xs
xsm
sm
md
lg

ทางออกสำหรับความขัดแย้งในเมืองไทยเวลานี้

เผยแพร่:   โดย: เจฟฟรีย์ เรซ

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

History shows way out of Thai conflict
By Jeffrey Race
13/01/2014

มีความเชื่อกันอย่างง่ายๆ และตื้นเขินว่า การชุมนุมเดินขบวนที่กำลังครอบคลุมเกาะกุมกรุงเทพฯก่อนหน้าการเลือกตั้งซึ่งกำหนดเอาไว้ ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ เป็นการปะทะกันระหว่างคนไทยชนบทผู้ยากไร้ กับชนชั้นกลางในเมือง แต่สาเหตุเบื้องลึกลงไปของความตึงเครียดคราวนี้ก็คือ การที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ล่วงละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมของคนไทยอย่างโจ่งแจ้งอุกอาจ โดยที่เขาต้องการกินรวบเหมาขนมหวานหมดทั้งเข่ง ทั้งนี้เงื่อนไข 2 ประการที่จะทำให้ความปั่นป่วนวุ่นวายในปัจจุบันคลี่คลายไปได้ ได้แก่ ประการแรก การที่ทักษิณต้องลี้ภัยอยู่ในต่างแดนอย่างถาวร และตระกูลของเขาต้องสละตัดขาดจากอำนาจ ประการที่สอง ผู้ประกอบการทางการเมืองกลุ่มอื่นๆ ต้องนำเสนอนโยบายอันซื่อตรงไร้เล่ห์กล ในการยกระดับคนชนบท ขึ้นมาแข่งขันกับของทักษิณ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ถูกโค่นล้มลงจากตำแหน่ง เป็นผู้ซึ่งนำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเรื่องใหม่มาสู่ประเทศไทย มันเป็นสิ่งที่กำลังขัดขวางไม่ให้เกิดหนทางออกอันสันติแก่ความขัดแย้งซึ่งเวลานี้กำลังแสดงความโกรธเกรี้ยวอยู่ตามท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงเทพฯ และมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาเป็นผู้เปิดประตูทางการเมืองให้แก่บรรดาผู้ด้อยสิทธิ์ในชนบท อย่างที่สื่อมวลชนและนักวิจารณ์แสดงความเห็นต่อสาธารณชน (ของโลกตะวันตก) ชอบอธิบายอย่างง่ายๆ แต่ตื้นเขินเลย

สื่อมวลชนของโลกกำลังให้ความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอุทิศทั้งพื้นที่ในการเสนอข่าวและในการเสนอบทความทัศนะความคิดเห็น แก่ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเวลานี้กำลังบ่ายหน้าไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ โดยที่พรรคฝ่ายค้านหลักประกาศแล้วว่าจะคว่ำบาตรไม่เข้าร่วม

ทั้งสื่อมวลชนและบุคลากรสาธารณะที่เป็นชาวท้องถิ่นในกรุงเทพฯ กำลังส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างทรงพลังมากขึ้นทุกทีว่า การเสนอข่าวและความคิดเห็นของสื่อมวลชนระหว่างประเทศนั้น จำนวนมากทีเดียวเป็นไปอย่างโง่เขลาและบิดเบือน เนื่องจากทัศนะอันหมกมุ่นฝังแน่นและการมีความรับรู้เข้าใจประวัติศาสตร์ทางการเมืองในแบบวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจากของไทยโดยสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกัน การวิจารณ์แสดงความเห็นแบบแส่เข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญของพวกเจ้าหน้าที่ต่างชาติทั้งหลาย ก็มีแต่ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้แก่อารมณ์ความรู้สึกของคนท้องที่ การเสนอข่าวและความคิดเห็นของต่างชาตินั้น มักจับให้ความขัดแย้งนี้อยู่ในแบบฉบับของการต่อสู้ช่วงชิงความได้เปรียบกันระหว่างชนชั้นต่างๆ ในสังคม ขณะที่มิติดังกล่าวนี้ก็มีดำรงอยู่จริงๆ แต่การที่เอาแต่มองง่ายๆ และตื้นๆ เช่นนี้ ก็ทำให้พลาดไม่ได้มองระนาบอื่นๆ ของความขัดแย้งนี้ ตลอดจนเกิดความคลุมเครือมืดมัวมองไม่เห็นถึงวิธีที่มันอาจจะจบลงในหนทางที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทย

ความขัดแย้งในปัจจุบัน ได้นำเอาผู้คนเป็นแสนๆ คนออกมาสู่ท้องถนนในกรุงเทพฯเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา และองค์ประกอบซึ่งเป็นใจความสำคัญของมันก็เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายในแง่มุมของความเหมือนกันกับสิ่งซึ่งเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ กล่าวคือ มีกลุ่มพันธมิตรขนาดใหญ่ 2 กลุ่มกำลังต่อสู้ช่วงชิงกันเพื่อเข้าครอบครองควบคุมรัฐไทย ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของผลประโยชน์ชนิดจับต้องได้อันอุดมสมบูรณ์ ดังที่จะเห็นได้ว่าภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีที่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก่อนที่เขาจะตกลงจากอำนาจในปี 2006 ทักษิณได้พุ่งผงาดจากเพียงแค่เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง กลายมาเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย

ด้วยแบบแผนปฏิบัติซึ่งเป็นเรื่องสามัญทั่วไปของการเมืองไทย กลุ่มพันธมิตรรายหนึ่งจึงมีศูนย์กลางอยู่ที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีคือ พรรคไทยรักไทย ก่อนที่พรรคนี้จะถูกคำพิพากษาของศาลสั่งยุบเลิกไปในปี 2007 เนื่องจากมีการประพฤติมิชอบในการเลือกตั้ง จากนั้นก็กลายมาเป็นพรรคพลังประชาชน และถึงเวลานี้คือ พรรคเพื่อไทย โดยที่พรรคชื่อต่างๆ เหล่านี้ อยู่ในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับการแผ่ขยายผลประโยชน์ของเครือตระกูลชินวัตรและพรรคพวก

ในอดีตก็เคยมีตัวอย่างในทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1960 และทศวรรษ 1970 ได้แก่กรณีของพรรคสหประชาไทย ซึ่งมีฐานะเป็นเครื่องมือของตระกูลผู้ปกครองอย่างตระกูลกิตติขจร และตระกูลจารุเสถียร สำหรับการรักษาฐานะครอบงำของพวกเขาให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หรืออย่างกรณีของพรรคชาติไทย ซึ่งให้บริการแก่ตระกูลชุณหะวัณ และตระกูลอดิเรกสาร สำหรับพรรคเพื่อไทยและพรรคในอดีตชาติก่อนหน้านั้นของพรรคนี้นั้น ปรากฏว่ามีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดพวกผู้สนับสนุนทรงอิทธิพลทั้งในทางการเงินและในทางการเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นพวกที่กะเก็งคาดคำนวณเอาไว้ว่า การมีสายผูกพันเช่นนี้จะทำให้พวกเขาได้ผลตอบแทนมากกว่าทางเลือกอื่นๆ

พรรคการเมืองพรรคนี้ในปัจจุบัน มีฐานะเป็นผู้ครอบงำรัฐ โดยเข้าไปมีบทบาทบงการอย่างแข็งแกร่งยิ่ง ในประดากระทรวงทบวงกรมทางด้านพลเรือนทั้งหลาย แต่ลดหลั่นด้อยน้อยลงมาในหน่วยงานฝ่ายทหารและองค์กรกึ่งอิสระ ขณะที่พรรคนี้ห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่ประดับประดาด้วยวลีถ้อยคำปลุกเร้าอารมณ์ อย่างเช่น “ประชาธิปไตย”, “ความยุติธรรม”, และ “สวัสดิการของประชาชน” แต่พวกผู้นำของพรรคกลับไม่ได้มีเป้าหมายอะไรอื่นนอกเหนือจากผลประโยชน์ส่วนตัว ทว่านี่ก็เป็นบรรทัดฐานปกติของแวดวงการเมืองในทุกๆ ประเทศ ถึงแม้คำนิยามจำกัดความในเรื่องที่ว่า อะไรเป็นความถูกต้องชอบธรรม และอะไรไม่ใช่ อาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละที่แต่ละแห่งก็ตามที

อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองที่เปลี่ยนแปลงใช้ชื่อต่างๆ กันของทักษิณ เป็นเพียงพลังทางการเมืองหนึ่งเดียวในระยะหลังๆ นี้ ซึ่งมุ่งผลักดันนโยบายต่างๆ ที่กำลังนำเอาความเจริญอย่างมีสาระสำคัญและอย่างแท้จริงไปสู่พื้นที่ชนบทต่างๆ ของประเทศ ถึงแม้ว่าในเวลาเดียวกันนั้น นโยบายของพวกเขาจำนวนมากก็อยู่ในลักษณะสวยแต่รูป, ไม่อาจดำรงคงอยู่ได้ในระยะยาวไกล, และกลายเป็นน้ำพุแห่งการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง

พรรคที่เป็นเครื่องมือของทักษิณ สามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้แก่ความคิดจินตนาการ และสามารถกระตุ้นให้ผู้คนที่อยู่ในระดับล่างๆ ของสังคม โดยเฉพาะผู้ที่มาจากภูมิภาคซึ่งมีความลำบากทุกข์ยากทางเศรษฐกิจ ให้เข้ามีส่วนร่วมในการชุมนุมเดินขบวนครั้งต่างๆ นี่ก็คือพวกที่เรียกขานกันว่า “คนเสื้อแดง” ซึ่งเริ่มต้นการชุมนุมเดินขบวนเมื่อปี 2010 ของพวกเขาในรูปแบบวิธีการอันสุภาพและสงบตามธรรมดาของคนไทย แต่แล้วกลับยุติลงด้วยการจุดไฟเผาอาคารศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ตลอดจนอาคารอื่นๆ ในบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ และตกอยู่ในฐานะเป็นเหยื่อแห่งการใช้ความรุนแรงของรัฐ

ส่วนในทางอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นกลุ่มผู้คนที่มารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก (ระดับแสนๆ คน) ซึ่งเวลานี้กำลังยึดครองพื้นที่ย่านใจกลางกรุงเทพฯเอาไว้ โดยที่คนไทยเรียกขานกันด้วยความเอ็นดูว่า “ม็อบ” (ในภาษาอังกฤษ คำว่า mob ปกติแล้วหมายถึงฝูงชนที่ก่อความวุ่นวาย –ผู้แปล) ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้ว พวกเขามีปกติประพฤติตนอย่างดีมาก, คอยดูแลจัดการจราจรให้สามารถเคลื่อนตัวไปได้, และคอยเก็บกวาดทำความสะอาดสิ่งที่พวกตนทำสกปรกเปรอะเปื้อนไว้ ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา พวกเขาเติบใหญ่เข้มแข็งมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจจากบุคคลต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วปรากฏขึ้นมาจากวงการธุรกิจ และในบางกรณีเป็นผู้ที่เคยมีสายสัมพันธ์โยงใยในอดีตอยู่กับพวกพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายคัดค้านพรรคเครื่องมือของตระกูลทักษิณ

กลุ่มผู้ชุมนุมเหล่านี้มีเงินทองใช้จ่ายในระดับคล่องมือ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนแม้เพียงมองด้วยตาเปล่า เป็นต้นว่า พวกเขามีการจัดทำป้ายสัญญาณจราจรเพื่อเตือนให้รถราที่สัญจรไปมาให้เปลี่ยนเส้นทาง (ป้ายเขียนข้อความว่า “เลี้ยวขวา – มีมวลชนชุมนุมอยู่ข้างหน้า”), มีการแจกจ่ายอาหารให้รับประทานโดยไม่คิดมูลค่า, มีระบบขนส่งที่ประณีตซับซ้อนสำหรับผู้ชุมนุมประท้วง, มีเครื่องมืออุปกรณ์ด้านการสื่อสาร, มีช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม, และมีจอมอนิเตอร์แอลซีดีขนาด 72 นิ้วตั้งเรียงรายเป็นระยะตลอดพื้นที่การชุมนุม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมจำนวนมากซึ่งนั่งหรือยืนอยู่ห่างจากเวทีกลาง (โดยที่เวทีกลางก็มีการเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง ตามการปฏิบัติการที่วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี) สามารถที่จะติดตามรับชมรับฟังผู้ที่ขึ้นพูดกล่าวปราศรัยบนเวทีได้

พวกที่เป็นผู้ออกเงินทุนสนับสนุนการชุมนุมประท้วงนี้ โดยทั่วไปแล้วคือพวกซึ่งถูกบีบคั้นรังแกจนอยู่อย่างลำบากลำบน จากแผนการของตระกูลชินวัตรที่จะเข้าครอบงำบงการเศรษฐกิจในประเทศ โดยผ่านการเข้าผูกขาดกิจการต่างๆ และการเข้าครองสัมปทานอภิสิทธิ์ต่างๆ อย่างไม่ขาดสาย หรือก็คือสิ่งที่พวกนักวิจารณ์แสดงความคิดเห็นผู้มีข้อมูลความรู้ และนักวิชาการชาวไทยเรียกกันว่า “การทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” นั่นเอง มีเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นที่บุคคลจากตระกูลผู้ออกเงินทุนเหล่านี้จะมาปรากฏตัวในที่ชุมนุมประท้วง

ส่วนใหญ่ของ “ม็อบ” ประกอบด้วยผู้คนจากทุกระดับ โดยที่ว่าหลักๆ แล้ว มาจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล กับพวกจังหวัดทางภาคใต้ การสำรวจที่ผู้เขียนได้จัดทำเป็นการส่วนตัวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ผู้เขียนได้เป็นประจักษ์พยานถึงกระแสคลื่นเคลื่อนไหลของกลุ่มคนจำนวนมหึมา ซึ่งเคลื่อนตัวมาตามถนนราชดำเนินมุ่งสู่บริเวณพระบรมมหาราชวัง มวลชนเหล่านี้มีทั้งหนุ่มสาวและผู้สูงวัย มีทั้งผู้ที่แต่งกายอย่างดีและผู้ที่แต่งกายแบบลำลอง มีทั้งที่เดินกันมา และมีทั้งที่ขี่รถจักรยานและรถจักรยานยนต์ ตลอดจนขับรถเอสยูวีราคาแพง มวลชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยพุทธ แต่ก็มีมากมายที่แต่งกายบ่งบอกว่าเป็นชาวไทยมุสลิม พวกเขาล้วนแต่อยู่ในอารมณ์สนุกสนานชื่นบาน

ความโดดเด่นของ “ม็อบ” เหล่านี้คือ การมีปวงผู้นำที่มาจากสถานภาพสูงของสังคม และเป็นพวกที่ให้ความชอบธรรมและคุ้มครองแก่มวลสมาชิกในอันที่จะครอบครองพื้นที่สาธารณะ อันเป็นสิ่งที่ไม่แม้แต่จะนึกสำหรับมวลสมาชิกซึ่งมาจากสถานะทางสังคมที่ด้อยกว่า และมาจากขนบประเพณีอันเข้มงวดที่ห้ามไว้ พวกเขามิได้ถูกปลุกเร้าให้เข้าร่วมโดยผลประโยชน์จำพวกวัตถุสิ่งของ ทว่า เฉกเช่นผู้มีจิตอาสาที่เข้าร่วมในกิจกรรมการเมืองประเทศต่างๆ พวกเขาถูกกระตุ้นเร้าโดยความปรารถนาในความตื่นเต้น ความสนุกสนานร่วมกับเพื่อนๆ และความปรารถนาที่จะเข้าร่วมอยู่ในความมุ่งหมายจะยกระดับประเทศชาติ

การเข้าใจแรงจูงใจและฐานะของผู้นำที่มีสถานภาพสังคมระดับสูงเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสู่การมองเห็นอนาคตของการต่อสู้ครั้งนี้

**แบบแผนในการปกครอง**

ใครก็ตามที่เดินทางมาถึงประเทศไทย ต่างตระหนักได้ภายในเวลาสองสามนาทีที่ออกจากสนามบินว่า คนไทยแตกต่างในเชิงวัฒนธรรมเมื่อเทียบกับคนชาติอื่นๆ โดยเป็นความต่างในหลายๆ ด้านซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ การเมือง และเหนืออื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ทั้งนี้ ทุกแง่มุมของชีวิตล้วนอยู่ในอิทธิพลของแนวคิดพุทธศาสนานิกายเถรวาท ว่าด้วยมรรคแปด และทางสายกลาง

ณ จุดยอดของสังคม คือพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ในปัจจุบันมิได้ทรงเป็นผู้ปกครองโดยตรงแล้ว แต่ก็ยังทรงครองราชย์โดยยึดอยู่ในหลักทศพิธราชธรรมตามคติแบบอินเดียโบราณ รัฐมนตรีของพระองค์อาจจะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ทรงกำหนดแนวศีลธรรมของประชาคม ซึ่งจะเป็นเครื่องค้ำประกันความอยู่รอดของประเทศ หากไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ก็ย่อมจะไม่เข้าใจการเมืองไทย หรือกระทั่งไม่เห็นแนวโน้มความเป็นไปของสถานการณ์ปัจจุบัน

การควบคุมรัฐไทยในยุคใหม่เป็นไปโดยผ่านการเปลี่ยนผู้นำในรูปแบบที่มีกติกาเรียบร้อย จวบกระทั่งสิ้นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อต้นทศวรรษ 1930 ในการนี้ เพื่อจะธำรงทางสายกลาง บุคลากรทางการเมืองมีการฉ้อโกงอย่างพอประมาณ โดยยังยอมรับได้กับความไม่ยั่งยืนของชีวิต (นี่ก็อีกที่เป็นแนวคิดแบบพุทธ) และดังนั้น ก็จะยอมปล่อยวาง ยอมก้าวพ้นออกไปโดยที่นำเอาสิ่งที่สั่งสมมาติดไปด้วย (หรือกระทั่งยอมละทิ้งสิ่งที่ได้มาไปทั้งหมด นี่ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต)

ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครพยายามจะครอบงำบงการเหนือประเทศหรือเหนือระบบเศรษฐกิจ โดยมีบ้างเป็นบางคราวที่ต้องมีการขับไล่ผู้ทรงอำนาจทางการเมือง (ด้วยวิธีอย่างเช่น การเดินขบวนอย่างมโหฬาร, การเคลื่อนรถถังไปตามท้องถนน, การกระซิบสั่งที่ว่ากันว่ามาจากสถาบันพระมหากษัตริย์) กระนั้นก็ตาม การเมืองไทยเดินหน้าต่อเนื่องโดยมีการผลัดเปลี่ยนผู้นำ และทุกคนมีโอกาสจะได้ส่วนแบ่งกันไป

รัฐไทยสามารถสร้างและควบคุมความมั่งคั่งอันพิเศษพิสดาร ซึ่งมีปริมาณเหลือเฟือให้แก่ทุกคน ไม่มีใครที่อดตายในเมืองไทย ในเวลาเดียวกัน แม้พวกผู้ทรงอำนาจและผู้มีอันจะรับประทานทั้งปวงต่างพึงพอใจที่จะมีชื่อเสียง มีภาพปรากฏในหน้าข่าวสังคม แต่พวกนี้จะไม่โปรยปรายอวดตัวแสดงความมั่งคั่งไปกับเรื่องต่างๆ ดั่งที่ทำกันในสังคมอื่นๆ ของเอเชีย หรือในที่ใดๆ ของโลก

ทักษิณ ซึ่งเป็นจอมยุยงบงการผู้ฉลาดหลักแหลม แต่ขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและสามัญสำนึก ได้ลาออกจากการรับราชการตำรวจตั้งแต่ยังหนุ่ม เพื่อแสวงหาโอกาสเชิงพาณิชย์สารพัดแนวทาง โดยผลที่ได้รับส่วนใหญ่นั้นไม่ดีเลย จนกระทั่งไปค้นพบสูตรลับผู้ชนะสิบทิศ นั่นคือ การได้รับงานโครงการใหญ่กำไรงามจากรัฐบาลโครงการแล้วโครงการเล่า แรกสุดเลยคือการเป็นผู้จัดซื้อจัดหาวิทยุสื่อสารยี่ห้อโมโตโรลา (Motorola) ให้แก่กรมตำรวจ จากนั้นก็เป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโมโตโรลาในตลาดเมืองไทย ในตอนนั้น (ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่คงหลงลืมกันไปหมดแล้ว) เป็นช่วงเวลาที่โมโตโรลาคือผู้นำในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ และโทรศัพท์มือถือเพิ่งกำลังเริ่มต้นกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปจะต้องมีไว้ใช้สอยขึ้นมา

และแล้วก็เช่นเคย ทักษิณมีลูกเล่นชั้นเซียนที่จะสร้างความร่ำรวยให้แก่ตระกูลของเขา นั่นคือ การปิดล็อกให้ขายบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ซึ่งโดยรูปธรรมคือการขายบัตรซิมการ์ดระบบจีเอสเอ็ม GSM SIM card) เฉพาะแก่ผู้ใช้ที่มาซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือด้วยเท่านั้น อันที่จริงแล้วการกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่ในเวลานั้น ซึ่งตรวจสอบดูแลโดยสมาคมผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ จีเอสเอ็ม (GSM MoU Association) แต่มันทำให้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มราคาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเมืองไทย ให้อยู่ในระดับ 3 เท่าตัวของราคาระหว่างประเทศ โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้ (จากเครื่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโมโตโรลา) จะไหลเข้ากระเป๋าของตระกูลทักษิณ มิหนำซ้ำเงินจำนวนมากกว่านั้นด้วยซ้ำของลูกค้าผู้จำยอม ก็จะไหลเข้าสู่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ที่เป็นกิจการให้บริการด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตระกูลของเขาในตอนนั้น

การดำเนินการในลักษณะผูกขาด ตั้งแต่ตอนต้นๆ ในเส้นทางอาชีพการเมืองของทักษิณเช่นนี้ เป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าถึงการบงการปลุกปั่นและการใช้กระบวนการของตลาดไปในทางที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งได้กลายเป็นลักษณะโดดเด่นแห่งวิถีทางในการจัดทำและการดำเนินนโยบายสาธารณะของทักษิณและพรรคการเมืองในเครือของเขา กระนั้นก็ตาม ด้วยพลังงานของทักษิณและด้วยท่าทางการวางตัวที่สามารถจูงใจคนของเขา ก็ได้ทำให้เขามีบทบาททางการเมืองซึ่งทรงความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เขาสามารถสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้ผงาดโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน ในรูปแบบของบุคคลผู้สามารถบันดาลให้เรื่องยากลำบากทั้งหลายประสบความสำเร็จได้ และภาพลักษณ์เช่นนี้ก็มีศักยภาพที่จะกระตุ้นเติมพลังชีวิตชีวา ให้แก่ระบบราชการของรัฐที่เวลานั้นอยู่ในภาวะดำเนินงานไปอย่างกะปลกกะเปลี้ยอุดมไปด้วยความสะดุดติดขัด

ทั้งนี้ในช่วงทศวรรษ 1980 ผู้เขียนคนนี้ได้เคยเข้าพบนายตำรวจยศพลตำรวจตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาของกองตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อสอบถามถึงเหตุผลว่าทำไมการยื่นขอมีฐานะเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยของผู้เขียนจึงถูกปฏิเสธ ปรากฏว่านายตำรวจผู้นี้เปิดลิ้นชักของเขา และดึงกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมาเขาก็ตอบว่า ผู้เขียนไม่เคยจ่ายสินบนตามธรรมเนียมอย่างที่ปฏิบัติกัน ผู้เขียนจึงบอกขอบคุณเขาและเดินจากมา ตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษหลังจากนั้น ผู้เขียนจึงยังต้องบินเข้าบินออกประเทศนี้เป็นประจำทุกๆ 3 เดือน

ภายหลังทักษิณเข้าผลักดันให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและทำงานอย่างกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เคยเป็นกระบวนการอันสร้างความเจ็บปวดทั้งใจและกาย อีกทั้งเสียเวลาและมีราคาแพงลิ่ว สำหรับชาวต่างประเทศ ก็กลับกลายเป็นกระบวนการที่เสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว, ง่ายดาย, และแน่นอน บรรดาพลเมืองชาวไทยก็มีประสบการณ์ทำนองเดียวกันว่า การติดต่อกับทางราชการแบบธรรมดาสามัญประจำวันนั้นมีการปรับปรุงประสิทธิภาพดีขึ้นมากอย่างน่าตื่นใจ

ทักษิณได้สร้างพรรคไทยรักไทยขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัวเขา และพรรคนี้ก็ได้กลายเป็นพาหะในการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ตระกูลของเขาและเหล่ามิตรสหาย ในลักษณะแบบแผนไทยตามประเพณีเดิมๆ เอามากๆ ทว่าสิ่งที่ขัดแย้งกับประเพณีก็คือ กลุ่มพันธมิตรแห่งผลประโยชน์นี้เริ่มต้นบีบคั้นข่มเหงรังแก่ทุกๆ ภาคส่วนของเศรษฐกิจและทุกๆ ภาคส่วนของระบบการเมือง ทั้งนี้เครื่องมือทางสาธารณะที่ปูทางทำให้กลุ่มพันธมิตรของทักษิณมีศักยภาพเปี่ยมล้นถึงขนาดกระทำสิ่งนี้ได้นั้น มาจากนโยบายแบบประชานิยมชุดหนึ่ง ซึ่งยังคงผลิดอกออกผลแจกจ่ายผลประโยชน์ทางการเลือกตั้งให้แก่พรรคเครื่องมือของเขาแม้กระทั่งในทุกวันนี้

มีบางคนมองว่า ลักษณะอันหมกมุ่นดึงดันของทักษิณ ทั้งในเรื่องไม่ปรารถนาที่จะประนีประนอม, ไม่ปรารถนาที่จะปล่อยวางและยอมก้าวพ้นออกไป, ตลอดจน “ใครชนะก็กินรวบแบบเหมายกเข่ง” ทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจนั้น เติบโตงอกเงยมาจากการที่เขาได้รับการปฏิบัติอย่างไร้ความสุข เมื่อตอนที่ยังเป็นเยาวชนอยู่ในครอบครัวทางภาคเหนือของประเทศไทยที่มีรากเหง้าอพยพมาจากเมืองจีน แต่ไม่ว่าแหล่งที่มาแห่งลักษณะเหล่านี้ของเขาจะเป็นอะไรก็ตามที แรงจูงใจและการกระทำที่ตามมาของทักษิณ ก็นำไปสู่การที่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับส่วนประกอบอันทรงอำนาจต่างๆ ของสังคมไทย, การที่เขารู้สึกไม่สบายใจกับการทุจริตคอร์รัปชั่นในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน, และการที่กล่าวกันว่าเขามีความสัมพันธ์อันขึงตึงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เขาถูกโค่นลงจากอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี 2006 จากนั้นจึงติดตามมาด้วยการที่เขาถูกสอบสวนด้วยข้อหาประพฤติมิชอบในขณะอยู่ในตำแหน่งหลายคดี จนนำไปสู่การที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาฐานใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และถูกยึดเอาทรัพย์สินส่วนที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม พรรคของเขาก็ถูกยุบเลิกเนื่องจากพฤติกรรมละเมิดกฎหมายที่มีหลักฐานยืนยันอย่างหนาแน่น ทักษิณได้บินออกไปนอกประเทศในปี 2008 เพื่อหลบหนีโทษจำคุก แต่จากสถานที่ลี้ภัยแห่งต่างๆ ของเขา เขายังคงออกเงินทุนและทำการชี้นำบงการการจัดทำนโยบายต่างๆ ตลอดจนการฟื้นฟูสรรสร้างเครื่องมือทางการเมืองต่างๆ ขึ้นมาใหม่ เพื่อทำการปกครองประเทศไทยต่อไป โดยที่ในระยะหลังสุดนี้ เขาได้สถาปนาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของเขา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีผู้เป็นตัวแทนของเขา หลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งในช่วงกลางปี 2011

รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น โดยใช้เทคนิค “การทุจริตเชิงนโยบาย” อันถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์แบบ มาประคับประคองรักษากระแสเงินทองที่เคลื่อนไหลเข้าสู่ตระกูลชินวัตรและเพื่อนมิตร นโยบายประชานิยมอย่างแท้จริงที่ผ่านการทดลองมาแล้ว ยังคงมีมนตร์ขลังในการเรียกเสียงโหวตคะแนนนิยม พวกสาวกผู้ติดตามที่เป็นคนเสื้อแดงของเขาจำนวนมากทีเดียวยอมรับว่า แน่นอนอยู่แล้วที่ทักษิณทุจริตคอร์รัปชั่น ทว่านี่แหละคือจุดสำคัญทั้งหมดทั้งสิ้นของการขึ้นครองตำแหน่งนั่งเก้าอี้สำคัญในประเทศไทย แต่สำหรับทักษิณแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังเจือจานให้อะไรบางอย่างแก่พวกเขาเป็นการตอบแทน โดยที่ไม่ใช่เป็นเพียงความหวังลอยลม หากแต่ยังเป็นการปรับปรุงยกระดับชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกด้วย

**การดวลกันของชนชั้นนำ 2 กลุ่ม**

มีบางคนแสดงทัศนะว่า ความขัดแย้งอันดำเนินต่อเนื่องมาอย่างยืดเยื้อหลายปีแล้วในประเทศไทย ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่กลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ 2 กลุ่มกำลังแข่งขันแย่งชิงกันเพื่อปล้นสะดมประเทศชาติเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มพันธมิตร 2 กลุ่มนี้ประกอบกิจการโดยใช้หลักการกฎเกณฑ์ที่ผิดแผกแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ความแตกต่างกันดังกล่าวเหล่านี้ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันยากยิ่งแก่การรับมือคลี่คลาย กระนั้นก็ตามที กลับไม่ค่อยมีการวิเคราะห์ถึงสิ่งเหล่านี้ในสื่อมวลชนฝ่ายตะวันตกเอาเสียเลย

กลุ่มพลังฝ่ายที่เวลานี้เป็นพวกคัดค้านกลไกของตระกูลชินวัตรนั้น โดยองค์รวมแล้วเป็นพวกที่ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา พร้อมที่จะก้าวเดินไปตามรูปแบบทางประชาธิปไตย, พร้อมที่จะให้เปิดเสรีเศรษฐกิจ, พร้อมที่จะให้ธำรงรักษาสื่อมวลชน ชีวิตสาธารณะ และการถกเถียงอภิปรายสาธารณะ ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้, และพร้อมที่จะค่อยๆ ปรับปรุงความน่าเชื่อถือของระบบตุลาการ ในทางวัฒนธรรมนั้น พวกเขาเป็นพวกที่เดินตาม “ทางสายกลาง”, ยอมรับในผลที่ต่อเนื่องติดตามมา, เข้าหยิบเข้าครอบครองเพียงเท่าที่พึงมีพึงได้ ขณะที่ยอมปล่อยยอมเหลืออย่างอื่นๆ ให้แก่คนอื่นๆ , และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นก้าวจากไป ก็จากไปอย่างสง่างาม แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้ว พวกเขาละเลยเมินเฉยต่อเป้าหมายหลักการในเรื่องการมุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในภาคชนบท

ในทางตรงกันข้าม สำหรับกลุ่มพันธมิตรของทักษิณและเพื่อนมิตรแล้ว นอกเหนือจากการเปิดกว้างให้แก่ผู้คนที่อยู่ในระดับล่างๆ ในสังคม กลไกของตระกูลชินวัตรยังได้นำเอาหลักการกฎเกณฑ์ใหม่ๆ เข้ามายังประเทศไทย มันไม่ใช่หลักการกฎเกณฑ์แห่ง “ทางสายกลาง” แต่เป็น “ทางของกู” (My Way) โดยที่พวกเขาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เคยยอมรับรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องพอได้แล้ว ทั้งๆ ที่ในความรู้สึกของคนไทยนั้น การรู้จักพอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และไม่มีอะไรยากลำบากเลยที่จะยอมรับว่าถึงเวลาที่จะต้องพอได้แล้ว

ระหว่างช่วงปี 2001 – 2006 ซึ่งเป็นระยะเวลาแห่งการครองอำนาจจากการเลือกตั้งอย่างมั่นคงเหนียวแน่นของเขานั้น กลไกของทักษิณที่มีชื่อว่าไทยรักไทย ได้เริ่มต้นโปรแกรมในการเข้าครอบงำบงการทุกๆ ภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจและทุกๆ ภาคส่วนของรัฐ ในนามของตระกูลทักษิณและเพื่อนมิตร ไม่ว่าจะเป็นภาคการธนาคาร, การสื่อสารโทรคมนาคม, สื่อมวลชน, กิจการต่างประเทศ, ศาลยุติธรรม, ตำรวจ ในตอนท้ายพวกเขายังกำลังเคลื่อนเข้าไปในวงการทหาร และแทรกเข้าไปในที่มั่นสุดท้ายของการต่อต้าน ซึ่งก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่พวกเขายังไม่ได้ถึงกับหยั่งรากลงลึกในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาทุกวันนี้ แต่ทิศทางก็เป็นที่ชัดเจนกระจ่างแจ้ง

การทำความตกลงกันในเรื่องเกี่ยวกับ “สภาประชาชน” หรือในเรื่อง “กระบวนการทางประชาธิปไตย” ใดๆ ก็ตาม จะยังคงไม่สามารถยุติหรือกระทั่งผ่อนเพลาบรรเทาความปั่นป่วนวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพฯในปัจจุบันได้ ผู้ที่สร้างความชอบธรรม ให้แก่การประท้วงในวันนี้ หรืออันที่จริงแล้วก็คือ ผู้ที่สร้างความชอบธรรมให้แก่การคัดค้านทักษิณนับตั้งแต่ตอนเริ่มต้นความไม่สงบของภาคประชาชนจนกระทั่งนำไปสู่การโค่นล้มเขาให้ตกลงจากอำนาจนั้น ได้ใช้ชีวิตผ่านมาด้วยการปรับสมดุลทางด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างชนชั้นต่างๆ ในราชอาณาจักรแห่งนี้กันเสียใหม่ และก็ยังคงสามารถกระทำเช่นนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาสามารถที่จะยอมรับตัวแทนทางการเมืองของกลุ่มด้อยอิทธิพลบารมี ชนิดที่ผิดแผกแตกต่างอย่างมากมายกว่านี้อีกด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถที่จะรับมือทำความตกลงกับพวกผู้นำกลุ่มเสื้อแดง เฉกเช่นที่พวกเขาเคยทำมาในอดีต

ในเวลาที่สถานการณ์อยู่ในภาวะจลาจลเมื่อปี 2010 ตอนที่กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังเผาอาคารต่างๆ ในนครหลวงของประเทศอยู่นั้น ผู้เขียนคนนี้รู้สึกกังวลห่วงใยว่า ราชกรีฑาสโมสร (Royal Bangkok Sports Club) ซึ่งผู้เขียนเคยมาวิ่งออกกำลังกายอยู่แทบทุกวันจะต้องถูกเผาถูกทำลายไปด้วย เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ชั้นนำระดับแนวหน้าของชนชั้นปกครอง โดยที่มีสนามหญ้าสีเขียวขจีขนาดใหญ่เนื้อที่ 400 เอเคอร์ (1,000 ไร่) ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์เมื่อ 100 ปีก่อน และไม่ว่าขณะใดก็ตามที สนามหญ้านี้ก็มักถูกจับจองครอบครองโดยนักกอล์ฟสถานภาพสูงราวๆ 20 คนอยู่เป็นประจำ ในช่วงนั้นของเมื่อปี 2010 สโมสรแห่งนี้ถูกแยกห่างเพียงด้วยรั้วกั้นธรรมดาๆ จากการชุมนุมของพวกคนเสื้อแดงผู้นิยมความรุนแรง ซึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆ กับด้านหน้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทว่ามีสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการอำนวยการทั่วไปของราชกรีฑาสโมสร ได้พูดยืนยันให้ความมั่นใจกับผู้เขียนว่า “เราได้ไปทำความตกลงมาแล้ว พวกเขาจะไม่เข้ามาหรอก” แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มาจริงๆ เสียด้วย

ผู้ที่สร้างความชอบธรรมของขบวนการประท้วงปัจจุบัน มีความหลงใหลหมกมุ่นขั้นต่ำสุดอยู่ประการหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว แนวความคิดที่ว่านักโทษหลบหนีคดีอาญาคนหนึ่ง และจริงๆ แล้วก็ถูกมองถูกเข้าใจว่าเป็นศัตรูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น สมควรแล้วหรือที่จะกลายเป็นผู้ควบคุมบงการการบริหารปกครองประเทศไทยจากระยะไกล เพื่อให้เกิดผลประโยชน์โภชน์ผลทั้งแก่ตัวเขาเองและตระกูลของเขา มันไม่เพียงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เท่านั้น หากแต่ถึงขั้นว่าแม้กระทั่งแค่จินตนาการถึงก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อแล้ว หากจะนำเอาเรื่องนี้มาอธิบายในบริบทที่จะให้คนต่างชาติเข้าใจได้ ก็คงต้องเปรียบเทียบว่า วิธีในการเข้าปกครองประเทศของทักษิณนั้น มันช่างแปลกประหลาดเข้ากันไม่ได้เลยกับค่านิยมทางวัฒนธรรมของไทย และจึงกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังเป็นปรปักษ์ขึ้นมาในความคิดจิตใจของผู้ที่คัดค้านเขา ในระดับเดียวกันและในรูปแบบชนิดเดียวกันกับที่คลินิกทำแท้งก่อให้เกิดขึ้นในความคิดจิตใจของพวกรณรงค์ต่อสู้ให้เคารพชีวิตมนุษย์ (pro-life) ในสหรัฐอเมริกา มันแทบจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือการแบ่งสรรอำนาจทางการเมืองเอาเลย แนวความคิดจำพวก “การแบ่งปันอำนาจ” หรือ “แผนการปฏิรูปที่ชัดเจน” หรือ “กระบวนการต่างๆ ทางประชาธิปไตย” จึงล้วนแต่ไม่สอดคล้องและไม่ตรงกับสิ่งที่เป็นแกนกลางของความขัดแย้งในปัจจุบันเลย

ทว่าสำหรับในส่วนของทักษิณแล้ว ย่อมพูดได้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินทองและการควบคุมบงการ การที่ศาลตัดสินเมื่อปี 2008 ว่าเขามีความผิดจริงในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เป็นไปด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง โดยที่ศาลพิพากษายึดทรัพย์สินของเขาคิดเป็นมูลค่าเท่ากับประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นดอกผลซึ่งเขาได้มาโดยมิชอบ (พื้นฐานทางกฎหมายสำหรับการพิพากษาตัดสินเช่นนี้ เป็นสิ่งที่อิงตามข้อเท็จจริงอย่างไร้ช่องโหว่) แต่ก็ยังเหลือทรัพย์สินให้เขาอีกเกือบๆ 1,000 ล้านดอลลาร์ เพราะไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้มาโดยเป็นผลของการใช้อำนาจอย่างมิชอบ มันดูเหมือนกับเป็นคำเชื้อเชิญตามแบบฉบับไทยๆ ให้เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเขาจะยังคงมีทรัพย์สินทางการเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำเอาไว้ใช้สอยได้

ตรงนี้เองซึ่งเป็นที่ตั้งของอุปสรรคใหญ่ของการต่อสู้กันในกรุงเทพฯเวลานี้ การเมืองอันมีเสถียรภาพนั้น ย่อมเรียกร้องให้มีความสอดคล้องเหมาะควรบางอย่างบางประการระหว่างพฤติกรรมทางการเมืองสาธารณะ กับความคาดหมายทางวัฒนธรรมที่ได้รับการยึดถือกันอยู่อย่างแรงกล้า ทว่าพฤติกรรมของทักษิณกลับไม่ได้มีความเหมาะควรสอดคล้องเลย ใครๆ ก็สามารถมองเห็นความเคียดแค้นบนใบหน้าของเขาในตอนที่เขาปรากฏตัวทางโทรทัศน์ อันเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ในวัฒนธรรมไทย, นอกจากนั้นเขายังต้องการอำนาจกลับคืนในแบบที่กลับคืนมาสู่ตัวเขาเองแท้ๆ ด้วย, เขาต้องการทรัพย์สินเงินทองเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ของเขาคืน, และเขาไม่ต้องการที่จะเข้าคุก ถึงแม้ศาลตัดสินแล้วว่าเงินทองที่เขาได้มานั้นมีจำนวนมากที่มาจากการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบ

ทักษิณโต้แย้งว่า คดีความที่ใช้มาเล่นงานเขานั้นมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง แน่นอนทีเดียว นี่เป็นข้อโต้แย้งที่ถูกต้องระดับหนึ่งในแง่ที่ว่า จากการที่เขาได้เที่ยวบีบคั้นข่มเหงรังแกผู้คนและสถาบันต่างๆ เอาไว้มากมายเหลือเกิน (อย่างเช่น สื่อมวลชน, ธนาคาร, ทหาร, และสถาบันพระมหากษัตริย์) นั้น ทำให้เขามีศัตรูทางการเมืองเยอะแยะเต็มไปหมด นอกจากนั้นยังเป็นความจริงที่กระบวนการยุติธรรมซึ่งใช้เล่นงานฟ้องร้องลงโทษเขานั้น เป็นผลโดยตรงจากการรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2006 ซึ่งยุติการครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา

แต่นี่แทบจะไม่ได้ทำให้การกล่าวโทษฟ้องร้องเขากลายเป็นความไม่ถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใดเลย เนื่องจากขณะอยู่ในอำนาจนั้น ทักษิณและตระกูลของเขาทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเรื่อยมา อีกทั้งมีความมั่นอกมั่นใจว่าพวกเขานั้นช่างสะอาดบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อย ผู้เขียนผู้นี้ได้อ่านศึกษาคำพิพากษาภาษาไทยฉบับเต็มซึ่งวินิจฉัยลงโทษเขาและพรรคไทยรักไทยของเขา และพบว่าคำพิพากษาเหล่านี้ไม่เพียงชี้ออกมาอย่างปราศจากข้อคลางแคลงอันสมด้วยเหตุผลเท่านั้น หากยังถึงขั้นชี้ออกมาอย่างชนิดไม่สามารถที่จะตั้งข้อกังขาคลางแคลงทีเดียว

เป็นเพราะทักษิณปฏิเสธไม่ยินยอมที่จะทำตามแบบแผนทางวัฒนธรรมแห่งการแบ่งปัน การปล่อยวางและก้าวพ้นจากไป (อันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้การเปลี่ยนถ่ายอำนาจในประเทศไทยมีลักษณะค่อนข้างสุภาพนุ่มนวลตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา) นั่นเอง ที่ทำให้เขากลายเป็นบุคคลซึ่งสุดจะอดทนอดกลั้นได้ไหวสำหรับพวกที่ประท้วงอยู่ตามท้องถนนเวลานี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ทักษิณคือวัตถุ “ต่างด้าว” ซึ่งควรที่จะปฏิเสธ และถ้าหากการบอกปัดไม่ยอมรับดังกล่าวนั้น เรียกร้องให้ต้องฝ่าฝืนรูปแบบพิธีกรรมทางประชาธิปไตยเป็นการชั่วคราว นั่นก็เป็นความจำเป็นอันน่าสลดใจ เพื่อรักษาคุณลักษณะพร้อมรอมชอมประนีประนอมแบบพิเศษของชีวิตประชาคมไทย ตลอดจนเพื่อประคับประคองสภาวการณ์ที่การเมืองไทยค่อนข้างปราศจากความอุบาทว์ชั่วร้าย ซึ่งเป็นลักษณะอันโดดเด่นแตกต่างจากชาติอื่นๆ ของประเทศนี้

ผู้ที่สร้างความชอบธรรมให้แก่การชุมนุมประท้วงคราวนี้ หวังที่จะคุ้มครองรักษาประเทศไทยที่พวกเขารู้จักเอาไว้ จากค่านิยมต่างด้าวทั้งหลายที่ทักษิณนำเข้ามา และสำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนสูงสุด เพราะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระดับสูงสุดของสังคมไทย อาจจะทำให้เป้าหมายของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ด้วยเหตุดังนี้ เงื่อนไขประการหนึ่งสำหรับการยุติความปั่นป่วนวุ่นวายในปัจจุบัน ก็คือการที่ทักษิณต้องยินยอมที่จะไปพำนักลี้ภัยในต่างแดนอย่างถาวร, การที่ตระกูลของเขาต้องยินยอมที่จะสละตัดขาดจากอำนาจ, และกลุ่มพันธมิตรของเขาก็จะต้องละทิ้งหลักการกฎเกณฑ์ทางการเมืองแบบ “ผู้ชนะกินรวบเหมายกเข่ง” ที่พวกเขาเสกสรรค์ขึ้นมา

ทว่า นี่ก็ยังเป็นเพียงเงื่อนไขข้อหนึ่งใน 2 ข้อที่จะทำให้เมืองไทยสามารถกลับคืนเข้าสู่เส้นทางแห่งการพัฒนาประเทศอันปลอดภัยและมีสุขภาวะ ทั้งนี้ขอให้เฝ้าติดตามพัฒนาการอันสำคัญที่สุดประการแรกนี้เอาไว้ให้ดี ไม่ว่าในปัจจุบันมันยังดูไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้สักแค่ไหนก็ตามที

**แบบอย่างที่ปฏิบัติกันมาไม่ขาดสาย**

ห้วงเวลาจำนวนมากของคริสต์ศตวรรษที่แล้ว ความขัดแย้งถึงขั้นร้ายแรงในเรื่องอุดมการณ์, อำนาจ, และเงินทอง บังเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในประเทศไทย แต่เนื่องด้วยบรรทัดฐานแบบชาวพุทธของคนไทย ประเทศไทยจึงไม่เคยต้องผ่านประสบการณ์ของความรุนแรงอันน่าสยดสยอง เฉกเช่นที่พวกชาติเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นๆ จำนวนมากในโลกประสบมาเมื่ออยู่ในความขัดแย้งทำนองเดียวกัน ตรงกันข้ามแทนที่จะสู้รบเข่นฆ่ากันจนตายกันไปข้างหนึ่งตามท้องถนนในกรุงเทพฯ ฝ่ายซึ่งช่วงจังหวะเวลาของพวกเขาเริ่มต้นผันผ่านลาลับเสียแล้ว มักเลือกใช้วิธีเดินทางออกนอกประเทศ –เริ่มต้นตั้งแต่ในปี 1935 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และทรงเสด็จไปประทับที่สหราชอาณาจักรจวบจนกระทั่งเสด็จสวรรคตในระหว่างการลี้ภัย

เมื่อถึงคราวของเขาบ้าง นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำที่มีชื่อเสียงโด่งดังของขบวนการทางการเมืองซึ่งบีบบังคับให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จไปลี้ภัยในต่างแดน ก็เดินทางไปลี้ภัยในต่างประเทศถึง 3 ครั้ง ในปี 1934, ปี 1947, และครั้งท้ายสุดคือในปี 1949 ต่อมาเขาถึงแก่อสัญกรรมในกรุงปารีสเมื่อปี 1983 บุคคลที่เป็นผู้คอยจองล้างจองผลาญนายปรีดีมาอย่างยาวนาน ได้แก่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับในการต่อสู้ชิงอำนาจในปี 1957 และเดินทางออกไปอยู่ที่เจนีวา สุดท้ายก็ถึงแก่อนิจกรรมไปโดยไม่ได้กลับมาเห็นบ้านเกิดของเขาอีกเลย

ในปี 1973 จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ต้องขึ้นเครื่องบินไปลี้ภัยชั่วคราวในไต้หวันและในสหรัฐฯ ถึงแม้ในตอนท้ายยังได้กลับคืนมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ในกรุงเทพฯ ในปี 1976 ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูง ซึ่งยืนอยู่ผิดข้างกับกระแสทางการเมืองในเวลานั้น ก็เดินทางไปลี้ภัยในลอนดอนเหมือนกัน

พวกปรปักษ์ของทักษิณ มีเหตุผลอันสอดคล้องเหมาะควรในทางปฏิบัติอย่างยิ่งบางประการ ที่จะวาดหวังให้เขาจากไปอยู่ที่อื่นเช่นกัน เริ่มต้นตั้งแต่คุณสมบัติในการพิจารณาวินิจฉัยอันย่ำแย่ของเขา ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าใครก็ตามในประเทศไทยที่มีความสามารถในการพิจารณาวินิจฉัยอย่างเป็นปกติ ย่อมต้องทราบต้องตระหนักในสิ่งๆ หนึ่งก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด นั่นคือ ใครก็ตามจักไม่สามารถที่จะเจริญก้าวหน้าในราชอาณาจักรแห่งนี้ได้ หากกระทำการ หรือแม้กระทั่งมีความคิดอ่านไปในทางต่อต้านพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทว่าเป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่า ทักษิณเป็นผู้ที่ไม่เดินตามกฎเหล็กนี้ จนก่อให้เกิดผลต่อเนื่องอันเลวร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นทั้งต่อตัวเขาเองและต่อประเทศชาติ การพิจารณาวินิจฉัยอย่างแย่ๆ เช่นเดียวกันนี้ ยังปรากฏให้เห็นในการตัดสินใจเลือกนโยบายทางเศรษฐกิจจำนวนมากอีกด้วย

ส่วนประกอบอย่างที่สองก็คือ การที่ทักษิณมีความรังเกียจชิงชังเนื้อหาสาระของความเป็นประชาธิปไตย ถึงแม้ในขณะที่เกิดการขัดแย้งกับผู้ที่กำลังอยู่บนท้องถนนเวลานี้ พรรคของเขาจะได้พยายามหยิบยกอ้างอิงถึงหลักการต่างๆ ของอุดมการณ์นี้ก็ตามที ออกจะเป็นเรื่องตลกร้ายทีเดียวที่ตัวทักษิณเองคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากการที่สถาบันทางประชาธิปไตยทั้งหลายค่อยๆ แข็งแรงมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ในรอบระยะเวลาหลายทศวรรษนับตั้งแต่ที่ได้ผลิดอกเบ่งบานขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางทศวรรษ 1970 โดยที่เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งคนแรกซึ่งสามารถอยู่ในตำแหน่งได้จนเต็มครบตลอดวาระของเขา

ทว่าพรรคไทยรักไทยของทักษิณนั้น ถึงแม้เป็นผู้ได้รับประโยชน์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็กลับกลายเป็นผู้ทุบทำลายส่วนประกอบต่างๆ ที่คอยสนับสนุนค้ำจุนประชาธิปไตยเอาไว้ ด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาสามารถกระทำได้ ไมว่าจะโดยการข่มขู่คุกคามและใช้อำนาจบาตรใหญ่เอากับสื่อมวลชน, การใช้สินเชื่อธนาคารเป็นเครื่องมือในการแบล็กเมล์เชิงพาณิชย์, การใช้อำนาจของตำรวจแบบเลือกที่รักมักที่ชัง, ตลอดจนการข่มขู่กรรโชกและการติดสินบนศาล สำหรับตระกูลชินวัตรแล้ว การปกครองรัฐคือการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่ง คล้ายๆ กับการบริหารบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมสักแห่งหนึ่ง ในธุรกิจแห่งการปกครองรัฐนี้ การเลือกตั้ง, การแบล็กเมล์, และการติดสินบน ล้วนแล้วแต่เป็นยุทธวิธีซึ่งพรรคการเมืองในเครือของพวกเขาใช้กันเพื่อรักษาช่องทางให้เงินทองไหลมาเทมา การเปิดโอกาสให้แก่ชนชั้นล่างเพิ่มมากขึ้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงยุทธวิธีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่แยแสในทันทีที่พรรครู้สึกปลอดภัย และพวกผู้นำของคนเสื้อแดงจำนวนมากมาย ก็มีความรู้สึกวิตกกังวลเพียงแค่ในแง่มุมนี้เท่านั้น

การอธิบายแจกแจงให้เห็นถึงแรงจูงใจต่างๆ ที่แท้จริงของผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงในเวลานี้ น่าที่จะทำให้เราสามารถเข้าอกเข้าใจถึงความเป็นไปได้ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คนไทยส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ที่มีความอ่อนไหวอย่างลึกซึ้งยิ่งต่อความรู้สึกต่างๆ ของคนอื่นๆ และพยายามที่จะตอบสนองอย่างถูกต้องเหมาะควร แต่พวกเขาก็มีวลีอันงดงามในการแสดงความรู้สึกว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อพวกเบี่ยงเบนนอกคอกทางสังคม นั่นคือ “เอาไม้ตะพดตีหัว” นี่แหละคือสิ่งที่ประชาชนซึ่งออกมาชุมนุมตามท้องถนนในกรุงเทพฯเวลานี้กำลังพยายามที่จะกระทำ

ความปั่นป่วนวุ่นวายในท้องถนนขณะนี้จะสามารถหยุดยั้งลงได้ เมื่อทักษิณและตระกูลของเขาคิดคำนวณได้ว่า พวกเขาไม่สามารถจะเสียสละน้อยลงไปกว่าที่ผู้ซึ่งอยู่มาก่อนพวกเขาได้เคยกระทำกัน ทุกๆ ผู้คนตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาทีเดียว กระทั่งเมื่อมีการเสียละดังกล่าวนี้แล้ว ภาวะเครียดขึ้งทางสังคมทั้งหลาย ที่ตระกูลชินวัตรได้ฉวยใช้หาประโยชน์อย่างน่าหยามหยัน ก็ยังจะดำเนินต่อไปอีก จนกว่าจะมีบางภาคส่วนของชนชั้นนำซึ่งยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเป็นภาคส่วนใด จะได้พัฒนาโครงการสำหรับยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบท ซึ่งสามารถนำมาแข่งขัน (อย่างซื่อตรงปราศจากเล่ห์กล), เน้นผลในทางปฏิบัติ, และยั่งยืน ขึ้นมา

อันที่จริงสิ่งนี้เคยบังเกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนหน้าจะถึงยุคแห่งความขัดแย้งภายในประเทศครั้งใหญ่โตในประเทศไทย ช่วงเวลาดังกล่าวก็คือในปี 1973 เมื่อระบอบเผด็จการทหารที่ดูเป็นมิตรทว่าเหินห่างจากสภาพความเป็นจริงมีอันล้มคว่ำลงไป ในตอนนั้นมีกลุ่มนายแบงก์และชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งจับมือกันก่อตั้งพรรคกิจสังคม ขึ้นมา พรรคนี้เดินหน้านำเอานวัตกรรมทางนโยบายชุดหนึ่งมาใช้ปฏิบัติ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตื่นใจให้แก่อัตราส่วนทางการค้าระหว่างเขตชนบทกับเขตเมือง ด้วยวิธีปรับปรุงแก้ไขนโยบายการจัดเก็บภาษีจากข้าว และการจัดเก็บอากรนำเข้าจากผลผลิตทางการเกษตร

ทุกวันนี้ ประเด็นปัญหาอื่นๆ เป็นต้นว่า ความล้มเหลวของระบบการศึกษาในชนบท และการลงทุนของภาครัฐควรมีกระจายตัวในทางภูมิศาสตร์อย่างไร กำลังกลายเป็นสิ่งที่จะต้องเข้าไปให้ความสนใจ สิ่งที่เป็นปริศนาอันเด่นชัดของทุกวันนี้ก็คือ ทำไมจึงไม่มีผู้ประกอบการทางการเมืองกลุ่มใดเลยที่ก้าวผงาดขึ้นมาแข่งขันกับทักษิณ ในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยช่องว่างอันใหญ่โตนี้ของตลาดการเมืองไทย

นี่แหละคือ (เฉกเช่นเดียวกับในช่วงทศวรรษ 1970) เงื่อนไขประการที่สองที่จะต้องมี เพื่อให้บังเกิดเสถียรภาพอันแท้จริงขึ้นมา ถ้าหากเมื่อใดเงื่อนไขเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว พวกที่อยู่วงนอกทั้งหลายก็จะเริ่มต้นรู้สึกมั่นอกมั่นใจขึ้นอีกครั้งเกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทย

เจฟฟรีย์ เรซ เป็นนักวิเคราะห์การเมืองผู้ผ่านการศึกษาอบรมจากฮาร์วาด ซึ่งได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลา 45 ปีแล้ว เขาเคยอยู่ในท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบของสาธารณชนมาแล้วหลายครั้งหลายครา เป็นต้นว่า การรุกโจมตีช่วงเทศกาลตรุษญวนในไซ่ง่อนปี 1968, การโค่นล้มประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ในปี 1986, และการล้มคว่ำของระบอบปกครองในประเทศไทยรวม 3 ครั้ง คือในปี 1973, 1976, และ 2006 ผลงานที่เกี่ยวข้องของเขาสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ http://www.jeffreyrace.com.
กำลังโหลดความคิดเห็น