สามีตีตรา ตอนที่ 1
บริเวณทางเข้าด้านหน้าโรงแรมค่ำคืนนี้ แลเห็นบรรดาแขกแต่งตัวชุดราตรีหรูทยอยเดินเข้าเพื่อไปร่วมงานแต่งงานคู่รักไฮโซ จังหวะนี้รถยุโรปราคาแพงหรูขับเข้ามาจอดหน้าโรงแรมด้วยความเร็วสูง ล้อรถเบียดกับถนนแผดเสียงดังสนั่น จนทำให้ทุกคนที่กำลังเดินไปชะงักหันกลับมามองเป็นแถว
เรียวขาขาวงามของสาวสวยเจ้าของรถแพงระยับก้าวออกมาจากรอยผ่าสูงถึงโคนขาของชุดราตรีสีแดงสด ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น มองอย่างตะลึง ในความสวย เมื่อเธอคนนั้นขยับตัวจึงพบว่าชุดราตรีสีแดงรัดรูป โชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่าจนถึงสะโพก ยิ่งดูเซ็กซี่มาก
เธอคือ กะรัต หลานรักของเจ้าสัวบัญชา มหาเศรษฐีติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
ภายในห้องบอลรูมจัดงานแต่งงาน ถูกเนรมิตรโดยทีมออร์แกไนซ์ออกมาเลิศหรูอลังการ ด้วยเป็นคู่แต่งงานของลูกหลานตระกูลไฮโซ แขกเหรื่อที่มาร่วมยินดีแต่งตัวหรูดูดี บ่งบอกฐานะ นั่งอยู่ที่โต๊ะเต็มห้อง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวพากันจูงมือเดินบนทางที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ไปขึ้นไปสู่บนเวที
ขณะเดียวกัน รถแวนสีดำคันหรูขับอย่างเร็ว เข้ามาจอดหน้าโรงแรม สมหวังคนขับรถ รีบลงจากที่นั่งคนขับมาเปิดประตูด้านข้างให้กุนตี หรือกุ้ง พี่สาวคนโตซึ่งดูแลธุรกิจของครอบครัว กับ กุนตี หรือก้อย แพทย์ฝึกหัด น้องสาวคนเล็กของกะรัต ทั้งคู่รีบลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในโรงแรมอย่างรีบร้อน
งานแต่งในห้องบอลรูมดำเนินไป พิธีกรบนเวทียืนอยู่กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ประกาศ
“ผมว่าทุกคนในห้องนี้คงอยากรู้แล้วว่าเจ้าบ่าว เจ้าสาวของเราพบรักกันยังไง งั้นเชิญชม VTR กันเลยดีกว่าครับ”
ไฟในห้องบอลรูมมืดลง ภาพ VTR ฉายบนจอ เป็นภาพเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวตอนเด็กๆ แขกในงานหัวเราะชื่นชม ทันใดนั้นภาพ VTR ของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ดับหายไป แล้วมีภาพผู้หญิงกับผู้ชาย กำลังกอดจูบกันเข้ามาใน โรงแรมม่านรูดขึ้นมาแทนที่ เสียงแขกในงานฮือฮาว่าเป็นภาพของใคร ผู้หญิงคนหนึ่งรีบลุกขึ้นมา จะวิ่งหนีออกไปจากงาน กะรัต แย่งไมค์ไปจากมือพิธีกรประกาศกับไมค์
“ทุกท่านอาจจะสงสัยว่า ผู้หญิงเริงร่านในวิดีโอนั้นเป็นใครใช่ไหมคะ”
ทันใดนั้นมีไฟสปอร์ตไลท์ส่องพุ่งไปที่ร่างผู้หญิงที่ลุกขึ้น กำลังจะเดินหนีออกจากห้องบอลรูม
“มันคือนางนี่แหละค่ะ นังไฮโซแม่พระ สร้างภาพเป็นผู้แสวงบุญ ที่แท้เป็นพวกลอบแสวงสวาทกับผัวชาวบ้าน”
แขกมองหน้าผู้หญิงที่กำลังจะหนี แล้วหันไปมองภาพ VTR ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวกัน
“ไม่จริงนะ ฉันไม่ใช่ มันใส่ความฉัน” ผู้หญิงคนนั้นโวยวายลั่น
ไฟในห้องถูกเปิดให้สว่างทีละจุด จนสว่างไปทั่วห้องบอลรูม กะรัตในชุดราตรีสีแดงสดยืนสง่าอยู่กลาง เวที มือถือไมค์ ใบหน้ามองพุ่งไปที่ผู้หญิงคู่กรณีดวงตาคมกริบ ริมฝีปากเหยียดยิ้มเยาะหยาม ผู้หญิงคนนั้นมองอึ้งๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกะรัต
“คุณกะรัต”
กะรัตเดินนวยนาดมาดอย่างนางพญา ลงจากเวทีเดินมาที่ผู้หญิงคนนั้น
“ถ้าแกรู้จักชื่อฉัน แกก็ควรจะรู้ว่าฉันเป็นเมียของผู้ชายที่แกสมสู่ แกอย่าได้พาร่างกายที่โสโครกกับจิตใจ ที่โสมมของแกเข้าวัดปฎิธรรมให้ศาสนาหมนหมองอีก แต่ถ้าอยากจะชะล้าง ...ฉันจะอนุโมทนาให้”
กะรัตหยิบขวดน้ำหมักขี้สีน้ำตาลดำจากในกระเป๋าถือ ออกมาเทสาดใส่
“อ๊าย...” ผู้หญิงร้องลั่น พยายามสะบัด
“คิดจะแย่งผัวใครไม่แย่ง มาแย่งผัวกะรัต ก็ต้องตบ...”
กะรัตตบผู้หญิงล้มคว่ำ
“ล้างด้วยน้ำหมักในถังขี้อย่างนี้นี่แหละ”
ผู้หญิงจ้องหน้าโกรธจัดที่กะรัตทำให้ขายหน้า เธอลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปตบ กะรัตสู้กับผู้หญิงตบกันนัวเนีย กุนตีและกันตาวิ่งเข้ามาในห้องบอลรูม แล้วรีบพุ่งเข้าไปดึงร่างกะรัตออกมา พนักงานเสิร์ฟ เข้าไปห้ามผู้หญิงคนนั้น
“พอเถอะกั้ง เขาเป็นหุ้นส่วนบริษัทของคุณภูนะ” กุนตีห้าม
“ต่อให้เป็นโคตรเหง้าศักราช ถ้ามายุ่งกับผัวกั้ง กั้งไม่เอาไว้หรอกพี่กุ้ง”
กะรัตโวยวาย พยายามดิ้นให้หลุดจากกุมมือกันตาและกุนตี
“ปล่อยกั้ง”
“พี่กั้งไม่เห็นเหรอ พี่พังงานแต่งคนอื่นหมดแล้ว” กันตาห้ามปราม
กะรัตตะโกนบอกเจ้าบ่าว เจ้าสาว
“ก็ช่วยไม่ได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ารู้ว่าเพื่อนยุ่งกับผัวคนอื่น ก็จงรีบห้าม ไม่อย่างนั้นงานแต่งคุณพัง”
กุนตีกับกันตา ช่วยกันลากร่างกะรัตที่พยายามสะบัดตัวอาละวาดเป็นช้างตกมัน ออกจากห้องบอลรูม นักข่าวกรูเข้ามารุมถ่ายรูปกะรัตแสงแฟรชวูบวาบ
วันใหม่...แสงดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือท้องทะเล ในห้องน้ำใหญ่ผนังรอบด้านเป็นกระจก ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ ทะเลสีฟ้าสด ตัดกับท้องฟ้าสีขาว กะรัตนั่งแช่อยู่ในอ่างจากุชชี่ในห้องน้ำหรูอย่างเซ็งกับชีวิต
กันตา กุนตี ยืนมองกะรัตอย่างเป็นห่วง อยู่กับพวงทอง มารดาของทั้งสามคน
“แน่ใจนะว่ายัยกั้งจะอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่ใช่คิดเชือดข้อมือเหมือน คราวก่อนอีก” พวงหยกกังวล
กันตากับกุนตีสะกิดแขนพวงหยก ไม่ให้พูดย้ำอดีตของกะรัต
“ชีวิตกั้งนี่ทำบุญคนไม่ขึ้นจริงๆ ทำดีกับใคร ไม่เคยไว้ใจได้เลย” กะรัตบ่นอย่างน้อยใจ
“ใจเย็นๆนะพี่กั้ง พี่ภูเขาบอกแล้วไงว่าที่ทำไปเพราะเมา อีกอย่างผู้หญิงก็ขู่ว่าจะถอนหุ้น พี่ภูก็เลย...”
กันตาปลอบ กะรัตสวนทันที
“ขายตัวงั้นเหรอ แล้วฉันล่ะ ฉันมีเงินเยอะกว่านังนั่นตั้งร้อยเท่าพันเท่าทำไมภูไม่มาเอา”
“พี่ภูคงกลัวพวกปากหอยปากปูนินทาว่าตกถังข้าวสารน่ะสิ ก้อยไม่ได้เข้าข้างพี่ภูนะ แต่เราไม่เคยจน เราไม่รู้หรอกว่าการโดนดูถูก มันเป็นยังไง มองอีกแง่นึง...พี่ภูเขาเป็นคนดี ไม่หวังเอาเงินจากพี่กั้ง”
“แต่มันนอกใจฉันนะ”
“มันเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย คิดซะว่าเขาแค่ไปลองอาหารข้างทางแล้วกัน สุดท้ายก็ต้องกลับมากินอาหาร เหลาอย่างพี่กั้งวันยันค่ำ ให้พี่ภูมาหาพี่กั้งนะ”
“อย่าให้มันเสนอหน้ามานะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันว่ามีดหรือลูกปืน จะพุ่งใส่กบาลมันก่อนกัน”
พวงหยกแทรกขึ้น
“แต่ยังไงตาภูก็ต้องมา แกลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงาน นิตยสาร GOOD MORNING HISO เขาล็อกคิวทำสกู๊ปชีวิต ครอบครัวแกไว้ ยังไงแกกับตาภูก็ต้องสร้างภาพว่ารักกัน”
“เหมือนที่เดือนที่แล้วพ่อกับแม่ ถ่ายรูปสร้างภาพลงหนังสือพิมพ์ว่ายังรักกันไงกั้ง” กุนตีเสริม
“กั้งสะตอไม่เป็น” กะรัตเชิด
พวงหยกสะดุ้ง
“นี่แกว่าฉันสะตอเหรอยายกั้ง”
“เปล่านะแม่” กะรัตตัดบท “กลับไปกรุงเทพกันได้แล้ว กั้งอยากอยู่เงียบๆ”
พวงหยกจ้องหน้า
“ฉันกลับแน่ แต่ยังไงแกต้องให้นิตยสารสัมภาษณ์ ฉันไม่อยากให้ใครต่อใครมันพูดว่าผู้หญิงตระกูลนี้ โดนนอกใจตั้งแต่แม่ยันลูก”
“ใครจะว่ายังไงก็ช่าง มันไม่ใช่คนเจ็บนี่ กั้งต่างหากที่เจ็บแล้วกั้งก็จะไม่ทน กั้งจะเลิกกับไอ้ภู”
พวงหยกอ้าปากจะต่อว่ากะรัต แต่กุนตีจับแขนพวงหยกเป็นเชิงปราม แล้วพยักหน้าให้
พวงหยกและกันตาออกจากห้องน้ำ
พวงหยกโวยวาย ที่ถูกดึงออกมาจากจากห้องของกะรัต
“แกจะลากแม่ออกมาทำไมยายกุ้ง แม่จะคุยกับยายกั้งให้รู้เรื่องนี่มันแต่งงานหนที่สามแล้วนะ ผัวสองคนแรกเป็น ม่ายผัวตาย คนนี้จะเป็นม่ายผัวทิ้งเหรอ แม่ไม่ยอม แม่อายชาวบ้านเขา”
“กั้งไม่เลิกหรอกแม่”
นวลถือชามก๋วยเตี๋วเนื้อผ่านพวงหยก กุนตี กันตาไปที่ห้องของกะรัต กันตามองตามชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อแล้วยิ้ม
“ก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวเนื้อนั่นไงแม่ พี่กั้งบอกเลิกกินเนื้อมาเป็นชาติแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่เคยเลิกได้”
“ก็ความรักเป็นของอร่อย จะเลิกได้ยังไง”
กุนตีหมายถึงเจ็บปวดเพราะความรักขนาดไหน ก็ไม่เคยเลิกอยากกินมันได้เลย
นวลถือชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อเข้ามาวางบนโต๊ะตัวเตี้ยไว้ ให้กะรัตนั่งกินอาหาร ขณะแช่น้ำได้
“ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าโปรดของคุณกั้งมาแล้วค่ะ”
กะรัตดีดนิ้วดัง ป๊อก ป๊อก ตามนิสัย นวลรีบหยิบผ้าคลุมกางรอ กะรัตลุกขึ้นจากน้ำมาสวมเสื้อคลุม
“คุณกั้งจะให้ยกเลิกนัดสัมภาษณ์ไหมคะ”
“แม่พูดถูก ขืนฉันยกเลิก อีพวกกากชะนีมันก็ระริกระรี้คิดว่าฉันเลิก กับภูแล้วน่ะสิ ฉันจะทำให้พวกมันเห็นว่า สุดท้ายภูต้องเลือกฉัน เพราะฉันมีปัญญาให้ภูได้ทุกอย่าง ในขณะที่พวกมัน เป็นได้แค่ปลิงเกาะภู”
นวลมองกะรัตแล้วแอบถอนใจที่สุดท้ายกะรัตก็ใช้เงินซื้อความสุขจอมปลอม แล้วกะรัตจะเจอรักจริงและ ความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
ในโรงแรมม่านรูด ภูเบศร์คุยมือถือกับนวล
“กั้งให้ฉันไปหาตอนนี้เหรอนวล ได้ๆ...ตอนนี้ฉันเคลียร์งานเพิ่งเสร็จ เดี๋ยวรีบไปหากั้งเดี๋ยวนี้เลย”
ภูเบศร์รีบกดวางสาย แล้วก้มหยิบกางเกงมารีบใส่ พร้อมหยิบเสื้อของนิลุบลปาใส่ร่างของเธอที่ยังนอนเพลียอยู่
“ตื่นเร็ว ผมต้องรีบไปพัทยาเดี๋ยวนี้”
นิลุบลลุกขึ้นใส่เสื้ออย่างอิดออด
“จะรีบไปง้อนางเมียปีศาจเหรอคะ”
ภูเบศร์ไม่ตอบ รีบสะบัดตัวออกห่างนิลุบลแล้วไป หยิบกระเป๋าเงินพร้อมกุญแจรถ มือถือภูเบศร์ดังขึ้น เขามองเบอร์ที่โทรเข้า แล้วเดินออกไปคุยนอกห้องไม่ให้นิลุบลแอบฟัง
เมื่อออกมาหน้าห้องโรงแรมม่านรูด ภูเบศร์กดรับสาย
“ฮัลโหล...อย่าโกรธนะครับที่รัก ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องนั้นผมทำไป เพราะผลประโยชน์ ผมยอมทำทุกอย่างให้เรามีเงิน เพื่อสร้าง ครอบครัวของเรา ตอนนี้ผมกำลังไปง้อกั้ง เห็นนวลบอกว่ากั้งให้ ผมลาออกจากบริษัทเก่า แล้วจะให้เงินผมตั้งบริษัทเอง”
ภายในรถที่สมหวังเป็นคนขับมีกระจกกั้นระหว่างโซนคนขับกับ โซนคนนั่ง สายน้ำผึ้งเพื่อนสนิทของกะรัตกำลังพูดมือถืออยู่
“จริงเหรอคะ งั้นถ้าคุณได้เงินแล้ว คุณก็เลิกกับเขาได้แล้วสิ ทีนี้พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้า พ่อ...แม่...ลูกกันสักที”
ภูเบศร์มองนาฬิกาอย่างรีบร้อน
“แล้วค่อยคุยกัน ผมต้องรีบไปก่อน เดี๋ยวกั้งจะเปลี่ยนใจ”
ภูเบศร์กดวางสาย นิลุบลเดินออกจากห้องมาพอดี ภูเบศร์รีบขึ้นรถแล้วยิ้มหมายมั่นกับเงินก้อนโตที่กะรัต
รับปากจะให้เขาเป็นทุนเปิดบริษัท
ในห้องแต่งตัวในบ้านพักตากอากาศของกะรัต ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ดีไซน์เนอร์ช่วยกันแต่งหน้าทำผม ให้กะรัตอย่างรีบร้อน กะรัตหงุดหงิดเพราะกลัวไม่ทันเวลา
“ทำให้มันเร็วๆหน่อยได้ไหม เดี๋ยวทีมงานก็จะมาสัมภาษณ์กันแล้ว ป่านนี้ภูยังไม่มาอีกรึไง เดี๋ยวฉันก็เปลี่ยนใจไม่ให้เงินซะหรอก”
ดีไซน์เนอร์หยิบชุดมาโชว์ให้กะรัตเลือก
“ชุดนี้น่าเบื่อเป็นป้าแถวสำเพ็ง...ชุดนั้นโป๊ไป…ฉันแต่งงานแค่ปีกว่า คงไม่ต้องใส่ชุดยั่วผัวเป็นดาวยั่วขนาดนั้น หรอก...ชุดสีขาวนั่นเก็บไปเลย ฉันจัดงานฉลอง ไม่ใช่จัดงานลาบวช นี่ชุดราคาตั้งหลายหมื่น ไม่มีอะไรใหม่ๆเลยรึไง”
ดีไซน์เนอร์แอบรำคาญ
“นี่ก็เป็นคอลเลคชั่นของแฟชั่นซีซั่นนี้แล้วนะฮะน้องกั้ง”
นวลเดินคุมละมุนแม่บ้านอีกคนให้รีบถือแก้วน้ำแล้วอาหารว่าง เข้ามาบริการเพื่อบรรเทาบรรยากาศ ก่อนเกิดสงครามกลางห้อง
“น้ำเย็นๆ ขนมหวานๆมาแล้วค่า”
“นวล เธอจัดการบอกร้านอาหารรึยังว่าฉันเปลี่ยนโซนจัดงานเลี้ยงจากริมหาด เป็นในร้านรึยัง ฉันจะใส่ชุดราตรี ไม่อยากให้ชุดเปื้อน”
นวลชะงักพูดอย่างอึกอัก
“บอกแล้วค่ะ แต่ร้านไม่กล้ารับปากว่า จะเปลี่ยนได้ไหม”
“นี่ร้านยึกยักคิดจะเรียกเงินเพิ่มรึไง งั้นก็จ่ายไป จะได้จบๆ”
“ไม่ใช่ค่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ร้าน แต่อยู่ที่คนอื่น”
กะรัตหันมามองนวลด้วยสายตาเอาเรื่องทันที ช่างผม ช่างแต่งหน้า ดีไซน์เนอร์มองไปทางกะรัต ว่าจะอารมณ์ขึ้นไหมที่มีคนกล้ามีปัญหากับเธอ
“ใครกล้ามีปัญหากับกะรัต”
ภายในห้องสัมมนาในร้านอาหารหรู...ภาพในโปรเจ็กเตอร์คือ หัวข้อ 9point Hedonic scales test การทดสอบความนิยมของผู้บริโภคต่อตัวผลิตภัณฑ์ อาจารย์ผู้บรรยายคือ พิศุทธิ์ หม่อมราชวงศ์หนุ่มหล่อ
“หัวข้อต่อไปที่ผมจะพูดถึงให้พวกคุณที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น นักเรียนทุนวิจัยของมหาวิทยาลัยของเรา คือ การทดสอบความ นิยมของผู้บริโภคต่อ ผลิตภัณฑ์โดยใช้วิธี nine points hedonic scales test เป็นวิธีวัดค่าความ นิยมของผู้บริโภคได้แม่นยำ ซึ่งจะเป็นผลดีกับนัก food science ในการสร้างสรรค์พัฒนา ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบ โจทย์ได้ตรงกับความต้องการของ ผู้บริโภคตามหลัก demand supply...เหมือนกับ วันวาเลนไทน์ผู้หญิงต้องการ กุหลาบ และทานข้าวที่โรแมนติก แต่เรากลับชวน ไปฟังเทศน์ สินค้าอย่างเราคงไม่ได้รับความนิยมแน่ๆ”
เสียงหัวเราะของเหล่านักวิชาการดังขึ้น ให้กับพิศุทธิ์ที่มาดเป็นนักวิชาการแต่แฝงแววขี้เล่น พิศุทธิ์ยิ้มให้ทุกคน เจ้าของร้านเปิดประตูห้องสัมมนาเข้ามา แล้วมองหน้าพิศุทธิ์เป็นเชิงบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเขา พิศุทธิ์มองเจ้าของร้าน อย่างระอาเพราะรู้ว่าเจ้าของร้านคิดจะมาพูดเรื่องอะไร
เจ้าของร้านคุยกับพิศุทธิ์ที่มุมหนึ่งของร้านอาหารริมทะเล พิศุทธิ์ถอนใจ เจ้าของร้านอ้อนวอน
“นะครับอาจารย์ ผมทราบว่าอาจารย์จองร้านเพื่อเลี้ยงคณะอาจารย์ นักศึกษา และพวกเด็กๆไว้นานแล้ว แต่ผมก็ลำบากใจ จริงๆที่จะปฏิเสธคุณกะรัต”
พิศุทธิ์ชะงักเมื่อได้ยินชื่อกะรัต เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“ยังไงผมก็ยืนยันว่าผมไม่เปลี่ยนไปริมหาด ผมขอเลี้ยงคนของผมภายในร้าน ผมมีเด็กเล็กๆที่ไม่ปกติ ไม่สะดวกที่จะจัดงานริมหาด”
เจ้าของร้านพยายามอ้อนวอน
“แต่ว่า…”
พิศุทธิ์พูดนิ่งๆแต่น้ำเสียงจริงจัง
“ผมเชื่อว่าผมทำถูกต้อง อีกคนต่างหากที่ทำไม่ถูก มันไม่ใช่แค่พวกผมเท่านั้นที่ต้องหาร้านใหม่ ยังมีคนอีก
มากมายที่วางแผนจะพาครอบครัวทานอาหารที่นี่ กลับต้องผิดหวัง เพราะคนๆเดียว คุณเป็นอีกคนที่ผมชื่นชม ในจิตสำนึก ผิดชอบชั่วดี หวังว่าคุณคงไม่ปล่อยให้เงินของผู้หญิงคนนั้น ซื้อสำนึกของคุณได้”
เจ้าของร้านเกาหัวเครียดว่าจะเอายังไงดี
“เจอคนตรงๆเข้าไป จะทำยังไงดีล่ะตู”
เจ้าของร้านคิดหาทางออก
“งั้นเอาอย่างนี้ได้ไหมครับ ถ้าคณะของอาจารย์ ลงไปจัดเลี้ยงที่ชายหาดหน้าร้าน ผมลดราคาให้อีก 50% ตกลงไหมครับอาจารย์”
พิศุทธิ์นิ่งอย่างยืนยันในการตัดสินใจ
ห้องแต่งตัวในบ้านพักตากอากาศ ชุดราตรีราคาแพงถูกกะรัตโยนลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ดีไซน์เนอร์รีบเข้าไปประคองชุดราคาแพงของตัวเองอย่างถนอม ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมต่างถอยกรูด อยู่มุมห้อง ไม่อยากโดนลูกหลง
“ไอ้นั่นมันเป็นใคร ถึงกล้าสั่งให้ฉันจัดงานที่ชายหาด อ๋อ…นี่มันคงรู้ว่าฉันรวยเลยแกล้งมีปัญหา หวังเรียก ร้องเงินจากฉันล่ะสิ”
“แหม...คนเราก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหมดทุกคนหรอกค่ะ คุณกั้ง” นวลถอนใจ
“แต่ทุกคนที่ฉันเจอในชีวิต มันมีแต่พวกคิดแบบนี้”
นวลชะงักเพราะกะรัตพูดจริง ชีวิตของกะรัตมีแต่คนเข้ามาเพราะหวังผลประโยชน์ นั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ นวลสงสารแม้กะรัตจะปากร้าย แต่จริงๆเธอน่าสงสาร นวลพยายามพูดโน้มน้าว
“นวลว่าคุณกั้งจัดงานริมหาดเหมือนเดิมมันก็ได้บรรยากาศอยู่แล้วนะคะ ถ่ายรูปก็สวยด้วย”
“ไม่ คนอย่างกะรัต อยากได้อะไรต้องได้ ฉันจะไปจัดการเอง”
กะรัตใส่เสื้อคลุมเดินโครมครามออกจากห้องไป นวลเครียด
“บรรลัยแล้ว คดีเก่ายังไม่ทันซา จะก่อคดีใหม่อีกแล้วคุณพวงหยกแหกอกตูแน่ ทำยังไงดีวะ ทำยังไงดี…มีคนเดียวเท่านั้นที่จะห้ามคุณกั้งได้”
นวลคิดบางอย่างได้ รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคนอย่างเร่งร้อน
กะรัตเดินถลาเป็นพายุพุ่งไปที่รถ นวลวิ่งตามออกมา สมหวังเพิ่งขับรถเข้ามาจอดและลงจากรถเพื่อ ไปเปิดประตูให้สายน้ำผึ้ง แต่โดนนวลตะโกนเรียกมาช่วยก่อนที่สมหวังจะไปเปิดประตู
“พี่หวัง ขวางคุณกั้งไว้ที”
สมหวังรีบมายืนขวาง เห็นสายตากะรัตจ้องเอาจริงใส่ สมหวังกลืนน้ำลายเอื้อกแล้ววิงวอน
“คุณกั้งอย่าไปไหนเลยนะครับ เดี๋ยวเกิดเรื่องขึ้นมา ผมต้องโดนคุณพวงหยกตัดเงินเดือนแน่”
“เงินเดือนแก ไม่ใช่เงินเดือนฉัน”
กะรัตผลักสมหวังเซหัวทิ่มกับพื้น แล้วจะขึ้นรถ นวลรีบวิ่งไปห้าม
“คุณกั้งใจเย็นๆก่อนนะคะ คุณกั้งเพิ่งขึ้นหน้าข่าวสังคมไป ขืนมีข่าวอีก...คุณพวงหยกกรี๊ดแตกแน่ๆ…”
นวลไม่ทันพูดจบ กะรัตผลักนวลลงไปล้มทับสมหวัง
“คนอย่างฉันก็ไม่เคยมีข่าวดีๆอยู่แล้ว”
กะรัตจะขึ้นรถ ประตูรถที่สมหวังขับเข้ามาเปิดออก สายน้ำผึ้งเดินลงจากรถมาหา
“ผึ้งมาพอดีเลย ไปจัดการคนกัน” กะรัตมองสายน้ำผึ้งอย่างดีใจ
สายน้ำผึ้งไม่ห้าม แต่พูดนิ่งๆ ตรงกันข้ามกับอาการลนลานของนวลและสมหวัง
“จะไปก็ได้นะกั้ง แต่ถ้าก๋งรู้ว่ากั้งทำแบบนี้ ก๋งคงไม่ภูมิใจด้วยแน่ๆ”
กะรัตชะงักกึก นวลกับสมหวังแอบกระซิบกัน
“ฉันคิดไม่ผิดจริงๆที่ให้พี่รีบไปรับคุณผึ้งให้รีบมา ไม่มีใครรู้ จุดอ่อนคุณกั้งเท่าคุณผึ้งอีกแล้ว”
สายน้ำผึ้งยืนมองกะรัตนิ่งๆ แม้กะรัตดูดีสง่ากว่า
แต่ในใบหน้าเรียบนิ่งของสายน้ำผึ้งกลับดูมีพลังความ แข็งแกร่งเหนือกว่ากะรัต
กะรัตเดินบ่นนวล เข้ามาในห้องรับแขกบ้านพักตากอากาศ
“วันหลังฉันจะยึดมือถือของเธอ จะได้ไม่ต้องโทรไปฟ้องผึ้งอีก”
สายน้ำผึ้งกับนวล เดินตามกะรัตเข้าบ้านมา นวลหน้าจ๋อย
“ก็นวลเป็นห่วงคุณกั้งนี่คะ ดีที่คุณผึ้งมาถึงที่นี่พอดี ไม่อย่างนั้น…”
กะรัตดีดนิ้วดัง ป๊อก ป๊อก ให้นวลหยุดพูด
“หยุดพูดแล้วไปเอาน้ำแร่มา”
นวลรีบรับคำแล้ววิ่งเข้าไปในครัว สายน้ำผึ้งหันมาหากะรัต
“ก็ถ้าร้านนั้นมีคนจองแล้ว กั้งก็ไปที่ร้านอื่นสิ กั้งมีเงินซะอย่างจะจัดที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว” สายน้ำผึ้งพูดเสียงนิ่งๆ แต่แฝงนัยยะบางอย่างอยู่ลึกๆ
“ไม่ได้ กั้งต้องจัดร้านนั้น เพราะร้านนั้นเป็นร้านที่กั้งกับภูกินข้าวกันครั้งแรก และเป็นร้านที่เราสองคน ชอบกินกันมาก” กะรัตกอดเอวสายน้ำผึ้ง
“พูดถึงคุณภูอย่างนี้ แปลว่าหายโกรธคุณภูแล้วล่ะสิ”
“ไม่หายหรอก แต่เราต้องทนมองหน้ามันไปทั้งชีวิต อีกหน่อยถ้ามีลูกไม่อยากให้ลูกเห็นแม่ปั้นหน้ายักษ์ ใส่พ่อมัน”
สายน้ำผึ้งยิ้มนิ่งๆ แต่สายตาดูนิ่งไร้ความรู้สึก
“เพิ่งเคยได้ยินกั้งพูดเรื่องลูก แต่งงานครั้งก่อนๆ ไม่เคยเห็นพูด”
“ก็มีคนเคยบอกว่าถ้าผู้ชายเจ้าชู้มีลูก เขาจะหยุดกะล่อน กั้งว่าจะให้เงินเขาสิบล้าน...”
“สิบล้าน” สายน้ำผึ้งหน้าตื่น
“ใช่...กะว่าจะให้ภูตั้งบริษัทเอง แล้ววันนี้กั้งว่าจะคุยกับภูเรื่องจดทะเบียนสมรสด้วยนะ”
สายน้ำผึ้งชะงัก หน้าซีดขึ้นมาทันที
“หวังว่าภูคงอยากจดนะ”
“อยากอยู่แล้วล่ะ จดทะเบียนกับกั้ง มีแต่ได้กับได้ถ้าต้องจดกับพวกผู้หญิงที่มีแต่ตัวสิ คงไม่มีใครอยากจด เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ผึ้งรีบเข้าไปแต่งตัวก่อนดีกว่า”
“ผึ้งแค่มาร่วมงานฉลอง ไม่ต้องแต่งหรอก” สายน้ำผึ้งแปลกใจ
“ต้องแต่งสิ” กะรัตมองหน้าตาเพื่อนที่ดูโทรมซีด “หน้าตาผึ้งดูซีดๆ กั้งบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปทำงานที่อื่นเลย ให้ย้ายมานั่ง ทำงานสบายๆที่บริษัทของกั้งก็ไม่เชื่อ รีบไปแต่งตัวเถอะ…กั้งมีบาง อย่างรอเซอร์ไพร์สผึ้งอยู่”
กะรัตไม่ฟังคำค้านของสายน้ำผึ้ง ดึงมือเพื่อนเข้าบ้าน สายน้ำผึ้งมองกะรัตด้วยความสงสัย
ในห้องแต่งตัว...กะรัตจัดแจงสั่งช่างทำผมและช่างแต่งหน้า ดีไซน์เนอร์ให้จัดการแต่งหน้า แต่งผม และเลือกชุดให้สายน้ำผึ้ง โดยกะรัตไม่ใส่ใจมองว่าเพื่อนต้องการ หรือไม่ต้องการอะไร กะรัตได้แต่สั่งให้ทำอย่างที่เธอต้องการเท่านั้น สายน้ำผึ้งที่แม้ปากยิ้ม แต่สายตาดูนิ่งสงบไม่ได้มีความสุขอย่างที่ทำหน้าตัวเองยิ้มแม้แต่นิดเดียว
ในร้านอาหาร...บรรยากาศคณะผู้ร่วมสัมมนา เหล่านักศึกษาต่างตักอาหารแบบบุฟเฟ่แล้วเดินไปยืนที่ ริมระเบียง เพื่อดูเหล่าพนักงานของร้านอาหารไปจัดสถานที่ไว้รอกะรัต โดยมีเหล่าทีมงานของนิตยสาร GOODMORNING HISO มานั่งรอกะรัตอยู่แล้ว พิศุทธิ์พาเด็กๆพิการเป็นใบ้หลายคน เกาะไหล่เป็นขบวนรถไฟเข้ามา พิสุทธิ์ส่งเสียงเรียกทุกคนให้ หันมาต้อนรับเด็กๆ
“เด็กๆมาแล้วครับทุกคน”
คณะผู้ร่วมสัมมนา และ กลุ่มนักศึกษาหันหน้าจากมองทีมงานนิตยสารที่อยู่ริมหาดมามองกลุ่มเด็กๆ
“ผมขอเป็นตัวแทนของเด็กๆ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสัมมนา และร่วมกับรวบรวมเงินเพื่อพาน้องๆ มาเที่ยวทะเล นอกจากเราจะได้เพื่อน ได้ความรู้แล้ว ครั้งนี้เรายังได้สร้างความสุขให้หัวใจของน้องๆด้วย ขอบคุณมากๆครับ”
พิศุทธิ์หันไปทำมือเป็นภาษาใบ้กับเด็กๆเพื่อให้เด็กยกมือขอบคุณทุกคนเด็กๆยกมือขอบคุณทุกคน ทุกคนปรบมือให้เด็กๆ แล้วต่างเข้ามาช่วยกันจูงเด็กๆไปเลือกตักอาหาร พิศุทธิ์พาเด็กๆมาที่โต๊ะอาหาร
ผู้ร่วมสัมมนาเดินมาพูดคุยกับพิศุทธิ์ด้วยความชื่นชม
“ผมชื่นชมคุณชายจริงๆ นอกจากทำงานหนักแล้ว ยังเป็นจิตอาสาคอยดูแลเด็กๆพวกนี้อีก ไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ”
“การได้ดูแลเด็กๆพวกนี้นี่แหละครับ คือการพักผ่อนของผม สำหรับคนอื่น...ถ้ามีเวลาก็ออกไปดูหนัง กินข้าว อ่านหนังสือ หาความสุขให้ ตัวเอง แต่ความสุขของผม ไม่ต้องใช้เงิน แค่ใช้ใจทำให้คนอื่นมี ความสุข นั่นคือการ หาความสุขให้ตัวผมแล้วครับ”
ผู้ร่วมสัมมนามองพิศุทธิ์อย่างชื่นชม
“คุณชายเป็นผู้ชายที่มีดีทั้งภายนอก ทั้งภายใน ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่ายังจะเป็นโสดอยู่”
“เนื้อคู่ผมอาจยังไม่เกิดมั้งครับ” พิศุทธิ์ยิ้มขำๆ
“อย่าทำเป็นพูดเล่นไปนะครับคุณชาย เรื่องแบบนี้...เวลาเราอยากเจอมันจะไม่ค่อยเจอ แต่เวลาที่เราไม่คิดว่าจะเจอ เราอาจจะเจออย่างคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงกลุ่มนักศึกษา ที่ยืนมองวิวริมหาดพูดเสียงเซ็งแซ่ ชี้ชวนกันดูไปที่ริมหาด พิศุทธิ์เดินไปมองตามกลุ่มนักศึกษาไปที่ริมชายหาด
ซุ้มร้านอาหารริมหาด...สายน้ำผึ้งใส่ชุดราตรีสั้นสวยงาม สีชุดขับผิวสีน้ำผึ้งให้ผุดผ่องโดดเด่น เดินเข้ามาที่ซุ้ม ทีมงานนิตยสาร กลุ่มผู้สัมมนา กลุ่มนักศึกษามองสายน้ำผึ้งอย่างชื่นชมในความสวย สายน้ำผึ้งนั่งนิ่งแล้วเหลือบเงย หน้าขึ้นไปพบสบตากับพิศุทธิ์ ทั้งสองมองตากัน สายน้ำผึ้งรู้สึก ชื่นชมในความหล่อ ดูดีของพิศุทธิ์ แต่เพราะเธอมีภูเบศร์ในใจอยู่แล้ว จึงตัดสินใจถอนสายตาจากพิศุทธิ์ แล้วหันไปมองทะเล แต่สุดท้ายเธอก็ยังอดเหลือบหันไปมองเขาอีกครั้งไม่ได้
กะรัตใส่ชุดราตรีสั้นเดินเข้ามา โดยมีนวลเดินกางร่มถือให้ ทีมงานนิตยสาร กลุ่มผู้สัมมนา กลุ่มนักศึกษาเปลี่ยนสายตาที่เคยมองสายน้ำผึ้ง หันไปมองกะรัตแทน ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของกะรัต พิศุทธิ์ที่เคยมองสายน้ำผึ้ง ก็เลื่อนสายตาไปมองกะรัตอย่างตะลึงในความสวยที่น่าหลงใหล นวลเห็นผู้ชายใน ร้านมองมาทางตัวเองแล้วเขินม้วนจนเดินสะดุดกองทราย หน้าคะมำไปโดนกะรัต
“เดินให้มันดีๆหน่อยสิ” กะรัตดุ
“ขอโทษค่ะ” นวลเหลือบมองไปทางผู้ชายในร้านที่ยังมองมาทางตัวเองนวลเขิน “คือ...นวลเขิน ที่ผู้ชายมองน่ะค่ะ”
สายน้ำผึ้งได้ยินที่นวลพูด แล้วจึงหันไปมองพิศุทธิ์ที่มองกะรัต เธอรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ นึกย้อนไปถึง อดีตที่ผ่านมาว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ ถ้าสายน้ำผึ้งอยู่ด้วย จะต้องแย่งความเด่นไป สายน้ำผึ้งแอบเหลือบมองพิศุทธิ์ แต่เขากลับมองตามกะรัตไป
กะรัตเดินเข้ามาหาสายน้ำผึ้งและทีมงานนิตยสาร ด้วยสีหน้าหงุดหงิด พยายามกดมือถือโทรหาภูเบศร์ แต่เขาไม่รับสาย
“สวัสดีครับคุณกั้ง” ทีมงานยิ้มแย้มทักทาย
“ทานอะไรกันรึยังคะ”
กะรัตหันไปดีดนิ้วดัง ป๊อก ป๊อก เรียกพนักงานเสิร์ฟ
“เอาเมนูมาสิ”
กะรัตหันไปมองหาพนักงาน พลันสายตาไปพบสบตากับพิศุทธิ์ที่ยืนมองเธออยู่ เด็กเป็นใบ้คนหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดพิศุทธิ์ แล้วส่งภาษาใบ้ขอให้พิศุทธิ์พาไปทะเล พิศุทธิ์ทำมือส่งภาษาใบ้สื่อกับเด็กว่า ทานข้าวก่อนเดี๋ยวพี่พาไป กะรัตมองพิศุทธิ์ที่ส่งภาษามือกับเด็กแล้วพูดพึมพำ
“เสียดาย...หน้าตาดี แต่ดันเป็นเป็นใบ้”
กะรัตถอนสายตาจากพิศุทธิ์ แล้วหันไปมองหาเรียกพนักงานเสิร์ฟ แล้วเผลอไปมองพิศุทธิ์อีกครั้ง พิศุทธิ์มองอยู่ กะรัตทำเป็นไม่สนใจ
สายน้ำผึ้งแอบมองกะรัตกับพิศุทธิ์อย่างหมั่นไส้
อ่านต่อหน้า 2
สามีตีตรา ตอนที่ 1 (ต่อ)
พิศุทธิ์ยังแอบมองกะรัตที่นั่งคุยกับทีมงานอยู่ เจ้าของร้านเดินมายืนข้างๆพิศุทธิ์
“มีอะไรอยากได้เพิ่มเติม บอกเด็กได้เลยนะครับอาจารย์”
“ขอบใจมากนะ”
เจ้าของร้านมองออกไปทะเลแล้วเห็นกะรัต
“เดี๋ยวผมขอตัวไปดูคุณกะรัตก่อนนะครับ ดีนะครับที่แกยอมเปลี่ยนใจไปใช้สถานที่ที่ชายหาด”
พิศุทธิ์ชะงักที่ได้ยินชื่อ กะรัต
“ผู้หญิงคนนั้นเหรอ...ที่ชื่อ…กะรัต”
“ใช่ครับ...คุณหนูกะรัต”
เจ้าของร้านเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ แล้วเปิดหน้าข่าวสังคมให้พิสุทธิ์ดู
“เพิ่งขึ้นหน้าข่าวสังคมเลยครับอาจารย์”
พิศุทธิ์ดูรูปกะรัตที่อาละวาดจิกตบผู้หญิงในงานแต่ง แล้วเหลือบมองไปทางกะรัตที่กำลัง พูดคุยกับสายน้ำผึ้ง ซึ่งกะรัตมีท่าทางมีความสุขกับการคุยมาก ดูไม่ออกว่าเลยว่าเธอจะร้ายกาจ ตรงข้ามกับสายน้ำผึ้งผู้หญิงที่นั่งนิ่ง ยิ้มเย็นๆ พิศุทธิ์รู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี่ดูต่างกันสิ้นเชิง
ภูเบศร์ขับรถอย่างรีบร้อน นิลุบลที่นั่งข้างๆพยายามอ้อน
“ไหนๆคุณก็จะไปพัทยาแล้ว แวะไปส่งมลที่บ้านแม่ตรงสัตหีบหน่อยไม่ได้เหรอ”
“บอกแล้วไงว่าฉันรีบ กั้งยิ่งผีเข้าผีออก เกิดเปลี่ยนใจไม่ให้เงินฉันขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเดี๋ยวลงไปต่อรถ ข้างหน้าเองแล้วกัน”
มือถือภูเบศร์ดังขึ้น เขามองเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่อยากรับสายต่อหน้านิลุบล เพราะกลัวนิลุบลส่งเสียงให้ คนปลายสายได้ยินจนเป็นเรื่อง ดังนั้นเขากดสายทิ้ง
สายน้ำผึ้งเดินออกจากห้องน้ำ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าหลังจากที่ภูเบศร์ไม่รับสาย เธอรู้สึกเวียนหัวแล้วจะอ๊วก มองว่าไม่มีใคร จึงเปิดกระเป๋าจะหยิบกระปุกยาแก้แพ้ท้องขึ้นมา กะรัตโผล่หน้าเข้ามา สายน้ำผึ้งรีบปิดกระเป๋า แล้วแสร้งทำเป็นหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ
“ผึ้งเสร็จรึยัง กั้งจะให้ทีมงานสัมภาษณ์เราสองคนก่อน”
สายน้ำผึ้งชะงัก
“สัมภาษณ์อะไร”
“นี่ไง...เรื่องเซอร์ไพร์ส กั้งบอกทีมงานว่าอยากให้ ลงรูปเราสองคนในนิตยสารด้วย ผึ้งเป็นคนสำคัญอีก คนนึงในชีวิตกั้ง กั้งคงไม่มีวันเจอภูได้ ถ้าวันนั้นผึ้งไม่พาภูมาพบกั้ง”
กะรัตยิ้มเป็นเรื่องสนุก สายน้ำผึ้งเหยียดยิ้มมือของเธอกำขอบอ่างล้างหน้าแน่น อย่างระงับความรู้สึกไม่พอใจ
ทีมงานถ่ายรูปคู่ของสายน้ำผึ้งกับกะรัต พร้อมสัมภาษณ์ความสนิทสนมของทั้งสองคน กะรัตเดินมาจับมือสายน้ำผึ้ง แล้วพูดถึงเรื่องราวความสนิทอย่างมีความสุข พร้อมกับเอารูปสมัยเรียนมาโชว์ สายน้ำผึ้งฟังกะรัตพูด ด้วยใบหน้ายิ้มแต่ดวงตานิ่งเย็นชา
“เราสองคนเจอกันตอน ม.ต้น กั้งเป็นคนเอาแต่ใจ เลยไม่ค่อยมีเพื่อน”
นวลเสนอหน้าพูดแทรก
“อันนี้เรื่องจริงค่ะ นวลคอนเฟิร์ม นวลนี่แหละค่ะที่เป็นเพื่อนที่คอยรับใช้คุณกั้งคนเดียว เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ด…”
“นวล” กะรัตดุเสียงเข้ม
นวลชะงักหน้าจ๋อย
“ขอโทษค่ะ แบบว่าอยากมีคำพูดลงหนังสือเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลบ้าง...ไรบ้างน่ะค่ะ”
กะรัตดีดนิ้ว ป็อก ป็อก แล้วชี้ไปทางข้างหลังตัวเอง นวลรีบถอยไปยืนข้างหลังตรงตำแหน่งที่กะรัตชี้อย่าง รู้หน้าที่กะรัตพูดกับทีมงาน
“ผึ้งเห็นกั้งไม่มีใคร ผึ้งเลยมาคุยกับกั้ง ความจริงกั้งไม่แคร์อยู่แล้วว่าใครอยากจะคบกับกั้งรึเปล่า แต่เพราะความมีน้ำใจของผึ้ง ทำให้กั้งรู้สึกถูกชะตา แล้วเราก็เลยเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ขนาดถ้าซื้อตุ้มหู ก็ต้องซื้อเหมือนกัน กั้งยังเก็บตุ้มหูคู่นั้นอยู่เลยนะคะ ผึ้งยังเก็บไว้รึเปล่า”
“เก็บไว้สิ”
“แต่ผึ้งไม่ค่อยใส่หรอกค่ะ เขาบอกว่ามันแพง กั้งเป็นคนแบบว่า ถ้ากั้งมีอะไร กั้งต้องซื้อให้ผึ้งด้วย เราเคยสัญญาว่าถ้ามีอะไรก็ต้องคิดถึงอีกคนด้วย มีอะไรต้องบอกกัน ไม่มีความลับต่อกัน...จริงไหมผึ้ง”
สายน้ำผึ้งชะงักแล้วยิ้มแต่ไม่พูดตอบรับ เปลี่ยนเรื่องพูด
“แล้วคุณภูเบศล่ะกั้ง”
“โทรไปแล้ว แต่ไม่รับ กั้งเลยส่งข้อความไปว่าถ้ายังไม่มาถึงภายในสิบนาที กั้งจะไม่ให้เงิน”
สายน้ำผึ้งเผลอดุกะรัต
“ทำไมกั้งพูดอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวคุณภูก็รีบมาจนเกิด อุบัติเหตุหรอก”
กะรัตมองอาการสายน้ำผึ้งอย่างงงๆว่าทำไมต้องดุด้วย สายน้ำผึ้งรีบพูดกลบเกลื่อน
“คือผึ้งอยากให้กั้งพูดจากับคุณภูให้ดีกว่านี้ กั้งชอบให้คนอื่นเอาใจ พูดดีๆกับกั้งเท่าไหน คนอื่นก็อยากให้กั้งพูดดีๆด้วยเท่านั้น”
“แหม...พูดอย่างกับคนแต่งงานแล้วเลยนะ” กะรัตแกล้งหยอก “เอ๊ะ หรือว่าที่ผึ้งบอกว่าไปทำงานต่างจังหวัด ที่แท้แอบไปแต่งงานกับใคร” กะรัตดึงมือข้างซ้ายของสายน้ำผึ้งมา “ไหนดูสิ ...ใส่แหวนแต่งงานรึเปล่า”
กะรัตกอดไหล่เพื่อน สายน้ำผึ้งทำหน้านิ่งในใจคิดถึงภูเบศร์
ภูเบศร์ขับรถอย่างเร็วและพยายามขับแซงรถข้างหน้า เขาเร่งเครื่องจะแซงได้ แต่มีรถจากเลนตรง ข้ามขับผ่านมา รถของภูเบศร์จึงจำเป็นต้องชะลอความช้า ลงแล้วรอจังหวะเร่งความเร็วจะแซงอีกครั้ง แต่เห็นรถเลนตรงกันข้ามเปิดไฟสูงส่งสัญญาณเตือนมาแต่ไกล ภูเบศร์จึงชะลอความเร็วลง สุดท้ายเขาใจร้อนทนไม่ไหวจึงหักรถแซงซ้ายทางไหล่ถนนแทน ปรากฏว่ามีรถบรรทุกขับออกมาจากซอย ภูเบศร์พยายามเบรค แต่ก็ไม่ทัน !!!
แก้วในมือของสายน้ำผึ้งร่วงหล่นตกแตกดังเพล้ง เธอมองเศษแก้วแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี
“เป็นอะไรรึเปล่าผึ้ง” กะรัตถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร” หน้าของสายน้ำผึ้งซีดเซียว
กะรัตดีดนิ้ว ป๊อก ป๊อก บอกนวล
“นวลไปเรียกพนักงานกวาดเศษแก้วสิ”
นวลวิ่งไปตามพนักงาน สายน้ำผึ้งรู้สึกสังหรณ์ห่วงภูเบศร์อย่างบอกไม่ถูก
“ป่านนี้คุณภูยังไม่มาอีก เขาโทรบอกกั้งรึเปล่าว่าถึงไหนแล้ว”
“ไม่เห็นมันจะโทรมาบอกเลย มันน่านัก ดูสิ...คนเป็นฝูงต้องรอมันคนเดียว เอาอย่างนี้ ...ผึ้งไปถ่ายรูปตรงโน้นกับทีมงานก่อน เดี๋ยวกั้งโทรตามภูเอง” กะรัตหงุดหงิด
สายน้ำผึ้งเดินไปกับทีมงาน เพื่อไปถ่ายรูปแถวริมหาดไกลออกจากโต๊ะที่กะรัตนั่งอยู่...กะรัตหยิบมือถือมาจะกดโทรหาภูเบศร์ แต่พวงหยกโทร.เข้ามาก่อน เธอกดรับสาย
“ว่ายังไงแม่...” กะรัตฟังพวงหยกพูดบางอย่างแล้วถึงกับอึ้ง “แม่พูดว่ายังไงนะ”
กะรัตหน้าซีดเผือด ทำโทรศัพท์ร่วงลงข้างตัว
กะรัตที่ยังอยู่ในอาการช็อก รีบเดินเร็วเป็นพายุไปไปทางหน้าร้าน นวลเดินนำพนักงานเพื่อมากวาดเศษแก้วสวนกับกะรัต
“อ้าว...คุณกั้งจะไปไหนคะ”
กะรัตไม่ตอบรีบเดินเร็วไปที่รถตัวเอง นวลมองทางกะรัต แล้วมองไปทางสายน้ำผึ้งที่ทีมงานกำลังถ่ายรูป โดยสายน้ำผึ้งไม่รู้ว่ากะรัตเดินออกจากร้านไปแล้ว นวลจะวิ่งไปบอกแล้วหันไปเห็นว่ากะรัตกำลังจะไป นวลพะว้าพะวง ว่าจะไปหาสายน้ำผึ้งหรือกะรัตก่อน สุดท้ายนวลรีบวิ่งไปหากะรัต พิศุทธิ์ยืนมองอาการท่าทางของกะรัต อย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเดินไปขึ้นรถขับออกไป
กะรัตกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ นวลวิ่งมาร้อนรน งงๆ
“คุณกั้งขึ้นรถทำไมคะ”
“ฉันขึ้นมานั่งถ่ายอินสตาร์แกรมเล่นมั้ง รีบโทรบอกนายสมหวัง ให้มารับผึ้งแล้วไปเจอกันที่ โรงพยาบาลที่ยายก้อยทำงานอยู่” กะรัตหงุดหงิด
“โรงพยาบาล...ใครเป็นอะไรเหรอคะคุณกั้ง”
กะรัตไม่ตอบ รีบขึ้นรถไปพร้อมสตาร์ทรถเตรียมจะขับออก นวลเป็นห่วงกะรัตว่าต้องเกิดเรื่องอะไรแน่ๆ จึงรีบวิ่งขึ้นรถไปกับกะรัตทันที แล้วโทรศัทพ์บอกสมหวังไปด้วย
เสียงไซเรนดังลั่น รถหน่วยกู้ภัยเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลอย่างเร่งร้อน เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบนำร่างภูเบศร์ ที่นอนแน่นิ่งไร้สติ มีเลือดเต็มตัวลงจากรถ บุรุษพยาบาลรีบเข็นรถมารับผู้บาดเจ็บ กันตาที่ใส่เสื้อกราวน์ วิ่งเข้ามาดูอาการภูเบศร์ ซึ่งมีบาดแผลฉกรรจ์เต็มตัว เลือดไหลไม่หยุด เธอรีบบอกบุรุษพยาบาลให้นำรถเข็น ไปห้องฉุกเฉินด่วน กันตาวิ่งตามรถเข็นอย่างใจเสีย เธอถามพยาบาลอย่างเร่งร้อน
“คนไข้โดนอะไรมา”
“ประสานงากับรถบรรทุกค่ะ ถูกด้านหน้ารถอัดกระแทกอย่างแรงโดนเหล็กของรถแทงตามร่างค่ะ”
กันตามองสภาพร่างภูเบศร์ที่แทบไม่มีความหวังว่าจะรอด เธอคิดถึงกะรัตอย่างสงสารสุดหัวใจ
“โธ่…พี่กั้ง”
ทีมงานถ่ายรูปให้สายน้ำผึ้งเสร็จ ทั้งหมดเดินมาที่โต๊ะ แต่ไม่เห็นกะรัตแล้ว สายน้ำผึ้งมองหา สมหวังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
“ค...คุณผึ้งครับ…คุณผึ้ง คุณกั้งให้ผมมารับกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้ครับ”
สายน้ำผึ้งตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอสมหวัง”
กะรัตขับรถสปอร์ตหรู,kด้วยความเร็วสูง แซงซ้าย แซงขวาเกือบเฉียดชนรถคนอื่น เบียดเข้าเลนอื่น โดยไม่สนใจรถที่ขับตามมาอย่างน่าหวาดเสียว นวลพนมมือไหว้พระที่คล้องคอ อยู่ด้วยความหวาดกลัว กับการขับรถของกะรัต
“คุณกั้งขา...เบาไว้ค่า”
กะรัตหักไปซ้ายอย่างแรงไม่มีเบรค นวลเอียงไปทางซ้ายจนแทบหัวทิ่ม
“เหยียบเบรกไว้บ้างค่า”
กะรัตหักไปทางขวาอย่างแรงไม่มีเบรค นวลเอียงไปทางขวาเลี้ยวจนหัวแทบทิ่ม
“จะอ๊วกแตกแล้วค่า”
“ถ้าแหกปากอีกคำเดียว แม่จะพาลงข้างทางให้ดู”
นวลรีบหุบปาก แล้วมองไปทางถนนข้างหน้า แล้วนวลก็หุบปากไม่อยู่ ร้องกรี๊ดเป็นระยะ ด้วยความกลัว
พิศุทธิ์ค่อยๆขับรถคันเก่าคลานออกมาจากปั๊ม มองซ้ายมองขวาอย่างรอบคอบ รถกะรัตพุ่งตรงมาอย่างแรง เห็นรถพิศุทธิ์อยู่ข้างหน้า กะรัตบีบแตรยาวดังลั่น พิศุทธิ์หันมองตามเสียง เห็นรถกะรัตพุ่งตรงมาใกล้มาก เขาตกใจ กะรัตหักหลบทัน พิศุทธิ์มองตามรถกะรัตแล้วส่ายหน้า
“จะรีบไปไหนของเขา”
กะรัตเหยียบคันเร่งปาดซ้ายขวารถคันอื่น ใจเธอร้อนราวกับไฟ บีบแตรไล่รถทุกคันที่อยู่ตรงหน้า นวลลุ้นไม่ได้หายใจ เหวี่ยงตัวหลบบ้างไรบ้าง ขณะกำลังบึ่งไปด้วยความเร็วสูง รถจากเลนขวาก็เปลี่ยนเลนมา กะทันหัน กะรัตที่ไม่ยอมชะลอ กดแตรแช่ค้าง นวลตาเหลือกที่เห็นรถคันหน้าไม่ยอมหลบ กะรัตตัดสินใจหักพวงมาลัย รวดเร็วเบี่ยงหลบออกเลนซ้าย โดยไม่ทันดูว่ามีรถอีกคันแล่นอยู่ รถกะรัตถูกชนอย่างจัง หมุนคว้างแล้วตกไหล่ถนน เกือบคว่ำขมำหงาย กะรัตเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัย หน้าผากมีรอยแตกเลือดซึมไหลเป็นทาง
“โอ๊ย”
กะรัตยกมือแตะหน้าผาก แล้วหันไปหานวลอย่างเป็นห่วง
“นวล...เป็นยังไงบ้าง”
“โอ้ย”
นวลเอี้ยวตัวกลับมา ร้องคราง กะรัตเห็นอาการนวลก็รีบดึงเข็มขัดนิรภัยออกให้ แล้วเข้าไปสำรวจดูตัวนวล
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า...โอ๊ย...” กะรัตรู้สึกเจ็บที่หน้าอกตัวเอง
นวลเพิ่งได้สติปรือตามามอง
“คุณกั้ง...”
“นวลไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่คุณกั้ง”
นวลเห็นแผลที่หน้าผากกั้งแล้วตกใจ ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ คู่กรณีเดินตรงมาเคาะกระจก
“คุณเป็นอะไรไหมครับ”
กะรัตเปิดกระจกลง
“ฉันไม่เป็นอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกประกันของคุณ ผมโทรเรียกประกันของผมแล้ว”
กะรัตพะวงเป็นห่วงภูเบศร์ จึงตัดสินใจหันไปทางนวล
“นวลอยู่เคลียร์กับประกันที่นี่นะ” กะรัตเปิดประตูออกจากรถ
“คุณกั้งจะไปไหนคะ”
กะรัตเดินจากรถมายืนริมถนน มองรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมาด้วยความเร็วอย่างกลัวๆ นวลวิ่งตามมา
“คุณกั้งจะทำอะไรคะ”
กะรัตไม่ตอบ ยังมองรถที่เดินผ่านไปอย่างกลัวๆแต่ด้วยใจที่เป็นห่วงอยากไปดูภูเบศร์ อยากไปอยู่ใกล้ๆ
อยากเป็นกำลังใจ ทำให้เธอตัดสินใจจะก้าวไปที่ถนนเพื่อโบกรถ รถวิ่งด้วยความเร็วพุ่งมาเกือบจะชน นวลวิ่งรีบ ดึงแขนกะรัตให้เข้ามาข้างทาง
“เกือบไปแล้วไหมคะคุณกั้ง อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ ตอนนี้มันใกล้มืด รถแถวนี้วิ่งเร็ว รอรถตำรวจมาดีกว่าค่ะ”
“กว่าตำรวจจะตรวจสอบสาเหตุ กว่าจะเคลียร์ค่าเสียหายกันได้ฉันก็ไม่ได้อยู่ข้างๆภูกันพอดี”
นวลมองกะรัตที่พยายามกลั้นน้ำตาของความห่วงใยไว้ เป็นความอ่อนแอที่กะรัตไม่เคยเผยให้ใครเห็นมาก่อน แต่นวลรู้ว่าตอนนี้กะรัตกำลังเสียขวัญ
“งั้นนวลโบกรถให้เองค่ะ”
นวลมองรถที่กำลังวิ่งผ่านมา ละล้าละลังด้วยความกล้าๆกลัวๆจะโผล่ไปโบกรถดีหรือไม่ดี สุดท้ายนวล จะโผล่ไป รถก็วิ่งผ่านไปเสียก่อน นวลมองตามรถอย่างตาละห้อย
“อ้าว”
“ฉันโบกเอง”
กะรัตร้อนใจ พยายามชูมือโบกขอติดรถไปกับรถที่ผ่านมา แต่ไม่มีรถคันไหนจอดรับเลย กะรัตเริ่มหงุดหงิด หยิบแบงค์พันเป็นปึกจากกระเป๋าเงินมาถือโชว์
“ฉันมีเงิน เห็นไหมว่าฉันมีเงิน ให้ฉันไปด้วยเดี๋ยวนี้นะ”
กะรัตเดินไปบนถนน โชว์แบงค์ที่โดนลมปะทะจากการวิ่งของรถ จนทำให้แบงค์ปลิวกระจาย แต่กะรัตไม่
ยอมแพ้ พยายามจะใช้ตัวเข้าขวางรถ นวลมองกะรัตด้วยความเห็นใจและสงสาร
“คุณกั้งระวังค่ะ โถ…คุณกั้ง เข้ามาเถอะค่ะ”
นวลพยายามดึง กะรัตยังไม่ยอมเข้าไปหานวล แล้วหันไปมองรถที่กำลังขับเข้ามาอย่างแน่วแน่ แล้วเดินไปยืนขวางกลางถนน ไฟหน้าส่องส่งสัญญาณกระพริบให้หลบ แต่กะรัตไม่ยอมหลบยืนขวางรถขับใกล้เข้ามา กะรัตจ้องไปทางกระจกรถ หวังส่งความมุ่งมั่นทางสายตาส่งถึงคนขับ รถขับเข้ามาเบรกอยู่ตรงหน้ากะรัต โดยกันชนอยู่ห่างจากเรียวขากะรัตเพียงเสี้ยวเซนติเมตร นวลลุ้นจนหัวใจแทบหยุดเต้น กะรัตดีใจมาก รีบวิ่งไปด้านประตูคนขับ พิศุทธิ์ลดกระจกลง
“คุณนี่เอง” กะรัตเห็นหน้าพิศุทธิ์แล้วจำได้
พิศุทธิ์จะต่อว่า แต่พอห็นรอยแผลที่หน้าผากของเธอแล้วมองไปทางรถที่เปิดไฟ ขอทางบ่งบอกว่าเกิดอุบัติเหตุ จึงชะงักไป นวลพุ่งเข้ามาขัดจังหวะ พิสุทธิ์ไม่ทันพูด
“คุณจะเข้ากรุงเทพใช่ไหมคะ ขอเจ้านายฉันติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”
พิศุทธิ์จะพูด กะรัตรีบพุดเสียงดุนวลขัดจังหวะพิศุทธิ์ไม่ทันพูด
“เขาฟังไม่ได้ยินหรอก เขาเป็นใบ้”
พิศุทธิ์มองกะรัตอย่างงงๆว่ารู้จากที่ไหนว่าเขาเป็นใบ้
“คุณกั้งรู้ได้ยังไงคะ เคยเจอเขาเหรอ”
“ใช่น่ะสิ ฉันเจอเขาที่ร้านอาหารเมื่อตอนเย็น เขาพูดภาษาใบ้กับเด็ก”
พิศุทธิ์คิดตามคำพูดของกะรัต แล้วนึกออกว่าการที่เขาส่งภาษาใบ้กับเด็ก ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่า เขาเป็นใบ้ กะรัตหันไปทำมือพยายามสื่อสารกับพิสุทธิ์
“ขอฉันติดรถไปหน่อยได้ไหม”
พิสุทธิ์ยิ้มเป็นการยอมให้เธอขึ้นรถ กะรัตกระโดดดีใจ แล้วรู้สึกเจ็บแขน พิศุทธิ์เห็นอาการเจ็บแขน แล้วจะถาม แต่กะรัตขัดจังหวะหันไปยัดเงินทั้งหมดที่มีใส่มือนวลพูดกับนวลอย่างเร่งร้อน
“เอาเงินนี่ไป เคลียร์เรื่องรถเสร็จก็เอาเงินนี่จ้างรถไปเจอฉันที่โรงพยาบาล”
กะรัตรีบวิ่งขึ้นรถ นวลรีบตามไปขึ้นรถกับกะรัต
“แต่คุณกั้งคะ นวลปล่อยให้คุณไปกับคนแปลกหน้าไม่ได้หรอกค่ะ มันอันตราย”
กะรัตปิดประตูไม่ยอมให้นวลไปด้วย
“คนอย่างกะรัต คงไม่เสียท่าให้คนเป็นใบ้หรอก”
“ไปได้แล้ว”กะรัตหันไปทำมือให้พิศุทธิ์ขับรถไป
พิศุทธิ์ส่ายหัวจนใจที่จะพูดอธิบายความจริงว่าเขาไม่เป็นใบ้ จึงขับรถออกไป
นวลมองตามกะรัตอย่างเป็นห่วง
พิศุทธิ์ขับรถอย่างสบายๆ ไม่เร่งร้อน กะรัตร้อนใจจึงหงุดหงิดที่เขาขับช้า เธอใช้มือสื่อสารกับเขาพร้อมพูดเสียงดัง
“ขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม”
พิศุทธิ์จะพูด กะรัตรีบยกมือห้ามเสียก่อนพูดพร้อมใช้มือทำท่าสื่อสารได้เท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องพูดหรอก ฉันฟังภาษาใบ้ไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าขับเร็วๆ ฉันรีบ”
พิศุทธิ์ถอนใจที่กะรัตหมกมุ่นฟังแต่กับความเข้าใจของตัวเอง ไม่ยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นพูดบ้าง จึงแกล้งไม่ใส่ใจกะรัตบ้าง แค่อยากสอนว่าเวลาคนอื่นไม่ใส่ใจ มันเป็นยังไง พิศุทธิ์จึงยังขับรถสบายๆ ไม่ได้เร่งความเร็วขึ้น กะรัตรู้สึกว่าพิศุทธิ์ยังไม่ยอมขับให้เร็วขึ้น จึงยิ่งหงุดหงิดพูดเสียงดังพร้อมทำมือสื่อสารง่ายๆ
“ฉันบอกให้ไปเร็วๆไง ฉันรีบนะ”
พิศุทธิ์นั่งนิ่งเหมือนไม่ใส่ใจว่ากะรัตจะคิดอะไร กะรัตมองพิศุทธิ์ที่ยังขับรถนิ่งไม่ใส่ใจหรือสนใจ เธอคิดว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อสาร กะรัตทั้งร้อนใจเป็นห่วงภูเบศร์ ทั้งอึดอัดที่สื่อสารกับพิศุทธิ์ไม่ได้ ความอ่อนแอที่ถูกเก็บไว้ มันทะลักจุกอก ทำให้เธอยอมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้เพราะคิดว่าพิศุทธิ์คงไม่ได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้ เธอร้องไห้ พร้อมพูดพึมพำระบายความอัดอั้น
“มันจะซวยอะไรหนักหนาแค่จะไปหาภู ไปอยู่ข้างๆภู อยากจับมือให้กำลังใจไว้ อย่างที่เมียควรจะทำ ฉันก็ยังทำไม่ได้ สมควรแล้วที่ผัวจะไปมีผู้หญิงคนอื่นอดทนไว้นะภู...ถ้าภูหายคราวนี้ กั้งจะทำตัวใหม่ จะเป็นเมียที่ดีคอยอยู่บ้าน ทำอาหารรอภู ไม่อาละวาด จะเอาใจคอยดูแลภู”
พิศุทธิ์ได้ยินที่กะรัตพูดและร้องไห้ จึงเหลือบมามองอย่างอึ้งเขาพอจะดูออกอยู่บ้างว่ากะรัตไม่ได้ มีจิตใจแข็งกร้าวอย่างกับท่าทางภายนอกที่แสดงออก เขาคิดไม่ถึงว่ากะรัตจะดูอ่อนแอขนาดนี้ จึงเร่งความเร็วมากขึ้น กะรัตเห็นว่ารถวิ่งเร็วขึ้นก็ดีใจ หันมายิ้มอย่างจริงใจให้ พิศุทธิ์มองรอยยิ้มที่ไร้จริตของกะรัต แล้วถึงกับทำให้จังหวะ การเต้นของหัวใจมันแปลกๆ แต่ต้องควบคุมตัวเองไว้
พิศุทธิ์ขับรถเข้าจอดเทียบที่หน้าโรงพยาบาล เขามองหน้ากะรัตจะพูดด้วย แต่เธอไม่ทันสนใจ รีบเปิดประตูรถพรวด แล้วจะวิ่งเข้าโรงพยาบาล พิศุทธิ์มองตามบ่นงึมงำ
“ใจคอจะไม่ขอบคุณกันสักคำเลยเหรอ”
กะรัตที่ชะงักเท้าเดินกลับมาหา พิศุทธิ์มองกะรัต คิดว่าเธอจะกล่าวคำขอบคุณ กะรัตจะหยิบเงิน แต่จำได้ว่าส่งเงินทั้งหมดให้นวลไปหมดแล้วจึงถอดนาฬิกาส่งให้
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยใช้ใครฟรีๆ”
กะรัตพูดจบก็วิ่งเข้าโรงพยาบาลไป พิศุทธิ์ไม่ยอมรับนาฬิกาจึงรีบพรวดออกจากรถจะวิ่งตาม ยามเป่านกหวีดเตือนไม่ให้พิศุทธิ์จอดรถตรงนี้ เขาจึงจำใจต้องขึ้นรถแล้วมองนาฬิกาของกะรัตอย่างคิดๆ
กะรัตวิ่งเข้ามาหน้าห้องฉุกเฉิน ตรงมาหาพวงหยกและกุนตีพร้อมกับถามอาการของภูเบศร์ด้วยความห่วงใย
“ภูปลอดภัยใช่ไหมพี่กุ้ง...ภูออกไปนอนที่ห้องพักแล้วใช่ไหมแม่”
พวงหยกมองหน้ากับกุนตีอย่างหน้าเสีย สงสารกะรัต เอื้อมมือไปจับมือจะพูด แต่โดนขัดจังหวะด้วยเสียง ร้องไห้ลั่นของแม่ภูเบศร์ ที่เดินด้วยท่าทางจะเป็นลมโดยมีเด็กรับใช้พยุงมา
“ตาภู ตาภูลูกแม่…”
กะรัตรีบเข้าไปหาแม่ของภูเบศร์
“คุณแม่คะ…”
พูดไม่ทันจบ แม่ของภูเบศร์ก็ผลักกะรัตกระเด็น พวงหยกกับกุนตีรีบเข้าไปพยุงกะรัตไว้
“คุณมาผลักลูกฉันทำไมเนี่ย”
“เพราะลูกสาวแก ภูถึงเป็นอย่างนี้ อีตัวซวย”
แม่ของภูเบศร์จะเข้าไปทำร้ายกะรัต กุนตีกับพวงหยกปกป้องกะรัตที่ยืนนิ่งอึ้งไว้
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง ยายกั้งไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ตาภูขับรถไปชนกับรถบรรทุกเอง” พวงหยกไม่พอใจ
“ก็เพราะภูแต่งงานกับผู้หญิงดวงกาลกิณีนี่ไง ภูไม่ต้องอายุสั้นแบบนี้มีผัวกี่คน ก็ตายโหงหมด”
“คุณแม่…” กะรัตพูดอะไรแทบไม่ออก
“นังผู้หญิงกินผัว”
กะรัตแทบล้มทั้งยืนกับคำพูดที่เป็นปมฝังใจเธอมานานแสนนาน เธอส่ายหน้าไม่ยอมรับว่า ตัวเองคือตัวซวย พิศุทธิ์เดินถือนาฬิกาของกะรัตเพื่อจะเอามาคืน เข้ามาได้ยินแม่ภูเบศร์ต่อว่ากะรัตพอดีจึงชะงักแอบฟัง
“ลูกฉันไม่ใช่ผู้หญิงกินผัว แต่บังเอิญไอ้คนที่มาหลอกเงินลูกสาวฉันมันเป็นพวกชั่ว นรกเลยต้องการตัว ไปชดใช้กรรม ถึงได้พากันตายโหงไปหมด” พวงหยกเหลืออด
“แหม...ลูกสาวแกดีตายสินะ ผัวถึงได้แล่ไปนอนกับผู้หญิงอื่น ที่โบราณบอกว่าดูนางให้ดูแม่มันเป็นอย่างนี้ นี่เองแม่มันทำตัวให้ผัวนอกใจได้ ลูกก็คงไม่ต่างกัน”
“อีนี่”
พวงหยกของขึ้น วางมวยกับแม่ภูเบศร์ กันตาเดินออกจากห้องฉุกเฉินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะแม่”
กันตาหันไปเรียกพยาบาล
“ช่วยพาญาติคนไข้ไปหน่อยค่ะ”
พยาบาลมาห้าม และพาแม่ของภูเบศร์ออกไปสงบอารมณ์
“พอเถอะค่ะแม่” กุนตีจับพวงหยกไว้
“เพราะพ่อแกคนเดียว ร่านไปกับนังเนื้อแพร อีดาราหน้าด้านใครต่อใครถึงมาประนามฉัน ป่านนี้ไม่รู้ไปสำเริงสำราญอยู่ฮ่องกงหรือห้องไหนก็ไม่รู้” พวงหยกโกรธ
“กั้งอยากเห็นภู…” กะรัตพูดด้วยเสียงล่องลอยเหมือนสติหลุดไปแล้ว
พวงหยกชะงักหยุดพูดทันที กุนตี กันตากับพวงหยกมองหน้ากันอย่างเหมือนมีความลับบางอย่างที่กะรัต ไม่ควรรู้ กันตารีบพูดให้กะรัตเปลี่ยนใจ
“อย่าเลยพี่กั้ง สภาพศพพี่ภูมันไม่สวย เดี๋ยวมันติดตา”
“ไม่เป็นไร คนเป็นผัวเมียกัน อย่างน้อยก็อยากเห็นหน้าก่อนที่จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
กันตา กุนตีและพวงหยกมองหน้ากันว่าคงห้ามกะรัตไม่ได้แน่ๆ พิศุทธิ์มองกะรัตอย่างเห็นใจ
สมหวังขับรถมาบนถนน สายน้ำผึ้งนั่งด้วยสีหน้าเครียด กุมมือตัวเองแน่นเกร็งเพราะห่วงว่า ภูเบศร์จะเป็นยังไงบ้าง สายน้ำผึ้งรู้สึกจะอาเจียนแล้วคิดกลัวว่าถ้าไปหาภูเบศร์ตอนนี้ กะรัตอาจเห็นอาการ แพ้ท้องของตัวเอง และเธอกลัวใจตัวเองว่าจะควบคุมอาการเป็นห่วงภูเบศร์ไม่อยู่ อาจทำให้กะรัตสงสัยได้ ดังนั้นสายน้ำผึ้งจึงตัดสินใจ
“จอดรถเดี๋ยวนี้”
รถแวนหรูจอดริมถนน สายน้ำผึ้งลงจากรถ สมหวังลงจากรถเพื่อจะเปิดประตูให้
“นายสมหวังไปโรงพยาบาลก่อนนะ ฉันจะกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วเดี๋ยวตามไป”
“ผมพาคุณผึ้งไปที่บ้านก็ได้ครับ”
สายน้ำผึ้งหงุดหงิดตวาดเสียงดัง
“ฉันกลับเองได้ นายไปได้แล้ว”
“ครับๆ”
สมหวังรีบขึ้นรถแล้วขับออกไป สายน้ำผึ้งมองรถสมหวังขับออกไป แล้วหันมาโบกมือเรียกแท็กซี่ เปิดประตูรถแล้วชะโงกหน้าบอกคนขับแท็กซี่
“ไปโรงพยาบาล…”
คนขับรถแท็กซี่พยักหน้า สายน้ำผึ้งรีบขึ้นรถทันที เธอภาวนาอย่างทุกข์ใจ
“คุณภูอย่าเป็นอะไรนะคะ ผึ้งกำลังจะไปหาคุณแล้ว”
เจ้าหน้าที่ในห้องเก็บศพเดินนำกะรัต พวงหยก กันตา กุนตีเข้ามาในห้องดับจิต ร่างที่นอนนิ่งมีผ้าขาวคลุม ร่างอยู่สองร่าง เจ้าหน้าที่หันมาบอก
“ศพของคนที่เกิดอุบัติเหตุ ก็สองศพนี้แหละ”
กะรัตฟังเจ้าหน้าที่พูดแล้วรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ กะรัตมองร่างสองร่างแล้วหันไปมองกันตา กุนตี และพวงหยก
“ทำไมมีสองศพ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันไม่กล้าบอก กะรัตสังหรณ์ว่าภูเบศร์ต้องคิดไม่ซื่ออีกแน่ๆ กะรัตเดินไปดึงผ้าที่ปิดหน้า ภูเบศร์ออก แล้วเดินไปดึงผ้าที่ปิดหน้านิลุบลออก
“นังผู้หญิงคนนี้มันเป็นใคร”
ทันใดนั้นแม่ของนิลุบลเดินเข้ามา พร้อมน้องสาวมองหน้ากะรัตอย่างโกรธแค้น
“ก็เมียอีกคนของผัวแกไง”
“อะไรนะ” กะรัตหันไปมองหน้าแม่ของนิลุบล
“ผัวแกพาลูกฉันไปตาย แกต้องชดใช้แทนผัวแก”
กะรัตจ้องหน้าแม่ของนิลุบลแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆแม่ของนิลุบลนิ่งๆ กันตารีบเข้าไปดึงแขนห้ามกะรัตไว้
“พี่กั้งใจเย็นๆ”
กะรัตสะบัดแขนออกจากกุมมือของกันตา แล้วเดินไปจ้องหน้าแม่ของนิลุบล
“อยากได้ค่าเสียหายเหรออีป้า”
กะรัตเอื้อมมือไปผลักร่างศพของนิลุบล ตกจากรถเข็นไปทับแม่ของนิลุบลและน้องสาว
“ถ้าอยากได้ส่วนบุญ ก็ไปจิกทึ้งเอากับศพไอ้ผัวชั่วนั่น อย่าคิดจะมาเอาจากฉัน แม้แต่สลึงเดียวฉันก็ไม่ให้”
กะรัตเดินออกไปจากห้องเก็บศพทันที
พิศุทธิ์ยืนรอกะรัตอยู่มุมนึงแถวหน้าห้องดับจิตโดยหวังจะคืนนาฬิกา เห็นกลุ่มญาติยืนร้องไห้อยู่ กะรัตเปิดประตูห้องออกมาด้วยท่าทางโกรธ พร้อมจะอาละวาดพาลใส่ได้กับทุกคนที่ขวางหน้า กะรัตจะเดินไป แต่กลุ่มญาติคนไข้ยืนร้องไห้ขวางทาง กะรัตเหลืออด
“จะแหกปากร้องไห้กันทำไม มันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก ไอ้คนตายมันเป็นพวกเห็นแก่ตัว มันหนีไปสบายตัวเดียวแล้วทิ้งความทุกข์ไว้ให้คนข้างหลัง เลว เลว เลว”
กลุ่มญาติตกใจอึ้งกับอาการโวยวายสติแตกของกะรัต ที่เดินแหวกกลุ่มญาติออกไป พวงหยก กันตา กุนตีรีบออกจากห้องดับจิตแล้วเดินตามไป แม่ของนิลุบลและน้องสาวนิลุบลเดินจูงมือกันออกมาจากห้องดับจิต แล้วมองไปทางกะรัตอย่างแค้นๆก่อนจะเดินไปอีกทาง
พิศุทธิ์เห็นกะรัตแสดงอาการโกรธเกรี้ยว ตรงข้ามกับอาการเศร้าหมองตอนก่อนจะเข้าห้องดับจิตไป เขางงว่าเกิดอะไรขึ้น พิศุทธิ์มองนาฬิกาว่าคงไม่ใช่เวลาที่คืนนาฬิกากะรัตตอนนี้ จึงตัดสินใจจะกลับ
ทันใดนั้นเสียงดังโครมครามดังมา พิศุทธิ์หันไปมอง สายน้ำผึ้งที่ร้องไห้แทบขาดใจรีบวิ่งจะไปที่ห้องดับจิต จนชนกับรถเข็นที่บุรุษพยาบาลเข็นมาพอดี พิศุทธิ์จำได้ว่าสายน้ำผึ้งคือเพื่อนของกะรัต สายน้ำผึ้งไม่ทันเห็นพิศุทธิ์ เพราะใจนั้นพุ่งทะยานไปที่ภูเบศร์ เธอละล่ำละลักรีบเปิดประตูห้องดับจิตเข้าไป พิศุทธิ์มองตามแล้วรู้สึกสังหรณ์ แปลกๆ สายน้ำผึ้งเข้ามาในห้อง มองร่างภูเบศร์ที่นอนสงบนิ่งด้วยหัวใจที่แตกสลาย เธอโผเข้าไปกอดร่างภูเบศร์ แล้วร้องไห้โฮด้วยความรู้สึกหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ
กะรัตเดินเร็วด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นพายุแล้วชะงักเท้า พวงหยก กันตา กุนตีที่รีบเดินตามต่างเบรกไม่ทัน ชนกัน
“จะหยุดเดินทำไมยายกั้ง” พวงหยกโวย
“ศพมันดูดีเกินไป คนเลวๆอย่างมัน ไม่ควรเหลือซากที่ดูดีได้ขนาดนั้น”
กะรัตแค้น จะเดินกลับไปทางห้องดับจิต พวงหยก กันตา กุนตีรีบเดินตามไปห้าม
สายน้ำผึ้งร้องไห้กอดร่างภูเบศร์แทบขาดใจ
“ตื่นขึ้นมาสิคะคุณภู...ตื่นมาหาผึ้ง ตื่นมาอยู่ดูลูกของเรา คุณภูของผึ้ง...”
พิศุทธิ์ยังยืนรอดูสายน้ำผึ้งคิดสงสัยตัวเอง
“เราไปยุ่งเรื่องของเขาทำไมเนี่ย”
พิศุทธิ์ไม่อยากยุ่งเรื่องของกะรัตและสายน้ำผึ้ง จึงจะเดินไปแต่เห็นกะรัตเดินพุ่งทะยานจะเปิดประตูห้องดับจิต พิศุทธิ์มองอย่างไม่รู้จะทำยังไง อยากจะเข้าไปห้าม แต่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่รู้จะเข้าไปในฐานะอะไร พวงหยก กุนตี กันตาพุ่งถลาเข้ามาห้ามกะรัตไว้ทัน
“พอเถอะกั้ง ไหนๆคุณภูก็หมดเวรหมดกรรมไปแล้ว กั้งอโหสิกรรมให้เขาไปเถอะ จะได้ไม่ต้องตามมาพบ เจอกันอีก” กุนตีห้าม
ในห้องดับจิต...สายน้ำผึ้งได้ยินเสียงกะรัตแล้วตกใจ เธอรีบไปยืนหลบข้างประตูอย่างอึ้งๆว่าถ้ากะรัตเห็น ตัวเองแล้วจะทำยังไง กะรัตพยายามจะเปิดประตูห้องดับจิตแต่ทั้งสามคนห้ามไว้
“ไม่มีทาง กั้งเกลียดการโดนหักหลังที่สุด ใครที่มันทำกั้งเจ็บ อย่าหวังเลยว่ากั้งจะให้อภัย กั้งจะตาม จองล้างจองผลาญมันไปทุกชาติ”
กะรัตจะเปิดประตูห้องดับจิต สายน้ำผึ้งยืนพิงประตูฟังกะรัตพูดด้วยหัวใจระทึก กันตาห้ามไว้
“ถ้าพี่กั้งยังไม่ยอมหยุด ก้อยจะโทรฟ้องก๋ง”
กะรัตชะงักมือทันที
“นี่เธอขู่ฉันเหรอยายก้อย”
กันตาหยิบมือถือแล้วกดเบอร์ของเจ้าสัวบัญชา กะรัตแย่งมือถือของกันตามากดวางสาย แล้วโยนมือถือใส่กันตา ตัดสินใจเดินออกไปเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้านทันที พวงหยก กันตา กุนตีถอนใจโล่งอก พิศุทธิ์ผ่อนลมหายใจเช่นกัน...
สายน้ำผึ้งถอนใจโล่งอก แล้วหันไปมองร่างภูเบศร์แล้วจับมือเขามาแนบแก้มอย่าง อาลัยอาวรณ์ สายน้ำผึ้งกังวลกลัวกะรัตจะย้อนกลับมาอีกจับมือภูเบศร์เลื่อนมาวางที่ท้องของตัวเอง แล้วยิ่งร้องไห้หนัก เธอตัดใจวางมือเขาลงข้างตัวเขาเหมือนเดิมอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วตัดสินใจเปิดประตูห้องดับจิตออกไป พอออกมาจากห้องดับจิต สายน้ำผึ้งร้องไห้จนหน้าซีดเป็นลมหมดสติทั้งยืน พิศุทธิ์รีบพุ่งไปรับร่างของเธอก่อนหัวจะโขกกับพื้น
“คุณครับ...คุณ”
สมหวังยืนรออยู่ที่รถหน้าโรงพยาบาล กันตา กุนตีเดินขนาบข้างกะรัตให้ไปขึ้นรถ พวงหยกเดินรั้งท้าย เพื่อกันกะรัตจะเปลี่ยนใจกลับไปห้องดับจิตอีก กะรัตเห็นสมหวังแล้วคิดถึงสายน้ำผึ้ง
“นายหวัง ผึ้งล่ะ”
“คุณผึ้งขอกลับบ้านไปก่อนครับ แล้วจะตามมา”
“ดีแล้วที่ผึ้งไม่มา จะได้ไม่ต้องมาเห็นความเลวของไอ้ภูที่มันทำไว้กับฉัน”
“อย่าไปพูดถึงมันอีกเลยนะกั้ง” กุนตีปราม
“ไป ไป เอาเป็นว่ายัยกั้งไปรถนายสมหวังกับแม่ ส่วนแม่กุ้งนั่งรถแม่ไป”
พวงหยกดันตัวกะรัตให้ขึ้นรถ กะรัตจะขึ้นรถแล้วชะงักอยากกลับไปทำร้ายร่างภูเบศร์ให้สาแก่ความแค้น
พวงหยกกับกุนตีรีบจับแขนไม่ให้วิ่งไปอีก
“กลับบ้านเถอะกั้ง พี่ขอร้อง”
กะรัตยังมีสายตาแข็งกร้าวด้วยความแค้น แต่โดนกุนตียึดไว้ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย กะรัตจึงจำใจขึ้นรถไป
พร้อมพวงหยกกันตากระซิบกุนตีไม่ให้กะรัตได้ยิน
“เดี๋ยวก้อยอยู่เวรต่อนะพี่กุ้ง...ถ้าพี่กั้งยังอาละวาด ก้อยยังมียาระงับประสาทอยู่ในห้อง ผสมน้ำหวานให้พี่กั้งกินเหมือนเดิมนะพี่กุ้ง”
กุนตีพยักหน้ารับแล้วขึ้นรถ สมหวังขับรถออกไป กันตามองตามรถแล้วยกมือไหว้อธิษฐาน
“เจ้าประคู๊ณ…ขออย่าให้พี่กั้งเจอเคราะห์อะไรอีกเลย”
พิศุทธิ์นั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ หมอเดินออกมายิ้มให้
“คุณเป็นญาติของคุณสายน้ำผึ้งใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...” พิศุทธิ์งงๆ เพราะไม่รู้จักชื่อของสายน้ำผึ้ง
“ยินดีด้วยนะครับ คนไข้ท้องได้ 11 อาทิตย์แล้ว” หมอยิ้มให้อย่างยินดี
“ท้อง”
พิศุทธิ์คิดถึงสายน้ำผึ้งที่ร้องไห้อยู่หน้าห้องดับจิต เขาเริ่มแน่ใจว่าเด็กในท้องของสายน้ำผึ้งคือภูเบศร์
“ผมไม่ใช่สามีเธอหรอกครับ ผมเห็นเธอเป็นลม เลยช่วยพามาหาหมอเฉยๆ ถ้าเธอปลอดภัยแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พิศุทธิ์ยกมือไหว้หมอแล้วเดินแยกไป หมอมองตามพิศุทธิ์ แต่ทางด้านหลังหมอนั้น สายน้ำผึ้งแอบวิ่งออกจากห้องตรวจไปเพราะไม่อยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้เรื่องใหญ่ เพราะรู้ว่ากันตาทำงานที่นี่ กลัวว่าเรื่องเธอท้องจนเข้าถึงหูกันตาจนทำให้กะรัตรู้เรื่อง หมอหันไปเห็นสายน้ำผึ้งวิ่งไปที่ลิฟท์
“คุณ”
สายน้ำผึ้งวิ่งมากดปุ่มลิฟท์ ประตูลิฟท์เปิด มีญาติคนไข้และผู้ป่วยทยอยออกจากลิฟท์ เธอมองไปเห็นว่าหมอกำลังวิ่งตามมา รีบแทรกตัวฝ่าฝูงญาติคนไข้และคนไข้เข้าไปในลิฟท์
กันตาเดินออกจากลิฟท์เกือบทีหลังสุด สายน้ำผึ้งชนไหล่กันตาที่หันไปมองแว๊บๆว่าเป็นสายน้ำผึ้ง กันตาจะเรียก แต่ญาติคนไข้ที่อยู่ในลิฟท์กดปิด ประตูลิฟท์ไปก่อน กันตาเห็นหมอวิ่งตามมา มองหาใครสักคน ด้วยท่าทางร้อนรน
“หาใครเหรอคะหมอ”
“คนไข้น่ะสิ เป็นผู้หญิง ผอมๆหน่อย ผิวสีน้ำผึ้ง เพิ่งวิ่งเข้าลิฟท์ไปเมื่อกี้นี่เอง”
กันตานึกถึงสายน้ำผึ้งที่รีบวิ่งเข้าลิฟท์เหมือนหนีใครมา
“คนไข้ชื่อสายน้ำผึ้งรึเปล่า”
“ใช่…ไม่รู้คนไข้ปัญหาอะไรรึเปล่า ถึงได้วิ่งหนีไปแบบนี้ มันไม่ดีกับลูกในท้องนะ”
“ท้อง…พี่ผึ้งท้องกับใคร”
กันตาตกใจสุดขีด
อ่านต่อหน้า 3 / 09.30 น.
สามีตีตรา ตอนที่ 1 (ต่อ)
สายน้ำผึ้งวิ่งออกจากประตูโรงพยาบาล มองไปทางด้านหลังอย่างระแวงกลัวกันตาจะเห็น ขณะเดียวกัน กันตาวิ่งตามมาเพื่อจะเรียกให้ไปตรวจอาการท้องให้เรียบร้อย และอยากรู้ว่าท้องกับใครเพราะไม่เคยรู้ว่าสายน้ำผึ้งเคยคบกับใครมาก่อน
แท็กซี่ขับมาจอดด้านหน้าญาติคนไข้ลงจากรถ สายน้ำผึ้งรีบขึ้นรถ แล้วรถแท็กซี่ขับออกไป กันตาเปิดประตูออกมาฉิวเฉียดกับแท็กซี่ ได้แต่มองตามอย่างเสียดายที่ตามไม่ทัน
“พี่กั้งจะรู้ไหมเนี่ยว่าพี่ผึ้งท้อง”
กันตาหยิบมือถือจะกดโทรหากะรัต กฤชโทรเป็นสายซ้อนเข้ามาก่อนที่กันตาจะโทร เธอกดรับสาย
“สวัสดีค่ะพ่อ...พ่อกลับจากฮ่องกงแล้วเหรอคะ”
กฤชยืนคุยมือถือกับกันตาอยู่หน้าบ้านหน้าเนื้อแพร อดีตนางเอกชื่อดัง ที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของสปา และทำธุรกิจร่วมกันกับเขา พนักงานขับรถของรถเช่าจากสนามบิน ยกกระเป๋าเดินทางของเนื้อแพรเดินผ่านกฤช ไปหาเนื้อแพรที่ยืนมองกฤชที่มีสีหน้าไม่ดี ด้วยความกังวล กฤชคุยมือถือด้วยความตกใจ
“จริงเหรอก้อย” กฤชถอนใจเป็นห่วงกะรัต “กั้งเอ้ย...เวรกรรมอะไร ถึงต้องเป็นม่ายอีกแล้ว”
“พ่อช่วยกลับไปดูพี่กั้งหน่อยนะคะ ร้อนๆอย่างพี่กั้ง...ได้น้ำเย็นอย่างพ่อลูบบ้างคงดี...สวัสดีค่ะ”
กันตากดวางสายจากกฤช แล้วมองไปทางรถแท็กซี่ที่สายน้ำผึ้งนั่งไปแล้วคิดถึงกะรัต กันตาจะกดมือถือโทรหากะรัต แต่พยาบาลวิ่งมาตาม
“คุณหมอคะ มีเคสด่วนค่ะ”
กันตากดตัดสายที่จะโทรหากะรัต แล้วรีบวิ่งไปกับพยาบาล
เนื้อแพรฟังที่กฤชคุยโทรศัพท์ พอจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องร้าย
“นี่สามีคุณกั้ง…”
“ประสานงากับรถบรรทุก”
เนื้อแพรตกใจ กฤชถอนใจเป็นห่วงกะรัต เนื้อแพรรู้สึกเห็นใจกะรัตและเห็นใจกฤช จึงเอื้อมมือไปจับมือเขาให้กำลังใจ กฤชมองเนื้อแพรอย่างขอบคุณระคนรักใคร่ พร้อมกับยกมืออีกข้างมาวางทับมือของเธอที่จับมือเขาอยู่ แสงไฟหน้ารถของรถพิศุทธิ์สาดมาทางที่ทั้งสองคนยืนจับมือกันอยู่หน้าบ้าน เนื้อแพรเห็นว่า เป็นรถของลูกชาย จึงรีบดึงมือออกจากกุมมือของกฤช
พิศุทธิ์ลงจากรถแล้วยกมือไหว้ทั้งคู่ เนื้อแพรเดินเข้าไปกอดพิศุทธิ์ด้วยความรักและคิดถึง พร้อมกับหอมแก้มเหมือนพิศุทธิ์ยังเป็นลูกน้อย
“แม่กลับมาวันนี้ทำไมไม่บอกผม ผมจะได้ไปรับ”
“แค่นี้เอง...แม่กลับเองได้” เนื้อแพรยิ้มหวานและพูดหยอกล้อลูกชาย “ชายกลัวใครฉุดแม่เหรอจ้ะ...ถ้าแม่ไม่ยอม ไม่มีใครฉุดแม่ได้หรอก จริงไหมคะคุณกฤช”
กฤชยิ้มๆแต่ดวงตายังกังวลเป็นห่วงกะรัต เนื้อแพรมองกฤชออก
“คุณกฤชรีบกลับเถอะค่ะ...เข้มแข็งไว้นะคะ ลูกต้องการที่พึ่ง ตอนนี้เขากำลังอ่อนแอ”
กฤชยิ้มขอบคุณเนื้อแพร แต่เขาสังหรณ์ว่ากะรัตไม่ได้กำลังอ่อนแออย่างที่ใครๆหลายๆคนคิด
กะรัตยืนอยู่บนบันได ขนข้าวของของภูเบศร์ออกจากห้องมาปาทิ้ง กรอบรูปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรูปถ่าย ของกะรัตกับภูเบศร์ในชุดแต่งงานถูกปาลงพื้นดัง เพล้ง กรอบรูปแตกกระจาย
“ทิ้งมันไปให้หมด เก็บไว้ก็เป็นเสนียดชีวิต”
กะรัตเดินเข้าห้องไปโกยของของภูเบศร์มาปาทิ้ง โครมคราม พวงหยกตะโกนสั่งนวลและสมหวัง ให้ช่วยกันห้ามกะรัตไม่ให้ปาข้าวของ พร้อมกับกระโดดโหยงเหยงหลบของที่กะรัตปาลงมา กุนตีมองกะรัต อย่างปลงเพราะรู้ว่าห้ามไม่ได้ พวงหยกมองพื้นบ้านอย่างเสียดาย
“หมดกัน พื้นกระเบื้องจากฝรั่งเศสของฉัน นังนวล จับยายกั้งไว้ อย่าให้มันปาของอะไรอีก”
นวลมองอาการคลั่งของกะรัตแล้วไม่กล้าเข้าไปจับ สะกิดสมหวัง
“พี่หวังไปจับคุณกั้งสิ”
“คุณนายสั่งน้องนวลนี่จ้ะ” สมหวังกลัวกะรัตเหมือนกัน
“ฉันก็สั่งพี่อีกทีนี่ไง” สมหวังหน้าเสีย
“น้องนวลสั่งพี่ แล้วพี่จะไปสั่งใครต่อล่ะจ๊ะ”
“พี่จะไปสั่งใครก็ตามใจพี่สิ”
“ถ้าตามใจพี่...”
สมหวังหันไป พวงหยกมองสมหวังที่กำลังมองตัวเอง
“นี่แกจะสั่งฉันเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ผมจะบอกคุณนายว่าคุณผู้ชายกลับมาแล้วครับ”
สมหวังชี้ไปทางกฤชที่ลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้าประตูมา กฤชมองกะรัตที่กำลังจะปาของลงมา
“พอเถอะกั้ง...นายภูก็ตายไปแล้ว จะโกรธแค้นกันยังไงก็ไม่มีประโยชน์ รู้จักอโหสิกรรมและให้อภัย บ้างสิลูก”
พวงหยกจิกตามองสามี
“แหมๆ มาถึงก็เข้าข้างพ่อลูกเขยเลยนะ” พวงหยกแกล้งทำท่านึกได้ “อ้อ ใช่สิ ก็มันพวกเดียวกันนี่เนอะ ไงล่ะ ไปฮ่องกงคราวนี้ลองลิ้มชิมรสติ่มซ่ำของนังเนื้อแพรล้นกระเพาะ ชั้นบนไหลลงกระเพาะชั้นล่างเลยไหมล่ะ”
พวงหยกไล่สายตามองต่ำไปที่เป้าของกฤช
“นี่คุณ…”
กฤชจะเถียง พวงหยกรีบพูดแทรก
“อูย...ไม่ต้องกลัว ที่ฉันพูดเนี่ย ไม่ได้จะห้าม เพราะรู้ว่าคนเราจะหยุดแรดได้ ก็ต่อเมื่อเป็นโรค หรือไม่ ก็ตายโหงอย่างนายภูเท่านั้น”
“คุณพวงหยก” กฤชอึ้ง
กุนตีกระซิบ
“แม่...พูดอย่างนี้ เดี๋ยวกั้งก็…” กุนตีหันไปมองหากะรัต แต่ไม่เห็นกะรัตยืนอยู่ที่บันไดแล้ว “กั้งไปไหน”
ทันใดนั้นมีควันลอยออกมาจากห้องนอนของกะรัต นวลชี้ไปทางห้องกะรัต
“ไฟไหม้”
กฤช พวงหยก กุนตีรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนกะรัต นวลกับสมหวังรีบหาน้ำและถังดับเพลิง
สภาพห้องนอนของกะรัต มีข้าวของของภูเบศร์โดนรื้อและขว้างกระจาย กะรัตกำลังใช้ไฟแช็คจุดไฟ เผาเสื้อผ้าของภูเบศร์อยู่ กฤช พวงหยก กุนตีวิ่งเข้ามาดึงไฟแช็คออกจากมือกะรัต นวลถือถังน้ำมาราดดับไฟ สมหวังถือถังดับเพลิงมาช่วยดับอีกที
“ใครสั่งให้พวกแกดับ” กะรัตโวยวาย
นวลกับสมหวังสะดุ้งกลัวกะรัต พร้อมถอยกรูดไปยืนห่างไกลรัศมีอาละวาดของกะรัต
“แกจะเผาบ้านถวายผัวแกรึไงยายกั้ง” พวงหยกไม่พอใจ
“ก็ดูสิแม่ มันอยากได้ของแพงขนาดไหน กั้งก็ปรนเปรอซื้อให้มันทุกอย่างแล้วดูมันทำกับกั้ง ดีนะที่มันตาย โหงไปแล้ว ถ้ามันแค่เจ็บ กั้งจะตามไปฆ่าให้ตายคาเตียงทั้งไอ้ภู ทั้งนังผู้หญิงของมันเลย”
กะรัตพยายามแย่งไฟแช็คมาจากกฤช จะเผาต่อ
“เอาไฟแช็คมานะพ่อ กั้งจะเผาให้หมด กั้งไม่อยากเห็น ของมันให้เจ็บใจ”
กฤชจับแขนกะรัตมาเขย่า
“มีสติหน่อยสิกั้ง เอาแต่ใช้อารมณ์อย่างนี้ไง ชีวิตถึงได้พังหมด”
กะรัตโดนกฤชพูดกระแทกใจจึงยิ่งโกรธ
“ที่ชีวิตพังไม่ใช่เพราะตัวกั้ง แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักพอของผู้ชาย พ่อเองก็ไม่ต่างจากไอ้ภู หรอก”
“กั้ง” กุนตีโกรธ
“เป็นยังไง โดนลูกย้อน เจ็บไหมล่ะ” พวงหยกหัวเราะเยาะ
กฤชถอนใจ
“เอาล่ะ ถ้าลูกคิดว่าพ่อแย่ขนาดนั้น พ่อก็ไม่อยู่รบกวนจิตใจใครแล้วกัน”
กะรัตชะงักเพราะรู้ว่าตัวเองพูดแรงไป กฤชเดินออกจากห้องไป กุนตีพยายามห้าม
“พ่อคะ”
พวงหยกพูดไล่หลังกฤช
“ทำมาพูดดี ที่แท้ก็คิดจะหาข้ออ้างออกไปชิมติ่มซำของนังเนื้อแพรต่อล่ะซิ”
“กั้งไม่น่าพูดแบบนั้นกับพ่อเลย”
กุนตีหันมาดุกะรัต แล้วเดินตามกฤชไป
กฤชลากกระเป๋าเดินทางกำลังจะขึ้นรถ กุนตีวิ่งตามมา
“พ่อจะไปอยู่คอนโดอีกแล้วเหรอคะ...พ่ออย่าถือสาคำพุดยายกั้งเลยนะคะ พ่อก็รู้ว่ากั้งเป็นคนยังไง”
“คอยเตือนน้องบ้างนะลูก ให้น้องรู้จักการพิจารณาตัวเองก่อนจะไปโทษคนอื่น ถ้าเราทำบ้านให้ร่มเย็น ซะอย่าง คงไม่มีใครอยากย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นหรอก”
กฤชขึ้นรถแล้วขับออกไป กะรัตกับพวงหยกเดินออกมายืนมองหน้าบ้าน พวงหยกพูดไล่หลังกฤช
“ตามไปกกกันให้พอเลย ไป...เห็นไหมกั้ง ผู้ชายมันก็เฮงซวยเหมือนกันหมด แต่ไม่เป็นไร เรามีเงิน ซะอย่าง ถึงไม่มีผู้ชายเราก็ใช้เงินซื้อความสุขได้”
กุนตีมองพวงหยกอย่างระอาว่าที่กะรัตเห็นค่าของเงิน มากกว่าค่าของคน ก็เพราะพวงหยกสอนแบบนี้ กุนตีภาวนาในใจว่าขอให้มีใครสักคน สอนกะรัตให้รู้จักค่าของหัวใจมากกว่าค่าของเงินสักที
เนื้อแพรถือแก้วโกโก้ร้อนสองแก้วมาให้ตัวเองและลูกชาย พิศุทธิ์ถือจานขนมที่แม่ซื้อมาฝากจากฮ่องกง มาวางทานที่โต๊ะ เนื้อแพรแปลกใจกับสิ่งที่พิศุทธิ์บอก
“ชายเจอคุณกะรัตแล้วเหรอ”
“บังเอิญได้เจอน่ะครับ”
“คุณกะรัตเป็นคนน่าสงสารนะ ถึงแม้ท่าทางภายนอกจะดูเปรี้ยวฉูดฉาด บ้านมีฐานะเป็นถึงหลานเจ้า สัวบัญชาเจ้าพ่อธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารส่งออกของประเทศ แต่แม่ไม่เคยเห็นกะรัตมีความสุขเลย มีสามีสามคน แต่ละคนก็ เหมือนจะดูดี แต่ความจริงเป็นพวกข้างนอกสดใส ข้างในกลวงเป็นโพรง คิดจะมาเกาะคุณกะรัตทั้งนั้น เห็นคุณกฤชบอกว่าคนล่าสุดก็ไปตายกับ ผู้หญิงอื่น นี่แหละนะ...เป็นคนรวยแล้วใช่ว่าจะดี หาคนไว้ใจยาก”
พิศุทธิ์คิดถึงเรื่องสายน้ำผึ้งแล้วสงสารกะรัต จึงเผลอพูดพึมพำ
“แม้แต่เพื่อนก็ไว้ใจไม่ได้…”
“ชายว่าอะไรนะลูก”
พิศุทธิ์สะดุ้งได้สติแล้วมองเนื้อแพรที่มองอย่างสงสัย
“ผมบังเอิญได้รู้เรื่อง…”
พิศุทธิ์ชะงักคิดว่าจะพูดดีไหม สุดท้ายตัดสินใจพูด
“เพื่อนของคุณกะรัตน่ะครับ”
“เพื่อน” เนื้อแพรยิ่งงง
พิศุทธิ์มองหน้าเนื้อแพร แล้วเหม่อมองออกไปทางหน้าต่าง นึกถึงกะรัตว่าจะรู้เรื่องสายน้ำผึ้งท้องกับ ภูเบศร์รึยัง
“แม่เชื่อเรื่องความลับไม่มีในโลกไหมครับ”
สายน้ำผึ้งเดินป้อแป้แทบหมดแรงออกจากห้องน้ำ หลังจากอาเจียนอย่างหนักไปนั่งที่โซฟา รสสุคนธ์น้าสาวที่เลี้ยงสายน้ำผึ้งตั้งแต่เด็กๆ ถือแก้วยาหมออุ่นๆออกจากในครัวมาให้
“กินยาหอมหน่อยสิลูก”
สายน้ำผึ้งได้กลิ่นยาหอมแล้วเบือนหน้าหนี
“อือหือ...เหม็นจังน้ารส”
รสสุคนธ์มองสายน้ำผึ้งอย่างอดสงสัยไม่ได้
“นี่มันอาการโรคกระเพาะจริงๆเหรอผึ้ง...น้าว่ามันเหมือน...”
สายน้ำผึ้งเผลอพูดเสียงดังใส่รสสุคนธ์
“ผึ้งบอกเป็นโรคกระเพาะ ก็โรคกระเพาะสิน้ารส”
รสสุคนธ์จ๋อยลง รู้สึกผิดเองที่คิดกับหลานที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กในทางไม่ดี
“น้าขอโทษ...แล้วหมอให้ยาแก้โรคกระเพาะมากินรึเปล่า เดี๋ยวน้าหยิบให้”
“อยู่ในกระเป๋าผึ้งน่ะ”
รสสุคนธ์มองหากระเป๋า
“แล้วกระเป๋าของผึ้งอยู่ไหนล่ะลูก”
สายน้ำผึ้งชะงักคิดได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ในรถของสมหวัง
นวลถือกระเป๋าของสายน้ำผึ้งที่ลืมไว้ในรถ เข้ามาในห้องยืนรอถามกะรัตว่า จะให้เอากระเป๋าวางไว้ตรง ไหน กุนตียืนดูเด็กรับใช้จัดเตียงให้กะรัตใหม่ และฉีดน้ำยาดับกลิ่น พร้อมเอาข้าวของของภูเบศร์ใส่ตะกร้า ออกจากห้องไปก่อน กะรัตนั่งไขว้ห้างที่โซฟา พยายามกดโทรหาสายน้ำผึ้ง แต่ไม่รับสาย
“ทั้งเปลี่ยนที่นอน...ทั้งรมควันสเปรย์ดับกลิ่นในห้องขนาดนี้ คงไม่ได้กลิ่นนายภูให้กั้งหงุดหงิดอีกแล้วล่ะ” กุนตีบอก
“ไม่ได้กลิ่น แต่ภาพมันติดอยู่ในสมอง”
กุนตียื่นหนังสือธรรมะให้
“งั้นก็สวดมนต์ซะ พี่ช่วยลบภาพนายภูได้แค่สิ่งของ แต่ในจิตใจของกั้ง กั้งต้องล้างเขาออกไปเอง”
กะรัตชะงักนิ่งฟังคำพูดของพี่สาว กุนตีมองอย่างสงสาร
“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าต้องไปรดน้ำศพนายภู”
กะรัตอารมณ์ขึ้นทันที
“ถ้าพี่กุ้งไม่อยากให้งานศพมันพัง อย่าเซ้าซี้ให้กั้งไป ไม่อย่างนั้น...จะไม่ใช่แค่รดน้ำศพ แต่จะเอาน้ำมันไปราดแล้วเผา ทั้งมันทั้งโครตเหง้ามันทั้งศาลา”
“กั้ง...” กุนตีเหนื่อยใจ
กะรัตยกมือให้กุนตีหยุดพูด
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” เธอมองนวลที่ยืนถือกระเป๋าของสายน้ำผึ้ง “นั่นจะยืนถือกระเป๋าผึ้งจนเป็น ฟอสซิลรึไง เอาไปวางสิ”
“คุณกั้งจะให้วางที่ไหนล่ะคะ”
“จะวางที่ไหนก็วางไปเถอะ” กะรัตหงุดหงิดที่โทรหาสายน้ำผึ้งแต่ไม่รับสาย “ทำไมผึ้งไม่รับสายเนี่ย ไม่รู้ผึ้งยังรอกั้งที่โรงพยาบาลรึเปล่า ตอนนั้นก็ลืมโทรบอกผึ้งว่าไม่ต้องไปดูซากไอ้ภูให้เสียเบ้าตา”
“พี่ว่าป่านนี้ผึ้งคงกลับบ้านนอนแล้วมั้ง”
กะรัตมองนวลถือกระเป๋าของสายน้ำผึ้งจะไปวางไว้ที่โต๊ะ กะรัตมองกระเป๋าแล้วคิดบางอย่างดีดนิ้วป็อก ป็อก
“เอากระเป๋าผึ้งมาสิ ผึ้งลืมมือถือในกระเป๋ารึเปล่าถึงไม่รับสายที่ผึ้งไม่ยอมรับสาย”
นวลเอากระเป๋าของสายน้ำผึ้งมาให้ กะรัตจะเปิดกระเป๋า กุนตีดึงกระเป๋าจากมือกะรัต
“ไปรื้อกระเป๋าคนอื่นได้ยังไงกั้ง...เสียมารยาท”
“กั้งกับผึ้งดูกระเป๋ากันบ่อย เราไม่เคยมีความลับต่อกันอยู่แล้ว”
“นั่นแหละ...ยังไงก็ไม่ควร แล้วคืนนี้พี่ให้นวลนอนเป็นเพื่อนกั้งนะ”
“ไม่ต้องหรอก กั้งรำคาญเสียงกรน กั้งไม่ทำอะไรบ้าๆหรอกน่า”
“ยังไงพี่ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน”
“ถ้าอยากนอนก็ตามใจ เผื่อไอ้ภูมันกลับมาบ้าน จะได้เจอผีไอ้ภูด้วยกัน”
นวลสะดุ้งนึกได้ว่าภูเบศร์เพิ่งตายโหง กะรัตเห็นอาการนวลแล้วยิ้มเยาะ
“งั้นนวลไป…”
กะรัตรีบพูดแทรกด้วยความรำคาญ
“จะไปนอนห้องเธอ ก็ไปเลย”
กะรัตคว้ากระเป๋าของน้ำผึ้งจากมือพี่สาวมา กุนตีจะพูดห้าม กะรัตรีบพูดสวนอย่างรู้ทัน
“กั้งไม่เปิดกระเป๋าผึ้งหรอกน่า พี่กุ้งออกไปได้แล้ว กั้งจะนอน”
กุนตีมองกะรัตอย่างเหนื่อยใจ ขี้เกียจจะพูดอะไรแล้ว พูดไปกะรัตก็ไม่ฟัง จึงเดินออกจากห้องไปกับนวล...กะรัตจะเปิดกระเป๋าของสายน้ำผึ้งแต่ยังไม่ทันที่จะเปิด มือถือกะรัตดังขัดขึ้นเสียก่อนเห็นเป็นสายน้ำผึ้งโทรมา กะรัตรีบกดรับสาย
“ฮัลโหลผึ้ง ผึ้งอยู่ที่ไหน...บ้านเหรอ...โล่งอก...นึกว่าผึ้งยังรอกั้งที่โรงพยาบาล...ผึ้งรู้ไหม…”
กะรัตเริ่มพูดด้วยเสียงสั่นด้วยความแค้นที่เก็บไว้ และเสียใจซึ่งเป็นความรู้สึกที่กะรัตไม่เคยเปิดเผยให้ ใครรู้ แต่ยอมเปิดเผยให้สายน้ำผึ้งรู้คนเดียว
“ไอ้ภูมันเลวมาก...มันทรยศกั้ง...มันเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่อง...มัน…”
สายน้ำผึ้งไม่อยากฟังกะรัตพูดต่อว่าภูเบศร์อีก จึงรีบพูดตัดบท
“ผึ้งจะโทรมาบอกเดี๋ยวผึ้งจะไปเอากระเป๋าของผึ้งคืน”
“มาเอาพรุ่งนี้ก็ได้ผึ้ง นี่มันดึกแล้ว”
“ผึ้งต้องการของสำคัญ”
“ของอะไรเหรอ เดี๋ยวกั้งเปิดดูให้นะ”
กะรัตทำท่าจะรูดเปิดซิบกระเป๋า สายน้ำผึ้งรู้ทันว่ากะรัตคิดอยากรู้อยากเห็น จึงเผลอพูดเสียงดังตวาด
“อย่าเปิดนะกั้ง...คือ...ในกระเป๋ามันมีของขวัญที่ผึ้ง เก็บไว้เซอร์ไพร์สกั้งน่ะ ขืนกั้งเปิดดูตอนนี้ผึ้งก็อด สนุก”
“จริงเหรอ งั้นกั้งไม่เปิดก็ได้ ผึ้งไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้กั้งเอาไปให้เอง”
สายน้ำผึ้งหงุดหงิดเพราะอยากไปเอากระเป๋า แต่กลัวจะทำให้กะรัตสงสัยอีก จึงจำใจต้องเออออ ตามพูดเสียงอ่อนลง
“ผึ้งไปเอากระเป๋าพรุ่งนี้ก็ได้ แต่กั้งรับปากก่อนนะว่าห้ามเปิดดูของในกระเป๋าผึ้ง...แค่นี้นะ”
สายน้ำผึ้งวางสายแล้วนั่งเครียดว่า กะรัตจะเชื่อที่ตัวเองบอกไหม
กะรัตมองกระเป๋า อดสงสัยไม่ได้ว่ามันมีอะไรในกระเป๋าของสายน้ำผึ้ง เธอเก็บความสงสัยไม่อยู่ จนทำท่าจะรูดซิบเปิดกระเป๋า นวลที่อุ้มพระพุทธรูปจากห้องพระเปิดประตูห้องเข้ามา
“คุณกุ้งไม่ให้เปิดกระเป๋าคนอื่นนะคะ”
กะรัตวางกระเป๋าสายน้ำผึ้งและมองหน้านวลเซ็งๆ
“ไหนเมื่อกี้เธอบอกว่าจะไปนอนห้องไง กลับมาทำไมล่ะ”
“นวลไม่ได้บอกสักคำว่าจะกลับไปนอนห้อง แต่จะบอกว่านวลจะไปนิมนต์พระประธานมาประดิษฐาน ที่นี่”
นวลอุ้มพระพุทธรูปมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงยกมือไหว้
“นิมนต์มาขนาดนี้ ผีไม่มีทางกร่ำกราย”
นวลหยิบหมอนและผ้าห่มสำรองจากในตู้ออกมาปูนอนจะทิ้งตัวลงนอน แล้วนึกได้กระเด้งตัวขึ้นมา ไปหยิบขวดน้ำแร่
“คุณกั้งดื่มน้ำแร่ก่อนนอนค่ะ”
กะรัตมองอย่างรู้ทัน
“ขวดที่พี่กุ้งผสมยาน่ะ มันขวดโน้น”
นวลเผลอตอบรับ
“อ้าว...เหรอคะ” นวลคิดได้ว่าโดนหลอกแล้วชะงัก “อ่ะโด๊ะ”
“เธอคิดว่าฉันโง่เหรอยะ”
“แหม...ทุกคนเป็นห่วงคุณกั้งนี่คะ”
“งั้นก็เฝ้าฉันให้ดีๆ อย่าเผลอหลับล่ะ ไม่อย่างนั้น...ฉันจะหนีไปกระโดดน้ำตาย”
กะรัตล้มตัวลงนอน นวลมองแล้วพูดพึมพำด้วยเสียงมุ่งมั่น
“คอยดูเถอะ อีนวลจะถ่างตาเฝ้าคุณกั้งทั้งคืน ไม่ยอมหลับแม้นาทีเดียว”
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าวันใหม่ นวลนอนแผ่หลับสนิทอยู่ที่พื้นนอนดิ้นจนขาไปเตะโต๊ะที่วางขวดน้ำแร่ ทำให้ขวดน้ำแร่ล้มแล้วกลิ้งหล่นจากโต๊ะมาใส่หัวนวลดัง โป๊ก นวลสะดุ้งตื่น คิดว่าโดนกะรัตเขกหัวที่นอนขี้เซา รีบยกมือพนมขอโทษ
“นวลตื่นแล้วค่ะคุณกั้ง”
นวลลืมตามองไปที่เตียงเห็นที่เตียงนั้นว่างเปล่าไม่มีร่างของกะรัต แล้วสะดุ้งที่กะรัตไม่อยู่บนเตียง แล้วมองไปทางนาฬิกา เป็นเวลา 6 โมงเช้า ยิ่งตะหนก
“คุณกั้งไม่เคยตื่นก่อนพระฉันเพลนี่หว่า...” นวลมองหากะรัตรอบๆห้องอย่างเครียด “แล้วคุณกั้งหายไปไหนวะ”
กุนตีกับพวงหยกแต่งชุดดำเตรียมไปงานศพภูเบศร์ นั่งทานอาหารเช้า พวงหยกนั่งดื่มกาแฟด้วยอารมณ์ หงุดหงิดที่กฤชหายไปทั้งคืน กันตาเพิ่งออกเวรกลับมาจากโรงพยาบาลด้วยท่าทางอ่อนเพลียลงนั่งเก้าอี้
“โอ้ย...ง่วง เมื่อคืนวันอุบัติเหตุแห่งชาติรึไง คนไข้เข้ามาไม่หยุดเลย”
“หนึ่งในนั้นมีพ่อแกไหม ฉันจะได้จัดงานศพพร้อมกับนายภูไปเลย”
กันตาเหลือบมองตากุนตี เป็นเชิงถามว่าพวงหยกกับกฤชทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ กุนตีพยักหน้าเป็นคำตอบ
“นี่คงตะเพิดพ่อไปนอนโรงแรมอีกแล้วใช่ไหมแม่”
พวงหยกวางแก้วกาแฟเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“นี่ยายก้อย ฉันไม่เคยตะเพิด มีแต่พ่อแกตะเกียกตะกายออกจากบ้านไปหานังเนื้อแพร ดาราค้างคืนนั่น ต่างหาก”
“เอาน่าแม่...คิดซะว่าพ่อเขาอินกับรายการ ฉันค้างคืนกับซุปตาร์ มากไปหน่อย”
“ยายก้อย”
“แล้วนี่พี่กั้งจะไปรดน้ำศพพี่ภูไหมคะ” กันตานึกเรื่องสายน้ำผึ้งท้องขึ้นได้ “เอ้อ เมื่อคืนนี้ก้อยเจอพี่ผึ้ง…”
กันตาไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นนวลวิ่งลงบันไดอย่างรีบร้อน จนแทบจะสะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งพร้อมแหก ปากลั่นบ้าน
“คุณกั้งขา คุณกั้งอยู่ไหนคะ”
กันตา กุนตี พวงหยกหันมามองนวลอย่างตกใจ
“มีอะไรเหรอนวล” กุลตีถามอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะว่าพี่กั้ง…” กันตาหน้าตื่น
ทุกคนมองหน้ากันอย่างเครียด
กันตา กุนตี พวงหยก นวล และสมหวังต่างวิ่งวุ่นตามหากะรัต กันตาพยายามกดมือถือ นวลวิ่งลนลาน และร้องไห้ด้วยความกลัวและห่วงกะรัต พวงหยกด่าสมหวัง อย่างโกรธเกรี้ยว
“แกพูดมาได้ยังไงว่าไม่เห็นยายกั้งเอารถออกไปตอนไหน ถ้ายายกั้งเป็นอะไรไปนะ ฉันจะจับแกไปโยนบนทางด่วน ให้รถมันขับมาทับแก ให้แกตายตามลูกฉัน”
“ใจเย็นๆก่อนนะคะแม่ ยายกั้งอาจจะแค่ขับรถเล่นก็ได้” กุนตีห้ามแม่
“แกคิดว่าน้องสาวแกมันมีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนั้นเหรอยายกุ้ง ป่านนี้ไม่รู้ไปพังงานศพนายภูรึเปล่า หรือว่าขับรถไปชนเขา หรือโดนเขาขับชนมันก็ไม่รู้ พ่อแกก็อีกคน บ้านวุ่นวายจะแย่ ยังหายหัวไปนอนข้างนอกอีก”
นวลร้องไห้อย่างรู้สึกผิดที่ดูแลกะรัตไม่ดี
“นวลขอโทษ นวลผิดเองที่ดูแลคุณกั้งไม่ดี คุณกุ้งให้อยู่เป็นเพื่อน นวลดันหลับ...ป่านนี้คุณกั้งของนวลคง ทั้งเครียดและเศร้ามาก…”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงแตรรถของกะรัตดังขึ้น และมีเสียงดนตรีจังหวะแด๊นซ์กระจายจากเครื่องเสียงในรถดังกระหึ่ม พร้อมกับเสียงกะรัตหัวเราะร่าดังลั่น ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทุกคนคิดว่ากะรัตเครียดเศร้า กะรัตขับรถ สปอร์ตหรูเปิดประทุน ซึ่งมีผู้ชายหน้าตาดี กล้ามเป็นมัดๆ 5-6 คน นั่งอยู่เต็มรถ ผู้ชายบางคนใส่เสื้อยืด รัดรูปเห็นก้อนกล้าม บางคนไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่หูกระต่ายที่คอ บางคนใส่เสื้อกล้าม โชว์กล้ามหน้าอกกระเด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง กันตา กุนตี พวงหยก นวลและสมหวังมองกะรัตและเหล่าฝูงผู้ชายมีกล้ามอย่างอึ้ง ทึ่ง งง
“แกหายไปไหนมายายกั้ง” พวงหยกมองผู้ชายหล่อ กล้ามเป็นมัดๆ “แล้วผู้ชายพวกนี้มันอะไรกัน ผัวแกเพิ่งตายหยกๆ แทนที่จะไว้ทุกข์ กลับมาเต้นแร้งเต้นกา อะไรเนี่ย”
กะรัตลงจากรถพร้อมกับเต้นโยกย้ายตามจังหวะเพลง ที่ดังจากเครื่องเสียงของรถ
“แม่เครียดมากไม่ดีนะ เดี๋ยวหน้าจะเหี่ยวไปกว่านี้ พ่อจะหนีไปหานังดารานั่นไม่กลับมาอีก” กะรัตหันไปบอกกับฝูงผู้ชาย “เอ้า ไปสนุกกับแม่ฉันหน่อย”
ฝูงผู้ชายเต้นโยกย้ายรอบๆตัวพวงหยกกับกุนตี นวลเผลอเต้นโยกย้ายไปกับฝูงผู้ชายอย่างเพลินจิต พวงหยกพยายามกระโดดหนีจากวงล้อมของฝูงผู้ชาย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แกทำบ้าอะไร เนี่ยยายกั้ง”
“กั้งฉลองที่ผัวเลวๆมันตาย แล้วก็ทำอย่างที่แม่บอกไง...ผู้ชายมันก็เฮงซวย เหมือนกันหมด ถึงไม่มีผู้ชาย แต่เรามีเงินซะอย่าง เราก็ใช้เงินซื้อ ความสุขได้ ไหนๆผู้ชายในชีวิตกั้งมันก็หวังเงินจากกั้งอยู่แล้ว กั้งก็ซื้อผู้ชาย มันซะเลย”
กะรัตเต้นโยกย้ายในฝูงผู้ชายต่อ กลุ่มพวงหยกมองกะรัตอย่างเข้าใจว่าเธอแค่กำลังประชดชีวิต ทันใดนั้นเสียงเจ้าสัวบัญชาดังขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
กะรัตชะงักเพราะจำเสียงได้ ทุกคนหันไปมองทางเจ้าสัวบัญชาที่เดินลงจากรถแวนหรูที่ขับเข้ามา จอดมองกะรัตนิ่งๆ กะรัตมองเจ้าสัวบัญชาอย่างตกใจและเกรงกลัว
“ก๋ง…”
เจ้าสัวบัญชานั่งอยู่ในห้องโถงรับแขก...มองหน้าทุกคนอย่างไม่พอใจ
“ก๋งไปเมืองจีนไม่กี่อาทิตย์ หลานก๋งใจแตกขนาดนี้เลยเหรอ แต่จะว่าเด็กมันก็ไม่ถูก ต้องด่าผู้ใหญ่ ที่มันดูแลลูกไม่ดี”
“อ้าว ทำไมมาโทษหนูล่ะเตี่ย” พวงหยกเซ็ง
“ถ้าลื้อเลี้ยงลูกดี ลูกมันจะไปหาอ้อมกอดของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ”
พวงหยกอยากจะเถียงแต่เถียงไม่ออก กะรัตเถียงแทนแม่
“ไม่เกี่ยวกับแม่หรอกค่ะก๋ง กั้งแค่หาความสนุกให้กับชีวิตเฮงซวยเท่านั้นเอง”
กะรัตคลานเข้าไปกอดอ้อนเจ้าสัวบัญชาพูดเอาใจ
“ก๋งกลับมาเหนื่อยๆ ไปนวดที่สปาผ่อนคลายเส้นหน่อยดีไหมจ้ะ เดี๋ยวกั้งพาก๋งไปเอง แล้วเราก็ไปทาน ข้าวกันตามประสาตาหลาน...ก๋งไม่อยู่ตั้งหลายอาทิตย์ กั้งคิดถึ๊ง คิดถึงก๋ง”
เจ้าสัวบัญชามองกะรัตอย่างรู้ถึงแก่นว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลานสาวแท้จริงข้างในนั้นทุกข์นัก จึงหันไปสั่งทุกคน
“พวกลื้ออกไปก่อนไป”
ทุกคนออกไปจากห้อง เจ้าสัวบัญชาก้มมองหน้ากะรัตอย่างสงสารชะตาชีวิตของหลานสาวจับใจ ลูบหัวกะรัตด้วยมือที่อบอุ่น และเป็นที่พักพิงของหลานสาว
“เหนื่อยไหมลูก”
เจ้าสัวบัญชาถามหมายถึงกะรัต ฝืนเก็บความรู้สึกที่เจ็บปวดไว้นั้นเหนื่อยไหม คำถามนี้เหมือนค้อนใหญ่ทุบเขื่อนที่กักเก็บความเจ็บปวดไว้ ให้น้ำตาของกะรัตไหลพรั่งพรู
“ยิ่งแค้น ใจเราก็เป็นทุกข์ แล้วจะแค้นไปทำไม ก๋งขอร้อง รวบรวมสติกำลังใจให้ดี แล้วคืนนี้เดินเชิดหน้าไปงานศพเขา ทำให้ใครๆเขารู้ว่าคนอย่าง กะรัต เทพทัต แม้จะโดนผู้ชายสารเลวรังแก แต่ก็แกร่งและเก่งที่จะลุกขึ้นได้เองอย่างสง่างามนะลูกนะ”
กะรัตมองหน้าบัญชา อย่างคิดหนักว่าจะไปงานศพภูเบศร์ดีไหม
ในวัดหน้ากุฏิหลวงพ่อ สายน้ำผึ้งร้องไห้อยู่กับหลวงพ่อ ด้วยความทุกข์ทรมานใจกับหนทางที่มืดหมน
“หนูไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ทางมันมืดหมนไปหมด”
“ธรรมชาติสร้างดวงตาของเราให้อยู่ด้านหน้า ไม่ใช่มองแต่ข้างหลัง ธรรมชาติสร้างขาเพื่อให้ก้าว เดินต่อไป ไม่ใช่ย่ำอยู่กับที่ ธรรมชาติสร้างสมองให้มีส่วนคิดและจดจำ แปลว่าให้รู้จักคิดว่า จะจำอะไร และไม่ควรจำอะไร ไม่ใช่เอาแต่จำโดยไม่คิด ข้อมูลก็อยู่รกเต็มสมองคล้ายห้องที่รก ไม่มีช่องว่างให้แสงผ่านเข้ามา ถึงได้มืดหมนไงโยม” หลวงพ่อสอนอย่างเมตตา
“ถึงไม่อยากจำ แต่ก็ลืมไม่ง่ายนะคะหลวงพ่อ สามีหนูตายไปทั้งคนนะคะ”
“โยมแบมือสิ”
สายน้ำผึ้งมองหลวงพ่องงว่าหลวงพ่อจะให้ทำอะไร เธอแบมือ
“โยมกำน้ำไว้ในมือให้ได้นะ”
หลวงพ่อหยิบแก้วน้ำมาเทน้ำลงบนมือ สายน้ำผึ้งกำมือเพื่อกำน้ำ แต่น้ำก็ไหลผ่าน
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา มันก็เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านมือ แม้โยมอยากจะกำ อยากจะยึดมันไว้ ก็ทำไม่ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มี อะไรจีรัง ความมืดหมนในชีวิตของโยมแก้ได้ไม่ยากหรอก เพียงแค่ปล่อยวาง”
สายน้ำผึ้งนิ่งเพราะรู้ในใจนั้นไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้ เธอรู้สึกอยากอาเจียนอีกรีบก้มลงกราบลา หลวงพ่อ
“หนูขอตัวก่อนนะคะ”
สายน้ำผึ้งจะอาเจียน รีบเอามือปิดปากแล้ววิ่งจากกุฏิหลวงพ่อ
ศาลาวัดยามเย็น...สายน้ำผึ้งนั่งหน้าซีดที่หน้าโลงศพ คอยจัดแจงจุดธูปให้แขกเหรื่อ เมื่อแขกเว้นช่วงไป เธอแอบลอบมองรูปหน้าศพของภูเบศร์อย่างอาลัย กันตาคอยจับตาดูสายน้ำผึ้ง และมองไปที่รูปภูเบศร์เห็นว่าปลอดคน เลยเดินเข้าไปหา
“พี่ผึ้งนี่เป็นเพื่อนที่น่ารักจังเลยนะคะ ทำหน้าที่แทนพี่กั้งได้ทุกอย่าง”
สายน้ำผึ้งที่มีความผิดติดตัว พยายามเก็บอาการ ทำทีก้มหน้าเก็บกวาดขี้ธูป ไม่กล้าสบตากันตา
“กั้งเขาเป็นเพื่อนรักของพี่ ช่วยอะไรได้ พี่ก็ยินดี”
“น่าดีใจแทนพี่กั้ง มีเพื่อนรักที่จริงใจขนาดนี้”
สายน้ำผึ้งเงยขึ้น ปะทะสายตากันตาที่จ้องอยู่ เริ่มใจไม่ดี รีบหาทางเลี่ยง
“ก้อยช่วยจุดธูปให้แขกทีนะ พี่จะไปดูเรื่องพระทางโน้นหน่อย”
สายน้ำผึ้งรีบผละไปเร็วๆ กันตามองอย่างสงสัยเต็มที่
กฤชยืนรับแขกอยู่ตรงหน้าศาลา เนื้อแพรที่งามสง่าในชุดดำ เดินตรงเข้ามาหา
“แพร...ขอบคุณที่มานะครับ” กฤชทักทายอย่างดีใจ
เนื้อแพรมองหา
“หนูกั้งเป็นยังไงบ้างคะ”
“เขายังเจ็บ ทั้งกายทั้งใจเหมือนที่ผมเล่าให้คุณฟังเมื่อคืน”
“แพรเข้าใจค่ะ แพรรู้ว่าหนูกั้งต้องเจอกับอะไรบ้าง” เนื้อแพรเห็นใจ
“ยัยกั้งภายนอกดูเหมือนจะแกร่ง แต่ข้างในทั้งอ่อนไหว จนบางทีผมว่าแกเป็นคนอ่อนแอซะด้วยซ้ำ ถ้าเขาเข้มแข็งได้สักครึ่งของคุณ ก็คงจะดี”
“ถ้าแกไม่มองแพรว่าเป็นศัตรู แพรก็พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ค่ะ”
กฤชถึงกับนิ่งเงียบไป เพราะรู้ดีถึงความยากที่จะเปลี่ยนความคิดคนในครอบครัวให้รู้สึกดีกับเธอ
เนื้อแพรมองไปทั่วๆ ดูว่าใครอยู่ในงานบ้าง เพื่อเลี่ยงโจทย์ที่มีอยู่เต็มงาน เธอมองไปเห็นสายน้ำผึ้ง กำลังรับพวงหรีดอยู่อีกมุม เมื่อเห็นสีหน้า ดวงตาที่เศร้าสร้อยของสายน้ำผึ้ง พลางนึกถึงคำบอกเล่าของพิศุทธ์เลยหยั่งเชิงถาม
“เอ๊ะ...ผู้หญิงคนนั้นใครกันคะ แพรไม่เคยเห็น”
กฤชหันมองตาม
“อ๋อ...สายน้ำผึ้ง เพื่อนสนิทของยัยกั้ง”
“โถ...คงจะเสียใจมาก หน้าตาเศร้าหมองเหลือเกิน”
คุณนายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายกฤช
“เสียใจด้วยนะคุณกฤช ลูกเขยยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ”
คุณนายแอบเหลือบมองเนื้อแพรที่มายืนเป็นเจ้าภาพคู่กับกฤชแล้วแอบชักสีหน้า
“ไม่ยักรู้ว่าคุณเนื้อแพรก็เป็นเจ้าภาพงานนี้กับเขาด้วย”
“ดิฉันก็แค่มาฟังสวดเท่านั้นค่ะ” เนื้อแพรยิ้มไม่ใส่ใจกับท่าทีนั้น
“ก็ว่าอยู่ เห็นเขียนว่าเจ้าภาพคือครอบครัว ไม่ใช่สมาคมบ้านเล็กแห่งประเทศไทย”
คุณนายพูดจบเดินเชิดไป กฤชชักสีหน้าจะตาม เนื้อแพรแตะแขนห้ามไว้
“ปล่อยเขาเถอะค่ะ แถวนี้เขตอภัยทานนะคะ”
กฤชหันมามองเนื้อแพรที่สงบนิ่งไม่ยินดียินร้ายอย่างหนักใจแทน
กุนตีกับกันตาละจากการพาแขกไปนั่ง จะเดินออกมาทางด้านหน้าศาลา แล้วชะงักกันไปทั้งคู่
“ตายละพี่กุ้ง นั่นยัยเนื้อแพร กิ๊กของพ่อใช่มั้ย”
“พ่อนะพ่อ แค่นี้ยังฉาวกันไม่พอรึไง” กุนตีเซ็ง
“หรือพ่อตั้งใจควงดารามากลบข่าวฉาวของพี่กั้ง”
สาวเอ๊าะๆหลายรายที่แต่งตัวโอเว่อร์เหมือนไม่ได้มางานศพ นั่งกระจายร้องไห้กระซิกกันอยู่หลายคน กุนตีเหลือระอา
“ตกลงนี่มันงานประชันเมียน้อยหรือไงเนี่ย เดี๋ยวเถอะคุณนายพวงหยกมาถึงงานเมื่อไหร่ ได้รู้กันละว่าใครจะแจ๊คพอต”
กันตาเบนสายตากลับมา สายตาสะดุดตรงสายน้ำผึ้งที่นั่งเหม่อลอยเศร้าซึมอยู่ในมุมมืดๆอยู่คนเดียว
“ก้อยก็อยากจะรู้เหมือนกันคะว่าแจ๊คพอต จะไปแตกที่ใคร”
กุนตีที่ไม่รู้เรื่อง ยังมองบรรดาอีหนูของภูเบศร์อย่างหนักใจ ต่างกับกันตาที่ยังคงจ้องเขม็งไปที่สายน้ำผึ้ง ไม่วางตา
พวงหยกประคองหม่อมมลุลี มารดาของท่านชายอ๊อด ซึ่งเป็นอดีตสามีของเนื้อแพรเดินตรงมาที่ศาลา กฤชกับเนื้อแพรมัวแต่ยืนหันหน้าคุยกัน ไม่ทันมอง พวงหยกกับหม่อมมลุลีคุยกันมาตลอดทาง พอเงยมาอีกทีก็ถึงกับชะงัก
“ต๊าย นังเนื้อแพร หม่อมคะ ดูแม่สะใภ้ตัวดีของหม่อมสิคะ”
หม่อมมลุลีเหยียดเนื้อแพรสุดๆ
“นี่…เธอต้องเรียกอดีตสะใภ้ถึงจะถูก เพราะแม่นั่นถูกอัปเปหิออกจากวังของฉันไปนานนักหนาแล้ว”
“ค่ะ พอถูกตะเพิดจนเป็นอดีตของท่าน ก็เลยตัวสั่นอยากมาเป็นปัจจุบันของผัวหนู เรารีบเข้าไปกัน เถอะค่ะ”
พวงหยกกับหม่อมมลุลี เดินปรี่เข้าไปหาทั้งคู่ เนื้อแพรกับกฤชหันมาเห็นยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ ไม่นึกว่าหม่อมจะมา”
“ฉันก็มาดูให้เห็นกับตา จะได้รู้ว่าที่ใครๆเขาว่าเธอไปแย่งผัวชาวบ้านมันจริงเท็จแค่ไหน”
“หม่อมครับ...ผมกับแพร...” กฤชพยายามจะอธิบาย
เนื้อแพรรีบพูดตัดหน้า
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะคุณกฤช เราเป็นอะไร เรารู้กันอยู่แก่ใจ แพรไม่เห็นความจำเป็น ที่เราจะต้องตาม แก้ตัวกับคนอื่นเลย”
หม่อมมลุลีไม่พอใจกับคำพูดเนื้อแพร แล้วเล่นงานกลับโดยทำทีเดินจะเข้าศาลา แกล้งเฉียดเนื้อแพรพูดเบาๆให้ได้ยินกันสองคน
“แค่ขายหน้าตาหากิน ก็เต็มกลืนพออยู่แล้ว ยังจะเอาตัวเข้าแลกเงินให้มันบัดสีสกุลลูก น่ารังเกียจ”
หม่อมมลุลีพูดจบสะบัดหน้าเดินเชิดเข้าไป พวงหยกหันไปหากฤช
“หม่อมอุตส่าห์ให้เกียรติมางาน ไม่คิดจะเข้าไปดูแลบ้างรึไง”
กฤชรำคาญมาก หันมาชวนเนื้อแพร
“เชิญข้างในดีกว่าแพร”
“คุณเข้าไปเถอะค่ะ ฉันอยากยืนรับลมตรงนี้สักพัก”
กฤชยังละล้าละลังห่วงเนื้อแพร เพราะพวงหยกยังอยู่
“เข้าไปซิ เขาบอกแล้วว่าจะยืนรับลม คุณเป็นถังอ๊อกซิเย่นรึไง ถึงยึกยักอยู่ได้” พวงหยกแหวใส่ทันที
กฤชส่ายหน้ากับพวงหยกแล้วเดินลิ่วเข้าศาลาไป เหลือพวงหยกกับเนื้อแพร ที่ยืนจ้องหน้ากันแบบ ไม่มีใครยอมใคร พวงหยกสะบัดหน้าก้าวฉับๆเข้างานไป
เนื้อแพรปรายตามองตามอย่างใจเย็น
อ่านต่อหน้า 4 / 17.00 น.
สามีตีตรา ตอนที่ 1 (ต่อ)
หม่อมมลุลีมานั่งที่เก้าอี้ประธานด้านหน้า กฤชกับพวงหยกนั่งขนาบคนละข้าง พวงหยกเห็นผู้หญิงแต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ รีบหันไปกระซิบถามกฤช ไม่อยากให้หม่อมมลุลีได้ยิน
“แม่พวกนั้นเป็นใครกัน แต่งตัวยังกะจะมาเต้นโคโยตี้”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า”
พวงหยกขยับอึดอัด อยากจะเข้าไปถามแต่ก็เกรงใจหม่อมมลุลี
“นี่ถ้ามีกงเต๊กละก็ ไม่ต้องหาหุ่นผู้หญิงเผาให้สิ้นเปลือง เอาแม่พวกนั้นมัดรวมกันราดน้ำมัน แล้วเผาไฟไปได้เลย” พวงหยกปรายตาไปทางหน้าศาลา “จะรวมแม่คนที่ยืนอยู่ ข้างนอกนั่นด้วยก็ได้นะ ฉันจะได้หมดเสี้ยนหนามตำใจซะที”
กฤชอายจนหน้าชา รู้ตัวว่าถูกหาเรื่องเขาก็ทำท่าจะลุกไป
“ผมขอตัวก่อนนะครับหม่อมป้า”
พวงหยกรีบลุกขึ้นห้าม
“จะไปหาแม่นั่นอีกสิท่า”
เสียงของพวงหยกดังจนแขกในศาลาพากันหันมามอง กฤชต้องหันมาส่งสายตาเตือน
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น นั่งลงเดี๋ยวนี้”
กฤชอึดอัดที่พวงหยกยังยืนกดดัน ไม่ยอมปล่อยให้เขาละสายตา เขาเหลือบไปเห็นสายตา ของแขกที่กำลังจดจ้องพวกเขาอยู่ก็เลยตัดสินใจนั่งลงที่เดิมอย่างจำใจ พวงหยกเปลี่ยนที่ไปนั่งประกบกฤชไว้ รีบกระแนะกระแหน
“ห่างกันไม่ถึงนาทีทำเหมือนจะขาดใจ แก่จะตายอยู่แล้ว เก็บอาการงุ่นง่านไว้บ้าง”
พวงหยกสะบัดหน้าใส่ กฤชส่ายหน้าระอา หม่อมมลุลีที่ลึกๆไม่เคยจริงใจกับใคร แอบยิ้มหยันๆทั้งคู่
เนื้อแพรเดินหลบออกมาข้างๆศาลา เห็นสายน้ำผึ้งนำอาหารเข้าไปที่ด้านข้างโลงศพ แล้วเคาะเรียกภูเบศร์ เนื้อแพรมองความโศกเศร้าของสายน้ำผึ้งอย่างสังเกต
สายน้ำผึ้งเดินออกมาชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเนื้อแพรมาแอบยืนมองอยู่
“หนูเป็นเพื่อนหนูกั้งใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ฉันเป็นเพื่อนกับคุณกฤช”
“ค่ะ...ดิฉันพอจะจำได้”
“ท่าทางหนูเหมือนไม่ค่อยสบาย”
สายน้ำผึ้งรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเนื้อแพรเท่าไหร่
“เปล่านี่คะ หนูไม่ได้เป็นไร ขอตัวนะคะ”
สายน้ำผึ้งพยายามเลี่ยง เนื้อแพรมองตามอย่างไม่สบายใจ
ในห้องน้ำใกล้ศาลา...สายน้ำผึ้งอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงไร้เรี่ยวแรงถึง กับต้องเกาะขอบอ่างพยุงตัวไว้ ไม่ให้ล้ม เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เคยสวยใส แต่บัดนี้เปียกชุ่มด้วยคราบน้ำตา
เนื้อแพรมาหยุดยืนที่หน้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงโอ้กอ้ากอาเจียน พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่ง สายน้ำผึ้งเดินออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียวเซล้ม ทำกระเป๋าสะพายหล่น เนื้อแพรเข้าไปช่วยเก็บของที่หล่นอยู่ที่พื้น แล้ว้ห็นว่ากระเป๋าสตางค์สายน้ำผึ้งที่เผยอออกมา เป็นรูปภูเบศร์
สายน้ำผึ้งตกใจที่เนื้อแพรเห็นรูป เธอรีบแย่งกระเป๋าสตางค์มาถือไว้ มองหน้าเนื้อแพรอย่างไม่ไว้ใจ
“ให้ฉันเดาตามประสาคนที่เล่นละครน้ำเน่ามาเยอะ” เนื้อแพรมองไปที่ท้องสายน้ำผึ้ง “เด็กในท้องนั่น ลูกของคุณภูเบศร์ใช่มั้ย”
สายน้ำผึ้งใจวูบ ไม่คิดว่าเนื้อแพรจะเปิดฉากแบบนี้ แต่สัญชาตญาณปกป้องตัวเองรุนแรงกว่า
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ถอยไป”
สายน้ำผึ้งเดินเฉียดเนื้อแพรไป
“รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นสามีเพื่อน เธอยังปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้”
สายน้ำผึ้งหันขวับมาทันที
“ระหว่างเรามันไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ภูเขารักฉัน...คนอื่นต่างหาก ที่พลาดอยากได้ภูจนตัวสั่น”
เนื้อแพรยิ้มออกมาอย่างคนเข้าใจโลก
“มันก็เป็นแค่ข้อแก้ตัวของคนที่เป็นชู้กับสามีคนอื่น”
“คุณเนื้อแพร คุณเองก็ไม่ได้วิเศษมาจากไหน”
“แต่ฉันไม่เคยเผลอไผลให้เลยเถิด”
“ฉันบอกแล้วไงว่าภูรักฉัน มันไม่ใช่เรื่องเผลอไผล”
“แล้วเขาบอกรักกับเธอคนเดียวรึไง”
“แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับกั้ง”
เนื้อแพรยิ้มอย่างปลงๆ
“เธอทนได้แม้ว่าเขาจะบอกรักผู้หญิงอีกเป็นร้อยเป็นพัน ใครก็ได้...ขอแค่ไม่ใช่หนูกั้งงั้นใช่มั้ย”
สายน้ำผึ้งกัดริมฝีปาก สะกดอารมณ์เมื่อถูกจี้เข้ากลางใจดำ
“ฉันอยากจะรู้เหมือนกัน ถ้าหนูกั้งรู้ว่าเธอท้องกับสามีเขา เขาจะทำยังไง”
“ฉันไม่แคร์”
เนื้อแพรยิ้มเย็น เสียงจริงจังขึ้น
“บทนางร้ายแบบนี้ เคยทำฉันได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมา 2 ครั้งแล้วรู้มั้ย...”
สายน้ำผึ้งทนฟังต่อไปไม่ได้จะเดินหนี เนื้อแพรยังพูดตามหลัง
“เธอยังมีทางเลือกอยู่นะสายน้ำผึ้ง”
สายน้ำผึ้งหยุด แต่ไม่หันมา
“เลือกว่าจะเดินออกไปจากชีวิตของทุกคน โดยไม่ทำให้ใครบาดเจ็บ”
สายน้ำผึ้งคิดตามถึงกับตัวสะท้านเมื่อคิดว่าต้องอยู่อย่างผู้แพ้
“หรือจมอยู่ในโศกนาฏกรรมที่เธอไม่มีวันเป็นผู้ชนะ”
คำพูดของเนื้อแพรกระแทกลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ
สายน้ำผึ้งถึงกับน้ำตาหยดออกมาอีกครั้ง หากดวงตาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว บ่งชัดถึงสิ่งที่เลือกแล้ว เธอเดินจากไปเงียบๆ
รถแวนหรูมาจอดในลานจอดรถหน้าศาลาสวดศพภูเบศร์ สมหวังกับนวลลงจากประตูตอนหน้ารถ แล้วมายืนรอหน้าประตูด้านข้าง ประตูด้านข้างเปิด เจ้าสัวบัญชาลงจากรถชะโงกหน้าเข้าไปในรถมอง
กะรัตที่ใส่ชุดดำแต่ทาปากสีแดงแรงฤทธิ์เดินออกจากรถ แต่งหน้าจัดไม่มีแววทุกข์ร้อนที่เป็นม่าย ดวงตามีแววนางสิงห์ ที่พร้อมจะเอาเรื่องกับทุกคน
กะรัตเดินหน้าเชิดดูผยองเป็นนางพญาเข้าในศาลาเคียงข้างเจ้าสัวบัญชา สายน้ำผึ้งเดินโซเซ แทบหมดแรงเข้ามาในงาน แล้วสะดุดเก้าอี้จะล้ม กะรัตเห็นจึงรีบวิ่งเข้าไปหา เนื้อแพรพุ่งเข้ามาคว้าพยุงแขนสายน้ำผึ้งได้ก่อน กะรัตมองหน้าเนื้อแพรด้วยสายตาเหยียมหยาม แล้วปัดมือเนื้อแพรออกจากสายน้ำผึ้ง
“ไม่ต้องมายุ่งกับเพื่อนฉัน แล้วใครเชิญเธอมาไม่ทราบ”
กฤชเห็นเนื้อแพรจึงรีบไปหา
“พ่อเชิญคุณแพรมาเอง”
พวงหยกหันไปมองตามกฤชและเนื้อแพรอย่างเนื้อเต้น เดินมาร่วมวง
“เมื่อคืนหายหัวไปกินในที่ลับกันไม่พอ ยังต้องลากกันมากินในที่แจ้ง ประจานความเสื่อมศีลธรรม ให้คนอื่นเห็นอีกเหรอ”
“พวงหยก ขึ้นศาลาได้แล้ว”
เจ้าสัวบัญชาปราม แล้วเดินนำทุกคนเข้าไปนั่งในศาลา พวงหยกมองเนื้อแพรอย่างไม่ยอม กันตากับกุนตีต้องมาดึงแขนพวงหยกให้ขึ้นศาลา กันตามองสายน้ำผึ้งที่มีสีหน้าซีดเซียวอย่างรู้ว่าเป็นอะไร กันตาอยากจะบอกกะรัต แต่ไม่มีโอกาส กะรัตพยุงสายน้ำผึ้งให้เดินขึ้นศาลาไปกับตัวเอง เนื้อแพรพยายามยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณกฤช”
เนื้อแพรมองไปทางสายน้ำผึ้งที่เดินขึ้นศาลา แล้วเดินเข้าไปนั่งแยกออกไป กฤชมองตามอย่างเป็นห่วง
กะรัตเดินหน้าเชิดดูผยองเป็นนางพญามายืนที่หน้าโลงศพภูเบศร์ มองโลงอย่างเกลียด โกรธ แค้นแล้วหันมาพูดกับเจ้าสัวบัญชา
“กั้งออกไปนั่งข้างนอกนะคะ อยู่ในนี้แล้วมันเหม็นความเลว”
กะรัตเดินผ่านสายน้ำผึ้งออกไปจากศาลา สายน้ำผึ้งมองโลงของภูเบศร์ ด้วยใบหน้าที่แตกต่างจากกะรัต เพราะเธอเจ็บปวดกับการจากไป อาลัยอาวรณ์ น้ำตาปริ่มจะไหลใจจะขาด กันตาแอบมองอาการของสายน้ำผึ้งแล้วมองไปทางโลงภูเบศร์แล้วคิดๆอย่างไม่อยากเชื่อในความคิดของตัวเองว่า สายน้ำผึ้งจะท้องกับภูเบศร์ เนื้อแพรมองอาการสายน้ำผึ้งอย่างกังวล กลัวว่าจะมีใครสังเกตเห็นจนเป็นเรื่อง ทันใดนั้นเสียงของกะรัตก็ดังขึ้น
“แกพูดว่าอะไรนะ”
ทุกคนตกใจแล้วหันไปทางหน้าศาลา
กะรัตกำลังประจันหน้ากับซอลลี่ เมียน้อยของภูเบศร์ กันตา กุนตี นวล วิ่งออกมาจากศาลา มาหากะรัตอย่างตกใจ ซอลลี่มองกะรัตด้วยสายตาไม่กลัว หยิบปึกบิลในกระเป๋าออกมายื่นให้
“ฉันบอกว่าเอาบิลค่าคอนโด ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต ค่ามือถือ ค่าสปา ฟิสเนต ไปจ่ายให้ด้วย ฉันโดนโทรตามทวงจนอายเพื่อนไปหมดแล้ว”
กะรัตปัดปึกบิลกระจายเคว้งคว้างกลางอากาศ
“แกเป็นใคร ฉันถึงต้องจ่ายค่าบ้าบอคอแตกนี่ให้แก”
ซอลลี่หยิบมือถือออกมาเปิดคลิปที่ถ่ายกับภูเบศร์ พร้อมเปิดเสียงดังๆให้คนทั้งงานได้ยิน
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ครับซอลลี่...พี่รักซอลลี่คนเดียวนะ และพี่สัญญาว่าจะดูแลซอลลี่ตลอดไป”
สายน้ำผึ้งฟังเสียงในคลิปอย่างอดกลั้น กะรัตคว้ามือถือจากซอลลี่มาปาลงพื้นมือถือแตกกระจาย
“แกจะเอาเสียงหมาตัวผู้ หอนหาหมาตัวเมียมาให้ฉันฟังทำไม”
ซอลลี่พูดลอยหน้าลอยตา
“ก็เปิดให้ป้ารู้ไงว่าฉันเป็นเด็กที่พี่ภูเลี้ยงดู เป็นคนที่ พี่ภูรัก”
กะรัตกำลังจะด่า ทันใดนั้นสายน้ำผึ้งพุ่งเข้าไปผลักซอลลี่จนเซด้วยความเหลืออด
“ไม่จริง คุณภูไม่มีวันรักเด็กใจแตกอย่างแก”
กะรัตหันไปมองสายน้ำผึ้ง คาดไม่ถึงที่จะออกหน้าแทนตัวเองขนาดนี้ กันตามองสายน้ำผึ้งที่ออกตัวหึง แล้วคิดว่าสิ่งที่ตัวเองสงสัยนั้นเป็นเรื่องจริงแน่ๆ เนื้อแพรมองอย่างปลงๆ ว่าสุดท้ายความลับไม่มีในโลกจริงๆ ซอลลี่มองสายน้ำผึ้งอย่างไม่พอใจ
“เกี่ยวอะไรกับแกด้วย...หรือว่าแกเป็นผู้หญิงของพี่ภูอีกคน”
สายน้ำผึ้งชะงัก กะรัตมองสายน้ำผึ้ง
“ฉันเป็นเพื่อนของเมียคุณภูต่างหาก แกออกไปจากงานนี้เลย คุณภูไม่เคยรักใคร นอกจาก...เมีย” สายน้ำผึ้งหมายถึงตัวเอง “ของเขา กะอีแค่เด็กหิวเงิน เขาคบไว้แก้เลี่ยนเท่านั้น อย่ามาสะเออะบอกว่าคุณภูรักแก”
“แกรู้ได้ยังไงว่าพี่ภูไม่ได้รักฉัน พี่ภูยังบอกเลยว่าจะหย่ากับนังบ้านี่ปีหน้า แล้วจะโกยสมบัติไปอยู่กับฉัน ที่เมืองนอก”
สายน้ำผึ้งอึ้งที่ภูเบศร์พูดถึงความฝัน ที่เขาเคยวาดหวังไว้กับตัวเองไปพูดกับคนอื่นด้วย สายน้ำผึ้งไม่เชื่อ ภูเบศร์วางแผนอยู่กับเธอคนเดียวเท่านั้น เธอสติแตก
“ไม่จริง ตอแหล เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น”
“หนอย...พูดแบบนี้มาตบกันหน่อยมั้ยวะ”
ซอลลี่ถลาเข้ามาจะตบสายน้ำผึ้ง แต่สายน้ำผึ้งตั้งหลักทัน ตบฉาดเต็มฝ่ามือ ซอลลี่หน้าหัน สายน้ำผึ้งผลักซอลลี่กระเด็นไป เล่นเอาทุกคนตรงนั้นอึ้งตะลึงงัน กะรัตแทบไม่เชื่อสายตาว่าคนอย่างสายน้ำผึ้ง จะกล้าทำ อะไรอย่างนี้ ซอลลี่ปราดเข้าผลักสายน้ำผึ้งแล้วจะตบกลับ กันตากับนวลรีบเข้าไปรวบตัวไว้ ขณะที่กุนตีคอยกัน สายน้ำผึ้งเพราะสองฝ่ายต่างไม่ลดราวาศอก
“พอแล้ว อย่ามามีเรื่องตบตีกันในวัดเลย” กุนตีห้าม
สายน้ำผึ้งชี้หน้าซอลลี่
“จำไว้ แล้วอย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีก ไป”
กะรัตมองดูสายน้ำผึ้งที่สติแตกอย่างตกใจ เพราะไม่เคยเห็นเพื่อนในมุมนี้เลย เจ้าสัวบัญชากับทุกคน ตามออกมาดู
“ไปก่อนเถอะผึ้ง”
กุนตีพยายามลากสายน้ำผึ้งออกไป
“เก่งจริงอย่าหนีสิวะ มาตบกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลย” ซอลลี่ดิ้นสะบัดตัว จะตามไปให้ได้
สายน้ำผึ้งเริ่มได้สติ หน้าถอดสี ถอยตัวออกจากกุนตี ไม่กล้าสู้ตาใครเดินออกไปจากตรงนั้น ซอลลี่ยังแหกปากโวยวาย เจ้าสัวบัญชาดึงแขนกะรัตเพื่อเรียกสติ
“ไปกั้ง กลับบ้านกับก๋ง”
เจ้าสัวบัญชาดึงกะรัตให้เดินตาม กันตา กุนตี พวงหยก นวล รีบเดินตามไป กฤชมองเนื้อแพรที่พยักหน้าให้เขาตามไปไม่ต้องห่วงตัวเอง แล้วหันไปมองสายน้ำผึ้งอย่างหนักใจ
เจ้าสัวบัญชาจูงกะรัตมาที่รถแวนหรูที่จอดอยู่ กันตา กุนตี พวงหยกและกฤชเดินตามมา
“ยายผึ้งเป็นบ้าอะไรขึ้นมาน่ะ ตั้งแต่เห็นยายผึ้งมา ไม่เคยเห็นยายผึ้งสติแตกแบบนี้เลย” พวงหยกบ่นอย่างไม่เข้าใจ
“หึงไง” กันตาพึมพำ
กุนตีชะงัก
“พูดอะไรนะยายก้อย”
กันตาไม่ตอบ เจ้าสัวบัญชาพูดแทรกเพื่อตัดบทสนทนาของทุกคน
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระซะที มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ขึ้นรถกันได้แล้ว”
นวลเปิดประตูจะให้ทุกคนขึ้นรถ เห็นกระเป๋าของสายน้ำผึ้งซึ่งกะรัตถือติดมือมา เพื่อจะเอาไปคืน
“อุ้ยตาย ลืมเอากระเป๋าคืนคุณผึ้งค่ะ”
กะรัตมองกระเป๋าของสายน้ำผึ้งแล้วนึกถึงเมื่อคืนที่สายน้ำผึ้งโทรมาสั่งห้ามตัวเองไม่ให้เปิดกระเป๋า จึงกระชากกระเป๋าของสายน้ำผึ้งมาจากมือของนวลทันที
รสสุคนธ์นั่งถักโครเชต์ ระหว่างรอสายน้ำผึ้งกลับมา ไม่นานนักสายน้ำผึ้งเดินเหนื่อยอ่อนเข้าบ้านมา จึงชะงักมือจากงานที่ทำอยู่
“กลับมาแล้วเหรอลูก หิวไหมลูก น้าเก็บกับข้าวไว้ให้ผึ้งด้วย” รสสุคนธ์เดินไปหยิบขันใส่น้ำมนต์มาให้ “น้าเตรียมน้ำมนต์ไว้ให้ผึ้งล้างหน้าด้วยลูก ไปงานศพกลับมา ต้องล้างสิ่งไม่ดีออกไป ยิ่งเป็นคนตายโหง…”
สายน้ำผึ้งรีบพูดขัด
“ผึ้งไม่ล้างอะไรทั้งนั้น ผึ้งเหนื่อย ผึ้งอยากนอน”
สายน้ำผึ้งเดินขึ้นบันไดไป รสสุคนธ์มองตามสายน้ำผึ้งไม่วายเป็นห่วงหลาน
“ถ้าผึ้งหิวก็บอกน้านะลูก น้าจะชงโกโก้ให้”
มีเสียงเครื่องยนต์ขับมาจอดหน้าบ้าน รสสุคนธ์หันไปมองทางหน้าบ้าน
“ใครมาเอาป่านนี้”
สายน้ำผึ้งเดินเข้าห้องมานั่งที่เตียง แล้วมองไปที่โต๊ะริมผนังเห็นรูปถ่ายกะรัตกอดภูเบศร์โดยตัวเธอยืนอยู่ตรงกลางก็หงุดหงิดทันที
“น้ารสจัดห้องให้ผึ้งอีกแล้วใช่ไหม”
“ก็น้าเห็นผึ้งไม่ค่อยสบาย เลยคิดว่าอาจเป็นเพราะฝุ่นในห้องน่ะลูก”
สายน้ำผึ้งเดินไปหยิบรูปปาใส่ลิ้นชักอย่างไม่พอใจ แล้วเดินไปนั่งที่เตียง เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วหยิบรูปถ่ายสายน้ำผึ้งกับภูเบศร์ที่กอดกันด้วยความรักล้นใจ เธอมองรูปถ่าย
“คุณรักผึ้งคนเดียวใช่ไหมคะ...ผึ้งรู้ว่าคุณไม่เคยรักใครนอกผึ้ง”
สายน้ำผึ้งนอนกอดรูปถ่ายแล้วเอื้อมมือไปหยิบกล่องกำมะหยี่เล็กๆในลิ้นชักขึ้นมาแล้วเปิดกล่องมีแหวนทองคำขาวเกลี้ยงสองวง เป็นไซส์เล็กของผู้หญิง และ ไซส์ใหญ่ของผู้ชาย เธอหยิบตัวอย่าง การ์ดแต่งงานที่ไปทำเอาไว้ ซึ่งในการ์ดเขียนชื่อสายน้ำผึ้งและภูเบศร์ แล้วหยิบสมุดวาดรูป มาเปิดเป็นรูปตัดแปะ รูปถ่ายหน้าเธอและรูปถ่ายหน้าภูเบศร์แปะที่สมุด รูปชุดแต่งงานที่ตัดจากนิตยสาร มาแปะเป็นรูปร่างของทั้งสองคน เหมือนใส่ชุดแต่งงานเข้าพิธีแต่งงานกันอยู่
สายน้ำผึ้งดูทุกอย่างที่เป็นความฝันของตัวเองด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกเวียนหัวและจะอาเจียน ทันใดนั้นมือของกะรัตยื่นกระปุกยาแก้แพ้ท้องที่กระปุกยามีชื่อของสายน้ำผึ้งแปะอยู่มาจากทางด้านหลัง สายน้ำผึ้งมองมือที่ยื่นกระปุกยามาโดยไม่ทันหันไปมองหน้าเจ้าของมือนั้น เธอก็รู้ว่าเป็นใคร
พิศุทธิ์ขับรถโดยมีเนื้อแพรนั่งข้างๆ
“แม่ว่าอะไรนะครับ”
“ที่ชายสงสัย มันเป็นเรื่องจริงน่ะสิลูก ไม่รู้คืนนี้กะรัตกับสายน้ำผึ้งจะเจอกับอะไรบ้าง”
พิศุทธิ์คิดถึงกะรัตอย่างเห็นใจ ที่ต้องเจอเรื่องร้ายทีเดียวหลายเรื่องรุมเร้าแบบนี้
กะรัตพยายามสะกดอารมณ์ ใจเย็นถึงที่สุด
“ผึ้ง...บอกกั้งได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” กะรัตเสียงเริ่มเข้มขึ้น “กั้งถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ไม่มีอะไรนี่กั้ง”
ฟังได้แค่นั้น ความอดทนของกะรัตก็ขาดผึงลงทันที มือคว้ารูปขึ้นมาชูใส่หน้าเพื่อนรัก
“แล้วนี่ล่ะ มันคืออะไร...”
สายน้ำผึ้งชะงักอึ้ง
“เอ่อ...”
“กั้งถามว่ารูปบ้าๆนี่...มันคืออะไร”
“ก็...รูปของผึ้งกับภู...ไม่เห็นจะมีอะไรนี่กั้ง”
“ไม่มีเหรอ”
กะรัตปราดไปหยิบรูปที่วางใกล้ๆกันขึ้นมาอีก
“แล้วนี่ล่ะ” กะรัตทิ่มๆรูปไปที่หน้า “เธอยังจะปากแข็งอีกมั้ยว่าเธอกับภูไม่มีอะไรกัน”
สายน้ำผึ้งปัดป้องกันหน้าตัวเองไว้ รูปที่กะรัตชูหราอยู่นั้นคือรูปแต่งงานของภูเบศร์กับกะรัต ที่ถูกเผาเว้าแหว่ง สายน้ำผึ้งนิ่งไม่ตอบ กะรัตขยับเข้ามาประจันหน้า
“เธอท้องใช่มั้ยผึ้ง”
“เธอเอาอะไรมาพูด”
“ก็ยาที่เธอลืมไว้ที่บ้านฉันไง ยานี่ไง...”
กะรัตโยนกระเป๋าของสายน้ำผึ้งที่ลืมไว้ในรถไปบนเตียง พร้อมกระปุกยาแก้แพ้ท้อง สายน้ำผึ้งถูกต้อนจนจนตรอก เลยตอกกลับอย่างไม่มีอะไรจะเสีย
“ฉันคงปิดเธอไม่ได้แล้วสินะ”
“เป็นอันว่าเธอท้องจริงๆ...งั้นบอกฉันมาซิว่าเธอท้องกับใคร” กะรัตจับไหล่สายน้ำผึ้งเขย่าแรงๆ “บอกฉันมาซิว่าเธอท้องกลับใคร...บอกมา”
เสียงกะรัตแผดดังจน กันตา กุนตี รสสุคนธ์ นวล ที่รออยู่ด้านล่าง พรวดขึ้นพร้อมกัน รสสุคนธ์หันขวับมาถามทุกคน
“ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ไม่มีคำตอบรสสุคนธ์ไม่รอ วิ่งพรวดขึ้นบันไดไป นวลกังวล
“คุณกุ้ง คุณก้อย”
กุนตีกำชับนวล
“นวลรออยู่ที่นี่ ไม่ต้องขึ้นไป”
กุนตีกับกันตาวิ่งตามรสสุคนธ์ไปทันที
กะรัตยืนจ้องหน้าสายน้ำผึ้ง โกรธจนหอบ สองคนปะทะสายตากันตรงๆ อารมณ์ทั้งสองคนต่างก็เจ็บร้าว หวาดกลัวความจริงแต่จนแล้วจนรอด สายน้ำผึ้งก็ไม่ใจถึงพอหันหน้าหนี
“เธอกลับไปซะเถอะกั้ง”
“มาถึงขนาดนี้เธอจะให้ฉันกลับไปโดยไม่รู้ความจริงงั้นเหรอ...บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร”
สายน้ำผึ้งกรีดเสียงออกมา
“อย่าบังคับฉันได้มั้ย”
“ก็บอกฉันมาซิ”
“ฉันบอกว่าอย่าบังคับฉัน”
กะรัตฟิวส์ขาดโดดเข้าเค้นคอเพื่อน
“พูดออกมา...ฉันบอกให้เธอพูดออกมา พูด...”
“พ่อของลูกฉันคือภูเบศร์...ผัวของเธอไง”
กะรัตช็อคนิ่งสนิท เหมือนวิญญาณลอยออกไปจากร่างชั่วขณะ กุนตี กันตา รสสุคนธ์ วิ่งมาหยุดกึ้กลงตรงหน้าห้องที่เปิดประตูค้างอยู่ ต่างยืนอึ้ง ช็อกกันไปตามๆ ขณะที่กะรัตน้ำตาเอ่อ สายน้ำผึ้งก็น้ำตาหยดหยาดออกมา ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก
“ได้ยินชัดรึยัง ผัวของเธอก็เป็นผัวของฉัน”
รสสุคนธ์ กันตาและกุนตี ยังนิ่งเหมือนถูกสะกด
กะรัตตัวเกร็ง สายตาที่จ้องมองเพื่อนรักเยียบเย็น แต่ดุดันดุจเสือกำลังจะขย้ำเหยื่อ
กะรัตซัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าสายน้ำผึ้ง ซ้าย ขวา รสสุคนธ์ตกใจ
“ผึ้ง”
รสสุคนธ์จะถลาเข้าหาหลาน กะรัตตะคอกสายน้ำผึ้งที่ยืนจ้องสู้ตาไม่ถอย เลือดไหลซิบออกมาตรงมุมปาก
“ชั่ว แย่งผัวเพื่อน ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะชั่วได้ขนาดนี้”
“ใครกันแน่ที่ชั่ว เธอคงไม่รู้สินะว่า ฉันนอนกับเขา ก่อนที่เขาจะนอนกับเธอ ด้วยซ้ำ ฉันเป็นเมียคนแรกของเขา ส่วนเธอมันก็แค่เมียน้อย”
กันตาแทรกขึ้น
“แล้วทำไมพี่ผึ้งไม่บอกพี่กั้งก่อนว่าพี่ภูเป็นของพี่ผึ้ง”
“เธอคิดว่าคนอย่างพี่สาวของเธอ เวลานอมันงอกขึ้นมาแล้ว มันจะหยุดขวิด ผู้ชายได้”
“มากไปแล้วนะผึ้ง” กุนตีโกรธ
สายน้ำผึ้งยิ้มเยาะเย้ยให้กะรัตแล้วพูดเสียงอย่างผู้ชนะ
“ฉันจะบอกให้อีกอย่างนะกั้ง คุณภูเขารักฉัน ที่เขามีอะไรกับฉันก็เพราะรัก แต่ที่เขามีอะไรกับเธอ ก็เพื่อเงิน เขาจำใจแต่งงานกับเธอ ก็เพราะจะเอาเงินของเธอไปสร้างครอบครัวกับฉัน เขาเคยบอกเธอไหมว่า เวลามีลูก เขาอยากให้ลูกชื่ออะไร เขาเคยบอกเธอไหมว่าเขาอยากสร้างบ้านอยู่ที่ไหน แล้วเขาเคยชวนเธอ อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าไหม”
“หยุดได้แล้ว” กะรัตทนไม่ไหว
สายน้ำผึ้งเห็นอาการแทบบ้าของกะรัตแล้วยิ่งสะใจ
“ไม่เคยใช่ไหมล่ะ เพราะเขาไม่เคยคิดจะสร้างครอบครัวกับเธอ ไม่เคยคิดจะทรมานชีวิต อยู่กับผู้หญิงเจ้าอารมณ์ อย่างเธอไปทั้งชีวิต”
“ฉันบอกให้หยุดพูดไง เธอทำอย่างนี้กับฉันทำไมผึ้ง ทั้งๆที่ผ่านมา...ฉันช่วยเธอทุกอย่าง”
กะรัตตวาด สายน้ำผึ้งเสียงเยาะ
“การที่เธอให้ในสิ่งที่เธอไม่ใช้แล้ว มันไม่เรียกว่าช่วยหรอกกั้ง มันเรียกว่าการให้ทาน”
“ฉันไม่เคยคิดว่านั่นเป็นการให้ทาน”
“แต่ฉันคิด ฉันถึงทำให้เธอรู้สึกบ้างไงว่า การกินน้ำใต้ศอกคนอื่นมันเป็นยังไง”
กะรัตจ้องหน้า สายน้ำผึ้งจ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ก็ดี รู้อย่างนี้ก็ดี ฉันจะได้ตาสว่างว่าคนที่ฉันเคยคิดว่ามันเป็นเพื่อน ที่แท้มันคืองูพิษที่คอยฉกฉัน” กะรัตยิ้มเยาะใส่ “แล้วฉันก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ ที่การลงทุนของเธอล้มเหลวไม่เป็นท่า ฝันหวานว่าจะได้ เงินของฉันไปสร้างครอบครัวเหรอผึ้ง เธอคิดว่าไอ้ภูจะเอาเงินของฉันไปได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นผัวนอกกฏหมาย ตอนนี้นอกจากมันจะไม่ได้เศษเงินจากฉันแล้ว เธอยังต้องแบกรับภาระหนี้สิน ที่มันก่อไว้กับฉัน กับเจ้าหนี้ของมัน เกือบสิบล้าน”
“อะไรนะ” สายน้ำผึ้งอึ้ง
กะรัตหัวเราะเยาะหยัน
“โถๆ ลงทุนแบให้มันทับจนท้อง สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร...ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือผัว”
“ไม่จริง ภูเขาบอกฉันว่า...”
สายน้ำผึ้งพูดได้เท่านั้น ก้อนแข็งๆก็แล่นขึ้นมาจุกที่คอ รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำซะแล้ว กะรัตหัวเราะเยาะหยัน
“นี่มันคงพล่ามให้เธอหลงเชื่อว่า มันมีสิทธิ์อย่างโน้นอย่างนี้ละสิ...” กะรัตเดินย่างเข้าหาสายน้ำผึ้งอย่างเหนือกว่า “เธอมันโง่…โง่ ๆ”
สายน้ำผึ้งยกมือปิดหู
“พอที หยุดได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง”
กะรัตปราดเข้าไป กระชากมือทั้งสองของสายน้ำผึ้งออก แล้วยึดมือไว้ไม่ให้ยกขึ้นอุดหู กุนตีขยับระวัง นิดเดียวแล้วยืนดูเหตุการณ์ต่อ
“แต่เธอต้องฟัง...ฟังความย่อยยับที่เธอสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ”
สายน้ำผึ้งยังร้องไห้อย่างหนัก หมดทางสู้
“ต่อจากนี้ เธอก็จะเป็นแค่ผู้หญิงหน้าโง่ที่ถูกผู้ชายหลอกฟัน สุดท้ายเธอก็ต้องแบกไอ้ก้อนเลือดชั่วๆ ไว้ประจานความเลวของตัวเอง คลอดออกมาแล้วลูกของเธอ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับการถูกตราหน้าว่าเป็นลูก ไม่มีพ่อ”
“ไม่...ไม่”
“ส่วนฉัน...จะถือซะว่าได้โยนเศษทานให้ผีไร้ญาติอย่างเธอ แล้วชาตินี้ก็ขอให้ เราอย่าได้พบได้เจอกันอีก”
กะรัตสะบัดมือกึ่งผลักร่างสายน้ำผึ้งจนเซจะล้มลงบนพื้น กุนตีตกใจถลาไปก้าวเดียว แล้วหยุด กะรัตทอดสายตามองสายน้ำผึ้งอย่างหยามเหยียดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหันตัวเดินกลับออกจากห้องไป กุนตีกับกันตามองสายน้ำผึ้งอย่างเวทนา แต่ก็ต้องตัดใจ เดินตามกะรัตออกไป
สายน้ำผึ้งถัดตัวเข้าไปจนชิดผนัง งอขาคุดคู้กอดตัวเองไว้ น้ำตาทะลักทะลายเหมือนสายน้ำ รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ยับเยิน
กะรัตเดินลิ่วลงมา กันตากับกุนตีเดินตามออกมา รสสุคนธ์วิ่งออกมา
“กั้ง...กั้ง”
กะรัตชะงักฝีเท้า
“น้าขอโทษแทนผึ้งด้วย ถ้าน้ารู้ว่าผึ้งคิดทำแบบนี้ น้าคงห้ามไปแล้ว ให้อภัยผึ้งนะกั้ง เห็นแก่ความเป็นเพื่อน...”
กะรัตรีบพูดสวน
“ไม่มีความเป็นเพื่อนระหว่างกั้งกับผึ้งอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ ถ้าผึ้งต่างคนต่างอยู่ กั้งก็จะต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าผึ้งมายุ่งกับกั้ง...กั้งจะไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน”
กะรัตเงยหน้ามองไปทางห้องของสายน้ำผึ้ง แล้วเดินออกไป
สายน้ำผึ้งนั่งคุดคู้อยู่ในห้องในห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาเพราะความอัดอั้นแค้นใจ รสสุคนธ์เดินขึ้นมาดู เธอพยายามจะเข้ามาปลอบใจหลาน
“ผึ้ง”
สายน้ำผึ้งตวาด
“ไม่ต้องมายุ่ง...” เธอร้องไห้แทบจะขาดใจ “จะไปไหนก็ไป...ไป๊”
สายน้ำผึ้งกรีดร้องแบบเสียสติ
ก่อนขึ้นรถกะรัตหันมามองไปในบ้านสายน้ำผึ้งสีหน้ายังคงเจ็บแค้นและเสียใจ ภาพความทรงจำดีๆของเธอกับสายน้ำผึ้งแว่บเข้ามา กะรัตตั้งใจจะทิ้งความทรงจำทุกอย่างไว้ที่บ้านหลังนี้ไปตลอดกาลสีหน้าเย็นชา นิ่งอึนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
กุนตีกับกันตาได้แต่มองอย่างเป็นห่วง กะรัตหมุนตัวขึ้นรถ นวลกับสมหวังหน้าเสียไม่รู้จะเอายังไง สองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กุนตีพยักหน้าส่งสัญญาณให้สมหวังออกรถไป สมหวังรีบวิ่งขึ้นรถ รถเคลื่อนออกไป
สายน้ำผึ้งนั่งร้องไห้ไม่หยุด เพราะไม่นึกว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ เธอมองรูปแต่งงานของภูเบศร์แล้วยิ่งเศร้าหนัก พลันคำพิพากษาของกะรัตก็แว่วเข้ามาในโสตประสาทอีก
“ต่อจากนี้ เธอก็จะเป็นแค่ผู้หญิงหน้าโง่ที่ถูกผู้ชายหลอกฟัน สุดท้ายเธอก็ต้องแบกไอ้ก้อนเลือดชั่วๆ ไว้ประจานความเลวของตัวเองคลอดมันออกมาแล้ว ลูกของเธอมันก็ต้องทนทุกข์ทรมาน กับการถูกตราหน้าว่า เป็นลูกไม่มีพ่อ”
สายน้ำผึ้งเดินไปหยิบรูปที่เธอถ่ายกับภูเบศร์และกะรัตมามอง นัยน์ตามีแววแห่งความมุ่งมั่นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่