xs
xsm
sm
md
lg

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าลืมฉัน ตอนที่ 1

เสียงเพลงเชียร์ เสียงตีกลองดังกระหึ่ม ที่หน้าคณะวิทยาศาสตร์ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเทศกาลรับน้องที่เวียนมาบรรจบอีกครั้งคราหนึ่ง นักศึกษาปี 1 ต่างก็ถูกบรรดารุ่นพี่กะเกณฑ์ให้เต้นท่าแปลกๆ บ้างก็โดนจับแต่งหน้า แต่งตัว แบบพิลึกพิลั่น ตามมาด้วยโห่ฮา ผิวปาก ของรุ่นพี่ ที่สะใจที่ได้แกล้งน้องใหม่ในคณะ

หากจะมีคนที่ไม่รู้สึกสนุกสนานไปกับเสียงอึกทึกเบื้องหลัง ก็เห็นจะมีเพียง “เขมขาติ” ที่เดินผ่านชาวคณะรับน้องไปเหมือนคนใจคอเลื่อนลอย ราวกับกำลังอยู่ในวังวนของความครุ่นคิด แววตาของชายหนุ่มซ่อนความเจ็บร้าวไว้ไม่มิด ที่มือซ้ายกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น
“เฮ้ย ไอ้เขม ไอ้เขม” เสียงเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มร้องตะโกนเรียก หากเขมชาติหาได้ยินไม่ “น้องๆเรียกพี่เขมหน่อย”
“พี่เขม พี่เขม ”
หากเขมชาติ ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หมกหมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ ยังคงเดินลิ่วต่อไป ราวกับเสียงเรียกนั้น ไมได้กระทบโสตประสาทแม้เพียงน้อย
เขมชาติเดินระเรื่อยจนมาหยุดยืนอยู่ที่ริมถนนคนเดียว ที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ มือที่กำกระดาษอยู่ กระชับแน่นด้วยความโกรธแค้น แววตาเจ็บปวดรวดร้าวอย่างถึงที่สุด
ในวินาทีนั้นเอง เขมชาติก็ก้าวลงมาบนถนนโดยไม่มองรถที่กำลังแล่นมา เสียงบีบแตรดังสนั่น พร้อมกับเสียงรถที่เบรคดังเอี๊ยด ตามมาด้วยเสียงรถที่ปะทะเข้ากับร่างของเขมชาติอย่างจัง
“โครม ”
ร่างของเขมชาติกระเด็นลอยมาและตกกระแทกพื้นอย่างแรง คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างกรีดร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ชายหนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น หากดวงตาแหงนมองค้างขึ้นไปบนท้องฟ้า แววตาเจ็บปวดเสียใจ มือที่กำกระดาษอยู่ค่อยๆ คลาย กระดาษในมือคลี่ตัวออกเห็นข้อความเขียนไว้ชัดเจนว่า
นับจากนี้ต่อไป .......... ขอให้ลืมเรื่องระหว่างเราสองคน
ขอให้จำแค่ว่าเราไม่เคยรู้จักกัน .... สุริยาวดี
เขมชาติอ่านข้อความนั้นด้วยความเจ็บปวด ปล่อยหยาดน้ำใสๆ ให้เอ่อท้นดวงตา

“ประเทศสวิสเซอร์แลนด์”
เสียงปรบมือดังก้องทั่วประชุม ภายหลังจบการฉายวิดีทัศน์แนะนำ “เขมชาติเทคซ์ไทล์” (Kammachart Textiles) ซึ่งเป็นโรงงานทอผ้าขนาดใหญ่ ภาพลวดลายบนพื้นผ้าในจอ ผนวกกับกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ยิ่งใหญ่ เรียกความสนใจจากทุกสายตาในห้องประชุมให้จดจ่ออยู่ที่จอตลอดระยะเวลาการนำเสนอ
ไฟที่เวทีสาดส่องมาที่ เขมชาติ ที่ยืนที่โพเดี้ยม ในชุดสูทแบรนด์ดัง บ่งบอกรสนิยมและความมีระดับ ทรงผมหวีเรียบ เผยให้เห็นรูปหน้าและเค้าโครงความคมคายได้อย่างชัดเจน อาจจะด้วยเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปหลายปียามนี้แววตาของชายหนุ่ม จึงดูเรียบ นิ่ง เย็นชา ไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่แม้เพียงน้อย
“สวัสดีครับทุกท่าน” เขมชาติเอ่ยประโยคทักทายบรรดาบุคคลสำคัญๆ ที่มาร่วมอยู่ในห้องประชุม
เกือบทั้งหมดเป็นชาวยุโรป ข้างๆ เวทีจึงจำต้องมีล่ามทำหน้าที่คอยแปลสารมิให้สาระสำคัญตกหล่น
“ผมเขมชาติ ธีระราช รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับทุกท่านพร้อมกับความงามบนผืนผ้าที่เรา
ภูมิใจ ด้วยเทคโนโลยีการทอที่ทันสมัย ผสมผสานกับการออกแบบลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ... “เขมชาติเทคซ์ไทล์” พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่ตลาดโลก”
เขมชาติยิ้มอย่างมาดมั่น

“ประเทศฮ่องกง”
เขมชาติยืนสง่าอยู่กลางห้องประชุมที่แตกแต่งสไตล์จีน จอที่อยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม กำลังฉายภาพ
ลายผ้าไทยโบราณดูขรึมขลังและร้อนแรง
“ผมขอแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลายเขียนไทยโบราณ ทอด้วยเส้นด้ายทำ
จากสีที่ย้อมขึ้นพิเศษ เพื่อให้ได้เฉดสีที่แปลกใหม่ ผ่านกรรมวิธีการทอที่พิถีพิถัน ครบทั้งความทนทาน....สวยงาม..
และเปี่ยมเสน่ห์ “
เขมชาติกล่าวแนะนำลวดลายผ้า และกรรมวิธีการผลิต เป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยมีล่าม
คอยแปลเป็นภาษาจีนอยู่ข้างเวที
“ผ้าทุกชิ้นของเขมชาติเป็นมากกว่าของตกแต่ง แต่เป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การสะสมอย่างแท้จริง ขอบคุณครับ”


เป็นอีกครั้ง ที่เสียงปรบมือดังก้องไปทั้งห้องประชุม ภายหลังที่เขมชาติจบการนำเสนอ ชายหนุ่มยืน
ยิ้มอยู่บนเวที อย่างมั่นใจ

ระหว่างทางที่เขมชาติเดินอยู่ในโรงแรม โดยมีพนักงานเดินลากกระเป๋าเดินทางตามมา ไม่มีสายตาของสตรีคนใดที่จะไม่จับจ้องไปที่เขา หากเขมชาติหาได้ไยดีแววตาของสตรีเหล่านั้นไม่ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะกดปุ่มโทร.ออก
“คุณสมคิดผมกำลังจะออกจากโรงแรม”
เขมชาติพูดกับทางปลายสาย พลางหยิบแว่นดำมาใส่ ยามนี้ชายหนุ่มยิ่งดูเปี่ยมเสน่ห์มากกว่าเดิม
อีกหลายเท่าตัว

ในขณะที่ “สมคิด” ซึ่งเป็นชายไทย วัยกลางคน และมักจะแต่งตัวเรียบๆ แนวอนุรักษ์นิยม ที่อยู่
ทางปลายสาย ลุกพรวดขึ้นด้วยความตื่นตัวอย่างแรง
“ครับๆ ได้ครับ ผมกับวิบูลย์จะไปรอรับที่สนามบิน เจอกันครับคุณเขม”
สมคิดวางสายแล้วก็รีบกดโทรศัพท์ต่อไปยังอีกเลขหมายทันที
“คุณวิบูลย์”
“วิบูลย์” คือพนักงานอีกคน ที่ทำงานอยู่ ที่ บ. เขมชาติ ซึ่งมีสไตล์การแต่งตัวตรงกันข้ามกับ
สมคิดอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือเขานิยมแต่งตัวในสไตล์เนี้ยบ ทันสมัย ผสมผสานกันระหว่างเสื้อผ้าแบรนด์เนม และ
เสื้อผ้าที่หาซื้อได้ตามตลาดนัดขนาดใหญ่อย่างจตุจักร
“ได้ครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” สมคิดวางสาย พลางหันไปสั่งบการต่อ “วิเวียน บอกให้ทุกคน
เตรียมตัว”
“ค่ะ” เลขาสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม กระเดียดไปทางเกาหลี เจ้าของนาม “วิเวียน” หันกลับมารับคำ


-ประตูห้องทำงานของ แผนกมาร์เก็ตติ้ง ที่ใช้พื้นที่ร่วมกับ แผนกออกแบบ ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
“ผู้อำนวยการกำลังมาแล้วค่ะ “ สิ้นเสียงตะโกนของวิเวียน พนักงานทุกคน ต่างก็รีบลุกขึ้นแต่งตัว
ให้เรียบร้อย บ้างก็กุลีกุจอเก็บขยะ จัดโต๊ะ เก้าอี้ เก็บหนังสือดาราลงชิ้น แล้วหยิบหนังสือออกแบบ หนังสือธุรกิจมา
วางไว้แทน
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ยืนนิ่ง มองอยู่ด้วยความแปลกใจ แม้จะมอง
จากด้านหลัง ก็พอจะคะแนอยู่ได้ว่าเธอผู้นี้มีรสนิยมการแต่งตัวที่จัดว่ามีระดับ ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว
มือขวาที่หิ้วกระเป๋าอยู่เห็นแหวนรูปดอกไม้ 5 แฉกใส่อยู่ที่นิ้วนาง
ทันใดนั้นเสียงสมคิดก็ดังขึ้น
“คุณสุ”
เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก เผยให้เห็นใบหน้าสวยคม ที่ได้รับการบรรจงแต่งมาเป็นอย่างดี
“คุณสมคิด สวัสดีค่ะ“
“สุริยง” ยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสุภาพ
สมคิด รับไหว้พลางพูดต่อ
“คุณสุมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวไปกับผม...ไปรับคุณเขมที่สนามบิน”
สุริยงมีสีหน้าตระหนก“แต่คุณสมคิดนัดให้ดิฉันมาเรียนงานจากคุณวิบูลย์วันนี้ แล้วค่อยเริ่มงาน
วันพรุ่งนี้นี่คะ”
จบประโยคของสุริยง วิบูลย์ก็พูดสวนขึ้นมา
“เดี๋ยวผมสอนบนรถระหว่างไปรับคุณเขมก็ได้ครับ”
“พอดีคุณเขมกลับก่อนกำหนดหนึ่งวัน ถ้าผมให้คุณสุเริ่มงานวันนี้เลย พร้อมมั้ยครับ” สมคิดเสริม
พลางหันมาถามสุริยง
“พร้อมค่ะ"

สุริยงตอบด้วยเสียงนิ่มๆ ทว่าหนักแน่น

อีกเช่นเคยที่ท่วงท่าที่ดูมีสง่าของเขมชาติ ดึงดูดสายตาของบรรดาสาวน้อย สาวใหญ่ ทั่วบริเวณสนามบิน หากหนุ่มหาได้สนใจไม่
ในขณะเดียวกัน วิบูลย์ สมคิด ก็รีบเดินจ้ำมาอย่างร้อนใจ โดยมีสุริยงเดินตามมาทิ้งระยะห่างเล็กน้อย กิริยาของหญิงสาวยังคงสงบเรียบ

“คุณเขมอยู่โน่นครับ” วิบูลย์พูด พลางรีบเดินนำหน้าไป
สมคิดหันมาพยักหน้าให้สุริยงตามไป เธอพยักหน้ารับและรีบเดินตามมา แต่บังเอิญมีคนเข็น
กระเป๋าเดินทางผ่านหน้าเป็นแถวยาว ทำให้สุริยงต้องหยุดยืนรอ พลางพยายามชะเง้อมองตามสมคิดไปไม่ให้คลาด
สายตา

เขมชาติเดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม วิบูลย์รีบกุลีกุจอเดินเข้ามารับ โดยมีสมคิดเดินมาติดๆ
“คุณเขม สวัสดีครับ ผมลากกระเป๋าให้ครับ”
วิบูลย์เอ่ยกับเขมชาติ พลางรีบมารับกระเป๋าเดินทาง จากมือของเขา มาลากแทน พร้อมกับยิง
คำถามเป็นชุด
“เดินทางเป็นยังไงบ้างครับ ? เหนื่อยมั้ยครับ ? ทานอะไรมาหรือยัง ? หิวหรือเปล่าครับ ? “
“ถามอะไรมากมาย ผมไม่ตอบหรอกนะ ขี้เกียจ” เขมชาติเสียงเข้ม
“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไรครับ” วิบูลย์หน้าเสีย พลางรีบหันมาทางสมคิด และกระซิบเบาๆ “คุณสมคิด
ช่วยหน่อยครับ เหวี่ยงใหญ่แล้ว ท่าทางจะอารมณ์ไม่ดี”
สมคิดพยายามทำใจดีสู้เสือ
“คุณเขมครับ..วันนี้ผมกับวิบูลย์ไม่ได้มากันแค่สองคนนะครับ แต่ยังมีพนักงานใหม่มาด้วยอีกหนึ่ง
คน”
“ใคร ? ” เขมชาติถามเสียงเข้ม พลางถอดแว่นดำออกมาถือไว้
“เลขาคนใหม่ของคุณเขม ... คุณสุ-สุริยงครับ “
สมคิดรีบตอบอย่างพยายามเอาใจ หากเมื่อหันมาด้านหลัง แล้วไม่เห็นสุริยง ก็ถึงกับร้อนใจ
“อ้าว...คุณสุ..คุณสุ”
ในขณะที่สุริยง ที่รีบเดินตามมา ทันทีที่แถวนักท่องเที่ยวผ่านไปแล้ว แม้ร้อนใจอยู่บ้าง หากก็ยัง
สำรวมกริยา กระนั้นก็สามารถเดินมาสมทบได้ทันเวลาที่สิ้นเสียงของสมคิดพอดี
ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้ ยังคงเรียบนิ่ง แววตา อ่อนโยนแต่มั่นคง ไม่มีความหวั่นไหวอยู่ใน
สายตาแม้เพียงน้อยนิด
เขมชาติอึ้งไปชั่วขณะ คิ้วขมวดเข้าหากันไม่รู้ตัว แววตา ที่ดูเป็นกันเองเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความ
ไม่พอใจแทบจะทันทีที่เห็นหน้าของหญิงสาว
สุริยงเดินมาเผชิญหน้ากับเขมชาติ ด้วยใบหน้านิ่ง หากรีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่... “ สุริยงยังพูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของเขมชาติก็ดังสวนขึ้นมาทันที
“คุณสมคิด”
สุริยงชะงักกึก ในขณะที่สมคิดตกใจรีบขานรับ
“ครับ”
เขมชาติ เบือนหน้าจากสุริยง หันมาสั่งความกับสมคิด
“จ่ายเงินเดือนให้เลขาใหม่ของคุณ 3 เดือน แล้วไล่ออกไป”
สุริยงสะอึก ใบหน้าสวยนั้นชาวูบ หากยังรักษาอาการไม่แสดงออก
“ผมไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”
เขมชาติปรายตามามองสุริยงด้วยความเหยียดหยาม จากนั้นก็เดินผละไปทันทีอย่างไม่มีเยื่อใย
สุริยงยังคงนิ่ง หาได้แสดงกิริยาอาการใดๆ ตรงข้ามกับวิบูลย์ ที่มองสมคิดเลิ่กลั่ก สมคิดเองตกใจไม่
แพ้กัน
“รีบตามไปสิ” สมคิดพยักเพยิดกับวิบูลย์
“ครับๆ”
วิบูลย์รับคำ พลางรีบลากกระเป๋าตามไปทันที ส่วนสมคิดรีบหันมาปรับความเข้าใจกับสุริยง
“คุณสุใจเย็นๆนะครับ วันนี้คุณเขมอาจจะเหนื่อยจากการเดินทางเลยอารมณ์ไม่ดี ผมจะลองคุยให้
อีกที”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” สุริยงหน้าเชิด “ลองหน้ายังไม่อยากมองแบบนี้ คงไม่เปลี่ยนใจ ขอบคุณคุณ
สมคิดมากนะคะ สุขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
สุริยงยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า แล้วก็เดินไปเลย ทิ้งให้สมคิดอ้าปากค้าง พยายามจะตะโกนเสียง แต่dH
พูดไม่ออก ได้มองตามด้วยความเสียดาย จนเมื่อโทรศัพท์มือถือดัง จึงรับกดรับโดยไม่ต้องมอง
“กำลังจะตามไป”

เขมชาติเดินมาถึงรถตู้ที่จอดอยู่ด้านหน้าสนามบิน โดยมีวิบูลย์ ที่รีบวิ่งมาเปิดประตูต้อนรับ จนเมื่อ เขมชาติขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว วิบูลย์จึงพยายามมองหาสมคิดด้วยความร้อนใจ ทันทีที่เห็นสมคิดวิ่งมา เขารีบหันมาโบกมือเร่ง
“เร็วๆ”
สีหน้าของเขมชาติยามนี้บึ้งตึง หางตาตวัดเห็นสุริยงกำลังเรียกรถแท็กซี่อยู่ที่มุมหนึ่งห่างออกไป รถ
แท็กซี่จอดเลยไปเล็กน้อย สุริยงกำลังจะเดินไปขึ้นรถ หากก็โดนนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่ง ที่หอบกระเป๋า
พะรุงพะรัง เดินมาเบียดปาดหน้าแย่งรถ และชนจนสุริยงเซไปโดนเสา เกือบล้ม จากนั้นก็รีบขึ้นรถไปอย่างไม่สนใจ สุริยงยืนจับแขนด้วยความรู้สึกเจ็บ
เขมชาติเชิดหน้า แล้วก็เบือนหน้ากลับมา ไม่มีแววแห่งความสงสารแม้แต่นิดเดียว ซ้ำร้ายยังแอบสะใจ
อยู่ลึกๆ
เมื่อสมคิดวิ่งมาถึงรถ และขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว รถตู้หรูคันใหญ่ก็แล่นออกไป ทิ้งสุริยงไว้
เบื้องหลัง หญิงสาวมองเห็นเขมชาตินั่งเชิดคอแข็งอยู่ภายในรถ เธอมองภาพนั้นอย่างหมั่นไส้นิดๆ พลันเสียง
โทรศัพท์มือถือสุริยงก็ดังขึ้น สุริยงรีบหยิบมากดรับ

“หนูเล็กกำลังจะกลับบ้านแล้วค่ะพ่อ”

อ่านต่อหน้า 2

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

ทันทีที่รถตู้คันโก้ของเขมชาติมาจอดเทียบที่หน้าบ้านทรงโมเดิร์นหลังใหญ่ หรูหรา ทว่ากลับแลดูเงียบเหงา

คนรับใช้คนหนึ่ง ก็รีบเดินมาเปิดประตูรถให้เจ้านายหนุ่ม ในขณะที่อีกคนเปิดประตูหลังเอากระเป๋าลง
เขมชาติลงจากรถและเดินเข้าบ้านไปอย่างเร็ว จนคนรับใช้ไหว้แทบไม่ทัน สมคิดกับวิบูลย์รีบเดิน
ตามเข้าไป
เขมชาติเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับถอดเสื้อสูท ถอดเนคไทมาตามทาง สมคิดกับวิบูลย์เดินตาม
ประกบ
“คุณเขมครับ ... เรื่องคุณสุ ผมว่าคุณเขมน่าจะลองให้โอกาสเธอดูนะครับ”
สมคิด พยายามเกลี้ยกล่อม ไม่ทันสังเกตสีหน้าของเขมชาติ ที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่าง
ชัดเจน ชายหนุ่มเดินไปที่หยุดยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์บาร์ ในขณะที่สมคิดยังเดินตามพูดไม่หยุด
“เธอมีความรู้เรื่องภาษาอย่างดี ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ส่วนภาษาจีนก็พอได้บ้าง ส่วนเรื่องการทำงานก็
ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นอกจากเรื่องการทำงานจะน่าสนใจแล้ว ชีวิตส่วนตัวเธอยังน่าสงสารด้วยนะครับ”
ในจังหวะเดียวกันกับที่วิบูลย์เปิดทีวี แล้วก็กดปุ่มเลือกมาที่คลิปสัมภาษณ์สุริยง แล้วก็หยุดค้างไว้
เขมชาติหันมา เท้าเอว ฟัง หน้านิ่ง ขรึม
สมคิดยังต่อตั้งหน้าตั้งตาพูดต่อ
“ เมื่อก่อนเป็นเลขาให้สามี แต่สามีเพิ่งเสียปีที่แล้ว เลยต้องออกมาหางานทำเลี้ยงลูกสองคน เป็น
ฝาแฝดแล้วก็ยังพ่อกับแม่ที่ไม่ได้ทำงานอีก ผู้หญิงคนเดียวดูแลคนทั้งบ้าน น่าเห็นใจมากนะครับ”
“ผมไม่ได้ถาม” เขมชาติพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความมีอำนาจอยู่ในที สมคิดถึงกับ
สะอึก วิบูลย์เอง ก็อึ้งตามไปด้วย มือถือรีโมทค้างอยู่ ทั้งสมคิด และวิบูลย์หันหน้ามามองหน้าเลิ่กลั่ก
“ผมไม่อยากรู้เรื่องผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และเท่าที่ฟังผมไม่รู้สึกสงสารสักนิด ผู้หญิง
รักสบาย พอสามีตายก็วิ่งหาที่เกาะใหม่ ผู้หญิงแบบนี้ไม่มีค่าในสายตาผม “
สมคิดกับวิบูลย์อึ้งไป เขมชาติออกคำสั่งต่อทันที
“วันนี้ผมไม่เข้าบริษัท ฝากคุณสองคนด้วย”
สมคิด กับวิบูลย์รับคำแทบจะพร้อมกัน
“ครับ”
วิบูลย์ ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบพูดต่อ
“เอ่อ..คุณเขมครับ ผมเอาคลิปสัมภาษณ์คุณสุริยงต่อเข้าโทรทัศน์ไว้แล้วนะครับ กดปุ่มนี้ปุ่มเดียวดู
ได้เลย เผื่อคุณเขมจะอยากดู”
เขมชาติเดินเข้าห้องนอนไปเสียงประตูปิดดังปัง แทนคำตอบว่า “ไม่” สองคนสะดุ้ง วิบูลย์หน้า
จ๋อย แต่ปากยังพูดต่อ
“ผมวางรีโมทไว้ตรงนี้นะครับ” พลางวางรีโมทไว้บนโต๊ะกลางห้อง
สมคิดหันไปพยักเพยิดชวนวิบูลย์ให้กลับ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินคอตกออกไป

สุริยงเปิดประตูเข้ามาในบ้าน อย่างคนหมดพลัง สีหน้าทั้งเหนื่อย และเซ็งเต็มที่ พลันเสียงของ
สมาชิกในบ้าน อันประกอบไปด้วย อาทิตย์ นภา ไก่ ไข่ และชื่น ก็ดังต้อนรับ พร้อมกับเสียงแตร รวมไปถึง
กระดาษหลากสี ก็โปรยปรายลงมาใส่ตัวสุริยง
“Congratulation”
อาทิตย์ นภา ไก่ ไข่ ตะโกนขึ้นเสียงดังพร้อมๆ กัน
“ยินดีกับงานใหม่ค่าคุณหนูเล็ก” ชื่นแปลเป็นไทยในความหมายเดียวกัน
สุริยงอึกอัก เพราะทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนเธออ้าปากอธิบายไม่ทัน
“ของขวัญฉลองงานใหม่จากพ่อกับแม่จ้ะ “ นภา ยื่นกล่องของขวัญ ที่ห่อด้วยกระดาษลาย
น่ารักให้สุริยง “เอาไว้ใช้ที่ทำงานใหม่นะลูกนะ”
“รับรองว่าเพื่อนที่ทำงานเห็นจะต้องอิจฉา” อาทิตย์พูดขึ้นบ้าง พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้าง “ต่อไปก็
เจ้าตัวเล็ก ไก่ ไข่ มาเร็วลูก”
สุริยง อ้าปาก เตรียมจะอธิบาย แต่ก็ช้ากว่าไก่ กับไข่ ที่รีบวิ่งมาหา พร้อมกับของขวัญที่แอบซ่อนไว้
ด้านหลัง ต่างคนต่างปีนขึ้นเก้าอี้ที่เตรียมไว้ ไก่อยู่ทางซ้าย ไข่อยู่ทางขวา เด็กแฝดยิ้มสดใสก่อนจะโชว์ของที่เตรียม
มาด้วยความภูมิใจ
ในมือไก่เป็นมงกุฎที่ทำเอง เป็นงานเปเปอร์มาร์เช่มีตัวหนังสือ MOM อยู่ข้างบน ส่วนของไข่เป็น
สายสะพาย ที่มีตัวสะกด ว่า “Super Mom”
“ไก่ให้แม่หนูเล็ก เป็นกำลังใจให้แม่หนูเล็กมีแรงไปทำงานทุกวันนะครับ”
ไก่ พูดพลางสวมมงกุฎในมือ บนศรีษะของสุริยง หญิงสาวอึ้ง พูดไม่ออก ไข่ไม่ยอมแพ้
“ไข่ก็ให้แม่หนูเล็กครับ สายสะพายซูเปอร์มัมจะปล่อยพลังทำให้ไม่มีใครมาแกล้งแม่หนูเล็ก ทุกคน
จะรักแม่หนูเล็กหมดทั้งบริษัทเลยครับ” พูดพลางคล้องสายสะพายให้สุริยง
อาทิตย์ นภา และ ชื่นร้องขึ้นพร้อมกัน “เย้”
สุริยงอึกอัก พยายามจะอธิบาย แต่ยังไม่ทันจะจะพูดอะไร ผู้เป็นมารดาก็สวนขึ้นมาก่อน
“ถ่ายรูป ชื่นมาถ่ายรูปให้หน่อยเร็ว “
นภาส่งโทรศัพท์มือถือให้ชื่น
ชื่น รับโทรศัพท์มือถือมา พลางพูดกำกับท่า
“ สี่แอคนะคะ”
อาทิตย์กับนภารีบวิ่งเข้านภาจัดแจงให้แต่ละคนยืนประจำตำแหน่ง
“พ่ออยู่ฝั่งนี้ แม่ไปอยู่ฝั่งโน้น ไก่ ไข่อยู่ที่เดิมนะลูก”
“สี่แอคนะคะ พร้อมค่ะ เริ่ม !! 1-2-3-4 “
อาทิตย์ นภา รวมทั้ง ไก่กับ เปลี่ยนท่าตามไปตามที่ชื่นบอกอย่างคล่องแคล่วราวกับนายแบบ นางแบบมืออาชีพ จะมียกเว้น ก็เพียงสุริยง ที่ยืนนิ่งๆ ปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กระทั่งครบ 4 ท่าปุ๊บ ทุกคนก็ร้องขึ้น
“เย้”
“ดูรูปๆ ชื่นเอามาดูหน่อยผ่านไม่ผ่าน “ นภาเป็นคนแรก ที่ยื่นหน้าเข้ามาดูจอโทรศัพท์ในมือของชื่น จากนั้นทุกคนก็แห่ตามเข้ามา จนสุริยงทนไม่ได้
“หยุดก่อนค่ะ !!! ทุกคนฟังหนูเล็กก่อน”
สมาชิกทุกคนหยุดและหันมามองทางสุริยง ต่างคนต่างทำหน้างงๆ
“ขอบคุณมากสำหรับของขวัญ แต่..หนูเล็กไม่ได้ทำงานนี้แล้วหนูเล็กโดนไล่ออกแล้วค่ะ”
“หะ “ ทุกคนตกใจ
“โดนไล่ออก” นภาทวนคำ “ตั้งแต่วันแรกที่ไปเรียนงานเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง”
สุริยงรู้สึกแปล้บขึ้นมา เหมือนโดนต่อว่าอยู่ในที อาทิตย์หันมาใช้สายตาตำหนินภา นภาก้มหน้าอย่าง รู้สึกผิด ไก่กับไข่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

สุริยงค่อยๆถอดมงกุฎออก ยิ้มเศร้าๆ

สุริยงนั่งหน้าเศร้าอยู่ภายในห้องนอน มีมงกุฎเปเปอร์มาร์เช่วางไว้บนโต๊ะ

หญิงสาวหยิบของขวัญของผู้เป็นมารดามาเปิดดู แล้วก็พบว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ภายใน คือกล่องข้าวกลางวันลวดลายน่ารัก หญิงสาวยิ้มเศร้าอย่าง
นึกเเสียดาย
ไก่กับไข่ เดินมาหยุดที่ประตูมองหน้ากัน ไก่ป้องปากซุบซิบกับไข่
“แม่หนูเล็กครับ” เด็กแฝดพูดขึ้นพร้อมกัน
สุริยงหันมาตามเสียง เห็นลูกชายแฝดยืนอยู่ ไก่กับไข่ยิ้มสดใสแล้วก็วิ่งมากอดผู้เป็มารดา
“แม่หนูเล็กไม่ต้องเสียใจนะครับ เขาไล่ออก แต่แม่หนูเล็กก็เป็นซุเปอร์มัมของไก่นะครับ” ไก่พูดขึ้น
ก่อน จากนั้นไข่ก็เสริมขึ้นบ้าง
“ใช่ครับ แม่หนูเล็กเก่งที่สุดในโลกเลย เดอะบอส ที่ไล่แม่หนูเล็กออกจะต้องเสียใจ ที่ไม่ได้
ซูเปอร์มัมไปทำงาน” เด็กน้อยยืดอกอย่างมั่นใจ
สุริยง ยิ้ม พลางหอมแก้มลูกชายแฝดคนละที
“ขอบใจมากจ้ะ”
อาทิตย์กับนภาที่ตั้งใจจะมาให้กำลังใจสุริยงเช่นเดียวกัน แต่พอเห็นเด็กแฝดกำลังรุมกอดสุริยงอยู่
อาทิตย์ก็หยุดยืนอยู่หน้าห้อง แล้วก็ดึงมือนภาไว้ไม่ให้เข้าไป
“แม่หนูเล็กครับ” ไก่เรียกมารดา
“ครับ” สุริยงขานรับ สีหน้าเริ่มดีขึ้นตามลำดับ
“แล้วทำไมเขาาไม่ให้แม่หนูเล็กทำงาน” ไก่ถามประสาซื่อ ไข่ถามขึ้นบ้าง
“แม่หนูเล็กทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ ? “
นภาชักสีหน้านิดๆ ตั้งท่าจะเข้าไปห้ามเด็กแฝดไม่ให้ถาม แต่อาทิตย์จับไว้ พลางส่ายหน้าไม่ให้ไป
ยุ่ง นภาจำต้องยืนต่อ
สุริยงยิ้มๆ ก่อนจะตอบ
“ใช่ครับ..แม่หนูเล็กทำผิดกับเจ้านายเอาไว้มาก เจ้านายของแม่หนูเล็กคงไม่หายโกรธ เขาก็เลย
ไม่ให้ทำงานด้วย”
“แล้วแม่หนูเล็กไปทำอะไรให้เค้าโกรธอ่ะครับ” ไข่ถามต่อ
สุริยงชะงักนิดๆ พูดไม่ออก ตอบไม่ถูก เด็กฟังนิ่งรอฟังคำตอบ เช่นเดียวกับนภากับอาทิตย์ก็อยาก
รู้เช่นเดียวกัน

เขมชาติกำลังวิ่งออกกำลังกายบนลู่วิ่ง ที่ตั้งอยู่ในห้องทำงาน เหงื่อของชายหนุ่มโทรมกาย
ความรู้สึกของเขมชาติในยามนี้ คล้ายกำลังพยายามวิ่งหนีอดีต หากยิ่งวิ่งหนี อดีตก็ยิ่งวิ่งไล่ และตามมาทันทุกครั้งคราไป
ชายหนุ่มหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ที่เขากำลังนั่งคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนหน้าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
“วดีลาออก” เขมชาติถามเสียงดัง
“ใช่ เราเพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง วดีแวะมาบอก แล้วก็รีบกลับไป “ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอก ในขณะที่เพื่อนอีกคนช่วยเสริม
“วดีฝากจดหมายไว้ให้เขมด้วยนะ” พูดพลางยื่นจดหมายในมือให้ เขมชาติรับมาอย่างงงๆ และยิ่งช็อกหนักขึ้นเมื่อเปิดอ่านข้อความในจดหมาย แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด รวดร้าว
จากนั้นเขมชาติ ก็เดินอย่างคนใจคอเลื่อนลอย ก่อนที่จะเดินลงไปบนถนน และโดนรถชนอย่างแรง
นับจากนี้ต่อไป ขอให้ลืมเรื่องระหว่างเราสองคน ขอให้จำแค่ว่าเราไม่เคยรู้จักกัน......
สุริยาวดี
ข้อความสุดท้ายจากสุริยาวดี เขมชาติยังจำได้ไม่เคยลืม...

เขมชาติที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อน 2 คนเดิมที่เข้ามาเยี่ยม หนึ่งในนั้นพยายามยื่น
หนังสือพิมพ์ ที่กางหน้าข่าวสังคม ให้เขาอ่าน
“เขม...เราสองคนติดต่อวดีไม่ได้เลย แต่....เราเห็นข่าวนึง ไม่รู้ว่าเขมรู้หรือยัง ?”
เขมชาติหน้าตาเหม่อลอย เศร้า เหมือนคนหมดแล้วซึ่งความหวัง ตามร่างกายยังมีร่องรอยของการ
บาดเจ็บ และศรีษะพันผ้าหลังจากการผ่าตัด หากไม่ยอมรับหนังสือพิมพ์จากมือเพื่อน
เพื่อนอีกคน พูดเสริม
“ในข่าวบอกว่าวดีแต่งงานกับเจ้าของธนาคารเพื่อนของคุณพ่อ แต่งแล้วก็ย้ายไปอยู่สวิส เราไม่รู้ว่า
มันเป็นความจริงหรือเปล่า” พลางสะกิดอีกคนให้ช่วยพูดต่อ
“แต่เราสองคนคิดว่าน่าจะให้เขมรู้ เขมจะได้..ไม่ต้องรอให้วดีมาเยี่ยม เราว่าวดี.คงไม่มา”
“หยุดพูดถึงผู้หญิงคนนั้นได้แล้ว”
เขมชาติ เสียงเข้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ระคนเคียดแค้น จนเพื่อนทั้งสองคนสะดุ้ง
“ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น นับจากนี้จะไม่มีผู้หญิงที่ชื่อสุริยาวดีอยู่ในความทรงจำอีกต่อไป”
เพื่อนทั้งสองคนสะอึก มองหน้ากันไปมาด้วยความหนักใจ ทั้งสงสาร และ เห็นใจ

เขมชาติกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ และเกลียดชังอย่างสุดกำลัง

อ่านต่อหน้า 3

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

ความจงเกลียดจงชังถูกฝังอยู่ลึกๆ ภายในใจ จนเวลาล่วงผ่านมาถึงวันนี้ เขมชาติเหงื่อแตกพลั่ก

ชายหนุ่มหายใจหอบด้วยความเหนื่อย พลางกดหยุดเครื่องวิ่ง และค่อยๆเดินลงจากลู่อย่างหมดแรง แข้งขาอ่อนเปลี้ย
จากนั้นจึงเดินมาที่หน้าโทรทัศน์ พร้อมกับถอดเสื้อออกเห็นเหงื่อเปียกไปทั้งตัว พลางโยนเสื้อลงบน
โต๊ะกลางห้อง แรงสะบัดของเสื้อ ไปโดนรีโมทที่วิบูลย์ตั้งคลิปไว้ จนร่วงหล่นจากโต๊ะ ตกลงที่พื้น กดโดนปุ่มเพลย์
ก่อนที่จะฝาใส่ถ่านจะหลุดกระจายออก ถ่านด้านในกระเด็นกลิ้งไปคนละทิศคนละทาง
เขมชาติกำลังจะก้มลงเก็บรีโมทที่ตกอยู่ที่พื้น ในขณะที่โทรทัศน์เปิดขึ้น ภาพในจอเป็นภาพของ
สุริยงนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์
“นางสาวสุริยง ?” ภาพสมคิดกำลังนั่งสัมภาษณ์สุริยงอยู่ในคลิป
“นางค่ะ นางสุริยง..ดิฉันแต่งงานแล้ว”
เขมชาติเงยหน้าขึ้นมองในทีวี พลันที่เห็นหน้าสุริยง ชายหนุ่มก็กัดฟันกรอด แววตาฉายแววไม่พอใจ
ออกมาอย่างชัดเจน พยายายมรีบก้มหยิบรีโมทมากดปิด ภาพในจอยังคงดำเนินต่อไป
“ความรู้คุณไม่ถึงระดับปริญญา?” สมคิด ถามต่อ
“ค่ะ ระหว่างเรียนปริญญาตรี ดิฉันลาออกไปแต่งงาน”
เขมชาติกดปิดทีวี แต่ไม่ดับ ชายหนุ่ม พลิกรีโมทมาดูเห็นว่าไม่มีถ่าน เขมชาติรีบก้มมอง
หาถ่าน ในขณะที่เสียงสุริยง จากในทีวีดังยังบาดหู
“แต่ระหว่างติดตามสามีไปอยู่ต่างประเทศ ดิฉันได้ลงเรียนหลักสูตรเลขานุการ และการบริหาร
เพิ่มเติม ได้ทั้งประกาศนียบัตร และ อนุปริญญาตามหลักฐานที่แนบมาด้วยค่ะ”
เขมชาติกัดฟันกรอด ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นถ่านที่กลิ้งไปอยู่ใต้โต๊ะ
เขมชาติรีบหยิบมาและใส่ในรีโมททันที ในขณะที่ภาพในทีวี ยังคงดำเนินต่อไป
“ในประวัติบอกว่าคุณเคยเป็นเลขาให้เจ้าสัวชวลิต รัตนชาติ เจ้าของธนาคารรัตนชาติ คุณเองก็
นามสกุลรัตนชาติ คุณเป็นอะไรกับท่าน”
ภาพในทีวี เห็นแววความหนักใจฉายชัดอยู่เต็มดวงตาของสุริยง
“ ดิฉันเป็นภรรยาของท่านค่ะ”
เขมชาติที่ใส่ถ่านเสร็จพอดี ได้ยินประโยคนี้ ถึงกับชะงักกึก แววตาแข็ง ขึ้ง ขึ้นมาทันที ชายหนุ่มยัง
จำประโยคที่เพื่อนพูดไว้ได้อย่างไม่เคยลืม
“ในข่าวบอกว่าวดีแต่งงานกับเจ้าของธนาคารเพื่อนของคุณพ่อ แต่งแล้วก็ย้ายไปอยู่สวิส”
เขมชาติหน้านิ่งเครียด....กัดกรามกรอด.. เสียงในทีวียังดังต่อเนื่อง
“เจ้าสัวชวลิตเป็นถึงเจ้าของธนาคาร ถึงท่านจะเสียแล้ว แต่คุณน่าจะได้รับการดูแลบ้าง ทำไม
ยังต้องมาหางานทำ” สมคิดซักต่อ
“ดิฉันไม่ได้รับมรดกอะไรเลย ส่วนมรดกของลูกๆ ยังอยู่ในช่วงของการดำเนินการ”
“ถ้าเรื่องมรดกเรียบร้อย ลูกๆได้รับสมบัติ คุณจะลาออกหรือเปล่า ?” สมคิดถามตรงๆ
เขมชาติค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองหน้าสุริยงที่อยู่ในเจอทีวี สองคนเผชิญหน้ากัน
“สมบัติของลูกไม่เกี่ยวกับดิฉัน ไม่ว่าจะได้มากแค่ไหน ดิฉันก็ยังต้องทำงานเลี้ยงตัวเองและคุณ
พ่อ คุณแม่ที่เกษียณแล้ว ส่วนหลังจากจัดการเรื่องมรดกแล้วจะทำงานต่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของ
เจ้านายคุณ ว่าท่านจะจ้างดิฉันต่อหรือเปล่า”
เขมชาติกดค้างภาพไว้กึก หน้าสุริยงค้างอยู่ที่จอทีวี ชายหนุ่มมองดวงหน้าหญิงสาวในจอทีวี ด้วย
แววตานิ่ง ระคนชิงชัง และเคียดแค้น ภาพของสุริยงในจอทีวีและเขมชาติที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ เงาหน้าเขมชาติ
สะท้อนบนจอทีวี เสมือนหน้าสองคนอยู่คู่กัน

สุริยงนั่งอยู่บนเตียงนอน ในมือของหญิงสาวมีรูปคู่ระหว่างเธอกับเขมชาติสมัยยังเรียนอยู่ที่
มหาวิทยาลัย สุริยงมองดูรูปคู่ด้วยแววตานิ่ง แต่ข้างในเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ข้างๆ เตียงนอน มีกล่องไม้เล็กๆใบเก๋วางอยู่ ในกล่องมีรูปอยู่ประมาณ 10 กว่าใบ เป็นรูปตอนสุริยงเป็นเชียร์ลีดเดอร์และเขมชาติอยู่ในชุดนักกีฬาฟุตบอล และรูปของสองคนในชุดนักศึกษาถ่ายคู่กันในหลากหลายอิริยาบท
พลันภาพของเขมชาติเมื่อตอนเจอกันที่สนามบิน ก็ผุดขึ้นมาแทนที่
“จ่ายเงินเดือนให้เลขาใหม่ของคุณ 3 เดือน แล้วไล่ออกไป ! ผมไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”

เขมชาติยืนนิ่งในตำแหน่งเดิมราวกับถูกสะกด ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่เพียงครู แล้วก็ตัดสินใจ
กดภาพย้อนกลับไปใหม่อีกครั้ง
“ดิฉันไม่ได้รับมรดกอะไรเลย ส่วนมรดกของลูกๆ ยังอยู่ในช่วงของการดำเนินการ “
“ถ้าเรื่องมรดกเรียบร้อย ลูกๆได้รับสมบัติ คุณจะลาออกหรือเปล่า ?”
“สมบัติของลูกไม่เกี่ยวกับดิฉัน ไม่ว่าจะได้มากแค่ไหน ดิฉันก็ยังต้องทำงานเลี้ยงตัวเองและคุณพ่อ
คุณแม่ที่เกษียณแล้ว .. ส่วนหลังจากจัดการเรื่องมรดกแล้วจะทำงานต่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของ
เจ้านายคุณ ว่าท่านจะจ้างดิฉันต่อหรือเปล่า”
เขมชาติกดหยุด และกดย้อนกลับไปอีกที แล้วก็กดหยุด ก่อนที่จะกดเพลย์อีกครั้ง
“ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้านายคุณ”
เขมชาติกดหยุด พลางนิ่งคิด ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเขากับสุริยงวนเวียนกลับเข้ามาในหัว
สีหน้าของชายหนุ่ม นิ่งคิดแค้น ดวงตาวาวโรจน์ ฉายแววความจ้าเล่ห์ ก่อนที่รอยยิ้มนิดๆ จะผุดที่มุมปาก เหมือน
คิดแผนร้ายอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะรีบหยิบโทรศัพท์มากดโทร.ออก

โทรศัพท์มือถือของสุริยงดังขึ้น หญิงสาวหันไปมอง และเมื่อเห็นชื่อ ที่ปรากฎอยู่ที่หน้าจอ ก็นึก
แปลกใจ หากก็รีบกดรับ
“คุณสมคิดสวัสดีค่ะ อะไรนะคะ เริ่มงานพรุ่งนี้”
สุริยงถามย้ำ อย่างคาดไม่ถึง เสียงของสมคิดที่ปลายสายตอบกลับมาว่า
“ใช่ครับ คุณเขมเพิ่งโทร.หาผม ท่านสั่งให้คุณเข้าบริษัทตั้งแต่ 7 โมงเช้า “
“7 โมงเช้า?” สุริยงทวนคำ
“ครับ คุณเขมบอกว่ามีงานด่วน คุณสุมาได้นะครับ”
“ได้ค่ะ”
เสียงสมคิดที่ปลายสายเก็บอาการดีใจไว้ไม่มิด “โห ขอบคุณมากเลยครับ ดีใจด้วยนะครับคุณ
สุ พรุ่งนี้เจอกันครับ
“ขอบคุณค่ะ เจอกันค่ะ”

สุริยงวางสายไป หากยังคงนั่งนิ่ง งงงัน ก่อนที่จะหันมามองรูปของเขมชาติที่วางอยู่ในกล่อง และหยิบขึ้นมามาดูอีกครั้ง

เขมชาติยืนมองหน้าสุริยงจากทีวี แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เคียดแค้น

“ไม่ว่าเธอจะซมซานกลับมาหาฉันเพราะเหตุผลอะไร เธอจะต้องชดใช้กับสิ่งที่เธอทำกับฉัน
สุริยาวดี”
เขมชาติเห็นภาพของตัวเองในอดีต นอนนิ่งอยู่กลางถนน น้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด รวด
ร้าว ในมือกำกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ไว้แน่น
ในขณะเดียวกัน สุริยงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองดูรูป แววตานิ่ง สงบ ซ่อนเก็บความรู้สึกหวาดหวั่นไว้
ข้างใน หญิงสาวเงยหน้าขึ้น แววตามุ่งมั่น อย่างคนที่พร้อมรับกับทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมา สุริยงใช้มือข้างที่ใส่แหวนยื่นมากดปิด ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้าครึ่งเท่านั้น
หากหญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว สุริยงขยับชุดให้เข้าที่อีกครั้ง ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าและรีบเดินออกไป
สุริยงเดินเข้าไปในห้องนอนของลูกชายแฝด ไก่กับไข่นอนอยู่คนละเตียง หญิงสาวเดินเข้ามาหอมแก้มลูกชายทั้งคู่คนละที
“คุณแม่ไปทำงานนะครับ ไก่ไข่ปิดเทอมอยู่บ้าน ช่วยงานคุณตาคุณยายด้วยนะครับ”
ไก่ กับไข่ งัวเงียขึ้นมาตอบ “ครับแม่หนูเล็ก” จากนั้นก็หลับต่อ
สุริยงมอลูกชายฝาแฝด ด้วยความเอ็นดู แล้วก็รีบเดินออกไป ผ่านผนังห้อง ที่มีรูปหมู่ของ
ครอบครัว อันประกอบไปด้วยสุริยง ไก่ ไข่ และ ชวลิต ซึ่งดูสูงวัยกว่าสุริยงมาก แขวนอยู่ แววตาของชวลิตในรูป
เหมือนกำลังมองดูสุริยงและลูกๆด้วยความเป็นห่วง

อาทิตย์กำลังนั่งอยู่ในรถญี่ปุ่นเปิดประทุนคันเล็กๆ สภาพกลางเก่า กลางใหม่ จากนั้นก็ลองสตาร์ทเครื่อง นึกลุ้นว่าเครื่องจะติดหรือไม่ เมื่อเครื่องยนต์เริ่มทำงาน อาทิตย์ยิ้มอย่างพอใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่สุริยงเดินออกมาจากบ้านพอดี
“พ่อคะ หนูเล็กไปทำงานแล้วนะคะ” พูดพลางยกมือไหว้ผู้เป็นบิดา
“สวัสดีค่ะ”
จากนั้นก็หันหลัง ตั้งท่าจะเดินไปที่ประตูบ้าน หากก็ถูกผู้เป็นบิดารั้งไว้ก่อน
“หนูเล็กๆ เดี๋ยวก่อนๆ จะไปยังไง”
“แท็กซี่ค่ะ”
“ไม่ต้อง มานี่ๆ “ อาทิตย์พูดพลางลากแขนบุตรีมาที่ที่รถ “พ่อซ่อมเจ้าป๋องแป๋งให้แล้ว ขับไป
ทำงานได้ ไม่ต้องเรียกแท็กซี่”
สุริยงมอง “เจ้าป๋องแป๋ง” ด้วยความไม่วางใจ
“ แต่ก่อนหน้านี้ มันแน่นิ่งมาหลายปีแล้วนะคะพ่อ ไปได้แน่เหรอคะ ?”
“ได้” บิดายืดอกอย่างมั่นใจ “เชื่อมือพ่อเถอะน่า เจ้านายให้เข้าบริษัทแต่เช้าไม่ใช่เหรอ รีบไปได้แล้ว
เดี๋ยวเจ้านายเปลี่ยนใจไล่ออกอีกนะ ไปเร็วๆ พ่อสตาร์ทรถไว้ให้แล้ว”
สุริยง ยกมือไหว้อาทิตย์
“ ขอบคุณมากค่ะพ่อ หนูเล็กรีบไปก่อนนะคะ”
จากนั้นก็เปิดประตูรถ พร้อมกับเอากระเป๋าวางไว้ที่เบาะข้างๆ ก่อนที่จะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ
พลันเสียงของนภา ก็ดังขึ้น
“หนูเล็กๆ อย่าเพิ่งไปลูก เอาข้าวกล่องของแม่ไปด้วย “
ถัดมาเป็นชื่น ที่วิ่งตามมาพร้อมตะกร้าขนม
“ มีขนมด้วยค่ะ เพิ่งทำเสร็จอุ่นๆเลยค่ะ”
ยังไม่ทันที่สุริยงจะพูดอะไร นภากับชื่นก็พุ่งมาถึงตัว พร้อมกับยื่นกล่องข้าวและตะกร้าขนมเข้ามา
ในรถ
“ทำงานให้สนุกนะลูกนะ อย่าไปทะเลาะกับเจ้านายอีกนะ”
“คุณ...” อาทิตย์ปรามภรรยาเบาๆ และเหมือนนภา จะรู้ตัว นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที
“โชคดีนะลูก”
สุริยง ยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา “ขอบคุณค่ะแม่ ไปก่อนนะคะ “
รถกระป๋องของสุริยงค่อยๆ แล่นออกไป นภามองบุตรีที่เพิ่งขับรถออกไปด้วคยวามเป็นห่วง
“ฉันหล่ะเป็นห่วงหนูเล็กจริงๆ มีเจ้านายอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวไล่ออก เดี๋ยวเรียกกลับไปทำงาน
ลูกเราจะรับไหวมั้ยเนี่ย ?”
หากผู้เป็นสามีทำได้เพียงส่ายหน้า และมองตามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงพอกัน

สุริยงขับเคลื่อนรถกระป๋องมาด้วยความเร็วปานกลาง ในซอยมีลูกระนาดเป็นระยะ เมื่อรถปีนลูก
ระนาดครดใด ก็กระตุกๆกึกๆ เป็นระยะๆ สุริยงขับไป ขยับข้อมือดูนาฬิกาไปตลอดทาง ในใจนึกลุ้น เกรงจะไปไม่ทัน
เพราะเวลาล่วงเลยไปถึงหกโมงเกือบครึ่งแล้ว
พลันโทรศัพท์มือถือ ก็ดังขึ้น สุริยงหยิบมาดู พลางเสียบสมอลล์ทอล์คไว้ที่หู ก่อนจะรีบกดรับ
“สวัสดีค่ะคุณเอื้อ”
ในขณะเดียวกัน เอื้อ ที่กำลังขี่รถมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์คันเท่ พร้อมกับคุยโทรศัพท์ผ่านทางบลูธูทที่
ต่อเข้ากับหมวกกันน็อค
“ผมกำลังจะไปหาคุณที่บ้าน”
สุริยงรีบบอก
“หนูเล็กออกมาจากบ้านแล้วค่ะ กำลังจะไปทำงาน”
จบประโยค รถกระป่อง ก็กระแทกกับลูกระนาดแล้วก็ลงมาอย่างแรง ก่อนที่จะกระตุก 2-3 ครั้งแล้ว
ก็ดับไปเลย สุริยงตกใจ ร้องเสียงหลง
“ว้าย”
เอื้อ ที่กำลังขี่รถอยู่ก็ตกใจรีบถาม
“หนูเล็กเป็นอะไร?”
“ไม่รู้ค่ะ อยู่ๆรถก็ดับไปเฉยเลย”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”

เอื้อถามพลางเร่งเครื่องสุดแรง

อ่านต่อหน้า 4

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 1 (ต่อ)

สุริยงดึงล็อกเปิดกระโปรงหน้ารถ แล้วก็รีบเดินลงมาดู พลางพยายามหาวิธีเปิดกระโปรงหน้ารถอยู่เป็นนานกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์เอื้อเข้ามาจอดเทียบ

สุริยงหันไป เอื้อถอดหมวกกันน็อกออก พลางสะบัดผมเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มให้สุริยงด้วยความคุ้นเคย
“อุปสรรค์ตั้งแต่วันแรกแบบนี้ ผมว่างานนี้ อย่าไปทำเลยครับ”
สุริยงเลิกคิ้ ว “ อ้าว ทำไมพูดแบบนี้หล่ะคะคุณเอื้อ ไม่ให้กำลังใจกันเลย”
“ผมพูดเล่น ผมรู้ว่าคนอย่างคุณคิดจะทำอะไรแล้ว ใครห้ามยังไงก็ไม่ฟัง”
พูดพลางมองอย่างรู้ใจ สุริยงไม่เถียง เอื้อหันมาทางรถ
“มาครับ เดี๋ยวผมดูรถให้”
เอื้อเปิดกระโปรงรถอย่างง่ายดาย และก้มไปดูที่ห้องเครื่องอย่างชำนาญงาน ในขณะที่สุริยงยืนร้อน
ใจ พลิกดูนาฬิกาตลอดเวลาด้วยความกังวล
“รู้แล้วทำไมถึงดับ”
“ลองไปสตาร์ทดูนะคะ” สุริยงถามขึ้นมาอย่างดีใจ
เอื้อ หันมาจะตอบ แต่สุริยงรีบเดินไปแล้ว
สุริยงรีบขึ้นไปนั่งที่รถอย่างรวดเร็ว เอื้อมองขำๆ สุริยงรีบสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ทำงานคราง
กระหึ่ม สุริยงร้องตะโกนด้วยความดีใจ
“คุณเอื้อขอบคุณมากค่ะ หนูเล็กรีบไปทำงานเลยนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน”
เอื้อรีบปิดกระโปรงรถ พร้อมกับทวนคำ
“หะ ? ไม่ทัน ? นี่มันแค่หกโมงกว่าเองนะครับ หนูเล็กต้องเข้างานกี่โมง ?”
“เอ่อ..เจ้านายให้ไปถึง 7 โมงเช้าค่ะ”
เอื้อตาโต “ 7 โมง”
สุริยงรีบชิงตัดบท
“หนูเล็กรีบไปก่อนนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน ขอบคุณที่แวะมาซ่อมรถให้ค่ะ”
สุริยงเตรียมจะออกรถ หากก็นึกขึ้นมาได้ จึงหันมาถามเอื้อ
“ วันนี้คุณเอื้อมีสัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ไม่ใช่เหรอคะ รีบกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวก็เตรียมตัวไม่ทันพอดี
โชคดีค่ะ” จบประโยค สุริยงก็รีบออกรถไปอย่างรวดเร็ว เอื้อมองตามอย่างงงๆ
“อ้าว อะไรเนี่ย ? เรียกเรามาซ่อมรถ ซ่อมเสร็จก็ไล่อีกท่าทางเจ้านายคงดุมาก ถึงได้รีบขนาดนี้ “

รถสปอร์ตคันหรูพุ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าบริษัท ก่อนที่เขมชาติจะก้าวลงมา สมคิดรีบเดินออกมา
ต้อนรับ พลางพยักหน้าให้คนขับรถ ที่เดินตามมาติดๆ ให้รีบวิ่งไปรับรถของเขมชาติไปจอด
“สวัสดีครับคุณเขม”
เขมชาติถามเสียงเข้ม “ เลขาคนใหม่ของคุณมาหรือยัง ?”
“เอ่อ..” สมคิดอึกอัก หากยังไม่ทันจะเอ่ยประโยคต่อไป รถกระป๋องของสุริยง ก็แล่นมาจอดที่หน้า
บริษัท สภาพของรถ ที่แลดูก๋องแก๋งมาก ทำให้สมคิดหันไปมองด้วยความแปลกใจ พอเห็นสุริยงลงมาจากรถก็รีบพูด
ขึ้น
“คุณสุมาแล้วครับ”
เขมชาติปรายตาไปมอง พอเห็นสภาพรถก็เหยียดๆ แกมสะใจอยู่ในที สุริยงลงจากรถ พอเห็น
เขมชาติยืนอยู่ก็ชะงักนิดๆ ทั้งคู่สบตากันแว่บหนึ่ง เขมชาติสะบัดหน้า พลางออกคำสั่งกับสมคิด หากตั้งใจจะ
บอกผ่านให้สุริยงได้ยิน
“คุณสมคิด! บอกเลขาใหม่ของคุณด้วย วันหลังถ้าผมนัด 7 โมง แปลว่าจะต้องมาเตรียมความพร้อม
ก่อนเวลา สำหรับที่นี่ คำว่า “ตรงเวลา” ยังไม่พอ ต้อง “ก่อนเวลา” เท่านั้น “
สุริยงสะอึกนิดๆ ก้มหน้ารับ สมคิดทำหน้าไม่ถูก
“ครับ..ผมจะบอกคุณสุให้ครับ”
เขมชาติออกคำสั่งต่อ “ แล้วก็บอกให้เค้าไปพบผมที่ห้องทำงาน ด่วน” ยังไม่ทันที่สมคิดรับคำ
เขมชาติก็เดินเข้าบริษัทไปแล้ว
สมคิดหันมาส่งยิ้มแห้งๆ ให้สุริยง “ได้ยินแล้วนะครับ”
“ค่ะ “
“เชิญครับ” สมคิดพูดพลางเดินนำหน้า สุริยงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เหมือนพร้อมจะเผชิญศึกหนัก
ก่อนที่จะรีบสาวเท้าตามสมคิดเข้าไปในบริษัท


สุริยงเปิดประตูห้องทำงานของเขมชาติ เห็นเจ้าของห้องนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่
ห้องทำงานของเขมชาติหรูหรา มีระดับ สุริยงเดินเข้ามายืนตรงหน้าไม่ห่างจากโต๊ะมากนัก ในมือมีอุปกรณ์พร้อมจด
อันประกอบไปด้วยสมุดโน้ต โทรศัพท์มือถือ และแท็บแล็ต
เชมชาติกับสุริยงเผชิญหน้ากัน เขมชาติปรายตามอง แล้วเปิดฉากเสียงเข้ม
“จะยืนจดเหรอ? “
สุริยงชะงักนิดๆ เขมชาติพูดต่อ
“ไหนบอกว่า.เจ้าสัว... “สามี” “ น้ำเสียงเหยียดหยาม “สอนงานให้ทุกอย่าง เขาสอนให้มายืนค้ำ
หัวเจ้านายหรือไง?
“ขอโทษค่ะ” สุริยงกำลังหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า หากเสียงของเขมชาติก็ตวาดแทรกขึ้นมา
“เก้าอี้ตัวนั้นสำหรับแขก ไม่ใช่สำหรับเลขา ไปนั่งตัวอื่น”
สุริยงพยายามข่มอารมณ์อย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยๆลุกขึ้น และเดินไปนั่งโซฟาที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องห่างออกไป
เขมชาติ ปรายตามองแล้วก็พูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
“ไปนั่งซะไกลขนาดนั้น จะให้ผมตะโกนสั่งงานหรือไง ?”
สุริยงชักเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นนิดๆ หากพยายามข่มไว้ พลางหันมองไปรอบๆห้องก่อนจะหันมาพูด
อย่างสุภาพ
“ประทานโทษนะคะ ต้องการจะให้ดิฉันนั่งตรงไหนคะ ?”
“ตรงไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่เก้าอี้และโซฟา 2 ตัวนี้ “
สุริยงเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“ในห้องนี้มีเก้าอี้ และโซฟา 2 ตัวนี้เท่านั้น ถ้าไม่ให้นั่งจะให้ดิฉันทำยังไง ? หรือว่าเลขาเก่าๆของ
คุณเขมนั่งพับเพียบรับคำสั่งอยู่ที่พื้น”
จบประโยค เขมชาติก็สวนขึ้นมาทันควัน
“อย่าเรียกผมว่า “คุณเขม” ผมอนุญาตให้เรียกเฉพาะคนสนิทเท่านั้น สำหรับพนักงานที่เพิ่งมา
ทำงานวันแรก ยังอยู่ห่างไกลจากคำว่า “คนสนิท” “
สุริยง พยายามสะกดอารมณ์จนนิ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ค่ะ ท่านผู้อำนวยการ”
เขมชาติเชิดหน้า ยิ้มนิดๆ อย่างสะใจ สุริยงพูดต่อ
“ ตกลงจะให้ดิฉันนั่งตรงไหนคะ?”
“เรื่องแค่นี้ ถ้าไม่มี “ปัญญา”คิดเองไม่ได้ก็ “ลาออก” ไปซะ”
สีหน้า และแววตาของเขมชาติตั้งใจกวนโทษะสุริยงเต็มที่ หญิงสาวมองนิ่ง ก่อนจะรีบหันหลังลุกเดินอออกไปทันที

เขมชาติมองตาม แล้วก็ยิ้มสะใจ

เมื่อเดินพ้นจากห้องของเขมชาติ สุริยงก็ยืนระงับอารมณ์อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะ เหมือนจะหยิบกระเป๋ากลับบ้าน

คล้อยหลังที่สุริยงเดินออกไปจากห้อง เขมชาตินั่งยิ้มสบายใจ สะใจ
“โธ่..นึกว่าจะแน่”
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แววตาเขมชาติแปลกใจ หันขวับมาที่ประตูที่ถูกเปิดออก พร้อมกับ
สุริยง ที่เข็นเก้าอี้มาจากนอกห้อง แล้วก็ลากเข้ามาตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเก้าอี้แขก และโซฟา
“ดิฉันไม่ได้นั่งเก้าอี้ของแขก และไม่ได้นั่งโซฟาที่อยู่ไกลจนเกินไป ระยะห่างขนาดนี้..คิดว่าน่าจะ
กำลังดี “ท่านผู้อำนวยการ” จะได้ไม่ต้องตะโกน !! “
เขมชาติชะงัก สุริยงได้ที จึงรุกต่อ
“ดิฉันมีปัญญาคิดได้แค่นี้ ถ้ายังไม่เพียงพอ เชิญผู้อำนวยการ “ไล่ออก” ได้เลยค่ะ”
เขมชาติสะอึก เชิดหน้าขึ้นนิดๆ ใจเต้นแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมตบโต๊ะเสียงดัง เหมือน
จะตอบรับคำท้าทายนั้น
“จด !! และแปลสิ่งที่ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ส่งผมภายในบ่ายนี้ ผมจะพูดเพียง
รอบเดียวเท่านั้น ไม่มีการทวน ถ้าจดไม่ทันถือว่าบกพร่องต้องพิจารณาตัวเอง “
เขมชาติไม่ตอบแต่ออกคำสั่งแทน สุริยงโล่งใจนิดๆที่ไม่โดนไม่ออก แล้วก็รีบนั่งลง วางโทรศัพท์มือถือ
ไว้ข้างตัว วางแท็บแล็ตไว้บนตัก และเปิดสมุดเตรียมจด
เขมชาติ พูดรัว และเร็ว
“ถึงสมาคมนักออกแบบตกแต่งภายใน หลังจากที่บริษัทเขมชาติ ได้เปิดตัวให้ทุกท่านรู้จักแล้ว ทาง
บริษัทขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าเยี่ยมชมโรงงานเพื่อดูกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน......”
เขมชาติพูดแบบไม่เว้นช่วง เหมือนจงใจแกล้ง...สุริยงรีบจดตามอย่างรวดเร็ว

ในห้องทำงานสมคิด .. เห็นสมคิดกำลังตรวจดูบัตรประจำตัวของสุริยง ทันใดนั้นวิบูลย์ก็พรวดพราดเข้ามา
“คุณสมคิด”
สมคิด เงยหน้ามอง แล้วก็พูดอย่างรู้ทัน
“อยากรู้เรื่องคุณสุใช่มั้ย”
“ใช่ครับ มันเกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย ? ทำไมจู่ๆคุณเขมเกิดเปลี่ยนใจ”
“ไม่รู้” สมคิดส่ายหน้าประกอบคำตอบ
“อ้าว เจ้านายไม่ได้บอกเลยเหรอครับว่าทำไม ถึงเรียกคุณสุกลับมา”
“ไม่ได้บอก”
วิบูลย์นิ่งคิด “หรือว่า..จะเป็นเพราะคุณเขมดูคลิปสัมภาษณ์แล้วก็เกิดความสงสาร เห็นใจ เลยรับคุณ
สุเข้ามา ต้องใช่แน่ๆ คุณเขมก็มีมุมอ่อนโยนกับเค้าเหมือนกันนะเนี่ย ..ไม่อยากจะเชื่อเลย”
วิบูลย์ซึ้งใจอย่างคนที่ไม่รู้ความจริง

เขมชาติยืนหันหลังอยู่ เสียงเข้ม สุริยงนั่งจดอยู่ที่เดิม
“ด้วยความนับถือ ... เขมชาติ ธีระราช”
สิ้นประโยค สุริยงก็วางปากกาในมือ เขมชาติหันขวับมาทันที
“จดทันหรือเปล่า ?”
ยังไม่ทันที่สุริยงจะตอบ เขมชาติปรายตาไปเห็นกระดาษโน้ต ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วเดินพุ่งตรงเข้าไปหยิบโน้ตมาดู เห็นเป็นภาษาอังกฤษเต็มหน้า
เขมชาติ โวยวายเสียงดัง
“ผมบอกให้คุณจดทุกคำที่ผมพูด ผมพูดไทย คุณจดเป็นอังกฤษ แล้วมันจะได้ครบทุกคำได้ยังไง”
สุริยง พยายามข่มใจชี้แจงอย่างใจเย็น แต่ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“ดิฉันจดเป็นภาษาอังกฤษเ เพราะผู้อำนวยการสั่งว่าต้องการจดหมายที่แปลเป็นอังกฤษและฝรั่งเศส
ในบ่ายนี้ ซึ่งตอนนี้เหลือเวลาอยู่ไม่มาก ดิฉันถนัดภาษาอังกฤษมากกว่าการแปลขณะฟังและเกลาอีกเล็กน้อยจะช่วยให้
ทำงานเร็วขึ้น ส่วนคำพูดของผู้อำนวยการดิฉันเก็บไว้ “ทุกคำ” เพราะอัดไว้แล้วค่ะ”
สุริยงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้เห็นว่าอัดไว้อยู่จริงๆ เขมชาติปรายตามองชะงักนิดๆ
“แล้วถ้าที่อัดไว้ มันไม่ติด หรือมีปัญหา จะทำยังไง” เขมชาติไม่ยอมแพ้
สุริยง ชูแท็บแล็ตในมือขึ้น เห็นโปรแกรมอัดเสียง
“”ดิฉันอัดใส่แท็บแล็ตไว้ด้วยค่ะ ท่านเจ้าสัว สามี ดิฉัน” สุริยงจงใจเน้นคำว่า “สามี “
“สอนเสมอว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามต้องมีทางเลือกเผื่อเอาไว้เสมอ”
เขมชาติอึ้ง หากยังไม่ยอมรามือ
“ออกไปได้แล้ว และก็จำไว้ด้วย ตอนนี้ผมเป็นเจ้านาย คุณต้องทำตามที่ผมสั่ง ผมบอกให้ไป คุณ
ถึงจะไปได้...แต่ถ้าผมยังไม่ให้ไป คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
สุริยงหน้านิ่ง นึกรู้ความหมายที่แฝงไว้ในประโยค
“และเวลาอยู่ที่นี่ห้ามคิดเรื่องอื่น ให้คิดแต่เรื่องงาน อย่ามาโกงเวลางาน คนขี้โกง คนขี้โกหก..ผม
เกลียดที่สุด เกลียดจนวันตาย”
เขมชาติมองหน้าสุริยง ทั้งคู่ต่อสู้กันทางสายตา
“ค่ะ ดิฉันจะจำไว้”
สุริยงลุกขึ้นกำลังจะลากเก้าอี้ออกไป แต่เขมชาติยังไม่ยอมหยุด
“ยังมีอีก ถ้าผมไม่เรียก ห้ามเข้ามาในห้องนี้ และถ้าผมไม่พูดด้วย ก็พูดกับผมไม่ได้”
สุริยง สูดลมหายใจ อย่างพยายามข่มความรู้สึกเต็มที่
“ค่ะ...ดิฉันรับทราบ”
พูดจบสุริยงกำลังจะลากเก้าอี้ออกไป แต่เขมชาติก็พูดดักขึ้น
“เดี๋ยว นี่แค่เริ่มต้น ถ้ายังคิดที่จะทำงานต่อ จะต้องเจออีกมาก”
สุริยง นิ่ง คิด และหันมาตอบอย่างนิ่งๆ เน้นๆ
“ ดิฉันทราบค่ะ .. ถ้าดิฉันไม่พร้อม ดิฉันคงไม่มาสมัครงานที่นี่ ถ้าเป็นเรื่องงานดิฉันพร้อมเจอทุก
อย่าง”
พูดจบ สุริยงก็เดินลากเก้าอี้ออกไป และทันทีที่ประตูห้องปิดลง เขมชาติ ก็รำพึงกับตัวเอง
“เก่งให้ตลอดก็แล้วกัน “
แววตาฉายความดูแคลนอย่าชัดเจน



สุริยงเดินออกมายืนอยู่ที่โต๊ะ..แล้วก็ถอนใจเบาๆ อย่างโล่งอก พร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบมาดูขึ้นชื่อ “คุณเอื้อ” หญิงสาวหันไปดูนาฬิกาแล้วก็กดรับ
“เวลานี้ต้องอัดรายการไม่ใช่เหรอคะ ?”

ห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างหรูหราของเอื้อ ที่อยู่บนตึกสูง ถูกเปิดออก เจ้าของห้องในชุดสูทเรียบ หรู เดิน
นำหน้าเลขาเข้ามา พลางตอบคำถามของสุริยง
“ใช่ครับ ทีมงานมารอแล้ว แต่ที่โทร.มา เพราะจะขอบคุณที่ช่วยเลือกชุดสำหรับวันนี้ มีแต่คนชม เลย
ต้องโทร.มาขอบคุณสไตลิสท์กิตติมศักดิ์ “
สุริยงคุยโทรศัพท์ไป จัดโต๊ะเตรียมทำงานไปด้วย
“ด้วยความยินดีค่ะ วันนี้หนูเล็กคงไม่ได้ดูรายการเพราะต้องทำงาน เอาไว้ค่อยดูย้อนหลังนะคะ “
เอื้อเดินเข้ามาในห้องด้านในอีกมุมหนึ่ง เห็นทีมงานกำลังเตรียมการอัดรายการโทรทัศน์
“ผมต้องอัดรายการแล้ว เรียบร้อยแล้วจะโทร.หานะครับ”
“ค่ะ... เป็นกำลังใจให้นะคะ สวัสดีค่ะ”
สุริยงยิ้มอย่างกันเอง ก่อนจะกดวางสาย พลันเสียงเขมชาติก็ดังขึ้น
“คุยโทรศัพท์กับใคร?”
สุริยงหันกลับมาทางต้นเสียง เห็นเขมชาติยืนอยู่ที่ประตู ไม่รู้ว่ามายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าของเขมชาติ
ในยามนี้ แลดูหน้าดุดัน

สุริยงได้แต่นิ่งอึ้ง เมื่อเห็นแววตาแห่งความไม่พอใจของเขมชาติฉายชัด

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น