xs
xsm
sm
md
lg

สุสานคนเป็น ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุสานคนเป็น ตอนที่ 10

รสสุคนธ์ในชุดดำเดินเข้ามาเห็นนฤมล หนุ่ยและโหน่งกำลังกินอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจทำความสะอาดบ้านอยู่ทางหนึ่ง ทุกคนมีสีหน้าไม่สบายใจ

“น้องรส คุณชีพกลับมาหรือยังจ๊ะ” นฤมลถาม
“ยัง” รสสุคนธ์ตอบ
ธารินทร์เดินเข้ามามองหาอุษา หวานรีบพูด
“คุณษาเอาของไปไหว้คุณผู้หญิงที่สุสานยังไม่กลับมาค่ะ”
อุษาเดินนำพวกฉ่ำเข้ามาพอดี เธอทักธารินทร์
“รินทร์มาแล้วเหรอคะ ขอโทษค่ะช้าไปหน่อย ษามัวแต่ตรวจดูในสุสานอยู่”
“มีอะไรผิดปกติเหรอ”
“ก็ไม่มีนะคะแต่ทำไมกลิ่นถึงแรงมากเหมือนกับมีใครไปเปิดฝาโลง”
รสสุคนธ์ชะงักหูผึ่งและมีสีหน้าครุ่นคิด
เธอนึกถึงความฝันตอนที่เห็นชีพวิ่งเหนื่อยหอบมาจากทางสุสาน แล้วร้องให้เธอช่วยด้วยเสียงแหบๆ รสสุคนธ์ตกใจมากจึงร้องเสียงหลง
“ใช่แล้วที่สุสาน คุณชีพ..”
รสสุคนธ์วิ่งออกไป ทุกคนมองไปอย่างงงๆ
“อะไรเหรอษา รสสุคนธ์พูดถึงสุสานทำไม แล้วคุณชีพมีอะไร เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
อุษามีสีหน้าคิดได้ เธฮตกใจจึงไม่ตอบ อุษารีบวิ่งตามรสสุคนธ์ไป ทุกคนตกใจแล้ววิ่งตามไปทั้งหมด


รสสุคนธ์เปิดประตูสุสานเข้ามา รสสุคนธ์ผงะกับกลิ่นศพ เธอมองไปที่โลงแล้วก็ตัดสินใจตะโกน
“ชีพ..ชีพคุณอยู่ในนี้หรือเปล่า”
ชีพที่กำลังอ่อนระโหยอย่างหมดหวังอยู่ดีใจสุดขีด
“รสช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ฉันอยู่ในโลง”
ศพลั่นทมลืมตาแล้วพูดเสียงกร้าว ดวงตาและใบหน้าของลั่นทมน่ากลัวสุดๆ
“มาจนได้”
พวกอุษาตามมาถึง รสสุคนธ์รีบหันมาบอก
“พวกแกเปิดโลงสิ”
“เปิดทำไม” อุษาถาม
“ฉันสงสัยว่าคุณชีพจะอยู่ในโลง เร็วสิใครก็ได้รีบเปิดเร็ว”
อุษาอึ้ง ทุกคนชะโงกดูกันด้วยความตื่นเต้น ธารินทร์มองที่โลงแล้วบอกทุกคน
“รอกันอยู่ตรงนี้ ผมจะเข้าไปดูเอง”
“ษาไปด้วยค่ะ”
ธารินทร์กับอุษาเดินเข้าไปในสุสาน รสสุคนธ์กับทุกคนออกันอยู่หน้าประตู ทุกคนต่างพากันปิดจมูกเพราะเหม็นมาก ชีพที่อยู่ในโลงร้อนรน
“เร็วเข้า ช่วยฉันออกไปที ฉันอยู่ในนี้”
“คุณมีโอกาสอีกครั้งแล้วนะชีพ ถ้าคราวนี้คุณยังไม่สำนึกคุณจะไม่มีโอกาสอีกจำไว้ให้ดี” ลั่นทมบอก
ธารินทร์เปิดฝาโลงช้าๆ ธารินทร์ผงะ ชีพทะลึ่งพรวดขึ้นมาในสภาพตาเหลือกลานและร้องลั่น “ช่วยด้วย !”
ทุกคนตกใจตะลึงงัน “ว้าย คุณชีพ”
นฤมล หนุ่ยกับโหน่งร้องตกใจพากันวิ่งหนีไปเป็นชุดแรก หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจวิ่งหนีไปเป็นชุดที่สอง วิเวกกับสมพรเผ่นหนีตามกันไปติดๆ เหลือฉ่ำที่ยืนขาสั่นพั่บๆ กำลังใช้มือจับขาตัวเองให้ก้าวไปทีละก้าวเพราะกลัวมาก ชีพตะกายออกมา ธารินทร์กระชากอุษาให้หลบชีพ รสสุคนธ์ตกตะลึง ชีพออกจากโลงในสภาพล้มลุกคลุกคลาน เนื้อตัวเปื้อนน้ำเหลืองเต็ม กลิ่นคลุ้งตลบ เขาตรงเข้าหารสสุคนธ์
“รสช่วยด้วย..”
รสสุคนธ์ตาเหลือก “ว้าย..ไม่นะไม่”
รสสุคนธ์วิ่งหนีอย่างขยะแขยง ชีพวิ่งตามดูเหมือนไล่กันไปทางบ้านลั่นทม ธารินทร์กับอุษามองหน้ากันอึ้งๆ


ทุกคนมารวมตัวกันอยู่หน้าบ้านด้วยความหวาดกลัวสุดๆ
“เอาเข้าแล้วคุณผู้หญิงเอาแน่คราวนี้” สวาทว่า
“โอ๊ย...น่ากลัวเป็นบ้าเลย ฉันกลัว”
“ใครจะเป็นรายต่อไปเนี่ย อู๊ย ฉันขอลาไปอยู่โรงงานดีกว่า” จิ้มลิ้มบอก
หวานตั้งสติได้แล้วก็หันมาดุ
“คุณผู้หญิงไม่ทำร้ายพวกแกหรอก ใครทำกับท่าน ท่านก็เอาคืน” หวานบอก
หวานมองนฤมล นฤมลสะดุ้ง “มองฉันทำไม ถ้าฉันโดน น้าก็โดนด้วย ยังไงน้าก็เป็นน้า น้องรส เรามันพวกเดียวกันนะ”
“ข้าเลือกเกิดไม่ได้ถึงต้องมารวมวงศ์กับพวกแกแต่ข้าไม่เคยคิดร้ายกับคุณผู้หญิง ท่านรู้ดี”
ทุกคนหยุดพูดเมื่อเห็นรสสุคนธ์วิ่งเตลิดมาและร้องลั่น
“ยี้ไปไปให้พ้น อย่ามาใกล้ฉัน”
ชีพวิ่งบ้างเดินบ้างแทบจะหมดแรงแต่ก็พยายามร้องเรียก
“รส..ช่วยฉันด้วย ฉันจะไม่ไหวแล้ว”
รสสุคนธ์วิ่งหนีเข้ามารวมกลุ่มกับทุกคน ชีพวิ่งมาหาทุกคน ทั้งหมดแตกฮือแล้ววิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ชีพวิ่งตามไล่ใครให้ช่วย คนนั้นก็หนีในสภาพเหมือนกำลังวิ่งไล่จับคนอื่น มีเสียงวี้ดว้าย
เสียงร้องอย่างขยะแขยงของทุกคนดังเป็นระยะๆ


ธารินทร์ปิดโลงเรียบร้อย พอหันมาก็ชะงักเมื่อเห็นอุษาน้ำตาไหล
“ษาร้องไห้ทำไม”
“คุณน้าทำบาปอีกแล้ว” อุษามองโลงแล้วยกมือไหว้ “คุณน้าขาษาขอร้องอย่าทำบาปอีกเลย คนชั่วยังไงก็ต้องได้รับผลกรรมวันยังค่ำ”
เสียงลั่นทมดังลั่น “แต่มันช้าเกินไป..น้าจะไม่ปล่อยพวกมันอีกแล้ว”
ลมในสุสานพัดแรง อุษากับธารินทร์มองหน้ากันแล้วมองที่โลงศพด้วยอาการตกใจ

ชีพใช้น้ำจากฝักบัวราดรดหัวรดหน้าพลางถูตัวอย่างรุนแรงด้วยท่าทางขยะแขยงตัวเองสุดๆ เสียงประตูห้องน้ำเปิด ชีพผงะร้องด้วยความตกใจ “ไม่..อย่านะลั่นทม”
รสสุคนธ์มีสีหน้าขยะแขยงชีพก่อนจะยื่นน้ำยาทำความสะอาดให้
“เอ้า จัดการตัวเองให้สะอาดนะ ยี้....”
รสรังเกียจรีบปิดประตูห้องน้ำ ชีพมองน้ำยาทำความสะอาดแล้วมองดูตัวเองอย่างแค้นจัด
“นังลั่นทมแกแกล้งฉัน ใครๆก็รังเกียจ ขยะแขยงฉันไปหมดแม้กระทั่งรส”
ชีพถูตัวแรงๆ ด้วยความโมโห


ชีพนั่งนิ่งขึ้งอยู่ที่หน้ากระจก รสสุคนธ์ใช้ผ้าเช็ดผมให้เขา ชีพจับมือรสด้วยสีหน้าที่ยังหวาดกลัวไม่หาย
“รส เราย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ ผมกลัวผีลั่นทม”
“จะบ้าเหรอ ทันทีที่เราย้ายออกไปก็เท่ากับว่าไม่ได้สมบัติอะไรเลย แม้แต่ชิ้นเดียว...ไม่....รสไม่ไป”
“แต่ผมกลัว...นะ..นะ”
ชีพกอดรสสุคนธ์และตัวสั่นด้วยความกลัว รสสุคนธ์ผลักชีพออก
“ไม่ ฟังนะคะชีพ เมื่อคืนคุณเมา...เมามาก เผลอทำอะไรลงไปเพราะความเมา”
ชีพตวาดใส่หน้าด้วยความโมโห“ถึงเมาขนาดไหน ผมก็ไม่บ้าลงไปนอนในโลงหรอกรส...คุณต้องเชื่อผม ผีลั่นทมมันจะเล่นงานเราจริงๆ เรารีบย้ายออกไปเถอะ”
รสสุคนธ์ข่มอารมณ์ก่อนจะเข้ามาโอบกอดชีพแล้วปลอบโยน
“คุณเมาจนขาดสติ แล้วก็ไปอาละวาดที่สุสานเหมือนเคย คุณอาจจะไปเปิดฝาโลง แล้วก็ล้มลงไปเพราะความเมา...พอฟื้นขึ้นมาก็ตกใจกลัว เลยคิด”
“ว่าลั่นทมพาคุณไป คิดดูดีๆสิ เราลงทุนกันมามากแล้วนะชีพ จะยอมให้สมบัติทั้งหมดตกเป็นของนัง อุษาเหรอ...”
ชีพอึ้งและพยักหน้าช้าๆ เหมือนเด็กที่ยอมจำนนต่อเหตุผล

ทุกคนคอยอยู่พวกสวาท พวกฉ่ำจับกลุ่มซุบซิบกัน รสสุคนธ์พาชีพลงจากชั้นบน ชีพยังมีท่าทางหวาดๆ เขาเดินตรงไปที่บาร์เหล้าแล้วรินเหล้าใส่แก้วยกดื่มทีเดียวหมด อุษาเดินเข้าไปหาชีพ
“ทำไมน้าชีพลงไปอยู่ในโลงคุณน้าคะ”
ชีพหันมาตะคอกด้วยอาการหวาดๆ “ทำไมนะเหรอ ก็นังผีบ้ามันบังคับฉันไปนะสิ”
ทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชีพดื่มเหล้าอีกแล้วตะโกน
“นังลั่นทม แกต้องตกนรกหมกไหม้ แกทำร้ายฉัน ฉันขอสาปแช่งแก”
ชีพคว้าเหล้าทั้งขวดวิ่งหนีขึ้นชั้นบน นฤมลกลัวมากจึงลุกขึ้นบอกรสสุคนธ์
“น้องรสพี่คงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะพี่กลัว”
“ไร้สาระนะพี่มล คุณชีพไม่ได้โดนผีหลอก แต่เขาโดนวางยาเลยประสาทหลอน..มีคนไม่หวังดีอยากเห็นเขาเป็นบ้า”
รสสุคนธ์มองมาทางอุษากับธารินทร์
อุษาโกรธ “ใครล่ะ รสสุคนธ์ พูดมาตรงๆเลย”
“ถ้าเป็นใครก็แจ้งความได้เลยครับ คุณชีพบอกหรือเปล่าว่าใคร”
รสสุคนธ์อึ้ง “ก็เขากลัวจนพูดไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกฉันจะหาตัวคนทำให้ได้”
“ได้ตัวเมื่อไรก็รีบบอกแล้วกัน ฉันจะรอ” อุษาพูดกับธารินทร์ “ไปกันเถอะค่ะ” อุษากับธารินทร์เดินออกไป รสสุคนธ์มองตามด้วยความเจ็บใจ
ฉ่ำพูดขึ้นมาดังๆ “ฝีมือคุณผู้หญิงแน่เลย”
“มันก็แหงอยู่แล้ว”
“เห็นกันจะจะ”
พวกสวาททำท่ากลัวมาก หวานอึ้งนั่งเครียด นฤมลกอดลูกเพราะใจคอไม่ดี รสสุคนธ์มองทุกคนก่อนจะตวาดเพราะรำคาญ
“ห้ามใครพูดว่าเป็นฝีมือลั่นทมอีก ใครไม่เชื่อฉันจะไล่ออก”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าแล้วเดินตามชีพไปชั้นบน หวานพึมพำ
“มันต้องเจอกับตัว ถึงจะเลิกหลอกตัวเองซะที อีกไม่นานหรอกนังรส เจอดีแน่”

นฤมล หนุ่ย และโหน่งแต่งชุดดำเตรียมตัวไปวัด พวกหวานที่แต่งดำจะไปวัดเช่นกันเดินเข้ามา
“เอ้า พร้อมไปกันเลยใช่มั้ย”
นฤมลพยักหน้ารับ รสสุคนธ์เดินลงมาจากชั้นบนแล้วก็รีบถามเสียงเครียด
“จะไปไหนกัน”
“ก็ไปวัดสิ..น้องรสจะไปพร้อมคุณชีพใช่มั้ย พี่จะล่วงหน้าไปกับพวกน้าหวานก่อน”
รสสุคนธ์มองพวกหวานแล้วออกคำสั่ง
“น้าหวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจไม่ต้องไป อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”
นฤมลมองอย่างแปลกใจ “แต่วันนี้ยังสวดศพพี่วัตนะน้องรส”
“พี่มลกับลูกๆ ก็ไปสิ ส่วนคนอื่นๆ ให้อยู่ที่นี่ อ้อ...แล้วเอาพวกที่นอนมาปูนอนกันแถวๆห้องรับแขกนี่นะ กลางคืนมีอะไรจะได้เรียกสะดวก”
นฤมลไม่พอใจ “แล้วพี่จะไปยังไงตามลำพัง”
“แต่ก่อนทำไมพี่ไปไหนมาไหนได้ล่ะ รสก็อยู่ตามลำพังไม่ได้ เดี๋ยวคุณชีพอาละวาดขึ้นมาใครจะช่วยรส พี่รีบไปเถอะน่า สวดเสร็จก็รีบกลับ”
นฤมลเศร้าจนน้ำตาไหล เธอกอดลูกแล้วเดินออกไปเงียบๆ พร้อมกับพึมพำ
“โธ่พี่วัต ฉันไม่น่ามาที่นี่เลย”
รสสุคนธ์ไม่สนใจ เธอเดินกลับขึ้นไปชั้นบน
พวกสวาทมองหวานเป็นเชิงถาม หวานพูด “เออก็ไปเอาที่นอนหมอนมุ้งมา ใครอยากนอนตรงไหนก็นอน หวานเดินออกไป พวกสวาทตามออกไปเก็บของของตัวเอง”
“กลัวผีคุณผู้หญิง หรือว่ากลัวคุณผู้ชายเมาอาละวาดกันแน่”
“ไม่น่าถาม แม่นั่นน่ะกลัวผีมากกว่ากลัวผัว”
“แต่ก็ดีเหมือนกัน นอนรวมกันเป็นศาลาวัดเลย...อบอุ่นดี”
ทั้งสามเดินไป

ขวดบรั่นดีเปล่าๆ กลิ้งอยู่ที่พื้น ชีพหลับสนิทอยู่บนเตียงแต่มีอาการกระวนกระวายจากฝันร้ายที่กำลังคุกคาม รสสุคนธ์เดินไปเดินมาและมีท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก
“ผีนังลั่นทมมันมีจริงๆเหรอเนี่ย”
รสสุคนธ์หันกลับไปก็ผงะจนตาเหลือก เมื่อเห็นลั่นทมยืนประจันหน้ามองมานิ่งๆ ด้วยหน้าตาน่ากลัว รสสุคนธ์อ้าปากค้างแล้วแผดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ด...” รสสุคนธ์กระโดดขึ้นเตียงแล้วเขย่าชีพอย่างแรง “ชีพ...ชีพ..”
ชีพยังหลับเฉย ลั่นทมมานั่งบนเตียงใกล้รสสุคนธ์ รสสุคนธ์ตกใจจนหงายหลังลงจากเตียงแล้วคลานหนี ลั่นทมมาขวางหน้า รสสุคนธ์เห็นขาลั่นทมยืนอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้ามองแล้วก็หงายหลังเพราะตกใจ ลั่นทมพูดปกติ
“กลัวเหรอ เมื่อกี้เธออยากรู้นี่นาว่าฉันมีจริงหรือเปล่า”
“แก..แกเป็นผีเหรอ ทำไมฉันเห็นแกชัดมาก”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นผีหรือเปล่า แต่ฉันตายแล้วแน่นอน”
รสสุคนธ์ยังคงจ้องหน้าลั่นทม เธอผงะจะหนีแต่ลั่นทมสั่ง
“อย่าไปไหน”
รสสุคนธ์ชะงักมองลั่นทมแล้วพูดต่อเหมือนคนธรรมดา
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย”
รสสุคนธ์อยากจะหนีแต่ไปไหนไม่ได้จำต้องเผชิญหน้ากับลั่นทม
“รสสุคนธ์สิ่งที่เธอทำกับฉัน ฉันน่าจะเอาคืน แต่ชาตินี้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานมากแล้ว..ฉันอยากจะสร้างบุญกุศลฉันจึงจะให้โอกาสเธอ ถ้าเธอยอมสำนึกแล้วยอมไปจากชีพฉันจะปล่อยเธอไป” รสสุคนธ์มองลั่นทมอย่างไม่แน่ใจ เพราะเธอเห็นลั่นทมปกติมาก รสสุคนธ์คิดว่าลั่นทมยังไม่ตาย จึงเหยียดยิ้ม
“ฉันรู้แล้วทุกอย่างมันเป็นแผนจริงๆ ลั่นทมเธอยังไม่ตาย ศพในโลงนั่นมันไม่ใช่เธอ พวกเธอจัดฉากหลอกชีพหลอกฉัน ฉันลืมไปได้ยังไงว่าครั้งหนึ่งเธอก็เคยฟื้นมาแล้วนี่นา”
“ฉันตายแล้วรสสุคนธ์ แต่ฉันอยากทำบุญด้วยการให้โอกาสเธอ...นี่เธอยังไม่ยอมเข้าใจอีกเหรอ”
รสสุคนธ์หัวเราะเยาะ “เธอนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ ทำเป็นผีมีคุณธรรมสุดท้ายก็จะให้ฉันไปจากชีพ ฉันไม่เชื่อเธอหรอก แล้วฉันก็ไม่กลัวเธออีกแล้ว แผนเธอแตกแล้วลั่นทม”
“เธอไม่ยอมรับโอกาสที่ฉันให้เธอแน่หรือรสสุคนธ์”
“ฉันจะไม่ไปจากชีพ” รสสุคนธ์หันไปทางชีพแล้วตะโกน “ชีพคะ ตื่นเถอะเราโดนมันหลอกจริงๆ ไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว ลั่นทมยังไม่ตาย”
“ถ้าเธอไม่เชื่อ ไม่กลัวก็ดี งั้นเธอไปกับฉัน”
“ไม่..ฉันไม่ไป ชีพตื่นสิชีพ”
ขาของรสสุคนธ์เริ่มก้าวไปข้างหน้า รสสุคนธ์ตกใจพยายามฝืนแต่ก็ไม่สำเร็จ
“อะไรกันเนี่ย ฉันไม่ไป ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ฉันสั่งให้ไป” ลั่นทมเสียงดังขึ้น “ไปเดี๋ยวนี้”
ลั่นทมหัวเราะก้องแล้วมองรสสุคนธ์
รสสุคนธ์เดินออกไปจากห้องตามแรงสะกดแต่เธอพยายามฝืนเต็มที่
“ไม่นะไม่ฉันไม่ไป เกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่โอ๊ยชีพ..ชีพช่วยด้วย”
รสสุคนธ์พยายามจะปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ออกจากห้องไปไม่ต่างกับที่ชีพเคยโดนแม้แต่นิดเดียว


สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจชุดนอนคุยกันอยู่ทางหนึ่ง ส่วนหวานสวดมนต์อยู่อีกมุมหนึ่ง รสสุคนธ์เดินฝืนๆ เข้ามาในห้องรับแขกจะออกไปทางหน้าบ้าน รสสุคนธ์มองพวกสวาทแล้วพยายามพูด
“ช่วย..ช่วยจับฉันไว้ที”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองรสสุคนธ์ด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครจับรสสุคนธ์ ส่วนหวานยังไม่เห็นเพราะหลับตาสวดมนต์อยู่ รสสุคนธ์พยายามจะหันหน้าหาพวกสวาทแต่หันไม่ได้จึงได้แต่พูด
“จับฉันไว้สิ จับไว้ อย่าให้ไป”
สวาทพูดกับยาใจ “แม่รสเขาเป็นอะไร”
“เออแน่ะ ทำไมเดินทื่อๆเหมือนหุ่นยนต์” ยาใจงง
“แล้วเขาให้จับอะไร จับใคร” จิ้มลิ้มว่า
ทั้งสามมองรสอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่สนใจ รสสุคนธ์เดินพ้นตัวบ้านไป สีหน้าของเธอเริ่มหวาดกลัว “ไม่นะไม่...”
ทั้งสามคนมองตามแล้วกระซิบกระซาบกัน
“เค้าจะไปไหนของเค้า” จิ้มลิ้มสงสัย
ยาใจกระซิบ “ช่างปะไร..อย่าไปยุ่ง..เกลียดหน้าจะตาย”
“ใช่เดี๋ยวก็มาหาว่าเราแส่อีก นอนเถอะ”
หวานสวดมนต์เสร็จก็หันมามอง
“สุมหัวนินทาใครอีกล่ะพวกแก เดี๋ยวนังรสมันลงมาเห็นก็ว่าเอาอีกหรอก” หวานว่า
“ออกไปแล้ว”
“ใคร” หวานถาม
“ก็แม่รสนะสิ ท่าทางแปลกๆ” ยาใจบอก
“ใช่ เดินทื่อๆออกไปโน้น พูดอะไรก็ไม่รู้ จับไว้ จับใครไม่ให้ไป อะไรแบบนี้ล่ะน้าหวาน” จิ้มลิ้มเล่า
หวานฟังก็งงแล้วก็นึกได้จึงลุกพรวดพราด
“นังรสโดนดีเข้าแล้วไง ตามไปเร็ว”
หวานวิ่งหน้าตื่นออกไป พวกสวาทงงแต่ก็วิ่งตามออกไป

ชีพนอนอยู่บนเตียง จู่ ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นแต่ยังงัวเงียอยู่ ชีพเรียกหารส
“รส..รส ฉันหิวน้ำ”
ไม่มีเสียงตอบ ชีพกวาดตาไปมาตามเพดาน แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาอย่างตกใจ ชีพนั่งที่เตียง มองหาพร้อมกับพร่ำพูด
“รส..รส” ชีพลุกขึ้นด้วยท่าทางยังเมาและโมโห “นังรส นังตัวดี แกหลอกฉัน ไหนว่าจะอยู่กับฉันตลอดเวลาไง”
ชีพมองหาด้วยสีหน้าหวาดๆ “อย่านะลั่นทม อย่ายุ่งกับฉัน โว้ย ไปไหนกันหมดวะ ทำไมทิ้งฉันอยู่คนเดียว”
ชีพหันไปเห็นขวดเหล้าก็คว้าขึ้นมาแต่เหล้าหมด ชีพโมโหจึงโยนขวดไปทางหนึ่งอย่างไม่สนใจ ชีพวิ่งออกไป

ชีพวิ่งลงมาจากชั้นบนแล้วเซจนเกือบล้มเพราะฤทธิ์เหล้ายังอยู่ ชีพเกาะราวบันไดแล้วตะโกน “รส...น้าหวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ โอ๊ยไอ้พวกบ้า เลวที่สุดมันหายหัวไปไหนกันหมด ไม่มีใครอยู่กับฉันสักคน อุษา...อุษา”
บรรยากาศรอบตัวชีพเหมือนจะปรากฏร่างของลั่นทม ชีพยืนหน้าซีด เขารีบวิ่งไปที่บาร์เหล้าแล้วคว้าเหล้ามากระดกเข้าปากก่อนจะมองไปรอบๆ ทำใจดีสู้เสือ
“มาสิวะ มาเลย..ฉันไม่กลัวแกหรอก นังลั่นทม”
ของร่วงตกลงมามีเสียงดัง ชีพสะดุ้งสุดตัว
ชีพร้องเสียงหลง “โอ๊ย” ชีพล้มลงแล้วปิดหน้ากลัวจนลนลาน “ออกไป นังลั่นทม นังผีบ้า อย่ามายุ่งกับฉัน”


รสสุคนธ์มายืนหน้าประตูสุสาน เธอส่ายหน้าฝืนตัวเต็มที่
“ไม่..ไม่ฉันไม่เข้าไป”
เสียงลั่นทมตวาด “เข้าไป”
ประตูเปิดออก รสสุคนธ์กำลังจะก้าวเข้าไป หวานกับพวกสวาทวิ่งมาถึง หวานถึงกับตะลึง
“นังรส อย่า” หวานตะโกนห้าม
หวานทำอะไรไม่ถูกจึงตัดสินใจเข้าไปดึงตัวรสสุคนธ์ไว้ แสงสว่างวาบออกมาจากเสื้อหวานเนื่องจากหวานใส่สร้อยพระ ทำให้รสสุคนธ์ได้สติพ้นจากอำนาจสะกดของลั่นทม
“น้าหวาน”
“แกจะเข้าไปในสุสานทำไม”
รสสุคนธ์สะดุ้งแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
“ฉันมาได้ไงนี่..”
“เอ้า...ก็เห็นเดินทื่อๆมาเอง แถมบ่นอะไรพึมพำ” สวาทบอก
แกคงโดนคุณผู้หญิงเล่นงานเข้าให้แล้วล่ะนังรส ข้าบอกแล้วให้รีบไปอยู่ที่อื่น”
รสสุคนธ์นิ่งคิดด้วยความสับสนก่อนจะหันไปมองในสุสาน
“น้าหวาน...ลั่นทมยังไม่ตาย เมื่อกี้มันยังมาต่อรองกับฉัน”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจตกใจ “หา !”
รสสุคนธ์มีสีหน้าตัดสินใจเด็ดขาดขณะเดินเข้าไปในสุสาน
ยาใจตะโกนถาม “แม่รสจะไปไหน”
รสสุคนธ์ตอบกลับมา “ฉันจะเข้าไปพิสูจน์ ใครอยากรู้ความจริงก็ตามมา”
พวกหวานหันหน้ามาปรึกษากัน “เอาไง..น้าหวาน” สวาทถาม
“เปิดเถอะ ปล่อยแม่รสบ้าไปคนเดียว เดี๋ยวก็ได้ลงไปอยู่ในโลงอีกคนหรอก”
หวานเป็นห่วงรสสุคนธ์จึงตัดสินใจตามเข้าไป พวกสวาทมองหน้ากัน สุดท้ายทั้งหมดก็ตามเข้าไปข้างใน


ไฟสว่างขึ้นโดยรสสุคนธ์เป็นคนเปิด รสสุคนธ์จ้องมองไปที่โลงศพลั่นทมแล้วเดินไปที่โลงศพก่อนจะมองนิ่ง หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเดินเข้ามา
“แกจะทำอะไรนังรส” หวานถาม
“ฉันจะเปิดโลงพิสูจน์” รสสุคนธ์บอก
“พิสูจน์อะไร”
“พิสูจน์ว่าศพในโลงนี่ไม่ใช่ลั่นทม” รสสุคนธ์หันมาออกคำสั่ง “พวกแกช่วยกันเปิดฝาโลงที”
“ว้าย ไม่เอาหรอก ใครจะเปิดก็เปิดฉันไม่เอาด้วยหรอก..”
ยาใจกับสวาทพูดพร้อมกัน “ฉันก็ไม่”
รสสุคนธ์ตวาด “ต้องเปิด ฉันสั่งให้แกเปิด”
เสียงลั่นทมดังขึ้น “ไม่ต้องเปิดโลงหรอก ถ้าอยากพิสูจน์ก็หันมาสิ”
รสสุคนธ์สะดุ้งก่อนจะหันไปเห็นลั่นทมยืนอยู่ รสสุคนธ์เห็นลั่นทมคนเดียว ส่วนสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงไม่หันไปทางลั่นทม
รสสุคนธ์โวยวายพร้อมกับชี้มือไปทางที่ลั่นทมยืนอยู่ “นั่นไง นังลั่นทมยืนอยู่นั่น มันไม่ได้อยู่ในโลง มันเล่นหลอกพวกเราทุกคน มันยังไม่ตาย เห็นมั้ย”
กลุ่มสวาทมองไปทางที่รสสุคนธ์ชี้อย่างหวาดๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร กลุ่มสวาทหันมามองหน้ากัน แล้วส่ายหน้า
“ไม่เห็นมีคุณผู้หญิงนี่ยะ”
จิ้มลิ้มกับยาใจ “ฉันก็ไม่เห็น”
“จะบ้าเหรอ ก็มันยืนยิ้มอยู่นั่นไง”
ทุกคนมองงงๆ เพราะไม่มีใครเห็นอะไร
ลั่นทมเดินยิ้มเข้ามาหารสสุคนธ์
“ไม่มีใครเห็นฉันหรอก พวกเขาเชื่อว่าฉันตายแล้วฉันก็ไม่ให้เขาเห็นเพราะฉันไม่อยากให้พวกเขากลัว แต่เธอไม่เชื่อ หาว่าฉันหลอก ฉันก็จะหลอกเธอคนเดียว”
ใบหน้าของลั่นทมเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นศพขึ้นอึด มีน้ำเหลือง และน้ำหนองเต็มหน้า รสสุคนธ์ตะลึงแล้วก็แหกปากร้องด้วยความตกใจสุดขีด “กรี๊ด....”
ลั่นทมเอามือบิดหัวตัวเองจนหลุดแล้วยื่นมาประชิดหน้ารสสุคนธ์แล้วแสยะยิ้ม
“คราวนี้เชื่อรึยังว่าฉันตายแล้ว”
รสสุคนธ์ร้องสุดเสียงแล้ววิ่งออกไปจากสุสานในสภาพล้มลุกคลุกคลาน ร้องขอความช่วยเหลือไปตลอดทาง “ช่วยด้วยๆ”
กลุ่มสวาทมองแล้วก็ตกใจก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพากันกระโจนออกไปทั้งๆที่ไม่ได้เห็นอะไร หวานยกมือไหว้พึมพำจนตัวสั่น “คุณผู้หญิงเจ้าขาไว้ชีวิตนังรสมันด้วยเถอะค่ะ”


ชีพนอนหลับ รสสุคนธ์เปิดประตูโครมเข้ามาแล้วแผดร้องพลางปลุกชีพด้วยท่าทางตกใจในสภาพทั้งเหนื่อยทั้งหอบ
“ชีพ..ตื่นเร็ว..ตื่น..ตื่นสิโว้ย” ชีพลุกขึ้นนั่งงัวเงีย รสสุคนธ์ลนลาน “คุณจะไปจากที่นี่ไม่ใช่เหรอ..ลุกสิ ไปเดี๋ยวนี้เลย..เร็วรีบเก็บของ...เร็วเข้า”
รสสุคนธ์ไปลากกระเป๋าเสื้อผ้าออกมากองแล้วเปิดตู้เสื้อผ้ารวบเสื้อผ้าออกมาจับยัดใส่กระเป๋า ชีพมองงงๆ แล้วเดินไปด้านหลังก่อนจะจับมือรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ตกใจร้องสุดเสียง
“ว้าย..” รสสุคนธ์เห็นเป็นชีพ “โอ๊ยตกใจหมด”
“ทำไมรีบร้อนขนาดนี้”
“ยังไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น รีบเก็บของสิเอาอะไรไปได้ก็เอาไปให้หมดนะ อย่าลืมเครื่องเพชรเด็ดขาดเลยอยู่ไหนรีบไปเอามา”
รสสุคนธ์ดันชีพไป ชีพเดินเปะปะไปเปิดตู้เก็บเครื่องเพชรแต่ในตู้ว่างเปล่า ชีพชะงักมองอย่างตกตะลึง
“เฮ้ย.... เครื่องเพชรหายไปไหนหมด”
รสสุคนธ์แทบร้องไห้เพราะทั้งเสียดายของทั้งกลัว
“มันไม่ให้ ไม่เป็นไร มีอะไรติดตัวพอขายได้ก็เอาไป ยืนเซ่ออยู่ทำไม เอาของคุณใส่กระเป๋าเร็วเข้าสิ”
รสสุคนธ์ถลาเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกก่อนจะร้องตะโกนลงไป
“เร็ว น้าหวานอยู่ไหน มีใครอยู่ขึ้นมาให้หมด” รสสุคนธ์ตะโกน หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจวิ่งพรวดขึ้นมา “ขนของพวกนี้ออกไป”
“เกิดอะไรขึ้นนังรส แกเจอคุณผู้หญิงเล่นงานเข้าแล้วใช่มั้ย”
“เออ ผีนังลั่นทมมันมีจริงๆ ฉันอยู่ไม่ได้แล้ว มันต้องฆ่าฉันกับคุณชีพแน่ๆ”
ชีพยืนตะลึง “ที่นี้เธอเชื่อฉันแล้วใช่มั้ย” ชีพกลัวมาก “มันจะฆ่าเรามันต้องเอาคืนแน่”
รสสุคนธ์คว้ามือชีพ “ไปเถอะไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาหมอผีมาเล่นงานมัน...ไป..” รสสุคนธ์หันมาสั่งพวกสวาท “ขนของฉันลงไปที่รถ”

อ่านต่อหน้าที่ 2


สุสานคนเป็น ตอนที่ 10 (ต่อ)

สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจหอบหิ้วข้าวของของชีพกับรสสุคนธ์มาใส่รถชีพที่จอดอยู่ ชีพกับรสสุคนธ์พากันออกมาจากในบ้านอย่างรีบร้อน รสสุคนธ์เตรียมเข้าประจำที่คนขับด้วยสีหน้าที่ยังคงหวาดกลัวสุดขีดทั้งสองคน คนอื่นๆ หน้าตาตื่น ธารินทร์ขับรถเข้ามาอุษานั่งข้างหน้า นฤมล หนุ่ย และโหน่งนั่งมาข้างหลัง นฤมลรีบลงจากรถแล้วมองอย่างแปลกใจ

“น้องรส จะไปไหน คุณธารินทร์เขาอุตส่าห์ไปอยู่เป็นเพื่อนศพกับพวกนายฉ่ำ จนสวดเสร็จเขาก็มาส่ง”
“รสต้องไปก่อน..พี่มลอยากอยู่ก็อยู่เถอะ”
ฉ่ำขับรถเข้ามาจอด โดยที่วิเวกกับสมพรนั่งมาด้วย ทั้งหมดลงมามองด้วยความแปลกใจ
“เดี๋ยว เธอไปแล้วพี่จะอยู่ยังไง เงินพี่ก็ไม่มีลูกๆพี่ล่ะ”
“มันก็เรื่องของพี่ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไปเร็วค่ะชีพ”
นฤมลขวางไว้ “อะไรวะก็ตอนนั้นเธอรับปากจะดูแลพี่อย่างดีพี่ถึงมาอยู่”
“แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” รสสุคนธ์เอาจริง “ฉันบอกให้หลีก...หลีกไป”
นฤมลยืนอึ้ง รสสุคนธ์ผลักนฤมลจนกระเด็นแล้วลากชีพขึ้นรถขับออกไป ทุกคนมองตามอย่างไม่เข้าใจ อุษาหันมาถามหวาน
“รสสุคนธ์เขาเป็นอะไรน้าหวาน ทำไมอยู่ๆขนของออกจากบ้านกลางดึกแบบนี้”
“โดนคุณผู้หญิงเล่นงานเอาน่ะสิคะ นึกว่ามันจะเก่งเหมือนปาก วิ่งหางจุกตูดไปเลย อิฉันเตือนมันแล้วเตือนมันอีก มันอวดดี...สมน้ำหน้าแล้วล่ะค่ะ”
นฤมลหน้าซีดเผือดเช่นเดียวกับทุกคน อุษามองไปทางสุสานอึ้งๆ “คุณน้า..”


อุษากราบหน้าโลงศพลั่นทม โดยมีธารินทร์อยู่ด้วย
“คุณน้าขา น้าชีพกับรสสุคนธ์ไปแล้ว พวกเขาคงสำนึกได้แล้วล่ะค่ะ คุณน้าปล่อยเขาไปเถอะนะคะ อย่าตามอาฆาตจองเวรอีกเลย ษาไม่อยากให้คุณน้ามีบาปติดตัว..นะคะ..คุณน้า”
ภายในสุสานสงบนิ่ง อุษาใจไม่ดีจึงก้มลงกราบแล้วก็หันไปหาธารินทร์ด้วยสีหน้ากังวล
“ษาสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้คะรินทร์”
“เกี่ยวกับสองคนนั่นเหรอ”
“ค่ะ ษากลัวว่าคุณน้าจะไม่ยอมปล่อยพวกเขา”
ธารินทร์มองที่โลงศพนิ่งๆ ก่อนจะพูดเรียบๆ “อะไรจะเกิดมันก็คงต้องเกิด ตอนนี้พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ คุณน้าให้โอกาสสองคนนั่นมามากพอแล้ว แต่พวกเขารนหาที่เอง”
ลมพัดวูบเข้ามาทั้งๆที่ไม่ได้เปิดหน้าต่างเหมือนจะเห็นด้วยกับที่ธารินทร์พูด ธารินทร์กับอุษามองหน้ากัน อุษาหวาดหวั่นเพราะไม่สบายใจ


รสสุคนธ์ขับรถ โดยมีชีพนั่งคู่มาด้วย โดยที่อาการชีพไม่ค่อยดีนักยังมีอาการมึนเมา และหวาดกลัว
“เราจะไปไหนกันนะรส”
“เข้ากรุงเทพ” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์เคียดแค้น “คอยดูนะนังลั่นทม แกกับฉันต้องได้เห็นดีกันแน่ อย่าคิดว่าแกจะชนะ ฉันแค่ถอยไปตั้งหลักเท่านั้น”
ชีพหลับตาพูดอย่างอ่อนเพลีย “แต่ฉันไม่อยากยุ่งกับมันแล้ว ฉันเหนื่อยเหลือเกินรส”
“เอาเถอะค่ะฉันจะจัดการทุกอย่างเอง”
รสสุคนธ์หันมามองชีพที่หลับอย่างเหนื่อยอ่อน รสสุคนธ์พึมพำ
“แค่ผีหลอกถึงกับจะยอมทิ้งสมบัติทุกอย่างก็ไม่ใช่นังรสแล้วล่ะ”
รถของชีพแล่นไปในความมืด โดยที่ทั้งถนนมีรถของชีพอยู่เพียงคันเดียว


สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ วิเวก และสมพรจับกลุ่มคุยกันอยู่ทางหนึ่ง ท่าทางของทุกคนหวาดๆ นฤมล หนุ่ย และโหน่งนั่งน้ำตาซึมอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง หวานจับสร้อยพระที่คอ
“คุณพระคุณเจ้าช่วยแกไว้แท้ๆนังรส ไม่งั้นแกคงลงไปอยู่ในโลงแล้ว แต่คราวนี้ถ้าแกยังไม่สำนึกอีก แกคงต้องตายอย่างน่าทุเรศแน่ๆ”
ธารินทร์กับอุษาเดินเข้ามา ทุกคนหยุดคุย นฤมลเช็ดน้ำตา
“แล้วนี่ฉันกับลูกจะทำยังไง..คุณจะไล่ฉันไปมั้ย ฉันไม่มีที่ไปที่ไหนแล้ว”
“ถ้าคุณไม่มีที่ไปก็อยู่ที่นี่ได้ ข้าวปลาอาหารคุณมีกินไม่ขาดแคลนแน่ แต่เรื่องเงินทองฉันไม่มีให้คุณหรอกนะ คุณคงต้องทนไปก่อนจนกว่าจะครบหกเดือน น้าชีพคงกลับมารับมรดกตามพินัยกรรม ถึงตอนนั้นคุณกับลูกๆ คงไม่มีปัญหา”

อุษาพูดจบก็พยักหน้ากับธารินทร์
“รินทร์กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะดึกมากแล้ว”
อุษากับธารินทร์เดินออกไปหน้าบ้าน นฤมลยังเป็นทุกข์จึงหันมาพูดกับหวาน
“เขาพูดเหมือนไม่โกรธฉันทั้งๆ ที่ ฉันเป็นพวกรสสุคนธ์นะ หรือว่าเขามีแผนอะไรในใจหึน้าหวาน”
หวานไม่พอใจ “คนหนอคน เพราะตัวเองเลวไม่เคยคิดดีกับคนอื่นก็เลยคิดว่าคนอื่นเขาจะเลวจะชั่วเหมือนตัว อย่างแกเนี่ย มันก็น่าจะลงไปอยู่ในโลงคุณผู้หญิงสักคืนเผื่อหูตามันจะสว่างขึ้นมาบ้าง”
หวานพูดจบก็เดินออกไป กลุ่มของสวาทหันมามองค้อนนฤมลอย่างไม่พอใจ
“รู้ไว้ด้วยว่าคุณอุษาไม่เหมือนแม่รส ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว คนดีคนชั่วอย่าเอาไปปนกันสิ”
“ขืนยังไม่รู้เรื่องอีก ฉันว่านะรายต่อไปต้องเป็นแกแน่นังมล”
จิ้มลิ้มเห็นด้วยใช่ๆๆ ไปกันเถอะ..”
นฤมลป้ายน้ำตา ฉ่ำมองด้วยความสงสาร
“แกก็พูดมากไปแม่หวาด ดูสิเขากลัวแย่แล้ว..”
สวาทหันมาแหวใส่ฉ่ำ “อ้อ ชอบมันใช่มั้ย ไอ้ฉ่ำ ไอ้นี่ แก่แล้วยังไม่เจียมตัว เดี๋ยวข้าก็จุดธูปให้คุณผู้หญิงมาพาแกไปอีกคนหรอก”
“เฮ่ย นังหวาด...ปากเสีย...”
ขาดคำของก็ตกลงมา ทุกคนสะดุ้ง หนุ่ยกับโหน่งร้องไห้ออกมาแล้วกอดแม่ นฤมลกอดลูกน้ำตาไหล สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ สมพร และวิเวกพากันวิ่งออกไป เหลือเพียงนฤมลกับลูก
นฤมลเสียงสั่น “ไปนอนกันเถอะ โหน่ง หนุ่ย...”
ทั้งสามคนรีบขึ้นบันไดไป

หวานแว้ดใส่ทุกคน
“ทีหลังอย่าล้อเล่นอย่างนี้อีกนะ คุณผู้หญิงท่านเอาจริงแน่คราวนี้...”
“ป่านนี้นังรสจะเป็นยังไงบ้างแล้วก็ไม่รู้”
หวานหันมาหน้าซีด ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นด้านหลังหวาน
“ฉันจัดการมันแน่”
หวานหันขวับไปข้างหลังทันทีเพราะได้ยิน
“คุณผู้หญิงเหรอคะ...” หวานถาม
หวานมองหา สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ วิเวก และสมพรต่างก็นิ่งอึ้งเพราะไม่กล้าออกความเห็น
“ข้าเหมือนได้ยินคุณผู้หญิงพูด..” หวานบอก
สวาทอึ้งและตาเหลือกเพราะนึกกลัวขึ้นมา สวาทตัวสั่น ฉ่ำจับตัวสวาทไว้ สวาทสะดุ้งตกใจจะร้องกรี๊ด แต่ฉ่ำปิดปากสวาทไว้ได้ทัน สวาทตาเหลือก
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก...” ลั่นทมบอก
“คุณผู้หญิง ข้าได้ยินเสียงคุณผู้หญิงจริงๆ ด้วย...” หวานบอก
จิ้มลิ้ม ยาใจ สมพร และวิเวกเบียดเข้าหากัน สวาทตาเหลือกแล้วก็เป็นลมอยู่ที่ร่างของฉ่ำ

อุษากับธารินทร์อยู่ข้างรถของธารินทร์
“คุณเลยต้องพลอยลำบากแทบทุกคืน ษาเกรงใจคุณจัง” อุษาบอก
ธารินทร์จับมืออุษา “เพื่อษาแล้วผมยินดีเสมอ”
“อย่าลืมเรื่องที่ษาฝากปรึกษาคุณลุงหมอผันด้วยนะคะ”
“ผมไม่ลืมแน่ ฝันดีนะษา”
“ค่ะ” อุษายืนมองจนธารินทร์ขับรถลับตาไป อุษาหันกลับมามองตัวบ้านที่เงียบเหงาแล้วก็ถอนใจเบาๆ ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นข้างๆอุษา
“ไม่ต้องกลัวบาปติดตัวน้าหรอกษา น้าจำเป็นต้องสั่งสอนคนเลวให้พวกมันสำนึกเสียบ้าง”
อุษาชะงักเพราะเหมือนจะได้ยินเสียงอะไร อุษามองไปรอบๆ
“คุณน้า..คุณน้าใช่มั้ยคะ คุณน้าอยู่ตรงนี้ใกล้ๆษานี่ใช่มั้ย”
ลั่นทมมองอุษาอย่างชั่งใจว่าจะให้เห็นดีหรือเปล่า อุษาพูดต่อ
“คุณน้า ษาไม่กลัวคุณน้าหรอกค่ะ คุณน้าให้ษาเห็นสิคะ ษาอยากคุยกับคุณน้า”
ลั่นทมลังเล อุษาอ้อนวอนต่อ “นะคะคุณน้าต้องการยังไงบอกษา ษาจะทำให้ทุกอย่างแต่ษาขอคุณน้าอย่าทำร้ายใครอีก มันบาปนะคะคุณน้า”
ลั่นทมตัดสินใจปรากฏร่างรางๆ
หวานตรงเข้ามาเรียกอุษา “คุณอุษาเข้าบ้านเถอะค่ะ มายืนทำอะไรตรงนี้ค่ะ”
ลั่นทมรีบหายไป อุษามองหวานยิ้มๆ “ษากำลังจะเข้าบ้านอยู่เดี๋ยวนี้ละคะน้าหวาน”
อุษากับหวานพากันเดินเข้าบ้านไป ลั่นทมปรากฏขึ้นด้านหลังมองทั้งสองคนแล้วพูดคนเดียว
“น้าต้องการให้น้าชีพเขาสำนึก แล้วกลับมาอยู่บ้านนี้ด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ถ้าเขายังโลภเขาจะไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งชีวิต”


หวานเดินเข้ามาในห้องอุษาแล้วพูดกับอุษาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
“คุณอุษาขา...อิฉันเหมือนได้ยินเสียงคุณผู้หญิงค่ะ”
อุษามองหวานอย่างตกตะลึง เพราะตนก็ได้ยินเช่นกัน
“จริงเหรอน้าหวาน...ษาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคุณน้าเหมือนกัน”
หวานอึ้งไป อุษากลับระบายยิ้มแล้วมองไปรอบๆ
“คุณน้า...คุณน้า...ษาเชื่อว่าคุณน้าอยู่ใกล้ๆ ษา...คุณน้า ต้องเชื่อษานะคะ...คุณน้าอย่าทำอะไรใครเขาอีก...มันจะเป็นบาป...คุณน้าขา”
หวานน้ำตาไหลพราก “ไว้ชีวิตนังรสด้วยเถอะนะคะคุณผู้หญิง มันทำไปก็เพราะมันยังเด็ก มันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อิฉันจะอบรมมันเอง...อิฉันสัญญา”
หวานยกมือสั่นๆ ไหว้ไปทั่วห้องแล้วก็น้ำตาไหลพราก ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นที่มุมหนึ่งแต่ไม่มีใครเห็น สีหน้าของลั่นทมยังคงแค้นจัดเพราะไม่ให้อภัยรสสุคนธ์

รสสุคนธ์ขับรถ เธอหันมาเห็นชีพกำลังนอนหลับ รสสุคนธ์เริ่มโมโห
“คอพับคออ่อนเลย...นี่ถ้าผีนังลั่นทมมันโผล่มา...แกจะช่วยฉันได้หรือเปล่า”
พูดจบร่างของลั่นทมก็ปรากฏขึ้นที่กระจกมองหลัง รสสุคนธ์ขับรถไป ถนนสองข้างทางไม่มีผู้คน เพราะทั้งเปลี่ยว ทั้งมืด
“บ้าจริง นี่มันที่ไหนกันนะ...ทำไมมันมืดอย่างนี้ ตะกี้นี้ยังไฟสว่างอยู่เลย”
รสสุคนธ์เงยหน้ามองดูในกระจกมองหลัง เธอเห็นลั่นทมนั่งอยู่ที่เบาะหลังและกำลังมองมาที่รสสุคนธ์
รสสุคนธ์ร้องออกมา “กรี๊ด...”
รสสุคนธ์หันหลังขวับมาก็ไม่เห็นลั่นทม เธอเห็นเบาะว่างเปล่า
“หา..โอย เราตาฝาด...”
ชีพเริ่มงัวเงียและรู้สึกตัว รสสุคนธ์ตวาดใส่
“หลับเป็นตายเลยนะ น่าจะมาช่วยรสขับบ้าง”
“ถึงกรุงเทพฯ หรือยัง...”
รสสุคนธ์หันขวับมาทางชีพแล้วก็หัวเสีย
“ถ่างตาดูสิชีพ...ดูซะให้เต็มตา กรุงเทพฯอะไรมันจะมืดยังงี้”
รสสุคนธ์หันมองไปที่ถนนหน้ารถก็เห็นลั่นทมยืนขวางถนนอยู่ ลมแรงจนเสื้อผ้าของลั่นทมปลิวไป ผมของเธอยาวปลิวจนดูน่ากลัว
“กรี๊ด...” รสสุคนธ์เสียงสั่น “มัน...มัน อยู่นั่น...มัน...นังลั่นทม”
ชีพมองแต่ไม่เห็น เขาหันมาเขย่าตัวรสสุคนธ์
“รส...รส...มีที่ไหนล่ะ มีที่ไหน”
รสสุคนธ์หลับตา เธอตัดสินใจขับรถพุ่งชนลั่นทม ชีพตกใจจึงใช้มือหักพวงมาลัยทำให้รถพุ่งเข้าพงหญ้า รสสุคนธ์เหยียบเบรกจนมิดทำให้รถเสียหลัก จอดกึก เสียงเบรกดังลั่น รสสุคนธ์ร้องไห้โฮออกมา ชีพเหลียวมองไปรอบๆ
“ลั่นทม...ผม...ผมสัญญาจะคืนสมบัติให้คุณหมดเลยแต่ว่าอย่ามาหลอกหลอนกันอย่างนี้ ผมกลัว...”
รสสุคนธ์ได้สติก็หันมาด้วยอาการตกใจ “ชีพ...จะบ้าเหรอ พูดอะไรออกมา รู้ตัวหรือเปล่า”
“ก็ดีกว่าเราต้องตาย โดนมันหลอกขนาดนี้ยังไม่เข็ดเหรอรส”
รสสุคนธ์อึ้งไปด้วยความโลภทำให้บ่ายเบี่ยง
“รสแค่หลอกคุณเล่น...อยากให้คุณตื่นมาช่วยรสขับรถน่ะ ไม่มีหรอก...” รสสุคนธ์เสียงสั่น “มีที่ไหน ผีลั่นทม ไม่มีหรอกค่ะ”
ชีพถอนใจด้วยความโล่งอก “ถึงว่าสิ..ฉันมองไปก็ไม่เห็นลั่นทม ไม่เอานะรส ทีหลังอย่าล้อเล่นอย่างนี้นะ...ยิ่งกลัว ๆอยู่ด้วย”
รสสุคนธ์พยักหน้าและรับปาก เธอมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหวาดๆ รสสุคนธ์ออกไปข้างนอกรถ พงหญ้าส่ายไหวไปตามแรงลม บรรยากาศดูน่ากลัว

ธารินทร์ขับรถมาจอดหน้าบ้านหมอผันแล้วบีบแตร หมอผันเปิดประตูออกมามองท่าทางงัวเงียเหมือนพึ่งตื่น
หมอผันบ่น “อะไรวะ มาทำไมป่านนี้ไอ้หมวด”
ธารินทร์ลงจากรถเดินเข้าบ้านไปหาหมอผัน
“ขอโทษครับพ่อ ผมมีเรื่องด่วน”
ธารินทร์ดึงมือพ่อมานั่งแล้วพูดทันที “พ่อต้องช่วยคุณน้าลั่นทมด้วย”
“ช่วยอะไรอีกล่ะวะ ข้าก็ช่วยจนหมดความสามารถแล้วจนป่านนี้ ยังไงก็ไม่ฟื้นแล้ว ถึงฟื้น โอ๊ยเอ็งจะบ้าเหรอสภาพคุณนายจะเป็นยังไง”
“ก็เป็นผีน่ะซี โธ่พ่อไม่ได้ให้ช่วยอย่างนั้น ตอนนี้วิญญาณคุณน้าลุกขึ้นมาอาละวาดตั้งแต่นายฉลอง นายเรวัต คุณชีพกับรสสุคนธ์ก็โดนจนหนีเตลิดออกจากบ้านไปแล้ว”
“ฮ้า...เฮี้ยนขนาดนี้เลยเหรอ” ผันตกใจ
“พ่อต้องช่วยนะ ษากลัวคุณน้าจะสร้างบาปอีก”
“แล้วจะให้ช่วยยังไง”
“พ่อรู้จักใครที่ติดต่อวิญญาณได้บ้าง”
ผันอึ้งนิ่งเงียบใช้ความคิดอย่างหนัก ธารินทร์ลุ้นอย่างมีความหวัง
“ว่าไงพ่อ รู้จักบ้างมั้ย..”
หมอผันถอนใจส่ายหน้า “ไม่มีเลยว่ะ”
ธารินทร์เซ็ง


รถของชีพจอดอยู่ที่ถนนริมทาง รสสุคนธ์กับชีพนอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ในรถ ลั่นทมกอดอกยืนมองอยู่นอกรถด้วยความรู้สึกทั้งน้อยใจและแค้นใจ

เจ้าอาวาสถือบาตรเดินมาเตรียมไปบิณฑบาต สัปเหร่อเดินผ่านมาพอดีก็ยกมือไหว้ สัปเหร่อมองไม่เห็นลูกศิษย์วัด
“หลวงพ่อ วันนี้ทำไมไม่มีลูกศิษย์”
“มันไม่สบาย” หลวงพ่อบอก “ไม่เป็นไรหรอกโยม หลวงพ่อก็ทำพุทธกิจตามที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้เท่านั้น”
หลวงพ่อเดินไป สัปเหร่อเดินตาม
“หลวงพ่อรอเดี๋ยว ผมเป็นลูกศิษย์ให้ก็ได้ครับ ผมไปเอาย่ามก่อน”
หลวงพ่อพยักหน้า สัปเหร่อเดินไปทางหนึ่ง แสงสีทองของวันใหม่เริ่มจับที่ขอบฟ้า


หลวงพ่อเดินอุ้มบาตรนำหน้าสัปเหร่อซึ่งสะพายย่ามเป็นลูกศิษย์ตามหลังมา ชีพกับรสสุคนธ์ยังหลับอยู่ในรถ บรรยากาศยามเช้ามืด แสงแดดยังไม่มี รอบข้างเต็มไปด้วยความมืดสลัว ลั่นทมยืนอยู่ข้างรถ หลวงพ่อกับลูกศิษย์เดินมาถึงพอดี
“อย่าผูกเวรกับเขาเลย” หลวงพ่อเตือน
สัปเหร่อมองไปที่รถอย่างงงๆ และทำสีหน้าสงสัยเพราะคุ้นๆ
ลั่นทมนั่งลงไหว้แล้วสะอื้น “โยมต้องการให้เขาสำนึกแค่นั้นค่ะหลวงพ่อ”
“กรรมของใครก็ของมัน...เมื่อเขาไม่เห็นว่าหนทางของการทำความดีไปทางไหน โยมชี้ทางให้เขาก็ไม่เกิดประโยชน์มีแต่จิตใจของโยมจะยิ่งทุกข์มากขึ้น...ปล่อยเขาไปเถิด..”
ลั่นทมสะอื้นเบาๆ สัปเหร่อเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นจึงเหลียวมองซ้ายขวา แล้วลั่นทมก็วูบหายไป “รถคันนี้คุ้นๆ นะครับ” สัปเหร่อพูด
สัปเหร่อมองไปจึงเห็นชีพกับรสสุคนธ์ “คุณชีพเจ้าของโรงงานนี่ครับหลวงพ่อ...ทำไมมานอนยังงี้ล่ะ”
สัปเหร่อตรงไปเคาะหน้าต่าง รสสุคนธ์กับชีพรู้สึกตัว รสสุคนธ์ผวา
“ชีพ...ทำไมเรา...”

ชีพมองไปข้างนอก หลวงพ่อยืนอยู่ ทั้งสองก้าวออกมาจากในรถ
“หลวงพ่อช่วยด้วย..”
ชีพมองดูรถแล้วเกาหัวงงๆ รสสุคนธ์เบรกแล้วรถก็หันพุ่งเข้าสู่พงหญ้าเข้ามาในห้วงคิดแว่บหนึ่ง
“ดีนะที่ไม่ตกไปในคูน้ำ ไม่งั้นละก็ข่าวใหญ่แน่...”
“แกไม่ต้องพูดมาก มาช่วยกันหน่อยสิ”
“คนเดียวผมจะทำไหวได้ไง...แถวนี้อยู่ใกล้วัด เดี๋ยวพวกคนงานก็ออกมารอรถ คุณก็ให้เขาช่วยก็แล้วกัน”
ชีพไม่พอใจ เขาอยากจะด่าแต่ก็เกรงใจเจ้าอาวาส รสสุคนธ์รู้สึกถึงความผิดปกติ
“วัด...แถวนี้ใกล้วัดเหนือเหรอ นี่มันอะไรกันคะชีพ รสขับรถทั้งคืน มันน่าจะไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ที่ไหนได้ห่างบ้านเราไม่ถึงสองกิโล”
“นี่มันด้านหลังวัดเองนะครับคุณชีพ...”
ชีพเม้มปากเพราะเชื่อว่าเป็นฝีมือลั่นทม
ชีพพูดเบาๆ “นังลั่นทม..” ชีพพูดกับหลวงพ่อ “หลวงพ่อ เราสองคนถูกผีหลอก ผีลั่นทมหลอกเรา..”
รสสุคนธ์เตือนสติชีพ “ไม่นะชีพ..ทำไมพูดยังงั้นล่ะ” รสสุคนธ์พูดกับพระ “ไม่มีหรอกค่ะ คุณชีพเมา...เราสองคนก็เลยจอดนอนที่ตรงนี้”
สัปเหร่อมองดูรถแล้วก็ส่ายหน้าเพราะไม่เชื่อว่าจอดรถนอน
“เราถูกผีหลอกจริงๆ หลวงพ่อมีของดีอะไรให้เราป้องกันตัวบ้างมั้ยครับ...”
“ไม่มีหรอก ผีไม่ทำร้ายใครหรอก ถ้าโยมไม่รบกวนเขาก่อน”
หลวงพ่อเดินไปอย่างสงบ
“ผมไปก่อนละ...เดี๋ยวคนงานก็ออกมารอรถกันแล้วละครับคุณชีพ”
สัปเหร่อเดินไป รสสุคนธ์ว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย...คนไม่มีน้ำใจ ชีพ ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ อย่าพูดอะไรให้คนเขาเชื่อว่าผีนังลั่นทมมันเล่นงานเรา”
“แต่เราโดนหลอกจริงๆ นี่นารส...”
“เราแค่ตกใจ ฝันไป ตาฝาด... ไม่มีอะไรจริงๆนะคะชีพ แต่ถึงมี...มันก็ทำอะไรเราไม่ได้...อย่าลืมสิว่าทรัพย์สมบัติของมันมากมาย มันต้องเป็นของเรา มันต้องแพ้เราค่ะชีพ”
ชาวบ้านแต่งชุดคนงานโรงงานของชีพออกมากลุ่มหนึ่ง
“อ้าว ผู้จัดการ” คนงานยกมือไหว้
“รถฉันอุบัติเหตุน่ะ ช่วยกันที”
คนงานมองหน้ากัน เหมือนสงสัยที่เห็นชีพมากับรสสุคนธ์
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม แค่นี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ...หรือว่าจะให้ฉันไล่พวกแกออกจากงานให้หมด เร็ว”
“เอ้า เร็ว ช่วยกัน..”
คนงานช่วยกันเข็นรถให้พ้นจากพงหญ้า ชีพกับรสสุคนธ์ยืนมองสีหน้าของชีพเหนื่อยและเพลีย จนเบือนหน้าระบายลมหายใจ


เช้าวันใหม่ อุษาพูดกับหวานด้วยสีหน้าดีใจ
“จริงเหรอน้าหวาน น้าหวานพูดจริงๆนะ”
“จริงสิคะ อิฉันนอนคิดทั้งคืน ก็เลยจำได้ว่าเคยรู้จักอยู่คนหนึ่งคนที่ติดต่อวิญญาณได้ เขาชื่อจรัล คุณจรัล”


อุษาจุดธูปดอกเดียวยกขึ้นไหว้แล้วปักลง อาหารในถาดเครื่องเซ่นวางอยู่หน้าโลงศพ
“คุณน้าขา...ษากำลังหาทางช่วยคุณน้าอยู่ค่ะ...คุณน้าอย่าคิดรังแกเขาเลยนะคะ ให้อภัยเขาไปเถอะค่ะ”
อุษามองโลงศพน้ำตาคลอ แล้วน้ำตาก็หยาดไหล เสียงตึงตังดังมา อุษาหันไป สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจวิ่งเข้ามาอย่างหอบเหนื่อย หวานซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังอุษาหันไปถาม
“อะไรวะ นังหวาด นังยา นังลิ้ม...ทำเหมือนโลกจะแตกยังงั้น” หวานว่า
“ยิ่งกว่าแตกอีกนะน้าหวาน คือ...ฉันไปตลาด คนเขาลือกันค่ะ...เขาว่าคุณผู้ชายกับแม่รส โดนผีหลอกอยู่หลังวัด”
“ค่ะๆ สัปเหร่อที่เคยช่วยคุณอุษาเรื่องศพคุณผู้หญิงน่ะค่ะ แกเล่าทั่วตลาดเลย” จิ้มลิ้มว่า
จิ้มลิ้มมองไปที่โลงศพแล้วก็สยอง อุษาพูด “คุณน้าชีพกับรสสุคนธ์ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่นา”
“ก็นั่นสิคะ...สงสัยว่าโดนคุณผู้หญิงหลอกทั้งคืนเลยนอนอยู่ในรถหลังวัด”
“น้าหวาน เราไปดูกัน...จะได้ตามน้าชีพกลับบ้านด้วย..”
หวานส่ายหน้าแล้วหันไปทางโลงศพ
“คุณหนูอุษามั่นใจแล้วเหรอคะว่าคุณผู้หญิงจะพอใจ” หวานว่า
อุษามองที่โลงศพลั่นทม “คุณน้าต้องเชื่อษานะคะ...อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลยค่ะ”


รสสุคนธ์หันมาตวาดชีพ
“คุณมาขับบ้างสิ รสเหนื่อย...ทำไมถนนมันยาวกว่าทุกวันนะ”
“หรือว่าลั่นทม” ชีพว่า
รสสุคนธ์หันมาตวาดดังกว่าเดิม
“คำก็ลั่นทม สองคำก็ลั่นทม ตกลงคุณเกลียดมันหรือคิดถึงมันกันแน่”
“อย่าบ้าน่า...มันทำเราเกือบตายจะไม่ให้ผมพูดถึงมันได้ยังไงจอดสิ ฉันขับเอง”
รสสุคนธ์จอดรถอยู่ที่ริมถนน ชีพออกไปนอกรถแล้วขึ้นนั่งฝั่งคนขับ ส่วนรสสุคนธ์มานั่งแทนชีพ
ชีพขับรถออกไปแต่ขับได้ไม่เท่าไหร่ เครื่องก็เหมือนจะดับเสียดื้อๆ
“อ้าว เกเรแล้วมั้ยล่ะ...เพิ่งเข้าอู่เช็กมาเมื่อไม่กี่วันนี่เอง” ชีพว่า
“หรือว่าเราใช้งานมันหนักเกินไป”
“ฉันว่าฝีมือนังผีลั่นทมอีกเป็นแน่”
รสสุคนธ์หันมาพูดเซ็งๆ“รสเบื่อๆๆ เบื่อได้ยินมั้ย...โอ๊ย เงินทองก็ไม่มีแถมยังมีอะไรบ้าบอมาให้วุ่นวายอีก”

อ่านต่อหน้าที่ 3


สุสานคนเป็น ตอนที่ 10 (ต่อ)
 
ชีพพยายามสตาร์ทรถแต่ก็ไม่ติด ทั้งสองหน้าเสียแล้วหันมามองหน้ากัน ชีพพยายามสตาร์ทรถ แต่ก็ไม่ติดอีก เขาจึงระเบิดอารมณ์
“เอาสิวะ เอาไงเอากัน มาหักคอฉันตอนนี้เลยก็ได้ มาสิ แดดเปรี้ยงแบบนี้ จะได้รู้ว่าเธอมันแน่...มาเลย...นังผีบ้าแน่จริงก็มาเลย”
รสสุคนธ์หน้าเสียไป “ชีพ...”
“ทำไม กลัวเหรอ ไหนเธอบอกว่าผีลั่นทมไม่มีจริงไงเธอไม่เชื่อก็ไม่ต้องกลัวมัน...”
ชีพโมโหที่สตาร์ทรถไม่ติดจึงทุบพวงมาลัยจนแตรรถดังลั่น รสสุคนธ์ปิดหู เสียงหัวเราะดังก้อง รสสุคนธ์เหลียวไปรอบๆ แล้วก็หน้าเสียจนจะร้องไห้ ชีพหันมาถาม
“รส เป็นไร..”
“มันต้องหัวเราะอยู่ใกล้ๆ เรา รสได้ยินมันเต็มสองหู”
ชีพหันมองไปรอบๆ แล้วก็หัวเสียหนักขึ้น
“จะบ้าเหรอ”
รสสุคนธ์ปิดหูและหลับตาปี๋ เงาใบหน้าของลั่นทมหัวเราะอยู่ข้างหูอย่างคนบ้าคลั่ง
ชีพดัง “หยุด...หยุด ฉันบอกให้หยุด...”
ชีพกระชากมือที่ปิดหูรสสุคนธ์ออก แล้วตวาดถาม
“ได้ยินหรือเปล่า”
เงาใบหน้าของลั่นทมหายไป รสสุคนธ์มองไปรอบๆ เพราะไม่ได้ยินแล้วแต่ก็ยังหวาดๆอยู่ ชีพสตาร์ทรถจนเครื่องติด รถกระชากตัวออกอย่างเร็วแล้วรถก็แล่นไป


อุษามีสีหน้ากังวล เธอบอกกับหวานที่เดินมาพอดี
“น้าหวาน...ษาตัดสินใจแล้ว ติดต่อคุณจรัลเถอะค่ะ”
หวานอึ้งไป “แน่ใจแล้วเหรอคะ”
“ษานั่งในสุสานทั้งวันเลย...คิดว่าจะติดต่อคุณน้าได้บ้าง...ษา เคยได้ยินเสียงคุณน้า แต่วันนี้ษาอ้อนวอนเท่าไหร่ คุณน้าก็ไม่ส่งสัญญาณว่ารับรู้เลย”
“คุณษาหมายความว่า...”
“ษากลัวว่าคุณน้ากำลังตามไปเล่นงานเขาสองคนอยู่”
นฤมล หนุ่ย โหน่งลงบันไดมาพอดีแล้วก็หยุดชะงัก
“หมายความว่ายังไงเหรอ...ผีลั่นทมอาละวาดใครเหรอคะคุณษา”
“กรุณาเรียกคุณน้าลั่นทมให้สุภาพกว่านี้ค่ะคุณนฤมล”
หวานมองหน้านฤมลแล้วพูดเสียงเครียด
“พาลูกออกไปข้างนอกซะ...ข้าจะคุยกับคุณอุษา ไปสิ..”
นฤมลไม่ค่อยพอใจจึงหันมาบอกลูก “หนุ่ย โหน่ง ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะลูก...”
นฤมลพาลูกเดินออกไป“ต่อให้ต้องใช้เงินมากเท่าไหร่ ษาก็ยอมค่ะ ขออย่างเดียวอย่าให้คุณน้าต้องทำบาปอีกเลย”


บ้านของจรัลเป็นบ้านที่มีฐานะ จรัลนั่งสงบอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยๆ กลางห้องจิตวิญญาณ ม่านปิด ไฟปิด เปิดไว้แต่ไฟแวมๆ จากดวงแก้วบนโต๊ะเตี้ยๆ ตรงหน้า ภูตหน้าตาประหลาดตากลวงโบ๋ ยับย่น ลอยวับๆ แวมๆ อยู่รายรอบตัวจรัลรอจังหวะเข้าร่าง จรัลหลับตาตั้งสมาธินิ่งสงบ
เสียงเคาะประตูดังเบาๆอย่างเกรงใจก่อนจะเปิดเข้ามา แฉล้มโผล่หน้าเข้ามาพูดเบาๆ “คุณจรัลคะ...โทรศัพท์ค่ะ”
แฉล้มชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นภูตหลายตัวลอยวนเวียน จรัลพูดเรียบๆทั้งที่ยังหลับตา “บอกแม่หวานว่าจะมาก็มาได้เลยวันนี้ช่วงบ่ายฉันว่าง”
“ค่ะ”
แฉล้มรีบปิดประตูยืนลูบอกพึมพำ
“ยังไงก็ยังไม่ชินสักที” แฉล้มนึกได้ “รู้ได้ไงว่าแม่หวานโทรมายังไม่ได้บอกสักหน่อย”
ภูตโผล่มาข้างๆ แฉล้ม “ฉันบอกพ่อเองแหละ”
แฉล้มตกใจสุดขีดแล้วก็เผ่นออกจากหน้าห้องจรัลพร้อมกับร้องเอะอะ
จรัลยิ้มนิดๆ แต่พูดดุๆ “บอกกี่ครั้งว่าอย่าซน เดี๋ยวแฉล้มก็หัวใจวายตายหรอก”
จรัลลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางครุ่นคิด


อุษายืนลุ้นอยู่ข้างๆหวาน หวานวางโทรศัพท์แล้วหันมาหาอุษา
“เรียบร้อยค่ะคุณษา”
“ดีจ้ะว่าแต่คุณจรัลคนนี้เขาเก่งแน่นะน้าหวาน”
“แน่สิคะ ของแท้ไม่ใช่พวกหลอกลวง คุณจรัลเขาเก่งทางจิตวิญญาณ เขามีห้องทดลองเก็บวิญญาณด้วย อิฉันเคยเห็นกับตา ตอนพ่อกะแม่นังรสตาย เขาเรียกวิญญาณมาได้พ่อนังรสปรากฏร่างให้เห็นจะจะเลย”
นฤมลเดินผ่านมาได้ยินก็รีบถามด้วยความตื่นเต้นแล้วก็แอบฟัง นฤมลเห็นอุษาแล้วรีบคว้ามือหวาน
“น้าหวานรีบไปเตรียมตัวเถอะค่ะ ษาฝากด้วยนะคะ ษาต้องรีบไปโรงงานก่อน”
“ค่ะคุณษาไม่ต้องห่วง”
นฤมลเดินออกไป อุษามีสีหน้าดีใจมาก หวานเดินเลี่ยงไปที่ห้องของตน

โหน่งกับหนุ่ยวิ่งเล่นกันที่สนาม อุษาออกมาจากในบ้านแล้วเดินตรงมาที่รถ นฤมลเดินมาหา
“แน่ใจเหรอคะคุณอุษาว่าจะไปพบคนที่ชื่อจรัล..”
อุษามองนฤมลอย่างตำหนิ “แอบฟัง..”
“เปล่า...ฉันไม่ได้ตั้งใจ พอดีจะไปหยิบของ แต่ได้ยินเข้าก็เลยอยากจะเตือน”
“อะไรคะ”
“คุณจรัลคนนี้เขาเคยชอบน้องรสอยู่ ก่อนพ่อแม่น้องรสจะตาย ได้ข่าวว่าเช้าถึงเย็นถึง รู้อย่างนี้แล้ว มีหรือที่คุณจรัลจะช่วยคุณอุษา ฉันเกรงว่าคุณจรัลจะช่วยปราบวิญญาณคุณนายลั่นทมซะมากกว่า...”
“ทำไมคุณจรัลต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะคะ”
“ป่านนี้น้องรสคงไปหาเขาแล้วล่ะค่ะ...ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะคะ”
อุษายิ้มเย็นแล้วมองหน้านฤมล
“ษาเชื่อว่าคุณจรัลเป็นคนดี แล้วก็มีบุญค่ะ เพราะถ้ามีกรรมก็คงได้ผู้หญิงอย่างรสสุคนธ์เป็นเมียแล้ว นี่บุญเขายังมากอยู่เขาก็เลยรอดไปได้...ษาเชื่อว่าคุณจรัลแยกแยะได้ค่ะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร”
นฤมลหน้าตึงขึ้นมาแล้วก็เชิดหน้า “ก็ตามใจ...ฉันก็แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น”
นฤมลเดินไป อุษาพูดตามหลัง“ที่กล้ามาพูดแบบนี้ เลิกกลัววิญญาณคุณน้าลั่นทมแล้วรึคะ”
นฤมลหันมาแล้วก็หน้าซีด แต่นฤมลก็ไม่พอใจที่อุษาพูดอย่างนั้น นฤมลเดินลิ่วไปหาโหน่งกับหนุ่ย อุษาขึ้นรถแล้วขับออกไป
นฤมลมองตามรถไป “ก็คอยดูกันไป...ครบหกเดือน คุณชีพกับน้องรสกลับมาเธอน่ะแหละจะต้องระเห็จออกไปจากที่นี่...เชอะ”

ศรีนั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ชะงักเมื่อเห็นแฉล้มวิ่งร้องเอะอะออกมาจากในบ้านแล้ววิ่งตรงมานั่งหอบๆ ในสภาพผมตั้งโด่เด่ หน้าตาตกใจ
แฉล้มเสียงสั่น “นะโมตัสสะๆ...ฮือ..คุณศรีขา แล่มไม่อยู่แล้วแล่มขอลาออก ฮือ หัวจะโกร๋น”
“อะไรกันอีกล่ะ แฉล้ม...หัวหู ทำไมเป็นอย่างนี้ ฮะ”
“ก็พวกลูกๆคุณจรัลนะสิคะ แล่มทำกับข้าวอยู่ดีๆก็มาแกล้งหลอกแล่ม แล่มหัวใจจะวายอยู่แล้ว”
จรัลเดินเข้ามานั่งด้วย ศรีวางหนังสือพิมพ์
“นี่จรัล..แกเลิกไอ้พิธีกรรมบ้าบอคอแตกของแกซะทีได้มั้ย ดูๆ เห็นนังแล่มมั้ย มันจะจับไข้หัวโกร๋นอยู่แล้ว”
“ก็แค่งานอดิเรกวันหยุดของผมนะพี่ศรี..” จรัลพูดกับแฉล้ม “ไม่มีใครทำ อะไรเธอหรอกน่า ลูกๆฉันแค่ล้อเล่นด้วย”
แฉล้มค้อนจรัล ศรีบ่นต่อ “กีฬามีให้เล่นตั้งเยอะไม่ไปเล่น มาเล่นปลุกผีอยู่ได้ พวกคนใช้มันกลัวจนลาออกไปกันหมดแล้ว”
“แล่มก็ขอลาออกค่ะไม่ไหวแล้ว” แฉล้มบอก
จรัลยื่นเงินให้ “เอ้าฉันให้พิเศษ จะอยู่ต่อหรือเปล่า”
แฉล้มมองเงินแล้วก็ชะงัก เธอเอื้อมมือไปรับเป็นการสมยอม จรัลยิ้ม
“ถ้าแม่หวานมาเมื่อไรก็ไปตามฉันแล้วกัน”
จรัลเดินไป แฉล้มค้อนแต่ก็รีบเก็บเงิน ศรีมองอย่างอ่อนใจ
ศรีดุแฉล้ม “แกก็กลัวๆ กล้าๆ พิลึกนะ นังแฉล้ม”
“แหม เงินดี มันก็ข่มความกลัวได้ค่ะคุณขา”

ลั่นทมนั่งอยู่บนเตียงมองไปที่ฝาผนังห้อง
รสสุคนธ์กำลังขับรถ โดยมีชีพหลับอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ข้างๆ
ลั่นทมยิ้มเยาะ “ฉันจะให้เธอขับรถเล่นเสียให้เพลิดเพลิน ก่อนที่เธอจะต้องกลับมารับกรรมที่เธอก่อไว้”
ลั่นทมลุกขึ้นยืนมองจ้องไปที่รสสุคนธ์แล้วพูดน้ำเสียงดุร้าย
ลั่นทมพูดเสียงเอคโค่ “เธอไม่มีวันหนีฉันพ้นหรอกรสสุคนธ์”
ลั่นทมหายไป รสสุคนธ์ขับรถ โดยมีชีพนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ รสสุคนธ์หันมาทันที
“ชีพ...ฉันได้ยินเสียงนังลั่นทมอีกแล้ว...มันขู่เรา”
“เหลวไหลน่า...ถ้าเหนื่อยก็แวะปั๊มข้างหน้า เดี๋ยวฉันขับเอง”



หวานเดินออกมาหน้าบ้าน นฤมลที่ดักอยู่แล้วรีบเดินเข้ามาหา
“น้าหวานฉันไปด้วยคนได้มั้ย อยู่ว่างๆมันกลุ้มนะ”
“ข้ารู้ว่าแกไม่เชื่ออยากจะไปดูละสิท่า ไอ้เรื่องสอดรู้นะยกไว้ให้”
นฤมลหัวเราะเก้อๆ หวานพยักหน้า “เออจะไปก็ไปแกก็รู้จักคุณจรัลนี่”
“รู้ แต่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง ได้ยินแต่ที่น้องรสเล่าให้ฟัง”
“นังรสมันเล่าอะไร”
“ก็เห็นว่าจีบน้องรสอยู่พักหนึ่ง แต่น้องรสไม่สนใจ ถ้าไปถึงเขาเกิดยังอาลัยอาวรณ์น้องรสอยู่ แล้วพาลจับคุณผู้หญิงลงหม้อถ่วงน้ำจะว่ายังไงล่ะ”
“นังมล ผีเจาะปากมาหรือไง พูดจาได้ทุเรศมาก..”
“มันก็ไม่แน่นะน้าหวาน...เอาเป็นว่าฉันไปเป็นเพื่อนน้าหวานก็แล้วกัน เผื่อมีอะไรน่ากลัวจะได้ช่วยกันวิ่ง”
หวานนึกกลัวก็เลยพยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปหาฉ่ำที่กำลังเช็ดรถ
“ตาฉ่ำ”
“จ๋า จะไปไหนหรือจ๊ะแม่หวาน”
“ขับรถให้หน่อย ขอคุณอุษาแล้ว” หวานบอก
“ได้สิแต่จะไปไหนกันล่ะ” ฉ่ำถาม
“วะ มันธุระกงการอะไรของแกจะต้องมาสอดรู้ มีหน้าที่ขับไปก็ พอ” หวานบอก
“เอ้าๆ เชิญๆ”
นฤมลเข้านั่งที่นั่งตอนหลัง หวานนั่งหน้าคู่ฉ่ำ ฉ่ำขึ้นประจำที่คนขับแล้วออกรถเดินหน้าก่อนจะถอยหลังแล้วเดินหน้า
หวานเดือดดาล “ไอ้ฉ่ำ..นี่แกจะทำอะไร”
“เอ้า..ก็ไม่บอกว่าไปไหนแล้วจะให้ทำไง..อ๋อหรือจะวนรอบๆ” ฉ่ำบอก
“เออๆบอกแล้วชะทำเป็นเถรตรง เดี๋ยวก็ผางเข้าให้”
ฉ่ำหัวเราะอย่างอามรณ์ดี หวานค้อนแถมยกมะเหงกให้ด้วย

แฉล้มยกเครื่องดื่มมาให้นฤมลและหวาน ศรีเดินเข้ามา หวานรีบไหว้ นฤมลไหว้ตาม “คอยเดี๋ยวนะไปตามให้แล้ว” ศรีบอก
“ขอบคุณค่ะ” หวานพูด
ศรีมองอย่างสำรวจ “หายหน้าหายตาไปนาน สุขสบายดีเหรอ”
“ก็ดีค่ะเจ้านายท่านใจดีมีเมตตาอิฉันก็เลยสุขสบายตามสมควร”
“แล้วรสสุคนธ์หลานเธอล่ะ ได้ข่าวว่าพ่อแม่ตายตอนหลังไปอยู่กับเธอไม่ใช่เหรอ”
หวานอึกอัก จรัลก้าวเข้ามาในห้อง หวานรีบหันไปทัก
“สวัสดีคุณจรัล”
จรัลยกมือไหว้ “สวัสดีแม่หวาน”จรัลมองไปทางนฤมล “ใครล่ะ”
“หลานจ๊ะ”
นฤมลไหว้จรัลตามมารยาทโดยไม่ได้สนใจมากเป็นพิเศษแต่อย่างใด จรัลรับไหว้
“ฉันไม่อ้อมค้อมละนะ คือมีเรื่องต้องรบกวนอยากให้ช่วยติดต่อ วิญญาณคุณผู้หญิงให้หน่อย”
จรัลพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ไปที่ห้องกันดีกว่า”
จรัลเดินนำไปทางห้องจิตวิญญาณ หวานและนฤมลเดินตาม
ศรีมองตามบ่นเบาๆ “คนเขาตายแล้วยังชอบไปรบกวนกันอยู่ได้ คนพวกนี้แปลกจริง”


จรัลเข้ามาในห้องจิตวิญญาณ หวานพานฤมลเดินเข้ามา นฤมลไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง ส่วนหวานกลัวๆ กล้าๆ แต่เมื่อมีนฤมลอยู่ด้วยก็ค่อยใจชื้น แต่หวานก็ปักหลักอยู่แถวประตูและเปิดประตูแง้มไว้กันว่าถ้าพลาดก็จะวิ่งออกไปทัน จรัลปิดไฟปิดม่าน เปิดไฟโคมแก้วที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยแล้วนั่งลงโดยหันหน้าเข้าหาประตู เขาเริ่มต้นตั้งสมาธิเพื่ออัญเชิญวิญญาณ
จรัลพูดกับหวาน “ขอให้ทุกคนเงียบนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นขอให้นั่งอยู่นิ่งๆ”
นฤมลมองอย่างไม่ค่อยเชื่อ จรัลนั่งนิ่งหลับตา ชั่วครู่ก็มีสิ่งผิดปกติในห้อง วิญญาณภูตวูบวาบ จรัลเกร็งเขม็ง เงาดำพวยพุ่งรอบร่างจรัลแล้วหายเข้าไปในตัวจรัล จรัลพูดทั้งยังหลับตา แต่เสียงเปลี่ยนไปเป็นเสียงผู้หญิง
จรัลพูดเสียงสงัด “หวาน...”
หวานสะดุ้งเพราะตกใจมาก “พี่หงัด เสียงพี่หงัดจริงๆ”
นฤมลชะงักนิ่งแล้วกระซิบหวาน “พี่หงัดไหนนะน้า ฉันคุ้นๆเสียงอยู่นะ”
“ก็แม่นังรส น้าแกไงนังมล”
นฤมลตาเหลือก จรัลพูดเสียงสงัด “ทำไมไม่เอานังรสมาด้วย อยากเจอนังรส”
นฤมลมองอย่างไม่แน่ใจ จรัลพูดต่อ “มันไม่เคยทำบุญให้เราเลย บอกมันว่าพ่อกับแม่ลำบากมาก..บาปกรรมมีจริงให้นังรสมันหมั่นทำบุญบ้าง”
จรัลชะงักแล้วก็สะดุ้ง อยู่ๆ เงาดำก็พุ่งออกจากร่าง จรัลค่อยๆลืมตาแล้วโงนเงนด้วยท่าทางอ่อนเพลีย จรัลมองหวานกับนฤมลที่ยังนั่งตะลึง จรัลถามเสียงปกติ “ได้คุยกันแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะแต่เป็นพี่หงัดแม่นังรส ไม่ใช่เจ้านายที่ต้องการพบค่ะ”
จรัลหลับตาครู่ใหญ่แต่ลืมตาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
“เขาไม่ยอมมา” จรัลบอก
หวานหน้าเสีย นฤมลกลัวจนพูดไม่ออก

ฉ่ำยืนตบยุงอยู่ข้างรถโดยที่บรรยากาศโดยรอบมืดแล้ว นฤมลกับหวานเดินออกมา “เล่นเอาซะมืดเลย...เฮ้อ คุณผู้หญิงก็ไม่ยอมมาอีก...ว่าแต่ทีนี้แกเชื่อรึยังล่ะนังมล...คุณจรัลเขาไม่ได้เข้าข้างนังรสเลย เขาพยายามแล้ว แต่คุณผู้หญิงไม่มา” หวานว่า
“โธ่เอ๊ย เขาอาจจะไม่ช่วยก็ได้...เขาก็เลยเชิญแต่วิญญาณพ่อแม่น้องรสมาแทน”
“เออ วันนี้คุณผู้หญิงไม่มา วันหน้าก็ต้องมา...เชื่อข้าสิ...ไป ไอ้ฉ่ำ กลับบ้าน”
“ก็ไปสิ...รอจนยุงจะหามข้าแล้ว แม่หวาน”
ฉ่ำเข้าไปในรถ ทั้งสองเข้าไปนั่งในรถ ฉ่ำเคลื่อนรถออกไป


ไฟรถสาดไปที่ถนนชนบทที่เงียบสงัดดูน่ากลัว รสสุคนธ์ขับรถโดยมองตรงไปข้างหน้าอย่างหวาดๆ ชีพหลับ
“ชีพคะลุกขึ้นมาเป็นเพื่อนรสก่อน” รสสุคนธ์บอก
ชีพปรือตาขึ้นแล้วหลับต่อ
“ผมเพลียเหลือเกิน...ตามันลืมไม่ขึ้นจริงๆ เราขับมาตั้งนานแล้ว ทำไมมันไม่ถึงกรุงเทพสักที”
รสสุคนธ์มองข้างทางด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นั่นสิ รสก็รู้สึกว่ามันนานมาก จนล้าไปหมดทั้งแขนทั้งขาแล้ว มันยังไงกันเนี่ย หรือว่านังลั่นทมแกล้งเรา...”
รสสุคนธ์จอดรถเข้าข้างทางแล้วมองไปรอบๆอย่างไม่เข้าใจ เธอบีบแขนตัวเองให้คลายเมื่อย
“ชีพคะคุณมาขับบ้างได้มั้ย”
รสสุคนธ์หันมาหาชีพ แต่ชีพหลับสนิทไปแล้ว รสสุคนธ์เขย่าชีพ
“ชีพ..ชีพ เห็นแก่ตัวจัง ฉันเหนื่อยจะแย่แล้วนะ”
รสสุคนธ์มองข้างทางที่มืดสนิทอย่างไม่เข้าใจ
ลั่นทมนั่งยิ้มเยาะอยู่หลังรถ “คิดจะหนีฉันเหรอ มันไม่ง่ายหรอกรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์หันขวับมาที่เบาะหลังแต่ก็ไม่เห็นอะไร รสสุคนธ์มีสีหน้าหวาดๆ


ธารินทร์กับอุษานังฟังหวานรายงาน
“คุณจรัลแกพยายามติดต่อคุณผู้หญิงแล้ว แต่คุณผู้หญิงไม่ยอมมา ค่ะ” หวานบอก
“แบบนี้เราก็ติดต่อคุณน้าไม่ได้นะสิ” อุษาบอก
“ทางพ่อก็ไม่รู้จักใครที่เชิญวิญญาณได้เลย ว่าแต่นายจรัลคนนี้ ไม่ใช่พวกหลอกลวงต้มตุ๋นนะน้าหวาน”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะก่อนเชิญวิญญาณคุณผู้หญิง วิญญาณแม่นังรสยังมาคุยกับอิฉันเลย ถ้าคุณไม่เชื่อถามนังมลก็ได้ค่ะ มันยังอึ้งเลย”
อุษาไม่สบายใจ “ทำไมคุณน้าไม่ยอมมา วิญญาณคุณน้าทำอะไรอยู่กันแน่”

ชีพขยับตัวตื่นมองรอบๆ อย่างงงๆ เขาหันไปเห็นรสสุคนธ์ฟุบหลับกับพวงมาลัย ชีพเขย่าตัวเรียก
“รส..รส”
รสสุคนธ์งัวเงียตื่น ชีพถามด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมมาจอดรถหลับข้างทางแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะถึงเนี่ย”
“ก็รสเหนื่อยนี่ ขับอยู่คนเดียวไอ้ถนนบ้านี่ก็ไม่รู้ทำไมมันยาวนัก ขับเท่าไรไม่ถึงสักที”
ชีพมองไปรอบๆ แล้วก็ครุ่นคิด
“มันก็แปลกจริงๆเอาอย่างนี้เราอย่าเพิ่งไปเลย หาที่นอนก่อนดีมั้ย สว่างแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”
“อย่าดีกว่ารสอยากไปให้พ้นๆที่นี่เร็วๆ”
รสสุคนธ์ขยับตัวทำท่ากระฉับกระเฉง “ได้งีบไปหน่อยรู้สึกค่อยยังชั่วแล้ว ไปต่อเถอะ”
รสสุคนธ์ออกรถไป ลั่นทมนั่งอยู่ด้านหลังยิ้มแสยะอย่างน่ากลัว


ผันส่ายหน้าพูดกับอุษา
“ลุงไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิญญาณจริงๆแล้วก็ไม่เคยเจอกับตัว เคยได้ยินแต่เขาเล่าๆกันมาแต่ไอ้ประเภทสะกดคน ให้ทำตาม หรือบังหูบังตาให้เห็นเป็นนั่นเป็นนี่ ลุงก็ไม่รู้ว่าวิญญาณจะทำได้ หรือ เพราะความแค้นมากถึงส่งให้เป็นพลังจิตที่กล้าแข็ง”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องทำบุญให้คุณน้าเยอะๆคุณน้าจะได้ใจอ่อนลง”
“แต่ษาใส่บาตรเกือบทุกวัน แล้วยังสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้คุณน้าทุกคืน”
“ถ้าคุณนายไม่รับก็ไม่มีประโยชน์ คุณนายตายแล้วก็จริงแต่ก็ยังตัดกิเลสไม่ได้ ยังมีความรัก ความโกรธ ความแค้น วิญญาณถึงไม่ ยอมไปไหน”
ผันถอนใจเฮือกอย่างกลุ้มๆ “ถ้าเป็นแบบนี้นายชีพกับแม่รสสุคนธ์ไม่มีทางหนีคุณนายพ้นแน่”
อุษากับธารินทร์ได้แต่อึ้ง แต่ละคนมีสีหน้าไม่สบายใจ


ชีพขับรถมาตามถนนในความมืด
“รู้สึกแปลกๆมั้ยชีพ”
ชีพมองนอกรถพยักหน้า “ตั้งแต่ขับมายังไม่มีรถสวนหรือรถตามมาแม้นแต่คันเดียว”
“ใช่มันยังไงกัน”
ทั้งสองคนเพ่งมองไปข้างหน้า รสสุคนธ์ตื่นเต้น เธอเห็นถนนไกลๆ มีแสงไฟ มีคนมุง
“อ๋อที่แท้มีอุบัติเหตุข้างหน้า”
“สงสัยรถชนกัน...” ชีพพึมพำ “มีคนตายแน่เลย”
รถเริ่มใกล้เข้าไป รสสุคนธ์ขับช้าลงแล้วเบนออกด้านข้าง ชีพกับรสสุคนธ์มองไปบนถนน ทั้งสองคนถึงกับตะลึงที่เห็นรถลั่นทมเกิดอุบัติเหตุ ร่างลั่นทมหล่นออกมาในสภาพตาเหลือกค้างเลือดเต็ม สายตาลั่นทมจ้องมองมาที่ชีพกับรสสุคนธ์เขม็ง รสสุคนธ์กับชีพตกใจจนร้องออกมาพร้อมกัน
“ลั่นทม...”
รสสุคนธ์กลัวสุดขีดรับที่เท้าเหยียบคันเร่งมิด รถทะยานออกไป แสงไฟจากรถสิบล้อพุ่งเข้าใส่ตารสสุคนธ์ เสียงเบรกดังลั่น เสียงชีพกับรสสุคนธ์แผดร้องอย่างตกใจสุดขีด รถหมุนคว้างหลายตลบแล้วนิ่งสนิท
ชาวบ้านหลายคนพากันวิ่งมาจากมุมมืดจนถึงรถชีพ ชีพกับรสสุคนธ์นอนเลือดโทรมตัว หายใจรวยริน รสสุคนธ์กับชีพยังพอมีสติอยู่แต่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ชาวบ้านหลายคนวิ่งเข้ามา
ชีพอ่อนแรง “ช่วย..ด้วย..”
ชาวบ้านเข้ามาดึงทึ้งของมีค่าจากตัวชีพและรสสุคนธ์
พวกชาวบ้านพูด “เอาให้หมดโว้ยเร็วๆในรถด้วย”
“ช่วยด้วย”
“อย่า..ฉันยังไม่ตาย อย่าเอาของฉันไป”
ชาวบ้านหลายคนแยกตัวไปที่รถ โดยในมือมีชะแลง ค้อน และไขควงสำหรับงัดแงะพร้อม ชีพกับรสสุคนธ์ตาค้าง ร่างกายเคลื่อนไหว สีหน้าเจ็บปวดแต่ก็ได้แต่มองดูพวกชาวบ้านรุมทึ้งข้าวของแล้วพากันวิ่งจากไปไม่ช่วยเหลือเลย ลั่นทมยืนมองอยู่อย่างสาแก่ใจก่อนจะเดินเข้าไปหา ชีพกับรสสุคนธ์มองเห็นแค่เท้าก็ดีใจจึงรีบร้อง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย เรายังไม่ตาย”
ลั่นทมก้มหน้าลงไปหา ทั้งสองคนตะลึง
“ฉันยังไม่ยอมให้แกสองคนตายง่ายๆหรอก พวกแกต้องทุกข์ทรมานเหมือนฉัน”
ลั่นทมระเบิดเสียงหัวเราะน่ากลัว ชีพกับรสสุคนธ์ตกใจจนสลบไป


คนเริ่มเข้ามามุงดูจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ตำรวจกั้นชาวบ้านไว้ห่างๆ ตำรวจหลายคนยืนอยู่ รถพยาบาลแล่นมาจอด เจ้าหน้าที่เอาเปลลงมา ธารินทร์ขับรถมา อุษาที่นั่งข้างๆมองเห็นอุบัติเหตุอยู่ไกลๆ
“เกิดอุบัติเหตุอีกแล้วค่ะ”
“ครับ..ที่เดียวกับที่รถคุณน้าลั่นทมคว่ำเลย ตรงจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก”
อุษาอึ้ง ธารินทร์จอดรถเข้าข้างทาง “รอสักครู่นะษา ผมขอลงไปดูหน่อย”
“ค่ะ”
ธารินทร์เดินลงจากรถแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ นายตำรวจหันมาเห็นก็ทำความเคารพ ธารินทร์มองไปเห็นเจ้าหน้าที่หามเปลที่มีคนเจ็บออกมา ธารินทร์ชะงักที่เห็นชีพนอนเลือดเต็มหน้าอยู่บนเปล เปลที่ตามออกมาติดๆเป็นรสสุคนธ์ที่มีสภาพไม่ต่างจากชีพ เจ้าหน้าที่พาสองคนขึ้นรถพยาบาลไป ธารินทร์เดินกลับมาขึ้นรถแล้วหันไปมองอุษาที่ยิ้มให้ อุษาชะงักเห็นท่าทางธารินทร์
“มีอะไรหรือเปล่าคะทำไมคุณทำหน้าแปลกๆ” อุษาว่า
“คนที่ขับรถคว่ำนะสิ”
“ทำไมคะคุณรู้จักเหรอ”
“น้าชีพกับรสสุคนธ์”
อุษาตกใจมากก็อุทานออกมาทันที “คุณน้า...”

อ่านต่อหน้าที่ 4


สุสานคนเป็น ตอนที่ 10 (ต่อ)

หวานเดินไปเดินมาชะเง้อดูหน้าบ้าน สวาทเดินออกมามอง

“เดินไปเดินมาทำไมน้าหวาน ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน” สวาทถาม
“ข้าเป็นห่วงคุณอุษา ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่กลับ” หวานบอก
“คุณษาไปกับหมวดไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
จิ้มลิ้มกับยาใจวิ่งหน้าตื่นออกมา
“น้าหวานๆ มีเรื่องแล้ว”
“อะไรวะ มีอะไร”
“คุณอุษา...”
หวานตกใจมากจนแทบร้องไห้ เธอเขย่าตัวจิ้มลิ้มอย่างแรง
“คุณอุษาเป็นอะไรโธ่ถังเอ๊ย มิน่าถึงยังไม่กลับข้าละหวั่นๆใจอยู่เชียว คุณอุษาเป็นอะไรนังจิ้มลิ้ม”
“โอ๊ยเบาๆน้า หัวฉันจะหลุดเสียก่อนเนี่ย”
“เอ้าบอกมาเร็วๆคุณอุษาเป็นอะไร”
“คุณอุษาไม่ได้เป็นอะไรเลย”
“อ้าว..นังบ้าแล้วเอ็งแหกปากว่ามีเรื่องทำไม”
“คืออย่างนี้คุณอุษาโทรมาบอกว่าแม่รสกับคุณผู้ชายรถคว่ำ”
หวานตะลึง จิ้มลิ้มเสริม “คว่ำตรงที่เดียวกับคุณผู้หญิงเลยนะน้า”
“เฮ้ย แบบนี้ ข้าว่าฝีมือคุณผู้หญิงชัดๆเลย”
หวานหายตะลึงก็ถามเสียงเบาจนแทบกระซิบ “ตะ..ตายหรือเปล่า”
“ยังไม่ตายคุณอุษาบอกอยู่โรงพยาบาล” ยาใจบอก
หวานถอนหายใจโล่งอก


เช้าวันใหม่ โลงศพลั่นทมมีควันธูปลอยวน อุษายืนอยู่หน้าโลงศพ
“คุณน้าขา...คุณน้าบอกษาสิคะว่าไม่ใช่ฝีมือคุณน้า..ษาไม่อยากให้คุณน้าคิดแค้นพวกเขา...เขาทำกรรมชั่วเขาก็ต้องได้รับกรรมชั่ว ปล่อยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จัดการกับเขาดีกว่าค่ะ”
อุษาแตะโลงศพแล้วน้ำตาก็ไหลพราก ลั่นทมปรากฏตัวขึ้นน้ำตาไหล
“ษาจ๊ะ...ษาไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของน้าหรอก...น้าต้องการให้เขารู้ว่าเขาทำผิด เขาควรจะสำนึกผิดที่ได้ทำลงไป”
อุษาเหลียวมองไปรอบๆ “คุณน้า ทำไมษาเหมือนได้ยินเสียงคุณน้า...คุณน้าอยู่แถวๆ นี้ใช่มั้ยคะ คุณน้าปรากฏตัวให้ษาเห็นสิคะ...คุณน้า...”
หวานเดินเข้ามาพอดีก็ตะลึง อุษาเกาะโลงศพลั่นทมร้องไห้
“คุณน้าต้องเชื่อษานะคะ...คุณน้า...”
หวานเดินเข้าไปหา
“คุณอุษา...น้าว่าเราไปพบคุณจรัลกันเถอะค่ะ บางทีเขาอาจจะติดต่อคุณผู้หญิงได้”
อุษาเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้า ลั่นทมร้องไห้แล้วส่ายหน้าเพราะรู้ชัดถึงความเป็นคนดีของอุษา
“ษา สักวันหนึ่ง ษาจะเข้าใจน้า”


จรัลมองอุษา อุษารีบไหว้ หวานแนะนำ
“คุณอุษาเจ้านายฉัน เธอเป็นหลานคุณนายลั่นทม”
จรัลพยักหน้านั่งลง “ยินดีที่ได้รู้จัก ผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
“ขอโทษจริงๆค่ะที่ต้องมารบกวน”
“ไม่เป็นไรมีอะไรก็ว่ามา”
“เมื่อคืนคุณน้าชีพกับรสสุคนธ์ค่ะ รถคว่ำตรงที่คุณน้าลั่นทมประสบอุบัติเหตุเลยค่ะ”
จรัลนิ่งฟังอย่างตั้งใจ อุษาพูดต่อ “คุณอาบอกษาตามตรงได้ไหมคะว่าวิญญาณคุณน้ายังวนเวียน อยู่หรือเปล่า เพราะเหตุการณ์ต่างๆ มันเหมือนจะเป็นการแก้แค้นของคุณน้า ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอาจะช่วยติดต่อวิญญาณคุณน้าลั่นทมได้มั้ยคะ ษาอยากให้ให้คุณน้าเลิกทำร้ายคนอื่นค่ะ”
“พอจะช่วยได้มั้ยคุณจรัล คุณอุษาเธอไม่สบายใจมาก”
จรัลอ้ำอึ้งและมีสีหน้าไม่สบายใจ


หวานกับอุษานั่งอยู่ในห้องมืด มีเพียงดวงไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ตรงหน้าอุษากับหวาน แฉล้มเดินเข้ามาพร้อมน้ำดื่ม แฉล้มวางแก้วในสภาพมือสั่นๆ ตามองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ ภูตลอยวนแล้วปรากฏร่างเป็นเด็กน้อย แฉล้มเห็นก็ตกใจ “ว้ายๆ ๆ”
แฉล้มกระถดร่างหนีแล้วร้องโวยวาย หวานกับอุษาตกใจ ภูตหายไป “เป็นอะไรเหรอเธอ...”
“ผะ...ผะ...ผี”
แฉล้มชี้ไปทางภูตที่หายไป ทั้งสองหันไปดูแต่ก็ไม่เห็นอะไร จรัลเดินเข้ามาพอดี
“เลอะเทอะอะไรอีกแล่ม...”
“ก็..ก็...”
จรัลมองที่พื้นก็เห็นน้ำเลอะ “ไปเอาผ้ามาเช็ดพื้นไป”
“ค่ะๆๆ”
แฉล้มวิ่งออกไปข้างนอก
“นานมั้ยคะกว่าคุณอาจะติดต่อคุณน้าลั่นทมได้” อุษาถาม
“ตอบไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากจะติดต่อพวกเราหรือเปล่า”
อุษาทำหน้าเหมือนผิดหวังเล็กๆ


รสสุคนธ์นอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด มีน้ำเกลือ สายให้เลือด และออกซิเจนระโยงระยาง คนไข้เตียงอื่นๆ นอนเรียงกันอยู่ นฤมลมองอย่างรังเกียจ หมอวัฒนาตรวจดูขวดน้ำเกลือ และกำลังบันทึกอะไรบางอย่าง
“น้องรส รู้สึกตัวบ้างมั้ยคะ” นฤมลถาม
“ก็รู้สึกตัวครับ” วัฒนาบอก
นฤมลถามแบบเลียบๆ เคียงๆ “เอ้อ ตอนนี้พ้นขีดอันตรายหรือยังคะคุณหมอ”
วัฒนามองหน้าเหมือนสงสัยว่านฤมลถามทำไม
“ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วละ แต่ก็ต้องเช็คละเอียดอีกครั้ง ยังตอบอะไรชัดเจนตอนนี้ไม่ได้”
“แล้วคุณชีพล่ะคะ..”
“รายนั้นสิน่าเป็นห่วง...กระดูกสันหลังเคลื่อน ต้องรอดูอาการก่อน”
นฤมลอึ้งไป เธอทำตาโตเหมือนตกใจ แต่ก็ปิดความดีใจไว้ไม่มิด
“โถ...น่าสงสารคุณชีพจังเลย..”


จรัลนั่งสมาธิในห้องที่มีดวงไฟที่เปิดสว่างเป็นดวงใสๆ ให้จรัลใช้เพ่งกระแสจิต อุษากับหวานนั่งเงียบๆ ด้วยสีหน้าหวาดๆ จรัลลืมตาแล้วมองไปที่ดวงแก้วก็เห็นใบหน้าของลั่นทมอยู่ในดวงแก้ว
เสียงลั่นทมดังขึ้น “บอกอุษานะคุณจรัล ไม่ต้องห่วงฉัน...ฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ บอกเขาด้วยว่าให้ระวังตัว...”
หน้าของลั่นทมวูบหายไป
จรัลมองไปที่หวานกับอุษา “คุณอาติดต่อคุณน้าได้แล้วใช่มั้ยคะ”
“ครับ แต่เขาไม่ยอมปรากฏตัว ไม่ยอมให้ใครได้ยินเสียงด้วย เขาฝากบอกมาว่าไม่ต้องห่วง เขารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขอให้เธอระวังตัวไว้ด้วย..”
อุษาสะเทือนใจแล้วก็เริ่มสะอื้นเบาๆ มือทั้งสองมือประกบกันแล้วหมุนบิดไปมา
“คุณอุษาขา...ทำใจดีๆ นะคะ เรากลับบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ” หวานบอก
อุษาพยักหน้าทั้งน้ำตา

นฤมลฮัมเพลงลงบันไดมาอย่างสบายใจ สวาทที่ทำงานบ้านอยู่แหงนมองก็รู้สึกผิดสังเกต
“อุ๊ย วันนี้ดูสบายใจจังเลยนะคะ...เลิกไว้ทุกข์แล้วเหรอคะคุณมล”
นฤมลหยุดยืนมองสวาทอยู่บนบันได
“ไว้ทุกข์แล้วคุณเรวัตเขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก”
นฤมลเดินผ่านหน้าสวาทไป สวาทมองตามอย่างรู้สึกผิดสังเกต
“ผัวตายได้ไม่กี่วัน ร้องเพลงแล้วโว้ย คนเราหนอคนเรา...” สวาทว่า
ยาใจกับจิ้มลิ้มเข้ามาแล้วมองตามไปเช่นกัน “แปลกๆ เหมือนมีเรื่องสบายใจ หรือว่า....”
“อะไรวะนังยา”
ยาใจพูดต่อ “ได้มรดกผัว...”
“ถุย...ที่บากหน้ามานี่ ก็เพราะไม่มีกิน...คนอย่างนังมลเหรอจะมีทรัพย์สมบัติ ปัญญาหาข้าวกินให้ครบสามมื้อก็ให้มันได้ก่อนเถอะ”
จิ้มลิ้มพูดด้วยท่าทีซีเรียส “ฉันว่างานนี้ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง..มีเบื้องหลัง..ไว้ให้น้าหวานมาก่อนเถอะ จะบอกน้าหวานให้รีดเอาความจริงกับนังนี่ให้ได้”

หวานจิ้มหน้าผากนฤมลจนเซไปข้างหลัง
“แกเอาความคิดชั่วๆ แบบนี้มาจากไหน นังรสมันสั่งสอนแกมาเหรอ ถึงได้ชั่วตามกัน หา...นังมล”หวานบอก
“น้าอย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปสิ ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้นอย่าลืมว่าน้องรสจดทะเบียนกับคุณชีพนะน้าหวานในเมื่อคุณชีพอาจจะตายหรือพิการ น้องรสก็ต้องได้รับมรดกของนังลั่นทมสิ แล้วถ้าน้องรสเป็นอะไรไป น้าหวานกับฉันเป็นญาติ จะไม่ได้อะไรเลยเหรอ จริงมั้ย”
หวานตกตะลึงโดยไม่คิดว่านฤมลจะเป็นไปได้ขนาดนี้
“แกออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ เอาความคิดโสโครกออกไปด้วย...ผัวตายไปคนหนึ่งแล้ว ยังไม่เข็ดเหรอนังมล จะให้คุณผู้หญิงเล่นงานแกหรือไง”
“น้านี่ เป็นอย่างที่น้องรสพูดไม่ผิดเลย”
“นังรสมันพูดถึงข้าว่ายังไง หา นังมล”
นฤมลลอยหน้าตอบ “ก็เห็นคนอื่นดีกว่าหลานตัวเองน่ะสิ ไม่รู้ว่าทำดียังงี้แล้ว นังลั่นทมมันยกอะไรให้บ้างล่ะ มีอะไรที่มันตอบแทนความดีของน้าบ้าง ลองคิดดูสิ”
“ถ้าคิดจะทำดีแล้วก็ไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน ไปได้แล้ว ข้าไม่อยากฟัง”
หวานรุนหลังนฤมลให้เดินออกไปแล้วปิดประตู หวานยืนพิงประตูเพราะใจหายกับความคิดของนฤมลอยู่
“คุณผู้หญิง เมตตานังมลมันด้วยนะเจ้าคะ”
หวานยกมือไหว้ด้วยหน้าแหยๆ เพราะเป็นห่วงนฤมล

นฤมลถือไฟฉายย่องเข้ามาในห้องของลั่นทม เธอฉายกราดไปทั่วห้อง แสงไฟฉายหยุดอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะ นฤมลปราดไปดึงออกมา เธอเห็นกล่องเครื่องเพชรอยู่ในลิ้นชักจึงหยิบออกมาด้วยความโลภ
“นี่ไง กล่องเครื่องเพชรที่น้องรสเคยเล่าให้ฟัง โอย ทำไมเราโชคดียังงี้นี่...เรารวยแล้ว”
นฤมลหยิบสร้อยเพชรขึ้นมาสวมแล้วติดห่วงตะขอเรียบร้อย ไฟฉายที่วางบนโต๊ะกลิ้งตกไปที่พื้น ไฟดับวูบ นฤมลหน้าเสีย ลั่นทมปรากฏขึ้นด้านหลังแล้วดึงสร้อยไปข้างหลัง นฤมลถูกสร้อยรัดคอแล้วก็ดิ้นรน ลั่นทมกระชากคอนฤมลเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอแล้วตะคอก“อยากได้มากนักใช่มั้ยสมบัติน่ะ ฉันจะได้ให้แกเอาไปใช้ในนรก”
นฤมลดิ้นรนแล้วร้องออกมาแต่ไม่มีเสียง ลั่นทมหัวเราะเสียงก้อง

นฤมลดิ้นรนแล้วก็หน้านิ่วก่อนจะผวาลุกขึ้นในสภาพเหงื่อเต็มใบหน้า นฤมลหายใจหอบแรงแล้วมองไปรอบๆ
“โธ่เอ๊ย ฝันไป...”
นฤมลระบายลมหายใจโล่งอก

นฤมล หนุ่ย โหน่ง และหวานพากันเดินมาตามทาง นฤมลดึงแขนหวานไว้
“อะไร”
“เรื่องที่ฉันบอกน้าเมื่อคืนน่ะมีทางเป็นไปได้ใช่มั้ย...น้าถึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ หรือว่าน้ากะจะฮุบไว้คนเดียว อย่าลืมว่าฉันก็เป็นหลานน้านะ”
หวานอ่อนใจ หนุ่ยกับโหน่งเกาะแขนแม่แล้วมองหวาน
หวานพูดต่อ “แกยังไม่เห็นจุดจบของคนที่โลภอีกเหรอนังมล อยากเป็นเหมือนผัวแก เหมือนไอ้ฉลอง เหมือนนังรสที่นอนพะงาบๆ อยู่นี่ใช่มั้ย”
“แหมน้าก็...ฉันแค่ถาม แต่อย่าให้เป็นอย่างที่ฉันพูดก็แล้วกัน ฮึ..”
“อะไรของเอ็งวะนังมล”
“ก็ยึดไว้คนเดียวไง”
ธารินทร์กับอุษาเดินมาจากอีกด้านมาเจอกัน
“น้าหวานมากันแล้วเหรอ รสสุคนธ์อยู่ห้องโน้น อาการดีกว่าน้า ชีพ ยังรู้ตัวมีสติและพูดคุยได้” อุษาบอก
นฤมลกับหวานรีบพาหนุ่ยกับโหน่งเดินไป อุษาหันมาถามธารินทร์
“เมื่อกี้หมอคุยอะไรกับคุณ” อุษาถาม
“บอกว่าสองคนต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ต่ำกว่าสองอาทิตย์คุณชีพกระดูกสันหลังเคลื่อน หัวแตก รสสุคนธ์แขนเดาะขาบาดเจ็บ”
ไกรเดินเร็วๆ เข้ามา อุษากับธารินทร์รีบไหว้ ไกรรับไหว้
“ขอโทษคุณอาด้วยที่ต้องรบกวนค่ะ”
“ไม่เป็นไรหนู ผมต้องมาทำตามหน้าที่อยู่แล้ว”


คนไข้เตียงข้างๆรสสุคนธ์พรวดลุกขึ้นนั่งโดยที่หน้าตาเนื้อตัวพันแผลไว้เต็มไปหมด คนไข้ร้องอย่างเจ็บปวด หมอ พยาบาลรีบเข้ามาจัดการให้ยา รสสุคนธ์ที่อยู่เตียงข้างๆใส่เฝือกอ่อนมีผ้าผันแผล พันแขนโดยไม่ใส่เฝือก ที่ขามีผ้าพัน ตามใบหน้าลำคอมีพลาสเตอร์ปิดแผลปะอยู่หลายแห่ง รสสุคนธ์มองดู
คนไข้เตียงข้างๆอย่างไม่ค่อยพอใจนัก นฤมล หวาน หนุ่ย และโหน่งอยู่ข้างเตียง
“ทุเรศจริงทำไมฉันต้องมานอนรวมแบบนี้ เดี๋ยวคนนั้นร้องเดี๋ยวคนนี้ร้องจะประสาทตาย”
“ก็ห้องพิเศษมันเต็ม อย่าบ่นนักเลยไม่ตายก็บุญหัวแกแล้ว”
“น้าหวานอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อย นอนแถวๆนี้ก็ได้”
“ข้าไม่ว่างมีงานต้องทำ”
“งั้นพี่มลก็ได้ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้หรอกถ้าพี่มาอยู่นี่หนุ่ยโหน่งจะอยู่กับใคร” นฤมลว่า
รสสุคนธ์มองนฤมลอย่างแค้นๆ นฤมลกระซิบ “ถามจริงๆน้องรสฝีมือคุณนายลั่นทมใช่มั้ย”
รสสุคนธ์อึ้ง หวานจ้องหน้า “ไม่ต้องไปโทษว่าเป็นฝีมือใครหรอก มันเป็นเวรกรรมเคยทำกับ ใครไว้ยังไงก็ต้องได้รับคืนอย่างนั้น แกยังโชคดีที่รอด ข้าหวังว่าแกจะสำนึกได้สักทีนะนังรส”
หวานหันมาทางนฤมล “แกก็อีกคนหนึ่ง ระวังตัวไว้ด้วย นังมล”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์เรียกไว้ “จะไปแล้วเหรอน้าหวานอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิ”
“ข้าจะไปดูคุณผู้ชายหน่อย”
นฤมลลุกบ้าง หวานสั่ง “อยู่นี่แหละ ตะก่อนเห็นสุมหัวกันดีนักไม่ใช่เหรอ”
นฤมลนั่งลงเซ็งๆ หวานเดินออกไป รสสุคนธ์สั่ง
“เอาผ้ามาเช็ดตัวฉันหน่อยสิพี่มล ฉันคันตัวจะแย่อยู่แล้ว”
นฤมลมองรสสุคนธ์อย่างรำคาญๆ เธอจำใจทำอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

ชีพที่มีบาดแผลมากกว่ารสสุคนธ์ฟื้นแล้ว แต่ต้องนอนนิ่งๆ วัฒนามองดูชีพอย่างพอใจ
“คุณต้องนอนนิ่งๆ ก่อนนะครับคุณชีพ”
อุษา ไกร และธารินทร์เดินเข้ามา ชีพเห็นไกรดีใจคิดว่าจะได้เงิน
ชีพคราง “อ้อ คุณไกร..”
วัฒนาพูดกับชีพ “ขยับตัวไม่ได้นะครับ” วัฒนาบอกกับทุกคน “กระดูกสันหลังเคลื่อนครับต้องอยู่นิ่งๆ”
ชีพพยายามจะพูดกับไกร แต่ก็พูดขาดเป็นห้วงๆ
“ขอผมพูดธุระนิดเดียวครับหมอ”ชีพพูดกับไกร “ลั่นทม เล่นงานผม ตายแล้วยังตามรังควาน ผมอยากได้เงิน แล้วผมจะไป”
“นอกเหนือจากค่ารักษาพยาบาลค่าใช้จ่ายในบ้านแต่ละเดือน คุณ ชีพจะเบิกงบอื่นไม่ได้”
ชีพพยายามระงับโทสะ “คุณก็เห็นว่าผมสมควรจะไป...ผมอยู่ไม่ไหวแล้ว แต่ผมไม่มีเงินคุณเข้าใจมั้ยคุณไกร”
“ผมเข้าใจ แต่ผมคงทำอะไรมากกว่าหน้าที่ไม่ได้ครับขอโทษด้วย”
ชีพเกร็งเขม็งด้วยความแค้นแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไกรได้
ธารินทร์พูดกับชีพ “คุณแน่ใจนะครับว่าไม่มีใครขับรถตัดหน้า”
“แน่ใจ...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ..มัน...มันแกล้งฉัน นังลั่นทมมันจงใจ ให้รถคว่ำ มันจะทรมานฉัน”
ชีพแค้นมากจึงพึมพำ “นังผีร้ายแกอย่าได้ผุดได้เกิดเลย”


ดวงจันทร์กลมโต ลมพัดค่อนข้างแรง บรรยากาศน่ากลัว ชีพหลับสนิทอยู่บนเตียงในห้องพิเศษ เขาค่อยๆลืมตา ชีพคอแห้งจึงมองซ้ายขวาก็เห็นขวดน้ำกับแก้วอยู่บนโต๊ะที่ไกลออกไป เสียงประตูห้องดังขึ้น ประตูเปิดเข้ามา ชีพเพ่งมอง ในความสลัวเห็นพยาบาลเดินเข้ามา ชีพรีบบอก
“ผมหิวน้ำ ช่วยรินน้ำให้ที” ชีพบอก
พยาบาลเดินไปรินน้ำแล้วตรงมาหาชีพ ชีพผงกหัวขึ้นพยาบาลหยิบหลอดให้ดูด ชีพดูดน้ำอย่างกระหาย
“ขอบคุณครับ นี่คุณไกรจ้างพยาบาลพิเศษให้ผมเหรอ”
พยาบาลวางแก้ว พอหันกลับมาก็กลายเป็นลั่นทม
“ไม่ต้องให้พยาบาลเฝ้าหรอกค่ะทมจะเฝ้าชีพเอง” ลั่นทมบอก
ชีพตาเหลือก ลั่นทมเดินมาใกล้ๆ ยิ้มให้ “โกรธเกลียดทมมากหรือคะถึงสาปแช่งทมไม่เว้นแต่ละวัน ที่ชีพโดนแค่นี้ยังน้อยกว่าทมตั้งเยอะ”
ชีพทั้งกลัวทั้งแค้น เขากัดฟันโต้ตอบสั่นๆ
“จะตามรังควานไปถึงไหน..ลั่นทมไปลงนรกไป”
“ถ้าทมต้องลงนรก ทมก็จะเอาชีพไปกับทมด้วย”
ลั่นทมเปลี่ยนร่างเป็นศพขึ้นมานอนข้างๆชีพ ชีพกลัวตาเหลือกหนีก็ไม่ได้ ชีพแหกปากร้องดังลั่นๆ
“ช่วยด้วยๆๆ”
ลั่นทมตะแคงมากอดชีพไว้แล้วกระซิบ
“ไม่มีใครได้ยินหรอกค่ะชีพ คืนนี้ทมจะนอนเป็นเพื่อนนะที่รัก”
ชีพแทบจะกลั้นใจตาย


อุษา ธารินทร์ และไกรเดินออกมาจากร้านอาหารเพื่อไปที่รถไกร
“ขอบใจมากนะเลี้ยงข้าวน้าซะอิ่มแปร้เลย” ไกรบอก
“คุณน้าคะ เราน่าจะมีทางให้น้าชีพได้เงินบ้างนะคะคุณน้าถ้าเขา ยอมไปจริงๆ อย่างน้อยคุณน้าลั่นทมจะได้ไม่ต้องทำบาป” อุษาพูด
“คนไม่ซื่ออย่างคุณชีพ หนูอย่าได้ใจอ่อนให้ความเมตตาเป็นอันขาด จะเสียใจภายหลัง” ไกรบอก
อุษาสบตาธารินทร์แว่บหนึ่งด้วยความอึดอัดใจ
“ษาอยากยุติเรื่องทุกอย่าง เราเอาศพไปเผา แล้วโอนทรัพย์สินให้น้าชีพเสียเลยเขาจะได้เลิกทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ เพราะได้ทุกอย่างสมใจแล้ว วิญญาณคุณน้าลั่นทมก็จะได้ไปสู่สุขคติเสียที”
ธารินทร์มองอุษาด้วยความเป็นห่วง
“ษา ใจเย็นๆ ค่อย ๆคิด ถ้าทำเพราะต้องการประชดมันไม่เกิดผลดีขึ้นหรอก”
“ไม่นะรินทร์ ษาไม่อยากให้วิญญาณของคุณน้าไม่สงบอยากให้ทุกอย่างยุติด้วยดีกันทุกฝ่าย”
ไกรนิ่งอึ้งแล้วก็ตัดสินใจ “น้ากลับกลัวว่าถ้าเราไม่ทำตามพินัยกรรมอะไรๆมันอาจจะยุ่งมากไปกว่านี้นะ น้าขอตัวก่อน
ไกรขึ้นรถขับออกไป อุษากับธารินทร์มอง
“ยิ่งยืดเยื้อ คุณน้าก็ยิ่ง...หาจุดสิ้นสุดหาจุดสงบไม่ได้” ไกรว่า
“บางทีสิ่งที่ษาจะทำ คุณน้าลั่นทมอาจไม่ต้องการ ก็ได้นะ” ธารินทร์บอก


เช้าวันใหม่ ชีพมีหน้าตาอิดโรยและอาการดูแย่ลง วัฒนาตรวจ
“เป็นไงครับคุณชีพเมื่อคืนหลับสบายมั้ย” วัฒนาถาม
“ผมแทบไม่ได้นอนทั้งคืน” ชีพบอก
วัฒนากำลังจะถาม อุษากับธารินทร์เดินเข้ามา
วัฒนาพูดกับธารินทร์ “หนูอุษา หมวดมาแต่เช้าเลย”
“คุณชีพให้พยาบาลโทร.ตามอุษา มีอะไรครับ”
“อุษาช่วยให้ไอ้ฉ่ำไอ้พร วิเวกมาอยู่กับน้าหน่อย”
“ทั้งสามคนเลยเหรอคะ”
“ใช่มากันให้หมดนั้นแหละ”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นโดยที่ชีพเห็นคนเดียว
“ไม่ต้องไปรบกวนใครหรอกค่ะบอกแล้วไงว่าทมจะมาอยู่เฝ้าชีพเอง”
ชีพตาเหลือก “โอ๊ยมันมาอีกแล้ว ไปไม่ต้องมายุ่งกับฉันไปให้พ้น”
ทุกคนชะงักแล้วมองตามที่ชีพมองแต่ไม่เห็นอะไร ลั่นทมยิ้มเยาะ
“ทมไม่ไปไหนทั้งนั้น ทมจะเฝ้าชีพเอง เห็นมั้ยคะกลางวันทมมา ลำบากจะตาย ทมก็ยังมาเพราะทมรักชีพไง”
ลั่นทมเดินมาข้างๆ เตียงแล้วก้มลงจูบแก้มชีพ ชีพส่ายหน้าหนี
“อี๊ไม่เอานังบ้าออกไป ใครก็ได้เอามันไปที”
ทุกคนมองอาการชีพด้วยความเป็นห่วง วัฒนากระซิบกับอุษา
“สงสัยสมองกระทบกระเทือน คงต้องเช็คอย่างละเอียดอีกที”
ชีพโวยวาย “ทำไมยืนกันเฉยเอานังผีบ้าออกไปให้พ้นๆฉันที โอ๊ยฉันเกลียดแกฉันขยะแขยงแกไป”
ลั่นทมเริ่มโกรธ“เกลียดทมมากนักเหรอ ก็ได้ งั้นชีพเลือกเอาว่า ชีพอยากบ้าไปเลยอย่างฉลอง หรือว่า..จะตายอย่างเรวัต..”
ลั่นทมตาแดงก่ำ ชีพตกใจร้องโวยวาย “ไม่..ไม่กลัวแล้ว อย่าทำฉัน..กลัวแล้ว”
อุษา ธารินทร์ และวัฒนามองอาการชีพอย่างไม่สบายใจ


อุษา วัฒนาและธารินทร์เดินออกมาจากห้องพิเศษ สีหน้าทุกคนเป็นกังวล วัฒนาส่ายหน้า “อาการทางร่างกายยังไม่หนักหนาเท่ากับอาการทางประสาท แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลสุดความสามารถ”
อุษากับธารินทร์มองหน้ากันแล้วก็พูดไม่ออก เพราะรู้ดีว่าชีพเป็นอะไร
“ขอบคุณมากค่ะ” อุษาบอก
“ผมขอตัวก่อน” วัฒนาบอก
อุษากับธารินทร์ไหว้ วัฒนาเดินจากไป “ทำไงดีคะรินทร์ คุณน้าไม่ปล่อยน้าชีพแน่” อุษาบอก
ธารินทร์นิ่งคิดแล้วก็นึกได้ “ที่ษาไปขอความช่วยเหลือจากคุณจรัลล่ะว่าไง”
“คุณจรัลติดต่อคุณน้าได้แล้ว แต่คุณน้าไม่ยอมมาพบษายังบอกด้วยว่ารู้ตัวดีทุกอย่างว่ากำลังทำอะไร แล้วยังบอกให้ษาระวังตัว...คุณน้าไม่ยอมให้ความร่วมมือค่ะรินทร์” อุษาว่า
“เราไปหาคุณจรัลมั้ย ให้เขาลองติดต่อคุณน้าดูอีกที”
อุษาพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองคนเดินไปนิดเดียวก็ชะงัก จรัลเดินมาตามทางและมองหาห้องชีพ
อุษาเรียกอย่างดีใจ “คุณอาจรัล...”
ธารินทร์มองตาม จรัลหันมาเห็นอุษาพอดี จรัลยิ้มให้


อุษา ธารินทร์ และจรัลมานั่งคุยกัน อุษามองจรัลที่นั่งหลับตา อุษากับธารินทร์นิ่งเงียบ รอดูผลที่จรัลจะบอก

ลั่นทมยืนอยู่ข้างเตียง เธอมองดูชีพด้วยสายตาเยาะ ๆ ชีพเบือนหน้าหนี “ออกไป ฉันเกลียดแก นังลั่นทม...ไป...ไป..”
ชีพจะลุกหนี แต่ลั่นทมจ้องไปที่ชีพ มือของลั่นทมจับข้อเท้าชีพไว้ทั้งสองข้าง ชีพดิ้นรนอยู่บนเตียง “ปล่อยฉัน...ปล่อย...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย..”
ลั่นทมยื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วหัวเราะ ชีพเห็นดวงตาลั่นทมน่ากลัวมาก เขาเอามือป่ายปัดผลักไส
ผู้ช่วยพยาบาลถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามาเห็นก็ตกใจจนไม้กวาดตกจากมือ “ว้าย...”
ผู้ช่วยพยาบาลเห็นมือของชีพปัดป่ายไปในอากาศ ชีพร้องโวยวาย “ออกไป...ออกไป..”
ลั่นทมจับมือของชีพแล้วหันมาหาก่อนจะพูดเยาะๆ
“ไปไล่เขาทำไมล่ะคะชีพ เขาเข้ามาทำความสะอาดให้เราห้องนี้จะได้สะอาดๆ หรือว่าชีพอยากให้ทมทำให้”
ชีพจ้องหน้าลั่นทมตาแข็งแล้วก็ตวาดเสียงดัง “ไป อีผีบ้า ไป...”
ผู้ช่วยพยาบาลกับวัฒนาเดินเข้ามา “คุณชีพครับ คุณชีพ..คุณชีพ...”
พยาบาลตามเข้ามาพร้อมเข็มฉีดยา “ผมจำเป็นจะต้องฉีดยาให้คุณหลับนะครับ ไม่งั้นคุณอาจจะอาละวาดจนตกเตียง ได้รับอันตรายแน่”
ลั่นทมก้าวมายืนห่างๆ แล้วมองชีพด้วยความสะใจ
“ดีๆ ให้ผมหลับไปเลย ผมจะได้ไม่ต้องเจอนังผีบ้า...” ชีพว่า
ลั่นทมยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ หมอวัฒนาจะฉีดยาให้ชีพ

จรัลลืมตาขึ้น อุษากับธารินทร์ตื่นเต้น
“เห็นคุณน้าลั่นทมมั้ยคะ” อุษาถาม
จรัลพยักหน้า ธารินทร์ถามอย่างร้อนรน
“คุณน้าลั่นทมเป็นยังไงบ้างครับ แล้วจริงหรือเปล่าที่มาปรากฏตัวให้คุณน้าชีพเห็น”
“เหมือนเขาจองเวรจองกรรมกัน...คงไม่ปล่อยคุณชีพง่ายๆ” จรัลว่า
อุษาหน้าเสียไป จรัลแตะมืออุษาเพื่อปลอบใจ
“คุณอาช่วยติดต่อคุณน้า...ให้คุณน้าละความพยาบาทเสียเถอะค่ะ”
“ผมยังไม่ได้ติดต่อเขา แค่ใช้ฌานสมาธิเพื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณ ชีพและรสสุคนธ์” จรัลถอนใจ “ทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำของคุณนาย แต่เธอไม่ยอมที่จะเจรจากับผมวิญญาณเธอแข็งกล้ากว่าที่ผมคิด”
“เพราะอะไรคะ วิญญาณคุณน้าถึงสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้”
“ความแค้นไงครับ ที่ทำให้ดวงจิตกล้าแข็ง ถ้าปล่อยนานไป คุณนายจะกลายเป็นวิญญาณที่ดุร้ายมากขึ้น”
อุษามองออกไปด้วยน้ำตาคลอเพราะสงสารลั่นทม
“ทางแก้ละครับ พอมีมั้ย” ธารินทร์ถาม
“ต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ” จรัลบอก

ดวงจันทร์ส่องสกาวบนฟ้าภายใต้บรรยากาศน่ากลัว เสียงนกแสกร้องโหยหวน นกแสกเกาะที่กิ่งไม้ ประตูเปิดออก ลมพัดแรง ชีพเดินเข้ามาในสุสาน
เสียงลั่นทมดัง “เข้ามาสิคะชีพ...ทมคิดถึงชีพเหลือเกิน”
ชีพเข้าไปในบ้าน ประตูปิด นกกลางคืนบินวนกันเต็มท้องฟ้า


สุสานถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ดอกไม้ประดับประดาตามมุมต่างๆ เสียงเพลงคลอดังไพเราะ
ลั่นทมแต่งตัวสวยงาม ชีพมองดูลั่นทมด้วยดวงตาแสนรัก
“คืนนี้เราจะดื่มด้วยกัน เต้นรำด้วยกัน...และมีความสุขกันสองคน...ชีพคิดถึงทมบ้างมั้ยคะ” ลั่นทมบอก
ชีพที่เหมือนถูกสะกดจิตพยักหน้ารับ ลั่นทมโผกอดชีพ ชีพโอบหลัง ขาทั้งสองของเขาเริ่มก้าวเต้นไปตามจังหวะเพลง
ลั่นทมช้อนตาขึ้นสบตาชีพแล้วพูดออดอ้อน “อยู่กับทมที่นี่นะคะ”
“อยู่ที่ไหน...”
“ที่นั่นไง...”
ชีพหันขวับไป โลงศพของลั่นทมตั้งอยู่ ชีพส่ายหน้า
“ไม่...ฉันไม่อยู่ ฉันยังไม่อยากตาย”
ชีพจะหนีแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ลั่นทมหัวเราะ ลั่นทมวางมือที่ไหล่ชีพ เสียงเพลงลีลาศยังดังอ่อนหวาน
เล็บดำๆ เริ่มงอกแล้วจิกลงไปในเนื้อของชีพ เลือดชีพไหลทะลัก ชีพเจ็บปวด “โอ๊ย...”
ชีพจะหนีแต่ลั่นทมจ้องตาแล้วพูดขู่
“ทมจะไม่ยอมให้ชีพหนีทมไปไหนอีกแล้ว...เราต้องอยู่ด้วยกันที่นี่”
“ไม่ ฉันไม่อยู่”
“เต้นรำกับทมสิ..”
“ไม่ ฉันเจ็บ นังผีบ้า ปล่อยฉัน...ฉันไม่เต้นรำกับแก”
ลั่นทมดึงมือออก มือของลั่นทมเป็นปกติ เล็บยาวดำหายไป ชีพจะเบี่ยงตัวหนี แต่ประตูเปิดไม่ออก ชีพจึงกระแทกเต็มแรงแต่ประตูไม่เขยื้อน
“อย่าพยายามเลยค่ะชีพ....ไปเถอะ เราไปดื่มกัน เผื่อชีพจะสบายใจขึ้น”
หน้าต่างกับประตูเปิดขึ้นพร้อมกัน ลมพัดตึง ร่างของชีพถูกลมพัดหลุดทะลุผ่านผนังไปอีกห้องหนึ่ง ลั่นทมหัวเราะลั่น


เทียนซึ่งปักอยู่บนเชิงเทียนงดงาม โต๊ะอาหารประดับประดาไว้ทั้งดอกไม้และของตกแต่ง ชีพแต่งตัวด้วยชุดสูทสุดเท่ ลั่นทมเปลี่ยนชุดใหม่ดูงดงามและเซ็กซี่ ลั่นทมรินไวน์ในแก้วใสทรงสูง น้ำไวน์เป็นสีแดงคล้ายเลือด
“ลองดื่มดูนะคะชีพ เผื่อคุณจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง..”
ลั่นทมรินให้ตัวเองแล้วยกแก้วขึ้นเพราะต้องการให้ชีพชนแก้วกับตน
“เรามาฉลองกันเถอะค่ะ”
“ฉลองอะไร...”
“ก็ที่เราได้มาอยู่ด้วยกันไงคะ...เราจะรักกันชั่วนิรันดร...” ลั่นทมชูแก้ว “เพื่อความรักของเราสองคนค่ะชีพ...”
ลั่นทมดื่มแต่ชีพยังมองแก้วไวน์นิ่ง “ดื่มสิคะ” ลั่นทมเสียงกร้าวขึ้น “ทมบอกให้ดื่ม” ลั่นทมเสียงกร้าวขึ้นอีก “ดื่มสิ..” ลั่นทมเสียงดังและกร้าวขึ้นอีก “ดื่ม...”
ชีพชูแก้วขึ้นในสภาพตาลอยๆ เขาพูดเบาๆ เหมือนคนไร้สติ “ดื่ม...”
ชีพดื่มไวน์แบบเท่าไหร่ก็ไม่หมด น้ำไวน์ไหลทะลักเลอะเสื้อผ้า
“หวานดีมั้ยชีพ...นั่นน่ะมันเลือดของทม...เลือดที่กลั่นมาจากความแค้นที่ชีพตอบแทนความรักของทมอย่างเจ็บปวดที่สุด”
ชีพถมึงตา ขณะที่ยังบังคับแก้วไม่ได้ ชีพโก่งคอจะอาเจียน เขาโยนแก้วทิ้งไป ชีพวิ่งไปโซซัดโซเซ ลมพัดแรงหมุนวนกันภายในสุสาน ร่างของชีพถูกดูดออกไป ลั่นทมหัวเราะเสียงดังก้อง


ชีพนอนนิ่ง เหมือนคนหลับสนิท วัฒนาเดินเข้ามา อุษา ธารินทร์ จรัลเข้ามา
“คุณชีพเพ้อ ผมกลัวว่าจะอาละวาดเลยฉีดยานอนหลับให้ อีกสักพักแหละครับถึงจะรู้สึกตัว” วัฒนาบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ เราจะรอ..” อุษาบอก
“งั้น ผมขอตัวไปตรวจคนไข้ห้องอื่นก่อน” วัฒนาเดินออกไป
“ษา ถ้าอย่างนั้นผมคงรอไม่ได้ มีงานด่วนต้องทำ” ธารินทร์บอก
“ไม่ต้องห่วงทางนี้ค่ะรินทร์...เสร็จงานแล้วค่อยคุยกันนะคะ”
“งั้นผมลาคุณจรัลก่อนนะครับ...”
จรัลรับไหว้ธารินทร์ แต่ดวงตาของจรัลจับจ้องที่ร่างของชีพ ชีพกระวนกระวายเหมือนทุรนทุรายให้หลุดพ้นจากพันธนาการอะไรบางอย่าง อุษามองหน้าจรัล เหมือนรู้ว่ามีอะไรผิดปกติ


นกกลางคืนบินวนบนฟ้ามืด ชีพแหงนมองแล้วก็หวาดกลัวสุดขีด
“หา...”
ชีพวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปตามท้องร่องสวน ต้นไม้ในสวนถูกลมพัดเหมือนพายุ ชีพหันไปก็เห็นลั่นทมตามมาอย่างกระชั้นชิด ชีพล้มลงไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลั่นทมอยู่ข้างๆ
“จะหนีทมไปไหนล่ะชีพ...ไหนบอกว่ารักทมไง...”
ชีพผลักไสลั่นทมอย่างแรงแล้วก็โวยวาย “ไม่...ไม่...ไม่ ออกไป...”
ลั่นทมหัวเราะลั่น เสียงของจรัลดังขึ้น
“ปล่อยเถอะคุณนาย...ไม่เกิดประโยชน์หรอก นอกจากจะผูกพยาบาทกันไม่สิ้นสุด...ผมขอร้องละ...ถ้าเขาตายสิ่งที่คุณนายต้องการก็จะไม่เกิดขึ้น...คุณนายจะยิ่งเป็นทุกข์”
ลั่นทมมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นจรัล
“ผมขอร้อง...อย่าทำให้หลานสาวของคุณนายต้องผิดหวังเลย หลานสาวคุณนายเป็นคนดี รักและเป็นห่วงคุณนายมากนะ”
ลั่นทมหยุด เธอมีสีหน้าเจื่อนหมองพร้อมกับมองไปรอบๆ
“ษา...ษาของน้า...”
ลั่นทมน้ำตาไหล แสงสว่างวาบมาลบภาพลั่นทมกับชีพวูบหายไป เหลือเพียงสวนที่มีลมพัดตามปกติ


ชีพลืมตาเบิกโพลง อุษากับจรัลผวาไปที่เตียง
“รู้สึกตัวแล้วเหรอคะน้าชีพ..” อุษาถาม
ชีพหันมา “ช่วยน้าด้วย ผีนังลั่นทมมันจะเอาน้าไปอยู่ด้วย...ษา ษาต้องช่วยน้านะ...ช่วยน้า”
“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณอาจรัลไปช่วยน้าชีพมาแล้ว”
ชีพเหลียวมองจรัล “คุณน่ะเหรอไปช่วยผมมา...ทำได้ไง แล้วทำไมนังผีลั่นทมถึงเชื่อคุณ”
“คุณอาจรัล สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ค่ะ รวมถึงวิญญาณคุณน้าลั่นทมด้วย”
ชีพมองจรัล เหมือนไม่เชื่อแต่ก็มีสายตาทึ่งๆ แฝงอยู่
“คุณทำได้จริงๆ เหรอ”
จรัลตอบอย่างสำรวม “ครับ...”
ชีพยิ้มดีใจก่อนจะพูดอย่างย่ามใจ “ดี ถ้างั้นช่วยบอกนังผีลั่นทมทีให้มันเลิกยุ่งกับผม รู้มั้ยมันรังควานผมจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้ามันไม่ฟังคุณก็จับมันใส่หม้อถ่วงน้ำเลยนะ...ผมอนุญาต”
อุษาอึ้งไป สีหน้าของเธอผิดหวังที่ได้ยินชีพพูด
“น้าชีพคะ ถ้าน้าชีพไม่เคยทำอะไรให้คุณน้าลั่นทมเสียใจคุณน้าลั่นทมก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอกค่ะ”
จรัลยกมือห้ามอุษาพูดแล้วหันมาบอกชีพ “วิญญาณคุณนายลั่นทมจะหยุดรังควานคุณแน่”
ชีพยิ้มด้วยความดีใจ “ฮ้า..จริงๆ เหรอ งั้นผมให้คุณหนึ่งแสนบาทเลย แต่ต้องหลังจากนี้หกเดือนนะ...ถ้าคุณทำได้ ผมให้คุณแน่ ผมไม่เบี้ยว รับรอง”
“ผมทำไม่ได้หรอก”
“อะไรวะหมายความว่ายังไง ตะกี้ยังบอกว่าทำได้อยู่นี่หว่า”
“คนที่จะทำให้คุณนายลั่นทมหยุดได้ก็คือตัวคุณ”
“บ้า..ถ้าทำได้ผมก็ทำแล้วสิ”
“แค่คุณหยุดความโลภ และมีสำนึกจากใจจริงๆคุณนายก็จะปล่อยคุณไป ผมรับรองว่าเธอจะไม่มารังควานคุณอีก”
“โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็มาหลอกกัน อุษาเธอจ้างไอ้หมอนี่มาเท่าไรให้มันมาอุปโลกน์ว่าติดต่อวิญญาณได้ ไปให้พ้นไป ฉันไม่น่าเสียเวลาคุยด้วยเลย”
“น้าชีพ..คุณอาจรัลไม่ได้มาหลอกนะคะ ท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย แต่เป็นคนไปขอร้องท่าน ให้...”
ชีพขัดขึ้นอย่างรำคาญ “พอได้แล้วอุษา ฉันไม่อยากฟัง ถ้าเธอหาหมอผีเก่งๆ มาจับน้าเธอลงหม้อได้เมื่อไรค่อยมาคุยกัน”
“ผมพยายามช่วยคุณแล้ว ถ้าคุณยังดื้อรั้นผมก็จนใจหนูอุษาผม กลับก่อนดีกว่า”
จรัลเดินไปที่ประตู อุษาเดินตามไป
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นแต่ไม่มีใครเห็น “ไม่มีประโยชน์หรอก คนอย่างชีพทำยังไงก็ไม่สำนึก”
จรัลชะงักแล้วมองไปรอบๆ ก็ได้ยินเสียงลั่นทม จรัลรีบบอกอุษา
“คุณนายลั่นทมอยู่ที่นี่”
อุษาตกใจ ชีพสะดุ้ง จรัลเดินออกไป อุษารีบเดินตาม ชีพแหกปากตะโกน
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป เฮ้ยอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”
ทั้งสองคนปิดประตู ชีพมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดสุดๆ ลั่นทมยืนอยู่ข้างเตียง ยิ้มให้ชีพ ชีพหลับตาปี๋

อ่านต่อตอนที่ 11

กำลังโหลดความคิดเห็น