รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10
อยุทธ์มารอเจติยาที่หน้าห้องน้ำด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วง เจติยาเดินดมยาดมออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือดรู้สึกเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก อยุทธ์รับเดินเข้าไปหาเจติยา
“เป็นยังไงบ้างครับคุณเจ”
เจติยาเวียนหัวมาก “ได้กลิ่นฟอร์มาลีนก็เลยเวียนหัวน่ะค่ะ แปลกนะคะปกติได้กลิ่นทุกวัน ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
อยุทธ์เป็นห่วง “ดื่มน้ำซะหน่อยดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้”
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นคุณเจนั่งพักแถวนี้ก่อนนะ”
อยุทธ์ช่วยประคองเจติยามานั่งแล้วรีบเดินไปเอาน้ำมาให้ดื่ม เจติยานั่งดมยาดมหลับตาพักแล้วสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะนั้น เจติยาก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินเข้ามาหาเธอ เจติยาลืมตาขึ้นมาก็เห็นเป็นสิทธิพรยืนอยู่ตรงหน้า
เจติยาแปลกใจ “อ้าว คุณสิทธิพร นัดเจอกับคุณต้นที่คอนโดไม่ใช่เหรอคะ คุณต้นออกไปแล้วนะ”
สิทธิพรหน้านิ่ง “ผมทราบครับว่าต้นออกไปแล้ว แต่ผมมีธุระที่ต้องคุยกับคุณเจน่ะครับ ผมก็เลยมาหาคุณเจก่อน แล้วค่อยไปหาต้น”
“เรื่องอะไรคะ”
สิทธิพรอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี “เอ่อ มันพูดยากน่ะครับ เอาเป็นว่าคุณเจช่วยมองตาผมได้มั้ยครับ”
เจติยาแปลกใจมาก “มองตาคุณ”
สิทธิพรมองตาเจติยานิ่ง “ครับ มองลึกเข้าไปในดวงตาของผม”
เจติยางงแต่ก็ยอมจ้องเข้าไปในดวงตาของสิทธิพรจนเห็นแก้วตาข้างในดวงตาของสิทธิพร
ลาภิณเดินเข้ามาในห้องคอนโดสิทธิพรด้วยสีหน้างงๆ เพราะประตูห้องเปิดทิ้งไว้
“เปิดประตูทิ้งไว้ทำไมวะ”
ลาภิณมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นสิทธิพร แต่พอเดินเข้าไปก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อเห็นสิทธิพรนอนจมกองเลือดตาเหลือกค้างอยู่
ลาภิณตกใจสุดขีด “ไอ้สิทธิ!!”
ทันใดนั้นก็มีลมเบาๆ โชยมาปะทะใบหน้าลาภิณ ลาภิณสิ้นสติล้มลงกับพื้นทันที ทันทีที่ลาภิณล้มกองลงไปกับพื้นก็เห็นกสิณแสยะยิ้มร้ายอยู่ด้านหลังสีหน้าแววตาโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัว
เจติยาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจสุดๆ
เจติยาตกใจมาก “นี่คุณ...”
ใบหน้าสิทธิพรเปลี่ยนเป็นขาวซีดไร้สีเลือด ดวงตาซีดขาวเหมือนปลาตาย
“ช่วยต้นด้วย!!”
ทันใดนั้น เสียงอยุทธ์ก็ดังขึ้นด้วยความร้อนใจสุดๆ “คุณเจครับ”
เจติยาหันไปมองตามก็เห็นอยุทธ์วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความร้อนใจ
อยุทธ์ร้อนใจสุดๆ “มีข่าวไม่ค่อยดีนะครับ”
“เกี่ยวกับคุณต้นใช่มั้ยคะ”
“คุณเจรู้แล้วเหรอครับ”
เจติยาเหลือบตามองสิทธิพรเล็กน้อยหน้าซีด “อยากฟังจากปากคุณอยุทธ์อีกทีมากกว่า” เจติยารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องชอบกล
“มีข่าวออกมาว่าคุณต้นฆ่าคุณสิทธิพรตายครับ”
เจติยาหน้าเครียดสุดๆ ที่เห็นภาพนิมิตของสิทธิพรก็ไม่ตกใจแต่ก็เครียดหนักขึ้นว่ามันคือความจริง เจติยาหันกลับไปมองสิทธิพรอีกครั้งแต่วิญญาณของสิทธิพรก็หายไปแล้ว เจติยาเครียดสุดๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้ลาภิณเป็นยังไงบ้าง
ตำรวจแต่ละคนกำลังแยกย้ายกันทำงานที่ห้องพักคอนโดสิทธิพร บางคนก็ถ่ายรูป บางคนก็เก็บรอยนิ้วมือ ฯลฯ นวัชกำลังดูอาการลาภิณที่นั่งมึนงงอยู่
นวัชเครียดหนัก “เป็นยังไงบ้างครับคุณต้น”
ลาภิณมึนมาก “ผู้กอง มาได้ยังไงครับ”
นวัชเครียดหนัก “มีคนแจ้งไปว่ามีการฆ่ากันตายน่ะครับ ผมก็เลยรีบมาดู”
ลาภิณคิดทบทวน “ฆ่ากันตาย” ลาภิณฉุกคิดขึ้นได้จึงพูดอย่างร้อนรนและตกใจ “ใช่แล้วครับ ไอ้สิทธิถูกทำร้าย ผู้กองช่วยพามันส่งโรงพยาบาลด้วยนะครับ”
“ช้าไปแล้วล่ะครับ คุณสิทธิพรตายแล้ว”
ลาภิณตกใจมาก “ตายแล้ว”
“ครับ” นวัชหน้าเครียด “แล้วในที่เกิดเหตุก็มีคุณต้นอยู่คนเดียว แถมในมือคุณต้น ยังถือมีดที่ใช้ฆ่าผู้ตายด้วย” นวัชถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ
ลาภิณส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ผมจะไปฆ่าสิทธิพรทำไม เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะครับ”
นวัชรับฟังหน้าเครียด
“ผู้กองก็รู้จักผมดี คนอย่างผมจะไปฆ่าใครได้ ที่ผมมานี่ก็ตั้งใจจะเอาเงินมาให้มันยืมด้วยซ้ำ”
นวัชเครียดสุดๆ “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณต้น ผมจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ครับ” นวัชมีสีหน้าหนักใจไม่อยากทำ “ตามผมไปที่โรงพักด้วยครับ”
ลาภิณตกใจสุดๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฆาตกรฆ่าคนตายไปได้
เจติยาหน้าตาตื่นขณะเข้ามาหาลาภิณที่ถูกขังอยู่ในห้องขัง โดยมีนวัชเดินตามมา
เจติยาเป็นห่วงสามีสุดๆ “คุณต้น”
ลาภิณเครียดสุดๆ แต่ก็ดีใจที่เห็นเจติยา “เจ ผมไม่ได้ทำจริงๆนะ ผมจะฆ่าไอ้สิทธิ์ทำไม”
เจติยาน้ำตาคลอสงสารสามีสุดๆ “เจเชื่อค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะคุณต้น เจมั่นใจว่ามีคนจงใจสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายคุณ” เจติยาสีหน้าหนักแน่นก่อนจะยืนยัน “เจจะหาทางช่วยคุณให้ได้ค่ะ”
ลาภิณหน้าเครียด “ผมจำอะไรได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อเลยเจ ความจำมันขาดๆหายๆ เป็นช่วงๆ ยังไงก็ไม่รู้”
เจติยาคิดตามแล้วก็รู้สึกเริ่มมั่นใจว่าจะเกี่ยวข้องกับกสิณ
“ผมจำได้แค่ว่าจะเอาแคชเชียร์เช็คไปให้สิทธิคอนโด แต่พอเข้าไป ก็เห็นไอ้สิทธิมันตายแล้ว หลังจากนั้น ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย แคชเชียร์เช็คก็ยังอยู่ที่ผมเลยนะเจ ของมีค่าในตัวผมก็อยู่ครบ”
เจติยาเสริม “แสดงว่ามันไม่ได้ต้องการของมีค่าอะไรเลย” เจติยามีสีหน้ามั่นใจ “มันต้องการใส่ร้ายคุณต้น”
ลาภิณถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ
เจติยาหน้าเครียดเอาจริง “แต่เจไม่มีทางยอมแพ้มันหรอกค่ะ เจต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณต้นให้ได้”
“เจรู้อะไร ก็บอกตำรวจที่สอบปากคำให้หมดนะ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ก็อาจจะช่วยคุณต้นได้”
“อ้าว พี่ผู้กองไม่ได้เป็นคนสอบปากคำเหรอคะ”
นวัชส่ายหน้า “เพื่อความเป็นธรรม พี่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำคดีนี้แล้ว แล้วพี่ก็ไม่เชื่อด้วย ว่าคนอย่างคุณต้นจะฆ่าใครได้ ขืนให้พี่ทำคดี มีหวังกลายเป็นหาหลักฐานช่วยคุณต้นซะมากกว่า”
“แล้วถ้าเจอยากจะทราบผลการตรวจลายนิ้วมือ พี่ผู้กองพอจะช่วยเจได้มั้ยคะ”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ก็พอช่วยได้ แต่...” นวัชหน้าเครียด “ในห้อง มีแต่ลายนิ้วมือของคุณสิทธิพรกับคุณต้นเท่านั้นเอง แล้วมีดที่ใช้ฆ่า ก็มีแต่ลายนิ้วมือของคุณต้นคนเดียว”
เจติยากับลาภิณสบตากันหน้าเครียดขึ้นมาทันที หลักฐานสำคัญก็ไม่เข้าข้างตนเลย
เจติยาเดินเข้ามาในโถงบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ร่างกายก็อ่อนเพลียสุดๆ นทีรีบเข้ามาหาเจติยาทันที
นทีร้อนใจสุดๆ “พี่ต้นเป็นยังไงบ้างพี่”
เจติยาเครียดหนัก “ตำรวจยังไม่ให้ประกันตัว มันเป็นคดีอุจฉกรรจ์ก็เลยลำบากหน่อย”
“งั้นคืนนี้พี่ต้นก็ต้องนอนห้องขังน่ะสิ” นทีสงสาร “โธ่ พี่ต้น ไม่น่าเล๊ย”
เจติยาทั้งเครียด ทั้งห่วงสามี แถมอาการเวียนหัวยังกลับมาอีกจนหน้ามืดจะเป็นลม
นทีรีบเข้าไปประคองไว้ “เป็นอะไร พี่เจ”
เจติยาเวียนหัวมาก “พี่เวียนหัวมากเลยนที”
“นั่งพักก่อนพี่”
นทีประคองเจติยามานั่งพัก
“พี่ไม่เคยเวียนหัวแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
พูดจบเจติยาก็รู้สึกอยากจะอ้วกเลยรีบปิดปากแล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำทันที
นทีเป็นห่วง “พี่เจ” นทีรีบตามไปทันที
นทีวิ่งตามเข้ามาในห้องน้ำก็เห็นเจติยาโก่งคออาเจียนอยู่ นทีผะอืดผะอมจะอ้วกตามต้องเข้าไปช่วยลูบหลังให้พี่สาวห่างๆ เล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น เจติยาบ้วนน้ำไปมา นทีไปดึงทิชชู่มาให้เจติยาเช็ดปาก
“เป็นไงบ้างพี่”
เจติยาเพลีย “ผะอืดผะอม แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อย”
นทีประคองเจติยาออกมาจากห้องน้ำ
“อาการพี่แปลกๆนะพี่เจ ทั้งเวียนหัวทั้งอ้วก” นทีพูดโพล่งออกมา “ท้องรึเปล่าเนี่ย”
เจติยาตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินนทีพูดเพราะเป็นสิ่งที่ตนเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน
นทีมีสีหน้าตัดสินใจ “นที ออกไปร้านขายยาให้พี่ทีสิ”
นทีเดินกระสับกระส่ายไปมาเพื่อรอเจติยาอยู่หน้าห้องน้ำในห้องนอนลาภิณ
“รู้ผลรึยังพี่เจ”
เจติยายังเงียบ
“พี่เจ นานไปแล้ว ผมอยากรู้ผล ผมจะได้เป็นน้ามั้ย”
เจติยาเปิดประตูห้องน้ำออกมาสีหน้านิ่งๆ
นทีตื่นเต้น “ผลล่ะพี่ 2 ขีดรึเปล่า”
เจติยายื่นอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์มาให้นทีดู นทีเห็นอุปกรณ์บอก 2 ขีด
นทีดีใจมาก “2 ขีดนี่พี่ พี่เจท้องแล้ว พี่เจท้องแล้ว” นทีเฮดีใจลั่นบ้านราวกับเป็นพ่อซะเอง สวมกอดเจติยาแทบจะอุ้ม
“เบาๆ”
นทีรีบปล่อยก่อนจะยิ้มแหยๆ “โทษทีพี่ ลืมตัวไปหน่อย”
เจติยายิ้มบางๆแล้วเอามือจับท้องตัวเองโดนอยากให้ลาภิณอยู่ด้วยในเวลาแบบนี้จริงๆ
ลาภิณนั่งเศร้าๆเครียดๆอยู่คนเดียวในห้องขัง โดยข้างนอกมีตำรวจเดินผ่านไปผ่านมาและมีตำรวจอีกคนที่นั่งดูรายงานสดผลบอลผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่ ลาภิณเครียดหนักเพราะไม่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทจะมาตาย และตนต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้อีกด้วย
ทันใดนั้นเอง ตำรวจที่นั่งดูรายงานผลบอลก็หลับไปทันทีชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ตำรวจที่เดินผ่านไปมาก็ล้มลงหลับสนิทไป ลาภิณมองเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความตกใจ ทันใดนั้นรอยเท้าดำๆคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่พื้น แล้วเดินช้าๆ เข้ามาหาลาภิณ ลาภิณมองรอยเท้าดำๆ ที่พื้นที่เคลื่อนหน้ามาหยุดตรงหน้ากรงขังแล้วปรากฏขึ้นมาเป็นร่างกสิณ
ลาภิณมองหน้ากสิณนิ่ง “แกคงคือกสิณสินะ”
กสิณยิ้มบางๆ “ฉลาด สมกับเป็นคู่ครองของเจติยา แล้วก็สมกับเป็นผู้ชายที่พิมพ์อรหลงรักด้วย” กสิณขำเยาะหยัน
ลาภิณจ้องหน้ากสิณ “ถ้าเค้าหลงรักฉันจริง เค้าคงไม่ยอมให้แกทำกับฉันแบบนี้หรอก”
“มันจำเป็น เพราะตอนนี้ชีวิตของวนันต์กำลังอยู่ในอันตรายพิมพ์อรเป็นลูกกตัญญู เค้าทนไม่ได้หรอก ที่จะเห็นชีวิตพ่อตัวเองต้องมีอันเป็นไป” กสิณมีสีหน้าเหยียดหยาม “ไม่ได้ใจร้ายใจดำเหมือนเมียนาย ที่ทนเห็นแม่ตัวเองต้องตายต่อหน้าต่อตา โดยไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเลย”
ลาภิณยิ้มบางๆ “กตัญญูต่อพ่อ ด้วยการทำลายชีวิตของคนอื่นเนี่ยนะ มันไม่ใช่ความรักหรือความกตัญญูหรอก แต่มันเป็นความเห็นแก่ตัว”
กสิณไม่สนใจฟัง กสิณเดินทะลุกรงขังเข้ามาเลย ลาภิณผงะถอยห่างออกไปอย่างอดหวาดกลัวไม่ได้
“เราหยุดคุยเรื่องไร้สาระไม่เข้าท่าเถอะ ฉันฟังจากเมียนายมามากพอแล้ว” กสิณยิ้มบางๆ “เรามาคุยกันเรื่องคดีความของนายดีกว่า”
“ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย อย่างมากก็ติดคุก” ลาภิณทำสีหน้าจริงจัง “ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้แกสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ได้เด็ดขาด”
“ติดคุก คิดว่ามันจะจบแค่นั้นจริงเหรอ” กสิณขำๆ เดินวนไปรอบๆลาภิณพร้อมพูด “ลืมไปแล้วรึไง ว่านายค้ำประกันสิทธิพรเอาไว้ แต่ตอนนี้เค้าตายแล้ว นายจะต้องชดใช้เงินทั้งหมดแทนสิทธิพร นั่นหมายถึง” กสิณเน้น “นิราลัย” กสิณจ้องหน้า “แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายมี”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องสิทธิพรจนลืมเรื่องค้ำประกันไปสนิท กสิณเหล่มองลาภิณแล้วแสยะยิ้มอย่างพอใจ
พิมพ์อรเดินออกมาจากบริษัทตรงเข้ามาหาชาครที่จอดรถรออยู่ ชาครเปิดประตูหลังให้พิมพ์อรจะขึ้นไปนั่งแต่ก่อนที่พิมพ์อรจะนั่ง ชาครก็พูดขึ้นก่อน
“รู้ข่าวเรื่องคุณลาภิณกับคุณสิทธิพรรึยังครับ”
พิมพ์อรพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เธอสนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“คุณลาภิณ ไม่ใช่คนที่คุณอรรักแล้วเหรอครับ” ชาครซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้ภายใต้สีหน้า
พิมพ์อรหน้านิ่งไป “ไม่มีใครที่ฉันจะรักมากไปกว่าคุณพ่อหรอกนะชาคร รู้อย่างนี้แล้วต่อไปก็อย่าขวางทางฉันอีก”
พิมพ์อรจ้องหน้าชาครด้วยสายตาดุดัน
ชาครหลบสายตาไปเล็กน้อย พิมพ์อรเดินเข้าไปนั่งในรถ ชาครถอนใจพร้อมปิดประตูรถก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
ชาครขับวิ่งมาตามถนน พิมพ์อรนั่งอยู่เบาะหลังแล้วคอยเหล่ดูท่าทีของชาคร ชาครขับรถไปโดยไม่พูดจา พิมพ์อรกลับเป็นฝ่ายอึดอัดขึ้นมาแทน
พิมพ์อรทำหน้าบึ้งตึง “ไม่พอใจฉันเหรอ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
พิมพ์อรหงุดหงิด “รู้แล้วยังจะถามอีก”
ชาครมีสีหน้าขรึมลง “ถึงผมพูดไป ก็เปลี่ยนใจอะไรคุณอรไม่ได้อยู่ดี แล้วจะให้ผมพูดไปทำไมล่ะครับ”
พิมพ์อรโมโห “ก็ดี งั้นอย่าให้ฉันได้ยินเสียงนายอีกก็แล้วกัน”
พิมพ์อรทำหน้าบึ้งตึงเพราะหงุดหงิดชาคร
เสียงโทรศัพท์มือถือของพิมพ์อรดังขึ้น พิมพ์อรเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบมือถือออกมา ทันใดนั้นก็มีมือผู้ชายโผล่ออกมาจากกระเป๋าแล้วมาจับข้อมือพิมพ์อรเอาไว้ทันที พิมพ์อรกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
ชาครหันมอง “เป็นอะไรครับ”
รถเกือบจะเสียหลักข้ามเลน ชาครต้องรีบหักพวงมาลัยเข้าจอดข้างทางอย่างเร็ว
ลาภิณกำลังคุยกับกสิณอยู่
กสิณยุยง “ติดคุกแถมยังสิ้นเนื้อประดาตัวอีกนะ นายไม่เห็นจะต้องคิดตามเมียนายทุกเรื่องเลย จะมีหรือไม่มีกล่องรากบุญ ก็ไม่เกี่ยวกับนายอยู่แล้วนี่”
ลาภิณทำเป็นคิดตาม “ก็จริงนะ แกจะเอากล่องรากบุญไปทำอะไร ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉัน”
กสิณยิ้มแย้มพอใจ “ใช่ ถ้ายังงั้น นายก็ไปคุยกับเจติยาให้ยกเหรียญให้พิมพ์อรซะสิ ทุกอย่างจะได้จบ”
ลาภิณยิ้มรับ “ขนาดตอนนี้ยังไม่มีกล่องรากบุญ ยังมีคนต้องเดือดร้อนเพราะพวกแกมากขนาดนี้” ลาภิณส่ายหน้า “ฉันไม่อยากคิดเลยถ้าพวกแกมีกล่องอยู่ในมือ มันจะเลวร้ายขนาดไหน”
กสิณหน้าเครียดขึ้นมา “แกมันโง่ ถึงแกไม่ช่วย แกก็หยุดฉันไม่ได้หรอก ฉันต้องหาวิธีอื่นจนได้”
ลาภิณยิ้มขำ “ถ้าแกมีวิธีอื่นจริง คงทำไปนานแล้ว ไม่เสียเวลามาหว่านล้อมฉันอยู่ยังงี้หรอก”
กสิณโมโหที่ลาภิณรู้ทันจึงจ้องหน้าลาภิณเขม็ง ทันใดนั้นเอง กสิณก็สัมผัสได้ถึงอันตรายของพิมพ์อร
กสิณหันไปอีกทางแล้วก็ตกใจมาก “แย่แล้ว!!”
พิมพ์อรกลัวสุดๆ จึงกรี๊ดลั่น เธอพยายามดึงมือที่โผล่จากกระเป๋ามาจับข้อมือตนไว้ไม่ให้หลุดออก ชาครที่จอดรถข้างทางแล้วหันมามองก็ไม่เห็นมือประหลาดจึงงง
พิมพ์อรกลัวมาก “ปล่อยฉัน ปล่อย”
ชาครทั้งตกใจทั้งเป็นห่วงพิมพ์อร “เกิดอะไรขึ้นครับคุณอร”
พิมพ์อรกรี๊ดลั่นก่อนจะดึงมือตัวเองหลุดมาได้แล้วขว้างกระเป๋าทิ้งไป ทันใดนั้น พิมพ์อรก็รู้สึกว่าสร้อยคอของตนกำลังเคลื่อนไหวได้ พอเหลือบมองพิมพ์อรก็เห็นสร้อยคอกลายเป็นงูกำลังเลื้อยอยู่รอบคอของตน โดยเห็นอยู่คนเดียว
พิมพ์อรกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ชาครและคนดูไม่เห็นงูอย่างที่พิมพ์อรเห็น พิมพ์อรร้องเอง ขยะแขยงเอง หวาดกลัวเองอยู่คนเดียว พิมพ์อรพยายามดึงสร้อยคอออกจากคอดิ้นรนทุรนทุรายคิดว่างู ชาครเห็นท่าไม่ดีก็รีบลงจากรถจะมาช่วย
พิมพ์อรดึงสร้อยออกจากคอแล้วเหวี่ยงทิ้งไปได้สำเร็จก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ แล้ววิ่งหนีด้วยความกลัวสุดๆ ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งแล่นสวนมา ไฟหน้ารถฉายไปที่พิมพ์อรพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น
ชาครรีบเปิดประตูลงมาด้วยอาการตกใจสุดๆ “คุณอร!!”
พิมพ์อรมัวแต่ช๊อกจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้ยืนรอรถชนอย่างเดียว
ทันใดนั้น ชาครก็พุ่งตัวเข้ามาดึงพิมพ์อรหลบมาได้อย่างหวุดหวิด แต่กันชนรถก็เฉี่ยวกระแทกชาครกระเด็นไปก่อนจะล้มลงกับพื้น
พิมพ์อรเพิ่งตั้งสติได้ “ชาคร”
พิมพ์อรรีบวิ่งเข้าไปดูอาการชาครทันที ชาครโดนกระแทกจนสลบเหมือด รถที่ชนจอดนิ่งเปิดไฟฉุกเฉิน ชมพูนุชลงจากรถด้วยหน้าตาตกใจก่อนจะรีบกดมือถือเรียกรถพยาบาลทันที
พิมพ์อรหน้าซีดเพราะเป็นห่วงชาครมากเลยพยายามปลุก “ชาคร ฟื้นสิชาคร ชาคร” พิมพ์อรเขย่าตัวชาครไปมา
ชาครหมดสติไม่รู้เรื่อง
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจติยากำลังคุยกับสิทธิพรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่หน้าบ้านลาภิณตอนกลางคืน
เจติยาไม่สบายใจ “คุณไม่ควรทำยังงี้เลย เห็นมั้ยคนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
สิทธิพรหน้าถมึงทึงเอาจริง “ผมรู้ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องทำ เพราะตอนนั้น เป็นเวลาเดียวที่นังพิมพ์อรไม่มีไอ้ผีนรกนั่นคุ้มครองอยู่” สิทธิพรสายตาเคียดแค้นสุดๆ “เสียดาย ที่ผมทำได้แค่หลอกให้ตกใจเท่านั้น ถ้าผมหักคอนังนั่นกับมือได้ ผมทำไปแล้ว”
“เจเข้าใจนะคะว่าคุณแค้นเพราะต้องตายด้วยน้ำมือกสิณ แล้วเราก็คงไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาเอาผิดทางกฎหมายได้ แต่การที่คุณล้างแค้น โดยไม่สนใจคนรอบข้างแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่กสิณกับคุณพิมพ์อรทำหรอกค่ะ”
สิทธิพรเครียดจนหัวเสีย “แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“เจสัญญา ว่าจะชำระเหรียญของเจให้บริสุทธิ์ ไม่ให้พวกเค้าเอาไปสร้างกล่องรากบุญได้อีก เท่านี้ ก็เท่ากับทำลายความทะเยอทะยานทั้งหมดของพวกเค้าลงได้ คุณโอเคมั้ยล่ะ”
สิทธิพรทำหน้าบึ้งตึง “ไม่ จนกว่าผมจะเห็นอีปิศาจนั่นกับนังพิมพ์อรพินาศไปกับตา ผมไม่มีวันเลิกจองเวรพวกมันเด็ดขาด”
พูดจบวิญญาณของสิทธิพรก็เลือนหายไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เดี๋ยวสิคุณ...” เจติยาเรียก
สิทธิพรไม่ปรากฎตัวอีก เจติยาถอนใจเฮือกใหญ่แล้วส่ายหน้าเพราะถึงสิทธิพรจะเป็นเพื่อนที่ดีของลาภิณแต่ก็ไม่ใช่คนนิสัยดีซักเท่าไหร่
พิมพ์อรกำลังจัดอาหารของชาครแล้วยกมาให้ชาครที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง พิมพ์อรตักอาหารจะป้อนชาคร
ชาครเกรงใจ “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับคุณอร ผมกินเองได้ครับ”
“ไม่ใช่เวลามาอวดเก่ง กินซะ จะได้กินยา” พิมพ์อรบอก
ชาครยอมกินอาหารที่พิมพ์อรป้อน แม้จะเกรงใจแต่ลึกๆ ก็อดดีใจไม่ได้
พิมพ์อรพูดไปป้อนไป “ตอนเธอสลบไป ฉันนึกว่าสมองเธอจะได้รับความกระทบกระเทือนซะอีก นี่ยังดีนะ ที่ฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เป็นอะไรมาก”
“ถือว่ายังโชคดีที่โดนแค่เฉี่ยว ถ้าโดนชนเต็มๆ ก็อาจจะไม่รอดหรอกครับ”
พิมพ์อรซึ้งใจ “แล้วนึกยังไง ถึงได้มารับเคราะห์แทนฉันยังงั้น ไม่ห่วงชีวิตตัวเองบ้างรึไง”
ชาครหน้าขรึมลง “ห่วงสิครับ” ชาครช้อนตามองหน้าพิมพ์อร “แต่ผมห่วงชีวิตคุณอรมากกว่า”
พิมพ์อรอึ้งไปครู่นึงก่อนจะสบตาชาครแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ “ไม่เคยมีใครพูดกับฉันยังงี้มาก่อนเลย”
ชาครมองพิมพ์อรด้วยสีหน้าเห็นใจ
พิมพ์อรเหลือบตามาสบตากับชาครอีกครั้ง “ขอบใจมากนะชาคร”
ชาครมองพิมพ์อรด้วยสายตาทั้งรักและสงสารอย่างเห็นได้ชัด ชาครเผลอใจจึงค่อยๆเลื่อนมือไปเพราะอยากจะกุมมือของพิมพ์อรเอาไว้ แต่ชาครก็ไม่กล้าพอ เขารีบหักห้ามใจชักมือกลับมา พิมพ์อรมองสายตาชาครก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ชาครมีให้เธอ
พิมพ์อรรีบหักห้ามความคิดก่อนจะตัดบทเพื่อสกัดความรู้สึก “ฉันลืมเอาน้ำให้เธอ รอเดี๋ยวนะ” พิมพ์อรรีบเดินเลี่ยงไป
ชาครกระอักกระอ่วนแต่ก็รีบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วชมพูนุช ที่ปรึกษาด้านการเงินของธนาคารก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกระเช้าดอกไม้
“ขอโทษนะคะ ดิฉันมาเยี่ยมคุณชาครน่ะค่ะ”
พิมพ์อรยิ้มตามมารยาท “เชิญค่ะ”
พิมพ์อรรับกระเช้าดอกไม้มาจากชมพูนุช
ชมพูนุชพูดกับพิมพ์อร “ขอบคุณค่ะ” ชมพูนุชเดินเข้าไปหาชาครด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชาครเป็นยังไงบ้างคะ”
ชาครยิ้มให้ “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ชมพูนุชหน้าเสีย “ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณชาคร เมื่อคืนนี้มันกะทันหัน ดิฉันเบรกไม่ทันจริงๆค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องค่ารักษาพยาบาล ดิฉันยินดีรับผิดชอบทั้งหมดค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของคุณ มันเป็นความผิดของฉันต่างหาก แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ”
ชมพูนุชยิ้มดีใจที่สามารถเคลียร์เรื่องทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดายเกินคาด ทันใดนั้นเอง นวัชก็เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับตำรวจติดตาม
พิมพ์อรไม่พอใจ “นี่คุณอีกแล้วเหรอะ ถ้าจะสอบปากคำอะไรก็รอก่อนได้มั้ยคะ ชาครยังเจ็บอยู่เลย”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่ได้มาสอบปากคำคุณชาคร” นวัชหันไปพูดกับชมพูนุช “คุณชมพูนุชใช่มั้ยครับ”
ชมพูนุชแปลกใจ “ค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
“คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมลูกชายตัวเอง ขอเชิญคุณไปให้ปากคำด้วยครับ”
ตำรวจเข้าไปควบคุมตัวชมพูนุชทันทีท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ชมพูนุชกลัวมาก “คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่องเลยนะคะ นี่จะพาฉันไปไหนคะ” ชมพูนุชถูกควบคุมตัวพาออกไป
พิมพ์อรและชาครมองตามอย่างคาดไม่ถึง เธอไม่อยากเชื่อว่าคนแต่งตัวดี พูดจาดีอย่างชมพูนุชจะฆ่าลูกชายของตัวเองได้ลงคอ
เหรียญกำลังลอยผ่านกรงขังเข้าไปหาลาภิณที่อยู่ในกรง เหรียญนี้เป็นของเจติยาซึ่งตอนนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อนแล้ว
ลาภิณหยิบเหรียญมาดู “มันเป็นสีน้ำตาลอ่อนแล้วนี่เจ ไม่ใช่สีดำสนิทเหมือนตอนแรก”
“ค่ะ เจชำระมันหลายครั้ง จนมันดีขึ้นมากแล้ว เจว่าน่าจะไม่เกินสามครั้ง มันคงจะกลายเป็นสีขาว เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้รวมครบสามเหรียญก็จะใช้สร้างกล่องรากบุญอีกไม่ได้”
“แล้วเหรียญที่อยู่กับคุณอยุทธ์กับพี่อรล่ะ” ลาภิณภาม
“ที่อยู่กับคุณอยุทธ์ เจอาจจะขอมาชำระได้” เจติยาหน้าเครียดขึ้นมา “แต่ที่อยู่กับคุณพิมพ์อร คงต้องยอมตัดใจค่ะ ไม่มีวิธีที่ไหนที่จะแย่งมาได้แน่” เจติยายิ้มพอใจ “แต่แค่นี้ ก็น่าจะช่วยคุณต้นได้แล้วล่ะค่ะ”
ลาภิณแปลกใจ “ช่วยผมเหรอ”
“ค่ะ คดีของคุณเกิดจากอำนาจของกสิณ ถ้าเราชำระเหรียญจนพลังเค้าอ่อนลงได้ หลักฐานความจริงทุกอย่างต้องปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน เหมือนตอนที่คุณโดนสะกดไว้ไงคะ”
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะ” ลาภิณทำสีหน้าหนักใจเรื่องค้ำประกัน “เอ่อ เจ ผมมีเรื่องอยาก...”
ทันใดนั้น ตำรวจก็นำตัวชมพูนุชเข้ามาในห้องขัง โดยมี กอล์ฟ เด็กผู้ชายคนหนึ่งตามมาด้วย
กอล์ฟร้องไห้โวยวาย “อย่าจับแม่หนู แม่หนูไม่ผิด อย่าจับแม่หนู”
ชมพูนุชร้องไห้เพราะกลัวมาก “ฉันไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำจริงๆนะคะคุณตำรวจ”
กอล์ฟร้องไห้ด้วยความสงสารแม่ “ปล่อยแม่หนูนะ ปล่อยแม่หนู”
ตำรวจไม่สนใจเด็กแม้แต่น้อย เขาพาชมพูนุชเข้าห้องขัง กอล์ฟยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น
เจติยาสงสารเด็กจึงเข้าไปปลอบ “ไม่เป็นไรนะคะ คนเก่ง ไม่ต้องร้องไห้นะคะ เดี๋ยวคุณแม่จะยิ่งไม่สบายใจนะคะ”
ขณะนั้น นวัชก็เดินเข้ามาหา
“อ้าวเจ มาเยี่ยมคุณต้นเหรอ” นวัชถาม
“ค่ะ พี่ผู้กองคะ ผู้หญิงที่พาเข้าห้องขังไปเมื่อกี๊ โดนข้อหาอะไรเหรอคะ”
“ฆ่าคนตาย” นวัชสลดใจ “ลูกในไส้ซะด้วย ไม่น่าทำได้ลงคอเลย”
เจติยาเอะใจจึงหันไปมองเด็กที่ตนกอดอยู่ กอล์ฟหันมามองเจติยาด้วยใบหน้าซีดขาว ตาขาวขุ่นเหมือนปลาตาย “บอกความจริง!!”
เจติยากำลังคุยกับกอล์ฟอยู่ที่มุมหนึ่งในโรงพัก
กอล์ฟพูดทั้งน้ำตา “แม่ไม่ได้ฆ่ากอล์ฟจริงๆนะครับ แม่ถูกใส่ร้าย พี่ต้องเชื่อผมนะครับ”
“พี่เชื่อจ้ะ แล้วน้องกอล์ฟพอจะรู้มั้ยคะ ว่าใครเป็นคนฆ่า” เจติยาถาม
“รู้ครับ...”
อยู่ๆ วิญญาณกอล์ฟก็หายวับไป
เจติยากวาดตามองหา “กอล์ฟ กอล์ฟอยู่ไหน”
วิญญาณกอล์ฟค่อยๆ ปรากฏขึ้นมายืนข้างๆ เจติยาในสภาพร่างบางเบา
“ผมอยู่นี่ พี่เห็นผมมั้ย”
เจติยาหันมองไปที่กอล์ฟ
“พี่เห็นแล้ว กอล์ฟบอกพี่ซิ ใครเป็นคนฆ่ากอล์ฟ”
กอล์ฟมีสีหน้าเศร้า “ป้าพลอยชมพูเป็นคนฆ่าผม”
เจติยาเก็บข้อมูลเต็มที่ “พลอยชมพู เค้าเป็นใคร แล้วหน้าตายังไง พอจะบอกพี่ได้มั้ยคะ
กอล์ฟมีท่าทางกลัวขึ้นมาทันทีที่นึกถึงพลอยชมพู เขานั่งตัวสั่นงันงก กำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
แต่ก็ไม่กล้าบอก แล้ววิญญาณกอล์ฟก็จางหายไป
เจติยากวาดตามองหาไปรอบตัว “กอล์ฟ กอล์ฟ”
แต่ก็ไม่มีวี่แววกอล์ฟเลย
เจติยามองไปรอบๆ “ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร”
กอล์ฟพูดขึ้นมาแต่เสียงที่หวาดกลัวสุดๆ “ผมกลัวแล้ว ป้าอย่าตีผม ผมเป็นเด็กดี ผมจะเชื่อฟังป้าทุกอย่าง อย่าทำผม” กอล์ฟร้องลั่น “ผมกลัวแล้วป้า อย่าทำผม!!”
เจติยาหันไปมองรอบตัวก็ไม่เห็นวิญญาณกอล์ฟและติดต่อไม่ได้
เจติยามองหา “กอล์ฟ ได้ยินพี่มั้ย กอล์ฟ...”
ทุกอย่างเงียบกริบเพราะไม่สามารถติดต่อวิญญาณกอล์ฟได้อีก เธอหน้าเครียดขึ้นมากับข้อมูลใหม่ที่รู้จากคนตาย
นิษฐาเดินนำเจติยาเข้ามาในห้องรับแขก
นิษฐามีสีหน้าไม่สบายใจนัก “ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรอกนะ ปกติเค้าไม่ให้ดูข้อมูลคนที่มาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิหรอก”
“แกเข้าใจว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ดีแล้ว ยังไง ก็ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ ว่าที่คุณหญิงนักสังคมสงเคราะห์”
นิษฐาทิ้งค้อนแต่ก็หยิบไอแพดขึ้นมากดเข้าข้อมูลของมูลนิธิ นวัชเดินนำแก้วใส่น้ำเย็นๆเข้ามาให้ทั้งคู่
“แต่ถึงเจจะรู้ข้อมูลของเด็กที่ตายไป ผลมันก็ไม่เปลี่ยนหรอก คราวนี้หลักฐานชัดมาก ยังไงก็เป็นการฆาตกรรม” นวัชพูดเน้นด้วยสีหน้าแววตาสลดใจ “เป็นฝีมือแม่แท้ๆ ของเด็กเอง” นวัชถอนใจส่ายหน้า
นิษฐายื่นไอแพดให้เจติยา “อ้ะ ฉันกดพาสเวิร์ดให้ละ แกดูเองละกัน”
เจติยารับไอแพดมาอ่านเรื่องของกอล์ฟแล้วก็ตกใจ “โดนทำร้ายมาแปดครั้งเลยเหรอ”
“ใช่” นิษฐาตอบ “น้องกอล์ฟถูกแม่ตัวเองทำร้ายหลายครั้ง แต่กว่าชาวบ้านจะทนไม่ได้ แล้วแจ้งมาที่มูลนิธิ มันก็เป็นครั้งที่ห้าแล้ว นี่นับเฉพาะที่มีคนเห็นนะแก”
เจติยาหน้าเครียดทันทีเพราะรู้สึกสงสารเด็กคนนี้มาก
หลายเดือนก่อน กอล์ฟวิ่งออกมาจากบ้าน ชมพูนุชวิ่งตามมาจับไว้แล้วใช้เข็มขัดหนังตีกอล์ฟไม่ยั้ง ชมพูนุชโกรธมาก “จะทำอีกมั้ย”
กอล์ฟร้องลั่น “กอล์ฟเจ็บ โอ้ยๆ แม่พอแล้ว”
ชาวบ้านที่กลับมาจากตลาดเห็นชมพูนุชตีเด็กไม่ยั้งก็หยุดมองด้วยความสมเพชและเห็นใจ ชมพูนุชจ้องไปที่ชาวบ้านตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชาวบ้านกลัวจนต้องรีบเดินหนีไป
เสียงนิษฐาอธิบายดังขึ้น
“แม่เด็กเป็นคนอารมณ์รุนแรง ถ้าเด็กดื้อหรือทำอะไรไม่ได้อย่างใจขึ้นมาก็จะทุบตีไม่ยั้ง ตอนที่ฉันตรวจร่างกายเด็ก มีแต่รอยแผลเต็มไปหมดเลย เห็นแล้วแทบร้องไห้นะแก”
ชมพูนุชเล่นกับลูกอยู่ที่หน้าบ้าน เธอซื้อของเล่นมาให้กอล์ฟและกิ๊บเต็มไปหมด โดยที่ตัวเองก็เล่นกับลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นแม่กับลูกเล่นกันก็มองด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินเลี่ยงไป
เสียงนิษฐาอธิบาย
“แต่พอเวลาอารมณ์ดีก็รักลูกมาก ซื้อของเล่นให้ลูก เล่นกับลูกเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเลยนะแก อารมณ์เธอขึ้นลง แปรปรวนเดายากมาก”
เจติยากำลังใช้ความคิดตามที่นิษฐาพูด
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “มูลนิธิเพื่อนแท้ก็ตามเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว ทำไมถึงยอมให้เด็กอยู่กับแม่อีกล่ะ”
นิษฐาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เพราะน้องกอล์ฟให้การว่าแม่ไม่ได้ทำน่ะสิ ฉันว่าน้องกอล์ฟอาจจะรักแม่มากแล้วก็คงกลัวว่าจะโดนตีซ้ำอีก ก็เลยพูดไปแบบนั้น แต่ในเมื่อเด็กยืนยันแบบนี้ เราก็เลยทำอะไรไม่ได้”
“แล้วพ่อเด็กล่ะ เค้าไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ” เจติยาถาม
“ฉันเองก็ไม่เคยเจอตัวพ่อน้องกอล์ฟหรอกนะ รู้แต่ว่าหย่ากันนานแล้ว เค้าเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย รายได้ต่างกับแม่เด็กยังกะฟ้ากับเหว ก็เลยต้องจำใจให้ลูกอยู่กับแม่”
เจติยาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะหันไปพูดกับนวัช “แล้วหลักฐานที่พี่บอกว่าชัดเจนล่ะคะ มันคืออะไร”
“ลายนิ้วมือ บนศพเด็กไม่มีลายนิ้วมือคนอื่นเลยนอกจากของแม่เด็กแล้วแผลที่ทำให้ตาย ก็เกิดจากการตีด้วยของแข็ง แล้วเราก็พบวัตถุที่ใช้ในการฆาตกรรมแล้วด้วย โชคดีที่ยังมีเลือดติดอยู่ พอส่งพิสูจน์ดีเอ็นเอก็ตรงกันกับน้องกอล์ฟเป๊ะ ลายมือที่พบบนวัตถุพยานก็ลายนิ้วมือแม่ ฆาตกรไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้เลยนอกจากแม่เด็ก”
เจติยาใช้ความคิดตามที่นวัชบอกแต่ก็ไม่เห็นเป็นคนอื่นไปได้จริงๆ
ทันใดนั้น เจติยาก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังกระตุกชายเสื้อตนอยู่ เจติยาหันไปมองตามก็เห็นน้องกอล์ฟกำลังกระตุกชายเสื้อเธออยู่ วิญญาณกอล์ฟ จางๆ สั่นๆ เหมือนอ่อนแรง คล้ายๆสัญญาณภาพโทรทัศน์จะล้ม
กอล์ฟพูดหน้าเศร้า “ไม่จริง แม่ไม่ได้ทำร้ายผม พี่อย่าไปเชื่อเค้าสองคนนะครับ”
กอล์ฟพูดเสร็จก็หายวับไป
เจติยานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดกับนวัชต่อ “พี่ผู้กองคะ เจอยากให้พี่ช่วยสืบหาคนชื่อ “พลอยชมพู” ให้หน่อยได้มั้ยคะ”
นวัชสงสัย “เค้าเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”
เจติยาไม่แน่ใจเหมือนกัน “เค้าอาจจะเป็นเพื่อนบ้านของน้องกอล์ฟ เป็นญาติ หรือว่าคนที่เข้ามาทำความสะอาดอะไรประมาณนี้ก็ได้ แต่เค้าจะต้องเข้าออกบ้านน้องกอล์ฟได้ โดยไม่มีใครสงสัย”
“ได้ พี่จะสืบให้”
นิษฐาสงสัย “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครเหรอเจ”
“ผู้ต้องสงสัยฆ่าน้องกอล์ฟ”
นิษฐาหน้าแหยๆ กลัวๆ “วิญญาณเด็กบอกเธออีกแล้วเหรอ”
เจติยาพยักหน้ารับก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ้อ กอล์ฟเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า ป้า แต่ก็ไม่รู้ว่าญาติแท้ๆรึเปล่านะคะ”
“แล้วทำไมเจไม่ถามเด็กให้รู้เรื่องไปเลยล่ะ” นวัชถาม
เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียด “วิญญาณเด็กคนนี้พลังเบาบางมากค่ะติดต่อกับเจขาดๆ หายๆ”เจติยามีสีหน้าสงสาร “ดูเค้าหวาดกลัวมากเลยนะ”
นวัชและนิษฐาสบตากันเล็กน้อย ทั้งสองมีสีหน้าหนักใจกับข้อมูลใหม่
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “เจว่าบางที “พลอยชมพู”อาจจะเป็นผู้ร้ายตัวจริงของคดีนี้ก็ได้”
นวัชกับนิษฐานึกไม่ถึงว่าจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่แบบนี้
วิญญาณน้องกอล์ฟจางๆ วูบๆ ขาดๆหายๆ มองเจติยาแล้วยิ้มดีใจที่มีคนเชื่อและจะช่วยเหลือแม่ ชั่วอึดใจวิญญาณน้องกอล์ฟก็จางหายไป
ลาภิณเดินตามทนายความออกมาจากข้างในหลังจากได้รับการประกันตัวเรียบร้อย
“เรื่องคดีความคงต้องสู้กันอีกยาว” ทนายความบอก
ลาภิณมีสีหน้าหนักใจ
ทนายความให้ความมั่นใจ “แต่คุณลาภิณไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณอย่างสุดความสามารถเลยครับ”
ลาภิณยิ้มบางๆ “ถ้าผมไม่เชื่อใจคุณ ก็คงไม่ให้ทำคดีตั้งแต่ต้นแล้วล่ะครับ เอ่อ แล้วเรื่องที่ให้นัดประชุม คุณจัดการให้ผมแล้วใช่มั้ย”
“คุณลาภิณเพิ่งได้ประกันตัวออกมา จะไม่พักก่อนเหรอครับ”
ลาภิณหน้าเครียด “ผมพักไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ สิ่งที่ผมห่วงที่สุดก็คือ นิราลัย”
ลาภิณนึกถึงตอนที่กสิณพูดกับเขา
“ติดคุก คิดว่ามันจะจบแค่นั้นจริงเหรอะ” กสิณขำๆ เดินวนไปรอบๆ ลาภิณพร้อมพูด “ลืมไปแล้วรึไง ว่านายค้ำประกันสิทธิพรเอาไว้ แต่ตอนนี้เค้าตายแล้ว นายจะต้องชดใช้เงินทั้งหมดแทนสิทธิพร นั่นหมายถึง” กสิณพูดเน้น “นิราลัย” กสิณจ้องหน้า “แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายมี”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ลาภิณก็เครียด “นิราลัย ต้องไม่ล้มในมือของผมเด็ดขาด”
ลาภิณเดินเครียดๆออกมาจากห้องประชุม ในหัวของเขามีแต่คำพูดของพนักงานอาวุโสของนิราลัยก้องอยู่เต็มไปหมด ลาภิณเดินหน้าเครียดไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน โดยที่เสียงจากการประชุมยังก้องอยู่ในหัว
เสียงพนักงานคนหนึ่งดังขึ้น “ถ้าจะต้องรับผิดชอบในการค้ำประกันจริงๆ ต่อให้ขายทรัพย์สินทั้งหมดของนิราลัย ก็ไม่พอหรอกครับ”
เสียงพนักงานอีกคนพูด “ผมว่ามีทางเดียว คือเราต้องหาบริษัทก่อสร้างอื่นเข้าไปทำงานแทน ให้เสร็จตามกำหนดเดิม ถึงจะเอาตัวรอดได้”
ลาภิณพูด “โครงการระดับหมื่นล้าน มันไม่ใช่ว่าบริษัทไหนก็ทำได้หรอกนะครับ ผมจะไปหาที่ไหน”
เสียงพนักงานคนที่สามพูด “แต่ถ้าหาไม่ได้ ไม่ใช่แค่นิราลัยเท่านั้นเหรอกนะคะ แม้แต่ทรัพย์สมบัติส่วนอื่นของคุณ ก็อาจจะต้องถูกยึดเอามาใช้หนี้ด้วย”
ลาภิณถอนใจด้วยความเครียดหนักที่ไม่มีทางออกเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเอง ลาภิณก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพิมพ์อรยืนรอตนอยู่
“พี่อร”
พิมพ์อรมองมาทางลาภิณด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
พิมพ์อรกำลังคุยกับลาภิณด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ด้วยศักยภาพของเอ็ตต้า ไม่ใช่แต่โครงการของท่านบุญช่วยเท่านั้นนะคะ แต่ทุกโครงการที่นายสิทธิพรทิ้งเอาไว้ พี่ก็สานต่อให้ได้หมด โดยไม่ให้กระเทือนมาถึงน้องต้นเลยแม้แต่นิดเดียว”
ลาภิณหน้าเครียด “แลกกับเหรียญที่เจมีใช่มั้ยล่ะครับ”
“ค่ะ พี่ต้องการเหรียญมาช่วยชีวิตคุณพ่อ พี่ไม่ได้เอาไปใช้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรซะหน่อย”
“แล้วต่อจากนั้นล่ะครับ ขนาดเหรียญมีอำนาจไม่เท่ากล่องรากบุญ พี่อรยังสร้างปัญหาให้คนอื่นได้ถึงขนาดนี้ แล้วกล่องรากบุญที่บันดาลได้ทุกอย่าง จะช่วยให้พี่ทำเรื่องเลวร้ายได้มากขนาดไหน”
พิมพ์อรเสียใจมาก “นี่น้องต้นกล้าว่าพี่ถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“เราคงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างภาพกันอีกแล้วมั้งครับ ถ้าพี่อรต้องการแค่ช่วยคุณลุงจริง หลังจากขอพรช่วยคุณลุงสำเร็จแล้ว พี่อรกล้าทำลายกล่องรากบุญทิ้งมั้ยล่ะครับ”
พิมพ์อรชะงักไปเพราะถึงเรื่องพ่อจะสำคัญสุด แต่เธอก็อำนาจของกล่องเช่นกัน
ลาภิณถอนใจ “เจพูดถูกทั้งหมด กิเลสของคนไม่มีวันหมดสิ้น มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้จักควบคุมมัน” ลาภิณสูดลมหายใจลึก “พี่อรกลับไปเถอะครับ ผมไม่ยอมให้เจยกเหรียญนั่นให้พี่หรอกครับ” ลาภิณจ้องหน้า “แต่ถึงเจยอม ผมนี่แหละครับจะเป็นคนขัดขวางเอง”
พิมพ์อรทำหน้าถมึงทึงแล้วพูดเสียงแข็ง “ถึงจะต้องแลกด้วยนิราลัย หรือแม้แต่อิสรภาพของน้องต้นน่ะเหรอคะ”
ลาภิณจ้องหน้าคืนก่อนจะยืนยันหนักแน่น “ครับ”
พิมพ์อรยิ้มเยาะ “พี่นึกว่าน้องต้นจะฉลาดกว่านี้ซะอีก”
ลาภิณหน้านิ่ง “เห็นแก่ความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กันนะครับพี่” ลาภิณเน้นเสียง “กลับไปซะ”
พิมพ์อรขบกรามแน่นจนขึ้นสันก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปด้วยความโกรธจัด ลาภิณถอนใจหนักๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงทั้งกายทั้งใจ
นทียืนคุยโทรศัพท์ไร้สายอยู่หน้าห้องน้ำ โดยที่เจติยากำลังอ้วกอยู่ในห้องน้ำเพราะแพ้ท้องอย่างหนัก
เสียงเจติยาดังออกมาจากห้องน้ำ
นทีคุยโทรศัพท์ “พี่เจเข้าห้องน้ำอยู่ครับ” นทียิ้ม “ปวดหัวคลื่นไส้นิดหน่อย พี่ต้นมีอะไรสั่งผมไว้ก็ได้ครับ” นทีฟังแล้วนึกก่อนตอบ “พี่เจไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ ท้อง” นทีเว้นนิดหน่อย “เสีย น่ะครับ” นทียิ้มขี้เล่นพร้อมกับฟังอีกฝ่าย “ได้ครับพี่ แล้วผมจะบอกให้ครับ”
นทีกดวางสาย เจติยาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความอ่อนเพลีย
“คุณต้นโทรมาเหรอ” เจติยาถาม
“พี่ต้นบอกว่าได้ประกันตัวแล้ว แต่วันนี้คงกลับดึกหน่อย เพราะต้องสะสางงานที่บริษัท”
เจติยาพยักหน้ารับ
“พี่ยังไม่ได้บอกเรื่องท้องให้พี่ต้นรู้อีกเหรอ”
“ยังไม่ได้จังหวะเลย ว่าจะบอกวันนี้แหละ”
“ดีนะที่ผมไหวทัน ไม่หลุดปากพูดออกไป ข่าวดีแบบนี้คุณต้นควรได้ยินจากปากเมียตัวเองมากกว่า” นทียิ้มหน้าเป็น
เจติยายิ้ม
“รีบๆหน่อยก็ดีนะพี่ พี่ต้นกำลังมีปัญหา เรื่องลูก อาจจะช่วยให้พี่ต้นมีกำลังใจมากขึ้นก็ได้”
“ย่ะ”
นทีพูดเสร็จก็เดินเลี่ยงไปเพื่อเอาโทรศัพท์ไปเก็บ เจติยาเอามือลูบท้องช้าๆ แล้วยิ้มบางๆอย่างสุขใจเมื่อนึกถึงลูก ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งเข้ามากระชากแขนเจติยาอย่างแรง จนเจติยาเซถลาไปตามแรงกระชากทันที
เจติยาตกใจมาก “โอ้ย!!”
เจติยามองตามก็เห็นว่าเป็นวิญญาณน้องกอล์ฟนั่นเองที่กระชากแขนเธอ
“น้องกอล์ฟ”
กอล์ฟร้อนใจสุดๆ “เร็วๆ”
วิญญาณกอล์ฟหายวูบไปอีก เจติยาหันมองไปรอบตัว
“มีอะไรเหรอกอล์ฟ”
วิญญาณกอล์ฟปรากฏขึ้นจางๆ
เจติยารีบซัก “มีเรื่องอะไร”
“ป้าพลอยชมพู” กอล์ฟน้ำตาไหลออกมาแล้วก็จางหายไปอีก
เจติยาหันมองไปรอบตัว วิญญาณกอล์ฟปรากฎขึ้นมาได้แค่ครึ่งตัวแล้วพูดทั้งน้ำตา “เค้ากำลังจะไปทำร้ายน้องสาวหนูแล้ว”วิญญาณกอล์ฟสลายหายไป
เจติยาตกใจที่จู่ๆวิญญาณก็มาตามตัวให้ไปช่วยคนที่ตนไม่เคยเห็นหน้าแม้แต่น้อย
เจติยาลากนวัชออกมาจากบ้าน โดยมีนิษฐาจอดรถยืนรออยู่ข้างรถแล้ว
นวัชตกใจ “นี่มันอะไรกันเจ จะลากพี่ไปไหน” นวัชหันไปพูดกับนิษฐา “เกิดอะไรขึ้นเหรอฐา”
นิษฐางงเหมือนกัน “อย่ามาถามฐาเลยค่ะ ฐาก็โดนโทรจิกให้มาเหมือนกันแหละ”
เจติยาร้อนใจมาก “ไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในรถละกันนะคะ รีบไปกันเถอะ”
นวัชและนิษฐารีบขึ้นรถ โดยนิษฐาเป็นคนขับ
เจติยาหันไปพูดกับวิญญาณข้างๆ “นำทางไปเลยจ้ะ”
เจติยารีบเปิดประตูด้านหลังแล้วขึ้นรถไปอย่างเร็ว นิษฐารีบขับรถออกไป วิญญาณน้องกอล์ฟที่มีสภาพจางๆ นั่งจ้องเขม็งมองทางอยู่ตรงกลางรถด้วยสีหน้าแววตาร้อนใจเพราะเป็นห่วงน้องสาวที่สุด
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10
ประตูห้องเปิดออกช้าๆ ใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องเงียบๆ คนๆนั้นเดินช้าๆเข้ามาหาน้องกิ๊บที่นอนหลับสนิทอยู่แล้วค่อยๆยื่นมือไปหา ทันใดนั้น เสียงธีรัชก็ดังโวยวายมาจากชั้นล่าง
“พวกคุณเป็นใคร เข้ามาบ้านผมทำไม”
คนๆนั้นตกใจมากจนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก
ธีรัชโวยวาย “อ้าวคุณ จะขึ้นไปไหน”
เสียงเจติยาพูดด้วยอาการร้อนใจ “ไม่มีเวลาอธิบายแล้วค่ะ”
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น นวัชก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ตามด้วยเจติยาและนิษฐาก่อนที่ธีรัชจะเดินหน้าตาตื่นตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย นิษฐารีบเปิดไฟในห้องทันที พอไฟสว่าง ทุกคนก็เห็นว่าภายในห้องมีน้องกิ๊บนอนอยู่คนเดียว แต่หน้าต่างถูกเปิดทิ้งเอาไว้ นวัชรีบตามไปดูที่หน้าต่าง
นวัชเจ็บใจ “มันหนีลงไปข้างล่างแล้ว พี่ตามไปดูก่อน”
“ระวังตัวนะคะ” นิษฐาเตือน
นวัชรีบออกจากห้องไปทันที
ทันใดนั้น กิ๊บก็งัวเงียตื่นขึ้นมา
“คุณพ่อ มีอะไรเหรอคะ”
ธีรัชรีบเข้าไปปลอบลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่มีอะไรจ้ะ น้องกิ๊บนอนต่อนะคะ” ธีรัชห่มผ้าให้ กิ๊บงัวเงียแล้วก็นอนต่อไป ธีรัชมองไปที่เจติยากับนิษฐาด้วยสายตาตั้งคำถาม ตอนแรกเขาก็ไม่ไว้ใจ แต่พอเห็นคนเข้ามาในห้องนอนลูกสาวแล้วหนีไปก็สับสนไปหมด
ธีรัชงงมาก “นี่มันมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ”
เจติยาเห็นท่าทางธีรัชก็พอจะเข้าใจ “เรื่องทั้งหมดฉันอธิบายได้ค่ะ แต่ว่ามันอาจจะดูเหลือเชื่อไปหน่อยนะคะ” เจติยาฝืนยิ้มให้
ธีรัชกำลังงงและสับสนไปหมด
“คุณมาถึงที่นี่ เพราะความฝันเนี่ยนะ”
ธีรัชกำลังคุยกับเจติยา นวัช และนิษฐาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นิษฐายิ้มแหยๆ “มันอาจจะก็ฟังดูแปลกๆ แต่เพื่อนฉันก็ฝันแม่นมากนะคะ ไม่อย่างงั้นป่านนี้ น้องกิ๊บมีอันตรายไปแล้ว”
ธีรัชมีสีหน้าที่ยังคาใจจึงพูดเคืองๆ “ก็เพราะคุณช่วยน้องกิ๊บไว้ได้ยังไงครับผมถึงยังไม่แจ้งตำรวจจับพวกคุณข้อหาบุกรุก”
นวัชยิ้มสู้ “ผมนี่ล่ะครับตำรวจ” นวัชโชว์บัตรประจำตัว “ขอโทษด้วยนะครับ ที่บุกเข้ามาโดยพลการ”
ธีรัชถอนใจ “แล้วตกลงคุณเห็นไอ้คนที่บุกเข้ามาบ้านผมรึเปล่า”
“ไม่เห็นครับ ผมตามไปไม่ทัน แต่พอจะสันนิษฐานได้ ว่าเค้าปีนหนีออกทางหน้าต่าง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนกันสาด ก่อนจะกระโดดจากกันสาดลงไปที่ถนนด้านหลังแล้วก็หนีไป”
ธีรัชแปลกใจ “ทิ้งตัวลงบนกันสาดเนี่ยนะ กันสาดข้างนั้นผมทำไว้สวยๆ ไม่ได้แข็งแรงเลยนะคุณ แสดงว่าคงเป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก”
“หรือไม่ก็เป็นผู้หญิง” นวัชพูด
เจติยาฉุกคิดขึ้น “เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักคนที่ชื่อพลอยชมพู หรือชื่อคล้ายๆกันบ้างมั้ยคะ”
ธีรัชคิดทบทวน “ไม่นะครับ ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย ทำไมเหรอครับ”
เจติยาชำเลืองมองหาไปรอบๆตัว
เจติยามองหาวิญญาณน้องกอล์ฟแต่ก็ไม่เห็น นิษฐาขยับตัวชิดนวัชเล็กน้อยเพราะเดาอาการเพื่อนได้ว่ามองหาวิญญาณแน่ๆ
“มองหาอะไรครับ” ธีรัชถาม
เจติยาสะดุ้งเล็กน้อย “ไม่มีอะไรค่ะ..เอ่อ คือ” เจติยาจำเป็นต้องโกหกว่าฝัน “ในฝัน น้องกอล์ฟบอกว่าผู้หญิงที่ชื่อพลอยชมพูเป็นคนฆ่าน้องเค้า แล้วก็กำลังจะทำร้ายน้องกิ๊บด้วย ฉันเลยต้องตามมาช่วยไงคะ”
ธีรัชสงสัย “แต่ตำรวจก็จับตัวชมพูนุชไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าคุณเองก็เชื่อว่าคุณชมพูนุชฆ่าลูกตัวเองเหรอคะ”
ธีรัชเครียดมาก “ผมก็ไม่อยากจะคิดแบบนั้นหรอกนะครับ แต่...” ธีรัชถอนใจออกมาแล้วตัดสินใจพูด “ผมก็ไม่เข้าใจเค้าเท่าไหร่ ปกตินุชเค้าเป็นคนดีมากนะ อ่อนโยนน่ารัก แต่บางครั้งเค้าก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนผมกลัว ผมถึงต้องขอหย่ากับเค้าไงครับ”
นิษฐา เจติยาและนวัชหันมาสบตากันไปมา
ธีรัชรู้สึกผิดสุดๆ “ผมไม่ควรหย่ากับเค้าเลย ไม่อย่างงั้น น้องกอล์ฟก็คงไม่ต้องตายยังงี้หรอกครับ” ธีรัชน้ำตารื้น
“แสดงว่าคุณรู้เรื่องที่เค้าชอบทำร้ายลูกเหรอคะ” นิษฐาถาม
“ผมก็รู้จากปากคนอื่น ไม่เคยเห็นกับตาตัวเองหรอกครับ แต่ตามตัวน้องกอล์ฟก็มีร่องรอยถูกทำร้ายจริงๆ แต่พอผมถามว่าใช่ฝีมือแม่มั้ย เค้าก็ปฏิเสธตลอด ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง จะเอาเค้ามาเลี้ยง ผมก็กลัวเลี้ยงเค้าได้ไม่ดี เพราะลำพังตัวเอง ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว”
เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเก็บข้อมูลเต็มที่ เธอรู้สึกว่าคดีนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคืออะไร
พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้า เจติยากำลังนั่งหลับอยู่ที่โซฟาโถงบ้านลาภิณ ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเอื้อมมือมาปลุกเจติยา ซึ่งเป็นมือของลาภิณนั่นเอง
“เจ ขึ้นไปนอนข้างบนเถอะ”
เจติยารู้สึกตัวตื่น “อ้าวคุณต้น” เจติยากวาดตามอง “นี่เช้าแล้วเหรอคะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ “นี่คุณนั่งหลับรอผมทั้งคืนเลยเหรอ”
เจติยาหน้าเครียดขึ้นมาเพราะเป็นห่วง “งานมีปัญหามากเหรอคะ”
ลาภิณหน้าเคร่งขรึมก่อนจะนั่งลง “ที่จริงงานของนิราลัยมันลงตัวหมดแล้วล่ะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่คนที่สร้างปัญหา คือผมมากกว่า”
เจติยาหน้าเครียด “มีปัญหาอะไรกันแน่คะ”
ลาภิณเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าสิทธิมันหมุนเงินไม่ทัน มันก็เลยขอให้ผมค้ำประกันเงินกู้ให้ พอมันตาย งานทุกอย่างก็เลยรวนไปหมด”
เจติยารู้สึกว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นจึงเลื่อนมือไปจับกุมมือลาภิณเอาไว้ให้กำลังใจ
ลาภิณชำเลืองมองเจติยา “อีกไม่นานธนาคารก็คงเรียกเก็บหนี้จากผมแทน”
เจติยาเป็นห่วงมาก “แล้วมันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่คะ เรามีพอจ่ายเค้าไหวมั้ยคะ”
ลาภิณนิ่งอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้า
เจติยาตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงขนาดนี้
ลาภิณบีบมือเจติยาไว้พร้อมกับมองเธอนิ่ง “เจ... เราหย่ากันเถอะนะ”
เจติยาใจหายวูบไปเลย เธอพูดไม่ออก
ลาภิณน้ำตารื้นเพราะเป็นห่วงมาก “อย่างน้อยคุณจะได้มีอะไรเหลือติดตัวบ้าง”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลาภิณจะขอหย่า “คุณต้น” เจติยาน้ำตาท่วมขึ้นมาทันที
ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้ เจติยาน้ำตาร่วงผลอย เธอยังอึ้งปนงงจนตอนนี้คิดอะไรต่อไม่ออก
เจติยานั่งซึมเศร้าอยู่ในห้องแต่งศพ แม้จะรู้ว่ายังอยู่ด้วยกันและสามีทำเพราะปกป้องเธอแต่เธอก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงคนกระโดดอยู่ข้างหลัง เจติยาหันกลับไปมองก็เห็นกอล์ฟกำลังกระโดดกระต่ายขาเดียวเล่นอยู่คนเดียว เจติยายิ้มบางๆ แล้วเอามือขึ้นมาจับท้องตัวเองเพราะเธอก็กำลังท้องอยู่พอเห็นเด็กน่ารักก็อดนึกถึงลูกไม่ได้ ทันใดนั้น อยุทธ์ก็เปิดประตูห้องแต่งศพแล้วเข็นศพผู้ชายศพหนึ่งเข้ามา
“ฆ่าตัวตายครับ ญาติเพิ่งส่งศพมาเมื่อกี๊นี้เอง” อยุทธ์ส่งเอกสารให้เจติยา “นี่เป็นใบยืนยันจากทางนิติเวช แล้วก็ใบเซ็นยินยอมของญาติครับ”
เจติยารับเอกสารมาตรวจดูเพื่อความถูกต้อง “งั้นก็เริ่มงานกันเลยค่ะ”
อยุทธ์เข็นศพมาแล้วเปิดผ้าคลุมศพออก กอล์ฟชะโงกหน้ามาดูแล้วก็ตกใจกลัว
เจติยาหันไปบอกกอล์ฟ “กอล์ฟไปที่อื่นก่อนไป”
อยุทธ์งงเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วมองไปรอบๆ “มีวิญญาณอื่นอยู่ในห้องนี้เหรอครับ”
“ค่ะ” เจติยายิ้มขำ “วิญญาณเด็กซนน่ะค่ะ อย่าสนใจเลย”
กอล์ฟถอยห่าง
“คนตายเอายาไปทิ้ง ไม่ยอมกิน อาการทางจิตก็เลยกำเริบ” อยุทธ์เล่า
กอล์ฟพูดแทรกขึ้นมา “ป้าพลอยชมพูก็ชอบเอายาแม่ไปทิ้ง”
เจติยาหันขวับไปมองกอล์ฟ
“ยาอะไรเหรอ” เจติยาถาม
กอล์ฟส่ายหน้า “ไม่รู้ แม่ต้องกินประจำ แต่ป้าพลอยชมพูชอบเอายาไปทิ้ง ไม่ยอมให้แม่กินครับ”
เจติยาคิดตามและเริ่มจะได้เงื่อนงำเพิ่มขึ้น
นวัชเดินคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามาในโรงพัก
“พี่เช็คได้แค่ยาที่คุณชมพูนุชกินประจำ มันเป็นมันเป็นยาด้านจิตเวช คนที่จะสั่งยาแบบนี้ได้ มีแต่จิตแพทย์เท่านั้น”
เจติยาคุยจากปลายสาย “พี่พอจะหาประวัติการรักษามาได้รึเปล่าคะ เราจะได้รู้ว่าเค้าป่วยเป็นอะไรกันแน่”
นวัชคุยมือถือ “น่าจะยากนะเจ หมอเค้าต้องปกปิดความลับของคนไข้อยู่แล้ว” นวัชนึกได้ “เอ้อ ลองถามอดีตสามีเค้าดูสิ เค้าน่าจะรู้อะไรบ้างแหละ”
ธีรัชในชุดข้าราชการกำลังเดินคุยกับเจติยาในหน่วยราชการ
“ผมไม่รู้หรอกคุณ นุชเค้าไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟัง”
“สามีภรรยากัน จะไม่เล่าอะไรให้กันฟังบ้างเลยเหรอคะ”
ธีรัชหน้าเศร้า “พูดไปมันก็น่าอายนะ แต่ไหนๆคุณก็ช่วยชีวิตลูกสาวผมเอาไว้ ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้” ธีรัชถอนใจ
เจติยาเข้าใจและเห็นใจ “เล่าเท่าที่เล่าได้เถอะค่ะ”
“นุชเค้าไม่ได้เต็มใจแต่งงานกับผมหรอก” ธีรัชมีสีหน้าเจียมตัว “เค้าดีกว่าผมทุกด้าน จะมาสนใจคนอย่างผมทำไม พอดีช่วงนั้นเค้าอกหัก แล้ววันนั้นเราก็...เมา”
เจติยาพอเข้าใจได้จึงไม่อยากซักต่อ “แต่คุณก็อยู่กันจนมีลูกน่ารักๆตั้งสองคน ก็น่าจะมีความผูกพันกันบ้างนะคะ”
ธีรัชมีสีหน้าเหนื่อยใจ “นุชเค้าชอบโทษว่าผมกับลูก ทำให้ชีวิตเค้าไปได้ไม่ไกล” ธีรัชถอนใจอย่างเศร้าๆ “เราก็เลยไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวอะไรกันมากนักหรอก ขี้เกียจทะเลาะ”
“ขอโทษนะคะ นี่คือสาเหตุที่ทำให้คุณกับคุณชมพูนุชหย่ากันเหรอคะ” เจติยาถาม
“เปล่า ผมทนอารมณ์เค้าไม่ได้มากกว่า นุชเค้าเป็นคนอารมณ์แปรปรวนง่าย ยิ่งเวลาเครียดเรื่องงานหรือต้องอยู่ในที่แคบๆมืดๆ เค้าจะอารมณ์เสียมาก บางครั้ง มันน่ากลัวจนเหมือนไม่ใช่ตัวเค้าเลย” ธีรัชมีสีหน้าแววตาที่มีความเกรงกลัวซ่อนอยู่
เจติยาชะงักแล้วเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจติยาเดินตามคุยกับชมพูนุช โดยที่ชมพูนุชมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
ชมพูนุชเครียดมากจึงเดินหนีและโวยวาย “คุณจะเอาอะไรกับฉันอีก ฉันเสียลูกไปทั้งคน แล้วยังตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าลูกตัวเองอีก แค่นี้ยังไม่พอรึไง”
“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับการตายของน้องกอล์ฟนะคะ คุณไม่อยากรู้เหรอคะ ว่าใครฆ่าลูกคุณ” เจติยาถาม
“ฉันจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในศาลเองค่ะ ส่วนเรื่องหาตัวฆาตกรเป็นหน้าที่ของตำรวจ จบนะคะ ฉันต้องรีบไปประชุม ขอโทษด้วยค่ะ”
ชมพูนุชเดินเลี่ยงไป
เจติยาพูดตามหลัง “พลอยชมพู”
ชมพูนุชตกใจสุดๆ จึงหันกลับมามองเจติยาทันที
“คุณเคยได้ยินชื่อนี้มั้ยคะ”
ชมพูนุชรีบหลบตาด้วยท่าทางกลัวๆ “ไม่ ฉันไม่เคยได้ยิน”
ชมพูนุชรีบเดินหนีไปทันที
ชมพูนุชเดินเข้าไปในลิฟท์แต่เจติยารีบเดินตามเข้าไปขวางลิฟท์เอาไว้
ชมพูนุชเริ่มเครียดหนัก “นี่คุณ จะตามมาทำไมอีก ฉันต้องรีบไปประชุมไม่เข้าใจรึไง”
เจติยาได้ทีก็ยิ่งถามจี้ “คุณบอกมาเถอะค่ะ ว่าคนชื่อพลอยชมพูเป็นใครกันแน่”
ชมพูนุชเครียดหนักจึงตวาด “ไม่รู้ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่รู้ ไม่รู้ ออกไปนะ ฉันต้องรีบเข้าประชุม”
เจติยายังยื้ออยู่ “คุณจะไม่รู้ได้ยังไงคะ พอฉันพูดชื่อนี้คุณก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีเลย คุณรู้มั้ยคะว่าเค้าฆ่าลูกชายคุณ แล้วก็อาจจะเป็นคนเดียวกับที่พยายามจะฆ่าลูกสาวคุณด้วย”
ชมพูนุชตกใจสุดๆ “ไม่จริง เค้าจะทำไปทำไม”
เจติยายิ้มเล็กน้อย เพราะถ้าชมพูนุชพูดอย่างงี้แสดงว่ารู้จักแน่จึงรีบจี้ต่อ “จริงค่ะ คุณไม่รักลูกคุณรึไงคะ ถึงไม่ยอมพูดความจริง”
ชมพูนุชสติแตกมากขึ้นเรื่อยๆ จึงตวาดแว๊ด “อย่ามาพูดอย่างงี้นะ ทำไมฉันจะไม่รักลูก ฉันรักลูกทุกคน ออกไปได้แล้ว” ชมพูนุชผลักเจติยาออกไป
เจติยาไม่ยอมออกไปแต่กลับเข้ามาในลิฟท์แล้วกดปิดประตูลิฟท์ทันที
ชมพูนุชเริ่มมีอาการอึดอัด เธอกวาดตามองไปรอบๆ ลิฟท์ที่แคบและมีเธออยู่กับเจติยาแค่2คน
ชมพูนุชโมโห “เปิดประตูลิฟท์เดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ค่ะ จนกว่าคุณจะเล่าเรื่องคนที่ชื่อพลอยชมพูก่อน”
เจติยากดลิฟท์ให้ขึ้นไปชั้นสูงสุด ชมพูนุชเริ่มกระสับกระส่ายแล้วหอบหายใจเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“คุณปกป้องเค้าทำไมคะ เค้าเป็นใครกันแน่”
ชมพูนุชกระสับกระส่ายหนักและตาขวาง “ไม่รู้ ฉันไม่รู้”
“คุณรู้ บอกมาเถอะค่ะ เพื่อลูกของคุณเอง”
ชมพูนุชตวาดแว๊ด “อย่าเอาลูกมาขู่ฉันนะ”
“ไหนคุณบอกว่าคุณรักลูกคุณมากไงคะ แล้วคุณจะปล่อยให้ลูกคุณต้องตายฟรีรึไง”
ชมพูนุชเอามือปิดหูแล้วกรีดร้อง “หยุดซะที หยุดพูดได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง”
เจติยาเดินเข้าไปใกล้ๆ พูดช้าๆ พยายามกดดัน “พลอยชมพูเป็นใครคะ”
ชมพูนุชตาเบิกกว้างแบบคนขาดสติคุมตัวเองไม่ได้แล้วบีบคอเจติยาทันที เจติยาตกใจสุดๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าจู่ๆชมพูนุชจะบีบคอเธอ
ชมพูนุชยิ้มเหี้ยม “อยากตายมากนักใช่มั้ย”
ทันใดนั้น ประตูลิฟท์ก็เปิดออก พนักงานที่อยู่หน้าลิฟท์พากันตกใจที่เห็นภาพนี้ ชมพูนุชรู้สึกตัวสะดุ้งขึ้นเฮือกหนึ่ง ท่าทีของชมพูนุชเปลี่ยนไปเป็นคนเดิมทันทีและมีท่าทีกลัวๆ ตื่นตกใจ ชมพูนุชรีบปล่อยเจติยา แล้วเดินออกจากลิฟท์ไปทันที เจติยาคลำที่คอพร้อมกับไอโขลกด้วยหน้าตาตื่นตกใจ
ลาภิณกำลังคุยกับผู้บริหารบริษัทหนึ่งอยู่
“บริษัทคุณสิทธิพรก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่ให้เค้าทำโครงการต่อล่ะครับ” ผู้บริหารถาม
“ไม่ได้หรอกครับ สิทธิบริหารงานอยู่คนเดียว รู้ทุกอย่างอยู่คนเดียว พอเสียชีวิตไปทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด ตอนนี้คนทยอยออกกันแทบทุกวัน” ลาภิณบอก
“ผมอยากทำงานร่วมกับนิราลัยนะครับ แต่โครงการนี้ มันเกินกำลังของบริษัทผมจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลาภิณ”
ลาภิณซึมลงไปทันทีที่โดนปฏิเสธ
ลาภิณเดินคอตกมาที่หน้าบริษัทอีกแห่ง
ลาภิณเดินหน้าเศร้าออกมาจากห้องประชุมหนึ่ง
ลาภิณเข้าไปในลิฟท์แล้วพิงหัวกับลิฟท์ก่อนจะยกมือขึ้นบีบขมับขณะลิฟท์ปิด
ลาภิณทิ้งตัวนั่งในรถโดยพิงหัวไปกับเบาะแล้วหลับตาด้วยท่าทางที่เครียดมากที่ยังหาทางออกให้กับนิราลัยไม่ได้
ลาภิณทรุดนั่งลงบนโซฟาที่บ้านตอนค่ำอย่างหมดแรง นทีเดินถือน้ำเย็นเข้ามาให้ลาภิณ
“ใจเย็นๆพี่ต้น กินน้ำก่อน” นทีเสริฟน้ำให้ลาภิณ
“ขอบใจนะ” ลาภิณหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
“ผมมั่นใจว่าพี่ต้นต้องหาทางออกได้อยู่แล้วล่ะ” นทียิ้มให้กำลังใจ
ลาภิณยิ้มเซ็งๆ “มันไม่ง่ายอย่างงั้นน่ะสิ งานนี้มีหวังหมดตัวแน่”
เจติยาเดินผ่านห้องนั่งเล่นพอดีก็เห็นลาภิณกำลังคุยกับนทีเลยหยุดฟัง
นทีหน้าเครียด “พี่ต้น ผมถามอะไรตรงๆได้มั้ย”
ลาภิณยิ้มบางๆ “ว่ามาสิ”
“อย่าโกรธผมนะ”
ลาภิณยิ้ม “ไม่หรอก”
“ถ้าพี่ต้นล้มละลายขึ้นมาจริงๆ พี่เจจะเดือดร้อนมั้ย”
ลาภิณชะงักไป
เจติยาไม่พอใจที่นทีถามแบบนี้ เธอจะอ้าปากต่อว่านทีขัด แต่ลาภิณพูดตอบกลับนทีมาเสียก่อน
“พี่ขอเจหย่าแล้ว”
เจติยาชะงักไป
“ต้องถึงขั้นนั้นเลยเหรอครับ” นทีถาม
ลาภิณมีสีหน้าเคร่งเครียด “ต้องเร็วที่สุดเลยล่ะ พี่ไม่อยากให้เจต้องเดือดร้อน เพราะปัญหาทั้งหมดมันไม่เกี่ยวกับเจเค้าเลย”
นทีเศร้าไป
ลาภิณยิ้มให้แล้วตบบ่านที “ก็แค่กระดาษใบเดียว มันไม่ได้ทำให้พี่รักเจเค้าน้อยลงซะหน่อย”
เจติยาฟังแล้วก็น้ำตารื้นอย่างตื้นตันใจ
“ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนเค้าทำธุรกิจก็หย่ากันเยอะแยะ ดีกว่าเป็นสามีภรรยาที่กอดทะเบียนสมรสไว้ แล้วทะเลาะกันบ้านแตกทุกวัน” ลาภิณพูด
“ก็จริงครับ แต่พี่เจจะทำใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“คงใช้เวลานิดหน่อยล่ะ” ลาภิณถอนใจยาวออกมา “นี่ยังโชคดีนะที่ยังไม่มีลูกกันตอนนี้ ไม่งั้นพี่ยิ่งเครียดใหญ่เลย สงสารเค้า”
นทีนิ่งไปเล็กน้อยแล้วเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า เขาได้แต่ฝืนยิ้มบางๆ ตอบไป
เจติยาหน้าเสียทันทีที่ได้ยินลาภิณพูดแบบนี้ เธอเอามือจับท้องตัวเองเบาๆ หน้าเศร้าๆ อย่างตัดสินใจว่าไม่ควรพูดเรื่องท้องดีกว่าเพราะไม่อยากทำให้ลาภิณไม่สบายใจมากขึ้นอีก
ชมพูนุชเดินคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามาในบ้าน
“ฉันเพิ่งถึงเดี๋ยวนี้เอง แล้วกิ๊บอยู่ไหนล่ะ” ชมพูนุชฟัง “โอ.เค. เดี๋ยวฉันดูแลลูกเอง คุณไปทำงานเถอะ” ชมพูนุชยิ้มบางๆ “แล้วก็ขอบใจนะ ที่คุณยังให้ฉันดูแลกิ๊บ คุณไม่เชื่อใช่มั้ย ว่าฉันเป็น คนทำร้ายกอล์ฟ” ชมพูนุชฟังอีกฝ่าย “ได้ยินอย่างงี้ฉันก็ดีใจ ที่คุณไม่หลงเชื่อคนอื่นง่ายๆ” ชมพูนุชฟัง “ค่ะ แล้วเจอกัน”
ชมพูนุชกดวางสายแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชมพูนุชเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของลูกสาวก่อนจะตรงไปที่เตียงของกิ๊บซึ่งเธอเห็นว่านอนคลุมโปงนอนอยู่
ชมพูนุชยิ้มแย้ม “คลุมโปงเงียบเชียว ตื่นได้แล้วค่ะ ลูกสาวแม่”
ชมพูนุชเปิดผ้าห่มออกแต่ปรากฏว่ามีแต่หมอนข้าง ไม่มีน้องกิ๊บอยู่
ชมพูนุชตกใจมองไปรอบๆ “น้องกิ๊บ น้องกิ๊บคะ น้องกิ๊บ”
ทันใดนั้น ประตูห้องก็ปิดลงทันที
ชมพูนุชตกใจมากจึงรีบไปที่ประตูแล้วพยายามจะเปิดแต่ก็ไม่สำเร็จจึงโมโห “ใครเล่นอะไรบ้าๆ” ชมพูนุชทุบประตูเสียงดัง “เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ เปิดสิฉันบอกให้เปิดเดี๋ยวนี้”
วิญญาณกอล์ฟยืนอยู่บนเตียง
กอล์ฟยืนมองแม่นิ่งอยู่ครู่นึง “แม่ครับ”
ชมพูนุชได้ยินเสียงกอล์ฟก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะค่อยๆหันกลับไปมองช้าๆ ก็เห็นวิญญาณกอล์ฟยืนจังก้าอยู่ ชมพูนุชกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด
เจติยา นวัช นิษฐา ยืนดูอยู่หน้าห้องกิ๊บ โดยมีธีรัชยืนอุ้มน้องกิ๊บอยู่ เสียงชมพูนุชกรีดร้องด้วยความกลัวดังออกมาจากในห้อง
“แม่กลัวแล้ว อย่าเข้ามา แม่กลัวแล้ว ช่วยด้วย”
ธีรัชตื่นตกใจ “นี่คุณทำอะไรของคุณ ทำไมนุชถึงได้ร้องหวาดกลัวขนาดนี้”
“ใจเย็นๆ นะคะ อีกเดี๋ยวเราก็จะได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้วล่ะค่ะ”
นวัชชักกลัวจึงพูดกระซิบกับเจติยา “ต้องรู้แน่นะเจ พี่เป็นตำรวจ ถ้าไม่ได้เรื่องขึ้นมา โดนอัดยับแน่”
สักพักเสียงกรีดร้องในห้องของชมพูนุชก็เงียบไป
“เงียบแล้ว เปิดเข้าไปดูดีกว่านะ” นิษฐาบอก
นิษฐาค่อยๆเปิดประตูออก ทันใดนั้น ชมพูนุชก็พุ่งออกมากระแทกนิษฐากับนวัชจนผงะออก แล้วเข้าไปแย่งน้องกิ๊บจากธีรัชมาใช้เป็นตัวประกันทันที
ธีรัชตกใจมาก “นี่คุณจะทำอะไรลูก” ธีรัชจะเข้าไปแย่งลูกมา
ชมพูนุชตะคอก “อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันฆ่านังเด็กนี่แน่”
น้องกิ๊บร้องไห้จ้าด้วยความกลัว
“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ นี่ลูกสาวคุณนะ”
“ตอนนี้เค้าไม่ใช่คุณชมพูนุชแม่ของน้องกิ๊บหรอกค่ะ แต่เค้าคือป้าพลอยชมพู”
ทุกคนหันไปมองเจติยาด้วยสายตางุนงง
นิษฐางง “อะไรของแก”
เจติยาหันไปพูดกับชมพูนุช “ผู้หญิงคนนี้มีอาการทางจิตขั้นรุนแรงมีสองบุคลิกในคนๆเดียว คนนึงเรียบร้อยใจดี ก็คือคุณชมพูนุช แต่อีกคนโหดร้ายเจ้าอารมณ์ ก็คือพลอยชมพู และคุณพลอยชมพูนี่ล่ะค่ะ ที่เป็นคนฆ่าน้องกอล์ฟ”
ชมพูนุชมีบุคลิกพลอยชมพู และหัวเราะสะใจ “เก่งจริงนะที่รู้ได้ถึงขนาดนี้ แต่ความจริง ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฆ่าไอ้เด็กบ้านั่นหรอกนะ แค่ตีมันแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง”
ธีรัชตกใจสุดๆ “นุช นี่คุณฆ่าลูกจริงๆเหรอ”
ชมพูนุชตวาดแว๊ด “มันไม่ใช่ลูกฉัน ก็แค่เด็กที่อาศัยท้องชมพูนุชเกิดเท่านั้นแหละ แล้วรู้มั้ย ว่ามันทำให้ชีวิตของชมพูนุชต้องลำบากแค่ไหน ฉันถึงต้องปกป้องเค้ายังไงล่ะ”
“เค้าไม่รับรู้อะไรหรอกค่ะคุณธีรัช ตอนนี้เค้าคิดว่าเค้ากับภรรยาคุณเป็นคนละคนกัน” เจติยาหันไปพูดกับนวัช “รีบจับตัวเร็วๆ เลยค่ะพี่ คนๆนี้ต้องได้รับการรักษาโดยด่วนที่สุด”
นวัชจะเข้าไปจับ ชมพูนุชรีบอุ้มเด็กขึ้นมาทันที
ชมพูนุชที่มีบุคลิกพลอยชมพูตะคอก “เข้ามาเลย ฉันจะได้ฆ่านังเด็กนี่ก่อน แน่จริง ก็เข้ามาสิ”
นวัชชะงักและไม่กล้าเข้าไปแย่งตัวเด็ก น้องกิ๊บร้องไห้ลั่นด้วยความกลัว
“ถึงคุณจะไม่คิดว่าน้องกิ๊บเป็นลูก แต่เค้าก็เป็นเด็กนะคะ น้องเค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย” นิษฐาว่า
“ถึงไม่รู้เรื่อง มันก็เกิดมาแล้ว ถ้ามันไม่เกิดมา ชีวิตของชมพูนุชก็ต้องไปไกลกว่านี้” ชมพูนุชส่ายหน้า “เพราะฉะนั้น ฉันต้องฆ่ามัน”
ชมพูนุชทำท่าจะบีบคอเด็ก ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ทันใดนั้น มือของชมพูนุชก็ชะงักค้างไว้ไม่สามารถบีบลงมาได้
ชมพูนุชบุคลิกพลอยชมพูโมโหมาก “นี่เธอ เธอคิดจะขวางฉันเหรอ”
ชมพูนุชบุคลิกชมพูนุชพูด “ฉันไม่ยอมให้เธอทำร้ายลูกฉันเด็ดขาด”
ทุกคนพากันตกใจ เมื่อเห็นบุคลิกทั้งสองกำลังสู้กัน
ชมพูนุชบุคลิกพลอยชมพูว่า “ฉันทำเพื่อปกป้องเธอนะ เธอควรจะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าเธอไม่โง่แต่งงานกับ” เธอจ้องหน้าธีรัช “ไอ้คนไร้อนาคตอย่างมัน” เธอทำสีหน้าเกลียดชัง “แล้วก็มีไอ้เด็กเปรตพวกนี้คอยเกะกะขวางทาง”
ชมพูนุชบุคลิกชมพูนุชร้องไห้ “ไม่จริง ทั้งหมดเป็นความผิดฉันเอง ถึงธีจะด้อยกว่าฉัน แต่เค้าก็เป็นสามีที่ดี ฉันรักเค้า แล้วก็รักลูกของฉันทุกคน”
ชมพูนุชบุคลิกพลอยชมพูตะคอก “ไม่จริง พวกมันทำลายชีวิตเธอ แต่เธอมันอ่อนแอ ไม่กล้ายอมรับความจริง ฉันถึงต้องช่วยเธออยู่นี่ไงล่ะ”
ชมพูนุชบุคลิกชมพูนุชร้องไห้ “พอได้แล้ว เธอไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” เธอหันไปพูดกับธีรัช “ฝากลูกด้วยนะคะคุณ กอล์ฟ แม่ขอโทษ”
พูดจบชมพูนุชก็ทำท่ากระชากขัดขืนอยู่คนเดียวแล้วผลักน้องกิ๊บออกไป ธีรัชรีบเข้าไปรับตัวลูกทันที
โดยไม่ทันคาดคิด ชมพูนุชพุ่งตัวเข้าใส่ตู้โชว์กระจกจนแตกกระจาย กระจกที่แตกบาดเข้าเส้นเลือดใหญ่ที่คอชมพูนุช
ทุกคนตกใจเพราะนึกไม่ถึง ธีรัชรีบปิดตาลูกไว้ทันทีเพื่อไม่ให้เห็นภาพที่น่าหวาดกลัว
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจติยานั่งอยู่กับนิษฐาและน้องกิ๊บ ชั่วอึดใจ นวัชกับธีรัชก็เดินออกมามาจากข้างใน
“กิ๊บ กลับบ้านได้แล้วลูก” ธีรัชบอก
“แล้วแม่ล่ะคะ แม่ไม่กลับด้วยเหรอ” กิ๊บถาม
ทุกคนอึ้งๆไปเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
เจติยายิ้มบางๆ แล้วคุยกับกิ๊บ “แม่หนูไม่ได้กลับไปด้วยหรอกค่ะ แต่กำลังรอหนูอยู่บนสวรรค์ น้องกิ๊บต้องเป็นเด็กดีนะคะ เพราะคุณแม่กำลังมองดูน้องกิ๊บอยู่จากข้างบนโน้น” เจติยาชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน
กิ๊บมีสีหน้าคิดตาม
“ใช่ค่ะ แล้วน้องกิ๊บก็ต้องภูมิใจให้มากๆนะคะ เพราะคุณแม่ยอมทำทุกอย่าง เพื่อปกป้องน้องกิ๊บไว้ คุณแม่รักน้องกิ๊บมากนะคะ”
กิ๊บพยักหน้ารับ
ธีรัชถอนใจแล้วหันไปพูดกับนวัช “ขอบคุณพวกคุณทุกคนมากนะครับ”
นวัชหน้าเศร้าลงเพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน “ความจริง ผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าผมจับตัวคุณชมพูนุชไว้ทัน เธอก็คงไม่ต้องตาย”
“แต่ผมว่านุชเค้าเลือกทางนี้มากกว่าครับ ในเมื่อพลอยชมพูเป็นส่วนหนึ่งของเค้า แล้วเค้าก็ไม่มีทางกำจัดเธอไปได้ ก็มีแต่ต้องตายไปพร้อมกันเท่านั้นล่ะครับ” ธีรัชถอนใจออกมา
เจติยาหน้าขรึมไปเพราะตนเองก็หดหู่ใจกับเรื่องนี้เช่นกัน
ชมพูนุชจูงมือน้องกอล์ฟคุยกับเจติยาอยู่ที่มุมหนึ่ง
ชมพูนุชยิ้มแย้ม “ธีเค้าพูดถูกแล้วล่ะค่ะ มันเป็นความต้องการของฉันเอง”
“แต่คุณไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นะคะ อาการของคุณอาจจะรักษาหายก็ได้” เจติยาบอก
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ฉันรู้ดี เพราะเค้าก็คือด้านมืดของฉัน มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ที่กำจัดเค้าไปได้” ชมพูนุชหันไปมองลูกหน้าเศร้าๆ “แล้วฉันก็อยากไถ่โทษเรื่องกอล์ฟด้วย”
กอล์ฟเงยหน้ามองแม่แล้วถามอย่างกลัวๆ “ต่อไปนี้ จะไม่มีป้าพลอยชมพูอีกแล้วใช่มั้ยครับแม่”
ชมพูนุชยิ้มบางๆ “ไม่มีแล้วจ้ะ จะมีแค่ลูกกับแม่เท่านั้น” ชมพูนุชหันไปพูดกับเจติยา “ฉันต้องไปก่อนนะคะ ขอบคุณมาก สำหรับทุกอย่าง”
เจติยายิ้มรับ “โชคดีค่ะ”
ชมพูนุชทำท่าจะเดินจากไปแต่กอล์ฟรีบดึงมือแม่ไว้
กอล์ฟมองหน้าเจติยานิ่ง “อีกสองครั้ง พี่ก็จะชำระเหรียญจนหมด ระวังตัวนะครับ เค้าไม่ยอมพี่ง่ายๆ แน่”
เจติยาอึ้งไป กอล์ฟกับชมพูนุชเดินจูงมือกันก่อนจะเลือนหายไป โดยก่อนจะเลือนหายกอล์ฟก็ยังหันมองเจติยาด้วยความเป็นห่วง เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเพราะรู้ว่ากสิณกับพิมพ์อรไม่ปล่อยตนไว้แน่
ใบหน้าสวยงามของกสิณค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่น ผมขาวหงอกโพลน หน้าย่นดูน่าสะพรึงกลัว กสิณทรุดร่วงลงคุกเข่ากับพื้นเหมือนคนแก่ที่หมดแรง ท่ามกลางความตกใจของพิมพ์อร
พิมพ์อรตกใจมาก “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
กสิณพูดเป็นเสียงคนแก่ “นี่คือผลจากการชำระเหรียญของเจติยา อีกสองครั้งเท่านั้น เหรียญของเจติยาก็จะหมดสิ้นพลัง ใช้สร้างกล่องรากบุญอีกไม่ได้”
พิมพ์อรมีสีหน้าตกใจมาก
กสิณเงยหน้ามองพิมพ์อร “ถึงฉันจะยังอยู่กับเธอ แต่ก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับใช้เธอได้อีกแล้ว”
พิมพ์อรร้อนใจมาก “แต่ฉันก็ขอพรเพิ่มพลังให้เธอแล้วนี่”
“มันไม่พออีกแล้วพิมพ์อร เว้นแต่...”
พิมพ์อรร้อนใจ “เว้นแต่อะไร”
“อยุทธ์จะขอพรเหรียญของเค้ามากกว่านี้ ถึงจะช่วยเสริมพลังให้ฉันได้”
พิมพ์อรมีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะมีสีหน้ามั่นใจ “ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้ เธอไม่ต้องกลัวนะกสิณ”
พิมพ์อรมีสีหน้าแววตาแข็งกร้าวว่าถึงยังไงก็ต้องช่วยรักษากสิณเอาไว้ให้ได้
เช้าวันใหม่ พิมพ์อรเปิดประตูเดินนำอยุทธ์เข้ามาในห้องนอนของวนันต์ พอเข้ามาก็เห็นวนันต์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
“คุณพ่อยังไม่ตื่นเลย พี่อรจะพาผมเข้ามาทำไม” อยุทธ์ถาม
“เพราะพี่อยากให้เธอเห็นสภาพคุณพ่อน่ะสิ” พิมพ์อรจับมือพ่อไว้ด้วยสีหน้าเศร้าๆ “อยุทธ์ คุณพ่อจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแล้วนะ”
อยุทธ์ตกใจมากจึงมองพ่อด้วยความเป็นห่วง
พิมพ์อรหันมาจ้องหน้าอยุทธ์ “เธอรู้มั้ยที่พี่เกลียดเธอ ก็เพราะเธอทิ้งพวกเราไป ในเวลาที่พี่ต้องการเธอที่สุด”
อยุทธ์รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
พิมพ์อรลุกขึ้นยืนมาเผชิญหน้ากับอยุทธ์ “เธอเป็นต้นเหตุทำให้พี่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย” พิมพ์อรมีสีหน้าเจ็บช้ำและน้ำตารื้น “แต่แทนที่คุณพ่อจะโกรธเธอ คุณพ่อกลับคิดถึงเธออยู่ทุกวัน ทุกเวลา” พิมพ์อรน้ำตาเอ่อขึ้นมาท่วมตา “นั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้พี่เกลียดเธอมากที่สุด”
อยุทธ์สีหน้าเศร้าลง “ผมยอมรับผิดทั้งหมดครับ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ วันนั้นผมจะไม่เดินออกไปจากบ้านเด็ดขาด”
พิมพ์อรพูดทั้งน้ำตา “ถ้าเธอสำนึกผิดจริง พี่ขอเธออย่างเดียวก็พอ”
พิมพ์อรทำท่าเหมือนจะคุกเข่าลง
อยุทธ์ตกใจจึงรีบประคองพิมพ์อรไว้ไม่ให้คุกเข่า “พี่อรจะทำอะไร”
พิมพ์อรพูดทั้งน้ำตา “พี่จะกราบขอร้องเธอ พี่ยอมทำทุกอย่าง ขอแค่เธอยอมช่วยชีวิตคุณพ่อเท่านั้น”พิมพ์อรน้ำตาไหลออกมา
อยุทธ์มีสีหน้าลำบากใจ
พิมพ์อรมองหน้าน้องชายนิ่ง “อยุทธ์ มีแต่กล่องรากบุญเท่านั้นที่จะช่วยคุณพ่อได้ แล้วก็มีแต่เธอเท่านั้น ที่จะช่วยพี่รวบรวมเหรียญได้”
“แต่ผม...”
พิมพ์อรพูดสวนขึ้น “อย่าพูดเหมือนเจติยาอีกคนนะอยุทธ์ ดูคุณพ่อสิดูให้ชัดๆ แล้วถามใจตัวเอง ว่าเธอทนเห็นคุณพ่อต้องตายต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่เธอสามารถช่วยได้ จริงรึเปล่า”
อยุทธ์ค่อยๆหันไปมองวนันต์ อยุทธ์เห็นวนันต์หลับสนิท แม้กระทั่งพวกตนคุยกันขนาดนี้ วนันต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น อยุทธ์มีสีหน้าเคร่งเครียดและลังเลสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พิมพ์อรจับตามองอยุทธ์ด้วยสีหน้าลุ้นๆ อย่างแอบมีความหวังว่าจะโน้มน้าวน้องชายได้
อยุทธ์ยืนอยู่ที่ระเบียงด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เขาคิดถึงสิ่งที่พี่สาวพูดแล้วก็อดลังเลไม่ได้ ขณะนั้น ชาครก็เดินเข้ามาหาอยุทธ์
“คุณจะกลับเลยรึเปล่า ผมจะให้คนไปส่ง” ชาครถาม
“ไม่ ฉันจะรอคุณพ่อตื่นก่อนแล้วค่อยกลับ” อยุทธ์บอก
ชาครพยักหน้ารับแล้วจะเดินกลับไป
อยุทธ์พูดตามหลัง “พี่อรบอกว่านายหันไปอยู่ข้างคุณเจแล้วเหรอ”
ชาครหันกลับมาคุย “ผมไม่มีทางอยู่ข้างใครทั้งนั้น นอกจากข้างคุณท่านกับคุณอร แต่ที่ผมทำไป เพราะเป็นความต้องการ ของคุณท่าน คุณท่านต้องการจากไปอย่างสงบ โดยไม่ ต้องการให้คุณอรตกเป็นทาสเหรียญอีก”
“แปลก” อยุทธ์ว่า “ฉันเห็นนายทำตามคำสั่งพี่อรทุกอย่างเหมือนหุ่นยนต์ ไม่คิดเลย ว่าจะมีวันที่นายกล้าขัดคำสั่งพี่อรได้”
“ผมทำเพื่อคุณอร ถ้าเราหวังดีกับใครซักคนนึงจริงๆ เราต้องอยากเห็นเค้าทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ไม่ใช่ตามใจทุกเรื่อง คุณมีอะไรจะคุยกับผมอีกมั้ย”
อยุทธ์คิดตามที่ชาครพูดก่อนตอบหน้านิ่งๆ “ไม่มี”
ชาครเดินเลี่ยงไป อยุทธ์ถอนหายใจหนักๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เขาได้แต่ดึงสร้อยที่ห้องเหรียญออกมาจากคอแล้วจับเหรียญที่ห้อยคอตนไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจติยากำลังคุยโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าดีอกดีใจ โดยมีนทีนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ
เจติยาดีใจมาก “จริงเหรอคะคุณต้น มีคนสนใจจริงๆเหรอคะ”
ลาภิณคุยมือถือด้วยความดีใจเช่นกัน
ลาภิณดีใจสุดๆ “จริงสิเจ บริษัทของคุณภาณุเค้ายังไม่ใหญ่มาก เลยต้องการชื่อเสียงเพื่อต่อยอดมากกว่ากำไร เค้าก็เลยสนใจจะรับงานต่อ เออเจ วันนี้คุณภาณุเค้าจะมาคุยรายละเอียดที่บ้าน เจช่วยบอกเด็กให้ทำอาหารเลี้ยงเค้าหน่อยสิ”
เจติยาดีใจมาก “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวเจลงมือเองดีกว่า จะมากี่โมงคะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย “ได้ค่ะ เจจะทำสุดฝีมือเลย” เจติยาฟัง “ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ”
เจติยากดวางสาย
“ใครจะมาเหรอพี่เจ” นทีถาม
เจติยาดีใจมาก “คุณต้นหาคนที่จะมารับงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวเค้าจะมาคุยงานกันที่บ้านตอนทุ่มนึง”
นทีดีใจมาก “งั้นพี่ต้นก็รอดแล้วสิพี่เจ” นทีนึกขึ้นได้ “เอ้อ แต่วันนี้หมอนัดพี่ไม่ใช่เหรอ”
เจติยาชะงักไปเพราะลืมสนิท แต่เธอก็ตัดใจ “ไม่เป็นไร เลื่อนออกไปก่อนก็ได้ ช่วยคุณต้นรับแขกสำคัญกว่า”
“ผมช่วยพี่เอง”
“งั้นรีบตามมาเลยเดี๋ยวไม่ทัน”
เจติยาและนทียิ้มแย้มสบายใจขึ้นก่อนจะเดินกอดคอกันเข้าครัว
อยุทธ์กำลังเข็นรถพาวนันต์เดินเล่นในสวนช้าๆ โดยมีชาครเดินตามมา
“ช่วงนี้ดูคุณพ่ออ่อนเพลียมากเลยนะครับ นอนวันนึงตั้งหลายชั่วโมง ตื่นแป๊บเดียวแล้วก็นอนต่ออีกแล้ว” อยุทธ์ว่า
วนันต์ยิ้มบางๆ “เวลาของพ่อคงใกล้หมดแล้วล่ะ ร่างกายคงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการหลับยาว”
อยุทธ์หน้าเสีย “อย่าพูดแบบนี้สิครับพ่อ พวกเราใจเสียหมด”
วนันต์ยิ้มๆ “ใจเสียทำไม ทำใจดีกว่า...” วนันต์ถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ “ไม่มีพ่อซักคน ก็คงแยกพี่เราจากไอ้ผีนรกนั่นได้ง่ายขึ้น”
อยุทธ์หน้าขรึมลงเพราะไม่สบายใจเรื่องนี้เลย
“ชาครบอกพ่อว่า พี่เค้าตามเรามาคุยเรื่องพ่อใช่มั้ย” วนันต์ถาม
“ครับ”
“เค้าคงจะเกลี้ยกล่อมให้เราสร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่ล่ะสิ”
อยุทธ์พยักหน้ารับ
วนันต์เสียงแข็งแล้วพูดจริงจัง “อย่าทำเชียวนะอยุทธ์”
อยุทธ์หน้าเครียด “ผมลำบากใจมากนะครับพ่อ ที่ต้องทนเห็นพ่อต้องตายไปต่อหน้า ทั้งที่ผมช่วยได้”
ชาครสวนทันที “แล้วคนเป็นพ่อไม่ลำบากใจเหรอครับ ที่ต้องทนเห็นลูกเดินทางผิด ทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ”
อยุทธ์เหลือบตามองชาคร
“ชาครพูดถูกแล้ว เค้าก็เคยเป็นเหมือนลูกนะอยุทธ์ แต่วันนึงเค้าก็เข้าใจ ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร”
“ไม่เหมือนกันหรอกครับ” อยุทธ์หันไปมองหน้าชาคร “ถึงชาครจะรักเคารพคุณพ่อมากขนาดไหน แต่เค้าก็ไม่ใช่ลูก”
ชาครยิ้มเยาะ “แต่ผมก็ไม่เคยสร้างความลำบากใจ หรือว่าทิ้งคุณท่านไปแม้แต่นาทีเดียวนะครับ”
ทั้งคู่จ้องหน้ากัน อยุทธ์มีสีหน้าบึ้งตึงเพราะเขาไม่ชอบชาครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ชอบกันมากขึ้นทุกที
วนันต์เห็นท่าไม่ดีก็ช่วยตัดบท “พ่ออยากเข้าข้างในแล้ว”
“ครับพ่อ” อยุทธ์เข็นรถเข็นพาวนันต์กลับไปพร้อมเหล่มองชาครแบบเขม่นๆ
ชาครจับตามองตามอยุทธ์ด้วยสีหน้าหนักใจเพราะไม่รู้ว่าอยุทธ์จะตัดสินใจยังไง
พิมพ์อรกำลังเซ็นเอกสาร พอเซ็นเสร็จเธอก็หยิบแฟ้มเอกสารอีกอันมาเปิดอ่าน แต่พอเปิดออกก็เห็นเอกสารเปื้อนเลือด พิมพ์อรตกใจสุดตัวจึงปัดแฟ้มทิ้งกระเด็นไปจากโต๊ะ แฟ้มลอยไปตกที่ใกล้เท้าใครบางคน แล้วเลือดก็ค่อยๆ หยดลงที่แฟ้มทีละหยดๆ
พิมพ์อรค่อยๆ เลื่อนสายตามองสูงขึ้นเพื่อดูหน้าก็ปรากฎว่าเป็นร่างของสิทธิพรแต่ไม่มีหัว พิมพ์อรกรีดร้องสนั่นก่อนจะลุกพรวดจากเก้าอี้เพื่อจะหนีออกจากห้อง โดยไม่คาดคิดก็มีขาผู้ชายยื่นมาขวางทางตรงมุมโต๊ะทำงาน พิมพ์อรสะดุดล้มไปนอนกับพื้นโดยมีหัวสิทธิพรตั้งอยู่กับพื้นรอรับสายตาพิมพ์อรอย่างพอเหมาะพอเจาะ พิมพ์อรแผดเสียงร้องกลัวสุดขีดก่อนจะวิ่งหนีออกจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต
อยุทธ์เข็นรถพาวนันต์เข้ามาในบ้าน โดยมีชาครเดินตามเข้ามา ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของพิมพ์อรดังขึ้น พร้อมกับเห็นพิมพ์อรวิ่งหนีออกมา
ชาครตกใจ “คุณอร”
ชาครรีบเข้าไปช่วยพิมพ์อรทันที
แต่ก่อนที่ชาครจะถึงตัวพิมพ์อร แจกันใบใหญ่ก็ลอยเข้ากระแทกศีรษะชาครจนแตกละเอียด ตัวชาครถูกกระแทกจนมึนแล้วล้มลงกับพื้น เศษแจกันปลายแหลมที่แตกออก ลอยขึ้นแล้วหันปลายแหลมไปทางพิมพ์อรทันที
วนันต์ตกใจมาก “ลูกอร ระวัง”
อยุทธ์จับไปที่เหรียญที่คล้องคอตนทันทีพร้อมกับมีควันสีดำลอยออกมาจากเหรียญ
กสิณนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นในสภาพผมขาวหงอกโพลน หนังเหี่ยวย่น เหมือนคนแก่ ทันใดนั้นก็มีควันดำลอยขึ้นรอบตัวกสิณ พร้อมกับที่ผมเผ้า ใบหน้ากสิณ คืนสู่ความสาวและสวยงามอีกครั้ง กสิณเงยหน้าขึ้นมา ในสภาพดวงตาแดงฉานเหมือนสีเลือดไม่มีผิด
เศษแจกันปลายแหลมพุ่งเข้าใส่พิมพ์อรทันที พิมพ์อรกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจสุดขีด ทันใดนั้น เศษแจกันก็หยุดค้างกลางอากาศห่างจากพิมพ์อรเพียงแค่ฝ่ามือกั้น กสิณเดินออกมาจากด้านหลังของพิมพ์อร
กสิณยิ้มแย้ม “เก่งกว่าที่ฉันคิดนะสิทธิพร”
วิญญาณสิทธิพรปรากฏตัวออกมาด้วยความเคียดแค้นสุดๆ “ไอ้ผีนรก”
สิทธิพรจะเข้าไปลุยกสิณ ทันใดนั้นก็เกิดกำแพงไฟขวางหน้าแล้วตั้งท่าจะลุกลามใส่ตัวสิทธิพร วิญญาณสิทธิพรรีบจางหายไปก่อนจะถูกเผาไหม้ พิมพ์อรหวาดกลัวมากจึงรีบไปหลบหลังกสิณ
วนันต์หันไปมองอยุทธ์ด้วยความผิดหวังสุดๆ “อยุทธ์ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
อยุทธ์หน้าขรึมลงเพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน “แต่ถ้าผมไม่ทำ พี่อรอาจจะเป็นอันตรายก็ได้นะครับ”
วนันต์หน้าเศร้าลง เพราะในที่สุดลูกชายที่เป็นความหวังของเขาก็ค่อยๆถลำลงไปทีละน้อย กสิณยิ้มสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนต้องการ ขณะที่พิมพ์อรเข่าอ่อนทรุดลงนั่งหลับตาตั้งสติหลังจากผ่านเหตุการณ์น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดมา
พิมพ์อรเดินนำอยุทธ์มาตามสนามพร้อมกับคุยกันมาด้วย
“คุณพ่อเป็นคนหัวเก่า ไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำอยู่หรอก” พิมพ์อรหยุดเดินแล้วหันไปมองอยุทธ์ “แต่เธอเชื่อพี่นะอยุทธ์ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด”
อยุทธ์ถอนหายใจหนักๆ ออกมาอย่างหนักใจ “ผมก็พยายามจะคิดอย่างนั้นนะพี่ แต่พี่เห็นสายตาที่คุณพ่อมองพวกเรามั้ย คุณพ่อผิดหวังกับสิ่งที่ผมทำมาก ท่านคงกลัวว่าซักวันเราสองคนจะเดินซ้ำรอยท่าน” อยุทธ์มีสีหน้าไม่สบายใจ
“โอ.เค. พี่ยอมรับ ว่าพี่อาจจะใช้เหรียญไปในทางที่คุณพ่อไม่ชอบ แต่เธอไม่ใช่” พิมพ์อรจ้องหน้าอยุทธ์ด้วยสีหน้าแววตาให้กำลังใจ “เธอใช้เหรียญเพื่อช่วยคนอื่น ไม่ได้ใช้เพื่อตัวเองเลย แล้วจะผิดได้ยังไง”
อยุทธ์เน้นย้ำอย่างเข้าใจวนันต์ “แต่คุณพ่อไม่ต้องการให้เรายุ่งเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะใช้ถูกใช้ผิดใช้ดีใช้เลว”
พิมพ์อรพูดสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอแค่สร้างกล่องรากบุญเพื่อช่วยคุณพ่อ แล้วหลังจากนั้น พี่จะทำลายมันทิ้ง ถ้าเป็นอย่างนี้ เธอจะยอมช่วยพี่มั้ยล่ะ” พิมพ์อรทำสีหน้ามีความหวังขึ้นมา
อยุทธ์มีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันที
“ว่ายังไงอยุทธ์”
อยุทธ์ลังเลเพราะลำบากใจมาก
พิมพ์อรรีบรุกต่อเมื่อเห็นอยุทธ์ลังเล “พี่ให้สัญญา ถ้าพี่ช่วยพ่อได้ พี่จะทำลายกล่องรากบุญทิ้งทันที”
อยุทธ์นิ่งไปอย่างใช้ความคิดโดยดูโน้มเอียงไปตามคำขอของพิมพ์อร พิมพ์อรมีสีหน้าลุ้นๆ เพราะอยากเปลี่ยนใจน้องชายให้ได้
ลาภิณเดินนำภาณุกับภาณุวัฒน์ลูกชายเข้ามาในห้องอาหาร โดยมีเจติยากับนทีจัดอาหารเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย
ลาภิณยิ้มแย้มแล้วแนะนำ “คุณภาณุครับ นี่เจภรรยาผมครับ ส่วนนี่นที น้องชายของเจ”
เจติยากับนทียกมือไหว้ยิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ”
ภาณุรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะแนะนำ “นี่ภาณุวัฒน์ลูกชายผมเอง”
ภาณุวัฒน์ยิ้มแย้มแล้วยกมือไหว้เจติยา เจติยารับไหว้
ภาณุมองนที “ท่าทางจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องชายคุณเจนะครับ”
ภาณุวัฒน์หันไปส่งยิ้มทักทายนที นทียิ้มรับ
ลาภิณยิ้มแย้ม “เดี๋ยวเรากินอาหารเย็นกันก่อนนะครับคุณภาณุแล้วค่อยคุยเรื่องงานกัน”
“ได้ครับ”
เจติยายิ้มแย้ม “เชิญค่ะ”
ลาภิณเดินนำทุกคนไปที่โต๊ะอาหาร โดยมีคนรับใช้คอยดูแล นทีผายมือเชิญภาณุวัฒน์พร้อมยิ้มให้ตามมารยาทเจ้าของบ้าน ภาณุวัฒน์เดินตามทุกคนเข้าไป แต่ก็แอบเหล่มองนทีเล็กน้อยโดยรู้สึกถูกชะตานทีแต่แรกเห็น
ภาณุกำลังอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการของสิทธิพรอยู่ โดยมีลาภิณนั่งคุยงานอยู่ด้วย
ภาณุมีสีหน้าหนักใจ “ไม่น่าล่ะ ถึงไม่มีใครอยากรับทำโครงการนี้ คุณสิทธิพรเล่นเบิกเงินไปบางส่วนแล้ว”
“เพื่อนผมขยายงานเร็วเกินไปน่ะครับ ก็เลยต้องหมุนเงินแหลกลาญ พอตายกระทันหันขึ้นมา ทุกอย่างก็เลยล้มเป็นโดมิโน่”
“ดูเหมือนว่าถ้าผมรับงานนี้ จะเหลือเงินน้อยกว่าที่คิดอีกนะ ครับ เผลอๆอาจจะเหนื่อยฟรีด้วยซ้ำ”
ลาภิณหน้าเสียเพราะกลัวภาณุจะไม่รับงาน
ภาณุยิ้มแย้ม “แต่ผมก็ยังสนใจอยู่ดี เพราะถ้าทำสำเร็จ บริษัทผมคงได้เครดิตมากจากงานนี้”
ลาภิณยิ้มดีใจและมีความหวังขึ้นมา
โดยไม่คาดคิด ขณะนั้น กสิณก็เดินออกมาโอบบ่าภาณุไว้ก่อนจะก้มลงกระซิบกระซาบข้างหูภาณุ ภาณุโดนสะกดจิต “ขอโทษนะ ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
ลาภิณตกใจมากและงงสุดๆ “อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ผมไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลคุณ แต่ผมไม่ทำแล้ว”
ลาภิณงงไปหมดโดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กสิณยิ้มเยาะด้วยความสะใจเพราะลาภิณไม่มีทางเอาชนะตนได้ง่ายๆ
นทีกำลังล้างจานอยู่ คนรับใช้เก็บถ้วยกาแฟที่กินแล้วเข้ามาให้นที
“เดี๋ยวหนูล้างเองค่ะ คุณนที”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยช่วยแม่ล้างที่ร้านประจำ แค่นี้เรื่องเล็กจะเสร็จอยู่แล้ว เธอไปพักเถอะ”
“ขอบคุณค่ะคุณนที” คนรับใช้เดินเลี่ยงออกไป
คนรับใช้เดินสวนกับภาณุวัฒน์ที่เดินถือถ้วยกาแฟเข้ามา
นทีหันไปเห็นภาณุวัฒน์ “วางตรงนั้นเลยครับคุณ เดี๋ยวผมล้างเอง”
ภาณุวัฒน์วางถ้วยตามที่นทีบอก “ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เราอายุเท่ากัน เรียกวัฒน์เฉยๆก็ได้” ภานุวัฒน์เดินมายืนพิงเคาท์เตอร์แล้วกอดอกคุยด้วย “นทีเรียนอะไรอยู่เหรอ”
นทีล้างถ้วยชามไปตอบไป “เรียนปวส. กะว่าจบแล้วค่อยไปต่อปริญญาตรี แล้ววัฒน์ล่ะ”
“วิศวะโยธา”
นทียิ้มแย้ม “โอ้โห เท่ระเบิด”
ภาณุวัฒน์ทำหน้าเซ็งๆ “เราไม่ได้อยากเรียนหรอก เราอยากเป็นผู้กำกับหนังมากกว่า”
นทีเสริมสวนไปเหมือนเดาได้ “แต่พ่อไม่ยอม”
ภาณุวัฒน์ยักไหล่ “ใช่ พ่ออยากให้เราเรียนวิศวะ จะได้มาช่วยงานที่บริษัทพ่อ” ภานุวัฒน์มีสีหน้าเซ็งๆเศร้าๆ
นทีชำเลืองมองก็เห็นภาณุวัฒน์สีหน้าเศร้าๆ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้เศร้าจึงถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วชอบดูหนังแนวไหนล่ะ”
“ก็ได้ทุกแนว”
“คอบอลรึเปล่า” นทีมีสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจก่อนจะตบอก “เราเด็กผี”
ภาณุวัฒน์ยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือมาเชคแฮนด์
“เฮ้ย จริงอ้ะ”
ภาณุวัฒน์ยักคิ้วให้
นทีเชคแฮนด์ด้วยแล้วก็ยิ้มชอบใจ “เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์และ”
ภาณุวัฒน์จับมือเชคแฮนด์ไม่ปล่อย “ไว้ไปเชียร์ด้วยกัน เรามีผับประจำ”
นทีปล่อยมือ “ได้เลย” นทีหันไปล้างจานต่อ
ภาณุวัฒน์หยิบมือถือขึ้นมา “เฮ้ย ขอเบอร์หน่อยสิ จะได้นัดกัน”
นทีล้างจานต่อไปพร้อมพูด “เดี๋ยวยิงเข้ามือถือเราด้วย” นทีล้างจานไปพร้อมบอกเบอร์
ภาณุวัฒน์เมมเบอร์นทีลงเครื่องพร้อมกับแอบชำเลืองมองนทีแล้วยิ้มแบบแอบปลื้มอยู่อย่างชัดเจน
อ่านต่อตอนที่ 11