สาปสาง ตอนที่ 10
บรรยากาศด้านในตำหนักเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ที่เราไม่ลงมือเพราะกลัวคนจะเห็น ไม่ใช่เพราะเราเปลี่ยนใจ หรือว่าขี้ขลาดนะครับ”
“ดีแล้วที่มึงไม่ลงมือ”
“พ่อปู่ไม่ตำหนิพวกเราเหรอครับ”
“อีคนที่เข้ามา มันคือคนเดียวกับที่กูเคยสื่อถึงได้”
“คนไหนครับ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิง อีชั่วนั่นมันมีญาณ! หากพวกมึงขุดศพอีผีชั่วขึ้นมา มันจะได้กลิ่นวิญญาณ และรู้จนได้ว่ามีคนตาย”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นใครกันล่ะครับ”
“กูตรวจดูดวงชะตาพวกมึงแล้ว อีชั่วนั่นจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตพวกมึงนับแต่นี้เป็นต้นไป”
“ยุ่งเกี่ยว?…หมายถึงเรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องชั่วๆ ที่มึงทำเอาไว้ยังไงล่ะวะ มึงลืมตัวรึไงว่าเคยฆ่าคน”
“ผมคงไม่กล้าลืมหรอกครับ”
“มึงรักมันมากนักใช่ไหม”
“พ่อปู่รู้?”
“กูรู้ทุกเรื่องชั่วของมึง มึงรักมัน! แต่ดวงมึงไม่ใช่คู่ของมัน! ยังไงก็ไม่มีวันได้สมสู่กัน”
“ดวงชะตาพวกมึงผูกพันกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จองเวร จองกรรมกันมาจนถึงชาตินี้”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำให้ความลับของเราเปิดเผยรึเปล่าครับ”
“กูยังมองเห็นไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ อีนี่มันไม่ใช่คนธรรมดา มันมีดีซ่อนอยู่เพียงแต่มันยังไม่รู้ตัว พวกมึงต้องระวังมันไว้ให้ดี มันจะนำพาความฉิบหายมาสู่มึง”
อนงค์เดินกลับมาที่หน้าห้องแพรว
“ทำไมเงียบไปแล้ว”
อนงค์เอาหูแนบประตูเพื่อฟัง
“ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย….”
อนงค์แปลกใจเลยลองเคาะประตูดู
“แพรว ลูก แพรว อย่าโกรธแม่นะ แม่จำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ อย่าโกรธแม่นะลูก แพรว” อนงค์แปลกใจที่ไม่มีเสียงตอบ “แพรว? แพรว ตอบแม่หน่อยสิลูก ….หรือว่าจะเป็นอะไรไป”
อนงค์ใจคอไม่ดี เธอรีบล้วงกุญแจขึ้นมาแล้วไขเข้าไป
“แพรว”
อนงค์พบว่าภายในห้องว่างเปล่า
“แพรว! หายไปได้ยังไงกันล่ะเนี่ย”
อนงค์เหลือบมองไปที่หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้แล้วรีบเดินเข้าไปดู เธอเห็นว่าที่หน้าต่างมีผ้าหลายชิ้นที่มาผูกต่อๆ กัน ชายผ้าข้างหนึ่งผูกไว้กับหน้าต่างส่วนอีกข้างหย่อนลงไปถึงพื้นชั้นล่าง
“แพรว!! โอยยย หนีไปซะแล้ว ทำไมทำแบบนี้”
อนงค์หน้ามืดจึงทรุดลงนั่งด้วยความกลัดกลุ้ม
“มันเรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรกันนักหนา ถึงกับต้องทำกันถึงขนาดนี้”
แพรววิ่งเข้ามาจนชนเข้ากับไทที่กำลังจะออกไปพอดี
“ไท!”
“ทำไมมาเอาป่านนี้ มัวทำอะไรอยู่”
“ก็แม่ฉันน่ะสิ ขังฉันไว้ในห้อง กว่าจะปีนออกมาได้แทบตาย รีบไปหาพ่อปู่กันเถอะ”
“ไม่ต้องแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
“พ่อปู่เข้าสมาธิไปแล้ว”
“แล้วเรื่องนั้น พ่อปู่ว่ายังไงบ้าง” แพรวถาม
แพรวมีสีหน้าประหลาดใจ
“มีณาณพิเศษ….เหมือนสัมผัสพิเศษ คนเห็นผีงั้นเหรอ?” แพรวถาม
“ก็คงทำนองนั้น พ่อปู่บอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนทำให้ความลับของเราเปิดเผย” ไทบอก
“แล้วบอกรึเปล่าว่าเราต้องทำยังไง”
“ท่านกำลังนั่งทางในตรวจดูให้อยู่ นับว่ายังโชคดีนะที่เมื่อคืนเรายังไม่ได้ลงมือ ไม่อย่างนั้นป่านนั้นเรื่องมันอาจจะบานปลายไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้”
“ฉันว่าเราต้องหาตัวผู้หญิงคนนั้นได้พบ”
“เพื่ออะไร”
“ใครเป็นภัยต่อเรา เราก็ต้องจัดการ”
“นี่แกจะบ้าเหรอ จะให้ฉันฆ่าคนอีกรึไง”
“ฉันไม่ได้บ้า แต่ถ้ามันจำเป็น ไม่มีทางเลือก มันก็ต้องทำ”
“ฉันว่าเราไปปรึกษาพ่อปู่ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งด่วนคิดอะไรไปเองเลย เดี๋ยวจะซวยไปกันใหญ่”
แพรวนิ่งเงียบ แววตาของเธอฉายแววร้ายกาจ
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
พริ้วยืนทำใจอยู่ที่หน้าห้องณรา
“เอายังไงดีนะ จะสารภาพดีเหรอ”
พริ้วลังเล เธอยกมือขึ้นจะเคาะประตูหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เคาะ
“หรือมั่วๆ ต่อไป”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดผ่าง
“ว้าย” พริ้วยกมือปิดหน้าด้วยความตกใจ
“ตกใจอะไรของคุณ” ณรา
พริ้วพยายามตั้งตัวปรับสีหน้าใหม่
“ปพ เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย”
“ผมว่าไม่นิดหน่อยแน่ ดูหน้าคุณสิ ซีดยังไก่ต้ม อย่าบอกนะว่าคุณจะเป็นลมอีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“ให้ผมพาคุณไปโรงพยาบาลดีกว่า”
ณราจะเข้ามาจับตัวพริ้ว แต่พริ้วปัดมือณราออก
“เอ๊ะ คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง ฉันบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรก็ไม่ได้เป็นสิ”
“อย่าดื้อน่า” ณราพยายามจับตัวพริ้วไว้
“ปล่อยฉันนะ” พริ้วดิ้นรนขัดขืน
“เอ๊ะ คุณนี่ อย่าดิ้นสิ ผมหวังดีกับคุณนะ”
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
พริ้วสะบัดตัวหลุดออกมาแล้วผลักอกณราออกไป
“อย่ามายุ่ง!”
พริ้วทำลงไปแล้วก็รู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองพลั้งมือทำเกินไป ณรามองหน้าพริ้วโดยในใจลึกๆ ก็รู้สึกผิดหวัง
“ผมขอโทษ ผมก็แค่เป็นห่วง ไม่คิดว่าคุณจะรังเกียจผมถึงขนาดนี้ขอโทษนะครับ”
ณราจะกลับเข้าห้องแต่พริ้วที่รู้สึกผิดดึงชายเสื้อไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ณราชะงักไป พริ้วนิ่งไปครู่นึงก่อนจะตัดสินใจพูด
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ”
ณราหันกลับมา
“คุณไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ครับ”
“คือว่าฉัน….เอ่อ…. คือฉัน…”
“มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ ผมโกรธคุณไม่ลงหรอก” ณราบอก
พริ้วหน้าแดงร้อนวูบขึ้นมาทันที ใจของเธอเต้นแรงรัว เธอเหลือบตาขึ้นมองณราโดยในใจไม่อยากให้ณราโกรธเลยตัดสินใจไม่สารภาพ
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
โทรศัพท์ที่โต๊ะพริ้วดัง
“ขอตัวก่อนนะคะ”
พริ้วรีบเดินหนีไป ณรามองตามด้วยสายตาเอ็นดู
แพรวเดินมาถึงโรงละคร คนอื่นๆ ที่ซ้อมอยู่หยุดแล้วหันไปมองแพรวเป็นตาเดียว
“ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”
“ฉันมีธุระ”
“ธุระที่สำคัญกว่างานอย่างนั้นเหรอ”
แพรวอึ้งๆ ไปเพราะเถียงไม่ออก ทุกคนมองมาที่แพรวด้วยสายตาตำหนิ แพรวอึดอัดจึงรีบเดินเข้าไปด้านใน
แพรวเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว
“บ้าที่สุดเลย น่ารำคาญ! งี่เง่ากันทั้งโรง”
ผู้กำกับเปิดประตูเข้ามา แพรวสะดุ้งแล้วหันไปมอง
“ถ้าจะตามมาด่าฉันล่ะก็ เชิญเลย เอาเลย ด่าซะให้พอ” แพรวว่า
“ผมไม่ได้มาด่า ผมแค่จะมาบอกว่า ต่อไปนี้ คุณไม่ต้องมาซ้อมละครของผมแล้ว”
“ทำไม พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“ผมสังเกตมาสักพักแล้วว่าคุณไม่มีสมาธิกับการทำงานเลย ไหนยังผิดนัดซ้อม มาสาย จำบทไม่ได้ ในเมื่อคุณไม่ใส่ใจจะทำ ก็ไม่ต้องทำ”
“จะไล่ฉันออกงั้นเหรอ”
“ผมไม่มีทางเลือก คุณบังคับให้ผมต้องทำแบบนี้”
ผู้กำกับพูดจบก็เดินออกไป แพรวโกรธมาก
“ไอ้บ้า!! ไอ้ทุเรศ!” แพรวขว้างปาข้าวของลงพื้นแล้วก็กรี๊ดออกมาด้วยความโกรธ
เฟยกำลังคุยโทรศัพท์กับพริ้ว
“ลื้อว่ายังไงนะอาพริ้ว จะให้อั๊วเข้าไปหาที่ลื้อที่โรงแรมงั้นเหรอ แล้วจะให้อั๊วเข้าไปทำไม”
“มาก่อนเถอะน่าป๊า เดี๋ยวค่อยคุยกัน ป๊ารีบออกมาเลยนะ ฉันจะรอ แค่นี้ก่อนนะป๊า”
“เดี๋ยวสิอาพริ้ว”
เสียงสัญญาณหลุดดังขึ้น เฟยทำหน้างงๆ
“ทำไมต้องรีบๆ ลนๆ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ”
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
แพรวกลับมาถึงบ้านจนเจอกับอนงค์
“มาแล้ว”
อนงค์รีบลุกไปหา
“ทำไมถึงทำแบบนี้ บอกแม่มาซิ”
“อย่าหาเรื่องได้ไหมแม่ ฉันยิ่งเครียดๆ อยู่นะ”
“ก็แล้วมันเครียดเรื่องอะไร พูดมาสิ”
“เอ๊ะ บอกว่าอย่ามายุ่ง”
“จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ฉันเป็นแม่แกนะ ถึงขนาดปีนบ้านหนีขนาดนั้น มันมีเหตุมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนา ถึงต้องทำแบบนั้น บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”
“หยุดได้แล้วแม่ ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เพราะต่อให้แม่ถามยังไง ฉันก็ไม่มีวันพูดหรอก”
“ทำไม มันเป็นความลับอะไรนักหนา”
แพรวไม่สนใจตอบ เธอเดินขึ้นบันไดไป
“เดี๋ยวสิแพรว แพรว”
แพรวหันกลับมามองแม่
“แล้วถ้าแม่คิดจะขังฉันอีกล่ะก็ ฉันจะไม่กลับมาบ้านนี้อีกเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”
แพรวเดินเข้าห้องไป อนงค์มองตามไปด้วยสายตากังวลสุดๆ
แพรวปิดประตูแล้วเดินหน้าเครียดเข้ามานั่งลงบนเตียง
“ตกงานจนได้สิเรา….มันจะซวยอะไรกันนักหนานะ”
แพรวทั้งเครียดทั้งโกรธ
พริ้วมารอเฟย สักพักเฟยก็เดินเข้ามา
“ทางนี้จ้ะป๊า”
เฟยเดินไปหาพริ้ว
“ตกลงมันมีเรื่องอะไรกัน บอกป๊ามาให้ละเอียดซิ”
“ถ้าบอกแล้ว ป๊าอย่าโกรธฉันนะ”
หลังจากรู้เรื่องจากปากพริ้ว เฟยก็มีท่าทางตกใจมาก
“อะไรนะ ลื้อไปโกหกเขาว่าเป็นซินแสงั้นเหรอ!!ทำไมลื้อทำอย่างนี้อาพริ้ว”
“โธ่ ป๊า ก็ตอนนั้นฉันตกงานอยู่ เงินก็ไม่มี ฉันก็เลยทำไปเพราะอยากได้เงินน่ะ ป๊าอย่าโกรธฉันเลยนะ นะ นะ ป๊านะ”
“จะไม่ให้โกรธได้ยังไง ของแบบนี้มันมีศิษย์มีครู ไม่ใช่ของที่จะมาทำเล่นๆ หลอกชาวบ้านเขาไปมั่วๆ”
“ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรหรอกจ้ะป๊า พอไปถึงที่ดินตรงนั้นทีไร ฉันก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็หมดสติทุกที”
“หมดสติ?”
“ใช่จ้ะป๊า มันเหมือนมีพลังงานบางอย่างกระแทกเข้ากลางหน้าอก ฉันทนไม่ไหวก็เลยหมดสติไปทุกครั้ง”
เฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“ท่าจะไม่ดีแล้ว มันที่ไหนกัน”
“ที่ตรงนั้นเคยเป็นโรงละครเก่า โดนไฟไหม้จนเหลือแต่ซากน่ะจ้ะป๊า”
“โรงละคร”
“มีอะไรเหรอจ้ะป๊า”
“ต่อไปนี้ห้ามลื้อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ตรงนั้นอีกเป็นอันขาด เข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะจ้ะป๊า”
“ไม่ต้องถาม สิ่งที่ตาไม่เห็น ใช่มันจะไม่มีอยู่จริงๆ แล้วถ้าสิ่งนั้นมันทำร้ายลื้อ ลื้อก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก เข้าใจไหม”
“จ้ะป๊า แต่ป๊าห้ามบอกเจ้านายฉันนะว่าฉันเป็นลูกป๊า แล้วก็เป็นซินแสตัวปลอม อย่าบอกเขาเชียวนะป๊า”
“ทำไม? ทำไมลื้อต้องปิดบังเขาด้วย”
“ก็ฉันไม่อยากให้เขาโกรธฉันน่ะ ดีไม่ดี เขาจะไล่ฉันออกจากงาน ฉันไม่อยากตกงานนะป๊า”
“โอเค ๆ ไบอกก็ไม่บอก แต่ห้ามลื้อทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม”
“จ้ะป๊า”
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 10 (ต่อ)
พริ้วแนะนำเฟยให้กับณรา
“ซินแสเฟยมาถึงแล้วค่ะ”
“สวัสดีครับ”
เฟยก้มหัวทักทาย
“บ่ายนี้คิวคุณว่างทั้งบ่าย จะไปดูที่เลยไหมคะ” พริ้วถาม
“ก็ดีเหมือนกัน ผมใจร้อน อยากได้ที่ผืนนั้นจะแย่อยู่แล้ว” ณราหันไปบอกพริ้ว “คุณก็ไปด้วยนะ”
“เอ่อ….ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะคะ”
“ผมอยากให้ไป”
พริ้วสบตาเฟยเพื่อถามว่าจะเอายังไงดี
“เจ้านายเขาสั่งว่ายังไงก็ทำไปอย่างนั้นเถอะ อย่าไปขัดคำสั่งเขาเลย” เฟยบอก
“แต่ว่า….”
“ไม่ต้องกลัว อั๊วไปด้วย อั๊วไม่ปล่อยให้ลื้อเป็นอะไรไปได้หรอก”
พ่อปู่ที่นั่งสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้นด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“มึงอย่าคิดจะได้เข้ามาเหยียบในเขตมนต์กู!”
ณราขับรถโดยมีพริ้วนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเฟยนั่งอยู่ด้านหลัง
“ทำไมต้องให้ฉันมาด้วยในเมื่อท่านซินแสเฟยก็มาแล้ว”
“คุณเป็นเลขาผม ถ้าเป็นเรื่องงาน ผมไปไหน คุณก็มีหน้าที่ต้องไปด้วย”
“แต่ว่า…” พริ้วพูดแทรกขึ้น
“ไม่มีแต่ ผมเป็นเจ้านายคุณนะ ผมสั่งคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น”
พริ้วถอนหายใจแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“คนบ้าอำนาจ”
“คุณว่าใคร”
“ฉันจะกล้าไปว่าอะไรคุณได้ ฉันมันเป็นแค่เลขา เป็นลูกจ้างของคุณ”
“หรือคุณอยากเป็นมากกว่านั้น” ณราถาม
“นี่คุณพูดอะไร พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
เฟยที่นั่งเบาะหลังมีท่าทางกังวลที่เห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตรงหน้า
พริ้วถามย้ำ “บอกมาสิว่าคุณหมายว่ายังไง บอกมา”
ทันใดนั้นหมอกดำก็เข้ามาปกคลุมรถไว้ทั้งคัน รถที่แล่นมาอีกด้านหักเลี้ยวเพราะคนขับมองไม่เห็นรถของณราเนื่องจากหมอกดำมาอำพราง แต่ณราเห็น
เฟยร้องเตือน “ระวัง!!”
ณราตกใจ “เฮ้ยย!”
ณราหักรถอย่างแรงทำให้รถพุ่งเข้าชนกับรถอีกคันเสียงดังสนั่น ทุกอย่างดับวูบลง
พ่อปู่มีสีหน้าสาแก่ใจ
“หึ…จบสิ้นกันทีไอ้พวกสู่รู้!!”
หมอกดำค่อยๆ สลายตัวไป พริ้วที่นอนหมดสติอยู่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงณราเรียกเบาๆ
"พริ้วครับ พริ้ว พริ้ว ฟื้นสิครับ พริ้ว"
พริ้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นณราอยู่ตรงหน้า พริ้วพยายามรวบรวมสติ
"คุณฟื้นแล้ว คุณเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม"
พริ้วส่ายหน้าก่อนพยายามเอี้ยวคอไปมองที่เบาะหลัง เฟยที่มีเลือดออกฟุบอยู่บนเกาะ
"ป๊า!!”
ณรามองพริ้วที่เปิดประตูรถลงไปอย่างงงๆ พริ้วเขย่าเรียกเฟย
พริ้วร้องไห้โฮ "ป๊าๆๆ"
ณราพึมพำ "ป๊า”
เวลาผ่านไป เฟยอยู่บนเตียงพยาบาลที่กำลังถูกเข็นไปยังห้องฉุกเฉิน พริ้วกับณราวิ่งตามมา
โดยที่พริ้วร้องไห้โฮมาตลอด
"ป๊า ป๊าอย่าเป็นอะไรไปนะ อดทนไว้นะป๊า อย่าทิ้งหนูไปนะ"
เฟยถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
"ป๊า!”
พริ้วจะตามเข้าไปแต่ณราดึงตัวเธอไว้
"พริ้ว ทำใจดีๆ ไว้"
ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง พริ้วร้องไห้โฮแล้วหันมากอดณรา ณรากอดตอบก่อนจะลูบหัวพริ้วเพื่อปลอบใจ
"ทำใจดีๆ ไว้ครับ ท่านต้องไม่เป็นอะไร ท่านต้องปลอดภัย"
อีกาดำบินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างห้อง แพรวเหลือบไปเห็นก็ตกใจ
"พ่อปู่"
แพรวกับไทนั่งอยู่ตรงหน้าพ่อปู่
"กูจัดการได้พวกฉิบหายที่แส่หาเรื่องเข้ามาในเขตอาคมกูแล้ว มันคงทำอะไรไม่ได้ไปอีกนาน โอกาสเหมาะที่กูจะเข้าไปจัดการกับซากอีผีเน่านั่น"
"พ่อปู่จะไปเองเหรอจ้ะ"
"กูไม่ไว้ใจพวกมึง" พ่อปู่ชี้หน้าแพรว "แล้วถ้ามึงไม่ได้เป็นสายเลือดกู กูไม่แส่เอาตัวเองเข้าไปสอดแน่ แต่นี่เพราะเห็นแก่มึง กูถึงจะลงมือทำให้เอง"
แพรวรีบยกมือไหว้พ่อปู่
"ขอบพระคุณมากจ้ะพ่อปู่"
"คืนนี้มึงสองคนไปดูต้นทางให้กู ได้ฤกษ์ชั่วแล้ว กูจะลงมือ"
"ให้ผมช่วยดีกว่าไหมพ่อปู่" ไทเสนอตัว
"มึงไม่ต้องเสือก กูไม่ได้จะขุดศพมัน แต่กูมีวิธีอื่น"
"วิธีอื่น…วิธีอะไรจ้ะ" แพรวถาม
"มนต์ดำอำพรางจะซ่อนซากมันไว้ใต้ดิน ไม่มีใครมองเห็นได้ กูจะลงมนต์ใส่มัน ให้มันลับหูลับตาผู้คนตลอดไป"
แพรวกับไทมองหน้ากันด้วยความโล่งอก
อ่านต่อตอนที่ 11