รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 6
อยุทธ์กำลังใช้ดินสอสเก็ตภาพน้องฝ้ายให้เจติยาอยู่
สักพักอยุทธ์ก็ส่งภาพที่สเก็ตเสร็จแล้วให้เจติยา “ลองดูนะครับว่าเหมือนมั้ย”
เจติยารับภาพมาดูแล้วก็ยิ้มรับ “โอ้โห เหมือนมากเลยค่ะ แค่ฟังที่เจบอก ไม่น่าเชื่อว่าคุณอยุทธ์จะวาดออกมาได้เหมือนขนาดนี้”
อยุทธ์ยิ้มแย้มรับคำชม “ขอบคุณครับ แล้ววิญญาณเด็ก เค้าต้องการให้คุณเจช่วยอะไรล่ะครับ”
“ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ เค้าปรากฏให้เห็นแป๊บเดียวก็หายไป แต่ถ้าเค้าอยากให้ช่วยจริงๆ เดี๋ยวก็คงมาใหม่ เจถึงขอให้คุณช่วยสเก็ตภาพเหมือนเอาไว้ไงคะ เผื่อจะต้องใช้”
อยุทธ์ยิ้มๆ “ทำบุญด้วยการช่วยเหลือวิญญาณ แปลกดีนะครับ ไม่มีใครเหมือน”
เจติยายิ้มรับก่อนจะทำหน้าขรึมลง “เอ่อ คุณอยุทธ์คะ แล้วเรื่องเหรียญ ไม่ทราบว่าคุณตัดสินใจยังไงคะ”
อยุทธ์หน้าเครียดขึ้นมาทันที “ผมเข้าใจเหตุผลของคุณเจนะครับ ถ้ากล่องรากบุญถูกสร้างใหม่ขึ้นมาจริงๆ มันก็น่าห่วง แต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับ ชีวิตของคุณพ่อผม ยังไงขอเวลาผมคิดให้รอบคอบก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยผ่านสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ฉันไม่เร่งรัดคุณหรอกค่ะ”
อยุทธ์ยิ้มสบายใจ “ขอบคุณครับ”
ทั้งคู่ยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ
ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เดินเข้ามาในห้อง เขาเห็นภาพบาดตานี้ก็หน้าบึ้งทันที
ลาภิณเคาะประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ จะกลับกันรึยัง”
เจติยายิ้มรับ “ค่ะคุณต้น” เจติยาหันไปพูดกับอยุทธ์ “ไปก่อนนะคะคุณอยุทธ์”
เจติยาหันไปหยิบเป้แล้วเดินตามลาภิณออกไป ลาภิณหันไปเหล่มองอยุทธ์ด้วยสายตาไม่พอใจนิดนึง ก่อนจะเดินไปกับเจติยา อยุทธ์ได้แต่มองตามเจติยาด้วยสีหน้าซึมๆ ปนเสียดาย
น้องมินร้องไห้ลั่นและดิ้นพราดๆ เพราะไม่ยอมกลับบ้านกับสิทธิพร
สิทธิพรดุหลาน “หยุดเดี๋ยวนี้น้องมิน อย่ามาดื้อกับอานะ”
มินร้องไห้ลั่น “อาใจร้าย”
ลาภิณกับเจติยาเดินมาพอดี มินรีบโผเข้าไปกอดเจติยาทันที
มินอ้อน “อาเจ ให้หนูอยู่กับอาเจนะคะ”
เจติยาถามสิทธิพร “มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ”
สิทธิพรหงุดหงิด “น้องมินไม่ยอมกลับบ้านน่ะครับคุณเจ ร้องจะอยู่กับคุณเจให้ได้ ทำไมถึงดื้อยังงี้ก็ไม่รู้”
ลาภิณกับเจติยายิ้มแย้มก่อนจะลูบหัวน้องมินด้วยความเอ็นดู
ลาภิณยิ้ม “สงสัยจะติดเจซะล่ะมั้ง ที่จริงแกฝากน้องมินไว้กับฉันก่อนก็ได้นะ ฉันรับเลี้ยงให้ได้ แค่ไม่กี่วันเอง”
สิทธิพรเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ฉันงานเยอะซะด้วย” สิทธิพรรู้สึกเกรงใจ “แต่ไม่รบกวนแกกับคุณเจแน่นะ”
“ไม่หรอกค่ะ น้องมินเรียบร้อยจะตายไป” เจติยายิ้มแย้มก่อนจะคุยกับมิน “งั้นเดี๋ยวเราแวะไปเอาเสื้อผ้าของน้องมินก่อนนะคะ แล้วค่อยไปบ้านอากัน”
มินยิ้มดีใจ “ค่ะอาเจ”
ทันใดนั้นก็มีศีรษะของน้องฝ้ายงอกออกมาจากศีรษะของมินแล้วหันมาส่งยิ้มให้เจติยา รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มไร้เดียงสาแต่ดูน่าสะพรึงกลัว เจติยาผงะไปด้วยความตกใจจนหน้าซีดเผือด
ฝ้ายกำลังเล่นของเล่นพร้อมกับคุยกับเจติยาไปด้วย
“หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าตัวเองเป็นใคร ชื่อฝ้ายก็เป็นชื่อที่มินตั้งให้ แต่ชื่อจริงๆหนูชื่ออะไร หนูก็จำไม่ได้ค่ะ”
เจติยาหนักใจ “แล้วน้องฝ้ายไม่รู้เลยเหรอคะ ว่าตัวเองตายเพราะอะไร แล้วตายเมื่อไหร่”
ฝ้ายส่ายหน้า “หนูนึกไม่ออกค่ะ หนูรู้แต่ว่าหนูตายแล้ว ไม่มีใครเห็นหนูเลยนอกจากมิน อาเจเป็นคนที่สองค่ะที่เห็นหนู พอหนูเจออาเจ หนูก็รู้ว่าอาเจต้องช่วยหนูได้แน่ๆ หนูเลยขอให้มินร้องไห้งอแงขออยู่กับอาเจให้ได้”
“แล้วน้องฝ้ายต้องการให้อาช่วยอะไรคะ”
“หนูอยากรู้ ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วทำไมถึงตายค่ะ”
เจติยาหน้านิ่งเครียดเมื่อเจอกับภารกิจยากแบบนี้
หัวค่ำ ลาภิณเดินกลับเข้ามาในห้อง พอเข้ามาเขาก็เห็นเจติยานอนกล่อมมินอยู่บนเตียง
“จะนอนแล้วเหรอเจ ยังไม่สองทุ่มเลยนะ” ลาภิณว่า
เจติยารีบห้าม “เบาๆ สิคะ เดี๋ยวน้องมินตื่น แกเพิ่งหลับไปเดี๋ยวนี้เอง”
ลาภิณรีบปรับเสียงและท่าทางให้เบาที่สุด เขาย่องมานั่งที่เตียง
ลาภิณตกใจ “นี่เจจะให้น้องมินนอนกับเราเหรอ”
“ก็ต้องนอนกับเราสิคะ น้องมินยังเด็ก นอนคนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ แปลกที่แบบนี้ แกตื่นขึ้นมากลางดึก กลัวแย่เลย”
เจติยาหันไปห่มผ้าให้มินแล้วหอมแก้มเบาๆด้วยความเอ็นดู ลาภิณมองภาพเจติยาดูแลมินแล้วก็ยิ้มขำ
เจติยาเหลือบมองสามีด้วยความแปลกใจ “ขำอะไรคะ”
ลาภิณเข้าไปนั่งใกล้ๆเจติยาแล้วโอบเธอเอาไว้ “ก็ขำเจน่ะสิ รับบทแม่คนขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยต้องมีลูกของเราเองเร็วๆ ซะแล้วล่ะ” ลาภิณหอมแก้มเจติยา
เจติยาอมยิ้มมองดูมินด้วยสายตาเอ็นดู ลาภิณเลื่อนไปลูบผมมินเบาๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ทำให้นึกอยากมีลูกเป็นของตัวเองมากขึ้น
มยุรีกำลังคุยโทรศัพท์บ้านอยู่ที่โถงบ้าน
“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณ คุณใจดีมากจริงๆ ปกติผิดสัญญาเช่าแบบนี้ ไม่ใครเค้าคืนเงินมัดจำให้หรอกค่ะ” มยุรีฟังแล้วก็ยิ้มดีใจ “ไปถูกค่ะ” มยุรีฟังอีกฝ่าย “ได้ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
มยุรีวางโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเหลือบไปเห็นนทีนั่งหน้าเศร้าๆ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
มยุรีหน้าขรึมลงก่อนจะเดินเข้ามาหาลูกชาย “ยังไม่เลิกคิดถึงพลอยอีกเหรอลูก”
นทีตอบหน้าเศร้า “ผมคงเลิกคิดถึงเค้าไม่ได้หรอกครับแม่”
มยุรีไม่รู้จะปลอบลูกยังไงจึงได้แต่ตบไหล่ลูกชายด้วยความสงสาร
นทีถอนใจแล้วเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี๊แม่คุยกับใครเหรอครับ”
“อ๋อ คุณถมทอง เจ้าของตึกที่เราเช่าเปิดร้านน่ะลูก” มยุรีนั่งลงข้างๆนที “แม่ป่วยแบบนี้คงทำร้านต่อไม่ไหวแล้วล่ะ หลัวเองเค้าก็มีเงินที่พลอยทิ้งไว้ให้ คงไม่อยากเหนื่อยเป็นลูกมือแม่ต่อแล้ว”
“ก็ดีครับแม่ ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เราก็ไม่เดือดร้อนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สุขภาพแม่สำคัญกว่า”
มยุรียิ้มแย้มอย่างปลื้มใจก่อนจะลูบหัวนที “แม่โทรไปขอเลิกสัญญาเช่าตึก คุณถมทองแกก็ดี๊ดี อุตส่าห์คืนเงินมัดจำให้แม่...นี่ก็ให้แม่ไปเอาเงินที่บ้านวันนี้เลย”
นทีเป็นห่วงแม่ “แม่ยังไม่ค่อยแข็งแรง เดี๋ยวผมไปเอาให้ก็ได้ครับ”
มยุรีพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มพอใจที่ลูกอาสาช่วยงาน “ขอบใจมากลูก”
นทีเดินตามถมทอง เศรษฐีนี วัยประมาณ 55 ที่ยังสวยอยู่เข้ามาในคฤหาสน์หลังหนึ่ง
ถมทองยิ้มแย้ม “รอที่นี่ก่อนนะจ๊ะ ฉันไปหยิบเงินกับสัญญาเช่าแป๊บนึง”
“ครับ”
ถมทองเดินเลี่ยงเข้าไปด้านใน นทีเดินดูไปรอบๆ ก็เห็นโถงบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม รอบๆ บ้านมีรูปของถมทองกับสามีที่ตายไปแล้วถ่ายคู่กันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข นทีสะดุดใจตากับรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถ่ายคู่กับถมทองจนหยิบขึ้นมาดู ทันใดนั้นนทีก็ได้ยินเสียงคนรับใช้ดังแว่วเข้าหู
“โอ๊ย น้ำลายยืดอีกแล้ว นังบ้าเอ๊ย หาแต่งานให้ทำตลอดเวลา เมื่อไหร่จะตายๆซะทีก็ไม่รู้”
นทีสงสัยเลยเดินตามเสียงไปดูที่สนามหญ้า ก็เห็นคนรับใช้กำลังเช็ดน้ำลายให้แอนนี่พร้อมกับบ่นด่าไปเรื่อยๆ แอนนี่เป็นหญิงสาววัยประมาณ 25 แต่เป็นเจ้าหญิงนิทรามาสิบเก้าปี แอนนี่อยู่ในสภาพตาลอย ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น คนรับใช้จะพาแอนนี่ใส่รถเข็นมาเดินเล่นที่สนามวันละสองรอบ เช้า-เย็น เพื่อไม่ให้เป็นแผลกดทับจากการนอนตลอดเวลา
“ดูๆ คอพับคออ่อน” คนรับใช้ผลักหัวแอนนี่ “นั่งตรงๆยังไม่ได้เลย จะอยู่ไปทำไมวะเอ็งเนี่ย” คนรับใช้กระชากแอนนี่ให้นั่งตัวตรง แล้วหยิก ตีพร้อมทั้งบ่นด่า
นทีไม่พอใจที่เห็นคนรับใช้ทำกับคนป่วยแบบนี้เลยจ้องตาเขม็ง คนรับใช้เหลือบมาเห็นนทีก็ตกใจเลยรีบเข็นรถพาแอนนี่จากไป ทันใดนั้น ถมทองก็เดินเข้ามาหานที
“หนูจ๊ะ ได้แล้วจ้ะ”
นทีหันกลับไปหาถมทอง “ครับ ขอบคุณครับ”
นทีไหว้ถมทองก่อนจะรับเงินกับสัญญาเช่ากลับมา แล้วเขาก็เหล่มองไปทางสนามหญ้าเพราะยังติดใจเรื่องที่คนป่วยถูกทำร้ายอยู่
นิษฐากำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ โดยเจติยากำลังให้นวัชดูรูปวาดฝ้าย ในขณะที่มยุรีกำลังดูแลมินอย่างมีความสุข มยุรีให้มินดูหนังสือนิทาน ชวนกินขนม ตามประสาคนอายุมากที่อยากเลี้ยงหลาน
นิษฐาคุยมือถือด้วยท่าทางยิ้มแย้ม “ขอบคุณมากนะคะคุณสิทธิพร สถานที่จัดงานดีมากเลยค่ะ ที่มูลนิธิตื่นเต้นกันใหญ่เลย” นิษฐาฟัง “ไม่กล้ารบกวนแล้วล่ะค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว...”
นวัชเหล่มองไปทางนิษฐาที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือด้วยใบหน้าหงิกงอเพราะหึงนิษฐา
นวัชไม่พอใจจึงฟ้องเจติยา “ไอ้บ้านั่นโทรหาฐาอีกแล้วนะเจ โทรทุกวัน วันละหลายๆรอบ จะเอาไงของมัน”
เจติยายิ้มๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะผู้กอง มูลนิธิฐาเค้ากำลังจะจัดงานหารายได้ คุณสิทธิพรเค้าช่วยประสานงานให้ มันก็ต้องมีโทรคุยกันเป็นธรรมดาล่ะค่ะ”
นวัชหึงขึ้นหน้า “กลัวมันจะไม่ธรรมดาน่ะสิ คำพูดคำจาแต่ละคำ ไม่เคยเกรงใจเลยนะว่าพี่เป็นแฟนฐา ฐาเองก็เหมือนกัน ไปพูดดีกับมันทำไม” นวัชเหล่มองนิษฐาที่คุยมือถือยิ้มแย้มด้วยสีหน้าหึงๆ
เจติยาขำๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ตกลงเจฝากพี่เช็คเรื่องเด็กในรูปสเก็ตให้หน่อยนะคะ”
นวัชระงับอารมณ์ “ได้จ้ะ พี่จะลองตามให้แล้วกัน แต่คงต้องใช้เวลาหน่อยนะ”
เจติยาพยักหน้าเข้าใจ “ค่ะ”
ขณะนั้น นทีก็เดินกลับเข้าบ้านแล้วเดินตรงเข้าไปหามยุรี
นทีหยิบเงินกับสัญญาเช่ายื่นให้มยุรี “นี่ครับแม่”
มยุรีรับเงินกับสัญญามา “ขอบใจมากลูก..ทีมาก็ดีแล้ว ช่วยดูน้องแทนแม่หน่อย แม่จะเข้าครัว...” มยุรีลุกขึ้นมาบอกนวัช “อยู่ทานราดหน้าด้วยกันก่อนนะคะผู้กอง”
นวัชยิ้มแย้ม “ครับ”
มยุรีเดินเข้าห้องครัวไป ส่วนนทียิ้มให้มิน มินมีท่าทางกลัวๆ ก่อนจะวิ่งตามมยุรีเข้าห้องครัว
นทีอึ้งไปเล็กน้อย “เด็กที่ไหนเนี่ยพี่เจ”
เจติยากำลังจะตอบ แต่นิษฐาที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จชิงตอบก่อน
นิษฐายิ้มแซว “ลูกพี่เจเค้าน่ะสิ เพิ่งคลอดเมื่อวานนี้เอง”
“เว่อร์แล้วแก ฉันไม่ใช่วัวนะ ลูกคลอดออกมาแล้วเดินได้เลย” เจติยาว่า
นิษฐายิ้มๆ “อ้าว ก็ฉันเห็นแกดูแลประคบประหงมซะขนาดนั้น”
เจติยายิ้มๆ เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเพื่อน
นทีถามด้วยสีหน้าสงสัย “พี่ฐา ผมถามอะไรหน่อยสิ ถ้ามีคนป่วยถูกคนดูแลทำร้าย เราจะทำยังไง” นทีหยุดชะงักไปเมื่อเหลือบเห็นรูปฝ้ายในมือนวัช เขาเดินเข้าไปหยิบรูปขึ้นมาเพ่งดู
เจติยาเอะใจปนดีใจ “มีอะไรนที แกเคยเห็นเด็กในภาพนี้เหรอ”
นทีหันไปมองหน้าเจติยาด้วยสีหน้าแปลกใจ “เหมือนรูปเด็กที่ผมเห็นที่บ้านคุณถมทองเมื่อกี้เป๊ะเลยพี่”
“แน่ใจนะ” เจติยาถามย้ำ
นทีพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดหลังจากได้เบาะแสมาโดยบังเอิญอย่างไม่คาดหมาย นทีก้มมองภาพสเก็ตในมืออีกครั้ง
พิมพ์อรเดินเข้ามาหาเลขาฯหน้าห้องของกัมปนาท
“ฉันมาพบคุณกัมปนาทค่ะ จากบริษัทเอตต้า นัดเอาไว้เมื่อวาน”
“รอซักครู่นะคะ” เลขาฯ เช็คกำหนดนัด “ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีคุณกัมปนาทติดธุระด่วนพอดี คงต้องขอเลื่อนนัดออกไปก่อนนะคะ”
พิมพ์อรไม่พอใจ แต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันยินดีรอ จนกว่าคุณกัมปนาทจะเสร็จธุระ”
ขณะนั้นเอง สิทธิพรก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาหา
สิทธิพรพูดพร้อมกับยิ้มเยาะ “อย่าเสียเวลารอเลยครับคุณพิมพ์อร คุณกัมปนาทคงไม่มีธุระอะไรจะคุยกับคุณหรอก”
พิมพ์อรหันมาจ้องสิทธิพรด้วยความไม่พอใจ
สิทธิพรยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าแล้วหันไปพูดกับเลขาฯ “ผมชื่อสิทธิพร นัดเอาไว้แล้ว”
เลขาฯ กุลีกุจอทันที “เชิญทางนี้เลยค่ะ”
เลขาฯเดินนำสิทธิพรไป สิทธิพรมองเย้ยพิมพ์อรนิดนึงก่อนจะเดินตามไป พิมพ์อรได้แต่มองตามด้วยความเจ็บใจที่โดนสิทธิพรแย่งงานไปต่อหน้าต่อตา
พิมพ์อรกำลังเล่นงานกสิณด้วยความโมโหมาก
“เธอปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง ทำไมถึงไม่บอกฉัน ว่านายสิทธิพรมันเล่นซิกแซ็ก”
กสิณหน้าเครียด “ฉันขอโทษ ช่วงนี้ฉันเสียพลังไปมาก ก็เลยช่วยเรื่องงานเธอไม่ได้ ขอเวลาฉันฟื้นฟูพลังซักพักเถอะนะ”
พิมพ์อรโมโหมาก “งั้นก็เชิญเธอฟื้นฟูให้พอละกัน ถึงไม่มีเธอ ฉันก็เอาโปรเจคต์กาสิโนมาเป็นของฉันจนได้ล่ะ” พิมพ์อรเหยียดปากดูถูก “พลาดซ้ำพลาดซาก หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร คนรอบตัวฉัน ไม่ได้เรื่องเลย ทั้งคน ทั้งผี” พิมพ์อรทำสีหน้าหงุดหงิด
กสิณเหล่มองพิมพ์อรตาแข็งๆ เพราะไม่พอใจ ขณะที่พิมพ์อรกำลังวีนใส่กสิณ ชาครก็กำลังแอบดูอยู่
ชาครไม่เห็นกสิณจึงเห็นแต่พิมพ์อรกำลังเหวี่ยงวีนอยู่คนเดียว ชาครมีสีหน้าเป็นห่วงพิมพ์อรและไม่สบายใจมากที่เห็นพิมพ์อรพูดอยู่คนเดียวเหมือนคนเสียสติแบบนี้
หัวค่ำ เจติยากำลังต่อตัวต่อเลโก้กับมินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในห้องทำงานลาภิณ
มินหันไปมองฝ้ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฝ้ายต่อเสร็จแล้ว เก่งจังเลย”
เจติยาหันไปมองตามก็เห็นฝ้ายกำลังต่อตัวต่อเลโก้อย่างมีความสุข
ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เปิดประตูกลับเข้าห้องมา ลาภิณเห็นเจติยากับน้องมินสองคนโดยไม่เห็นฝ้าย
ลาภิณยิ้มแย้ม “รอนานมั้ยครับสองแม่ลูก”
เจติยาเขิน “แซวไม่เลิกเลยนะคะ” เจติยาดูนาฬิกาข้อมือ “ทุ่มนึงแล้ว คุณต้นเสร็จงานรึยังคะ”
ลาภิณยิ้มแย้ม “ถึงไม่เสร็จก็ต้องกลับ ปล่อยให้แม่ลูกคอยนานๆ ยังงี้ พ่อรู้สึกผิดยังไงไม่รู้
เจติยาขำๆ ก่อนจะตีแขนสามีเบาๆ “คุณต้นนี่”
ลาภิณยิ้มขี้เล่น “เรียกแทนตัวเองว่าพ่อ แล้วมันรู้สึกดีจริงๆ”
วิญญาณฝ้ายได้ยินคำว่าพ่อก็สะดุ้งสุดตัว เพราะภาพบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเธอทันที “พ่อ”
ภาพในหัวของฝ้ายคือภาพเมื่อ 19 ปีก่อน มีเงาคนๆหนึ่ง กำลังจ้วงแทงมีดลงมา
ฝ้ายกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ทันใดนั้น ห้องทำงานลาภิณก็ปั่นป่วนไปหมด ข้าวของเครื่องใช้ต่างสั่นไหว กองกระดาษเอกสารปลิวเวียนว่อน มินหวาดกลัวจนร้องไห้ไม่ยอมหยุด ตู้ ชั้นโชว์ต่างๆ เลื่อนไปมาเอง
ลาภิณตกใจมาก พอตั้งสติได้ก็เข้าไปปลอบมิน “น้องมินไม่ต้องกลัวนะครับ”
มินร้องไห้ลั่นไม่ยอมหยุด ในขณะที่ฝ้ายยังกรีดร้องไม่เลิก โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องใช้สำนักงานเริ่มลอยขึ้นเองจากพื้น
ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “เกิดอะไรขึ้นเจ มีวิญญาณอยู่ในห้องนี้ใช่มั้ย”
“รีบพาน้องมินออกไปจากห้องนี้ก่อนเถอะค่ะ” เจติยาบอก
ลาภิณและเจติยาใช้ตัวบังมินเพื่อปกป้องเธอเอาไว้ในขณะที่พาออกไปจากห้องทำงาน เจติยาเหลือบตามองไปที่ฝ้ายที่ยังคงกรีดร้องไม่หยุด ข้าวของใช้ในห้องลอยแล้วหมุนเหมือนถูกเหวี่ยงไปกระแทกผนังห้องจนแตกหักเสียหาย
เช้าวันใหม่ แอนนี่นอนเป็นผักอยู่บนเตียง ในสภาพตาลอย ไม่มีความรู้สึกรับรู้อะไรทั้งนั้น ในขณะที่คนรับใช้นั่งเล่นไลน์จีบผู้ชายอยู่ สาวใช้ยิ้มมีขำคิกคักไม่สนใจแอนนี่เลย ทันใดนั้น สาวใช้ก็ได้กลิ่นเหม็นจึงทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะหันไปมองแอนนี่ พอหันไปมอง สาวใช้ก็เห็นแอนนี่ปัสสาวะราดเลอะกางเกงเต็มไปหมด
สาวใช้โมโห “ตายแล้ว หางานให้ฉันทำอีกจนได้ ใส่ผ้าอ้อมกี่อันๆก็ไม่พอ โอ้ย แกจะเอายังไงกับฉันวะ”
คนรับใช้ตรงเข้าทุบ ตี และหยิกแอนนี่ไม่ยั้งด้วยความโมโห ทันใดนั้นเอง ถมทองก็เปิดประตูเข้ามา
สาวใช้เปลี่ยนท่าทีทันทีโดยพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “เดี๋ยวเปลี่ยนกางเกงนิดนึงนะคะคุณหนู เสร็จแล้วพี่จะได้เช็ดตัวให้นะคะ”
คนรับใช้แสดงท่าทางเอาใจและดูแลแอนนี่อย่างดี ถมทองมองคนรับใช้นิ่งๆ
“เสร็จแล้วออกไปพบฉันที่ห้องรับแขกหน่อยนะ” ถมทองพูด
“ค่ะคุณผู้หญิง”
ถมทองเดินออกไป พอคล้อยหลังถมทอง สาวใช้ก็หยิกแขนหยิกขาแอนนี่ไม่ยั้ง
ภาพในจอไอแพดเป็นภาพคนรับใช้กำลังหยิกตีแอนนี่ต่อเนื่องด้วยความโมโห ถมทองกำลังเอาภาพจากล้องที่เธอซ่อนไว้ให้สาวใช้ดู โดยมีนทีอยู่ใกล้ๆ และมีตำรวจคอยคุมอีกที
ถมทองพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าฉันไม่ซ่อนกล้องเอาไว้ ฉันก็คงไม่รู้ ว่าลับหลังเธอทำกับลูกฉันยังไงบ้าง มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย”
สาวใช้กลัวมากจึงรีบไหว้ถมทองปะหลกๆ “หนูขอโทษค่ะคุณผู้หญิง ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ”
ถมทองค้อนใส่แล้วหันไปพูดกับตำรวจ “ฝากด้วยนะคะคุณตำรวจ”
“ครับ” ตำรวจหันไปพูดกับลูกน้อง “พาตัวไป”
พวกตำรวจคุมตัวสาวใช้ที่แหกปากร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวออกไปจากบ้าน
ถมทองหันไปยิ้มให้นที “ขอบคุณมากนะจ๊ะ ถ้าเธอไม่มาบอกฉัน ฉันก็คงไม่รู้ ว่าลูกสาวโดนทำร้ายยังไงบ้าง ถ้ายังไง ขอให้ฉันได้ตอบแทนเธอบ้างนะ”
นทีมีสีหน้าเกรงใจ “ส่วนตัวผมไม่มีอะไรให้คุณต้องตอบแทนหรอกครับแต่พี่สาวผม มีเรื่องรบกวนคุณถมทองเล็กน้อย”
“มีอะไรให้ฉันช่วย บอกมาได้เลยจ้ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
นทีเกรงใจ “คือพี่สาวผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณถมทองนิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณถมทองพอมีเวลาว่างตอนไหนมั่งครับ”
ถมทองมีสีหน้าแปลกใจ
ถมทองกำลังดูภาพสเก็ตน้องฝ้าย โดยมีเจติยานั่งอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่น้องมินกำลังกินขนมเค้กอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างๆเจติยาภายในร้านกาแฟบรรยากาศดี
ถมทองยิ้มบางๆ “เหมือนลูกสาวฉันมากค่ะ ไม่ทราบว่าคุณไปเจอเด็กคนนี้ที่ไหนเหรอคะ”
เจติยายิ้มรับ “เรื่องมันยาวน่ะค่ะ แต่คุณถมทองแน่ใจนะคะ ว่าไม่ใช่ลูกหรือว่าหลานของคุณแน่ๆ”
“แน่ใจสิคะ ฉันมีแอนนี่เป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าฉันเจอเด็กในภาพนี้เมื่อสิบเก้าหรือยี่สิบปีก่อน ฉันก็คงต้องบอกว่าเป็นแกแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่หรอกค่ะ แล้วฉันก็ไม่มีหลานด้วย เพราะแอนนี่เป็นแบบนี้มาสิบเก้าปีแล้ว”
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแอนนี่คะ”
ถมทองหน้าขรึมลง “มีโจรบุกเข้าปล้นบ้านค่ะ มันฆ่าสามีฉันตาย ส่วนแอนนี่...”
19 ปีที่แล้ว ฝ้ายกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ในมือของเธอถือตุ๊กตาแน่น ตุ๊กตาของฝ้ายกลิ้งตกลงจากบันไดก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่กับพื้น
ถมทองเล่าหน้าเศร้า “แอนนี่ไปเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ก็เลยตกใจวิ่งหนี แล้วพลัดตกบันได สมองได้รับความกระทบกระเทือน จนกลายเป็นอย่างทุกวันนี้แหละค่ะ”
เจติยาหน้าเสีย “เสียใจด้วยนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น เด็กในภาพก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแอนนี่ เพราะอายุต่างกันเกินไป ต้องขอโทษอีกทีนะคะ ที่ทำให้คุณถมทองเสียเวลา”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ น้องชายคุณช่วยฉันมากกว่านี้เยอะ เสียเวลาแค่นี้เรื่องเล็ก ฉันยินดีช่วยค่ะ” ถมทองบอก
ถมทองพูดจบช้อนเค้กในมือมินก็ตกลงพื้นทันที
เจติยาหันไปพูดกับน้องมิน “เดี๋ยวอาเอาอันใหม่ให้ค่ะ...”
เจติยาพูดไม่ทันจบเธอก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อเห็นมินดวงตาเหลือกค้างและเห็นแต่ตาขาวไม่เห็นตาดำ มินร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดๆ “อย่าฆ่าพ่อหนู อย่าฆ่าพ่อหนู”
เจติยาตกใจมาก เธอรู้ว่ามินโดนผีเข้าเลยพยายามเขย่าตัวน้องมิน “น้องมินได้ยินอามั้ย”
ถมทองตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้นคะ น้องเค้าเป็นอะไร”
มินหันไปจ้องหน้าถมทองด้วยสีหน้าหวาดกลัว “หนูกลัวแล้ว อย่าโยนหนูลงมา หนูกลัวแล้ว” มินกรีดร้องลั่นร้าน
ถมทองตกใจสุดๆ จนหน้าซีดเผือดไปหมด มินกรีดร้องสุดเสียงเพียงอึดใจก็สลบเหมือดไป
เจติยารีบเข้าไปดูแลเพราะเป็นห่วง “น้องมินคะ น้องมิน”
มินสลบไสลไม่ได้สติ เจติยาพยายามปลุกยังไงก็ไม่ฟื้น ถมทองมองเจติยาและมินด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
อ่านต่อหน้าที่ 2
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ลาภิณกำลังรับประทานอาหารไปคุยไปอยู่กับพิมพ์อรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ลาภิณไม่สบายใจ “ผมไม่ทราบ ว่าพี่อรจะสนใจโปรเจคต์กาสิโนซิตี้ของพี่กัมปนาทด้วย”
“เอ็ตต้าเป็นบริษัทก่อสร้างอยู่แล้วนี่คะ แล้วจะไม่สนใจโครงการหลายพันล้านได้ยังไง เสียดายนะคะ ที่พี่ไม่รู้มาก่อนว่าคุณกัมปนาทเป็นญาติกับน้องต้น ไม่อย่างนั้น พี่ก็คงขอร้องให้น้องต้นแนะนำให้พี่รู้จักตั้งนานแล้ว”
ลาภิณหน้าเครียดเพราะไม่สบายใจ “เรื่องอื่นก็พอได้หรอกครับพี่อร แต่เรื่องนี้ อย่าเลยครับ พี่กัมปนาทไม่ใช่...” ลาภิณเห็นว่ายังไงกัมปนาทก็เป็นญาติ จะบอกว่าไม่ใช่คนดีเขาก็รู้สึกไม่ดี “เอ่อ ไม่ใช่ธรรมดา...เค้าขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิง ถ้าเค้ารู้ว่าพี่อรสนใจโปรเจคต์ของเค้า เค้าไม่ยอมปล่อยพี่อรไปง่ายๆแน่”
พิมพ์อรแอบยิ้มด้วยความดีใจที่ลาภิณเป็นห่วงเธอ “น้องต้นเป็นห่วงพี่เหรอคะ”
ลาภิณหน้าเจื่อนแล้วก็อึกๆอักๆขึ้นมาทันทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของลาภิณก็ดังขึ้น
ลาภิณรีบหยิบมาดูเบอร์แล้วก็หน้าเสียเพราะรู้สึกผิดก่อนจะกดรับ “ว่าไงครับเจ...”
พิมพ์อรชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที
ลาภิณคุยมือถือ เขาฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจ “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” ลาภิณฟัง “โอ.เค. ผมจะแวะไปดูเดี๋ยวนี้แหละ”
ลาภิณรีบกดวางสาย
พิมพ์อรสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
ลาภิณเป็นห่วงมิน “พอดีเด็กที่ผมกับเจช่วยดูแลอยู่ไม่สบายน่ะครับ”
พิมพ์อรไม่พอใจแต่แกล้งยิ้มประชด “แหม ท่าทางน้องต้นจะรักเด็กคนนี้มากนะคะ ถึงขนาดยอมทิ้งงานกลับไปดูแลทันทีเลย”
ลาภิณยิ้มๆ “น้องมินแกเป็นเด็กน่ารักน่ะครับ” ลาภิณยิ้มเขิน “ผมกับเจยังไม่มีลูกก็เลยเห่อน้องเค้ามากเป็นพิเศษ”
ลาภิณหันไปเรียกบริกรมาเช็คบิล โดยไม่สังเกตเลยว่าพิมพ์อรนั่งหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจสุดๆ พิมพ์อรอดคิดไม่ได้ว่าถ้าลาภิณกับเจติยามีลูกด้วยกันจริงๆ เธอก็จะยิ่งหมดความหมายลงไปทุกที
เจติยากำลังเช็ดตัวให้มินที่หลับสนิทอยู่ โดยมีลาภิณยืนดูปรอทวัดไข้อยู่ใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
ลาภิณดูปรอทแล้วก็เป็นห่วงมิน “ไม่มีไข้แล้วนี่เจ ทำไมยังไม่ตื่นซะทีล่ะ”
เจติยาคิดเล็กน้อย “ถ้าจากประสบการณ์ของเจ คนที่ถูกวิญญาณสิงร่างจะอ่อนเพลีย หมดแรงแบบนี้ล่ะค่ะ” เจติยามองมินด้วยความสงสาร “น้องมินแกก็ยังเด็กมากด้วย ร่างกายเลยต้องพักฟื้นนานกว่าปกติ”
ลาภิณเป็นห่วง “สงสัยต้องหาพระให้น้องมินห้อยคอแล้วล่ะ” ลาภิณมีสีหน้าไม่พอใจ “ไอ้ผีตัวนี้มันชักจะล้ำเส้นมากไปแล้ว อาละวาดซะจนห้องทำงานผมแทบพังไม่พอ ยังมาทำร้ายน้องมินอีก”
“ไม่ถึงกับทำร้ายหรอกค่ะ เค้าแค่ต้องการยืมร่างน้องมินเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง” เจติยาบอก
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของลาภิณก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีไลน์เข้ามา ลาภิณเลยหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความจากไลน์
“คุณต้นกลับไปทำงานต่อก็ได้นะคะ ไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะ” เจติยาบอก
“ผมอยู่ด้วยดีกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้รีบพาน้องมินไปหาหมอได้ทัน เดี๋ยวผมโทรสั่งงานก่อนนะ”
ลาภิณเดินกดโทรศัพท์มือถือโทรออกพร้อมเดินออกไปจากห้องนอน เจติยาห่มผ้าให้มินก่อนจะก้มลงหอมแก้มมินเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
ภาพในความฝัน คุณภพในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศสวมเสื้อราชปะแตน นุ่งโจงกระเบนหันไปมองจันจิราในชุดเจ้าสาวแบบไทยๆ ที่เดินลงบันไดมา จันจิราแต่งตัวสวยงาม น่ารักมาก จนคุณภพตะลึง
คุณภพตะลึงอยู่ครู่นึงก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “งามเหลือเกิน แม่จันจิราของพี่”
จันจิรายิ้มเอียงอายกับสายตาของว่าที่เจ้าบ่าว
เวลาผ่านไป คุณภพนอนตายอยู่บนเตียงโดยเพิ่งสิ้นใจ หมอตรวจอาการและมีบ่าวไพร่ล้อม
อยู่เต็มห้อง ในขณะที่คุณอุษายืนมองอยู่หน้าห้องไม่ได้เดินเข้าไป
หมอหันไปมองบ่าวไพร่ด้วยสีหน้าเครียด “สิ้นใจแล้ว พวกเอ็งไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณตามนี้เถิด”
พวกบ่าวไพร่ปล่อยโฮทันทีด้วยความเสียใจสุดๆกับการจากไปของคุณภพ
อุษาร้องไห้แล้วขบกรามแน่นด้วยความรู้สึกทั้งเสียใจทั้งเจ็บแค้น “ทุกอย่าง เป็นความผิดของหล่อน” อุษามีสีหน้าเคียดแค้น “จันจิรา ฉันจะไม่มีวันให้อภัยหล่อนเด็ดขาด”
เจติยาลืมตาโพลงขึ้นด้วยอาการสะดุ้งตกใจตื่นจากฝันร้าย แต่พอเหลือบเห็นลาภิณกับมินนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เจติยาก็ตั้งสติได้ว่าแค่ฝันแม้จะเหมือนจริงมากก็ตาม เจติยาตั้งสติ ถอนหายใจแล้วจะลงจากเตียงเพื่อไปหาน้ำดื่มแต่แล้วก็ตกใจจนแทบช็อคเมื่อเห็นวิญญาณฝ้ายกำลังนั่งกอดเข้าพิงข้างเตียงอยู่
ฝ้ายเงยหน้ามอง “อาเจต้องช่วยหนูนะ”
พูดจบฝ้ายก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาเจติยา แล้วฝ้ายก็ปรากฏตัวอีกทีที่หน้าประตูห้อง
“รีบตามหนูมา เร็วเข้า”
เจติยามีสีหน้าสงสัยว่าฝ้ายจะพาตนไปไหน
เวลาผ่านไป ถมทองเดินนำเจติยาเข้ามานั่งที่ห้องรับแขกซึ่งมีแก้วน้ำผลไม้วางรอต้อนรับอยู่แล้ว
“เชิญนั่งก่อนจ้ะ” ถมทองบอก
“ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ที่มารบกวนเวลานี้” เจติยาเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” ถมทองสงสัย “แล้วทำไมหนูถึงอยากพบแอนนี่ล่ะจ๊ะ”
เจติยามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “อาจจะฟังดูเหลือเชื่อนะคะ แต่ฉันเห็นวิญญาณเด็กผู้หญิงคนนึงค่ะ หน้าตาเหมือนคุณแอนนี่ตอนเด็กๆ ไม่มีผิดเลย”
ถมทองเริ่มจับต้นชนปลายถูก “ไม่น่าล่ะ คุณถึงได้เอารูปเด็กคนนั้นมาถามฉัน”
“ค่ะ เค้าอยากให้ฉันช่วยหาสาเหตุการตาย ฉันก็พยายามหาอยู่ แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย แล้วอยู่ๆ น้องเค้าก็อยากให้ฉันพามาหาคุณแอนนี่น่ะค่ะ”
ถมทองสงสัย “เป็นวิญญาณแล้วยังต้องให้คุณพามาด้วยเหรอะ มาเองไม่ได้รึไง”
“ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ เหมือนเค้ากลัวอะไรบางอย่าง ต้องให้ฉันมาเป็นเพื่อนน่ะค่ะ” เจติยาบอก
ถมทองคิดตามก่อนพยักหน้ารับช้าๆ “ถ้าอย่างงั้นคุณดื่มน้ำแล้วพักให้หายเหนื่อยก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยขึ้นไปหาแอนนี่ด้วยกัน”
เจติยายิ้มรับ “ขอบคุณค่ะ”
เจติยาหยิบแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม ในขณะที่ถมทองจับตามองเจติยาไม่วางตา
ถมทองเปิดประตูพาเจติยาเข้ามาในห้องนอนของแอนนี่ เจติยาเห็นแอนนี่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
“นี่ฉันจะต้องทำยังไงต่อคะ” ถมทองถาม
เจติยามองแอนนี่ที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวก่อนจะมองไปรอบๆเพื่อหาฝ้าย
“น้องฝ้าย อาเจพามาเจอคุณแอนนี่แล้ว ออกมาสิจ๊ะ...”
ในขณะที่รอฝ้าย เจติยาก็เกิดอาการหน้ามืด เวียนหัวจนทรุดลงกับพื้น เจติยางงไปหมดว่าเกิดอะไรกับตน
ถมทองพูดหน้านิ่งๆ น้ำเสียงเย็นชา “ออกฤทธิ์แล้วสินะ”
เจติยาตกใจสุดๆ ก่อนจะหันไปมองถมทอง “คุณทำอะไรฉัน”
“ก็แค่ยาสลบ ไม่ทำให้เธอตายหรอกน่ะ” ถมทองค่อยๆชักมีดที่ซ่อนเอาไว้ที่เอวออกมา “แต่มีดนี่ตะหากที่จะฆ่าเธอ”
เจติยาตกใจสุดขีด แต่ก็เวียนหัวจนไม่มีเรี่ยวแรง “คุณจะฆ่าฉันทำไม”
ถมทองตวาดแว๊ด “ก็ใครใช้ให้แกแส่ไม่เข้าเรื่องล่ะ ทำมาเป็นอ้างเรื่องผี นึกว่าฉันจะเชื่อนิยายหลอกเด็กของแกรึไง แกคงรู้อะไรมาล่ะสิ ถึงได้คิดมาแบล็คเมล์ฉัน แต่อย่าหวังเลย ฉันทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ หรอก”
เจติยาพยายามตั้งสติเต็มที่ “คุณเป็นคนฆ่าสามีตัวเอง ไม่ได้มีโจรบุกเข้ามาปล้นใช่มั้ย”
ถมทองนึกไม่ถึง ก่อนจะยิ้มเหี้ยมๆ “แกรู้จริงๆด้วย ใครบอกแก”
“ไม่มีใครบอกฉันหรอก ฉันก็แค่ปะติดปะต่อเรื่องเอาเอง จริงๆ ฉันไม่เคยรู้ความลับอะไรของคุณเลยด้วยซ้ำ แต่คุณมันร้อนตัวไปเอง”
ถมทองตะคอก “โกหก แกสั่งให้นังเด็กนั่นทำเป็นผีเข้าขู่ฉัน นึกว่าฉันรู้ไม่ทันเหรอ แกคงกะลักไก่ฉันล่ะซิ แต่ไม่สำเร็จหรอก คนอย่างฉัน ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างใครทั้งนั้น ใครที่คิดจะขู่ฉัน มันต้องตายสถานเดียว”
ถมทองเงื้อมีดจะแทง ทันใดนั้น เจติยาก็รวบรวมแรงพุ่งเข้ากระแทกถมทองจนล้มลงก่อนที่เจติยาจะรีบวิ่งหนีออกจากห้องไป ถมทองรีบหยิบมีดตามไปทันที
ตุ๊กตาในห้องทุกตัวต่างขยับได้เอง บรรดาตุ๊กตาหันไปมองที่ร่างของแอนนี่เป็นตาเดียว วิญญาณน้องฝ้ายเดินมาที่ร่างแอนนี่แล้วเอื้อมมือไปจับมือแอนนี่ไว้ ฝ้ายมองหน้าแอนนี่แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
เจติยาหนีโซซัดโซเซมาจนถึงโถงชั้นบนของบ้าน แต่ฤทธิ์ยากำเริบจนเจติยาไปต่อไม่ไหว ถมทองถือมีดตามมาจนทัน
ถมทองยิ้มเหี้ยม “อยากตายตรงนี้เหรอยะ” ถมทองขำเยาะหยัน
ถมทองเงื้อมีดจะแทงเจติยา
ทันใดนั้น ลาภิณก็วิ่งขึ้นบันไดมาชั้นบนพอดี พอเห็นภรรยาจะถูกแทงก็ตกใจ เขาก็รีบตวาดห้ามทันที
“หยุดนะ”
ถมทองตกใจจึงรีบเข้าไปล็อกคอเจติยาไว้เป็นโล่กำบังทันที
ถมทองตวาดแว๊ด “แกเป็นใคร เข้ามาบ้านฉันได้ยังไง”
เจติยาพูดอย่างอ่อนแรงเพราะมึนหัวไปหมด “คุณต้น เรียกตำรวจเร็ว”
ถมทองสติแตก “เรียกมาเลย ฉันไม่กลัวหรอกโว้ย อย่างมากก็ตายพร้อมกัน”
ลาภิณเป็นห่วงภรรยาสุดๆ “ปล่อยเจซะ แล้วฉันจะไม่เอาเรื่อง”
ถมทองหัวเราะลั่น “แกนึกว่าฉันโง่นักรึไง ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกันนี่ล่ะ”
เจติยามึนหัวมาก “ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณต้น ผู้หญิงคนนี้ฆ่าสามีตัวเองแล้วยังทำร้ายลูกในไส้จนเป็นเจ้าหญิงนิทราอีก เค้าไม่ฟังเราหรอกค่ะ”
ถมทองยิ้มเยาะ “ฉันฆ่าไอ้ผัวชั่วนั่นก็จริง แต่ฉันไม่เคยทำร้ายลูก เพราะ...”
ทันใดนั้น ฝ้ายก็พูดแทรกขึ้นมา “เพราะหนูไม่ใช่ลูกคุณใช่มั้ยคะ”
ถมทองตกใจสุดขีด เธอหันไปมองหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเห็นแต่แอนนี่นั่งรถเข็นที่เลื่อนออกมาจากห้อง ลาภิณฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปดึงตัวเจติยาออกมาทันที ถมทองตกใจที่ลาภิณช่วยเจติยาไปได้ เลยโผจะเข้าแทงทั้งคู่ ทันใดนั้นเอง วิญญาณฝ้ายก็โผล่เข้ามาขวางหน้าถมทองไว้ ถมทองตกใจสุดขีดจนมีดหลุดมือ เธอกรี๊ดลั่นพร้อมกับผงะถอยออกมา ฝ้ายมองไปที่ถมทองด้วยสายตาเย็นชาเพราะเริ่มจำเหตุการณ์ในอดีตได้แล้ว
ภาพเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 19 ปีก่อนย้อนกลับมา มีดถูกจ้วงแทงลงมา ฝ้ายยืนกอดตุ๊กตาอยู่หน้าห้องนอน เธอเห็นพ่อตัวเองถูกถมทองฆ่าต่อหน้าต่อตา ฝ้ายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ถมทองใช้มีดแทงสามีตายคาเตียงในห้องนอนก็หันไปจ้องฝ้ายด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ฝ้ายกลัวสุดขีดจึงรีบวิ่งหนีไปโดยมีถมทองวิ่งตาม
ฝ้ายวิ่งหนีมาถึงบันได แต่ถมทองวิ่งมาจับไว้ได้ทัน
ฝ้ายกลัวสุดขีด “อย่าทำหนู แม่ใหญ่ ปล่อยหนูเถอะค่ะแม่ใหญ่ หนูกลัวแล้ว”
ถมทองมองฝ้ายด้วยสายตาเหี้ยมกรียม
สักพักตุ๊กตาในมือฝ้ายก็ตกลงมาบนพื้นด้านล่างพร้อมเสียงร้องโหยหวนของฝ้ายที่ดังตามมา
วิญญาณของฝ้ายกำลังคุยกับถมทอง โดยมีลาภิณ และเจติยาอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยฟังเรื่องราวทั้งหมด
“แม่ใหญ่ฆ่าพ่อตาย แล้วผลักหนูตกบันไดจนหนูต้องเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วโกหกตำรวจว่ามีโจรปล้นบ้าน ตำรวจสงสัยแม่ใหญ่แต่ไม่มีหลักฐาน แม่ใหญ่เลยรอดมาจนถึงวันนี้”
ถมทองตั้งสติได้ก็ตะคอกใส่ “อีเด็กบ้า แกจะเป็นแอนนี่ไปได้ยังไง” ถมทองชี้ไปที่แอนนี่ “มันนั่งเป็นผักนึ่งอยู่นั่น มันยังไม่ตาย วิญญาณจะออกจากร่างได้ยังไงยะ”
ทันใดนั้น แอนนี่ก็หันมามองถมทองแล้วพูดด้วยเสียงผู้ชาย
“แล้วใครว่าวิญญาณในร่างนี้เป็นแอนนี่ล่ะ”
พูดจบวิญญาณสามีถมทองก็ออกมาจากร่างของแอนนี่ให้ถมทองเห็นจะๆ ถมทองเห็นคาตาก็ช็อกสุดขีด เธอกรีดร้องจนหมดสติหงายหลังไปทั้งยืน เจติยาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็กอดลาภิณแน่นเพราะทั้งหวาดกลัวและสยองกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฝ้ายวิ่งไปสวมกอดกับวิญญาณของพ่ออย่างแนบแน่น
ลาภิณกำลังคุยโทรศัพท์มือถือโดยมีเจติยาพักผ่อนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“ครับ ขอบคุณมากครับผู้กอง” ลาภิณฟัง “เจปลอดภัยดีครับ ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ได้ครับ สวัสดีครับผู้กอง”
ลาภิณกดวางสายก่อนจะหันไปพูดกับเจติยา
“ตอนนี้ผู้กองนวัชกำลังเคลียร์ทุกอย่างอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” ลาภิณถอนใจ “เจอเข้าไปอย่างงี้ คุณนายถมทองคงสารภาพหมดเปลือกแน่”
เจติยายิ้มสบายใจที่ปิดคดีได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เอ่อ แล้วคุณต้นตามไปช่วยเจได้ยังไงคะ”
“ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาปลุก พอตื่นขึ้นมา เจไม่อยู่ผมก็เลยลงมาดูข้างล่าง เห็นเจขับรถออกไปพอดี ผมมั่นใจว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ ก็เลยรีบตามไป”
“คงเป็นน้องฝ้ายที่มาปลุกคุณต้นให้ตามไปน่ะค่ะ ครั้งนี้เจพลาดไปจริงๆ คิดไม่ถึงเลย ว่าคุณถมทองจะเป็นฆาตกรไปซะได้” เจติยาถอนใจออกมา
“เรื่องมันซับซ้อนขนาดนี้ โทษเจไม่ได้หรอก”
เจติยาถอนใจออกมาเหลือบตามองไปที่มินที่หลับสนิทแล้วก็ลูบหัวมินเบาๆ
“ถ้าเจตั้งท้องลูกของเราเมื่อไหร่ รับปากผมได้มั้ยว่าจะไม่ทำเรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้โดยไม่บอกผมอีก” ลาภิณมีสีหน้าแววตาเป็นห่วง
“ค่ะคุณต้น”
ทั้งคู่สวมกอดกันด้วยความเข้าใจ
ลาภิณ เจติยา และมินนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง สักพักก็มีมือผู้หญิงยื่นมาสะกิดแขนเจติยา เจติยารู้สึกตัวตื่นก็เหลือบตามองไป เธอเห็นวิญญาณแอนนี่ในสภาพสวยงามกำลังยืนยิ้มให้เจติยาอยู่ที่ปลายเตียง
“ฉันถูกผลักตกบันไดตอนอายุ 7 ขวบ วิญญาณของฉันออกจากร่างตั้งแต่ตอนนั้น ฉันเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าวิญญาณพ่อเป็นคนรักษาร่างกายฉันเอาไว้” แอนนี่เล่า
เจติยาลงมาคุยกับวิญญาณแอนนี่ที่โถงบ้านชั้นล่าง
เจติยาพยักหน้าช้าๆ “แล้วคุณจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้เลยเหรอคะ”
“ค่ะ ความกลัวถึงที่สุด ทำให้ฉันจำอะไรไม่ได้จนมาเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุและได้เจอกับคุณพ่อ ฉันถึงจำเรื่องทั้งหมดได้”
“เหลือเชื่อจริงๆ นะคะ ฉันเจอวิญญาณมาเยอะ แต่ไม่เคยเจออะไรแปลกประหลาดแบบนี้เลย” เจติยาว่า
“ความรักเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ สร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้เสมอล่ะค่ะ” แอนนี่หน้าเศร้าลง “ฉันเป็นลูกเมียน้อย หลังจากที่คุณแม่เสีย คุณพ่อก็พาฉันมาอยู่ในบ้าน แม่ใหญ่ไม่พอใจมาก หวาดระแวงไปต่างๆนาๆ กลัวเราสองคนพ่อลูกจะหุบสมบัติของเธอ เพราะเธอไม่มีลูกกับพ่อ” แอนนี่เศร้าใจ “สุดท้ายเธอก็เลยวางแผนฆ่าคุณพ่อกับฉันซะ”
“แต่วิญญาณพ่อคุณเข้ามารักษาร่างคุณไว้ ทำให้ทางการแพทย์ถือว่าคุณยังไม่ตาย คุณถมทองก็เลยต้องดูแลคุณมาเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย”
“ค่ะ” แอนนี่ถอนใจหน้าเศร้า “ไม่มีใครหนีกรรมพ้นจริงๆ ...ในที่สุด ฉันก็ได้ความเป็นธรรมกลับคืนมาแม้ฉันจะตายไปแล้วก็ตาม”
“แล้วคุณไม่คิดจะกลับเข้าร่างเดิมเหรอคะ”
“มันเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ฉันหมดบุญไปนานแล้ว ถึงเวลาที่ฉันกับคุณพ่อต้องไปตามทางของเราซะที “ แอนนี่ยิ้มบางๆ ให้เจติยา “ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกอย่าง แล้วก็ฝากลาน้องมินด้วย ซักวัน เราสามคน อาจจะได้กลับมาพบกันอีก”
เจติยายิ้มรับ “ค่ะ ฉันจะรอวันนั้นค่ะ”
แอนนี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินไปหาวิญญาณพ่อที่ยืนรออยู่แล้วอีกมุมห้อง สองพ่อลูกจับมือกันแล้วกันมายิ้มให้เจติยาเป็นการขอบคุณ แสงระยิบระยับเกิดขึ้นรอบตัวของทั้งคู่ ก่อนที่วิญญาณของแอนนี่และพ่อจะเลือนหายไป เจติยายิ้มบางๆ แม้ว่าชีวิตของแอนนี่จะน่าเศร้า แต่ก็ยังมีความงดงามของความรักที่พ่อมีต่อลูกซ่อนอยู่เช่นกัน
วันใหม่ เจติยาเดินจูงมือน้องมินลงมาจากชั้นบนแล้วเดินเข้ามาหาลาภิณ และสิทธิพรที่กำลังคุยกันอยู่ที่โถง
สิทธิพรหันไปเห็นหลาน “ว่าไงเจ้าตัวแสบ จะกลับบ้านรึยัง”
มินกอดเจติยาแน่นแบบไม่ยอมกลับบ้าน
เจติยาขำ “ถ้าน้องมินคิดถึงพวกอา อยากกลับมาหาอาเจ กับอาต้นเมื่อไหร่ก็ได้นะจ๊ะ แต่ตอนนี้ต้องกลับบ้านก่อน ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คิดถึงแย่แล้ว”
“ค่ะอาเจ” มินกระซิบใกล้ๆ “ถ้าเจอฝ้าย บอกฝ้ายด้วยนะคะว่ามินคิดถึง”
เจติยายิ้มรับ “ได้จ้ะ”
เจติยากับลาภิณกอดลาและหอมแก้มน้องมินก่อนที่สิทธิพรจะเข้ามาจูงมือหลาน
“ขอบคุณมากนะครับคุณเจ ที่ช่วยดูแลหลานให้”
เจติยายิ้มรับ “ไม่เป็นไรค่ะ”
สิทธิพรหันไปพูดกับลาภิณ “ไปก่อนนะต้น ขอบใจมากเพื่อน”ลาภิณยิ้มๆ แล้วตบบ่าเพื่อน
“ไป กลับบ้าน” สิทธิพรจูงมินเดินนำออกจากบ้านไป เจติยาและลาภิณเดินจูงมือกันตามออกไปส่ง
ลาภิณมองตามมินไปด้วยความคิดถึง “ใจหายเนอะเจ”
เจติยาหน้าจ๋อยๆ เพราะคิดถึงมินเหมือนกัน “ค่ะ”
“ขโมยกลับมาเลี้ยงดีมั้ย เจดูต้นทาง เดี๋ยวผมลงมือเอง”
เจติยาหัวเราะแล้วตีแขนลาภิณเบาๆ “จะได้ติดคุกน่ะสิคะ เพี้ยนใหญ่แล้วคุณต้นเนี่ย”
“ผมซีเรียสนะเจ ถ้าไม่ขโมยน้องมินมา คุณก็ต้องมีลูกให้ผม” ลาภิณหันไปกระซิบใกล้ๆหูเจติยา “ตอนเนี้ยกำลังเหมาะเลย ผมคำนวณเวลาไข่ตกเป๊ะแล้ว”
เจติยาเขินมาก “บ้า” เจติยาหยิกและบิดแขนลาภิณไปมาด้วยความเขินอาย
ลาภิณร้องดังออกมาด้วยความเจ็บ สิทธิพรและมินหันกลับมามอง ลาภิณและเจติยาปรับท่าทีเป็นยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรโอบเอวกันเดินตามออกมาส่ง เจติยายังแอบหยิกแขนสามีด้วยความรักปนหมั่นไส้
เหรียญของเจติยากำลังลอยอยู่บนอากาศ เจติยายืนมองเหรียญของตนนิ่ง
“เสร็จงาน ก็ได้เวลาชำระแกซะที ฉันจะชำระแกกับเพื่อนแกที่เหลือให้สะอาดไปเลย”
เจติยาเอื้อมมือไปกำเหรียญที่ลอยอยู่
ทันใดนั้นก็มีมือสีดำสนิทเหมือนถ่านเอื้อมมาจับข้อมือเจติยาจากทางด้านหลัง เจติยาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พอหันกลับไปก็ไม่เห็นอะไรแต่พอหันกลับมาเธอก็เห็นกสิณที่แต่งตัวสวยงามยืนมองเธออยู่
เจติยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ “เธอคงเป็นกสิณสินะ”
กสิณยิ้มบางๆ “ใช่ นี่คงเป็นครั้งแรก ที่เราได้คุยกันดีๆนะเจติยา”
“เธอต้องการอะไร”
“ตรงดี ฉันมีข้อเสนอ ถ้าเธอไม่ชำระเหรียญอีก ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเธอแล้วก็คนรอบตัวเธอ เราก็ต่างทำหน้าที่ของเราไป ตกลงมั้ยล่ะ”
“ถ้าฉันไม่ตกลง เธอจะทำร้ายฉันใช่มั้ย” เจติยายิ้มบางๆ “อย่างนี้มันไม่ใช่ข้อเสนอ แต่มันเป็นการข่มขู่มากกว่า”
กสิณหน้าเครียด “แล้วเธอจะตกลงมั้ยล่ะ”
“ฉันจะตกลง ก็ต่อเมื่อเธอสัญญา ว่าจะไม่สร้างกล่องรากบุญขึ้นมาใหม่เท่านั้น”
กสิณโกรธจัดจนดวงตาเป็นสีแดงฉานเหมือนเลือด กสิณส่งพลังไปเล่นงานเจติยาทันที ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นรอบตัวเจติยาแล้วสะท้อนพลังกสิณกลับไปทันที
กสิณผงะออกมา เมื่อยิ่งทำอะไรเจติยาไม่ได้กสิณก็ยิ่งโมโหมากขึ้น “ถึงฉันจะทำร้ายเธอไม่ได้ แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้เธอ” กสิณมีสีหน้าแววตาดุดัน เกลียดชัง และอาฆาต “ฉันจะจองล้างจองผลาญเธอให้ถึงที่สุด คอยดู ฉันจะทำให้เธอเสียใจยิ่งกว่าตายทั้งเป็น”
พูดจบกสิณก็กลายร่างเป็นแมลงวันนับพันนับหมื่น บินว่อนไปทั่วห้องจนเจติยาต้องใช้มือปัดป้อง ก่อนที่กองทัพแมลงวันจะบินหายไปจนหมด เจติยาหน้าซีดเผือดเพราะอดรู้สึกหวั่นใจกับคำขู่ของกสิณไม่ได้
ลาภิณกำลังดูรายงานบริษัทผ่านคอมพิวเตอร์อยู่ ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของลาภิณก็ดังขึ้น หน้าจอโทรศัพท์เขียนว่า “พี่อร”
ลาภิณหน้าเครียดเพราะลึกๆยังรู้สึกผิดต่อเจติยาอยู่ แต่เขาก็กดรับ “ครับพี่อร”
เสียงพิมพ์อรดังลอดโทรศัพท์ออกมา
“น้องต้น ช่วยพี่ด้วย...”
ลาภิณหน้าเครียดเพราะตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับพิมพ์อร
อ่านต่อหน้าที่ 3
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชาครถูกลูกน้องกัมปนาทผลักออกมาเพื่อไม่ให้เข้าไปในห้องพักของกัมปนาท ลูกน้องกัมปนาท 3-4 คน ยืนเฝ้าหน้าห้องไว้ไม่ให้ชาครเข้าใกล้
ชาครโมโหมาก “นี่มันอะไรกัน ฉันเป็นเลขาคุณพิมพ์อร ทำไมจะเข้าไปข้างในไม่ได้”
“ที่นี่เป็นคอนโดของคุณกัมปนาท ถ้าคุณกัมปนาทไม่ให้เข้า ใครก็เข้าไปไม่ได้ทั้งนั้น”
ชาครทั้งแค้นทั้งห่วงพิมพ์อรแต่ก็ทำเป็นยอมเดินเลี่ยงไป พอเดินไปได้นิดเดียว ชาครก็หันกลับมาต่อยลูกน้องทันที ลูกน้องคนที่เหลือเข้ามารุมชาคร แต่ชาครเก่งกว่ามากเลยเล่นงานลูกน้องกัมปนาทจนกระเด็นกระดอนออกไปหมด
พอชาครจะเข้าไปในห้อง เขาก็โดนลูกน้องกัมปนาทเอาปืนจ่อที่เอวทันที ชาครหันกลับไปจ้องเขม็งกะวัดใจแต่ลูกน้องคนอื่นๆก็ชักปืนตาม ปืน 3-4กระบอกจ่อที่ชาคร ชาครได้แต่ขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจแต่ก็ไม่กล้าวู่วามเช่นกัน
กัมปนาทเดินมาพูดที่หน้าประตูห้องน้ำในห้องพักคอนโดหรูหราของตน
กัมปนาทพูดด้วยสีหน้ากวนๆ แบบรู้ทัน “สัญญาณโทรศัพท์ตรงห้องรับแขกชัดกว่านะครับคุณพิมพ์อร ผมมีเวลาให้คุณไม่มากนักหรอกนะ”
กัมปนาทเดินยิ้มๆ อย่างมั่นใจแบบถือไพ่เหนือกว่าขณะเดินนำไปนั่งรอที่โซฟารับแขกทำเปิดแฟ้มเอกสารที่พิมพ์อรดูไปมา ชั่วอึดใจ พิมพ์อรก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาด้วยสีหน้ากังวลปนกลัวแต่ก็เก็บอาการไว้ กัมปนาทโยนแฟ้มเอกสารลงพื้นเสียงดังจนพิมพ์อรสะดุ้ง กัมปนาทยิ้มกรุ้มกริ่มขณะเดินเข้ามาหาพิมพ์อร
พิมพ์อรกลัวมากแต่ก็ยังทำเสียงแข็ง “คุณบอกว่าจะคุยข้อเสนอของฉัน ฉันถึงได้ยอมมาที่นี่ ถ้ารู้ว่าคุณจะเล่นแง่ยังงี้ ฉันไม่มาให้เสียเวลาหรอก”
กัมปนาทยิ้มๆ “ก็ไม่เห็นจะต้องคุยอะไรเลยนี่ครับ โปรเจคต์ของผมเอง ถ้าผมพอใจจะให้คุณ ผมก็ให้ ใครก็ขวางไม่ได้” กัมปนาทยิ้มกรุ้มกริ่ม “ผมว่าเรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า” กัมปนาทมีแววตาเจ้าชู้และหื่น “บางทีอาจจะช่วยให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก็ได้”
กัมปนาทจะเข้าไปถึงเนื้อถึงตัว แต่พิมพ์อรรีบเบี่ยงตัวหลบออกมา
พิมพ์อรโกรธ “คนอย่างฉัน ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลก เพื่อให้ได้งานหรอกนะ”
กัมปนาทยิ้มกวนๆ “ก็อย่าคิดว่าแลกสิครับ คิดว่าร่วมสนุกกันก็พอ”
พิมพ์อรเหลืออด “ทุเรศ”
พิมพ์อรฟิวส์ขาดจึงตบหน้ากัมปนาทเข้าไปเต็มๆ ทันที แต่แทนที่กัมปนาทจะโกรธ เขากลับหัวเราะชอบใจแล้วมองพิมพ์อรด้วยแววตาอยากเอาชนะ พิมพ์อรเห็นสีหน้าแววตาและท่าทางกัมปนาทก็ยิ่งกลัวจนอดถอยหนีไปข้างหลังตามสัญชาตญาณไม่ได้
พิมพ์อรร้องขอความช่วยเหลือ “กสิณ” พิมพ์อรกวาดตามองหาแต่ก็ไม่มีวี่แววของกสิณเลย
กัมปนาทยิ้มกวนๆ “ไม่ต้องเสียเวลาเรียกคนมาช่วยหรอก ไม่มีใครช่วยเธอได้ทั้งนั้นล่ะ”
กัมปนาทมีสีหน้าแววตาเหมือนสัตว์ร้ายที่จะขย้ำเหยื่อไม่มีผิด เขาเดินตรงเข้าหาพิมพ์อรจนพิมพ์อรถอยหลังไปชนกับโต๊ะ พิมพ์อรกลัวจนจับใจจึงพยายามจะหาทางหนี ทันใดนั้น ลาภิณก็เปิดประตูเข้ามา
พิมพ์อรดีใจสุดๆ “น้องต้น” พิมพ์อรรีบเข้าไปเกาะแขนลาภิณ
กัมปนาทไม่พอใจ “แกเข้ามาได้ยังไง”
ลาภิณทำหน้าตาไม่พอใจ “โชคดีที่ลูกน้องพี่จำได้ว่าเราเป็นญาติกัน”
“แล้วแกมาทำไม” กัมปนาทเหลือบตามองพิมพ์อรที่เกาะแขนลาภิณอยู่อย่างสนิมสนมเล็กๆ “อ๋อ หรือว่าแม่นี่เป็นกิ๊กของแกไอ้ต้น”
พิมพ์อรชะงักแล้วรีบปล่อยแขนลาภิณทันที
ลาภิณไม่พอใจ “พี่อร เป็นลูกสาวเพื่อนสนิทคุณพ่อ ผมก็เลยจะมารับพี่เค้ากลับบ้าน”
กัมปนาทจ้องหน้าลาภิณด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม “แกคิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉัน แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบอย่างงั้นเหรอ”
“ผมรู้ว่าพี่ไม่คิดจะนับญาติกับผมอยู่แล้ว” ลาภิณยิ้มบางๆ “แต่ผมก็รู้ ว่าพี่ไม่ใช่คนโง่ ที่จะเอาตัวเองแล้วก็ธุรกิจมูลค่ามหาศาลมาเสี่ยงให้เสียชื่อกับผู้หญิงคนเดียว”
กัมปนาทจ้องหน้าลาภิณเขม็งก่อนจะขบกรามแน่น ในสมองเขาคิดผลได้เสียตามที่ลาภิณพูดเช่นกัน
สุดท้ายกัมปนาทก็ตัดใจ “ฉันยอมแกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะไอ้ต้น จะไปไหนก็รีบไปซะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
ลาภิณดึงมือพิมพ์อรออกไปจากห้องทันที กัมปนาทขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจมาก
ลาภิณเดินนำพิมพ์อรและชาครมาที่รถของพิมพ์อรที่จอดอยู่
“ขอบคุณมากนะน้องต้น”
ลาภิณหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจที่พิมพ์อรไม่เชื่อตน “พี่อรรีบๆกลับเถอะครับ”
พิมพ์อรหน้าเสีย “น้องต้นโกรธพี่เหรอ”
ลาภิณไม่พอใจ “ผมเตือนพี่อรแล้ว พี่อรยังดื้อไปพบพี่กัมปนาทจนได้ ถ้าผมมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”
พิมพ์อรหน้าจ๋อยลงไปทันทีโดยที่เถียงไม่ออกซักคำ
ลาภิณต่อว่าด้วยความเป็นห่วง “เพราะแค่ต้องการอยากเอาชนะเจ้าสิทธิพร มันคุ้มกันมั้ยครับ”
ชาครสงสารพิมพ์อรแล้วก็จะช่วยแก้ “ผมเข้าใจคุณลาภิณนะครับ แต่เรื่องนี้จะโทษคุณอร...”
ลาภิณพูดสวนขึ้นโดยจ้องหน้าชาครไปด้วย “ถ้าผมไปถึงช้ากว่านี้อีกนิดเดียว คุณรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ชาครอึ้งและพูดอะไรไม่ออก
ลาภิณถอนใจ “ผมกลับก่อนนะครับพี่อร ถ้าพี่อรยังไม่เลิกอยากเอาชนะสิทธิพรอยู่อีก ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมช่วยพี่ทันก็ได้”
ลาภิณเดินเลี่ยงมาที่รถของตนที่จอดอยู่ไม่ห่างกันมาก แล้วเขาก็กดรีโมทปลดล็อก พิมพ์อรได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ ทันทีที่ลาภิณเปิดประตูรถ ฝูงแมลงวันนับพันนับหมื่นก็พุ่งออกมาจากรถเต็มไปหมดท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ฝูงแมลงวันตรงเข้ารุมลาภิณทันที ลาภิณตกใจและหวาดกลัวพยายามปัดแมลงวันให้ออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ ฝูงแมลงวันรุมลาภิณจนแทบจะมองไม่เห็นตัว ชาครตั้งสติได้ก่อนก็รีบถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่แล้วตรงเข้าไปปัดฝูงแมลงวันออกเพื่อช่วยลาภิณ แต่ก็ไม่สำเร็จ
พิมพ์อรตั้งสติได้ก็ตวาดลั่น “ฉันรู้นะว่าเป็นฝีมือเธอ หยุดเดี๋ยวนี้นะกสิณ ฉันบอกให้เธอหยุด”
ฝูงแมลงวันหอบตัวลาภิณจนลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะเหวี่ยงลาภิณไปกระแทกผนังตึก ร่างลาภิณล่วงลงหมดสติกับพื้นลานจอดรถ ฝูงแมลงวันสลายตัวไปรวมกันเป็นร่างกสิณอยู่ไม่ห่างนัก กสิณยิ้มเย้ยหยันพิมพ์อรก่อนจะจางหายไป พิมพ์อรและชาครรีบเข้าไปดูอาการลาภิณที่สลบไม่ได้สติ
นวัชและนิษฐาเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามา ทั้งสองเห็นลาภิณนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยมีเจติยาและพิมพ์อรคอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
นิษฐาเป็นห่วง “คุณต้นเป็นยังไงบ้างเจ”
เจติยาเครียดหนัก “ยังไม่ได้สติเลย”
นวัชสงสัย “ทำไมคุณต้นถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะ”
เจติยาหันไปมองพิมพ์อรเป็นเชิงถาม นวัชกับนิษฐาเลยหันไปมองตาม
พิมพ์อรร้อนตัวอึกๆอักๆ “พอดีฉันมีปัญหานิดหน่อย น้องต้นตามไปช่วย ก็เลยเกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มน่ะค่ะ”
นวัชรู้สึกไม่ชอบมาพากล “ลื่นหกล้ม คงล้มแรงมากเลยนะครับ ป่านนี้คุณต้นถึงยังไม่ฟื้น”
พิมพ์อรหน้าเจื่อนแล้วก็รีบเบือนหน้าไม่กล้าสบตา ทันใดนั้น ลาภิณก็ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้น
นิษฐาเหลือบตาเห็นก่อนใครก็ดีใจมาก “คุณต้นรู้สึกตัวแล้ว”
ลาภิณลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ
เจติยาและพิมพ์อรดูดีใจมากไม่แพ้กัน แต่เจติยาก็คว้ามือลาภิณมาจับกุมด้วยความเป็นห่วง ส่วนพิมพ์อรได้แต่มองอยู่ห่างๆ
ลาภิณงงๆ มองไปที่นวัชและนิษฐา “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับครับผู้กอง คุณฐา”
นิษฐายิ้มแย้มด้วยความสบายใจ “จำพวกเราได้ยังงี้ สมองคงไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรหรอก โล่งอกไปที” นิษฐาถอนใจโล่งอก
เจติยายิ้มดีใจ “คุณต้นประสบอุบัติเหตุน่ะค่ะ คุณพิมพ์อรก็เลยพามาส่งโรงพยาบาล”
ลาภิณหันไปมองเจติยาอย่างงงๆ “คุณเป็นใคร” ลาภิณดึงมือตัวเองออกจากเจติยา
เจติยาหน้าเสียทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ ทุกคนอึ้งๆไป
ลาภิณหันไปมองทางพิมพ์อร “พี่อร” ลาภิณยื่นมือไปรอจับมือพิมพ์อร
ทุกคนอึ้งๆ พิมพ์อรก็งงๆ
“พี่อรมาหาผมสิครับ” ลาภิณเรียก
พิมพ์อรเดินเข้ามาหาลาภิณ ลาภิณคว้ามือพิมพ์อรมาจับกุมเอาไว้
ลาภิณทำสีหน้าอ้อนๆ แบบคนรักคุยกัน “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ลาภิณจับมือพิมพ์อรมากุมไว้แนบอก
เจติยาหน้าร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกทั้งงงทั้งเจ็บแปลบจนน้ำตาคลอเบ้า
เจติยาหน้านิ่งเดินนำมาตามทางเดินในโรงพยาบาล นวัชและนิษฐารีบตามมาด้วยความร้อนใจ
นิษฐาร้อนใจเพราะเป็นห่วงเพื่อน “เจ รอฉันก่อน” นิษฐารีบเดินเร็วไปขวางหน้า “แกจะกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้นะ” นิษฐาจับมือเพื่อน “กลับไปคุยกับคุณต้นให้รู้เรื่องก่อน”
เจติยายื้อตัวไว้ “จะไปทำไม คุณต้นเค้าจำฉันไม่ได้ คุยกันไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
นวัชไม่เห็นด้วย “คุณต้นกำลังป่วยนะเจ เจควรอยู่ดูแล”
“พี่ผู้กองพูดถูก เจต้องเป็นคนดูแลคุณต้น ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่นั่น” นิษฐาสีหน้าชิงชัง
เจติยาหน้าเครียด “ฉันอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกฐา” เจติยาทำสีหน้ามั่นใจ “ฉันพอรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณต้น” เจติยาถอนใจออกมา “แต่ขอเวลาฉันตั้งสติ หาทางแก้ปัญหาก่อนละกันนะ” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมา “ให้ฉันต้องทนเห็นภาพบาดตาอยู่แบบนั้น ฉันคิดอะไรไม่ออกหรอก” เจติยารีบเดินเลี่ยงไปทั้งน้ำตาท่วมตา
นิษฐาจะตามมาห้าม “เจ...”
นวัชคว้าแขนนิษฐาเอาไว้ “ปล่อยเจไปก่อนเถอะ”
นิษฐาถอนใจพรวดด้วยความหงุดหงิดที่เพื่อนไม่ยอมลุยให้เด็ดขาดไปเลย
พิมพ์อรกำลังดูแลให้ลาภิณดื่มน้ำผลไม้จากหลอด
“ขอบคุณครับ” ลาภิณบอก
พิมพ์อรยิ้มปลาบปลื้มที่ได้ดูแลลาภิณ เธอเอาแก้วน้ำไปวาง
“ผมว่าผมกลับบ้านเลยก็ได้นะครับพี่อร”
พิมพ์อรหันมองลาภิณด้วยสีหน้าแววตาเป็นห่วง
“ตอนนี้ผมก็ปกติดีทุกอย่าง ไม่เห็นจะเจ็บป่วยตรงไหนเลย”
พิมพ์อรยิ้มรับ “ยังไม่ได้หรอกค่ะ คุณหมอบอกให้อยู่ดูอาการก่อน ยังไงก็ต้องรอพรุ่งนี้ค่ะ”
ลาภิณจับมือพิมพ์อรไว้แล้วทำหน้าอ้อนๆ “งั้นคืนนี้ พี่อรนอนเฝ้าผมที่นี่นะครับ”
พิมพ์อรตกใจจนนึกไม่ถึงก่อนจะยิ้มอายๆ “ไม่ได้หรอกค่ะ พี่ต้องกลับไปดูแลคุณพ่อ แต่พี่สัญญาว่าจะอยู่จนกว่าน้องต้นจะหลับก็แล้วกันนะคะ”
ลาภิณคิดก่อนจะตอบหน้าเจื่อนๆ “อย่าเลยครับ กว่าผมจะหลับก็คงดึกมาก ผมไม่อยากให้พี่อรต้องกลับบ้านดึกๆ” ลาภิณส่งสายตากรุ้มกริ่มให้พร้อมเลื่อนมือไปกุมมือพิพม์อรไว้ “ผมเป็นห่วง”
พิมพ์อรยิ้มอายๆ เพราะดีใจที่ลาภิณมีท่าทีชอบพอเธอ
ลาภิณนึกขึ้นได้ก็ทำหน้าเครียด “เออ พี่อรครับ ผู้หญิงที่ชื่อเจเป็นใครเหรอครับ”
พิมพ์อรหน้าเสีย
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ “ผมไม่ชอบที่เค้าบอกว่าเป็นภรรยาผมเลยถ้าเค้าเป็นภรรยาผมจริง ทำไมผมจะจำไม่ได้ คุณฐากับผู้กองก็จะให้ผมยอมรับให้ได้ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้นี่ล่ะครับพี่อร”
พิมพ์อรหน้าขรึมลงเพราะอยากรู้เหมือนกันว่ากสิณทำอะไรลงไปโดยไม่ปรึกษาเธอ
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ” พิมพ์อรทำสีหน้าจริงจัง “พี่จะต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้” พิมพ์อรมีแววตาแข็งกร้าวเพราะไม่ค่อยพอใจกสิณ
พิมพ์อรได้ยินกสิณบอกก็แปลกใจ “บิดเบือนความทรงจำ”
พิมพ์อรกำลังคุยกับกสิณอยู่ที่ห้องนั่งเล่นบ้านพิมพ์อรตอนหัวค่ำ
“ใช่ ฉันทำให้ลาภิณจดจำทุกเรื่องเกี่ยวกับเจติยาไม่ได้ แล้วยังทำให้เค้าเข้าใจว่าเธอคือคนรักด้วย” กสิณยิ้มพอใจ
พิมพ์อรไม่พอใจ “ดูเหมือนเธอจะพยายามจับคู่ให้ฉันกับเค้าเหลือเกินนะ”
กสิณยิ้มเย้ยแบบรู้ทัน “อย่าบอกว่าเธอไม่ชอบ”
พิมพ์อรค้อนใส่
“เรื่องนี้มันก็แค่ผลพลอยได้ แต่ที่ฉันต้องการจริงๆ เป็นเรื่องอื่นที่สำคัญกว่านั้น แต่ถ้าเธอไม่สบายใจ จะให้ฉันเลิกก็ได้นะ”
พิมพ์อรอึกๆอักๆ เพราะใจจริงก็ชอบ “เธออยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
กสิณขำหยันอยู่ในทีเพราะรู้ใจและความต้องการของพิมพ์อรลึกๆดี
ชาครที่แอบดูอยู่เห็นพิมพ์อรพูดอยู่คนเดียว
พิมพ์อรมีสีหน้าโกรธ เธอจ้องกสิณด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง “เจอตัวก็ดีแล้ว ตอนที่ฉันจะพลาดท่าไอ้กัมปนาท ทำไมเธอไม่ออกมาช่วยฉัน”
กสิณเย้ยหยัน “อ้าว ก็เธอบอกเองนี่ ว่าเธอได้งานนี้แน่ โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันไงล่ะ”
พิมพ์อรไม่พอใจ “ถ้าฉันพลาดท่ามันขึ้นมาจริงๆ เธอจะออกไปช่วยฉันมั้ย”
ชาครทนไม่ไหวจึงปรากฎตัวพร้อมทั้งพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง
“พอซะทีเถอะครับคุณอร”
พิมพ์อรหันไปมองตามเสียงก็เห็นชาครยืนมองเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและห่วงใย
“ผมเห็นคุณอรพูดคนเดียวมาหลายครั้งแล้ว คุณอรต้องอย่าเครียด ตั้งสติให้ดี แล้วไปหาหมอกับผมเถอะครับ ผมขอร้องนะครับคุณอร ก่อนที่อาการคุณจะหนักกว่านี้”
พิมพ์อรเครียด “นี่เธอกำลังหาว่าฉันบ้าใช่มั้ย ฉันไม่ได้บ้านะชาคร เธอกลับไปได้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ”
ชาครเข้าไปหาพิมพ์อรเพราะเป็นห่วงมาก “จะไม่เกี่ยวได้ไงล่ะครับคุณอร คุณอรกำลังไม่สบายนะครับ เชื่อผมสิ”
กสิณหัวเราะคิกคักๆ เพราะขำในความซื่อของชาคร
พิมพ์อรถอนหายใจเซ็งๆ “จัดการทีซิ กสิณ”
ขาดคำ กสิณก็ใช้พลังจิตกระแทกชาครกระเด็นไปติดกำแพงทันที ชาครตกใจสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอมองอีกทีเขาก็เห็นกสิณยืนอยู่ข้างๆพิมพ์อร เงาของกสิณทอดยาวออกมาที่ชาครก่อนที่เงาจะเข้ารัดตัวชาครไว้ราวกับสิ่งมีชีวิต ชาครขยับตัวไม่ได้ ชาครกลัวสุดๆ เพราะไม่รู้ว่ากสิณเป็นอะไรกันแน่ ทันใดนั้น วนันต์ก็กดปุ่มเลื่อนรถเข็นเข้ามาในห้อง
วนันต์ไม่พอใจ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พิมพ์อรหน้าเสียที่พ่อมาเห็นเข้า กสิณหยุดทันทีและยอมปล่อยชาครให้เป็นอิสระ วนันต์มองไปที่พิมพ์อร และกสิณด้วยสีหน้าบึ้งตึงเพราะไม่พอใจที่ทำแบบนี้กับชาคร
วนันต์กำลังคุยกับชาคร โดยที่ชาครมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อย่าโกรธลูกอรเลยนะ เค้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายหรอก เค้าแค่ไม่อยากให้นายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง” วนันต์บอก
ชาครหน้าเครียด “ผมทราบครับ ถ้าคุณอรจะทำร้ายผมจริงๆ ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้หรอกครับ” ชาครไม่สบายใจมาก “เอ่อ คุณท่านครับ ...”
วนันต์พูดสวนขึ้น “อยากถามเรื่องกสิณใช่มั้ย”
“ครับ”
วนันต์ถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ “ถึงขนาดนี้แล้ว ฉันคงต้องเล่าให้นายฟัง พอนายฟังแล้วอาจจะหมดศรัทธาในตัวฉันกับลูกอร ไปเลยก็ได้ เพราะเราสองคน ไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่งกาจอะไรเลย ที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ ก็เพราะมีสิ่งลึกลับคอยช่วยเหลือทั้งนั้น”
ชาครทำสีหน้าจริงจังก่อนจะยืนยันหนักแน่น “ไม่มีวัน ที่ผมจะเลิกศรัทธาในคุณท่านหรอกครับ ตอนนั้น ถ้าคุณท่านไม่ช่วยผมไว้ ผมคงติดคุกเพราะฆ่าไอ้คนที่โกงที่ดินแม่ผมไปแล้ว” ชาครมีสีหน้าจริงจัง จริงใจ “คุณท่านกับคุณอรเป็นผู้มีพระคุณที่ผมยอมสละให้ได้แม้แต่ชีวิตของผม”
วนันต์ยิ้มรับบางๆ พร้อมตบไหล่ชาครก่อนจะหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงเรื่องของเหรียญ
ในความฝัน งานแต่งงานของคุณภพมีแขกเหรื่อมาแสดงความยินดีมากมาย คุณภพกับจันจิรา คู่บ่าวสาวนั่งกราบญาติผู้ใหญ่ที่กำลังให้ศีลให้พร คุณภพและจันจิราสบตากันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักที่มีให้กัน อุษาแอบดูอยู่ น้ำตาคลอเบ้า สายตาที่เธอมองจันจิราเต็มไปด้วยความเกลียดชังและอาฆาตแค้นอย่างเต็มเปี่ยม
จันจิรากำลังคุยกับคุณอุษาอยู่ภายในสวน
“น้องคงไม่โกรธเคืองพี่นะ ที่เรียกน้องออกมาพบในคืนวันส่งตัวเช่นนี้” อุษาว่า
จันจิรายิ้มแย้ม “ไม่ดอกค่ะ แค่คุณพี่ไม่ถือโทษโกรธน้อง น้องก็ดีใจเป็นที่สุดแล้ว”
อุษาปั้นยิ้มหวานก่อนจะค่อยๆเดินเข้าหาจันจิรา “พี่จะโกรธเคืองน้องได้อย่างไรกันล่ะ พี่ยังมีของขวัญในวันแต่งงานให้น้องอีกด้วย”
พูดจบจันจิราก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดๆ
จันจิราค่อยๆก้มหน้าลงมองที่ท้องตัวเองก็เห็นอุษาแทงมีดเข้าที่ท้องของตนอย่างโหดเหี้ยม
อุษาพูดด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม “คุณภพเป็นของฉัน ฉันไม่ยอมให้ใครแย่งไปได้เด็ดขาด”
เจติยาปวดท้องสุดๆ จนตกใจตื่น
เจติยาปวดท้องบริเวณที่ถูกแทงสุดๆ เธอเอามือกุมท้องแล้วบิดไปมา “โอ้ย”
เจติยาขบกรามแน่นด้วยความเจ็บปวด แต่สายตายังแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้
เหรียญในมือเจติยามีไอสีดำออกมาเต็มไปหมดเหมือนพยายามเรียกร้องความสนใจให้เจติยาขอพรจากมัน เจติยากำลังดูเหรียญในมือพร้อมกับอยุทธ์ และทวีในห้องแต่งศพ
อยุทธ์เห็นควันสีดำจากเหรียญแล้วก็หวั่นใจ “ทำไมมันถึงมีควันดำออกมายังงี้ล่ะครับ”
“มันกำลังเรียกร้องให้ฉันขอพรจากมันอยู่ค่ะ พลังจากเหรียญสามารถช่วยคุณต้นให้กลับมาเหมือนเดิมได้” เจติยาบอก
อยุทธ์หน้าเครียด “แสดงว่าที่คุณต้นจำคุณเจไม่ได้ มันเป็นเพราะอำนาจจากเหรียญของพี่อรใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ ปิศาจที่เกิดจากเหรียญของคุณอรชื่อกสิณ เค้าขู่ฉันไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับคุณต้น”
อยุทธ์ถอนใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะไม่สบายใจที่พี่สาวของตนเข้ามาเกี่ยวอีกแล้ว
ทวีครุ่นคิด “แต่ลุงว่า ไอ้ปิศาจนั่นคงไม่ได้ต้องการแค่ทำร้ายหนูเจกับคุณต้นหรอก มันน่าจะมีอย่างอื่นแอบแฝงอยู่อีก”
เจติยาและอยุทธ์สนใจฟังความเห็นทวีอย่างคิดตามแล้วก็เห็นด้วย
“จริงครับลุง ถ้าคุณเจขอพรจากเหรียญ แล้วสามารถล้มล้างอำนาจของมันได้ง่ายๆ แล้วมันจะทำไปทำไม”
เจติยาก้มมองเหรียญในมือก่อนจะครุ่นคิดแล้วพูดออกมา “ถ้าเจขอพรก็เหมือนพ่ายแพ้ต่อกิเลส เจอาจจะสูญเสียพลังในการชำระเหรียญไปเลยก็ได้”
ทวีคิดตามแล้วก็เห็นด้วย “ก็เป็นไปได้”
อยุทธ์ตกใจ “นี่หมายความว่าคุณเจจะไม่ยอมขอพรเหรอครับ ทำแบบนี้ คุณต้นก็จำคุณเจไม่ได้น่ะสิครับ”
เจติยาพูดหน้านิ่งๆ แต่สายตาเด็ดเดี่ยว “เจจะทำทุกวิธีให้คุณต้นจำเจได้โดยที่ไม่ต้องขอพรจากเหรียญนั่นค่ะ”
“คุณเจไม่กลัวจะต้องสูญเสียคุณต้นไปเหรอครับ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อย แต่ลึกๆ แล้วก็ยังมั่นใจ “เจมั่นใจว่าความรักของเราสองคน เข้มแข็งมากพอที่จะผ่านปัญหาครั้งนี้ไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจลึกลับอะไรทั้งนั้น”
อยุทธ์ยิ้มบางๆ พร้อมกับมองเจติยาด้วยสายตาชื่นชมเพราะไม่คิดว่าเจติยาจะเข้มแข็งและเชื่อในตัวลาภิณขนาดนี้
อ่านต่อหน้าที่ 4
รากบุญ ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 6 (ต่อ)
รูปงานแต่งงานของลาภิณและเจติยาถูกหยิบขึ้นมาดูโดยนิษฐา บ่าวสาวในรูปมีสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข นิษฐาวางรูปลง รอบๆโถงบ้าน มีรูปแต่งงานของลาภิณ เจติยาติดอยู่หลายรูป ในขณะที่นวัชยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
นิษฐากับนวัชโกรธแทนเจติยาเลยกะจะมาพูดกับลาภิณให้รู้เรื่องไปเลย ขณะนั้น ลาภิณและพิมพ์อรก็เดินกลับเข้ามาในโถงบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากเพิ่งออกจากโรงพยาบาล
ลาภิณยิ้มทักทาย “อ้าว มาถึงกันนานรึยังครับเนี่ย”
นิษฐาพูดหน้าบึ้งตึง “ท่าทางคุณต้นหายดีแล้วนี่คะ จำเจได้แล้วใช่มั้ยคะ”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมาทันทีเพราะจนถึงตอนนี้เขาก็ยังจำไม่ได้
พิมพ์อรรีบตัดบท “น้องต้นเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลังเถอะนะคะ”
นิษฐาโมโห “คุยกันวันนี้ล่ะค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคุณต้นเป็นอะไรกันแน่ถึงจำผู้หญิงที่ตัวเองแต่งงานด้วยไม่ได้”
ลาภิณงงไปหมด “ผมเนี่ยนะแต่งงาน คุณฐาเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”
นิษฐาโมโห “พูดอย่างงี้ คิดจะหาเรื่องเลิกกับเพื่อนฉันใช่มั้ย”
“ใจเย็นก่อนฐา” นวัชหันไปถามพิมพ์อร “คุณหมอบอกว่าคุณต้นหายแน่แล้วเหรอครับคุณอร”
“เสียเวลาพูดดีด้วยแล้วล่ะค่ะผู้กอง ..เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น สูญเสียความจำเฉพาะเมียตัวเอง คนอื่นจำได้หมด ตลกแล้ว”
“คุณต้นลองดูนี่สิครับ รูปแต่งงานของคุณต้นกับคุณเจ ตั้งอยู่เต็มบ้านไปหมด”
ลาภิณเดินไปหยิบกรอบรูปดูก็เห็นว่าเป็นรูปเดี่ยวตัวเองบ้าง รูปคู่กับพิมพ์อรในฐานะคนรักบ้างแต่ไม่มีรูปแต่งงานคู่กับเจติยาในบ้านเลย ลาภิณงง นิษฐามาแย่งกรอบรูปในมือลาภิณมาดู
นิษฐางงเป็นไก่ตาแตก “เป็นไปได้ยังไง”
นวัชเดินไปดูกรอบรูปอื่นๆ ก็ไม่มีรูปแต่งงานเช่นกัน เขาได้แต่อึ้ง พิมพ์อรอมยิ้มบางๆ
ลาภิณหน้าเครียด “ไหนล่ะครับรูปแต่งงาน พวกคุณเอามาให้ผมดูสิ ผมจะได้เชื่อว่าผมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
นวัชกับนิษฐาหันมามองกันตาปริบๆ เพราะงงสุดๆ
ลาภิณสงสัย “ตกลงพวกคุณต้องการอะไรกันแน่”
นิษฐาหน้าเสีย “ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คุณต้องเชื่อฉันนะ ยัยเจเป็นภรรยาของคุณจริงๆ คุณสองคนรักกันมาก แต่งงานจดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง”
ลาภิณถอนใจส่ายหน้าก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไป พิมพ์อรมองทั้งคู่แล้วยิ้มเยาะก่อนจะเดินตามลาภิณไป
นวัชกับนิษฐาหันมามองหน้ากันแบบงงจัดก่อนจะมองไปที่รูปถ่ายต่างๆ พลางคิดในใจว่ามันเป็นไปได้ยังไง
พิมพ์อรประคองลาภิณขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน
พิมพ์อรยิ้มหวานเอาใจ “อย่าไปสนใจเลยค่ะน้องต้น คนพวกนั้นเค้ากำลังทำให้น้องต้นสับสน” พิมพ์อรเสนอ “ไปพักผ่อนต่างประเทศซักพักดีมั้ยคะ จะได้พ้นๆจากคนพวกนี้”
ลาภิณหน้าเครียด “คงไม่ได้หรอกครับ นิราลัยยังมีงานค้างอีกมาก แล้วผมก็อยากเคลียร์เรื่องเจติยาด้วย”
พิมพ์อรหน้าเจื่อนปนกังวล “น้องต้นคิดจะทำอะไรเหรอคะ”
“ผมอยากเจอเจติยาครับ อยากคุยให้รู้เรื่องไปเลย ว่าเค้าร่วมมือกับผู้กองกับคุณฐา มาสร้างเรื่องนี้หลอกผมทำไม”
พิมพ์อรหน้าเครียดขึ้นมาทันที เธอหวั่นใจว่าหากลาภิณใกล้ชิดเจติยามากๆ แล้วอาจจะจำทุกอย่างได้
เจติยากำลังเตรียมอุปกรณ์แต่งศพอยู่ เสียงลาภิณดังนำมาก่อนตัว
ลาภิณพูดด้วยน้ำเสียงหยันๆ “ที่แท้ เธอก็ทำงานอยู่ที่นิราลัยนี่เอง”
เจติยาเหลือบตามองยิ้มๆ “พูดเหมือนเพิ่งทราบ”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ “เธอกำลังจะตำหนิฉันว่าเป็นผู้บริหารประสาอะไรถึงไม่รู้จักพนักงานล่ะสิ”
เจติยาหน้าตาย แล้วก็จ้องหน้าลาภิณ “คุณพูดเองนะ”
ลาภิณจ้องหน้าเจติยาด้วยแววตาเขม่นปนหมั่นไส้ “เธอนี่มันกวนประสาทจริงๆ เลยนะ”
เจติยาน้ำเสียงอ่อนลงแบบตัดพ้อน้อยใจอยู่ในที “ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก คุณก็มองเจด้วยสายตาแบบนี้ พูดกับเจด้วยความรู้สึกแบบนี้” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมา “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าเรารักกันจนแต่งงานกันไปแล้ว แต่จะต้องถอยกลับมาอยู่ที่เดิมอีก”
ลาภิณอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดอารมณ์ปั้นหน้าไม่พอใจ “ฉันไม่หลงกลเธอหรอก ถ้าเราแต่งงานกันจริง ฉันก็ต้องจำเธอได้สิ พูดมาตรงๆเลยดีกว่า เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่” ลาภิณมีแววตาอย่างที่พูดจริงๆ
เจติยาเห็นแววตาลาภิณก็รู้ว่าเค้าจำไม่ได้จริงๆ แต่ก็ฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ “คุณต้นมาดูอะไรนี่สิคะ”
เจติยาพาลาภิณมาที่เตียงที่มีศพคลุมผ้านอนอยู่ก่อนจะเปิดผ้าคลุมศพออก
ลาภิณแปลกใจ “เธอให้ฉันดูศพทำไม”
“คุณไม่กลัวเหรอคะ”
“เมื่อก่อนก็กลัวอยู่หรอก แต่ฉันเข้ามาห้องนี้บ่อยๆ เห็นจนชินก็เลยหายกลัว”
“แล้วทำไมคุณถึงต้องเข้ามาห้องนี้บ่อยๆ ด้วยล่ะคะ ผู้บริหารอย่างคุณ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่นี่ก็ได้”
ลาภิณโพล่งออกไป “ก็ฉันเข้ามาหา...” ลาภิณหยุดกึก เขาพอจะจำได้แต่ก็เหมือนถูกบีบให้จำไม่ได้
“ตั้งสติให้ดีนะคะคุณต้น ไม่ว่าคุณจะถูกครอบงำด้วยอะไรก็ตาม ถ้าคุณมีจิตใจที่เข้มแข็ง คุณก็จะเอาชนะมันได้
ลาภิณพยายามนึกแล้วก็เริ่มปวดหัวมากขึ้นเหมือนถูกบีบสมอง
ลาภิณเจ็บปวดมากจนต้องยกมือขึ้นกุมหัว ก่อนจะทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดมากจนทนไม่ได้ “โอ๊ย”
เจติยาเห็นลาภิณปวดหัวหนักก็เป็นห่วง “คุณต้น” เจติยารีบเข้าไปประคองกอดเอาไว้
“พอแล้วค่ะคุณต้น หยุดคิดได้แล้ว ตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกค่ะ”
ลาภิณพยายามทำตาม
“ผ่อนคลายขึ้นมั้ยค่ะ”
ลาภิณผลักเจติยาออกไป “อย่ามาถูกตัวฉัน” ลาภิณลุกเดินโซซัดโซเซออกไป
เจติยาจ๋อยปนเสียใจ เธอมองตามลาภิณไปด้วยความเป็นห่วง พอลาภิณเดินพ้นมุมตึกไป พิมพ์อรที่ซุ่มแอบมองอยู่มุมหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมา พิมพ์อรมองตามลาภิณไปด้วยความหวั่นใจกลัวจะจำเจติยาได้
พิมพ์อรกำลังเดินหน้าเครียดมาตามทาง บริเวณทางมีภาพเขียนแขวนอยู่เพื่อความสวยงาม พิมพ์อรเดินผ่านภาพเขียนไป ทันใดนั้น ภาพเขียนก็โป่งออกมาเป็นรูปใบหน้าคน
“เธอไม่ต้องกลัว ลาภิณไม่มีทางหลุดจากอำนาจฉันไปได้หรอก” เสียงคนจากภาพเขียนพูด
พิมพ์อรหันกลับมาคุยกับกสิณด้วยความหงุดหงิด “ก็เพราะฉันเชื่อเธอนั่นแหละ ถึงได้ยอมให้เค้ามาที่นี่”
ภาพเขียนโป่งพองออกมาเรื่อยๆ เป็นรูปคนคลานออกมาจากภาพก่อนจะกลายเป็นกสิณ
“เธอไม่ควรสงสัยในพลังของฉัน”
พิมพ์อรหงุดหงิดไม่สบายใจ “นี่เธอต้องการอะไรกันแน่ ฉันรู้สึกเหมือนเธอปิดบังอะไรฉันอยู่”
กสิณยิ้มบางๆ ไม่ตอบ แต่หันไปมองตามทางเดินเหมือนรอใครซักคนที่กำลังเดินมา
ขณะนั้น ชาครก็เดินเข้ามาหาพิมพ์อร
“คุณอรครับ” ชาครมองไปรอบๆ เพื่อหากสิณแต่ก็มองไม่เห็น “คุณอรอยู่คนเดียวรึเปล่าครับ”
กสิณยิ้มขำที่ชาครหวาดกลัวตน
พิมพ์อรหงุดหงิด “มีเรื่องจะพูดกับฉันแค่นี้ใช่มั้ย” พิมพ์อรจะเดินไป
“เอ่อ เดี๋ยวครับคุณอร ผมจะมาแจ้งข่าว คุณกัมปนาทเพิ่งถูกฆ่าตายครับ” ชาครบอก
พิมพ์อรตกใจสุดๆ เพราะคิดไม่ถึงว่ากัมปนาทจะตายง่ายดายแบบนี้
นวัชพยายามฝ่ากองทัพนักข่าวเข้าไปในห้องทำงานของผู้บังคับบัญชา โดยนักข่าวพยายามทำข่าวการตายของกัมปนาทต่างยิงคำถามจนฟังกันแทบไม่ทัน
“ขอทางด้วยครับ เดี๋ยวรอแถลงข่าวนะครับ ขอบคุณครับ” นวัชพูด
นวัชฝ่าเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูห้องจนได้
นวัชถอนใจโล่งอกก่อนจะหันไปยืนตรงเคารพผู้บังคับบัญชา “สวัสดีครับท่าน”
“อ้ะ นั่งก่อนผู้กอง ขอโทษทีนะ วันนี้วันหยุดคุณแท้ๆ แต่ต้องถูกเรียกตัวมาช่วยงาน”
“ผมเข้าใจครับท่าน” นวัชหน้าเครียด “แต่คนอย่างนายกัมปนาท มีศัตรูรอบทิศ ไม่รู้จะจับมือใครดมเลยนะครับ”
“ที่จริงก็ยังไม่ได้มืดแปดด้านซะทีเดียวหรอกนะ ลูกน้องนายกัมปนาทให้การว่าเจ้านายเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกับญาติห่างๆ บางทีอาจจะเป็นชนวนการฆาตกรรมก็ได้” ผู้บังคับบัญชายื่นแฟ้มผลสอบปากคำให้นวัช
นวัชรับแฟ้มมาอ่านแล้วก็ตกใจจนนึกไม่ถึงจึงรำพึงออกมา “คุณต้น”
พิมพ์อรกำลังให้ปากคำตำรวจอยู่ในห้องสอบสวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พิมพ์อรเครียดหนัก “ดิฉันก็แค่ไปพบเค้า เพื่อคุยเรื่องโปรเจคต์กาสิโนซิตี้เท่านั้นเอง แค่ไม่ได้งาน ทำไมต้องไปฆ่าเค้าด้วยล่ะค่ะ เดือนนึงฉันไม่ได้งานตั้งหลายที่ นี่ฉันไม่ต้องฆ่าคนตายทุกเดือนเลยเหรอคะ”
“ใจเย็นๆสิครับ ทางตำรวจยังไม่ได้สรุปว่าการตายของคุณกัมปนาทเกี่ยวข้องกับคุณเลยนะครับ เราเพียงแต่เรียกคุณมาสอบปากคำ เพราะมีพยานให้การว่าผู้ตายมีปากเสียงกับคุณไม่นานก่อนตายเท่านั้นเอง”
พิมพ์อร จะบอกว่าถูกลวนลามก็อายเลยยิ่งหงุดหงิดหนัก “เราก็แค่เถียงกันเรื่องงานน่ะค่ะ”
ทันใดนั้น นวัชก็เปิดประตูนำลาภิณเข้ามา
ลาภิณเห็นพิมพ์อรก็แปลกใจ “อ้าวพี่อร” ลาภิณเป็นห่วงและไม่สบายใจ “นี่พี่ก็โดนเรียกมาสอบปากคำด้วยเหรอครับ”
พิมพ์อรพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่สบายใจที่ทั้งลาภิณทั้งตนต้องมาสอบปากคำพร้อมกันอีก
เจติยากำลังอ่านข้อมูลพร้อมดูรูปถ่ายของกัมปนาท โดยมีนิษฐาอยู่ด้วยในห้องทำงานส่วนตัวของ
เจติยาที่นิราลัย
“ฉันหามาให้แกได้แค่นี้แหละ มากกว่านี้เดี๋ยวโดนข้อหาเปิดเผยความลับของราชการ” นิษฐาว่า
“แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้วล่ะฐา” เจติยาอ่านข้อมูลอย่างตั้งใจ
“เค้าเป็นญาติคุณต้นไม่ใช่เหรอ”
เจติยาพยักหน้ารับ
“คุณต้นไม่เคยเล่าเรื่องตานี่ให้แกฟังบ้างเลยเหรอ”
“เคยพูดถึงนิดหน่อย แต่ดูเหมือนคุณต้นก็ไม่ชอบนายนี่ซะเท่าไหร่หรอก”
เจติยาดูรูปในมือต่อ เธอเห็นรูปกัมปนาทหลายรูป มีอยู่รูปนึงเป็นภาพถ่ายกัมปนาทมุมหันข้าง ทันใดนั้น รูปกัมปนาทในภาพถ่ายก็หันมาจ้องเจติยา
“บอกความจริง!!”
เจติยาผงะด้วยความตกใจพร้อมทั้งโยนรูปในมือทิ้งทันที รูปถ่ายกัมปนาทในมือถือหน้านิ่งแววตาดุดัน
เจติยากำลังคุยกับกัมปนาทอยู่
กัมปนาทเคียดแค้น “คนอย่างฉันไม่ยอมตายฟรีหรอก ยังไงก็ต้องลากคอไอ้คนที่ฆ่าฉัน ไปลงนรกกับฉันให้ได้”
เจติยาไม่ชอบนิสัยแบบนี้เลย “ฉันช่วยคุณได้แค่หาตัวฆาตกรเท่านั้นนะคะ ถ้าคุณจะล้างแค้น ฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้”
กัมปนาทไม่พอใจ “เออ รู้แล้วน่ะ งั้นเธอก็หาตัวมันออกมาสิ ฉันจะได้ไปตามทางของฉันซะที”
เจติยาหน้าขรึมลง “มันไม่ง่ายอย่างงั้นหรอกค่ะ คนอยากฆ่าคุณมีเต็มไปหมด ทั้งคนที่เกลียดคุณ แล้วก็คนที่มีผลประโยชน์ขัดกับคุณ”
“ฉันรู้ ว่าศัตรูฉันมีเยอะ แต่คนที่วางระเบิดฆ่าฉันได้ มันมีไม่กี่คนหรอก”
กัมปนาทมีสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อาฆาตแค้นอย่างเต็มเปี่ยม
ภาพในอดีตย้อนกลับมา กัมปนาทเดินมาที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ริมถนน พอเปิดประตูขึ้นไปขับรถ รถยนต์ของกัมปนาทก็ระเบิดเสียงดังสนั่นทันที
เหตุการณ์ปัจจุบัน วิญญาณกัมปนาทเคียดแค้นสุดๆ
“ฉันขับรถออกมาจากบ้าน แล้วก็แวะทำธุระนิดหน่อย ถ้าจะวางระเบิดฆ่าฉัน ก็ต้องอาศัยช่วงเวลานี้แหละ”
“ข้อมูลแค่นี้ ตำรวจคงหาได้ไม่ยากหรอกค่ะ แต่ฉันว่ามันก็ยังไม่พอจะสาวไปถึงตัวฆาตกรได้อยู่ดี เพราะถ้าใครคิดจะฆ่าคนอย่างคุณ ก็ต้องวางแผนมาอย่างรอบคอบ คงไม่ถูกกล้องวงจรปิดตามถนนหรือคนผ่านไปผ่านมาเห็นตอนวางระเบิดอยู่แล้ว”
กัมปนาทหงุดหงิด “งั้นเธอก็หาตัวมันออกมาสิ หน้าที่ของเธอไม่ใช่เหรอ”
เจติยาไม่พอใจ “ฉันทำเพื่อช่วยวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ค่ะ เข้าใจให้ถูกต้องด้วย”
กัมปนาทเบะปากหมั่นไส้แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมา “เอ้อ บางที อาจจะเป็นพิมพ์อรก็ได้นะ ฉันไม่รู้ว่ามันเลี้ยงผีเอาไว้ก็เลยกะจะปล้ำมัน นังนั่นมันคงแค้น ก็เลยมาเอาคืน”
“คุณพิมพ์อรเป็นคนฉลาด ไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยง่ายๆ แบบนี้หรอก”
กัมปนาทหงุดหงิด “พูดถึงนังพิมพ์อรแล้วยังเสียดายไม่หาย นี่ถ้ารู้ว่าต้องตาย ฉันไม่ยอมปล่อยมันกลับไปกับไอ้ต้นง่ายๆหรอก”
เจติยางง “คุณต้นมาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
กัมปนาทโกรธ “จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็มันแส่ไปช่วยอีนั่นถึงคอนโดฉันน่ะสิ อ้อยเข้าปากช้างแล้วแท้ๆ” กัมปนาทฉุกคิด “นี่ไอ้ต้นไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ” กัมปนาทยิ้มเยาะ “อย่างว่าล่ะนะ ใครจะเล่าเรื่องตัวเองกับกิ๊กให้เมียฟัง” กัมปนาทเย้ยหยัน “สงสัยมัวแต่ช่วยผีจนไม่มีเวลาให้ผัว” กัมปนาทหัวเราะชอบใจ
เจติยาโมโห “คุณนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ ฉันเคยเจอวิญญาณร้ายๆคนเลวๆ มาก็มาก แต่ไม่มีใครน่ารังเกียจเหมือนคุณเลย”
กัมปนาทโมโหจึงตะคอกใส่ “นี่แกกล้าด่าฉันเหรอ”
ทันใดนั้น หน้าตากัมปนาทก็เปลี่ยนเป็นเละเทะ เลือดไหลเยิ้ม สภาพเหมือนโดนระเบิดมาไม่มีผิด เจติยาตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว แล้ววิญญาณกัมปนาทก็พุ่งเข้าใส่เธอทันที แต่ยังไม่ทันสัมผัสตัว วิญญาณกัมปนาทก็สลายไปเพราะไม่สามารถทำร้ายเจติยาได้ เจติยาตั้งสติได้ก็ถอนใจเฮือกใหญ่เพราะการรับมือกับอันธพาลอย่างกัมปนาท ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พิมพ์อรเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาที่รถ โดยมีชาครยืนรออยู่ที่รถ
พิมพ์อรคุยมือถือด้วยสีหน้าบึ้งตึง “น้องต้นต้องให้ปากคำอีกนานมั้ย”
ลาภิณกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่
“ผู้กองเค้าอยากถามอีกซักสองสามประเด็นน่ะครับ พี่อรจะรอผมรึเปล่า”
“ไม่ดีกว่าค่ะ พี่ไม่อยากเป็นข่าว”
ลาภิณหน้าจ๋อยๆ “ผมเข้าใจครับ”
พิมพ์อรคุยมือถือ “งั้นแค่นี้ก่อนนะคะน้องต้น พี่จะกลับแล้ว”
พิมพ์อรกดวางสายด้วยใบหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหันไปคุยกับชาคร
พิมพ์อรกังวล “กระแสข่าวออกมาเป็นยังไงมั่ง”
“มีแต่ผลลบกับบริษัทแล้วก็ตัวคุณอรครับ” ชาครพูดด้วยสีหน้าหนักใจและห่วงพิมพ์อรมาก พิมพ์อรขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ ที่จู่ๆก็งานเข้าโดยไม่คาดหมาย
ดึกสงัดที่โรงพัก ลาภิณเดินอ่อนล้าออกมาจากข้างในหลังจากถูกสอบปากคำอยู่นาน ขณะนั้นเอง ลาภิณก็เหลือบไปเห็นเจติยานอนคุดคู้อยู่ที่เก้าอี้เพราะเจติยารอลาภิณจนหลับไป ลาภิณยืนมองเจติยานิ่งก่อนจะยิ้มบางๆออกมาด้วยความเอ็นดู แล้วเจติยาก็ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ลาภิณรีบปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมทันที
เจติยาหันไปมองลาภิณ “ให้ปากคำเสร็จแล้วเหรอคะคุณต้น”
ลาภิณพูดหน้าบึ้งๆ “เสร็จแล้ว เธอมานอนอยู่ที่นี่ทำไม ทำไมไม่กลับไปบ้าน”
เจติยายิ้มๆ “คุณต้นคงลืมไปแล้วมั้งคะ ว่าเราอยู่บ้านเดียวกัน”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อย
เจติยายิ้มแย้ม “จะให้เจกลับไปก่อนแล้วทิ้งคุณไว้ที่โรงพัก เจทำไม่ได้หรอกค่ะ”
ลาภิณวางฟอร์มปั้นหน้านิ่ง “พูดจบรึยัง ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
ลาภิณทำหน้าบึ้งตึงเดินนำไปแล้วก็แอบอมยิ้มเพราะประทับใจในความมีน้ำใจของเจติยา เจติยาเดินตามลาภิณไป เจติยาเดินตามลาภิณไปแบบลุ้นๆ ว่าความใกล้ชิดและเอาใจใส่ของตนจะทำให้ลาภิณคืนความจำได้หรือไม่
เจติยาที่สวมชุดนอนกำลังเปลี่ยนปลอกหมอนที่ห้องนอนแขก พอใส่ปลอกหมอนเสร็จ เจติยาก็คุกเข่าบนเตียงเตรียมตัวสวดมนต์ก่อนนอน ทันใดนั้น ลาภิณที่สวมชุดนอนก็เปิดประตูห้องนอนเข้ามา
“มีอะไรเหรอคะคุณต้น” เจติยาถาม
“เธอจะนอนที่นี่เหรอ” ลาภิณถามกลับ
เจติยางง “ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
ลาภิณยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ไหนเธอบอกว่าเราแต่งงานกันแล้วไง ทำไมเธอถึงไม่นอนห้องเดียวกับฉันล่ะ”
เจติยาหน้าแหยไปเล็กน้อย “ก็คุณต้นจำเจไม่ได้นี่คะ แล้วเรา..เอ่อ เราจะไปใช้ชีวิตอย่างสามีภรรยาเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ”
ลาภิณสบช่อง “นั่นไงล่ะ ฉันนึกแล้ว ว่าที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ จริงๆแล้วเธอกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกัน มันเป็นแผนการของเธอใช่มั้ย”
เจติยาอ่อนใจ “นี่เจกำลังจะยอมแพ้แล้วนะคะ เจหมดปัญญาจะทำคุณเชื่อแล้วว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ” เจติยาเซ็ง
ลาภิณยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่เห็นจะยากเลย ก็กลับไปนอนห้องเดียวกับฉันสิ”
เจติยาอึ้งไปเล็กน้อย
ลาภิณยั่ว “รึว่าเธอไม่กล้า”
เจติยาลังเล พราะแม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่สภาพแบบนี้เธอก็กระอักกระอ่วนใจไม่ใช่น้อย
ลาภิณยืนมองเจติยาด้วยสายตากระลิ้มกระเหลี่ยแบบสำรวจตรวจตรา เล่นเอาเจติยาที่นั่งอยู่บนเตียง ร้อนๆหนาวๆ เพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เจติยาไม่กล้าสบตาลาภิณ เธอรีบล้มตัวลงนอนตะแคงกอดหมอนข้างหันหลังให้ลาภิณ ลาภิณยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วแกล้งนอนลงข้างๆเจติยาก่อนจะเอื้อมมือไปกอดเจติยาไว้ เจติยาตกใจจนสะดุ้งเฮือก
“ตกใจทำไม ฉันแค่กอดเธอเท่านั้นเองนะ”
เจติยากลัวจึงพยายามจะดึงมือลาภิณออก “ไม่ได้นะคะ ตอนนี้คุณทำแบบนี้ไม่ได้”
ลาภิณกอดเจติยาแน่นกว่าเดิม “ทำไมจะไม่ได้ ก็เธอบอกเอง ว่าเราเป็นสามีภรรยากัน แต่งงานกันถูกต้องทุกอย่าง แล้วทำไมแค่กอดเธอฉันจะทำไม่ได้ มากกว่านี้ฉันก็ทำได้” ลาภิณจะหอมแก้มเจติยา
เจติยารีบลุกหนีลงจากเตียง
ลาภิณขำเยาะพร้อมลุกตามไป “จะยอมรับได้รึยังว่าเธอกุเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา”
“ฉันไม่ได้กุเรื่องนะคะ”
ลาภิณยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะตรงเข้าไปรวบตัวเจติยาเอาไว้ “งั้นก็บอกมาสิ ว่าทำไมสามีถึงจะแตะต้องภรรยาตัวเองไม่ได้” ลาภิณจะหอมซ้ำ
เจติยาพูดสวนไปทันที “ก็เพราะตอนนี้ คุณไม่ได้รักฉันน่ะสิ” เจติยาน้ำตารื้นขึ้นมาท่วมตา
ลาภิณชะงักไป เขาสบตาเจติยานิ่ง เจติยาจ้องหน้าลาภิณด้วยสายตาที่มีแต่ความรักและห่วงใยอยากให้ลาภิณจำตนได้ น้ำตาเจติยาค่อยๆไหลซึมออกมา ลาภิณรู้สึกได้ก็เสียใจและละอายใจ
ลาภิณรู้สึกผิด “เธอนอนที่นี่แหละ ฉันจะไปนอนห้องอื่นเอง”
ลาภิณเดินออกจากห้องไปทันที เจติยามองตามลาภิณไปพร้อมปาดน้ำตาออก
ลาภิณออกมาจากห้องแล้วปิดประตู
ลาภิณละอายใจ “เราทำอะไรลงไปวะเนี่ย”
ลาภิณเดินหัวเสียเลี่ยงไปเพราะรู้สึกผิดที่ทำกับเจติยาแบบนี้
เจติยาเดินไปล็อคประตูห้องนอน พอหันตัวกลับมาก็ชนเข้ากับวิญญาณกัมปนาทอย่างจัง เจติยาร้องออกมาด้วยความตกใจ
กัมปนาทเซ็ง “เล่นละครอะไรให้ฉันดู งี่เง่าพอกันทั้งผัวทั้งเมีย”
เจติยาตกใจจึงหันไปมองรอบๆด้วยความโมโห “นี่คุณอยู่ในห้องด้วยเหรอะ ทุเรศที่สุด คุณมาแอบดูคนอื่นได้ยังไง”
กัมปนาทยักไหล่ไม่แคร์ “ช่วยไม่ได้ ฉันตั้งใจจะมาคุยธุระกับเธอ แต่เธอกับไอ้ต้นดันเล่นหนังสดให้ฉันดูเอง”
เจติยาพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ “คุณมีธุระอะไรกับฉันก็รีบๆพูดมาเลย ฉันทนนิสัยคุณได้ไม่นานนักหรอกนะ” เจติยาเดินอย่างหัวเสียไปกระแทกตัวนั่งที่ปลายเตียง
กัมปนาทหายตัววับมานั่งข้างเจติยา เจติยาลุกหนีแล้วเดินไปกอดอกหน้าหงิกมองกัมปนาทห่างๆ
กัมปนาทยิ้มเยาะด้วยความสะใจก่อนจะทำหน้าขรึมลง “ฉันมีลูกชายอยู่คนนึง ก่อนตายฉันทำพินัยกรรมยกสมบัติทั้งหมดให้เค้า แต่เค้ายังไม่รู้เรื่องนี้ เธอช่วยไปบอกเค้าหน่อยได้มั้ย”
เจติยาไม่อยากจะเชื่อ “คนอย่างคุณเนี่ยนะ มีลูกกับเค้าด้วย”
กัมปนาทแสดงท่าทีหงุดหงิด แต่ก็ไม่อยากเถียงเจติยามากเพราะกลัวเธอจะไม่ช่วย
“ตกลงจะช่วยฉันมั้ย” กัมปนาทมองหน้าเจติยากวนๆ
เจติยาถอนใจพรวดออกมา
ก้อง นักศึกษาอายุ 20 ปีกำลังคุยกับเจติยาอยู่หน้าทาวน์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง
“ผมไม่เอาสมบัติเค้าหรอก ขอบใจที่มาบอกนะ”
“ทำไมล่ะคะ พ่อคุณเค้าอยากให้คุณนะ”
ก้องหงุดหงิด “เงินสกปรกพวกนั้นผมไม่เอา ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ”
ก้องเดินหงุดหงิดเลี่ยงไปแบบจะรีบไปมหาวิทยาลัย
เจติยามองตามก่อนพูดลอยๆ เพื่อแดกดัน “ลูกคุณนี่เค้ารักคุณมากเลยนะ”
กัมปนาทที่ยืนอยู่ด้านหลังของเจติยาหงุดหงิด
“ไอ้ลูกเฮงซวย สมบัติเป็นพันๆล้าน ทำเป็นหยิ่งไม่เอา ไม่น่าเสียเวลาห่วงมันเลย”
เจติยาหันไปมองหน้ากัมปนาท “อย่างมากคุณก็แก่กว่าคุณต้นไม่เกินสิบปี ตกลงคุณมีลูกตอนอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย ลูกคุณถึงได้โตเป็นหนุ่มขนาดนี้”
กัมปนาทหน้าเจื่อนก่อนจะทำโมโหกลบเกลื่อน “มันเรื่องของฉัน รีบๆไปหาตัวฆาตกรได้แล้ว”
เจติยาส่ายหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่ก้อง ทันใดนั้น ก็เห็นนักเลงคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังก้องแล้วหยิบไม้ออกมาจะฟาดใส่ที่ด้านหลังก้อง
เจติยาตกใจมากจึงตะโกนเตือนดังลั่น “ระวัง”
ก้องหันกลับไปมองก็เห็นนักเลงกำลังจะตีเขา ก้องรีบก้มหัวหลบทันทีตามสัญชาติญาณ ไม้เลยฟาดเฉี่ยวศีรษะก้องไปนิดเดียว นักเลงเห็นว่่าตีพลาดเลยรีบขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปทันที
กัมปนาทโกรธมากแต่ก็จำหน้านักเลงได้ “มึงน่ะเอง”
กัมปนาทสลายตัวพุ่งตามคนร้ายไปทันที เจติยา ใช้ความคิดทบทวนว่าทำไมก้องถึงถูกทำร้ายและเกี่ยวข้องกับการตายของกัมปนาทหรือไม่
อ่านต่อตอนที่ 7