแตกอย่างเดียว”
“นักเลงที่ราชไปเล่นงานมันวันนั้นละมั้ง”
“ไม่น่าจะใช่...ผมว่าผมรู้นะว่าใครเป็นคนทำ”
แววตาราชแข็งกร้าวขึ้นมา

ภากรเดินเข้ามากลางสำนักงานท่านกวี เขาเดินจนมาถึงหน้าโต๊ะทำงานบิดา ท่านกวีนั่งอยู่ตรงนั้น ทนายชอบยืนเยื้องๆ ห่างออกไปเล็กน้อย
“นั่งสิ”
“ดูเป็นทางการจังเลยพ่อ...มีอะไรคุยกันที่บ้านก็ได้ ไม่เห็นต้องเรียกผมมาด่วนแบบนี้เลย”
“ฉันเพิ่งตัดสินใจเดี๋ยวนี้ ก็ต้องเรียกมาคุยทันที จะได้จบๆ”
“ครับพ่อ”
“ฉันปรึกษากับคุณชอบแล้ว เห็นควรให้แกออกจากบริษัทรุ่งโรจน์ประกันชีวิต”
“ก็ดีครับ อยู่ที่นั่นผมก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เขาเท่าไหร่”
“แต่แกจะอยู่เฉยๆ ลอยไปลอยมาไม่ได้ แกต้องมีงานทำ”
“ผมจะหางานที่ผมชอบจริงๆ”
“ไม่ต้อง ฉันหาไว้ให้แล้ว...บริษัทเฮลตี้ฟาร์ม่า”
“บริษัทอะไรนะครับ”
กวีมองหน้าทนายชอบ เพื่อให้ตอบแทน
“เป็นบริษัทใหม่ ถือหุ้นใหญ่โดยกลอนกวีของคุณพ่อคุณ เราจะขายยาแก้แพ้ตัวใหม่ล่าสุด” ชอบบอก
“ผมไม่ใช่เภสัชกรนะ”
“ฉันจะให้แกเป็นMDบริษัท...ออกหน้าแทนพ่อ” ท่านกวีบอก
“เป็นนอมินี”
“แต่ไม่มีอะไรผิดกฎหมายครับ ทำได้” ทนายชอบว่า
“งั้นก็ ยินดีไม่มีปัญหาครับพ่อ”
ท่านกวีพยักหน้าให้ทนายชอบ ทำนองว่าจบเรื่องแล้ว
พอทนายชอบเดินออกไป กวีพูดกับลูกชายเบาๆ พอได้ยินกันสองคน
“ทีนี้ถ้าแกอยากได้เงินแปดล้านไปใช้หนี้ ฉันก็พอจะแบ่งให้ได้ เคลียร์ให้จบๆ จะได้ไม่มีเรื่องให้ขุดคุ้ยกันทีหลัง”
“ไม่จำเป็นแล้วครับ”
“ยังไง”
“เราไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งนั้น ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้วคลิปลับอะไรนั่นล่ะ”
“อยู่ในมือผมแล้ว”
“ลบทิ้งอย่าให้เหลือ ทำลายให้หมด”
“ครับ”
“ไม่มีอะไรผูกพันกับผู้หญิงคนนั้นแน่นะ”
“ครับ ถ้าผมอยากจะผูกพันกับใครเมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกพ่อเลยครับ”
“งั้นถามนิดนึง...ถ้าเป็นยายอ้อล่ะ...เป็นไง”
“แหม...พ่อเดาใจผมเก่งจริง”
สองพ่อลูก หัวเราะกันร่วนเชียว

ค่ำคืนนั้น ภายในห้องนอนสีไพร ร่างของสาวเจ้าของห้องนอนหลับซบอยู่บนอกของภากร ส่วนภากรนอนลืมตามองเพดานนิ่ง ในมือของเขากำเมมโมรี่การ์ดแผ่นนั้นอยู่
ภากรยกมันขึ้นมาดู และตัดสินใจลุกออกจากเตียง เสียบมันเข้ากับโทรศัพท์มือถือ เปิดโหมดดูคลิป ที่หน้าจอ พบข้อความแจ้งว่า ไม่มีข้อมูล
ภากรหน้าตาเครียดขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธ เขาเดินไปกระชากตัวสีไพรให้ลุกขึ้น
“สีไพร พาฉันไปหาพ่อเธอ เดี๋ยวนี้”

กลางดึก อันเป็นเวลาที่นายสุดเข้าเวรยามอยู่ในตลาด ชายสูงวัยลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ เบื้องหน้าของเขาคือสีไพร และภากร ทั้งสองมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“สีไพร”
“พ่อ”
สุดหันมาถามภากร “คุณ มาที่นี่ทำไม”
“มาดูน้ำหน้าคนกลับกลอก ปลิ้นปล้อนน่ะสิ”
“คุณภากรอย่าว่าพ่ออย่างนี้สิคะ” สีไพรตกใจ
“ก็จะไม่ให้ว่าได้ยังไง...ต่อหน้าฉัน ทำเป็นพูดดี บอกว่าไม่เคยคิดจะเอาเงินซักบาท คุณค่าสีไพรมีมากกว่าเงินแปดล้าน...แล้วนี่อะไร นี่อะไร”
ภาการชูเมมอรี่การ์ดให้ดู สุดมองมัน นิ่งๆ
“มันไม่มีอะไรอยู่ในนี้เลย แกก๊อปปี้ภาพเก็บเอาไว้ใช่มั้ย กะจะรอจังหวะที่จะเรียกเงินมากกว่านี้ใช่มั้ย...บอกมาซี่”
นายสุดยังมองหน้าภากรนิ่ง สีไพรพยายามอธิบายแทนผู้เป็นพ่อ
“พ่อไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณภากร เชื่อไพเถอะค่ะ”
“ฉันเปิดดูแล้ว ไม่มีภาพอะไรซักนิด อย่างนี้มันหมายความว่ายังไง”
นายสุดค่อยๆ เอ่ยปากพูดอย่างใจเย็น
“คุณมีการศึกษารึเปล่า”
“ทำไมฉันจะไม่มี”
“คนมีการศึกษา มีสติปัญญา คิดไม่ออกเหรอว่า จะมีพ่อคนไหนกล้าถ่ายภาพลูกสาว มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น”
ภากรอึ้งไป เช่นเดียวกับสีไพร
“หมายความว่า...”
“หมายความว่า ผมไม่เคยถ่ายภาพคุณกับสีไพรน่ะสิ...ผมเพียงแต่คิด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขู่ไล่คุณออกไปจากลูกสาวผม แต่เพราะผมเห็นแก่สีไพร ผมเห็นว่าสีไพรรักคุณจริง...จึงยอมตามความรู้สึกของสีไพร”
สีไพรตะลึง “พ่อ...”
“มันไม่เคยมีคลิปอะไรนั่นเลยเหรอ”
“คงไม่มีโรงแรมไหนกล้าทำอย่างนั้นหรอก” สุดบอก
“ผมโดนหลอกหมดเลยเหรอ”
“ไม่มีใครคิดจะหลอกคุณ เพื่อให้คุณเสียหาย...ส่วนการที่คุณไม่หลอกไม่ทิ้งสีไพรนั่นก็ถือเป็นบุญเป็นกรรมของมัน...แต่ผมก็ยังไม่อยากเห็นหน้าคุณอยู่ดี”
นายสุดลุกขึ้นเดินหนีไปจากตรงนั้น

พระอาทิตย์ขึ้นอีกคราครั้งหนึ่งแล้ว นายเทินกับทนายชอบเดินออกมาจากตัวอาคาร สำนักงานกรมที่ดิน
“เป็นอันว่า การทำธุรกรรมซื้อขายกันระหว่างเราเสร็จสมบูรณ์แล้วนะครับ”
“ครับผม”
“เราแยกกันตรงนี้เลยนะ”
“โชคดีครับ”
ทนายชอบ เขาเดินไปที่รถเก๋งคันหรูของท่านกวี ทนายชอบเปิดประตูเข้าไปนั่ง จึงได้เห็นว่าคุณหญิงอำภาและท่านกวีนั่งรออยู่ในนั้น
“เรียบร้อยครับท่าน”
“นายราชนั่นไม่ได้มาเองเหรอ”
“เปล่าครับ ใช้ชื่อผู้ช่วย ชื่อนายเทินเป็นผู้ซื้อ...ก็คงทำโอนลอยไว้ให้นายราชอีกทีน่ะครับ”
“พิลึกคนจริงๆ ฉันเลยไม่ได้เห็นหน้าไอ้หมอนี่เลย”
“ได้สตางค์มาครบก็น่าจะโอเคแล้วครับท่าน”
“คุณชอบไม่รู้รายละเอียดเลยเหรอว่า นายราชคนนี้เขาเป็นใครมาจากไหน” คุณหญิงถาม

รถของราชวิ่งไปบนถนนเส้นที่แสนจะร่มรื่นสวยงาม ราช ขับรถนิ่ง หน้าตาหล่อเหลา มองตรงไปเบื้องหน้า
เสียงวารินดังก้องขึ้นในจังหวะนี้
“ราช รัชภูมิ เป็นคนดีมีน้ำใจ ขยันขันแข็ง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร...พื้นเพเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้แน่ชัด รู้กันแต่เพียงว่า พ่อแม่ตายหมด เขาได้รับความอุปการะจากลุงรักษ์ นักธุรกิจท่องเที่ยวที่ภูเก็ต”
มีภาพถ่ายลุงรักษ์กับราชประกอบคำเล่า เป็นภาพจากหลายสถานที่ หลายวัย รูปเหล่านี้ อยู่ในรถ และตั้งอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของราชหลายใบ

วาริน เล่าถึงราช อย่างต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้
“ลุงรักษ์ไม่มีลูก ด้วยความเอ็นดูในตัวราช เขาก็เลยส่งราชไปเรียนเรื่องเครื่องจักรที่เยอรมัน จนได้เจอกับพี่ที่นั่น”
เกิร์ลแก๊งทั้งสี่คนล้อมวงฟังวารินอยู่
“เขามีครอบครัวหรือยังคะ” พึงใจถาม
“มันไม่เคยรักใคร สนิทที่สุดก็ชิดชไม”
อมาวสีนั่งฟังนิ่งๆ
“แล้วที่อยู่ทางใต้ล่ะคะ ซุกเมียกับลูกไว้รึเปล่า” นิลรัตน์โต้โผ นำสืบถาม
“พี่ไม่เคยได้ข่าวนะ”
พึงใจว่า “อาจเป็นเกย์ก็ได้”
วัชรีค้อนควัก “บ้า...”
“พวกเราอยากรู้เรื่องของนายราชทำไม” วารินสงสัยใช่น้อย

“ป้าของนิลรัตน์อยากรู้ค่ะ เพราะว่าหน้าตาของตายักษ์เนี่ย เหมือนท่านอาของคุณป้ามาก”

รูปถ่ายของ ราช รัช ภูมิ หลายใบถูกนิลรัตน์ยื่นให้คุณหญิงป้า มันเป็นรูปที่เธอได้มาจากวาริน มีทั้งรูปตอนผมยาวมีหนวดเครา และรูปในงานเลี้ยงของวาริน

คุณหญิงทิพย์สุดารับรูปมาดูใกล้ๆ
“เอาหนวดเคราออกแล้วเหมือนจริงๆ...เสียดายป้าหารูปท่านอาไม่เจอ”
สาวๆ ทั้งสี่รายล้อม มรว.ทิพย์สุดาอยู่กลางห้องโถงบ้านนิลรัตน์
“แล้วตอนนี้ท่านอาของป้า อยู่ที่ไหนคะ”
“เสียชีวิตมาได้เกือบสองปีแล้ว ที่อเมริกา”
อมาวสีสนใจ “อ้าว ไม่ได้อยู่เมืองไทยเหรอคะ”
“ท่านอพยพไปอยู่ที่อเมริกาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยกลับเมืองไทยอีกเลยลูกหลานทางนี้ท่านก็ไม่ค่อยจะมี ในที่สุดก็เหมือนคนที่ถูกโลกลืมไปซะอย่างนั้น”
นิลรัตน์เศร้า “น่าสงสารท่านจัง ทำไมท่านถึงย้ายไปอยู่อเมริกาคะ”
“เฮ้อ พูดแบบวัยรุ่นยุคนี้ก็ต้องบอกว่า อกหักนั่นแหละ”
พึงใจบอก “ถ้านายยักษ์ เหมือนท่านอาของนิลรัตน์ขนาดนี้ ไม่แน่นะ สุดท้ายอาจจะอกหักเหมือนท่านอาก็ได้นะ”
“ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันยอมปล่อยให้คุณราชอกหักหรอก จริงมั้ย อมา”
อมาวสี ได้แต่ยิ้มให้วัชรี โดยไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ

ท่านกวีนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะที่สำนักงาน โดยมีคุณหญิงอำภานั่งนิ่งๆ ห่างออกมา ทนายชอบเดินเข้ามาหา
“ท่านครับ คุณหว่องแจ้งว่าจะมาถึงช้าสักนิดนึง เนื่องจากรถติดกลุ่มผู้ชุมนุม”
ท่านกวีพยักหน้ารับรู้ “ไม่เป็นไร”
ทนายชอบเดินออกไป ท่านกวีลอบมองดูท่าทีคุณหญิงอำภา
“คุณเป็นอะไรน่ะ นั่งเงียบมาตลอดทาง...ยังเสียดายบ้านแก้วอยู่รึไง”
“ดิฉันพูดตรงๆ ได้มั้ยคะ”
“ได้”
“ฉันคิดถึงภาคย์ค่ะ”
“งั้นผมพูดตรงๆ บ้างได้มั้ย”
“ค่ะ”
“อย่าเอ่ยชื่อนี้ให้ผมได้ยินอีก มันไม่เป็นมงคล”
“ทำไมพูดถึงลูกอย่างนั้นล่ะคะ”
“ลูกที่จองหอง อกตัญญู ไม่เคยคิดถึงคุณเลยน่ะเหรอ...คุณไปคิดถึงมันทำไม”
“ลูกอาจจะคิดถึงเราก็ได้ค่ะ”
“อย่ามาใช้คำว่าเรา เพราะผมไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับไอ้ภาคย์ ผมเกลียดมัน ได้ยินมั้ย ผมเกลียดมัน”
เสียงของกวีเริ่มดังมากขึ้น ด้วยอารมณ์โกรธ อำภาจึงนิ่ง เงียบลง
“เรากำลังจะเริ่มธุรกิจใหม่ ในวันดีๆ เป็นวันเริ่มต้นการทำมาค้าขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดให้เสียฤกษ์ ไปล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวทีมงาน คุณหว่องเขาก็จะมากันแล้ว”
อำภาค่อยๆ ปาดหยาดน้ำตาออกจากแก้ม

เย็นนั้น อมาวสีเดินตรงไปยังหน้าเรือนนมพริ้ง พลางร้องเรียก
“ป้าพริ้ง...ป้าพริ้งขา อ้อมีข่าวมาบอกค่ะ”
นมพริ้งแปลกใจในท่าที “ข่าวอะไรคะ คุณอ้อ”
“ป้าเคยสงสัยใช่มั้ยว่า นายราช รัชภูมิ อาจจะเป็น...”
“คุณภาคย์” นมพริ้ง ที่อมาวสีเรียก ป้าพริ้ง ต่อให้
“วันนี้อ้อก็เลยจะมาเฉลยความจริงให้ป้าฟังว่า...”
“เป็นคุณภาคย์จริงๆใช่มั้ยคะ”
“อ้อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“อ้าว แล้วบอกว่าจะเฉลย”
“บางทีอ้อก็คิดว่าอาจจะใช่...แต่พอทุกครั้งที่คิดว่าน่าจะใช่ เขาก็จะมีท่าทีซึ่งตรงข้ามกับความเป็นพี่ภาคย์ทุกครั้งไป จนวันนี้อ้อได้ข้อมูลมาใหม่แล้วค่ะ”
“ข้อมูลอะไรคะ”
“พ่อแม่ของนายราช ตายหมดแล้วตั้งแต่เด็กๆ นายราชอยู่กับลุงที่เป็นเศรษฐีที่ภูเก็ตค่ะ”
“แล้วยังไง...”
“ก็ไม่มีทางที่นายราชจะเป็นพี่ภาคย์ได้น่ะสิ”
นมพริ้งมีทีท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วจึงพูดว่า
“แต่ไอ้ตรงที่ว่าพ่อแม่ตายตั้งแต่เด็กๆ นี่มันยังไงๆอยู่นะคะ อาจจะเป็นการสร้างเรื่องเพื่อปกปิดความจริงก็ได้นะคะ คุณอ้อ

อโคจรสถานแนวผับ แห่งนี้ตกแต่งสวย บรรยากาศเก๋ไก๋ เรียกลูกค้าคอสุรา ราช รัชภูมิ ขยับตัวลงนั่งข้างๆ วาริน บนโต๊ะมีเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์วางพร้อมอยู่แล้ว
“ร้อนใจอะไรนักหนา ถึงต้องนัดกันปัจจุบันทันด่วนขนาดนี้”
“มีเรื่องแปลกมาเล่าให้ฟัง”
“เล่าทางโทรศัพท์ก็ได้นี่”
“ทางโทรศัพท์ไม่มัน เห็นหน้ากันมันกว่า”
“ว่ามา เรื่องเป็นยังไง...อย่าบอกว่าอกหักตั้งแต่ยังจีบไม่ติดนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น...เรื่องก็คือว่า มีราชนิกุลท่านหนึ่ง เห็นหน้านายเข้า แล้วตกใจเพราะว่าหน้าของนายเหมือนท่านอาของท่าน”
ราชร้อง “ห๊ะ”
“ซึ่งมีชื่อว่า หม่อมเจ้าคฑาเทพ ทวยไท”
“หม่อมเจ้าเลยเหรอ”
“เราก็เลยอยากจะรู้ว่า นายแอบมีเชื้อหม่อม แล้วไม่บอกเรารึเปล่า”
ราชหัวเราะเบาๆ “บ้า เรามันพวกไพร่ ไม่ใช่เจ้า”
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“เราก็ว่าอย่างนั้น แต่ หม่อมราชวงศ์หญิงทิพย์สุดาท่านทึกทักอย่างมั่นใจ ถึงกับวานให้หลานๆสืบประวัตินายเลยหละ”
“เออ เรื่องแปลกจริงๆ...แต่ไม่ได้แปลกที่เรานะ แปลกที่หม่อมราชวงศ์คนนั้นนั่นหละ”
“นั่นสิ อยู่ๆ ก็อยากรู้ให้ได้ว่านายราช รัชภูมิคนนี้ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
ราชหายใจยาวๆ ก่อนเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ
“เราไม่มีพ่อแม่...มีแต่ลุงเท่านั้น...ลุงรักษ์ รัชภูมิ...เราคือทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูล รัชภูมิ”
วารินรับฟังโดยไม่ได้ติดใจอะไรเป็นพิเศษ

ราชกลับมาที่อพาร์ตเม้นท์ตอนดึกโข เวลานี้เขายืนอยู่กลางห้องโถง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่วารินเล่าให้ฟัง สักพักจึงเดินไปนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์
เขาเปิดเครื่อง searchชื่อท่านชายคฑาเทพ หน้าจอคอมพ์ ไม่ปรากฏข้อมูลของชื่อที่เขาค้นหา

จอคอมพิวเตอร์ในห้องนอนอมาวสี ถูกเปิดใช้งานเช่นกัน และเธอกำลัง search หาข้อมูลท่านชายคฑาเทพ เช่นเดียวกัน
และมันปรากฏข้อความเดียวกันกับจอคอมพ์ของราช
อมาวสีนั่งนิ่งอยู่หน้าจอนั้น ทอดถอนใจ เปลี่ยนอิริยาบถ และครุ่นคิดถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับนมพริ้งก่อนหน้านี้
นมพริ้งบอกอีกว่า
“ถ้าเขาคือคุณภาคย์จริงๆ ก็ดี เพราะเท่ากับว่า คุณภาคย์ได้บ้านแก้วของตัวเองคืนไป”
อมาวสี นั่งคุยอยู่เบื้องหน้านมพริ้ง
“แต่ถ้าเขาไม่ใช่ล่ะป้า...บ้านแก้วก็มีหวังถูกรื้อทิ้ง แหงๆ”
“เฮ้อ...เสียดายก็แต่รูปวาดนายแม่...มันเป็นรูปที่คุณภาคย์รักที่สุด”
“พรุ่งนี้อ้อคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้วละค่ะ”

อมาวสีมีแววตามุ่งมั่นกับสิ่งที่เธอกำลังคิด

บ้านแก้วตั้งตระหง่าน สง่างามตามสภาพในตอนเช้าตรู่ มีรถแท๊กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน...อมาวสีก้าวลงจากรถ ลุงกอบเปิดประตูรั้วเดินออกมาจากบ้าน
“ลุงคะ...ลุงกอบใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“ลุงจำอ้อได้มั้ยคะ อ้อหลานคุณหญิงอำภาน่ะจ้ะ”
“คุ้นๆ อยู่นะ...คุณไม่ได้มานานแล้วนี่”
“อ้อขอเข้าไปในบ้านหน่อยได้มั้ยคะ อ้ออยากมาดูอะไรบางอย่าง”
“เข้ามาเลยครับ เข้ามาก่อนที่จะเข้าไม่ได้”
“ทำไมคะ”
“เจ้าของใหม่เขาหาคนใหม่มาเฝ้าแทนน่ะ คุณอยากได้อะไรรีบเข้าไปเอาตอนนี้เลยครับ...เดี๋ยวลุงก็จะไม่อยู่แล้ว”
อมาวสีรีบเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีลุงกอบเดินตามไป

อมาวสี เดินมองไปรอบๆ บ้าน กระทั่งอมาวสีหยุดยืนอยู่หน้ารูปวาดสีน้ำมันรูปนั้น
“ลุงหาบันไดให้ฉันหน่อยได้มั้ยจ๊ะ”
ลุงกอบค่อยๆเดินออกไป อมาวสีจ้องภาพวาดนี้ไม่วางตา

ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับคุณยาย เจ้าของภาพ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผึดขึ้นในมโนนึก
คุณยายนั่งคุยกับอมาวสีซึ่งโตเป็นสาวรุ่นๆ ใบหน้าของคุณยายอาบไปด้วยความเศร้าสร้อย
“อ้อรู้มั้ย...หลานภาคย์ของยายรักภาพนี้มาก เขาพยายามที่จะเขียนมันขึ้นมาใหม่ให้เหมือนภาพนี้ เพื่อจะเก็บเอาติดตัวไป ก่อนหนีออกจากบ้านพิชิตพงษ์ถ้ายายรู้ ยายจะรั้งตัวเขาไว้ ไม่ยอมให้เขาไปไหนเลย...อ้อจำไว้นะ ถ้าเป็นไปได้ อ้อต้องรักษาภาพนี้ไว้ จนกว่าภาคย์จะกลับมานะ...ถ้าไม่เห็นแก่ภาคย์ ก็เห็นแก่ยายเถอะนะ อ้อ”

อมาวสีระลึกได้ถึงเรื่องราวในอดีต เธอค่อยๆ ปีนขึ้นบันได ตรงไปที่รูปวาดนั้น ค่อยๆ เอื้อมมือปลดรูปออกจากผนังอย่างทุลักทุเล ความใหญ่และน้ำหนักของเฟรมรูป ทำให้อมาวสีเอี้ยวตัวไม่ถนัด เธอตะโกนพูดโดยไม่ได้หันหน้ากลับมามองทางด้านหลัง
“ลุงกอบจ๋า...ลุงช่วยรับทีสิ...ลุง”
ทันใดนั้นเสียงของราช ก็ดังเข้ามา
“คิดจะเป็นขโมย มันต้องฝึกความทะมัดทะแมงให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
อมาวสีค่อยๆ ฝืนตัวเหลียวหน้าไปดู เห็นเป็น ราช ราชภูมิ ยืนตระหง่านอยู่
อมาวสีสะดุ้ง ตกใจถึงขีดสุด พลันร่างของเธอก็โงนเงน เซ จนล้มลงมาจากบันไดนั้น
ราชทะยานเข้าไปรับร่างอมาวสีไว้ทัน แต่กระนั้นทั้งสองก็ล้มลงนอนราบทับกันไป กลางโถงบ้านแก้ว โดยร่างของราชนอนอยู่บนพื้น ร่างของอมาวสีทับอยู่ด้านบน

เพลงรักหวานซึ้งแว่วหวานกังวานขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง หากใครได้มาเห็นฉากนี้ คงฟินกันไปทั้งแถบ

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น