เรือนริษยา ตอนที่ 10
กฤตพนธ์เดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ภานุ ยกหัวออกจากกองเอกสาร
"เจอคุณนันทนัชมั้ย"
กฤตพนธ์พยักหน้ารับ
"เจอ...แล้วทำไมยังทำหน้าเครียดอยู่ล่ะ น่าจะดีใจนะครับที่เธอยังอยู่"
เขามองเขม็งว่าภานุจะพูดอะไรต่อ
"ดี...แหม อย่าสิเครียดคร๊าบ ท่านผู้พัน คุณนันเธอดวงแข็งจะตาย คงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก"
"ชั้นก็ภาวนาให้เค้าโชคดีแบบที่ผ่านมาบ่อยๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าให้มีใครหรือ อะไรมาทำร้ายเธออีกเลย ชั้นกลัวว่าครั้งต่อไป ชั้นจะไปช่วยเธอไม่ทัน"
กฤตพนธ์ถอนใจกังวล ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงนันทนัช
"งั้นเราก็ต้องมาช่วยกัน สืบหาการตายของคุณลิตร และค้นประวัติของตระกูล ฤทธานนน์กันต่อมั้ย เผื่อจะช่วยไขคดีต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับคุณนันได้"
เขาส่ายหน้า รีบหยิบกุญแจรถ
"จะไปไหนว่ะ เอกสารยังกองเต็มโต๊ะเลย"
"จะรีบไปบอกข่าวเรื่องชันสูตรกับคุณนัน"
"อ้าว...เมื่อกี้โทรคุยกันแล้ว ทำไม่ไม่บอกเค้าไปเลยล่ะ"
"เรื่องสำคัญแบบนี้ มันต้องบอกกันตัวต่อตัวโว้ย"
ภานุหัวเราะแซว
"แหม...นี่อยากจะเจอหน้าสาว จนต้องวางแผนขนาดนี้เลยเหรอ อยากอยู่ใกล้เธอทุกนาทีแบบนี้ ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านคุณนันซะเลยสิ"
กฤตพนธ์หยอกกลับ
"ถ้ามีโอกาสทำได้ ชั้นก็จะทำโว้ย"
เขาเดินหัวเราะอารมณ์ดีออกไป ภานุมองตามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
"นี่แกเอาจริงเหรอวะไอ้กฤต"
ร้านกาแฟโบราณ นันทนัชลงนั่งข้างๆ ทิพย์เห็นภาพซ้อนลางๆของลิตร ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของนันทนัช
ทิพย์เอื้อมมือมาจับใบหน้าของนันทนัชอย่างรักใคร่
"คุณนันน่ะ ได้โครงหน้าที่สวย หวานมาจากคุณรำเพย แต่นิสัยใจคอน่ะ ถอดแบบมาจากคุณลิตรชัดๆ รวมทั้งรอยยิ้มมีเสน่ห์ ที่เอาชนะใจได้หมดทุกคน บนโลกใบนี้"
นันทนัช ยิ้ม
ในอดีต เวลาเช้าตรู่ ลิตรออกมายืนดักรอรำเพยที่หน้าประตู เขาหลบไปยืนหลังพุ่มไม้ เห็นรำเพยเดินคุยอย่างสนิทสนมมากับนวล เขามองรำเพยมองอย่างหลงใหล อยากจะออกไปปรากฎตัว แต่ติดที่มีนวลอยู่ด้วย แต่เหมือนโชคชะตาเข้าข้าง ป้านวลอุทานเสียงดัง
"อ้าว...แล้วกัน ป้าลืมหยิบซองที่คุณเรไรฝากทำบุญมาด้วย แหมดูสิ แก่จนหลงๆ ลืมๆ หมดแล้ว" นวลบ่นว่าตัวเองพึมพำ
รำเพยหัวเราะขำ ยิ่งดูสวยสดใส
"คุณรำเพย รอแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวป้ารีบมา"
"จ้ะป้า ค่อยๆเดินก็ได้นะ แล้วก็อย่าลืมล่ะว่าต้องกลับมาใส่บาตรน่ะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้แก่มาก จนหลงๆลืมๆแล้ว"
นวลตีแขนรำเพยเบาๆ อย่างเอ็นดู
"แหม คุณรำเพยนี่ มาแซวป้า"
นวลเดินหัวเราะคิกคักออกไป
รำเพยหัวเราะตามหลัง แล้วหันกลับไปจัดอาหารสำหรับใส่บาตรต่อ ลิตรได้ทีค่อยๆย่องออกมายืน มองจากด้านหลังของรำเพยอย่างไม่วางตา รำเพยรู้สึกได้ว่ามีคนมอง คิดว่า ป้านวล กลับมาแล้ว พูดทั้งๆที่ยังไม่หันมามอง
"มาเร็วจังเลยจ้ะป้า นี่แอบวิ่งไปใช่มั้ยเนี่ย"
เสียงอ่อนโยนแสนไพเราะของรำเพย ทำให้ลิตรแทบคลั่ง จนอยากจะเข้าไปแสดงความรู้สึกของตัวเองให้รำเพยรู้
รำเพยไม่ได้ยินเสียงตอบ เลยหันกลับมาดู ลิตรยืนยิ้มหน้าชื่น มองอย่างหลงใหล รำเพยแทบช็อก กระเถิบถอยหลัง ด้วยความตกใจ
"อุ้ย"
ลิตรเดินเข้ามาหา
"คุณรำเพยครับ ไม่ต้องตกใจครับ"
พอได้พูดกับผู้หญิงที่ตัวเองหมายปองตามลำพังเป็นครั้งแรก ลิตรเองก็นึกอะไรไม่ออก ได้แต่พูดโพล่งออกไป ด้วยท่าทางเปิ่นๆ
"ผมลิตรไงครับ จำได้ใช่มั้ยครับ"
รำเพยหายตกใจและรู้สึกขำกับท่าทางเปิ่นๆของผู้ชายตัวโตๆ แต่พยายามเก็บอาการไม่แสดงออก เธอสำรวม ระวังตัว
"จำได้สิจ๊ะ นายลิตรมาทำงานกับพี่เรไร"
ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีครั้งไหนที่ ลิตรถูกเรียกชื่อแล้ว จะมีความสุขมากขนาดนี้ เสียงเรียกชื่อที่ออกจากปากรำเพย ทำให้โลกเน่าๆของลิตร สดใสเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์
ใบหน้าหล่อเหลา ที่กำลังเคลิ้มฝันอย่างมีความสุข ทำให้หัวใจของสาวน้อยขี้อายอย่างรำเพยเต้นไม่เป็นจังหวะ
เธอกลัวใจตัวเอง จนต้องรีบถอยออกมาจากการสนทนา ด้วยการกลับไปยุ่งกับอาหารถวายพระต่อ
ท่าทางของรำเพยนั้นเดาได้ง่าย จนผู้ชายเจ้าชู้รอบจัดแบบลิตร รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ ลิตรเดินเข้าไปยืนข้างๆรำเพยอย่างจงใจ
"ผมช่วยครับ คุณรำเพย"
รำเพยตกใจ ไม่คิดว่าลิตรจะเข้าใกล้ขนาดนี้
"คุณรำเพยออกมาใส่บาตรทุกเช้าเลยนะครับ จิตใจคุณช่างสูงส่ง เหมือนใบหน้าที่งดงาม สดใส เหมือนนางฟ้าของคุณเลยนะครับ คุณอยู่ที่ไหน คนที่อยู่ใกล้ก็รู้สึกสุขใจ เหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์"
ทั้งคำพูด ความใกล้ชิด และหน้าตาอันคมคายของลิตร ทำให้รำเพยตื่นเต้น หวั่นไหว ใจเต้นแรง จนแทบจะประคองตัวเองไม่อยู่ ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก เสียงของนวลก็ดังขึ้นทำลาย บรรยากาศทั้งหมดลงอีกครั้ง
"มาแล้วค่าคุณรำเพย พระท่านมาหรือยังค่ะ"
ลิตรรีบกระเถิบออกห่างจากรำเพย เธอแอบถอนใจเฮือกใหญ่ นวลชะงัก เมื่อเห็นลิตร
"อ้าว...พ่อลิตร มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ ชิดเค้าตามหาอยู่ อีกเดี๋ยวคุณเรไรก็จะลงมาแล้ว จะได้รีบออกทำงาน ไป ไปรอเธอที่รถสิ"
ลิตรพยักหน้ารับ แล้วรีบเดินตรงเข้าไปในบ้าน รำเพยเอามือกุมหน้าอกตัวเอง เพราะกลัวว่าใครจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
บรรยากาศตลาดในตอนเช้า เรไรเดินเข้ามา พร้อมลิตรและชิด ชาวบ้านที่มารอจ่ายดอกกับกู้เงิน แหวกทางให้เรไรเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะ ลิตรเดินตามด้วยความรู้สึกผยองที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น เขาไปยืนข้างเรไร ชิดยังยืนระแวดระวังอยู่ในระยะเท่าเดิม ชาวบ้าน เอาเงินมาจ่ายดอกให้ เธอยื่นเงินให้ลิตรเก็บใส่กระเป๋า
ลิตรรับเงินมาด้วยแววตาละโมบ และเอาเงินใส่กระเป๋าให้เรไรด้วยความเสียดาย
ทิพย์กับแม่เดินผ่านมา ทิพย์มองเห็นลิตร ก็ดีใจ จนเผลอตะโกนเรียก
"พี่ลิตร พี่ลิตร"
เรไรมองตาม เห็นเด็กสาวหน้าตาสวยคม มาทักทายก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ ทิพย์โบกไม้โบกมือให้ เหมือนเด็กๆ
"ทางนี้ พี่ ทางนี้"
แม่ทิพย์เดินออกมาทันเห็นทิพย์ตะโกนเรียกลั่นตลาด ก็เดินเข้าไปฟาดทิพย์ที่ต้นแขนอย่างแรง
"โอ้ย....เจ็บนะแม่"
"เจ็บเหมือนกันเหรอ คิดว่าหน้าด้านหน้าทน จนไม่รู้สึกแล้ว ยืนตะโกนเรียกผู้ชายลั่นตลาด ไม่รู้จักมียางอาย"
ลิตรยืนเฉยๆ ไม่สนใจ แม่ทิพย์เดินลากทิพย์ออกไป ท่ามกลางสายตาของคนทั้งตลาด
"ไป กลับบ้าน"
"แม่"
ทิพย์ทั้งเจ็บทั้งอาย หันมามองลิตร จนลับตา เรไร หันมามองลิตรแล้วพูดเบาๆ ได้ยินกันแค่ สองคน
"ใครน่ะลิตร"
"อ๋อ...คนรู้จักน่ะครับ"
"รู้จักดีขนาดไหน"
ลิตรหัวเราะแบบไม่ได้ใส่ใจ โน้มตัวลงมาพูดข้างหูเรไร
"ก็แค่เด็กแถวบ้านน่ะครับ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้สนิทกันมากมายอะไรหรอกครับ"
เรไรยิ้มมีความหมาย
"เป็นแค่นั้นก็ดีแล้ว ชั้นเป็นห่วง เพราะคนหน้าตาดีแบบลิตร คงจะมีผู้หญิงมาติดพันไม่น้อย แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของผู้หญิงก็คือเวลาที่ผู้หญิงโกรธเพราะความหึงหวง ถ้าผู้หญิงแค่คนเดียว ลิตรก็คงจะจัดการได้ แต่ถ้ามีผู้หญิงหลายคน พี่ว่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะจัดการให้มันลงตัว ลิตรว่ามั้ย"
ลิตรยิ้ม เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น
"ครับ ผมจะจำคำพูดพี่เรไรเอาไว้ แล้วตอนนี้ผมเองก็ไม่มีตาจะไปมองใครหรอกครับ ตอนนี้ผมปักใจมั่นอยู่ที่ผู้หญิงคนเดียวแล้วครับ"
เรไรยิ้มเขิน เพราะคิดว่าลิตรพูดถึงตัวเอง ลิตรขยับตัวยืนตรง เหม่อมองไปไกล เหมือนจะส่งใจ ไปถึงผู้หญิงที่ตัวเองปักใจ
รำเพยนั่งปักเสื้ออยู่ในศาลานั่งเล่นในสวน แต่สายตาเหม่อลอยไปไกล คิดถึงคำพูดของลิตร
"คุณรำเพยออกมาใส่บาตรทุกเช้าเลยนะครับ จิตใจคุณช่างสูงส่ง เหมือนใบหน้าที่งดงาม สดใส เหมือนนางฟ้าของคุณเลยนะครับ คุณอยู่ที่ไหน คนที่อยู่ใกล้ก็รู้สึกสุขใจ เหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์"
ทั้งคำพูด ความใกล้ชิด และหน้าตาอันคมคายของลิตร ทำให้รำเพยตื่นเต้น หวั่นไหว ใจเต้นแรง จนแทบจะประคองตัวเองไม่อยู่
รำเพย มัวแต่คิดเรื่องของลิตร จนเผลอทำเข็มเย็บผ้าในมือ เกี่ยวโดนนิ้วตัวเอง
"อุ๊ย"
รำเพยมองเลือดในมือด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ที่มัวแต่นั่งคิดถึงผู้ชาย จนทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองแบบนี้
บรรยากาศด้านนอกตลาด แดดเริ่มแรง ผู้คนที่มาจับจ่ายในตลาดเริ่มบางตา เรไรนั่งคิดเงิน รับเงิน จนเริ่มเหนื่อย เหงื่อเม็ดเล็กๆจับอยู่ที่ตีนผม และหน้าผาก ลิตรเห็น ก็รีบหยิบกระดาษเช็ดหน้า ในกระเป๋าส่งให้อย่างเอาใจ เรไรหันมายิ้ม
ลิตรหากระดาษแข็งๆมาพัดให้ แล้วหันไปบอกชิด
"ชิด ไปหาซื้อน้ำเย็นๆมาให้พี่เรไรหน่อยสิ"
ชิดมองหน้าลิตรแอบไม่พอใจที่ลิตรมาออกคำสั่ง แต่เห็นหน้าเรไรว่าเหนื่อยจริงๆ เลยตัดสินใจเดินออกไป ตามคำสั่งลิตร
ลูกหนี้หญิงบอก
"แหม....รู้งาน ช่างเอาอกเอาใจเจ้านายจังเลยนะพ่อคุณ คุณนายเรไรนี่โชคดีจริงๆเลยนะจ้ะ ที่มีลูกน้องเก่งๆแบบนี้"
ลิตรทำหน้าตาจริงจัง เอาการเอางาน เรไรยิ้มหน้าบาน
บ้านทิพย์เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่เก็บกวาดไว้สะอาดเรียบร้อย ทิพย์วางตะกร้าใส่ของลงบนโต๊ะอย่างแรง เพื่อระบายอารมณ์โกรธ แม่เดินตามเข้ามา
"ให้มันเบาๆหน่อยนังทิพย์ ข้าวของกูพังหมด"
ทิพย์หน้างอ ไม่สนใจ พ่อเลี้ยงหน้าแดง ยังไม่สร่างเมาเดินออกมา
"อะไรกันอีกล่ะแม่มึง เสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกันอีกแล้ว"
"ก็จะอะไรล่ะ ก็อีนังลูกสาวคนดีของเอ็งไง เห็นผู้ชายเข้าหน่อย ทำท่าระริกกระดิก กระดี้จะเข้าไปหาท่าเดียว กูเห็นแล้วกูอายคนเหลือเกิน"
"แม่...แม่ก็พูดเกินไปนะ ชั้นไปกระดิกกระดี้อะไรของแม่ ชั้นแค่ทักคนรู้จัก ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน"
"เสียหายสิวะ เสียหายและก็ฉิบหายแน่ๆ ถ้าเอ็งยังมัวแต่ไปให้ท่า ผู้ชายหน้าตัวเมียอย่างไอ้ลิตร"
ทิพย์โกรธที่แม่ด่าลิตรแรงๆ
"แม่...พี่ลิตรเค้าเกี่ยวอะไรด้วย เค้าทำอะไรแม่เหรอ ถึงได้จงเกลียดจงชังเค้านัก"
"มันยังไม่เกี่ยว และไม่เข้ามาเกี่ยวน่ะดีแล้ว เป็นบุญของเอ็งที่สุดแล้ว เอ็งจะรักจะชอบใครน่ะ ก็ดูหน่อยนะนังทิพย์ เลือกผู้ชายที่มันได้เรื่องได้ราวหน่อย ไม่ใช่ดีแต่หน้าตา แต่นิสัยเลว สันดานหยาบ ยิ่งกว่ากุ๊ยข้างถนน"
ทิพย์ฉุนขาด มองหน้าแม่ มองหน้าพ่อเลี้ยง แล้วหัวเราะดูถูก
"เหอะ...เหมือนที่แม่เคยโง่ เลือกผัวเฮงซวยมาน่ะเหรอ"
แม่โมโหเดือดที่ทิพย์พูดแทงใจดำ จนระระงับอารมณ์ไม่อยู่ ซัดฝ่ามือเข้าไปที่หน้าทิพย์ฉาดใหญ่
"นี่แน่ะอีทิพย์ อีทรพี มึงด่ากูเหรอ"
ทิพย์กระเด็นลงไปกองที่พื้น
ทิพย์โกรธ เสียใจ เจ็บ แค้น
"แม่"
พ่อเลี้ยงได้ที รีบลงไปประคองทิพย์
"โถ....ทิพย์ เป็นไงมั้งลูก"
ทิพย์สะดุ้ง เมื่อมือของพ่อเลี้ยงมาโดนตัว เปะป่ายไปตามร่างกายของทิพย์ในส่วนที่ไม่สมควร ด้วยความตั้งใจ
หน้าของพ่อเลี้ยง คลออยู่ที่แก้มเนียนใสของทิพย์ ทิพย์ขยะแขยงจนไม่ไหว
"อย่ามายุ่งกับกู ไอ้ขี้เมา"
ทิพย์ผลักพ่อเลี้ยงที่ไม่ทันตั้งตัว จนล้มคว่ำไม่เป็นท่า
"เฮ้ย...อีทิพย์ อีเปรตนี่ เดี๋ยวเถอะมึง"
ทิพย์รีบวิ่งเข้าห้อง ล๊อกประตู เสียงพ่อเลี้ยงตะโกนด่า ยังดังตามเข้ามา ทิพย์ทรุดลงนั่งหมดแรง น้ำตาร่วง ด้วยความรู้สึก เจ็บแค้น กับชีวิตที่อัปยศของตัวเอง
หลายช่วงเวลาที่เรไร ลิตร ชิด ออกมาเก็บเงินค่าเช่าที่นา ชาวบ้านดูรักใคร่ และเกรงใจเรไร, ทั้งสามคนออกไล่ที่ ตาคงอดีตเจ้าของที่นอนเมาหลับ เละเทะ เรไรให้ลิตร ชิด กับคนงานที่โรงสี มาแบกออกไปวางที่อื่น, เรไร ลิตร ชิด มาเก็บเงินที่คิวรถ ลิตรพยายามดูแลเอาใจเรไรจนออกนอกหน้า เช่นกางร่มให้ พัดให้ ฯลฯ, ลิตร พยามยามเดินตามคอยเอาใจเรไร เวลาที่เรไรมาทำงานที่โรงสี แต่ทุกที่จะมีชิด คอยเดินตามประกบตลอด ลิตรมองชิดแบบไม่ค่อยชอบใจ หาทางกำจัดชิดให้พ้นทาง, ลิตร แวะร้านขายยาในตลาด ซื้ออะไรบางอย่างหน้าตาสะใจ
ลิตร มองชิดแล้วเดินไป ทางร้านค้า พร้อมกลับออกพร้อมน้ำ 2 ขวด แล้วส่งขวดนึงให้ชิดที่รับมาแบบงงๆ
ลิตรยิ้มใสซื่อ จริงใจ ให้ชิดเลยรับไว้ ลิตรเอาน้ำอีกขวดมาให้เรไร
เรไรรับน้ำไปดื่มอย่างมีความสุข ที่มีหนุ่มหล่ออารมณ์ดี มาคอยปรนนิบัติ ชิดดื่มน้ำในขวดบ้าง ลิตรแอบยิ้ม สมใจ
เวลาเช้าตรู่ เรไรเดินวนเวียนไปมา อย่างหงุดหงิด เรไรหัวเสีย เสียงดัง
"ตกลงยังไงกัน ชิดมันเป็นอะไร ทำไมป่านนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องอีก"
รำเพยนั่งหงอ กลัวฤทธิ์เรไร นวลกับเด็กรับใช้ วิ่งหัวซุนเข้ามา
"มาแล้วค่า...คุณเรไร" ป้านวลนั่งหอบแล้วว่า "โอ้ย เหนื่อย จะเป็นลม"
"ตกลง ชิดเป็นอะไร ทำไมป่านนี้ยังไม่เอารถรับชั้น"
นวลหอบ อ้าปากจะพูด แล้วก็หอบหายใจ "เอ้อ"
เรไรรำคาญ
"โอ้ย...ไปนอนพะงาบๆที่อื่นเลยไป" แล้วหันมาถามสาวใช้ "นังแก้ว ไอ้ชิดมันเป็นอะไร"
"พี่ชิด เค้าท้องร่วงค่ะ นอนตัวซีด หมดแรง อยู่ในห้องค่ะ" แก้วว่า
เรไรตกใจกับอาการของชิด จนหายโกรธ
"อ้าว แล้วนี่ใครไปตามหมอมารึยัง"
"ไปตามแล้วค่ะ"
เรไรโล่งใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นอารมณ์เสีย กระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
"โอ้ย....แล้วนี่ชั้นจะไปเก็บเงินยังไงเนี่ย"
ลิตรเดินเข้ามาพร้อมกับหน้าตาหล่อเหลา และรอยยิ้มสดใส รำเพยแอบมอง
ลิตรโปรยยิ้มไปทั่ว เรไรอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
"อ้าว...ลิตร ทำไมมาถึงนี่ล่ะ"
"พอดีผมเห็นว่าสายแล้ว ผิดเวลากว่าทุกวัน ก็เลยมาดูว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า"
"โอ้ย ก็มีสิ ชิดนั่นไง ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา ท้องเสียจนตัวซีด ตัวเหลือง ลุกไม่ได้ นอนจมอยู่ในห้อง เดือดร้อนถึงกับต้องตามหมอมาดูอาการกันอยู่เนี่ยะ"
ลิตรยิ้มมุมปาก พลางนึกย้อน ที่เขาแอบเอายาถ่ายเทใส่ขวดน้ำ รอจนยาละลายหมด แล้วเดินกลับมาพร้อมน้ำ 2 ขวด แล้วส่งขวดนึงให้ชิดที่รับไปดื่ม อีกขวดให้เรไรที่รับน้ำไปดื่มอย่างมีความสุข ที่มีหนุ่มหล่ออารมณ์ดี มาคอยปรนนิบัติ
ลิตรทำหน้าใส ซื่อ เอาการ เอางาน
"แล้วพี่เรไรจะไปเก็บเงินยังไงครับเนี่ย"
เรไร ถอนใจอย่างเซ็งๆ
"ก็ต้องหยุดละมั้ง ไม่มีใครขับรถให้แล้วนี่"
ลิตรยิ้มเข้าแผน
"ถ้าแค่เรื่องขับรถ ผมทำให้แทนชิดก็ได้ครับ ผมขับรถเป็น"
เรไรแปลกใจ ปนดีใจ
"จริงเหรอ งั้นก็ดีเลย ไปๆงั้นไปกันเลย นี่ก็สายมากแล้ว"
เรไรรีบลุกเดินออกไปอย่างคล่องแคล่ว ลิตรยังอ้อยอิ่ง รอสบตาหวานๆของรำเพย
รำเพยก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตา
"เร็วๆสิลิตร ไปได้แล้ว พี่ไม่อยากไปสายกว่านี้"
ลิตรจำใจต้องรีบเดินตามเรไรออกไป รำเพยมองตาม ด้วยความรู้สึกสับสน
เวลาบ่าย ลิตรเดินถือร่มบังแดดให้เรไรอย่างเอาใจ เรไรยิ้มสดใส ลูกหนี้ต่างมายืนคอย เขาเอาร่มใส่มือลูกหนี้คนหนึ่ง แล้ววิ่งไปยกเก้าอี้ พร้อมกับคว้าผ้ามาเช็ดให้จนสะอาด เรไรมองชื่นใจ อารมณ์ดี
เรือนริษยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เย็นวันใหม่ รถของเรไรแล่นเข้ามาจอดที่เรือนรัตนะ ลิตรวิ่งมาเปิดประตูให้ เธอเดินลงมา เท้าเหยียบลงไปในแอ่งเล็กๆที่มีโคลนนิดหน่อย เท้าของเธอ เปื้อนโคลน
"อุ๊ย"
ลิตรทำหน้าตกใจ รีบขอโทษ ขอโพย
"ผมขอโทษครับพี่เรไร ผมจอดรถไม่ดูเลย"
เรไรหัวเราะเอ็นดู
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะลิตร เปื้อนนิดเดียวเอง"
"ไม่ได้ครับพี่ มาเดี๋ยวผมเช็ดให้"
ลิตรประคองเรไรมานั่งที่หน้าบ้าน แล้วเดินไปหาผ้าสะอาดมา
"พี่เรไรรอแป๊บนึงนะครับ"
ลิตรกลับมาพร้อมผ้าในมือ และก้มลงบรรจงเช็ดเท้าที่เปื้อน เรไรสะดุ้ง อึ้ง ทำตัวไม่ถูก
"ลิตร ไม่ต้องหรอกจ้ะ อย่าทำแบบนี้เลย"
ลิตรแอบก้มหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มหล่อ เรไรหัวใจเต้นระรัว ยกมือทาบอกตัวเอง
"ไม่เป็นไรพี่เรไร พี่ดีกับผมมาตลอด ผมอยากทำอะไรตอบแทนพี่บ้างครับ"
ลิตรก้มหน้าก้มตาเช็ดเท้าให้เรไรต่อ รำเพยเดินเลี้ยวมุมบ้านออกมา พร้อมถาดใส่ดอกไม้ ลิตรค่อยลูบไปบนหลังเท้าขาว สะอาดของเรไร อย่างถนุถนอม รำเพยมองสิ่งที่ลิตรทำให้เรไร
ขณะที่เรไรยิ้มปลื้ม อย่างมีความสุข แต่รำเพย ถอยหลังหลบไป เอามือกุมหัวใจตัวเอง รู้สึกเจ็บแปล๊บ
บนโต๊ะอาหาร ตอนหัวค่ำ เรไรหยิบแก้วน้ำ ขึ้นดื่มหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนขยับตัว ช่วยกันเก็บจานชาม ลิตรเข้าไปช่วยเก็บอย่างรู้งาน
"ลิตรไม่ต้องช่วยหรอกจ้ะ ให้ป้านวลกับแม่แก้วเค้าทำกันเองเถอะ ลิตรรีบกลับไปที่โรงสีก่อนดีกว่า"
ลิตรหน้าเสีย ถูกเรไรไล่กลับ
"แล้วก็รีบเก็บข้าวของเข้ามาอยู่ที่เรือนของชิดคืนนี้เลย"
รำเพยมองเรไร อย่างแปลกใจ ลิตรหน้าบาน แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
"ต่อไปนี้ พี่จะให้ลิตรเข้ามาอยู่ที่เรือนเดียวกับชิดนะ เวลาไปทำงานจะได้สะดวกหน่อย แล้วลิตรจะได้มาทำหน้าที่ผู้ช่วยส่วนตัวของพี่ได้อย่างเต็มที่ซะที อยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ฉุกเฉินจะได้เรียกใช้สะดวกๆ จริงมั้ย"
"ครับพี่เรไร"
ลิตรยิ้มสมใจ รำเพย เงยหน้ามอง ลิตรแอบส่งยิ้มให้ รำเพยก้มหน้ากลัวลิตรเห็นสายตาที่หวั่นไหวของตัวเอง
เรไรพอใจที่ทำให้ลิตรเข้ามาอยู่ใกล้ ได้สำเร็จ
ภายในครัว ตอนเช้ามืด นวลกับแก้วช่วยกันทำอาหารเช้าสำหรับทุกคนในบ้าน และอาหารใส่บาตร
ลิตรโผล่หน้าเข้ามาในครัว พร้อมรอยยิ้ม ลิตรทำจมูก ฟุดฟิด ดมกลิ่นอาหาร
"โห...หอมจังเลยป้า วันนี้ทำอะไรน่ะ"
ป้านวลเจอลูกยอ และรอยยิ้มน่าเอ็นดูของลิตรเข้า ก็หัวเราะอารมณ์ดี แก้วแอบมองลิตรยิ้มๆ
"แหม....พ่อลิตรนี่ปากหวาน ช่างพูดจริงจิ๊ง"
นวลตักข้าวต้มน่ากินใส่ถ้วยส่งให้ลิตร
"เอ้า รางวัลของพ่อลิตร ให้ชิมก่อนใครเลยนะ"
ลิตรยิ้มแฉ่งแบบเด็กหนุ่ม รับข้าวต้มมากินอย่างเอร็ดอร่อย
"อื้ม...อร่อยจังเลยป้า ชั้นกินหลายๆชามได้มั้ยจ๊ะ"
"ได้สิ กินให้อิ่มเลย ป้าทำไว้เยอะแยะ"
"แล้วชั้นมาแย่งของคุณๆท่านกินก่อนรึเปล่าเนี่ย"
"โอ้ย...ไม่ต้องห่วงหรอก ของคุณเรไรน่ะ ป้าแยกไว้ต่างหากแล้ว"
"ทำไมของคุณเรไรคนเดียวล่ะ คุณรำเพยเธอไม่ทานเหรอ"
"คุณรำเพยเธอจะดูแลให้คุณเรไรทานก่อน เพราะคุณเรไรต้องออกไปทำงานน่ะ ตัวเธอจะทานทีหลัง"
ลิตรมองไปที่ชามโคมสีสวยหวาน ที่วางอยู่บนโต๊ะ กลางห้องครัว หน้าตาเจ้าเล่ห์
บนโต๊ะอาหาร เรไรหันมองไปรอบๆ หน้าตาพะอืดพะอม ลิตรยกถังขยะเล็กๆไปรองที่ด้านข้าง เรไรขย้อนอาหารออกจนหมดไส้ หมดพุง รำเพยนวดเฟ้น ดูแล
"คุณพี่คะ เป็นไงบ้างคะ"
ลิตรลงนั่งข้างๆรำเพยอย่างจงใจ เรไรพยายามขยับลุก แต่ลิตรห้าม
"นอนก่อนเถอะครับพี่เรไร อย่าเพ่งลุกขึ้นมาเลย ชิดกำลังไปตามหมออยู่ครับ"
เรไรลงนอนหลับตา รำเพยลูบแขนพี่สาวเบาๆ ด้วยความห่วงใย ลิตรมองมือขาวนวลของรำเพยอย่างหลงใหล
รำเพยหน้าร้อนผ่าว ทำอะไรไม่ถูก
เรไรรำพึงทั้งที่ยังหลับตาอยู่
"นี่กี่โมงแล้ว ชั้นต้องไปเก็บเงินนะ โฮ้ย....เวียนหัว"
"คุณพี่ค่ะ วันนี้งดสักวันก็ได้นะคะ คุณพี่เป็นอะไรก็ไม่รู้ อย่าเพิ่งห่วงงานเลยค่ะ ห่วงตัวเองก่อนนะคะ"
เรไรนอนฮึดฮัด ขัดใจ ลิตรขยับเข้าใกล้เรไร
"ถ้าคุณพี่เรไร เป็นห่วงเรื่องเก็บเงิน เดี๋ยวผมไปเก็บให้ก็ได้นะครับ คุณพี่นอนพักอยู่ที่นี่ดีกว่านะครับ"
เรไรเม้มปาก อย่างครุ่นคิด รำเพยมองหน้าลิตร เพื่อหาข้อพิรุธบนใบหน้า ลิตรยิ้มให้รำเพย
ก่อนที่เรไรจะมีอาการ ลิตรยกถาดอาหารเช้าออกมาจากครัว มองซ้าย ขวา ไม่เห็นใคร ก็หยิบห่อยาเล็กๆออกมาจากกระเป๋า แล้วโรยไปบนข้าวต้มหมู
"ผมไม่อยากให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพี่ทำงานหนักเกินตัว พี่จะได้พักผ่อนบ้าง"
ลิตรยกชามโคมใส่ข้าวต้มออกไป
ลิตรพูดกับทั้งสองสาว อย่างจริงใจ เอาการเอางาน
"พี่เรไรกับคุณรำเพยไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะทำงานให้เรียบร้อย และจะดูแลผลประโยชน์ของพี่เรไรผู้มีพระคุณของผมให้ดีที่สุดครับ ขอให้คุณทั้งสองคนสบายใจได้"
เรไรฟังน้ำเสียงจริงใจของลิตร ด้วยสีหน้ามีความสุข เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่จะคอยดูแลปกป้องเธอแบบนี้มาก่อน ฝ่ายรำเพยมองลิตรแบบนับถือ ในความเป็นผู้นำที่ตัวรำเพยเองไม่เคยมีมาก่อน
รำเพยคอยการตัดสินใจของเรไร เรไรยิ้ม ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
"ลิตรไปเถอะ ช่วยสงเคราะห์พี่หน่อยนะ พี่เชื่อใจลิตร"
สีหน้าเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจผ่านเข้ามาบนใบหน้าของลิตร เพียงชั่วพริบตา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้แสนดี ที่เป็นอัศวินคอยคุ้มครอง หญิงสาวสวย 2 พี่น้อง
"ครับพี่ ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้พี่เรไร..." แล้วลิตรก็ส่งสายตาแล้วพูดต่อ “และคุณรำเพย ... เสียใจเลย"
เรไรยิ้มภูมิใจ เพราะคิดว่าลิตรตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง และเริ่มหลงใหลในผู้ชายคนนี้
"จ้ะลิตร ลิตรช่วยพี่ในยามลำบากมาตลอด...รำเพย ไปจัดการเอารถคันใหญ่ของพี่ให้ลิตรเค้าไปใช้นะ เค้าเป็นตัวแทนพี่ เค้าต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด"
ลิตรอึ้ง ไม่คิดว่าโชคจะหล่นทับแบบนี้ รำเพยแปลกใจ ที่พี่สาวทุ่มเทให้ลิตรขนาดนี้ ขณะที่เรไรนอนยิ้ม มีความสุข
ยามบ่าย รถหรูคันใหญ่ของเรไร แล่นเข้ามาจอดในที่นาแห่งหนึ่ง ลิตรวางมาดเป็นเจ้าหนี้ก้าวลงจากรถมายืนอยู่ข้างรถของเรไร หญิงชาวบ้าน มองเข้าไปในรถ
"คุณนายเรไรล่ะพ่อลิตร"
ลิตรมองหญิงชาวบ้าน อย่างดูถูก
"พี่เรไรให้ชั้นมาแทน แล้วถ้าคราวนี้ป้าไม่จ่ายอีกล่ะก้อ เก็บของออกไปได้เลย ชั้นไม่ปรานีอีกแล้ว"
หญิงชาวบ้านตกใจ เพราะไม่มีเงินจ่ายจริงๆ ตั้งใจจะมาขอผ่อนผันกับเรไร ลิตรเริ่มเล่นบทเจ้าหนี้โหด
"หึ ไม่มีจ่ายจริงๆ เฮ้อ...น่ารำคาญไอ้พวกขอทานแบบแกจริงๆ ตอนกู้ ก็อ้างโน่น อ้างนี่ แต่พอจะต้องจ่าย ไม่ยอมจ่าย ถ้ามึงไม่จ่าย มึงออกไปเลย"
หญิงชาวบ้านตกใจ เสียขวัญทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าลิตรจะกล้าทำแบบนี้ เธอก้มลงกราบลิตร น้ำตานองหน้า
"พ่อลิตร ป้าขอล่ะนะ ช่วยป้าหน่อยเถอะ อย่าถึงกับไล่กันแบบนี้เลย ให้เวลาป้าอีกสักเดือนเถอะ"
ลิตรมองเหยียด
"อย่ามาคร่ำครวญเลยป้า ให้อีกเดือนหรืออีกปีป้าก็จ่ายไม่ได้อยู่ดีล่ะ ออกไปซะเถอะ"
"โธ่ พ่อลิตรป้าไม่ได้ขี้เกียจอะไรเลย แต่ฝนฟ้ามันไม่เป็นใจเลย ต้นไม้ต้นไร่ป้าก็ตายหมด ลงทุนไปเท่าไหร่ก็สูญหมด"
"อย่ามาบีบน้ำตาเลยป้า ชั้นก็ต้องทำงานของชั้น ป้าไม่มีจ่าย คุณเรไรก็ยึดที่เอาเท่านั้น"
หญิงชาวบ้านล้วงเงินออกมา
"เมตตาป้าสักครั้งเถอะนะ ป้ามีอยู่เท่านี้จริงๆ"
ลิตรมองเงินในมือ หญิงชาวบ้าน แล้วรีบคว้ามา ใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง
"ชั้นจะช่วยแค่ครั้งนี้นะ ถ้าครั้งหน้าป้าไม่มีจ่าย ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วล่ะ"
หญิงชาวบ้าน ยกมือไหว้ขอบคุณ ลิตรเดินขึ้นรถคันหรู ไม่สนใจใคร
ยามเย็น เรไรครึ่งนั่ง ครึ่งนอนอยู่บนโซฟายาว ในศาลาสวยๆของเรือน ลิตรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินยิ้มหล่อเข้าไป เรไรยิ้มเพลียๆให้
ลิตรยื่นช่อดอกไม้ที่เก็บมาจากข้างทาง แล้วมัดรวมกันอย่างสวยงามให้เรไร เธอน้ำตาคลอ ด้วยความรู้สึกปลื้มใจ เพราะชีวิตผู้หญิงแกร่งที่ต้องต่อสู้ในโลกธุรกิจของผู้ชายแบบเธอ ไม่เคยที่จะได้รับการดูแลเอาใจใส่ จากชายหนุ่มแบบนี้มาก่อน ใจที่เคยแข็งแกร่งของเรไร ยิ่งอ่อนไหว ลิตรขยับลงนั่งข้างๆ
"หมอบอกว่าพี่เรไรเป็นอะไรครับ"
เรไรกลั้นน้ำตาแห่งความปิติไว้ กลับมาเป็นหญิงเหล็กคนเดิม
"ก็อาหารเป็นพิษ อะไรพวกนี้แหละ ช่างเถอะ...เรื่องแค่นี้ พี่ไม่เป็นไรหรอก... แล้วตกลงลิตรไปเก็บเงินหรือเก็บไอ้นี่มาให้พี่กันแน่"
ลิตรทำเป็นยิ้มเขินๆ
"ก็ผมเห็นดอกไม้สวยดี คิดว่าถ้าพี่เรไรได้เห็นดอกไม้สวยๆ กลิ่นหอมๆ น่าจะช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้นครับ"
เรไรยิ้มกับดอกไม้ช่อนั้น
ลิตรจะเปิดบัญชีรายงาน
"นี่ครับ พี่เรไรบัญชีทั้งหมดของวันนี้"
เรไรโบกมือห้าม
"ไม่ต้องหรอกจ้ะลิตร พี่เชื่อใจลิตร"
สายตาลิตรที่มีแผนการณ์บางอย่าง
"พี่เรไรครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่หน่อยได้มั้ยครับ"
เรไรหันมามองลิตร
"ถ้าต่อไปนี้ ผมจะออกไปจัดการเรื่องลูกหนี้ให้พี่เรไรเอง"
เรไรมองหน้าลิตร เริ่มไม่ค่อยพอใจ
"ทำไมล่ะลิตร ลิตรพูดเหมือนไม่อยากออกไปไหน มาไหน กับพี่อย่างนั้นแหละ"
ลิตรหน้าเสีย กลัวเรไรโกรธ พยายามปลอบประโลม ประจบใส่
"ไม่ใช่แบบนั้นนะครับพี่เรไร ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย"
ลิตรเอื้อมมือไปแตะมือ เรไรสะดุ้ง
"แต่ผมแค่อยากให้พี่ได้อยู่บ้านสบายๆ ไม่ต้องออกไปลำบาก ไปเจอลูกหนี้คร่ำครวญ ให้เสียสุขภาพจิตต่างหากครับ"
ลิตรพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียง จริงใจ เรไร นิ่งฟัง ลิตรกุมมือของเรไรไว้
เรไรมองมือใหญ่อบอุ่นของลิตร
"ผมแค่อยากแบ่งเบาภาระของพี่เรไรบ้างน่ะครับ อยากให้พี่ได้พัก ได้มีเวลาให้ตัวเองบ้าง เท่านั้นเองครับ"
เรไรเริ่มใจอ่อน เพราะสิ่งที่ลิตรพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด
"ลิตรคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ"
ลิตรยืนยัน หนักแน่น
"ครับ ผมอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์แล้วก็อยากตอบแทนบุญคุณ นางฟ้าคนดีของผมคนนี้บ้างครับ"
เรไรยิ้มค่อยยิ้มออก รู้สึกอบอุ่นใจกับสิ่งที่ลิตรอยากจะทำให้ ลิตรใช้รอยยิ้มสยบใจ อีกครั้ง
"จ้ะลิตร พี่เชื่อลิตร และยินดีรับทุกสิ่งที่ลิตรตั้งใจทำให้พี่...ด้วยหัวใจ"
ลิตรหน้ากระตุก แววตากังวล ลังเล ปรากฏขึ้น เพราะแค่อยากจะได้สิ่งที่ต้องการจากเรไรเท่านั้น ลิตรเริ่มหนักใจ
รำเพยกำลังบรรจงเก็บดอกรำเพยอย่างเบามือ พูดคุยกับแมลง กับดอกไม้ หน้าตาสดใส มีความสุข เสียงไพเราะ สดใสของรำเพย ดึงดูดให้ลิตรเดินไปในทิศทางที่เธออยู่
"คุณรำเพย คุณต่างหากคือนางฟ้า ที่อยู่ในใจของผมตลอดมา"
ลิตรมองอย่างหลงใหล
คาเฟ่แห่งหนึ่งในเวลากลางคืน ลิตรหน้าตายิ้มแย้ม มีหญิงบริการนั่งข้างๆ คอยเอาอกเอาใจ รินเหล้าให้เป็นระยะ
ลิตรแจกเงินสาวๆ เป็นว่าเล่น สาวๆหัวเราะร่าเริง กลุ่มของลิตร กลายเป็นจุดเด่นของร้าน เสี่ยวิชัยซึ่งเป็นคู่ค้า และเพื่อนร่วมกิจการโรงสีของเรไร พาลูกค้าจากต่างจังหวัดมาสังสรรค์ในร้าน สังเกตโต๊ะของลิตร ด้วยความสนใจ
เช้าวันใหม่ เรไรนั่งทำงานในห้อง ชิดเปิดประตูให้เสี่ยวิชัยเข้ามา
"มาแล้วเหรอค่ะเสี่ย เชิญนั่งค่ะ"
เสี่ยวิชัยเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเรไร ชิดเดินไปยืนหน้านิ่ง ที่มุมห้องเหมือนเดิม
"คุณนายเรไร พักนี้ ดูหน้าตาสวยสดใส ท่าทางจะมีความสุขนะครับ"
เรไรหัวเราะชอบใจ
"แหม...เสี่ยก็ว่าไป เรามันก็สุข ๆทุกข์ๆ ตามประสาคนทำงานหนักนั่นแหละ"
"ถ้าเมื่อก่อนล่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่แน่น้า เพราะเค้าลือกันไปทั่วเลย ว่าคุณนายเรไรได้ผู้ช่วยฝีมือดี แถมหน้าตาหล่อเหลามาทำงานให้ ใช่มั้ยล่ะ"
เรไรยิ้มรับ
"มันก็จริงบ้าง เท็จบ้างนั่นแหละ เสี่ยจะไปเอาอะไรกับปากคน มันนินทาไปเรื่อย"
"แล้วมันจริงมั้ยล่ะคุณนาย"
เรไรหัวเราะ
"ก็จริงอยู่ ลิตรเค้ามาช่วยงานชั้นจริงๆ แล้วช่วยได้ดีด้วย ชั้นเลยมาดูแลเรื่องโรงสีได้มากกว่าเดิมไง"
"แล้วไอ้ที่เค้าลือกันว่า เจ้าหนุ่มนั่นหน้าตาหล่อเหลาไม่เบา ก็คงจะจริงด้วยใช่มั้ยล่ะ"
"ไม่รู้สิ ชั้นก็บอกไม่ได้"
"แต่อั๊วว่า อีหล่อจริงๆนะ"
เรไรแปลกใจ
"เอ๊ะ...เสี่ยเคยเจอลิตรแล้วเหรอ"
"เคยสิ อั๊วเห็นอีที่คาเฟ่ หลายทีแล้ว อีไปทีไรสาวๆดีใจทุกที เค้าว่าอีใจดี แจกเงินไม่อั้นเลย"
เรไร หน้านิ่ง ไม่ชอบใจในเรื่องที่ได้ยิน
ภายในสวน รำเพยกำลังตัดแต่งกล้วยไม้ในกระถาง ลิตรเดินมาหยุดมอง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหา รำเพยรู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกทุกครั้ง ที่ต้องอยู่กับลิตร ตามลำพัง
"คุณรำเพยขยันจังเลยนะครับ เจอทีไรก็มีงานอยู่ในมือทุกที สมเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริงๆ"
เธอไม่รู้จะทำยังไง เลยได้แต่ยิ้มรับคำชม รอยยิ้มนั้นทำให้ลิตรดีใจมาก ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้
"ตั้งแต่ได้รู้จักกันมา คุณรำเพยดีกับผมมาตลอด แต่ผมไม่เคยทำอะไรตอบแทนคุณรำเพยเลยสักครั้ง"
รำเพยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขยับออกห่างจากลิตร เขาหยิบซองเล็กๆออกมา เธอมองอย่างแปลกใจ
เขาเทสร้อยข้อมือทองเส้นเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋มออกมา เธอตกใจ ไม่คิดว่าลิตรจะซื้อของแบบนี้มาให้
"ผมเก็บเงินจากการทำงานอยู่หลายเดือนเลยนะครับ ตั้งใจที่จะให้สร้อยเล็กๆเส้นนี้
แทนความรู้สึกขอบคุณและ...."
รำเพยรีบตัดบท เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างเลยเถิดไปกว่านี้
"นายลิตรเก็บไปเถอะ ชั้นรับไว้ไม่ได้"
รำเพยขยับจะเดินออกไป เขาเผลอคว้ามือเธอไว้ เธอขืนตัว ดึงมือออก
รำเพยเสียงเข้ม หน้าเครียด
"นายลิตร"
ลิตรหน้าเสีย รีบปล่อยมือ พยายามจะขอร้อง
"คุณรำเพยครับ ผม..."
แต่รำเพยก็หนักแน่นพอที่จะรู้ว่าต้องวางตัวแบบไหน จึงเดินออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้า ลิตรเสียใจ จะเดินตามรำเพยไป นวลซึ่งแอบยืนฟังอยู่นานแล้ว เดินเข้ามาขวางไว้ ทำทีเป็นเก็บของที่รำเพยวางไว้
ลิตรมองตามรำเพยด้วยความผิดหวัง นวลแอบมอง อย่างไม่ค่อยชอบใจลิตร
ที่ร้านเหล้า เวลากลางคืน ลิตรนั่งดื่มด้วยความรู้สึกหม่นหมอง ที่ถูกรำเพยปฏิเสธ สาวสวยในร้านเหล้า เดินเข้ามาคลอเคลีย
"พี่ลิตรค้า....ทำไมวันนี้แอบมานั่งคนเดียวล่ะคะ มาค่ะ เดี๋ยวปรางนั่งเป็นเพื่อนน้า"
สาวสวยลงนั่งเบียดกับลิตร เขาสะบัดตัวอย่างแรง ด้วยความหงุดหงิด
"อย่ามายุ่งกับกู"
สาวสวยปลิวไปตามแรงสะบัด เกือบล้มหัวทิ่ม เขาไม่สนใจหันไปกินเหล้าต่อ สาวสวยตั้งตัวได้ มองอย่างโกรธ ขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง เพราะกลัวเสียลูกค้า
ลิตรรินเหล้าใส่แก้ว แล้วกระดกรวดเดียวหมด
เวลาต่อมา เรไรเปิดประตูเข้ามาในห้องลิตร อย่างหัวเสีย
"ลิตร พี่มีเรื่องจะคุยด้วย"
ในห้องว่างเปล่า ลิตรยังไม่กลับมา เรไรเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อค้น อย่างกระจัดกระจาย เพื่อค้นหาของที่พอจะเป็นหลักฐานเล่นงานลิตร
ลิตรเดินโซเซกลับเข้ามาที่เรือน ขณะที่เรไรยืนดักรออยู่
"ไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับมาป่านนี้"
ลิตรตกใจ ที่เห็นเรไร
"พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ"
เรไรพูดนิ่งๆ
"เธอทำงานกับพี่มานานแค่ไหนแล้ว"
"เจ็ด แปดเดือนแล้วครับ"
"อยู่ที่นี่ มีความสุขดีมั้ย"
ลิตรน้ำเสียงชื่นชม ยกย่อง
"ครับ พี่ดีกับผมมาก ชาตินี้ผมจะไม่มีวันลืมพระคุณของพี่เลย"
เรไรนิ่งฟัง ยิ้มเหยียด
"ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่าวันนี้เธอไปไหนมาบ้าง"
"ไม่มีอะไรมากนี่ครับ ก็มีลูกหนี้สี่ห้ารายที่พี่สั่งให้ผมไปจัดการ เสร็จแล้วก็แวะหาอะไรกิน แล้วก็ดื่มมานิดหน่อย แล้วก็กลับมานี้ล่ะครับ"
"ไม่ได้แวะไปธนาคาร เพื่อเอาเงินที่เธอยักยอกจากพี่ไปฝากบ้างหรอกเหรอลิตร"
ลิตรตีหน้าซื่อ ใส
"พี่เรไร พูดอะไรอย่างนั้นครับ"
เรไรเขวี้ยงสมุดบัญชีธนาคารใส่หน้าลิตร ด้วยความโกรธที่ลิตรยังไม่ยอมรับ
"พูดความจริงไงลิตร ความจริงที่เธอหลอกพี่มาตลอดไง เธอรู้ใช่มั้ย ว่าพี่ไว้ใจเธอมากแค่ไหน ไม่ว่าใครจะมาฟ้องอะไรพี่เกี่ยวกับตัวเธอ พี่ก็ไม่เชื่อทั้งนั้น ตราบใดที่พี่ยังไม่เห็นกับตาตัวเอง"
เรือนริษยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
เขาตะลึง แทบหายเมา ช็อกกับความโกรธที่น่ากลัวของเรไร ลิตรพยายามเอาตัวรอด ด้วยความอ่อนน้อม ลิตรคุกเข่าลงตรงหน้าเรไร อย่างอ้อนวอน
"พี่เรไร พี่ฟังผมอธิบายก่อนได้มั้ยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เลยนะครับ"
เรไรมองลิตรด้วยสายตาเหยียด
เรไรน้ำเสียงดุดัน
"งั้นก็พูดมา ทำไมคนที่เพิ่งทำงานได้แค่ไม่กี่เดือน แต่มีเงินฝากในธนาคารเป็นแสน ...แกเอาเงินมาจากไหน" เรไรเริ่มเปลี่ยนสรรพนามเรียกลิตร
ลิตรสมองหมุนติ้ว ท่าทางน่ากลัวของเรไรทำให้ลิตรใจเริ่มฝ่อ เธอคาดคั้น
"ว่ายังไงล่ะ"
ในชีวิตที่ปากกัดตีนถีบของลิตร ไม่เคยมีครั้งไหนที่ชีวิตเค้าจะสุขสบายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นต่อให้ต้องลุยเข้าไปในกองไฟ ลิตรก็ไม่ยอมเสียทั้งหมดนี้ไป
"ผมขอโทษครับพี่ เป็นความผิดของผมเอง ผมยินดีจะคืนเงินทั้งหมดให้พี่ แล้วขอทำงานใช้หนี้ให้พี่ไปตลอด จนกว่าพี่จะเห็นว่าคุ้มค่ากับเงินที่หายไปครับ"
เรไรหัวเราะใส่หน้า
"พูดง่ายดีนี่ คิดเหรอว่าชั้นยังจะเลี้ยงงูพิษแบบแกไว้"
คำพูดและท่าทางที่เหี้ยมเกรียมของเรไรทำให้เขาถึงกับขนหัวลุก เพราะลิตรรู้ว่าผู้หญิงที่มีอิทธิพลแบบนี้สามารถกำจัดใครให้หายไปได้ง่ายๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง เขาพยายามเสแสร้ง เป็นคนถ่อมตัว ยิ้มเศร้าๆให้เรไร
"ผมรู้ตัวเองดี คนอย่างผมมันก็เป็นได้แค่หมาข้างถนนเท่านั้นแหละครับ ผมจะไม่ขออะไรอะไรมากไปกว่าให้พี่เรไรฟังความจริงจากผมจนจบ แล้วพี่จะเอาผมไปส่งตำรวจ หรือไปยิงทิ้งที่ไหนผมก็ยอมทั้งนั้น"
เรไรไม่ยอมฟัง เพราะความโกรธและความเจ็บปวดที่ถูกคนที่ตัวเองหมายใจไว้หักหลัง เธอฟาดฝ่ามือไปที่หน้าของเขาด้วยโทสะแรงกล้า พร้อมกับคำพูดที่พรั่งพรูด้วยความเจ็บปวด
"แกไม่ต้องมาโกหกตอแหล"
ลิตรผงะไปตามแรงตบ แต่หัวสมองกลับต้องพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด
"ถ้าแกอยากมีลมหายใจต่ออีกสักนิด แกบอกความจริง ชั้นมา แกเอาเงินชั้นไปทำไม ไอ้หมาขี้ขโมย แกหักหลังชั้นได้ยังไง ไอ้คนสารเลว ไอ้คนทรยศ"
สุดท้ายลิตรตัดสินใจคว้ามือเรไรไว้ และพูดบางอย่าง เพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ ทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย
"ผมไม่ได้ทรยศคนที่ผมรัก ผมอยากเก็บเงิน มาขอพี่แต่งงาน ผมอยากแต่งงานกับพี่ พี่ได้ยินมั้ย พี่เรไร"
เรไรชะงัก อึ้ง หูอื้อ แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เวลานั้น ทั้งสองพี่น้องต่างอยู่ในภาวะสับสน รำเพยนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ด้วยความรู้สึกสับสน คิดถึงเหตุการณ์ที่ลิตรเทสร้อยข้อมือเส้นเล็กออกจากซอง ... รำเพยแตะแขนตัวเองเบาๆ ไออุ่นรุนแรง จากมือของลิตร ยังคงทิ้งรอยไว้ในหัวใจของรำเพย
"นายลิตร ชั้นจะทำยังไงดี"
ขณะที่เรไรทรุดลงนั่งในศาลาด้วยความสับสน พูดอะไรไม่ออก ลิตรเดินตามมา เพื่อสานต่อเรื่องที่เริ่มไว้ ให้สัมฤทธิ์ผล
"ผมรู้ดีว่าผมเป็นคนจน ไม่มีอนาคต เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาผมเลยไม่เคยมองผู้หญิงคนไหน ไม่เคยคิดที่จะลงหลักปักฐานกับใคร เพราะผมไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องมาต่อสู้กับความจนแบบที่ผมเจอ...แต่ความคิดของผม มันเริ่มเปลี่ยนไป" สายตาลิตรทอดยาวไปไกล "ตั้งแต่วันที่ถูกรถชนบนถนนวันนั้น"
ภาพของรำเพยยิ้มหวาน สดใส ลอยเด่นอยู่ในสายตาของลิตร
"วันที่ผมได้เจอนางฟ้าของผม"
เรไรใจเต้นระรัว หวั่นไหว ไปกับคำสารภาพของหนุ่มหล่อที่ตัวเองมีใจให้ ลิตรดึงซองที่ใส่สร้อยข้อมือออกมา เส้นเดียวกับที่ให้และรำเพยไม่รับในตอนเช้า
"สร้อยข้อมือเส้นนี้ ผมพยายามเก็บเงินอยู่หลายเดือน กว่าจะซื้อมาได้ แต่สุดท้ายผมก็ไม่กล้าที่มอบให้พี่ เพราะมันต่ำต้อย ดูไร้ค่า เมื่อเทียบกับนางฟ้าอย่างพี่เรไร"
เรไรผู้น่าสงสารมองสร้อยเส้นจิ๋วในมือลิตร น้ำตาคลอเบ้า ด้วยความปลื้มปิติ เชื่อในคำพูดทุกคำและสิ่งของแทนใจ
"ผมบอกพี่ไปหมดทุกอย่างแล้ว คราวนี้พี่จะทำยังไงกับคนจนตรอกแบบผม ก็ได้ทั้งนั้นครับ เพราะอย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้บอกความจริงกับคนที่ผมรักและเทิดทูนแล้ว"
เรไรเสียงสั่นด้วยความอารมณ์หลายอย่างปะปนกัน
"แล้วลิตรอยากให้พี่ทำยังไงล่ะ"
"สุดแล้วแต่พี่เรไรเถอะครับ"
เรไรหยิบสร้อยข้อมือจากมือใหญ่แข็งแรงของลิตร มาวางทาบบนข้อมือของตัวเอง
"งั้นพี่ขอรับสร้อยเส้นนี้ เป็นของหมั้นจากลิตร ก็แล้วกันนะ"
ลิตรตกตะลึง ทั้งที่เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่การแสดงละครเอาตัวรอด จากสถานการณ์อันตรายตรงหน้า แต่เมื่อเรไรทำให้ทุกอย่างกลายเป็นจริง ความเจ็บปวดที่รู้ว่าต้องสูญเสียรำเพยไปตลอดกาล ก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
เรไรผู้น่าสงสาร ตีความสายตาของลิตรว่า ดีใจมากกับคำตอบรับของตัวเอง
เรไรเข้าไปกอดลิตร
"พี่เองก็รักลิตรมาก ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วล่ะ"
ลิตรกอดตอบเรไร ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ในหัวสมองของลิตร มีแต่ภาพของรำเพย วนเวียนอยู่ เสียงขอโทษดังจากใจของเขา
"คุณรำเพย ผมขอโทษ"
เรไรยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต
บรรยากาศตอนเช้า วันใหม่ โลกสดใส สวยงาม นวลกับชิด ช่วยกันจัดโต๊ะอาหารเช้า แก้ววิ่งเข้า วิ่งออก ไปยกของจากในครัว เรไรเดินคลอเคลียเข้ามากับลิตรในโต๊ะอาหาร แก้ว เบรกตัวโก่ง เกือบชน
"ว้าย... ขอโทษค่ะคุณเรไร แก้วไม่ทันเห็น"
ป้านวลกับชิด หันมามอง อย่างแปลกใจ เรไรหัวเราะอารมณ์ดี
"แหม...ซุ่มซ่ามจริงๆเลยนะ แม่นี่.... ลิตรรอพี่แป๊บเดียวนะ พี่ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อน"
นวลกับชิดมองหน้ากัน ถามกันในสายตาว่า มันเกิดอะไรขึ้น เรไรหอมแก้มลิตร อย่างไม่แคร์สายตาใคร
ลิตรยิ้มรับ
"ป้านวล เอากาแฟให้คุณลิตรเธอด้วยนะ"
นวลตกใจ
"หา...อะไรนะคะ"
เรไรหัวเราะ ระรื่น
"ตกใจอะไรป้านวล ก็แค่เตรียมกาแฟกับของเช้าให้คุณลิตร เท่านั้นเอง"
"คุณลิตรเหรอคะ"
"ใช่..." เรไรเสียงดัง ชัดถ้อย ชัดคำ "คุณลิตร อีกไม่นานลิตรก็จะเข้ามาเป็นคุณผู้ชายของบ้านหลังนี้ ...ลิตรกับชั้นกำลังจะแต่งงานกัน"
รำเพยเดินเลี้ยวมาจากอีกด้านนึง ทันได้ยินประโยคสุดท้ายของเรไรพอดี รำเพยชะงัก ช็อก ลิตรเห็นรำเพยพอดี เขาตกใจ เหมือนฟ้าถล่มลงมาใส่หัวใจ เรไรยังยิ้มชื่นไม่สนใจใคร
"งานจะจัดขึ้นหน้าอาทิตย์นี่แหละ เตรียมตัวกันให้พร้อมนะ"
เรไรหัวเราะระรื่น มีความสุข รำเพยเจ็บปวด ร้าวลึก ลิตรก้มหน้าหลบสายตา รำเพยเดินหนีออกมาจากสถานการณ์ตรงหน้า
บ่ายวันเดียวกัน ทิพย์นั่งเตรียมของสำหรับทำอาหารขาย แม่เดินหิ้วของเข้ามาวางไว้ข้างทิพย์
"นังทิพย์เอ็งได้ยินข่าวอะไรมั่งเปล่า"
"ข่าวอะไรแม่"
"อ้าว...ก็ข่าวใหญ่ประจำตลาดเลยล่ะ เค้าบอกว่าวันนี้คุณเรไรเศรษฐีใหญ่ของบ้านเราจะแต่งงาน"
ทิพย์มองแม่อย่างงงๆ
"เค้าแต่งงานแล้วไงล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา"
"เอ้า...เอ็งไม่อยากรู้เหรอ ว่าเค้าแต่งกับใคร"
ทิพย์ส่ายหน้า เพราะไม่ได้สนใจ
"ถึงเอ็งไม่อยากรู้ แต่ข้าจะบอกให้เอาบุญ เค้าก็จะแต่งกับไอ้พี่ลิตรของเอ็งไง"
ทิพย์ช็อก เสียใจ
ภายในร้านกาแฟโบราณ ทิพย์หลับตาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเมื่อครั้งอดีตไว้ นันทนัชมองอย่างสงสัย
"น้าทิพย์ เหนื่อยหรือเปล่าคะ พักก่อนก็ได้นะคะ"
ทิพย์ยิ้ม โล่งใจ
"น้าว่าวันนี้ เราคงคุยกันได้แค่นี้แหละค่ะ"
"ทำไมล่ะคะ เรื่องของแม่ยังไม่จบเลย"
"ก็คุณนันนัดใครไว้หรือเปล่าล่ะคะ"
ทิพย์มองไปที่ด้านหลังนันทนัช เธฮหันไป เห็นกฤตพนธ์เดินยิ้มอารมณ์ดี อ้อมเข้ามาที่หน้าร้าน
"อ๋อ..พอดีคุณกฤตเค้าบอกว่ามีเรื่องด่วนจะคุยกันนันน่ะค่ะ"
แววตาอยากรู้แว่บขึ้นมาในตาทิพย์
"มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ"
เธอส่ายหน้า
"ไม่รู้สิคะ คุณกฤตไม่ยอมบอก"
เมื่อนันทนัชให้คำตอบไม่ได้ ทิพย์เลยขยับตัว และบอกลา
"ถ้าอย่างนั้น น้ากลับก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวทางร้านจะรอ คุณจะได้คุยกันสะดวกๆ"
ทิพย์ไม่รอคำตอบรีบลุกขึ้น ถือตะกร้าใส่ของเดินออกไปอีกด้านนึง เธอห้ามไม่ทัน กฤตพนธ์เดินมาถึงตัวนันทนัชพอดี
"นั่นน้าทิพย์นี่ครับ ทำไมรีบเดินออกไปแบบนั้น มีอะไรกันหรือเปล่าครับ"
"เปล่าหรอกค่ะ พอดีน้าทิพย์รีบกลับ กลัวที่ร้านเป็นห่วงน่ะค่ะ"
กฤตพนธ์มองตามหลังทิพย์ไปด้วยความแปลกใจ ยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่นันทนัชบอกนัก
ทิพย์รีบเดิน จนแน่ใจว่าออกมาไกลพอแล้ว ก็ตัดสินใจอ้อมไปอีกฝั่งนึง
กฤตพนธ์นั่งดื่มกาแฟท่าทางสบายๆ หน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา เพราะรู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้เวลาสบายๆกับนันทนัช
เธอมองอย่างหมั่นไส้
"นี่คุณ....ตกลงคุณจะมานั่งดื่มกาแฟ หรือมีอะไรจะมาบอกชั้นกันแน่"
เขายิ้มกวนๆ หัวใจเปี่ยมสุขที่ได้แกล้ง
"คุณนี่ก็....ใจร้อนจังเลยนะครับ นานๆ เราสองคน จะได้ออกมาเดทกันแบบนี้ ขอผมนั่งชิลๆ ชมนก ชมไม้ หน่อยนะครับ"
เธอทำจมูกย่นใส่เขา
"จะบ้าเหรอคุณ พูดจาซี้ซั้ว ใครเค้าเดทกับคุณ เห๊อะ ชั้นไม่ใช่ยัยกิ๊บของคุณนะ"
กฤตพนธ์ยิ้มอารมณ์ดี ไม่สนใจนันทนัชบ่น
"แล้วถ้าคุณอยากนั่ง ชิลๆ ชมโน่น นี่ นั่น ก็เชิญชมไปคนเดียวนะ ชั้นจะกลับแล้ว"
เธอแกล้งขยับลุกเพราะอยากแกล้งเขากลับ แต่เขาคว้ามือไว้ เพราะกลัวว่าเธอจะกลับจริง
"เดี๋ยวก่อนสิครับคุณนัน นั่งก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจริงๆ"
เธอแอบยิ้ม ยอมลงนั่งเหมือนเดิม เขายังจับมือเธอไว้ เธอมองมือที่จับอยู่เขม็ง เขาหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะปล่อยอย่างเสียดาย
"บอกเรื่องของคุณมาสักทีสิ"
ทิพย์แอบมุดเข้ามาแอบฟังในดงไม้ ใกล้โต๊ะที่นันทนัชนั่ง เขา หันมาพูดจาเอาจริงเอาจัง เพราะรู้ว่า นันทนัชรอคอยเรื่องสำคัญนี้มานานแล้ว
"คือว่า...ทางตำรวจเค้าแจ้งมาแล้วว่า ผลการชันสูตรศพรอบใหม่ ของคุณพ่อคุณออกมาแล้ว"
ทิพย์ดีใจกับข่าวที่ได้ยิน
เธอดีใจมาก โผเข้าจับแขนเขาเขย่า
"จริงๆเหรอคะคุณกฤต แล้วเค้าจะแจ้งผลกับพวกเราวันไหนคะ"
นันทนัชยิ้มดีใจ ใบหน้าสดใส เพราะวันที่จะช่วยแก้แค้นให้พ่อ ใกล้มาถึงแล้ว
ภายในเรือนรัตนะ หมวดเมธมาแจ้งข่าว
"อีกสามวันครับ"
ฤทัยยิ้มร่า มีความสุข แต่ยังพยายามรักษากิริยาไว้ เดือนนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ เสนอหน้าฟังอย่างสนอกสนใจ
"แล้วผลมันเป็นยังไง บอกมาเลยไม่ได้รึไง" รณฤทธิ์ว่า
"ไม่ได้หรอกครับ เพื่อความโปร่งใส และความสบายใจของทุกฝ่าย เราจะได้ทราบผลการชันสูตรทั้งหมด พร้อมกัน"
"โฮ้ย...น่ารำคาญ ขั้นตอนเยอะแยะ ก็แค่คนตายจะอะไรกันนัก กันหนา"
รณฤทธิ์แสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกนอกหน้า จนฤทัยต้องปราม เพราะอย่างน้อยคนตายที่ลูกชายพูดถึง ก็คือสามี ที่มีบุญคุณต่อครอบครัวของเธอมาตลอดหลายปี
"ตารณ ถ้าแกคิดเรื่องดีมาพูดไม่ได้ แกก็นั่งฟังเฉยๆเลย ไม่ต้องออกความเห็น"
รณฤทธิ์เบ้ปาก ทำหน้าเซ็งๆแบบไม่เกรงใจใคร ฤทัยมองอย่างขัดตา หมวดเมธ ขอตัวลากลับ
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเช้า เราพบกันอีกครั้งนะครับ"
"ขอบคุณนะคะ ผู้หมวดที่อุตส่าห์มาบอกถึงที่บ้าน"
"ไม่เป็นปัญหาครับ ตำรวจไทยยินดีรับใช้อยู่แล้วครับ"
เดือนเดินตามไปส่งหมวดเมธ ลับหลังหมวดเมธ ฤทัยหันมาเริงร่าดีใจกับลูกสาว
"และแล้ว....วันที่แม่รอคอยที่สุดก็มาถึงสักที"
กนกกรกรี๊ดกร๊าดไปกับแม่
"ใช่ค่ะ อู๊ย....กิ๊บล่ะอยากเห็นหน้านังลูกสาวตัวดีนั่นจริงๆ ว่าคราวนี้มันจะทำหน้ายังไง"
ฤทัยยิ้มเหี้ยม
"หน้าแหก หมอไม่รับเย็บไงล่ะ ที่นี้ล่ะจะได้รู้กันสักทีนะนังนันทนัช ว่าแก กล่าวหาผิดคนแล้ว"
นันทนัช ยิ้มสดใส
"ในที่สุดความยุติธรรมก็เป็นฝ่ายชนะ ผลการชันสูตรคราวนี้ คงทำให้ยายเมียใหม่ใจอำมหิตอย่างคุณนายฤทัย พูดไม่ออกแน่ๆ"
ทิพย์ยิ้มสะใจ กฤตพนธ์ดีใจ แต่ด้วยความเป็นห่วง ทำให้อดเตือนนันทนัชไม่ได้
"แล้วถ้าสมมุติว่า เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดล่ะคุณนัน คุณจะทำยังไง"
นันทนัชไม่คอยชอบใจ
"ทำไมล่ะ หรือคุณยังคิดว่า ยายฤทัยว่าที่แม่ยายคุณน่ะ เป็นคนดี"
"มองหน้านันทนัช สายตาจริงจัง"
"ผมพูดเผื่อเอาไว้นะครับ พูดในฐานะคนกลาง ไม่ได้เข้าข้างใคร และถ้าผมจะเข้าข้างใครสักคน คุณก็คงจะเดาได้นะครับ ว่าผมจะยืนอยู่ข้างใคร เพราะไม่งั้นคุณคงไม่เชิญให้ผมไปเป็นพยานในคดีการตายของพ่อคุณหรอก ใช่มั้ยครับ"
นันทนัชหลบสายตาจริงจังของเขาที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่า เค้ายินดีที่จะยืนเคียงข้างเธอ
"ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าคุณจะอยู่บ้างใคร แต่ที่รู้ๆนะยัยคุณนายจอมปลอมนั่นน่ะ อยู่คนละข้างกับชั้นแน่นอน เพราะยัยนั่นน่ะเป็นคนผิด เป็นฆาตกร" เธอยืนยัน
ทิพย์ยิ้ม พูดเบาๆกับตัวเอง
"ใช่ค่ะคุณนัน ถ้าจะมีใครสักคนที่ผิด มันคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากคุณนันค่ะ"
เรือนริษยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
ภายในห้องไม้ เขาบรรจงบีบนวดไปไหล่ของฤทัยอย่างเอาอกเอาใจ ฤทัยหลับพริ้ม หน้าตาแสนสุขทั้งจากข่าวดีที่ได้รับ และจากสัมผัสอันอบอุ่นจากมือชายหนุ่มชู้รัก
"ผลชันสูตรออกมาแล้ว เราต้องทำยังไงต่อครับพี่ฤทัย"
"ก็เหมือนเดิม จัดการเผาศพคุณลิตรให้เรียบร้อย แล้วก็จัดการเรื่องพินัยกรรม แบ่งมรดกให้สิ้นเรื่องไปสักที"
ไม้แอบมองฤทัยด้วยสายตาหมายมาด
"แล้วพอพี่ได้สมบัติมาแล้ว พี่จะทำยังไงบ้างล่ะครับ"
ฤทัยหัวเราะรื่นเริง
"พี่ก็จะทำตัวเป็นแม่ม่ายทรงเครื่อง เศรษฐีนีเจ้าของโรงสีที่ใหญ่ที่สุดของภาคกลางไงล่ะ"
ฤทัยหัวเราะคิกคัก
"ถ้าพี่รวยแล้ว พี่จะลืมผม ที่เคยช่วยเหลือพี่มาตลอดมั้ยล่ะครับ"
ฤทัยทำสะดีด สะดิ้งใส่ไม้อย่างอารมณ์ดี
"แหม....ไม้จ๋า"
ฤทัยดึงมือไม้ให้มานั่งคุกเข่า ต่อหน้า
"ไม้น่ะเป็นหนุ่มน้อยน่ารักของพี่มาตลอดนะ พี่ไม่ลืมหรอกจ้ะ ไม้ของพี่จะได้เป็นผู้จัดการโรงสี ที่คอยดูแลกิจการให้พี่ไงล่ะ...ดีมั้ย"
ไม้ยิ้มขอบคุณ แล้วกอดฤทัยไว้อย่างเอาใจ
"ขอบคุณครับพี่ฤทัย ที่ดีกับผมตลอดมา"
ฤทัยยิ้มชื่นโลกสดใส เพราะคิดว่าความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม้กอดเอวฤทัย ยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลปราฏกขึ้นบนใบหน้าของไม้ พร้อมกับความต้องการที่แท้จริงที่วิ่งพล่านอยู่ในหัวไม้
"หึ....อีแก่เอ้ย กูต่างหากที่จะต้องเป็นเจ้าของโรงสี ไม่ใช่ผู้หญิงหากิน มั่วผู้ชายแบบมึง"
ภายในห้องทำงาน พ.ต.ต.สันต์กำลังนั่งอ่านประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจของนายลิตรอย่างตั้งใจ เพราะต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของผู้หญิงคนที่หลานชายคนโปรด ติดพันอยู่ เสียงเคาะประตู ดังขึ้นเบาๆ เป็นเชิงขออนุญาต พ.ต.ต. สันต์ เก็บเอกสารไว้ชั้นล่างสุด ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาต
"เชิญ"
ประตูห้องเปิดออก ธีร์โผล่เข้ามาที่หน้าประตู ยกมือไหว้ ด้วยความเคารพ
"สวัสดีครับคุณลุง"
"เข้ามาสินายธีร์"
ธีร์ปิดประตู แล้วเดินมานั่ง ตรงข้ามกับลุง
"ที่ลุงเรียกแกมาวันนี้ เพราะอยากให้แกเอาข่าวดีเรื่องผลการชันสูตรศพคุณลิตรไปบอกกับหนูนันเค้าหน่อย ทางนิติเวชเค้ากำลังทำเรื่องส่งผลทั้งหมดมาให้ลุง"
ธีร์ ยิ้มดีใจแทนนันทนัช
"ครับคุณลุง"
สันต์มองหน้าหลานชายนิ่งๆ ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องสำคัญที่ยังค้างคาใจ จนต้องเรียกเข้ามาคุยเป็นการส่วนตัว
"ธีร์"
"ครับ"
"ตกลงเรื่องหนูนัน มันเป็นยังไงกันแน่"
ธีร์ถอนใจตอบ
"ให้ผมพูดตามความจริง ก็คือ ผมก็ไม่รู้อะไรจริงๆครับ รู้แต่ว่า ตอนนี้นันกำลังตกอยู่ในวงล้อมของคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรู แล้วก็ต้องต่อสู้ เอาตัวรอดด้วยตัวคนเดียวครับ"
"ในเมื่อแกรู้อยู่แล้วว่า หนูนันอยู่ในอันตราย... ถึงชีวิต แล้วแกคิดจะทำยังไงต่อไป จะเข้าไปลุยกับหนูนันด้วย หรือว่าให้กำลังใจอยู่ห่างๆ"
ธีร์ เงยหน้ามองลุงอย่างพิจารณาความหมายของคำถาม
"ฟังนะนายธีร์ ลุงถามในฐานะของลุง เพราะที่ผ่านมา แกเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องราวภายในของฤทธานนท์มากเกินไปแล้ว แต่แกยังโชคดีที่รอดมาได้ แล้วถ้าครั้งต่อไป แกไม่โชคดีแบบที่ผ่านมาล่ะ...แกคิดว่ามันคุ้มมั้ยกับสิ่งที่แกจะเข้าไปเสี่ยง"
ธีร์ตอบหนักแน่น
"คุ้มครับลุง... เพราะต่อให้ผมไม่ได้หลงรักนัน ต่อให้นันเป็นแค่เพื่อนที่รู้จักกัน แต่ถ้านันต้องตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ หรือมากกว่านี้ ผมก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยครับ"
พ.ต.ต.สันต์ ทั้งกังวลใจและภูมิใจในตัวหลานชาย
"ถ้าแกยืนยันขนาดนั้น ลุงก็ไม่รู้จะไปห้ามแกทำไม แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกอย่าลืมว่ายังมีลุงสันต์ที่พร้อมจะช่วยแก ทั้งในฐานะของลุงและในฐานะของผู้พิทักษ์กฏหมาย ที่ยังมือสะอาดอยู่เสมอ"
ธีร์โล่งใจแทนนันทนัชที่มีตำรวจมือดี อย่างพ.ต.ต.สันต์ เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่ง
ธีร์กดโทรศัพท์หานันทนัชด้วยหน้าตาเปี่ยมสุข คิดว่าเรื่องที่ตัวเองบอกจะต้องทำใหเธอดีใจ จนหันกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองอีกครั้ง
บนรถกฤตพนธ์ เสียงมือถือของนันทนัชดังขึ้น เธอกดรับ
"ค่ะพี่ธีร์"
เขาแอบมอง เงี่ยหูฟัง อย่างตั้งใจ ธีร์ยิ้มกับโทรศัพท์แล้วพูโด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ปนภาคภูมิใจ
"นัน...พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก"
"เรื่องอะไรคะ"
กฤตพนธ์พยามยามโยกตัวมาฟังให้ใกล้ที่สุด เธอดันตัวเขากลับไป พร้อมขยับปาก พูดไม่มีเสียง
"อย่าแอบฟังคนอื่น นิสัยไม่ดี"
เขาแกล้งหัวเราะเสียงดัง ตั้งใจแกล้งให้ธีร์ในโทรศัพท์ได้ยิน เธอเหวอ ไม่คิดว่ากฤตพนธ์จะมามุกนี้
แผนการณ์เจ้าเล่ห์ของกฤตพนธ์ได้ผล
"นัน อยู่กับใครน่ะ"
นันทนัชแล่บลิ้นใส่กฤตพนธ์เป็นการแก้แค้น กฤตพนธ์ยิ่งหัวเราะเสียงดัง ถูกใจ
"อ๋อ...นันอยู่กับคุณกฤตน่ะค่ะ พอดีมาคุยธุระกันนิดหน่อยน่ะค่ะ ... พี่ธีร์มีอะไรจะบอกนันล่ะคะ"
ธีร์ตั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ คิดว่านันทนัชจะต้องดีใจกับเรื่องนี้แน่นอน
"เรื่องผลการชันสูตรน่ะจ้ะ"
"อ๋อ....เรื่องนั้นนันรู้แล้วค่ะ คุณกฤตเป็นบอกคนเรื่องนี้กับนันเมื่อตอนสายๆนี้เองค่ะ"
กฤตพนธ์ยิ้มร่า เดาเรื่องได้ไม่ยาก สีหน้าผู้ชนะปรากฏขึ้น เธอมองอย่างหมั่นไส้
ใบหน้าธีร์เหมือนดอกไม้เพิ่งบานที่โดนน้ำร้อนราด เหี่ยวสลด หมดความงาม แววตาเจ็บปวด ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
น้ำเสียงเซ็งสุดชีวิต
"งั้นเหรอ นันรู้แล้ว...งั้นก็แค่นี้นะ"
ธีร์แทบโยนโทรศัพท์ทิ้ง ด้วยความผิดหวัง
เธอตกใจไม่คิดว่าธีร์จะรีบวางโทรศัพท์
"เดี๋ยวค่ะพี่...โธ่เอ๊ย วางไปแล้ว สงสัยน้อยใจแหงเลย"
กฤตพนธ์ยิ้มร่า หน้าเป็น
"แหม....น่าสงสารคุณธีร์จังเลยนะครับ ตั้งจะมาบอกข่าวดี แต่ว่ามาช้าไปหน่อย ก็พูดยากนะครับ คนวงนอกกับคนวงในใกล้ชิดแบบผม มันห่างชั้นกันเยอะครับ"
กฤตพนธ์หัวเราะถูกใจ เพราะได้ทำคะแนนนำธีร์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ภายในครัว เรือนรัตนะ ศรีกำลังเตรียมอาหารเย็น ด้วยท่าทางขันแข็ง เอาการเอางาน เดือนเดินเข้ามาด้วยท่าทางเกียจคร้าน เปิดหาของกินในตู้เย็น มานั่งกินสบายใจ
"เดือนมาช่วยกันหน่อยเร็ว กับข้าวอีกตั้งหลายอย่าง เดี๋ยวเสร็จไม่ทันคุณๆลงมากินมื้อเย็น"
เดือนมองศรี ด้วยสายตาเหยียด ดูถูกความขยัน ความซื่อสัตย์ของคนใช้แบบศรี
"ไม่ทำ ขี้เกียจ"
ศรีไม่ค่อยพอใจ กล้าต่อกรกับเดือนมากขึ้น เพราะมีนันทนัชหนุนหลัง
"มันจะเกินไปแล้วนะเดือน งานบ้านก็ไม่ทำ อาหารก็ไม่ทำ ตกลงว่าเป็นคนใช้ หรือเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณนายบ้านนี้กันแน่"
"อ้าว...นังนี่ เดี๋ยวนี้ปีกกล้า ขาแข็งนะย่ะ ตั้งแต่มีนังคุณหนูใจแตกนั่นมาคุ้มกะลาหัว ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ มันจะอยู่คุ้มกะลาหัวแกไปได้สักกี่วัน เดี๋ยวก็รู้"
เดือนเดินหัวเราะด้วยความสะใจออกไป
ศรีมองตามด้วยความไม่สบายใจ สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนันทนัชอีก
นันทนัชเปิดประตูรถลงมาที่หน้าทางเข้าบ้าน ก่อนจะเดินอ้อมไปขอบคุณกฤตพนธ์
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง แล้วก็ขอบคุณมากๆสำหรับเรื่องผลการชันสูตร"
"ไม่เป็นไรครับ...คุณรีบเข้าบ้านเถอะครับ แล้วพบกันพรุ่งนี้"
"ค่ะ....ขอบคุณอีกครั้งนะคะ"
กฤตพนธ์ยิ้มหวานให้แทนคำพูด นันทนัชซาบซึ้งใจในตัวกฤตพนธ์
"คุณเก็บยิ้มสวยๆแบบนี้ไว้ให้ผมคนเดียวนะ อย่าเที่ยวไปแจกคนอื่นล่ะ ผมหวง"
เธอหุบยิ้ม แยกเขี้ยวใส่
"แฮ่...ของคุณน่ะเหมาะกับหน้าแบบนี้มากกว่า"
กฤตพนธ์หัวเราะดังลั่นไม่คิดว่าผู้หญิงสวยแบบนันทนัชจะทำอะไรแบบนี้ เธอตกใจกับเสียงหัวเราะของกฤตพนธ์
"ตาบ้า"
เธอรีบเดินเข้าบ้าน ยิ้มกับตัวเอง อย่างมีความสุข กับเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้
เดือนวิ่งหน้าเริ่ด เข้ามารายงานฤทัยกับกนกกร เสียงดังลั่น
"คุณนายค่ะ มาแล้วค่ะ... นังนันทนัช มาแล้วค่ะ"
ฤทัยยิ้มหน้าเหี้ยม เดินออกไปดักที่หน้าประตู กนกกรเดินลั๊นลาตามไปติดๆ เดือนตามไปดู
นันทนัชถอดรองเท้าที่หน้าบ้าน ฤทัยเดินมาขวางอย่างวางอำนาจ เธอไม่ใส่ใจ เดินตรงเข้าบ้าน
"นังนันทนัช พรุ่งนี้ แกห้ามออกไปไหนเด็ดขาด เพราะพรุ่งนี้ มีเรื่องสำคัญที่บ้านหลังนี้"
"อืม....คนแบบเธอตัวจริงๆก็เป็นแบบนี้นี่เอง ดูชั้นต่ำมาก ถ้าได้ยินแต่เสียงคงคิดว่าเป็นพวกข้างถนนมาขอเศษเงิน"
ฤทัยหน้าปลี่ยนด้วยความโกรธ
"เรื่องอะไรสำคัญนักหนา ใครตาย หรือว่าผู้ชายถ่อยๆที่ไหนโดนตำรวจจับไปอีก แต่ถ้าเป็นเรื่องผลการชันสูตรศพพ่อของชั้นน่ะนะ ชั้นรู้แล้ว ไม่ต้องรอให้นังฆาตกรใจบาป มาเป็นคนบอกหรอกนะ"
นันทนัชยิ้มเยาะ ไม่กลัวใคร ฤทัยโมโหโดนนันทนัชเล่นงานแทน
ฤทัยเหวี่ยงฝ่ามือไปอย่างหวังผล นันทนัชรับฝ่ามือของฤทัยไว้ได้ แล้วตบฤทัยกลับเต็มแรง กนกกรตกใจ ร้องกรี๊ด
"ว้าย...คุณแม่"
ฤทัยกระเด็นลงไปกองกับพื้น
"นี่สำหรับสิ่งที่แกทำกับชั้นทั้งหมด ที่ผ่านมา"
กนกกรพุ่งเข้าใส่แบบโง่ๆ นันทนัชเหวี่ยงไปทางเดือนที่ยืนเก้ๆ กังๆ ทั้งเดือนและกนกกรกระเด็นไปคนทิศละทาง เสียงร้องขรม ศรีได้ยินเสียงโวยวายก็วิ่งออกมาจากหลังบ้าน เห็นทุกคนกำลังเข้ามารุมนันทนัช ศรีตกใจตะโกนเสียงดัง"ทางนี้ค่ะคุณตำรวจ ทางนี้มีคนทะเลาะกันทางนี้ค่ะ"
แผนตื้นๆของศรีสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ คู่กรณีผละออกจากนันทนัช กนกกรกับเดือนก็ชะงักมองไปทางหน้าบ้าน
ศรีรีบวิ่งเข้ามา ลากนันทนัชออกไป
หน้าบ้านมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีตำรวจสักคน
" อีศรี...อีเวรตะไล กูไล่มึงออกแน่" ฤทัยว่า
นันทนัชเดินกลับมาพร้อมศรี หน้าตาเอาเรื่องไม่กลัวใคร ฤทัยถอยกรูด ไม่คิดว่านันทนัช จะกลับมาอีก
ศรีหลบอยู่ด้านหลังนันทนัช
"แกไม่มีสิทธิมาไล่คนของชั้นออก ที่นี่เรือนรัตนะบ้านของชั้น บ้านของแม่ชั้น เห็บ หมัดอย่างพวกเธอต่างหากที่ต้องออกไป"
ฤทัยพุ่งเข้ามาจะเล่นงานนันทนัชอีก เพราะคิดว่าคนมากกว่า ยังไงก็สู้ได้ กนกกรกับเดือนพุ่งเข้าจับล๊อกแขนไว้
ฤทัยยิ้มสะใจ เงื้อมือสุดแขน นันทนัชกระชากแขนตัวเองเต็มแรง จนกนกนกรกับเดือนเซ เสียหลัก แล้วเหวี่ยงกนกกรที่จับแขนตัวเองอยู่ไปหาฤทัย ฝ่ามือของฤทัยสัมผัสบนใบหน้าของกนกกรเต็มแรง จนเซถลาเป็นลูกนกปีกหัก ลงกองกับพื้นแบบสิ้นสภาพ ฤทัยตกใจ
"ยัยกิ๊บ"
นันทนัช ยิ้มเยาะ ประกาศก้อง
"ฆาตกรอย่างแกจะเสวยสุขอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีกไม่นาน พรุ่งนี้ก็จะได้รู้กัน ว่าคนอำมหิตแบบแกจะโดนอะไรบ้าง"
ฤทัยไม่ยอมแพ้โต้กลับ แบบไม่เกรงใจ
"แกนั่นแหละอีบ้า อีโรคจิต เที่ยวกล่าวหาคนอื่นพล่อยๆ คราวนี้แกจะได้รู้สักทีว่าหัวสมองแกน่ะมันเน่า คิดแต่เรื่องปัญญาอ่อน ไม่มีใครที่นี่เค้าฆ่าคุณลิตรหรอก พ่อแกน่ะหัวใจวายตายเอง"
"แกเห่าหอนไปให้สบายใจเลยนังฆาตกร พรุ่งนี้แกจะเห่าไม่ออกแน่ๆ"
นันทนัชเดินกลับเข้าบ้านไม่สนใจใคร ศรีรีบวิ่งตาม
ฤทัยเจ็บแค้น ตะโกนไล่หลัง
"แกนั่นแหละอีบ้า ที่จะพูดไม่ออก อีโรคจิต"
กนกกรนอนตาลอย โดยมีเดือนนั่งมองอยู่ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไง
ยามดึก นันทนัชนอนหลับอยู่บนเตียงของตัวเอง รำเพย เรไร ยืนอยู่ข้างๆเตียงสีหน้าเศร้าหมอง
นันทนัชขยับตัว รู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ ค่อยๆลืมตาขึ้น
"แม่รำเพย"
เธอรีบกระโดดลงจากเตียง ตรงไปหา เธอกอดแม่และป้าน้ำตาไหลพราก
"แม่จ๋า นันคิดถึงเหลือเกิน นันไม่มีโอกาสที่จะได้เจอแม่รำเพยเลย แล้วยังไม่มีโอกาสได้เจอพ่ออีก เพราะความดื้อรั้นของนันเอง"
เธอร้องไห้น้ำตานอง มองนันทนัชด้วยความสงสาร
"หนูนันทนัช ลูกต้องเข้มแข็งนะ"
รำเพยพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่นันทนัชไม่ได้ยิน
"คุณนันคะ คุณนัน"
นันทนัชสะดุ้งตื่น ศรีเข้าขอมานอนด้วย เพราะกลัวโดนฤทัยกับเดือนทำร้าย ยืนอยู่ข้างเตียง
นันทนัชกระพริบตาเรียกสติ ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบห้อง เธอหันมายิ้มแห้งๆกับศรี
"ไม่มีอะไรหรอกศรี นันแค่ฝันน่ะ ศรีไปนอนต่อเถอะ"
ศรีพยักหน้า แล้วกลับไปนอนต่อ เธอมองไปตรงจุดที่เห็นแม่ในฝัน เธอหลับตาไม่ลง เหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย
เช้าตรู่ ฤทัยเดินฮัมเพลงมีความสุขเดินเข้ามาในห้องรับแขก เดือนหน้าตาบึ้งตึง เพราะต้องทำความสะอาดห้องรับแขกอยู่คนเดียว ไม่มีศรีช่วยเหมือนเดิม เมื่อได้ยินเสียงฤทัยฮัมเพลง รีบวิ่งเข้าไปประจบ
"คุณนายขา...วันนี้คุณนายอารมณ์ดีจังเลยนะคะ"
ฤทัยหัวเราะฮิฮะ รื่นเริง
"แน่นอน...เพราะวันนี้เรื่องบ้าๆบอๆที่นังนันทนัชมันก่อไว้ ก็จะจบเรื่องกันสักที คราวนี้ชั้นจะได้ขยับตัวคล่องๆ ทำอะไรสะดวกๆสักที"
เดือนยื่นหน้ายื่นตาถาม
"แล้วคุณนายจะทำอะไรละคะ"
ฤทัยชักรำคาญที่เดือน สอดรู้ สอดเห็นจนเกินงาน
"ชั้นจะทำอะไร มันก็เรื่องของชั้น แกน่ะคอยไปเฝ้านังนันทนัชให้ดีๆเถอะๆ อย่าให้มันชิงหนีไปก่อน เพราะว่าวันนี้มันจะต้องพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเลยล่ะ"
เดือนแอบทำหน้าเบ้ ก่อนจะบอกด้วยความสะใจว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ทันแล้วละค่ะ เพราะนังนั่นน่ะ ออกไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ"
ฤทัยแปลกใจ
"มันจะไปไหน มันก็รู้นี่ ว่าวันนี้ตำรวจจะมาแจ้งผลการชันสูตรรอบใหม่"
ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง อยู่หน้าเจดีย์ที่เก็บกระดูก ซึ่งติดรูปรำเพยกับเรไร นันทนัชก้มลงกราบที่หน้าเจดีย์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองรูปแม่กับป้า
"แม่จ๋า นันมาเยี่ยมค่ะ ต่อไปนี้นันจะขยันมาเยี่ยมแม่บ่อยๆนะจ๊ะ"
ชิดเดินถือแจกันใส่ดอกกล้วยไม้ เพื่อจะเปลี่ยนให้เจ้านายผู้มีพระคุณเหมือนทุกครั้ง ได้ยินเสียงคนพูดคุยแว่วมา
ก็หลบไปแอบดูหลังเจดีย์
"แม่ช่วยนันด้วยนะคะ ช่วยให้นันจับตัวคนชั่วที่ทำร้ายพ่อให้ได้นะจ้ะ"
ชิดตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเจอนันทนัช พึมพำกับตัวเองเบาๆ
"คุณหนู"
นันทนัชซบหน้าลงกับแท่นหินที่หน้าเจดีย์ จากนั้น เธอเดินไปยังมุมหนึ่งเพื่อกดโทรศัพท์หากฤตพนธ์
"ชั้นมีเรื่องจะคุยกับคุณ แวะมาหาชั้นที่บ้านหน่อยได้ไม๊คะ"
จบตอนที่ 10