อย่าลืมฉัน ตอนที่ 10
เขมชาติ กับเกนหลงนั่งคุยกันอยู่ภายในสวนสวย
“คุณเอื้อมาหุ้นทำโรงแรมกับคุณเกน เริ่มงานเมื่อไหร่?”
“ทันทีค่ะ ตอนนี้คุณพ่อกำลังตกลงเรื่องการบริหารและการลงทุนกับทางคุณอัมพิกา และ คุณ
อรทัย”
“เรื่องลงทุนผมเห็นด้วย รัตนชาติมีคอนเนคชั่นที่แข็งแรง แต่ผมขออย่างเดียว เวลาทำงานกรุณา
อย่าอยู่กับคุณเอื้อ สองต่อสอง ผมหวง”
เขมชาติพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เกนหลงมอง แล้วยิ้ม
“แล้วถ้าเกนตั้งกฎนี้บ้างล่ะคะ เวลาทำงานห้ามเขมอยู่กับผู้หญิงอื่นสองต่อสอง เช่น ห้ามอยู่กับ
คุณสุสองต่อสอง เขมจะยอมหรือเปล่า?”
เขมชาติรู้สึกเหมือนโดนธนูปักหลังที่หวะอยู่ แล้วก็ยิ้มกลบเกลื่อน
“โธ่ มันไม่เหมือนกัน คนนั้นน่ะ เขาแม่หม้ายลูกสอง ผมไม่สนหรอกครับ แต่คุณเอื้อทั้งหล่อ ทั้งรวย
ทั้งโสด ผมมีสิทธิ์ที่จะระแวง”
“เขมคะ เกนไว้ใจคุณมาตลอดไม่เคยหึงไม่ว่าคุณจะอยู่กับใคร เกนถามคำเดียว คุณไว้ใจเกน
หรือเปล่าคะ?”
เกนหลงยิงคำถามตรงๆ แต่สะกิดใจเขมชาติ จนถึงกับสะอึก
“เล่นไม้นี้ ผมก็ต้องตอบว่าไว้ใจสิครับ ทั้งไว้ใจ ทั้งเชื่อใจ ทั้งเทิดทูน”
เขมชาติเอื้อมมือไปกุมมือเกนหลง
“ตอนแรกๆก็ฟังดูดี หลังๆเว่อร์ไปนะคะ”
“ผมพูดจริงๆนะ ผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่างอย่างคุณ จะหาผู้ชายที่เพอร์เฟคแค่ไหนก็ได้ แต่คุณ
กลับให้โอกาสผู้ชายบ้านๆ ดินๆ อย่างผมได้พิสูจน์ตัวเอง. ผู้หญิงอย่างคุณถ้าเจอแล้วปล่อยให้หลุดมือ ควรไปฆ่า
ตัวตาย”
เกนหลงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ถ้าคุณปล่อยเกนหลุดมือจริงๆ อย่าลืมทำตามที่พูดนะคะ”
เขมชาติยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่ลืม และไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือแน่ๆไม่ว่าผมจะเคยผ่าน ผู้หญิงมาสักกี่คน แต่คุณคือคนดี
คนที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด”
เกนหลงมองเขมชาติด้วยความซึ้งใจ เขมชาติพูดต่ออ้อนๆ
“เพราะฉะนั้นเห็นแก่ความมุ่งมั่นของผม อย่าอยู่กับคุณเอื้อสองต่อสอง”
เกนหลง ถึงกับหลุดขำ ที่โดนหลอกเข้าเรื่องนี้จนได้ พลางยื่นมือไปบีบจมูกเขมชาติเบาๆ
“ เจ้าเล่ห์ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแบบนี้มีผู้หญิงโดนหลอกมากี่คนแล้วคะ”
เขมชาติสะอึก วูบนั้นก็นึกถึงสุริยงขึ้นมาทันที พลางยิ้มร้ายนิดๆแทนคำตอบ
สุริยงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆไก่กับไข่ พลางลูบผมลูกชายฝาแฝดด้วยความรัก ยามนี้ใบหน้าของ
สุริยงดูอ่อนเยาว์ และผ่อนคลายมากขึ้น พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ
สุริยงก้มมองลูกๆแล้วก็คิดถึงสิ่งที่เจ้าสัวเคยพูด
“หนูเล็กรู้มั้ย ว่าทำไมฉันถึงเลือกหนูมาเป็นแม่ของไก่ ไข่”
คุณชวลิตเอ่ยถามสุริยง
“ไม่ทราบค่ะ”
“เพราะหนูเป็นคนหนักแน่น ฉันเคยลองใจมาหลายครั้งแล้ว แม่หนูเล็กเป็นคนกตัญญูกับผู้มี
พระคุณแล้ว แม้แต่ชีวิตหนูก็ยอมแลกได้ คนรุ่นฉันเขาเรียกว่า คนหัวใจทองคำ”
สุริยงฟังแล้ว แทนที่จะดีใจ หากกลับเศร้า
“แต่กับบางคน เขาอาจจะเห็นหนูเล็กเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรี เป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจ”
คุณชวลิต หันมา “จำไว้นะหนูเล็กทองเนื้อแท้ มันไม่เคยแปรเปลี่ยน วันนี้เขาอาจจะมองไม่เห็น
ค่า แต่ถ้าเขามีตาที่มองเห็นความจริง เขาจะมองเห็นเอง”
แม้จะไม่เห็นด้วย และไม่เข้าใจ แต่สุริยงก็ทนนิ่งเก็บไว้
สุริยงถอนใจเบาๆ โล่งๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขมชาติพูดเมื่อกลางวัน ก่อนที่จะหันมาจูบหน้าผากไก่ กับ
ไข่ด้วยความรัก แล้วก็อมยิ้มกับตัวเอง
ความสุขเล็กๆค่อยๆเติบโต สุริยงได้ยกก้อนหินที่ใช้กดทับความทรงจำออกไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว และ
กำลังจะปล่อยให้มันเติบโต จนหวนมาทำร้ายเธอในภายหลัง
วิบูลย์ยืนมองรูปของสุริยงในชุดนักศึกษา ที่ติดอยู่เต็มผนังบ้านด้วยความพินิจพิจารณา พลันเสียง
สุริยง ก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณวิบูลย์”
วิบูลย์หันมา “สวัสดีครับ” แล้วก็ชะงัก “คุณสุ”
ภาพสุริยงที่ปรากฏแก่สายตาของวิบูลย์ในยามนี้ คือหญิงสาวในชุดทำงาน ที่มีสีสัน ปล่อยผม
สบายๆ แต่งหน้าอ่อนๆออกชมพูดูสดใส
“คุณสุ เปลี่ยนไป มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีค่ะ แค่อยากเปลี่ยน แก้เบื่อ” สุริยงปด
“ก็ดีครับ เปลี่ยนเป็นแบบนี้ ดูสดใส เด็กลงเยอะเลยครับ”
“ ขอบคุณค่ะ” สุริยงยิ้มรับ
“ผมเพิ่งเห็นว่าคุณสุเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับคุณเขมด้วย ดูจากอายุก็น่าจะรุ่นใกล้เคียงกันเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?”
วิบูลย์ยิงคำถามตรงๆ ด้วยความอยากรู้
“เอ่อ สุไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเรียนไม่จบ ลาออกมาก่อน” สุริยงตอบเลี่ยงๆ
พลางชวนเปลี่ยนเรื่อง
“เห็นชื่นบอกว่ารถซ่อมเสร็จแล้ว”
วิบูลย์นึกขึ้นได้
“ใช่ครับ ผมจอดไว้ให้ที่หน้าบ้าน วันนี้คุณสุจะขับไปเองเลยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ติดรถเข้าบริษัท
ด้วย”
“ได้ค่ะ เอ่อ แล้วค่าใช้ซ่อมรถเท่าไหร่คะ?”
“ฟรีครับ คุณสุไม่ต้องจ่าย คุณเขมเป็นคนจ่ายให้ทุกบาททุกสตางค์”
วิบูลย์ยิ้มกว้าง ในขณะที่สุริยงชะงัก เกรงใจ
“คุณเกนครับ”
เขมชาติเข้ามาหาเกนหลงในห้องทำงาน หากในห้องว่างเปล่า จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงาน
มองสำรวจว่าทำงานอะไรอยู่ แล้วก็แอบเห็นสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ วางเปิดอยู่ข้างๆโต๊ะ ในสมุดโน้ตมีลายเส้นง่ายๆ
วาดสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นไลฟ์สไตล์เก๋ๆ เช่น แก้วน้ำ มือถือ คอมพิวเตอร์ ผู้หญิงเล่นโยคะ นวดหน้า ชกมวย ขี่
จักรยาน เขมชาติเปิดดูแล้วก็ยิ้มๆ ทันใดนั้นเสียงเกนหลงก็ดังขึ้น
“อะแฮ่ม! แอบดูอะไรอยู่คะคุณเจ้านาย”
เขมชาติ หันมายิ้ม พร้อมกับชูรูปขึ้น
“คุณเกนวาดเหรอครับ?”
“ค่ะ เกนก็วาดเล่นไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาเด็กมือบอน” เกนหลงชอบขำๆ
“แบบนี้ไม่เรียกว่าเรื่อยเปื่อย แต่เรียกว่า “ได้เรื่องได้ราว” มากกว่าผมชอบ”
“ขอบคุณค่ะ”
เขมชาติย้ำชัดๆ “ผมชอบจริงๆนะ ไม่ได้ชอบเล่นๆ ผมขอซื้อนะ”
“หือ? ซื้อไปทำอะไรคะ ?”
เกนหลงถามด้วยความสงสัย
เขมชาติพูดหน้าทุกคนในห้องประชุม อันประกอบไปด้วยเกนหลง สมคิด วิบูลย์ เจน และพนักงาน
มาร์เก็ตติ้งอีก 2 คน
“ผมจะนำลายเส้นของคุณเกนมาทำเป็นผ้าเอนกประสงค์ เช่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมโต๊ะ ผ้าสำหรับ
เย็บกระเป๋า และผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน เป็นการจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง ผมจะให้คุณ
เกนเล่าถึงคอนเซปป์การออกแบบให้ทุกคนฟัง เชิญครับ”
เกนหลงยิ้มรับ และลุกขึ้น พร้อมกับออกตัว
“ก่อนอื่น เกนต้องออกตัวก่อนนะคะว่าเพิ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ เมื่อประมาณ 15 นาทีที่
แล้ว คอนเซปป์ที่คิดก็ค่อนข้างจะเรียบง่าย เท่าที่จะคิดได้ใน 15 นาที หรือเรียกอีกอย่างว่าด้นสด นั่นเอง”
ระหว่างที่เกนหลงพูดไป เขมชาติเดินมานั่งข้างๆ วิบูลย์ที่ว่างอยู่ พลางกระซิบถาม
“ สุริยงอยู่ไหน?”
วิบูลย์กระซิบตอบ “ กำลังมาครับ พอดีติดรับรองลูกค้าแทนคุณสมคิด ที่ต้องมาเข้าประชุมนี่แหละ
ครับ”
วิบูลย์ปรายตาไปเห็นสุริยงผ่านกระจกที่ห้องประชุม
“มาแล้วครับ”
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก .เขมชาติปรายตาไปมองอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าทันทีที่สายตาปะทะเข้า
กับสุริยงก็ต้องชะงักกึกเพราะสุริยงเดินเข้ามาในชุดที่ดูสดใสน่ารัก แปลกตา
สุริยงเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆ วิบูลย์เงียบๆ และเปิดสมุดเตรียมจด เขมชาติมองสุริยงไม่วางตา
ในขณะที่วิบูลย์มองเขมชาติด้วยความแปลกใจ
สุริยงพยายามทำเป็นก้มหน้าจดทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังโดนเขมชาติแอบมองอยู่ เขมชาติหันมาเห็น
วิบูลย์มองอยู่ก็ชะงักทำเป็นดึงสายตากลับ หันมามองเกนหลงที่พูดอยู่หน้าห้อง
“จริงๆลายเส้นพวกนี้ เกนเขียนเป็นงานอดิเรกค่ะ ภาพส่วนใหญ่เป็นไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แล้วก็
สิ่งของที่อยู่รอบตัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของใช้ของคนเมือง เกนก็เลยบอกเขมว่าจะขอตั้งชื่อ คอลเลคชั่นนี้ว่า
Simplicity”
พนักงานพยักหน้าฟังอย่างตั้งใจ และเห็นด้วย เกนหลงเปิด power Point ให้ดูลายที่เคยเขียนเก็บ
ไว้
“นี่เป็นตัวอย่างของงานบางส่วน แต่งานที่ใช้ทำลายผ้า เกนจะวาดขึ้นมาใหม่ค่ะ”
“โครงสร้างการร่วมทุนกับคุณพจน์ ลองอ่านดู ถ้าโอเค จะได้เซนต์สัญญาเลย”
เอื้อเงยหน้าจากเอกสารที่กำลังเซ็น ก่อนที่จะมองแฟ้มที่อัมพิกาวางไว้ตรงหน้า แล้วก็ตอบตรงๆ
“ถ้าผมดูแล้วไม่อยากร่วมลงทุน จะได้หรือเปล่า”
อัมพิกาสวนกลับ “ไม่ได้ “
“แล้วจะให้ผมดูทำไม ในเมื่อพี่อัมคิดวางแผน และดำเนินการไปหมดแล้ว ผมแค่อยากจะเตือนการ
ลงทุนโดยไม่ได้แจ้งให้บอร์ดรับทราบก่อน ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก”
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
อัมพิกาหน้าเชิด
“พี่จะแจ้งหรือไม่แจ้งบอร์ด ผลก็เหมือนกัน โครงการของคุณพจน์ดีจะตาย ธนาคารเรามีแต่ได้กับได้”
เอื้อ ลุกขึ้นยืน ประจัญหน้ากับพี่สาว
“แต่พี่ไม่ได้ทำเพราะเห็นแก่ธนาคาร พี่ลงทุนเพื่อให้ผมกับเกนหลงได้ใกล้ชิดกัน นี่ถ้าโครงการไม่น่าสนใจ ผมคงจะลุกออกจากโต๊ะไปในวันนั้นพี่เองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่น่าจะเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว”
อัมพิกาหันขวับมาจ้องหน้าน้องชายเขม็ง เอื้อพูดต่อ
“ผมว่าพี่ควรจะเอาเวลาว่างไปจัดการเรื่องโอนหุ้นให้ไก่กับไข่ตามพินัยกรรมของคุณพ่อจะดีกว่า ปี
กว่าแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า”
อัมพิกา ยักไหล่
“พี่สั่งให้ทนายจัดการไปตั้งนานแล้ว อยากรู้อะไรก็ไปถามทนายเอาเองพี่ไม่เกี่ยว พี่แยกแยะเรื่องงาน
ออกจากเรื่องส่วนตัว เราเองแยกแยะได้หรือเปล่า?”
อัมพิกาย้อนแล้วก็เชิดหน้าใส่ ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างไม่แคร์ เอื้อมองตามแล้วก็ลอบถอนใจด้วย
ความเหนื่อยหน่าย
“เกนจะกลับไปค้นพาภาพที่วาดเก็บไว้ที่บ้านมาให้ดูเพิ่มเติมนะคะ”
เกนหลงสรุปในห้องประชุม ในขณะที่ เขมชาติอาศัยยังหวะที่ห้องเปิดไฟสลัวๆ เพื่อฉายภาพบนจอ
แอบมองสุริยง ลับหลังวิบูลย์
และลับหลังเกนหลง
สุริยงรู้ตัว แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้
“คิดว่าไม่น่าเกินสัปดาห์นี้ ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อย ขอบคุณค่ะ”
เกนหลงพูดจบไฟเปิดในห้องก็สว่างขึ้น เกนหลงหันมาทางเขมชาติ เขมชาติหันมาทางเกนหลงทันที
“ขอเสียงปรบมือให้คุณเกนหลงด้วยครับ”
สิ้นเสียง ทุกคนในห้องปรบมือด้วยความชื่นชมจากใจจริงเขมชาติพูดต่อ
“โปรเจ็กต์นี้ ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ เพื่อเป็นการทดลองตลาด และเสริมภาพลักษณ์ความเป็นคนรุ่น
ใหม่ให้กับผ้าของเราด้วย เจน เดี๋ยวคุณพาคุณเกนไปดูขั้นตอนการออกแบบลายผ้าก่อนจะส่งเข้าโรงงาน พอได้
ภาพวาดของคุณเกนมาแล้ว จะได้เริ่มงานกันเลย”
เจนรับคำ “ค่ะ”
สมคิดรีบรายงานต่อ
“บ่ายนี้ ผมกับวิบูลย์จะคุยกับฝ่ายตลาดและฝ่ายพีอาร์ สรุปได้เรื่องยังไง จะรายงานคุณเขมอีกทีนะ
ครับ”
“ขอบคุณมากครับ เลิกประชุม” พลางหันไปสั่งความกับเกนหลง “ คุณเกนไปกับเจนก่อนนะครับ
เดี๋ยวผมตามไป”
“ค่ะ”
“เชิญค่ะ” เจนยิ้มให้เกนหลง พลางเดินนำไป เกนหลงเดินตาม สมคิดลุกตามไป หากด้วยความรีบร้อน
เลยลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ จากนั้นพนักงานคนอื่นๆ ก็ทยอยลุกเดินตามไป โดยมีวิบูลย์รั้งท้าย
สุริยงเก็บของกำลังจะเดินไป แต่ก็ช้ากว่าเขมชาติ ที่เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
วิบูลย์ กับสุริยงรับคำพร้อมกัน
“ครับ”
“คะ”
เขมชาติ เพียงแค่เหลิอบตามองวิบูลย์ แล้วก็พูดกับสุริยงเสียงขรึม
“ผมจะถามเรื่องตารางนัดวันพรุ่งนี้”
วิบูลย์รู้ตัวโดยไม่ต้องให้ใครบอก “อ๋อ ไม่ใช่ผม งั้นไปทำงานก่อนนะครับ”
สุริยงหันมาเปิดสมุดนัด แล้วก็เงยหน้าจะรายงาน แต่ชะงักเพราะคล้อยหลังวิบูลย์ เขมชาติปิดประตู
ห้องทันที เหลือกันอยู่แค่สองคน
“ผมว่างทั้งวัน ผมจำได้”
เขมชาติยิ้มนิดๆ สุริยงเงยหน้าจากสมุดงง ระคนแปลกใจ
สมคิดเดินมาจนเกือบจะถึงห้องตัวเอง พลางจับกระเป๋าหาโทรศัพท์แล้วก็ไม่เจอ จึงหันมาบอกวิบูลย์ที่
เดินตามมาติดๆ
“ผมลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องประชุม”
“เดี๋ยวผมไปเอาให้” วิบูลย์เสนอตัว
“ไม่เป็นไร คุณไปตามฝ่ายพีอาร์ กับการตลาดมาเลย จะได้รีบประชุม”
“ครับผม”
จากนั้นสมคิดกับวิบูลย์แยกกันไปคนละทาง สมคิดเดินย้อนกลับไปที่ห้องประชุมอีกครั้ง
เขมชาติยิ้มและพูดชมสุริยง ด้วยแววตาเป็นประกาย
“ผมแค่อยากบอกว่า เห็นคุณแต่งตัวแบบนี้แล้ว รู้สึกเหมือนคุณกลับไปเป็นสุริยาวดีที่ผมรู้จัก”
สุริยงสวนทันที “ก็แค่เสื้อผ้า”
เขมชาติยิ้ม อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“แต่ผมคิดว่ามากกว่านั้น”
สุริยงชะงัก เขมชาติมองเจ้าเล่ห์ แล้วพูดหน้าตาเฉย “ทรงผม การแต่งหน้า”
สุริยงลืมตัวยิ้ม ขำๆ ตอบสวน “เพิ่งรู้ว่าผู้อำนวยการรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
เขมชาติ ไม่ตอบ แต่ยิงประโยค ที่ทำให้สุริยงถีงกับสะดุด
“แล้วก็รอยยิ้ม”
จากนั้นก็พูดต่อ “คุณรู้หรือเปล่า ตั้งแต่เราเจอกันที่สนามบิน ผมยังไม่เคยเห็นคุณยิ้มแบบนี้เลย”
“ตั้งแต่เจอกันที่สนามบิน ผู้อำนวยการก็ไม่เคยพูดกับดิฉันเหมือนคนปกติแบบนี้เหมือนกัน” สุริยงย้อน
“โอเค ผมคิดว่า เราคงมาถูกทางแล้ว ผมดีใจที่เรากลับมาเหมือนเดิม”
สุริยงอ้าปากจะแย้ง แต่เขมชาติรีบดักคอ “ถึงจะไม่เหมือนเดิมทั้งหมด แต่ได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว”
เขมชาติยิ้มอบอุ่น สุริยงสะท้านนิดๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ผู้อำนวยการคะ เรื่องค่าซ่อมรถ ดิฉันจะจ่ายคืนให้นะคะ”
“ไม่ต้อง ถือว่าเป็นสวัสดิการบริษัท แต่ถ้าคุณอยากคืน ขอเป็นการช่วยงานคุณเกนผมอยากให้งาน
ออกมาดี คุณก็รู้คุณเกนสำคัญกับผมมาก ผมอยากทำให้เธอประทับใจที่สุด”
สุริยงสะเทือนใจอยู่ลึกๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ตอบรับด้วยความยินดี
“ได้ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว ดิฉันไปทำงานต่อนะคะ”
พลางขยับตัวจะเดินไป หากเขมชาติเอามือมาขวางไว้
“เดี๋ยวก่อน”
สุริยงหยุด เขมชาติพลิกฝ่ามือที่ขวางอยู่มาจับไหล่ มืออีกข้างจับอีกไหล่อีกด้าน พร้อมกับหันสุริยงมา
เผชิญหน้ากัน
“ขอผมดูให้ชัดๆอีกทีว่าคุณเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
ยามนี้แววตาสุริยงดูอ่อนลงในขณะที่แววตาของเขมชาติดูเหนือกว่า ในฐานะคนคุมเกม
ในจังหวะเอง ประตูห้องก็เปิดผั้วะเข้ามา พร้อมกับสมคิดที่เดินพรวดเข้ามาเห็นเข้าพอดี
“เอ่อ” สมคิดถึงกับพูดไม่ออก
สุริยงตกใจ รีบถอยห่าง เขมชาติเอามือออกจากไหล่ สองคนอยู่ในอาการเก้อๆ เขินๆ .. เหมือนเด็กทำ
ความผิด แล้วถูกจับได้
เขมชาติ แสร้งทำเสียงขรึม “ผมจะไปหาคุณเกน ถ้ามีอะไรด่วนไปตามผมที่ฝ่ายออกแบบ”
“ค่ะ”
เขมชาติทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร แล้วก็เดินออกไปทางซ้าย ในขณะที่สุริยงยิ้มนิดๆให้สมคิดแล้วก็เดิน
ออกไปทางขวา
สมคิดเดินมาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ พร้อมกับครุ่นคิด ด้วยความเป็นห่วงกังวล
วิบูลย์นั่งดูประวัติสุริยง ในห้องมีพนักงานเตรียมประชุมอีก 2 คน สมคิดเดินเข้ามาแววตายังครุ่นคิดค้างอยู่
วิบูลย์เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความตื่นเต้น
“คุณสมคิด คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณสุกับคุณเขม เขาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน”
สมคิดที่กำลังอึ้งกับภาพเมื่อครู่นี้อยู่ อึ้งหนักไปอีก วิบูลย์เห็นหน้าอึ้งๆ ก็ยิ้มกริ่ม
“อ๊ะๆ ไม่รู้หล่ะสิ เพราะผมเอาใบสมัครคุณสุมาดูอีกทีก็ไม่มีเขียนบอกเอาไว้ แต่ที่ผมรู้เพราะเมื่อเช้า
ผมแวะไปที่บ้าน เห็นรูปคุณสุตอนอยู่มหาลัยถึงได้รู้ “
สมคิดเหล่ๆมองพนักงานที่นั่งอยู่ ทั้งสองคนฟังด้วยความสนใจ วิบูลย์ยังพูดต่อด้วยอารมณ์ติดพัน
“ผมลองไล่ปีดูแล้ว ผมว่าเข้าปีเดียวกับคุณเขมด้วยนะ ดีไม่ดีสองคนนี้ต้อง”
ยังไม่ทันทีวิบูลย์จะพูดจบ สมคิดก็รีบสวนเสียงเข้ม
“ผมว่าเราเริ่มประชุมกันเลยดีกว่า”
วิบูลย์ชะงัก มองหน้าสมคิดงงๆ สมคิดหันมาทางพนักงานอีกสองคน
“คุณเขมมอบหมายงานชิ้นใหม่มา เป็นงานออกแบบของคุณเกนหลง งานด่วน เราต้องรีบทำแผนการ
ตลาดและการประชาสัมพันธ์เสนอสัปดาห์นี้ งานอื่นเบรคไว้ก่อน คุณวิบูลย์บลีฟรายละเอียดงานให้คุณบงกช กับคุณ
เกตุ ด้วย”
วิบูลย์รับคำ “เอ่อ..ครับ”
พนักงานกุลีกุจอเปิดสมุดเตรียมจดวิบูลย์จำใจต้องหันมาทำงานในทันที
ลับหลังคนอื่น..สมคิดก็กลับมาครุ่นคิด จากที่ไม่เคยสนใจ กลับต้องมาวิตกมากขึ้น ตามข้อมูลที่ได้รับ
“มันยังไงกันแน่”
เขมชาตินั่งมองเกนหลงที่กำลังฟังเจนอธิบายการทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แววตาฉายแววชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
“หลังจากที่เราได้แบบจากคุณเกนมาแล้ว คุณเขมจะนำแบบมาลงโปรแกรมใน แล้วส่งไปให้ที่โรงงาน
ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ฝ่ายผลิตที่โรงงานจะป้อนข้อมูลเพื่อสั่งเครื่องทอ”
เกนหลงมองดูแบบในจอคอมพิวเตอร์ ด้วยด้วยความทึ่ง
“เขมจะต้องลงโปรแกรมเองทุกจุดเลยเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ”
เกนหลงฟังด้วยความสนใจ ในขณะที่สุริยงเดินมาพร้อมกับแฟ้ม เห็นเขมชาติ อยู่กับเกนหลง ในห้อง
ออกแบบก็หยุดมอง
เกนหลงตั้งใจฟังเจนอธิบายต่อ
“ลายที่ละเอียดมากๆ เจนเห็นยังงง คุณเขมเขียนโปรแกรมแป๊บเดียวเองค่ะ ผ้าทุกผืนของเรา คุณเขม
เป็นคนทำโปรแกรมเองทั้งหมดค่ะ”
เขมชาติเหลือบเห็นเงาของสุริยงจากกระจกอีกด้าน แล้วก็ชะงักนิดๆ ยิ้มร้าย ในขณะที่เกนหลงหัน
มามองเขมชาติด้วยความชื่นชม เขมชาติจึงรีบดึงสายตากลับมารับตาเกนหลงอย่างรวดเร็ว พลางเปิดคอมพิวเตอร์โชว์
ลายผ้าให้เกนหลงดู พออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขมชาติก็หน้าตาจริงจัง แววตามุ่งมั่นขึ้นมาราวกับคนละคน
“นี่เป็นแบบใหม่ที่ผมเพิ่งจะเคาะ ตั้งใจว่าจะส่งไปเปิดตลาดยุโรป เราใช้เส้นด้ายที่สั่งทอ และย้อมด้วย
สีพิเศษ มีที่โรงงานเราที่เดียว”
เกนหลงลอบมองเขมชาติด้วยความชื่นชม พลางละงสายตามามองจอคอมพิวเตอร์
“สวยมากเลยค่ะ”
สุริยงแอบมองอยู่ แล้วก็ค่อยๆถอนสายตาออกมา ก่อนที่จะเดินหันหลังกลับไป ด้วยความยินดี และสะท้านใจระคนกัน
เขมชาติปรายตามาทางสุริยง เห็นว่าไปแล้ว ก็ยิ้มสะใจ พลางคิดเข้าข้างตัวเองว่า
“คงจะทนดูไม่ได้”
เอื้อยื่นนามบัตรของทนายส่งให้สุริยง
“นี่เป็นนามบัตรทนายคนที่พี่อัมส่งเรื่องให้ดูแลต่อ หนูเล็กโทร.ติดต่อเรื่องโอนหุ้นมรดกได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
เอื้อมองสุริยงอย่างวสังเกตสังกา
“คุณเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวเหรอ? อยู่ๆลุกขึ้นมา แต่งตัวสดใส ถ้าไม่สนิทจะคิดว่า“กำลังมีความรัก”
สุริยง สะดุด แล้วรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีหรอกค่ะ ก็แค่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เสื้อผ้าพวกนี้ก็เสื้อผ้าเก่าๆทั้งนั้น “
เอื้อหลิ่วตามองอีกรอบ พลางพูดกระเซ้า
“น่าจะแต่งแบบนี้มาตั้งนานแล้วน่ารักดี ผมชอบ”
สุริยง ยิ้มรับ ไม่ได้รู้สึกกระดากอาย เท่าตอนที่ตอนเขมชาติชม “ ขอบคุณค่ะ”
“แต่ไม่ว่าคุณจะแต่งตัวสไตล์ไหน คุณก็น่ารักสำหรับเสมอ”
สุริยงชะงัก อยู่ๆ คำพูดของเขมชาติก็แว่บเข้ามา
“ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนชื่อใหม่สักกี่ชื่อ คุณก็คือสุริยาวดีของผม”
อยู่ๆสุริยง ก็ใจเต้นแรงเอื้อมองแล้วก็ยิ้ม
“ทำไมหน้าแดงหรือว่า เขินที่ผมชม”
สุริยงสะอึกอยากจะบอกว่าไม่ใช่ ก็บอกไม่ได้ เอื้อเลยฉวยโอกาสเหมารวบ
“ร้อยวันพันปี ผมชมไม่เห็นเคยเขินเลยเพิ่งจะมาเขินวันนี้ ดีใจนะเนี่ย”
เอื้อพูดด้วยความดีใจ สุริยงอึกอักพูดไม่ออก ไม่กล้าแย้ง จำต้องปล่อยให้เอื้อเข้าใจผิดต่อไปอย่างน่า
สงสาร
เขมชาติกำลังเดินเล่นอยู่ที่สนามหน้าบ้านอย่างสบายอารมณ์ ท่ามกลางอากาศยามเช้าที่สดใส สมคิดเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“คุณเขม เช้านี้ภรรยาผมทำข้าวต้มเห็ดหอมที่คุณชอบ ผมเอามาฝาก ให้แม่บ้านอุ่นอยู่”
“ขอบคุณครับ”
สมคิดมองเขมชาติ พลางหยุดคิด ก่อนจะตัดสินใจพูด
“คุณเขมครับ ในฐานะที่เรารู้จักกันมานาน ผ่านปัญหามาด้วยกันก็มาก คุณก็เป็นเหมือนลูกชาย
ของผม ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน สิ่งที่ผมอยากเห็น คือ วันที่คุณจะมีครอบครัว และมีความสุข”
เขมชาติหยุดฟัง สมคิดพูดต่อ
“ถ้าคุณเขมเจอผู้หญิงที่เหมาะสมแล้ว ก็ไม่ควรทำอะไรเสี่ยงๆ ถ้าพลาดอาจจะเสียเธอไปได้”
เขมชาติหันมา พูดอย่างมั่นใจ
“ถ้าคุณสมคิดหมายถึงคุณเกน ผมมั่นใจว่าผมไม่พลาด และผมจะไม่ยอมสูญเสียเธอเด็ดขาด”
สมคิดเห็นเขมชาติมั่นใจก็ไม่พูดต่อ ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณเรื่องจัดสวนใหม่ ผมเพิ่งรู้ว่าพอย้ายก้อนหินออกไปแล้ว หญ้าที่อยู่ข้างใต้มันช่างอ่อนแอ
เวลาเหยียบลงไป สบายเท้าดีจริงๆ”
เขมชาติยิ้มร้าย มั่นใจ สมคิดมองด้วยความแปลกใจ และห่วงใยอยู่ในที
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
สุริยงกดเบอร์โทร.ออกตามหมายเลขในนามบัตรของทนายที่เอื้อยื่นให้ หากเมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับ เธอจึงตัดสินใจโทร.เข้าธนาคาร
“สวัสดีค่ะ ฝ่ายกฎหมายธนาคารรัตนชาติค่ะ”
“ดิฉันสุริยง รัตนชาตินะคะ ขอสายทนายธีรศักดิ์ค่ะ”
“คุณธีรศักดิ์ยังไม่เข้าค่ะ สายๆ ติดต่อมาใหม่นะคะ”
เสียงทางปลายสายตอบกลับมา สุริยงวางสายไป อย่างไม่ติดใจสงสัย
ช่วงสาย สุริยงลองโทร.อีกครั้ง และก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม
“ยังไม่เข้ามาเลยค่ะ ตอนบ่ายๆโทร.อีกทีนะคะ”
และคำตอบสำหรับช่วงบ่าย ก็คือ
“วันนี้คุณธีรศักดิ์ไม่เข้ามาที่ธนาคารนะคะ รบกวนติดต่อมาใหม่วันพรุ่งนี้นะคะ”
สุริยงเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ ขึ้นมาในใจ
เกนหลง เอื้อ อัมพิกา นั่งอยู่ในห้องประชุม ในขณะที่สถาปนิก กำลังพรีเซนต์งานที่หน้าห้อง มีแบบแปลนสวนในโรงแรม วางเรียงกันสามแบบ
“ผมมีแบบสวน ให้เลือก 3 แบบ ไม่ทราบว่าคุณเอื้อกับคุณเกนหลงชอบแบบไหนครับ?”
เกนหลง กับเอื้อตอบพร้อมกัน
“แบบที่สองค่ะ/ครับ”
อัมพิกาหันมามองสองเกนหลงกับเอื้อ เกนหลงกับเอื้อก็มองกันเอง..ใจตรงกัน
จากนั้นสถาปนิก ก็เอาแบบห้องต่างๆที่ออกแบบไว้มาให้เลือก
“แบบล็อบบี้มี 4 แบบครับ”
เกนหลง กับเอื้อ ชี้อันเดียวกันอีก รวมทั้งภาพห้องอาหาร , สระว่ายน้ำ , ฟิตเนส แม้กระทั่งห้องพัก
ต่างๆ ทั้งคู่ก็ล้วนมีความเห็นตรงกันทั้งสิ้น
แบบโรงแรมใหม่ถูกเลือกวางเรียงไว้อย่างรวดเร็ว อัมพิกายิ้มพอใจสุดๆ
“เอื้อกับคุณเกนนี่ใจตรงกันทุกอย่างเลยนะคะ เราเลยสรุปแบบได้อย่างรวดเร็ว จริงๆแล้วหาคนที่มี
รสนิยมดีเหมือนเอื้อเนี่ยลำบ๊าก ลำบาก นานๆจะเจอสักคน เอื้อ ต้องจับคุณเกนไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้หลุดมือรู้มั้ย”
เอื้อเริ่มรู้สึกอึดอัด และทันทีที่สถาปนิกและทีม ถือแบบเดินออกไป เขาหันมาทางอัมพิกา
“ผมคงจับไว้ได้แค่นี้หล่ะครับ เพราะบ่ายนี้เกนต้องเข้าบริษัท คุณเขมชาติเจ้านายเขารออยู่ “
อัมพิกาหุบยิ้มทันที
เกนหลงมองดูนาฬิกา
“เกนยังพอมีเวลาอีกสัก 15 นาทีนะคะ เพราะนัดรถตู้ให้มารับตอนเที่ยง”
“พี่ว่าให้เอื้อขับรถไปส่งดีกว่านะคะ บริษัทเขมชาติก็อยู่ไม่ไกล ขับไปส่งแป๊บเดียวเองไม่ได้ลำบากเลย”
อัมพิกาเสนอตัว พลางหันมาทางเอื้อ “จริงมั้ย ?”
เอื้อ มองหน้าอัมพิกาแล้วก็ตอบยิ้มๆ
“จริงครับ เดี๋ยวพี่ไปส่งเองง” อัมพิกายิ้ม เอื้อพูดต่อ “ จะได้แวะไปหาหนูเล็กด้วย” อัมพิกาหน้างอ
“ถ้าหนูเล็กยังไม่ทานข้าว จะได้ชวนทานด้วยกัน”
“ดีค่ะ งั้นเรารีบไปกันดีกว่าค่ะ”
เอื้อพยักหน้ารับ เกนหลงหันมาลาอัมพิกาที่นั่งหน้าหงิกอยู่
“เกนกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
เกนหลงยกมือไหว้ลา อัมพิการับไหว้แบบขอไปที เอื้อกับเกนหลงเดินออกไป อัมพิกาชักสีหน้าด้วย
ความเซ็ง
“นังสุริยง ฉันจะต้องกำจัดหล่อนออกไปจากชีวิตเอื้อให้ได้”
อัมพิกาคิดถึงสุริยงด้วยความแค้น
สุริยงคุยโทรศัพท์ สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
“อะไรนะคะ ทนายธีรศักดิ์ไปต่างประเทศ”
เขมชาติเดินมาได้ยินพอดี จึงแอบฟังต่อ
เสียงทางปลายสายตอบกลับมา
“ใช่ค่ะ คุณธีรศักดิ์มีงานด่วนต้องไปประชุมต่างประเทศ จะไม่อยู่ประมาณสองอาทิตย์ค่ะ รบกวนติด
ต่อมาใหม่เดือนหน้านะคะ”
“แต่ดิฉันมีเรื่องด่วนจะปรึกษา เรื่องหุ้นส่วนธนาคารของลูกชาย ดิฉันพยายามติดต่อคุณทนายมา
หลายวันแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย โทร.เข้ามือถือก็ไม่ติด โทร.มาที่ธนาคารก็ไม่เคยได้รับสาย ตกลงว่าดิฉันจะต้องทำยังไง
หรือว่าจะต้องให้ไปนั่งเฝ้าที่ธนาคารถึงจะได้เจอ” หากไม่มีเสียงตอบกลับมาทางปลายสาย
“ฮัลโหล ยังฟังอยู่หรือเปล่าคะ? ฮัลโหล”
สัญญาณทางปลายสายถูกตัดไปแล้ว
สุริยงชะงัก แล้วก็วางสายไปด้วยความหงุดหงิด
“เฮ่อ ยังไงกันเนี่ย”
พลันเสียงเขมชาติ ก็ดังขึ้นมา
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?”
สุริยงหันมาตอยเสียงเรียบ “เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะดิฉันจัดการเองได้” พลางยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ทำท่าเหมือนจะโทร.กลับไปอีก
เขมชาติ เดินเข้ามาหา จับมือที่ถือมืออยู่
“คุณโทร.ไป ยังไงก็ไม่ได้คุยถ้าเห็นว่าผมเป็นเพื่อนคุณต้องยอมให้ผมช่วย”
สุริยงค่อยๆดึงมือออกจากมือเขมชาติ พลางคิด ในขณะที่เขมชาติลุ้น และในที่สุดสุริยงก็พยักหน้า
ยอมให้ช่วย เขมชาติอมยิ้มนิด แล้วก็กลับมาทำหน้าขรึม ถามด้วยความห่วงใย
“เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เขมชาติรอฟัง เหมือนจะเห็นใจ แต่ในใจเยาะเย้ยอยู่ในที
เกนหลงยืนอยู่ที่หน้าฟร้อนท์ประจำตำแหน่งของสุริยง ที่มีวิบูลย์นั่งเฝ้าแทน พลางถามย้ำอีกทีด้วย
ความแปลกใจ
“เขมกับคุณสุออกไปพบลูกค้าข้างนอกเหรอคะ?”
“ครับ เพิ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้เองครับ คุณเขมให้ผมมานั่งแทนคุณสุ จนกว่าคุณเกนจะกลับมาครับ”
“นัดลูกค้า? เท่าที่จำได้วันนี้บ่ายเขมไม่มีงานนอกนี่นา” พลางหันมาทางเอื้อ ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เกนต้องขอโทษพี่เอื้อด้วยนะคะ เลยมาเก้อ ไม่ได้เจอคุณสุเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่ามาส่งเกนก็แล้วกัน เอ่อ...”
เอื้อเบี่ยงตัวหันหลังให้วิบูลย์ และถามเกนหลงเป็นการส่วนตัว
“เวลาออกไปประชุมนอกสถานที่แบบนี้ คือเขมชาติไปกับหนูเล็กสองต่อสองหรือเปล่า หรือว่ามีคน
อื่นไปด้วย?”
เอื้อถามด้วยความหวาดระแวงเล็กๆ
อรทัยเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูด้วยความตื่นเต้น มองซ้ายมองขวาเห็นอัมพิกานั่งรออยู่ ก็รีบเดินมา
หาพี่สาว
“พี่อัมคะ เขมชาติโทรนัดสองคนมาทานข้าวจริงๆเหรอคะ”
อัมพิกายิ้มพยักหน้าด้วยความปลื้มปริ่ม
“พี่อัมไม่ได้ล้ออรเล่นจริงๆนะ”
อัมพิกาส่ายหน้า ยังยิ้มปลื้มปริ่มอยู่ อรทัยตาวาว
“ แล้ว อยู่ที่ไหนคะเนี่ย มาถึงหรือยังคะ”
อัมพิกา ตอบน้องสาวยิ้มๆ
“เมื่อกี๊ส่งข้อความมาบอกว่าอยู่ที่ลานจอดรถ”
อรทัยตาโต “อุ้ย ตายแล้ว ตื่นเต้นๆ พี่อัมช่วยดูหน่อยสิคะว่าอรเป๊ะหรือยัง เสื้อผ้า หน้า ผม มีอะไร
พร่องมั้ยคะ?”
“ไม่มีจ้ะ น้องสาวพี่ สวยเป๊ะมาก “
อรทัยยิ้มกกว้าง “หวังว่าเขมชาติจะคิดเหมือนพี่อัมนะคะ อ้อแล้วเขมชาติบอกหรือเปล่าคะว่านัด
เราสองคนมาทานข้าวเนื่องในโอกาสอะไร?”
อัมพิกายังไม่ทันจะตอบ พลันเหลือบมองผ่านหลังอรทัยไปเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามา อัมพิกา
ถึงกับตาค้าง เสียงแข็ง
“นังสุริยง”
อรทัยชะงักหันขวับไป เห็นสุริยงเดินเข้ามา อรทัยอึ้งเหวอพอกัน สุริยงเดินมุ่งมั่นเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณอัมพิกา คุณอรทัย”
อัมพิกา กับ อรทัยมองหน้าสุริยงด้วยแววตาเกลียดชัง ระคนแปลกใจ สุริยงนิ่งพร้อมสู้ ไม่หวาดหวั่นแม้
จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศ ที่ตึงเครียดสุดๆ
ในขณะที่เขมชาติยืนหลบอยู่อีกมุมหนึ่ง เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด แววตาเจ้าเล่ห์ ยิ้มกริ่ม นึก
ถึงเหตุการรณ์เมื่อครู่ ที่สุริยงยอมเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก
“จากที่เล่ามาทั้งหมด ผมคิดว่าคุยกับทนายไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะให้คืบหน้า คุณต้องคุยกับคุณ
อัมพิกาโดยตรง”
“แต่คุณอัมพิกาคงไม่ยอมคุยกับฉัน
เขมชาติจับมือสุริยงมากุมไว้ พูดด้วยแววตามุ่งมั่น “ ผมช่วยเอง”
สุริยงมองหน้าเขมชาติ อย่างแปลกใจ
เขมชาติยิ้มร้าย มองดูสถานการณ์ด้วยความสนใจ พลางพยายามหาจังหวะเหมาะๆ ที่จะเข้าไปสวม
บทวีรบุรุษขี่ม้าขาว
“ฉันอยากคุยกับคุณเรื่องมรดกของไก่ กับ ไข่”
สุริยงเปิดประเด็น
อัมพิกา หน้าเชิด “แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุย เอื้อไม่ได้บอกเธอหรือไง มีอะไรก็ไปคุยกับทนายเอาเอง”
“ใช่ รีบไสหัวออกไปซะ ฉันไม่อยากเสียอารมณ์มากไปกว่านี้” อรทัยแหวขึ้นมาบ้าง
“ฉันไม่ไป จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง” สุริยงยืนกราน “ฉันรู้ว่าพวกคุณไม่จริงใจที่จะจัดการเรื่อง
มรดก ฉันติดต่อกับทนายของพวกคุณไม่ได้เลย แล้วคุณก็ส่งเขาไปต่างประเทศอีก ฉันจะคุยกับทนายคุณได้ยังไง”
อรทัยสวนกลับ “มันเป็นปัญหาของเธอ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน”
สุริยงไม่ยอมแพ้
“แต่ปัญหาของฉัน มีต้นเหตุมาจากพวกคุณ”
“พวกฉันสร้างปัญหาอะไรเธอ” น้ำเสียงของอัมพิกาวางอำนาจเต็มที่
“ช่วยเอาสมองในส่วนที่ไม่ได้ใช้
วางแผนจับผู้ชายมาคิดทบทวนดูให้ดีๆ ตั้งแต่หล่อนพาตัวเองเข้ามาในครอบครัวของฉัน เข้ามาในชีวิตของพ่อฉัน
ครอบครัวฉันไม่เคยสงบสุข ใครกันแน่ที่เป็นตัวปัญหา”
สุริยงยืนสะกดอารมณ์ พลางพยายามควบคุมสติ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น พนักงาน และลูกค้าคนอื่น ยืนแอบมองอยู่ห่างๆ ไม่กล้าจะเข้ามาห้าม
ในขณะที่เขมชาติแอบฟัง ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามสุริยง แต่ลึกๆ ก็อดสงสาร พร้อมกับอดสงสัย
ไม่ได้ว่าทำไมสุริยง ถึงยอมทนยืนเป็นเป้านิ่งให้คู่พี่น้องด่าฉอดๆ
“ฉันรู้ว่าพวกคุณเกลียดฉัน”
อรทัย รีบตอบทันที “ใช่ ฉันเกลียดเธอ เกลียดมากด้วย”
สุริยง สะเทือนใจ แต่น้ำเสียงยังหนักแน่น “แต่ไก่ กับ ไข่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กสองคนนั้นไม่รู้เรื่อง
อะไรด้วย ฉันขอร้องเห็นแก่เด็ก”
สุริยงยังพูดไม่ทันจบ อัมพิกาก็รีบยกมือขึ้นห้าม
“หยุดคร่ำครวญได้แล้ว ฉันไม่ใช่เอื้อ ที่จะใจอ่อนกับมารยาราคาถูกของเธอ ฉันไม่ชอบดูละคร ไม่ต้อง
แสดง “
สุริยงสะอึก พูดไม่ออก พยายามคุมอารมณ์สุดๆ อัมพิกาเชือดเฉือนต่อ
“ฉันเสียเวลากับหล่อนมากเกินไปแล้ว ที่บากหน้ามาหาฉัน เพราะต้องการเงินใช่มั้ย” พลาง หยิบสมุด
เช็คขึ้นมาเขียน “อดอยากปากแห้งนัก ก็เอาไป”
อัมพิกาปาเช็คใส่หน้าสุริยงอย่างดูถูก
“แล้วอย่ามาเสนอหน้าให้ฉันเห็นอีก”
เช็คตกอยู่ที่พื้น ข้างๆเท้าของอรทัย เขมชาติยืนมองอยู่ พลางลุ้นว่าสุริยงจะรับหรือไม่รับเงิน
หากสุริยงเพียงแค่ปรายตามอง แล้วก็เชิดหน้าปฎิเสธ
“ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันต้องการทำในสิ่งที่เจ้าสัวพ่อของคุณสั่งเสียไว้”
อรทัยหน้าเชิด
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว อย่าเอาชื่อพ่อฉันมาอ้าง พ่ออาจจะไม่ได้พูดก็ได้ เธอนั่นแหละที่สร้างเรื่องขึ้นมา
เอง”
อัมพิการีบตัดบท
“ รีบเก็บเศษเงินที่ฉันเมตตาให้ แล้วก็ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกคนในร้านมาลากตัวเธอออกไป”
สุริยงเม้มปากแน่น
“ฉันขอยืนยัน สิ่งที่ฉันต้องการคือหุ้นธนาคารตามที่เจ้าสัวระบุไว้ในพินัยกรรม ต่อให้คุณส่งทนายไป
ต่างประเทศ หรือส่งไปดาวอังคาร ฉันก็จะตามหาตัวให้เจอ และจัดการเรื่องมรดกให้สำเร็จ เก็บเศษเงินของคุณไว้เถอะ
ค่ะ ฉันไม่อดอยากขนาดนั้น”
พูดจบ สุริยงก็หันหลังให้อย่างไม่แยแส อัมพิกาเห็นแล้วก็แค้นใจ..พูดไล่หลังอย่างวางอำนาจ
“หยุด อย่ามาทำจองหองใส่ฉัน ถ้าหล่อนอยากจะเจอกับทนายก็หันกลับมาเก็บเช็คของฉันไปซะ
ถ้าเธอไม่ทำอย่าหวังเลยว่าเรื่องมรดกจะจบลงง่ายๆ”
สุริยงชะงักกึกค่อยๆหันมามองหน้าอัมพิกาที่เชิดหน้าอย่างท้าทาย
เขมชาติยืนมองเหตุการณ์ด้วยใจเต้นระทึกอยากรู้ว่าสุริยงจะทำยังไง ใจหนึ่งก็เกลียดชัง แต่อีกใจก็
สงสารอยู่ลึกๆ
สุริยงมองเช็คที่ตกอยู่ที่พื้น อรทัยขยับส้นสูงมาเหยียบเช็คไว้ หน้าตายั่วโทสะอย่างเต็มที่
สุริยงมองหน้าอรทัย อรทัยยิ้มเย้ยหยัน อย่างสะใจ อัมพิกาพูดต่อ
“ถ้าหล่อนเป็นห่วงไอ้เด็กสองคนนั้น อย่างที่พูดจริงๆ แค่นี้ เธอคงจะยอมทำเพื่อมันได้”
“เร็วๆด้วย ฉันมีเวลาให้เธอไม่มาก” อรทัยได้ที รีบเสริม
สุริยงมองเช็คที่อยู่ใต้ส้นสูงแล้วก็คิด ในที่สุดก็ตัดสินใจ เดินมาที่เช็ค อรทัยตั้งใจขยับเท้าอีกข้างขึ้นมา
ไขว่ห้างอย่างตั้งใจ สุริยงชะงักนิดๆ อรทัยชี้กดให้นั่งลงเก็บ ในลักษณะเหทมือนคุกเข่าตรงหน้า
สุริยงทำใจ แล้วก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง ขณะที่กำลังจะยื่นมือผ่าน้นสูงเพื่อจะเก็บเช็คนั้นเอง มือของ
เขมชาติก็พุ่งเข้ามาและจับมือของสุริยงไว้
“พอได้แล้ว”
สุริยงตกใจ หันมาเห็นเขมชาติ เขมชาติหน้าขรึม อย่างยากจะคาดเดาอารมณ์
อัมพิกากับอรทัยตกใจ
“คุณเขม”
“พอเถอะ คนในร้านมองกันใหญ่แล้ว เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องฉาวในวงสังคมไปซะเปล่าๆ เราทุก
คนจะเสียหายกันหมด”
อรทัยกับอัมพิการู้สึกตัว มองไปรอบๆ เห็นมีพนักงานมองอยู่ และแขกบางคนในร้านก็มองมาด้วย
ความสนใจ อัมพิกาคว้าแว่นดำที่วางอยู่มาใส่ และเชิดหน้า
“พี่ก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ ถ้าเลขาของคุณไม่โผล่มาแล้วพูดจาไม่รู้จักกาละเทศะ และพี่ก็ไม่รู้ว่ามันมาที่นี่ได้ยังไง ทั้งๆที่ยังอยู่ในเวลางาน พี่ฝากคุณเขมไปเคลียร์ด้วยก็แล้วกัน ส่วนวันนี้ พี่คงจะทานอะไรไม่ลง ขอตัว"
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 10 (ต่อ)
อัมพิกาคว้ากระเป๋า แล้วก็ลุกขึ้นเดินเชิดออกไป อรทัยเลิ่กลั่กนิดๆ ด้วยความเสียดาย พลางหันมาทาง
เขมชาติ
“อรก็กลับก่อนนะคะ หวังว่านัดกันคราวหน้า จะไม่มีตัวกาลกิณีมาขัดขวางเหมือนครั้งนี้”
อรทัยลุกขึ้น ไม่ลืมที่จะขยี้เท้าลงบนเช็คอีกครั้ง แล้วก็เชิดหน้าใส่สุริยงด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเดิน
ตามอัมพิกาออกไป
เขมชาติหันมามองสุริยงที่ยืนหน้าเสียอยู่ที่เดิม บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ระหว่างรังเกียจกับสงสาร
ในขณะที่อรทัย ที่กำลังจะเดินพ้นร้านออกไป ย้อนหันกลับมามองเขมชาติอีกครั้ง เห็นเขมชาติก้มลงหยิบเช็คและหันมา
จับข้อมือสุริยงและพาเดินออกไปที่สวนนอกร้าน
อรทัยขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย และไม่พอใจ
อัมพิกาเดินเชิดออกมา หน้าตาบูดบึ้ง อรทัย รีบเดินตามมา หน้าเตาบูดบึ้งพอกัน
“ พี่อัมคิดว่า เขมจะรู้เห็นเป็นใจกับนังนั่นหรือเปล่า มันถึงรู้ว่าเขมนัดเราที่นี่”
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน และคนที่จะต้องหาคำตอบมาให้เราก็คือเอื้อ”
อัมพิกาเดินนำไป ในจังหวะที่โทรศัพท์มือถือของอรทัยดังเข้ามา อรทัยดูชื่อก่อนจะกดรับ
“เธอโทร.มาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องอยากจะถามอยู่พอดี”
เขมชาติส่งเช็คให้สุริยง...สุริยงส่ายหน้า ด้วยความเหนื่อยใจ
“คุณไม่ต้องการ แล้วจะก้มลงไปเก็บทำไม เพื่อมรดก เพื่อเงิน คุณยอมทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ ถามจริง
ถ้าเขาบอกให้คุณไปตาย คุณจะยอมหรือเปล่า”
“ยอมค่ะ ถ้ามันทำให้ไก่กับไข่ได้รับในสิ่งที่เขาควรจะได้”
คำตอบของสุริยงทำเอาเขมชาติถึงกับอึ้ง
“อยากได้มรดกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ค่ะ ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกตัวเองลำบาก”
เขมชาติมองสุริยงอย่างรังเกียจ แต่ทำเป็นพูดด้วยความห่วงใย
“ดูท่าทางคุณจะรักลูกมาก”
สุริยงไม่ตับ แต่พูดย้อนกลับไป
“คุณมีลูกเมื่อไหร่ คุณก็จะรู้เอง”
เขมชาติชะงัก เหมือนโดนแทงใจดำ
“ก็จริง โดยเฉพาะลูกที่เกิดกับคนที่ผมรัก”
สุริยงนิ่ง ก่อนที่เขมาติจะหลุดคำพูดต่อมา
“คุณเกน”
สุริยงชะงักนิดๆ เขมชาติพูดต่อ “ ผมก็คงจะรักสุดชีวิตทั้งแม่ ทั้งลูก ให้ผมตายแทนสักกี่ครั้ง ผมก็ยอม
ตายได้เหมือนกัน”
สุริยงทั้งสะเทือนใจและปลื้มใจแทนเกนหลงในคราเดียวกัน
“เรื่องเมื่อกี๊ ขอโทษ ผมไม่คิดว่าคุณอัมพิกา กับ คุณอรทัย จะทำกับคุณขนาดนี้ แต่คุณไม่ต้องห่วง คุณ
รักลูก ผมก็รักพวกเขาเหมือนกัน ผมจะช่วยให้ถึงที่สุด ช่วยจนกว่าคุณจะได้มรดกตามต้องการ”
เขมชาติยิ้มให้สุริยงอย่างอบอุ่น สุริยงมองเขมชาติด้วยความซึ้งใจ กำลังจะอ้าปากขอบคุณ พลัน
โทรศัพท์สุริยงก็ดังขึ้น สุริยงหยิบมาดู เห็นชื่อเอื้อก็รีบกดรับ
“สวัสดีค่ะคุณเอื้อ”
สุริยงหันหน้าไปทางอื่น แววตาเขมชาติร้ายขึ้น
“เอื้อ”
เอื้อและสุริยง นั่งคุยกันอยู่ในสวนหน้าบ้านสุริยง เอื้อถามสุริยงด้วยความสงสัย แกมตัดพ้ออยู่ในที
“มีปัญหาทำไมไม่ติดต่อผม ทำไมถึงเลือกเขมชาติ”
“หนูเล็กไม่ได้เลือกเขา แต่มันเป็นเหตุบังเอิญ ตามที่เล่าให้ฟัง “
สุริยงตอบตามความจริง
“โอเค ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจ ครั้งต่อไป ขอให้เป็นผมที่เข้ามาช่วยคุณจัดการเรื่องนี้ ผมขอโทษที่ไว้ใจพี่อัม
มากเกินไป ไม่คิดว่าเขาจะวางยาเรื่องทนาย ต่อไปผมจะเช็คข้อมูลให้ดีก่อนจะส่งให้คุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
“หนูเล็ก ผมขอถามคุณตรงๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณ กับเขมชาติ มันคืออะไร?”
สุริยงสะอึกในใจ แต่พยายามคุมอารมณ์ให้นิ่ง
“ปกติหนูเล็กเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครเข้าในชีวิตง่ายๆ แต่รู้จักเขมชาติไม่นานคุณเปิดให้เขาเดินเข้ามา
ได้อย่างรวดเร็ว ผมก็แค่สงสัย”
สุริยง ตอบยิ้มๆ
“เราแค่เกลียดกันน้อยลง นอกนั้นเหมือนเดิม คุณเขมชาติเป็นเจ้านาย หนูเล็กเป็นเลขา
ความสัมพันธ์ของเราเป็นได้แค่นั้นค่ะ”
เอื้อมองสุริยงเหมือนอยากค้นหาคำตอบ หากปากกลับพูดออกไปว่า
“โอเค ผมเชื่อ คุณบอกว่าแค่นั้น ก็แค่นั้นแต่ถ้ามันเริ่มมากกว่านั้นเมื่อไหร่ ผมอยากให้คุณบอกผม
เป็นคนแรก”
“มันจะไม่มีวันนั้นค่ะ”
สุริยงย้ำอีกครั้ง เพื่อให้เอื้อมั่นใจ พร้อมๆ กับตอกย้ำใจของตัวเองอยู่ในที
ภายในร้านอาหารสุดหรูในโรงแรมระดับห้าดาว วนิตาถาอรทัยด้วยความแปลกใจอย่างแรง
“แม่เลี้ยงเธอเนี่ยนะ เป็นเลขาให้เขมชาติ
อรทัยชักสีหน้า
“มันไม่ใช่แม่เลี้ยงฉัน มันเป็นได้อย่างมากก็แค่เมียน้อยอันดับท้ายๆ ก่อนพ่อฉันจะตายแค่นั้นแหละ”
“ไม่ใช่ก็ได้ พูดแค่นี้อารมณ์เสียไปได้”
“ฉันเกลียดมัน นี่ แล้วเรื่องเธอกับเขมชาติเป็นยังไงบ้าง เมื่อก่อนพูดถึงบ๊อย บ่อย ฉันให้พามาแนะนำ
ก็ไม่เคยพามาสักที”
วนิตาเบ้ปาก
“พามาได้ยังไง ฉันเองยังไม่ค่อยได้เจอเลย ตั้งแต่ยัยเกนหลงกลับมาจากเมืองนอก หายหัวไปเลย โทร
ไปก็ไม่รับ คิดจะชิ่งแน่ๆ เออนี่ ฉันเคยเจอเลขาที่บริษัทเขมอยู่ครั้งนึง มันหลอกให้ฉันไปโรงงานกับแก๊งแม่บ้าน ฉันเลย
พลาดไม่ได้เจอเขม ไม่รู้ว่านังเลขานั่นจะเป็นเมียหางแถวของพ่อหรือเปล่า”
วนิตาพูดจบ อรทัยก็รีบหยิบมือถือออกมา
“ ฉันมีรูป ฉันจ้างนักสืบสะกดรอยตามมัน ได้รูปนี้มา ฉันถ่ายเก็บไว้ นี่ๆ ใช่มันหรือเปล่า”
“นี่มันผู้หญิงที่ฉันเจอที่หน้าบริษัทเขม ฉันเห็นมันออกไปเขมสองต่อสอง นี่มัน กล้าดียังไง มานั่งตัก
เขม ฉันรู้จักมาตั้งนาน ยังไม่เคยได้ทำแบบนี้เลย แล้วมันมาเป็นเลขาเขม ทำงานอยู่ด้วยกันทั้งวัน เขมจะเหลือมั้ยเนี่ย?”
อรทัยรีบตอบทันที
“ไม่เหลือ ขนาดพี่เอื้อมันยังทำจนหลงหัวปักหัวปำ เขมชาติของเธอไม่รอดแน่ นิต้า เธอจำหน้ามันไว้
เลยนะ นังเนี่ยตัวอันตราย ถ้าไม่อยากเสียเขมชาติให้มัน เธอต้องสั่งสอนให้มันรู้ว่าของใครเป็นของใคร”
อรทัยใส่ไฟเป็นชุด วนิตามองดูรูปสุริยงและเขมชาติในมือด้วยความเกลียดชัง
ในขณะเดียวกัน เอื้อ ที่นั่งคุยอยู่กับอัมพิกาที่บ้านรัตนชาติ ก็ตอบด้วยความมั่นใจ
“หนูเล็กบอกว่าเขมชาติเป็นคนออกความคิด โทร.นัดพี่ออกมาแล้วให้เขามาดักรอเพื่อจะคุยเรื่อง
มรดก”
อัมพิกาลดหนังสือในมือลง ก่อนจะสวนกลับเสียงแข็ง
“มันโกหก เขมชาติบอกความจริงกับพี่หมดแล้ว”
เอื้อขมวดคิ้ว ความจริงอะไร? อัมพิกายิ้มมั่นใจ พลางนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่นั่งคุยกัยเชมชาติตาม
ลำพัง เขมชาติยื่นผ้าที่บรรจุในแพคอย่างดีให้
“นี่เป็นชุดเครื่องนอนระดับพรีเมี่ยมที่ผมสั่งทำพิเศษเพื่อขอโทษคุณอัมพิกา และ คุณอรทัย กับเรื่องที่
เกิดขึ้นเมื่อวาน เลขาผม เอ่อ สุริยงเขาคงจะเห็นว่าเรานัดกันจากสมุดงานคุณเกน เขาเลยมาดักรอ ผม
ขอโทษจริงนะครับ ต่อไปผมจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
อัมพิกาฟังเหตุผลแล้ว ก็เริ่มอ่อนลง
“คุณเขมเชื่อพี่หรือยังว่า ผู้หญิงคนนี้ ไว้ใจไม่ได้ “
“ครับ ต่อไปนี้ ผมจะไม่ไว้ใจเขาอีกแล้ว”
เขมชาติยิ้มเหมือนรู้สึกผิด แต่นัยน์ตาวาวโรจน์
เอื้อฟังที่อัมพิกาเล่า ก็รู้สึกแปลกใจ
“ทำไมเขมชาติพูดแบบนั้น”
“ ก็เพราะมันคือความจริงน่ะสิ และพี่ก็เชื่อเขามากกว่านังนั่น คุณเขมเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหก”
เอื้อชะงัก อัมพิกาย้ำชัดเจน
“เราจะเชื่อนังนั่นก็เชื่อไปคนเดียว แต่พี่ไม่เชื่อ”
พูดจบอัมพิกาก็ลุกเดินออกไป เอื้อครุ่นคิด แววตาฉายความไม่ไว้วางใจเขมชาติขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด