ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 3
เกษลดายังร้องเพลงในท่วงทำนองสนุกถึงท่อนสุดท้าย แล้วเพลงจบลงอย่างงดงาม ต่อจากนั้นนักร้องประจำวงคนเดิมขึ้นร้องเพลงจังหวะสนุกสนาน ผู้คนเต้นรำกันสุดเหวี่ยง เกษลดาเต้นอยู่กับเชษฐา ด้วยสเต็ปสวยงาม คนที่นั่งดูตามโต๊ะ ตบมือกันเกรียว
ทุกคนอยู่ตรงบริเวณทางออกจะกลับกันแล้ว เชษฐาประคองเกษลดาที่ยังหัวเราะสนุก คล้องแขนเข้ากับคอ เหนี่ยวตัวเชษฐา เดินกันมาที่ประตู
“เมาใหญ่แล้วคุณเกษลดา”
“เมา....แต่ยังไม่ใหญ่”
เชษฐาหัวเราะขำ บีบจมูกเกษลดาอย่างเอ็นดู “มุกเหรอเนี่ย”
“กลับมาเรื่องทุบตึก...สงสัยว่าทำไมฮึหนึ่ง...ทำไม” เกษลดาติดใจอยู่แต่เรื่องนี้
ที่บ้านอนงค์วดี เวลาเดียวกัน สองแม่ลูกยังคุยกันอยู่
“ได้ยินมั้ยยายหนู แม่ถามว่าทำไมหนูถึงเปลี่ยนใจให้ทุบตึกซะล่ะลูก”
สีหน้าอนงค์วดีนิ่ง....คิดหนัก
ปิ่นสุดาจ้องหน้าลูกสาว คอยฟังคำตอบ
“เพราะ...หนูไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น”
“เรื่องร้ายอะไรเหรอจ๊ะ”
“หนูไม่ทราบว่าเรื่องอะไรค่ะ ทราบแต่ว่าเป็นเรื่องร้าย”
ปิ่นสุดานิ่งไปสักครู่ จึงถาม “เกี่ยวกับคุณชวดประยงค์ใช่มั้ยลูก”
อนงค์วดีถอนใจเฮือกใหญ่ “ใช่ค่ะคุณแม่ หนูไม่สบายใจ ถ้าตึกยังอยู่แล้วมีเหตุอะไรเกิดขึ้นเท่ากับหนูหลอกขายให้คุณเชษฐาเขาใช่มั้ยคะ คุณแม่”
“ฮื้อ...หนูไม่ได้หลอก แคร์ทำไม” ปิ่นสุดาปิดปากหาว
อนงค์วดีทอดถอนใจใหญ่ เห็นแม่ไม่ค่อยสน
ปิ่นสุดาลุกขึ้น “ง่วง....แม่ไปนอนนะยายหนู”
“ค่ะ” อนงค์วดีนั่งหน้าหมองเศร้า
ปิ่นสุดามองดูลูกสาวอึดใจหนึ่ง ลุกเดินมากอดเบาๆ อาการคล้ายคนไม่ค่อยกอดกัน
“หนูก็รู้ว่าตึกหลังนี้มีอดีตมากมายถ้าหนูอยากกลบมันให้จมหายไป...หนูก็ไม่ต้องยุ่ง เขาจะทุบก็ให้เขาทุบแต่ถ้า...” นัยน์ตาปิ่นสุดาทอดมองไปไกลเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง “หนูอยากให้ใครบางคนที่ไปไหนไม่ได้ได้มีที่อยู่ไม่ต้องร่อนเร่อย่างที่เขาเรียกว่าสัมภเวสี...หนูก็ต้องพูดไม่ให้คุณเชษฐาทุบตึก”
อนงค์วดีถามทันที “คุณชวดประยงค์ไปไหนไม่ได้ หรือไม่อยากไปคะคุณแม่”
ปิ่นสุดานิ่งไปนาน อนงค์วดีจ้องแม่รอฟัง
“แม่ไม่รู้”
อนงค์วดีมีสีหน้าครุ่นคิด “ถ้าไม่อยากไปก็แปลว่า...กำลังคอยอะไรซักอย่างหรือว่า...คอยใครซักคน คุณแม่ไม่ทราบหรือคะว่าคอยใคร”
“ไม่รู้ดีกว่านะหนู”
ขณะเดียวกัน วิญญาณคุณประยงค์เดินกลับตึก ปู่กลับเดินตาม
“ข้าทำผิดเพราะเหตุใด” คุณประยงค์หันขวับมาทางปู่กลับ
สีหน้าชายชรารู้แจ้งหมดทุกอย่าง
“ไอ้กลับเอ็งตอบข้ามา เอ็งรู้เห็นทุกอย่างตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนถึงเดี๋ยวนี้ ตอบ...ไอ้กลับ”
ปู่กลับนัยน์ตาขุ่นมัว มีแววจดจำรำลึก
“ตอบข้า...” เสียงคุณประยงค์เจือความโกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ
“คุณท่านคนใหญ่ทำผิดเพราะรักขอรับ”
“เอ็งพูดให้หมดไอ้กลับ หมายจะพูดว่ารักของข้าไม่ถูกทำนองคลองธรรมใช่หรือไม่ รักน่ะมันสวยงามนะเอ็ง แต่ข้าทำผิดเพราะรักของข้าหมดสวยหมดงาม มันเป็นรักที่กลับกลอก หลอกลวง ผิดคำมั่นสัญญา”
คุณประยงค์พูดไปแล้วของขึ้น พูดไปราวีปู่กลับไป
“มึงมองกู ทำไมไอ้กลับ...ฮะ ไอ้เฒ่า มองทำไม มึงมองเสมือนว่ากูผิด มึงก็รู้ว่ากูไม่ผิด....กูไม่ผิด....กู...ไม่...ผิด”
เสียงคุณประยงค์หวีดหวิวแหวกอากาศ พร้อมๆ กับที่คุณประยงค์เอื้อมมือยาวแล้วกระชากคอปู่กลับวืดไปอย่างเร็ว
“มึงไปกะกู ถ้ามึงลืมว่ารักของใครกันแน่ที่ผิด”
นานมาแล้ว ที่บริเวณใต้ต้นไม้อันสวยงามร่มรื่น ของบริเวณคฤหาสน์ คุณประยงค์วัยสาวเต็มตัว นั่งบนเนิน อ่านหนังสือ ปราชญ์นั่งต่ำลงมา ด้วยท่วงท่าของบ่าวนั่งกับนาย คุณประยงค์ก้มหน้ามาคุย และปราชญ์ก็เงยหน้าขึ้นไปคุยตอบ สายตาวาววับเหมือนดาวทั้งคู่
คุณชวดประยงค์ลากคอปู่กลับไปตามทาง ปู่กลับดิ้นหัวซุกหัวซุน แต่คุณชวดเดินอย่างงามสง่าด้วยพลังของวิญญาณ
“มึงรู้เต็มอกว่ากูกับท่านรักกันก่อนใคร”
คุณชวดลากปู่กลับถึงหน้าตึก โยนปู่กลับไปหมอบกับพื้น นิ้วมือชี้อย่างแรงพุ่ง ตรงไปที่ไหน้าตึก
“รักของกูมีอุปสรรคตรงไหน ฮะ ไอ้กลับ มึงบอกมาซิ….ว่ามีรึไม่”
ตรงหน้าตึกสิงหมนตรีที่ว่างเปล่ารกร้าง กลายกลับเป็นหน้าตึกที่สวยงามทันที
ตรงหน้าตึก ท่านเจ้าพระยาในชุดเต็มยศเดินออกเคียงคู่ท่านผู้หญิงผู้เป็นภรรยา คุณประยงค์อยู่ในชุดไปงานราตรีสโมสร หรูหราสวยงามสุดพรรณา เดินตามมา มีบ่าวผู้หญิงถือกระเป๋าเดินมายอบตัวส่งกระเป๋าให้คุณประยงค์ แต่ท่านผู้หญิงถือมาเองอยู่แล้ว
ท่านเจ้าพระยา หันมามองหาปราชญ์ที่ยืนคอยอยู่ตรงนั้น
“เอ้า...คุณหลวง ฉันพร้อมแล้วรีบไปกัน งานเขารอประธานอยู่อย่าให้เขารอนาน”
ปราชญ์ในชุดราชปะแตน ตอนนี้ถือยศเป็นคุณหลวง เดินเข้ามา
“ถือเป็นงานฉลองยศคุณหลวงแล้วกันนะ” เจ้าพระยาหัวเราะเบาๆ เดินลงหน้าตึก “หรือไงท่านผู้หญิง”
ท่านผู้หญิงสีหน้าเฉยเล็กน้อยพอสังเกตเห็น “สุดแต่ท่านเถอะค่ะ”
ท่านเจ้าพระยาทำหน้าเหมือนจะพูดว่า “ไม่เอาน่า” และส่ายหน้านิดๆ ท่านผู้หญิงหน้าเฉยเมยยิ่งขึ้น
รถยนต์แล่นเข้ามา ท่านเจ้าพระยาขึ้นรถที่คนขับลงมาเปิดประตูคอย
คุณหลวงปราชญ์ยื่นมือไปรับมือคุณประยงค์ นัยน์ตาสบตากันซึ้งๆ ความรักเบ่งบานในใจสองคน ท่านผู้หญิงไม่เห็นภาพนี้
เล่าถึงตรงนี้ คุณชวดประยงค์หันกลับมา มองปู่กลับที่หมอบอยู่กับพื้น
“กูผิดข้อใดไอ้กลับ กูเป็นกำลังใจ ส่งเสริมให้ท่านเรียน ให้รับราชการ จนมียศฐาบรรดาศักดิ์สูงขึ้นเรื่อยๆ จากคุณหลวงเลื่อนยศเป็นคุณพระ จนท่านไปรับตำแหน่งหัวเมืองพิษณุโลก ก็กูนั่นแหละที่เป็นธุระจัดเตรียมสิ่งของให้ท่านไป กูไม่รู้เลยว่าวันนั้นกูส่งท่านไปให้กลับมาทรยศกู”
เสียงคุณประยงค์คำรามก้อง
ในห้องโถงคฤหาสน์วันหนึ่ง เมื่อครั้งอดีต เวลานั้นตรงผนังยังไม่มีรูปใครแขวนประดับ
เห็นหีบไม้ 2-3 หีบ ห่อข้าวของต่างๆ ไปถึงคุณพระปราชญ์ที่ยืนร่ำลาอยู่กับคุณประยงค์ ยืนเฉยๆ อีทิ้งเข้ามาขนของไป กลับวัยหนุ่ม เข้ามาขนด้วย ของใช้ไปหมดแล้ว เหลือชิ้นเดียว
คุณพระมองด้วยนัยน์ตาอาลัยอาวรณ์ “คุณประยงค์ครับ”
“ขอให้เดินทางรอดปลอดภัยถึงเมืองพิษณุโลก”
“ชั่วเวลาไม่เกิน 3 ปี ผมจะตั้งใจทำงานให้มีความดีความชอบได้ย้ายกลับมาให้เร็วที่สุด”
“ฉันจะคอย...พ่อปราชญ์คนเดียว”
คุณพระหันมามองว่ามีใครอยู่หรือไม่
สบตาไอ้กลับที่เข้ามาขนของชิ้นสุดท้าย แล้วยกออกไป
คุณพระปราชญ์จับมือคุณประยงค์นุ่มนวล ยกขึ้นแนบริมฝีปาก จูบแผ่วๆ แล้วแรงขึ้น แนบอยู่อย่างนั้นด้วยแรงอาวรณ์ คุณประยงค์น้ำตาคลอเต็มตา หายใจสะท้อน
สักครู่ คุณประยงค์ก็ชักมือกลับ แต่คุณพระดึงกลับไปอีกทีจูบรุนแรงขึ้น จนคุณประยงค์ต้องจับมือคุณพระไว้ทั้งสองมือ
“ท่านจะมากันแล้ว” คุณประยงค์กระซิบบอก
คุณพระปล่อยมือโดยเร็ว ยืนนิ่งแต่ใจสั่นสะท้าน คุณประยงค์ก็เช่นกัน
ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง พี่ชายทั้งสอง คุณปาน คุณปั้น ทั้งหมดแต่งตัวลำลองอยู่กับบ้าน พากันเดินออกมา
ท่านเจ้าพระยายิ้มแย้ม “วันนี้พ่อปราชญ์จะไปรับตำแหน่งใหญ่โตถึงเมืองพิษณุโลก”
คุณพระทรุดตัวลงกราบ ท่านเจ้าพระยาและท่านผู้หญิง
“ก็ขอให้เจริญรุ่งเรืองนะพ่อนะ” แต่สีหน้าบ่งบอกว่าทำตามมารยาท คือยิ้มนิดเดียว
คุณพระไหว้ ทุกคนมาล้อมคุณพระแสดงความยินดี เสียงแว่วๆ คุณพระตอบได้ยินเบาๆ ว่า “ขอบพระคุณ คุณพระ ขอบพระคุณคุณหลวงครับ” เรียกตามยศ คุณปาน คุณปั้น ขณะนั้น
คุณประยงค์ใบหน้าอิ่มเอม
คุณชวดประยงค์ดึงปู่กลับขึ้นมาจนตัวลอย หน้าเสมอหน้า มองจ้องตากัน
“มีใครในเรือนกูรังเกียจเดียจฉันท์ท่านมั่งว่าเป็นคนหัวเมืองไร้สกุล ฮะ มีมั้ย ไอ้กลับ”
ปู่กลับส่ายหน้าไปมา
ใบหน้าคุณประยงค์กลายจากสวยงามเป็นใบหน้าผี ซีดขาวจนเขียว สีหน้าเศร้าหมองมาก เสียงต่ำ แหบพร่า
“ท่านเจ้าคุณพ่อ คุณแม่ พี่ปาน พี่ปั้น พี่ชายกู มีใครรังเกียจท่าน”
กลับส่ายหน้าอีก
“แล้วทำไมท่านถึงทรยศรักต่อกู ชั่วเวลาแค่ 3 ปี ท่านกลับมา” คุณประยงค์สะอึกขึ้นมาในอก น้ำตาไหลหยาดเป็นสีแดงของเลือดสดๆ ใบหน้าบิดเบี้ยว โกรธแค้นสุดขีดขณะพูดคำนี้ออกมา “พร้อมกับเมียท่าน”
ในห้องโถง สามปีต่อมา
คุณพระกราบลง ท่านเจ้าพระยายิ้มแย้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี แต่ท่านผู้หญิงหน้านิ่งเฉย คุณประยงค์ วิ่งออกมาใบหน้าแอร่มดีใจมาก แต่แล้วต้องหยุดชะงัก
“แม่อร ภรรยาของกระผมขอรับ”
แม่อรที่เงยหน้าจากกราบท่านเจ้าพระยา สีหน้าบริสุทธิ์แบบเด็กสาว แจ่มใส ยังไม่มีความทุกข์ขม ใดๆ มาแผ้วพาล
คุณประยงค์ ความเสียใจ ความโกรธ และความแค้นรุนแรงประดังขึ้นเต็มใบหน้า และไม่มีใครเห็นคุณประยงค์อีก
ถึงตรงนี้ คุณประยงค์เหวี่ยงปู่กลับไปเต็มแรง หมอบกระแต แล้วสีหน้าโกรธแค้น ก็ค่อยๆ สลดหดหู่ลง...ลู่ลงจนกลายเป็นสีหน้าเศร้าสร้อย ปู่กลับหมอบนิ่ง หอบน้อยๆ
“ว่าไงไอ้กลับ ใครผิด”
“ท่านเจ้าคุณขอรับ”
“ไม่ใช่คนเดียว ใครอีกที่ผิด”
ปู่กลับก้มหน้านิ่ง
“ใคร....บอกกูมา ใครที่หน้าด้านแย่งท่านจากกูไป”
ปู่กลับตอบไม่ได้
“คุณอาขา” เสียงย่าน้อยเรียก
คุณชวดกับปู่กลับ หันไป เห็นย่าน้อยนั่งอยู่บนต้นไม้ ประสาผีซุกซน
“อย่ายุ่ง แม่น้อย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” คุณประยงค์เอ็ด
ย่าน้อยเล่นลิ้น “ใครเด็กคะ”
“ไปให้พ้น ทั้งสองคน...” คุณประยงค์ชี้หน้าคาดโทษ “จำไว้นะว่า”
“น้อยไม่ได้เป็นคนนะคะ คุณอา” ย่าน้อยลอยวูบมายืนข้างๆ
“แม่น้อย เล่นลิ้นตั้งแต่เป็นจนตาย”
“เจ้าคุณผิดที่ทรยศคุณอา แต่พี่อรไม่ผิด พี่อรไม่รู้เรื่อง ทำไมคุณอาถึง ฆ...”
ย่าน้อยจะพูดคำว่า...ฆ่า แต่ถูกคุณชวดประยงค์ คว้าผมยาวของย่าน้อยทันที แล้วลากหลุนๆ ไป ย่าน้อยเคยชินเสียแล้ว หันมายิ้มทะเล้น ยักคิ้วให้ปู่กลับ
แล้วหันไปส่งเสียงโหยหวนราวกับเจ็บเสียเต็มประดา
คุณชวดลากย่าน้อยเข้ามา ส่งตัวไปอย่างแรง ร่างย่าน้อยลอยเข้ากรอบรูปไป ตัวคุณประยงค์เองเซซังไปนั่งเก้าอี้ เศร้ากับตัวเอง
ย่าน้อยจัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง จัดผมจัดเผ้า ท่าทางน่าขำมาก ค้อนควักคุณประยงค์ แล้วก็กลายเป็นรูปในท่าเดิม
คุณประยงค์พยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ แล้วมองที่กรอบรูปที่ว่างอยู่ คุณประยงค์เดินเข้าไป แล้วหันไปมองย่าน้อย
ย่าน้อยเริ่มบทบาท “โอ๊ย....เจ็บไปหมดแล้วค่ะ”
“เจ้ามารยา”
“เจ้ามารยาแต่จิตใจดีนะคะ ไม่เหมือน...”
“ว่าใคร”
“ว่าคุณอาค่ะ”
“แม่น้อย อย่ากำเริบกับฉัน หล่อนจะลองดีรึ”
“เปล่าค่ะ น้อยพูดความจริง น้อยเป็นผีที่ซื่อสัตย์ ตอนเป็นคนไม่เคยพูดปด เป็นผีก็ไม่พูดเหมือนกัน”
คุณประยงค์ข่มใจอย่างหนัก “เหมือนฉัน ตอนเป็นคนฉันเกลียดหล่อน ตอนเป็นผีฉันก็เกลียดหล่อนเหมือนกัน”
ย่าน้อยสะท้อนในอกมีสีหน้าเป็นเคร่งขรึม มองคุณชวดลึกถึงหัวใจ
“คุณอาไม่เกลียดใครบ้างล่ะคะ”
“คนที่ฉันเกลียดสมควรทุกคน ฉันไม่เคยเกลียดใครอย่างไม่มีเหตุ”
“คุณอาเกลียดพี่อรก็พอมีเหตุอยู่ แต่อย่างกะว่า...” ย่าน้อยคิดๆ “นังเกดอย่างเงี้ย...คุณอาเกลียดจนฆ่ามันตายนะ ควรหรือคะ”
คุณประยงค์หน้าเครียดขึ้น....เครียดขึ้น จนตึงเปรี๊ยะไปทั้งหน้า
“มันกำเริบเสิบสาน”
“แล้วเห็นมั้ยล่ะคะ เขาไปเกิดใหม่ด้วยกัน เขาทำบุญร่วมกันไปเจอะเจอกัน สวยงาม มีความสุขไม่เหมือนเราเห็นมั้ยละคะ”
คุณชวดอัดในอกจนแทบระเบิด แล้วค่อยๆ หันหน้าไปทางหนึ่งช้า
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผีคุณประยงค์ จะออกไปจัดการใคร?
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่คอนโดของเกษลดา เวลาเดียวกันนั้น สภาพเป็นคอนโดที่ตกแต่งเรียบ เท่ ทันสมัย แต่งน้อยแต่ดูมีรสนิยม หล่อนย้ายมาพักอยู่คนเดียวที่นี่ เพื่อสะดวกในการทำงาน
เชษฐาประคองเกษลดาเข้ามาในนั้น เกษลดาเมาพอประมาณ
“ไปทางไหน....หรือนอนตรงนี้ก่อน”
“ตรงนี้....ไม่ไหวแล้ว”
เชษฐาประคองให้นอนบนเตียงนอน เกษลดาโอบรอบคอ ดึงตัวเชษฐาลงไปด้วย
เชษฐา เคลิ้มไปด้วย
วิญญาณคุณประยงค์ยืนที่ระเบียงด้านนอก จ้องมองด้วยสายตาแข็งกร้าวมาก เกษลดากอดเกี่ยวเชษฐา พันพัวกันไปมา
“ผมกลับนะ”
“ไม่...อย่าเพิ่งกลับ”
“เกษควรจะนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานไม่ไหว”
“เกษมีงานบ่าย...หนึ่งอย่าเพิ่งกลับ”
“ผมสิ...ประชุมแต่เช้า กลับก่อนนะครับ”
“หนึ่ง...”
เชษฐาจับคางหล่อนสั่นเบาๆ “ขอให้เชื่อนะว่าผมไม่อยากกลับหรอกแต่มันจำเป็น” เขาผละออกมาเลย
“ไม่เชื่อ”
“วันหลังพิสูจน์” เชษฐาเดินออกไป
“หนึ่ง” เกษลดาลุกอย่างเร็วรี่ ตามไป
ประตูห้องปิดตามหลังเชษฐาแล้ว โดยที่หน้าประตู เชษฐายืนข่มอารมณ์กระเจิงในใจให้สงบลง จนสำเร็จ
เกษลดาเดินจะกลับห้อง
เสียงคุณชวดประยงค์ดังแผ่วๆ “อีเกด อีไพร่”
เกษลดาหยุดชะงัก เหลียวมองหาเสียง มองไปทางระเบียงคิดว่าเสียงจากตรงนั้น พบว่าระเบียงว่างเปล่า
เกษลดาฉงน แต่ก็ยักไหล่คิดว่าหูแว่ว ออกเดินไปทางห้องนอน
จู่ๆ มีของสิ่งหนึ่ง ไหลผ่านมา และเกษลดาสะดุด คะมำ คว่ำหน้าลงเต็มแรง ของสิ่งนั้น แล่นลับหายไปใต้เก้าอี้ เกษลดาไม่เห็นของ
เกษลดาแปลกใจหลายอย่าง วันก่อนก็ล้มที่คฤหาสน์ไปทีแล้ว
เกษลดาถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ใคร” หล่อนเดินเร็วมาก เปิดประตูผางออกไป “มารบกวนต้องการอะไร”ในกรอบสายตาเกษลดาไม่พบอะไร
คุณประยงค์ยืนอยู่ที่มุมระเบียง จ้องเกษลดาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เกษลดาโชคร้ายหรือโชคดีก็ไม่รู้ เพราะหล่อนที่ไม่มีเซ้นส์เรื่องเห็นผีหรือวิญญาณ
“บอกไว้ก่อนนะว่าไม่กลัว ได้ยินมั้ย...ไม่กลัว”
คุณประยงค์ขยับตัวทำท่าจะเข้าโรมรันเกษลดาเพื่อสั่งสอน แต่เกษลาดหันหลังกลับ เข้าห้องปิดประตูดังเปรี้ยง คุณประยงค์พุ่งตาม ผ่านประตูเข้าไป
เกษลดา ไปยืนรินเครื่องดื่มตรงมุมครัว
คุณประยงค์ยืนจ้องอะไรสักอย่างตรงนั้น หมายจะให้หล่นใส่หัวเกษลดา สิ่งนั้น ดังกริ๊ก...กริ๊ก เหมือนจะหล่น
เกษลดา หันไปมองเห็น แล้วหยิบขึ้นแล้ววางอย่างแรง
ออกฤทธิ์เยอะ จนคุณประยงค์หมดแรง ซวนเซ
เวลาต่อมา คุณชวดประยงค์นั่งคุกเข่าหมดแรงอยู่หน้ากรอบรูป ย่าน้อย หันมามอง
คุณประยงค์ลุกขึ้น อาการเซซังก้าวเข้าที่ภาพตัวเองที่ว่างเปล่า เข้าไปยืนเหมือนเดิมแต่สีหน้าเหนื่อย
“ไปไกลหรือคะ คุณอา ท่าทางเหนื่อยอ่อนเชียว”
คุณชวดประยงค์หันมามอง สีหน้าเยาะหยัน “ฉันก็ยังมีที่ไป ไม่เหมือนหล่อน อยากไปก็ไม่รู้จะไปไหน ฉันไม่เห็นคุณหลวงขจรเขาจะรับสัญญาณอะไรจากหล่อน โธ่เอ๊ย เสียแรงอุตส่าห์หลงคอย ตอนหล่อนยังไม่ตายเขาก็ไปตบไปแต่งกับคนอื่น หล่อนตายอุตส่าห์คอยเขา เขาก็ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรกับหล่อนเลย....ฉันเวทนาหล่อนจริงๆ นะแม่น้อย”
ย่าน้อยไหว้นอบน้อม “เป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะคุณอา ก็ดีเหมือนกันน้อยจะได้ไม่เหนื่อยเหมือนคุณอา เหนื่อยอยู่ตอนนี้ ไม่มาเพราะไม่วิ่งตาม กับไม่มาทั้งๆ ที่วิ่งตาม มันเหนื่อยผิดกันนะคุณอาเจ้าขา”
คุณชวดคว้ากระปุกอะไรใกล้มือ ปาไปที่ย่าน้อยเต็มแรง แล้วทุบโต๊ะที่วางกระปุกอย่างแรงเหมือนกัน
กระปุกนั้น ลอยวูบผ่านเข้าไปในรูปย่าน้อยไป หายลับตา
มือคุณชวดกำแน่นวางบนโต๊ะ และกระปุกนั้นก็ยังวางอยู่ที่เก่านั่นเอง
“ท่านต้องมา....ต้องมา”
ส่วนเชษฐษนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง พลิกตัวมาทางหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าผีคุณประยงค์นอนแนบอกอยู่
เชษฐากอด ลูบไล้ คุณประยงค์ตอบสนอง เลื่อนตัวไปกระซิบข้างหู
“กลับไป......กลับไปนะคะ”
ปากอิ่มของคุณประยงค์แนบสนิทกับหูเชษฐา เชษฐาเลื่อนหน้ามาช้าๆ ที่ปาก
เชษฐาตอบด้วยเสียงดังชัดเจน “ครับ.....ผมจะกลับไป”
“เร็วๆ นะคะ....กลับไปเร็วๆ”
เชษฐาสะดุ้งตื่นทันที ผวาเต็มแรงลุกขึ้น มองไปไม่มีคุณประยงค์อยู่แล้ว
เชษฐาเข้าออฟฟิศแต่เช้า
“พี่โน๋ครับ พี่ติดต่อบริษัทซ่อมตึกหรือยังครับ” ท่าทางเขารีบร้อน เดินเข้ามาเร็วรี่
“ทำไมคิดว่าพี่โน๋จะยังไม่ติดต่อ” โสนหน้าเฉย มองดุๆ
“ผมรู้ว่าพี่โน๋ติดต่อแล้วแน่ๆ”
“แล้วถามยังงั้นทำไมทีหลังต้องตั้งคำถามให้มันตรงกับที่คิดไม่งั้นฟังแล้วอารมณ์เสีย”
เชษฐาสบตามนัสวีร์ ที่อยู่ด้วย มนัสวีร์ยิ้มแบบตัวใครตัวมัน
“ผมขอโทษครับพี่ จะจำไว้ครับ”
“นี่ค่ะ” โสนวางแฟ้ม “สามบริษัทที่เขาจะประมูล ก่อนอื่นเขาจะไปดูสถานที่ก่อน”
มนัสวีร์ขยับตัวทันที มองตาเชษฐา
ระหว่างนั้นโสนพูดต่อไปเรื่อยๆ “มีคนเฝ้าตึกรึเปล่าคุณหนึ่ง จะได้พาเขาดู”
“ผมจะพาเขาไปเอง” เชษฐาว่า
“ฉันพาไปก็ได้ถ้าเกิดแกไม่ว่าง” มนัสวีร์อาสา
“อ๋อ....เขากำลังไปกันแล้วค่ะ พี่โน๋เมล์แผนที่ให้เขาไปแล้ว ป่านนี้ถึงกันแล้วมั้ง”
สองหนุ่มลุกขึ้น....เผ่นพร้อมกัน โสนตกใจร้องตามเสียงหลง “คุณหนึ่ง...คุณนัส”
มนัสวีร์เปิดประตู เจออนงค์วดียืนกำลังจะเคาะประตู ตกใจกันทั้งสองฝ่าย
สองหนุ่มเผ่นออกมา โดยมนัสวีร์คว้ามืออนงค์วดีให้ไปด้วยกัน และเชษฐาก็ทำการที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว คือปลดมือมนัสวีร์แล้วคว้าอนงค์วดีพาไปเอง
มนัสวีร์เหวอไปนิดหน่อย แต่ไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนโลดแล่นไปอย่างเร็ว
“ไปยังไง....เรือหรือรถ”
“เรือ....เร็วกว่า”
คนเรือขับ ขับเรือไปอย่างเร็ว ท่าทางเชษฐาใจร้อนสุดขีด ไล่คนเรือไป ตัวเองไปขับเองแทน อนงค์วดีนั่งหน้างงๆ กับเหตุการณ์ พยายามถามมนัสวีร์ว่า “เกิดอะไรขึ้น”
มนัสวีร์ทำท่าไม่ได้ยิน อนงค์วดีหมดความพยายามหันหลังให้ เชษฐาขับเรือ เหลือบตามองอนงค์วดี เห็นอนงค์วดี เอามือระน้ำที่สาดกระเซ็นข้างเรือ แล้วก้มไปต่ำหน่อย
เชษฐา เรียกคนเรือมาขับ ตัวเองไปดึงแขนอนงค์วดีออกมาจากกราบเรือ
“ทำท่าเอ๊ะอะไรกัน”
“ทำท่าว่านั่งตรงนี้ เดี๋ยวตก”
มนัสวีร์ลอบยิ้ม
คนเรือจอดเรือตรงท่า เห็นเรือหางยาวลำใหญ่ของบริษัทประมูล จอดอยู่ในร่ม ส่วนคนขับนอนหลับสบายใจ
“ไม่ทันแฮะ”
มนัสวีร์กระโจนแล้วโกยอ้าวไป คิดขึ้นได้จึงวกกลับมา “ฉันจะรีบไปทำไมวะ”
เชษฐากำลังพาอนงค์วดีขึ้นจากเรือ
เชษฐาถาม “ทำไม”
“ไม่ต้องบอกหรอกครับ โน่น...มากันโน่นแล้ว”
ชายหนุ่มวัยกลางคน 3 คน วิ่งเตลิดออกมาจากคฤหาสน์ หน้าตาตื่นตกใจ พอมาถึง ก็กระโจนลงเรือจนเรือแทบล่ม คนหนึ่งกระชากคนขับเรือให้ตื่น
“เจออะไรครับ”
สามคนแย่งกันพูดอธิบายออกท่าทางใหญ่ แต่ไม่ได้ยินเสียง
สักครู่เรือแล่นออกไปเฉย แต่ทุกคนยังพูดไม่จบ
“จนได้” เชษฐาว่า
“อยู่แล้ว” มนัสวีร์ต่อคำ
“แน่นอนอยู่แล้ว....ส่งคนไปรบกวน ไม่ทำให้ตกใจตายดีเท่าไหร่แล้ว”
กระแทกเสียงใส่เสร็จอนงค์วดีก็ออกเดินไปทันที
สองคนร้อง “อ้าว”
เรื่องที่ชายสามคนเล่าให้มนัสวีร์ฟัง เป็นดังนี้ ทั้ง 3 เข้ามาในห้องโถงอย่างกระตือรือร้น มองสำรวจไปทั่วๆ จดบันทึกไปบ้าง ถ่ายรูปบ้าง
เริ่มที่คนๆ หนึ่งเห็นภาพชะงักกึกแล้วไปยืนแหงนมองภาพอย่างสนใจยิ่ง จากนั้นเหตุน่ากลัวเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
คนที่ 1 เห็นคุณประยงค์ ก้มลงมามองสบตากับตัวเอง
คนที่ 2 ส่องกล้องถ่ายรูปย่าน้อย เห็นย่าน้อยมองกล้องแล้วยิ้มหวานหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง
คนที่ 3 ไปเขี่ยสร้อยข้อเท้าแขวนกระพรวนของคุณสวาสดิ์
จนคุณสวาสดิ์ร้อง “อุ๊ย จั๊กจี๋”
คนนี้ตาเหลือกแหงนมองหน้าคุณสวาสดิ์
คุณสวาสดิ์ยิ้มหวาน “ทำจั๊กจี๋....นี่แน่ะ”
เท้าคุณสวาสดิ์เตะเสยเต็มแรง คนที่ 3 หงายหลังผลึ่งโดยปลายคางเต็มๆ แล้วสามคนก็วิ่งเตลิด ชนกัน ผลักกัน แถมทางออก เจอปู่กลับยืนซุ่มอยู่ ยิ่งตกใจ ถลาออกนอกห้องโถงหนีเตลิดไปที่ท่าน้ำ
ในห้องโถง ตกมุมที่รกร้าง สามคนเดินเข้ามาในนั้น เชษฐานึกขึ้นได้
“คุณคิดว่าผมส่งคนเหล่านั้นมาหรือครับ คุณอนงค์วดี”
“ถ้าไม่ได้ส่งก็ขอโทษแล้วกันค่ะ” อนงค์วดีตัดบท
“ผมไม่ได้ส่งจริงๆ นะ” เชษฐาย้ำ
“เฮ้ย พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ตรงกับความจริงนะ” มนัสวีร์โวย
“ก็ว่าแล้ว...” อนงค์วดีเดินห่างออกไป แหงนมองคุณปู่ทวด
“อ๋อ....เออ ใช่” เชษฐาเดินเข้าไปหาอนงค์วดี “สามคนนั้นเป็นคนจากบริษัทที่เขาจะยื่นประมูลทำตึกนี้”
อนงค์วดีหันมา รวบรวมกำลังใจ “คุณเชษฐาคะ ดิฉันมีเรื่องหนึ่งจะพูดกับคุณ”
เชษฐาเล่นลิ้น “มีหลายเรื่องก็ได้ครับ”
อนงค์วดีบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีเรื่องเดียวค่ะ”
“โธ่....เสียดายจัง ผมอยากให้มีหลายเรื่อง”
“ดิฉันมีเรื่องเดียว” น้ำเสียงอนงค์วดีหนักแน่น
“เชิญครับ” เชษฐาหันไปยักคิ้วข้างเดียวกับมนัสวีร์ที่มองขำๆ
“ดิฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนคำพูดที่บอกคุณไปว่า ดิฉันเห็นด้วยที่คุณจะทุบตึก”
“จำเป็นยังไงครับ”
“คุณไม่ต้องรู้หรอกค่ะ รู้แต่เรื่องทุบตึกก็พอว่าดิฉันขอไม่ให้ทุบ”
“แต่ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณจำเป็นอะไรผมอาจไม่รับรู้ก็ได้”
อนงค์วดีจ้องมองเชษฐานิ่งๆ ถอนใจใหญ่ “ดิฉันเหนื่อยทุกครั้งที่พูดกับคุณ”
“โอเค...งั้นผมกลับ ไปนัส”
มนัสวีร์ขำสองคน หัวเราะหึๆ
“เร็วสิวะ” เชษฐาเดินนำ
“ไปพูดในเรือต่อก็ได้” อนงค์วดีเดินตาม
เชษฐาหันขวับมาหา “เออ จริงด้วย คุณมากับผม ลืมไปคิดว่าต่างคนต่างมา”
ต่างคนต่างจ้องมองดูกันนิ่งๆ
คุณชวดประยงค์อยู่ด้านหลังในรูป ขยับตัว สายตาเครียดเข้มจ้องมองที่อนงค์วดีเขม็ง
“นังมารยา”
ทันใดหน้าต่างบานหนึ่ง ปิดดังเปรี้ยง!! อนงค์วดีสะดุ้งสุดตัว เชษฐาเข้าประคองไว้อย่างเร็ว
คุณชวดประยงค์ก้าวออกไปจากกรอบภาพ และย่าน้อยตามมา
“หมั่นไส้ อีคนเจ้ามารยายั่วยวนท่านไม่ว่าชาติไหน” เสียงคุณประยงค์เบาต่ำอยู่ในคอ
“อย่านะคะคุณอา” ย่าน้อยจับแขนไว้ทันท่วงที
“อย่าบังอาจมาห้ามฉัน”
“ถ้าท่านเจ้าคุณรู้ว่าคุณอายังอยู่ตรงนี้ ทำอะไรต่ออะไรอย่างนี้ได้ ท่านอาจจะไม่กลับมาอีกเลย ปิดตายตึกนี้เหมือนที่ถูกปิดตายมาเป็นสิบๆ ปีนะคะ”
คุณชวดหยุดนิ่ง มีสีหน้าเจ็บปวด
“ลืมแล้วหรือคะว่าที่นี่เปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นแค่ไหน” ย่าน้อยบอก
คุณชวดประยงค์หยุด มองหน้าย่าน้อย
“เหงานะคะ” ย่าน้อยยักคิ้วให้
สองคนถอยกลับไปยืนในท่าเดิม
ภาพคุณประยงค์กับย่าน้อย เกิดขึ้นที่ด้านหลัง สองคนไปยืนเรียบร้อยแล้ว โดยทั้ง 3 คน หันหลังให้ไม่เห็นและไม่ได้ยิน
“ไม่เห็นมีลมพัด หรือว่า...” มนัสวีร์หันขวับไปทางภาพ
เชษฐาหันไปดูด้วย แล้วสองคนหันมามองหน้ากัน
“ตึกนี้อยู่โดดเดี่ยว ลมก็แรง หน้าต่างจะปิดหรือจะเปิดมันก็เป็นไปได้”
“อ้าว...คุณอนงค์ไปไหน”
“แกออกไปดูซิ”
“อ้าว แกล่ะ”
“เดี๋ยวฉันตามไป”
อนงค์วดียืนหันหลังอยู่หน้าตึก มนัสวีร์เดินมาจนใกล้
“คุณอนงค์”
อนงค์วดีทำท่าป้ายน้ำตาเร็วๆ หันมา น้ำตาเต็มตา
มนัสวีร์มองอย่างเข้าใจ “ทำไมเปลี่ยนใจล่ะครับ”
อนงค์วดีถอนใจยาว “ตามประสาคนใจโลเลค่ะ...” หล่อนแค่นหัวเราะ “หรือไม่ก็เพราะลืมไปว่าไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแล้ว”
มนัสวีร์หัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วงนะครับ....ไม่ต้องห่วง”
อนงค์วดีมองแปลกใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ” มนัสวีร์ย้ำอีก
อนงค์วดีฉงน “เรื่องอะไรคะ”
มนัสวีร์กำลังบอกอนงค์วดีว่า เชษฐาไม่ทุบตึกแล้ว
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลานั้นเชษฐายืนมองรูปแน่วนิ่งอยู่ตรงหน้ารูปคุณประยงค์ ในใจคิดหลายอย่าง เชษฐามองเข้าไปที่ใบหน้าคุณประยงค์ช้าๆ จนเห็นว่าในภาพนั้นเป็นคน ไม่ใช่รูปวาด
เชษฐามองอย่างฉงนใจ มองจ้องนิ่งๆ แล้วสักครู่จึงถอนใจก้มหน้าละสายตา เขายกมือกุมหัว...คิดหนัก
คุณประยงค์ทำท่าจะก้าวออกมา ย่าน้อยทำกิริยาห้ามทันที คุณประยงค์จึงกลับไปยืนอย่างเดิม
เชษฐาเอ่ยขึ้น “คุณประยงค์ครับ”
สีหน้าคุณประยงค์นิ่ง สะท้อนใจเหลือเกิน ปากขยับเหมือนอยากพูด แต่พูดไม่ได้
“ผมรู้แค่ว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปตรงหน้าผมชื่อ ประยงค์ และกำลังรอคอยให้ใครบางคนกลับมา”
เชษฐาพูดแล้วนิ่งไปสักครู่ เหมือนกำลังรวบรวมคำพูด
สายตาคุณประยงค์ มองจ้องมายังเชษฐา
เชษฐาบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ผมจะกลับมา”
พูดจบเชษฐาก็หันหลังกลับเดินออกไป สายตาคุณประยงค์มองตามทุกฝีก้าวที่เชษฐาเดินออกไป
น้ำตาคุณประยงค์เอ่อล้น และหยดเผาะเป็นสาย
“คุณอาคะ...” ย่าน้อยเรียก
คุณประยงค์สะอื้นจนอกสะท้อน
“คุณอา”
คุณประยงค์เหลียวมามอง
ย่าน้อยมองมาใบหน้าอิ่มเอิบ แล้ว ยิ้มสว่างไปทั้งหน้า “ยิ้ม...หัวเราะสิคะ คุณอา น้ำตาไหลทำไม ต่อไปนี้ตึกนี้จะสว๊าง...สว่าง...จะมีคนเยอะแยะ จะสนุ๊ก...สนุก อุ้ยต้องมีเพลงแน่นอน แม่สวาสดิ์ แม่สวาสดิ์จ๋า” ย่าน้อยลงจากรูปวิ่งไปที่รูปหนูสวาสดิ์ “ลงมานี่เร็ว....ได้ยินหรือเปล่า”
สวาสดิ์กระโจนวูบทีเดียวเข้าสู่อ้อมแขนย่าน้อย
ย่าน้อยเริงร่า เหวี่ยงสวาสดิ์เป็นวงกลมไปรอบๆ
สองคนหัวเราะเสียงประสานกัน
“คุณอาขา...” ย่าน้อยร้องเรียก
คุณประยงค์ ก้าวลงมา ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน สดสว่าง ท่าทีน่ารัก ยิ้มแย้ม เหมือนเป็นคน
ด้านเชษฐายืนพูดกับอนงค์วดี ที่ยืนฟังสงบเสงี่ยม ทั้งๆที่รู้แล้ว
“ตึกสวยอายุตั้งร้อยปี สร้างมาตั้งแต่รัชกาลที่ห้า โครงสร้างแข็งแรงขนาดนี้ ปูนปั้นจากอิตาลี สวยที่สุดในพระนครอย่างนี้”
อนงค์วดีมองหน้าเฉยๆ
“ใครทุบทิ้งก็โง่จริงๆ ด้วย”
เชษฐาชักเฉลียวใจ ที่อนงค์วดีหน้ายังเฉย
“ผมไม่อยากเป็นคนโง่”
“ขอบคุณ” อนงค์วดีหันหลังกลับกระโดดลงเรือไปอย่างว่องไว
เชษฐาหน้าเหวอมาก “แค่นั้น เฮ้ย นัส เค้าพูดแค่นั้นเองเว้ย”
“ได้ยินแค่นั้นเหมือนกันว่ะ” มนัสวีร์ยิ้ม
“จะให้ฉันคิดยังไง รึเค้าอยากให้ทุบทิ้งอย่างที่เค้าบอก”
มนัสวีร์ยิ้มๆ มองฟ้ามองดิน
เชษฐารู้แล้ว ผลักหลังมนัสวีร์เต็มแรง “แก....ไอ้ปากสว่าง”
ภายในเรือที่ยังจอดอยู่ที่ท่า เชษฐาทำมือให้คนขับเรือถอย ว่าจะขับเอง อนงค์วดีเอื้อมมือปิดสวิชต์ เชษฐา เอื้อมมือไปสตาร์ทเรือ เสียงเครื่องติด เชษฐา กับมนัสวีร์ มองแปลกใจ
“มีอะไรครับ”
“อย่าบอกนะว่าคุณเปลี่ยนใจจะให้ทุบ...”
อนงค์วดีฉงน “เสียงอะไร”
สองคนพึมพำ “เสียงอะไรเหรอ”
“ไม่ได้ยินเหรอคะ เสียงเหมือน....มีคนอยู่ในตึก”
มนัสวีร์ร้อง “อูย....ไม่เอาน่า”
เชษฐา หน้าฉงนนิดหน่อย
“เสียงหัวเราะ...มีความสุข”
มนัสวีร์ เอื้อมมือไปสตาร์ท เชษฐาปิดสวิทซ์
“เฮ้ย...รีบไปเถอะน่า”
เชษฐาเงี่ยหูฟัง “ถ้าให้ผมเดา”
อนงค์วดีงง “คะ?”
“คงจะมีบางคนดีใจที่...”
อนงค์วดีเก็ต “คุณเชษฐาไม่ทุบตึก”
เชษฐาพยักหน้า สายตาพูดว่า เก่ง เดาถูก อนงค์วดียิ้มเต็มหน้า เชษฐา มองเผลอไผลนิดๆ
ส่วนในตึก ย่าน้อยและสวาสดิ์ยังร่าเริงดีใจ แต่คุณประยงค์เหมือนเห็นเชษฐากับอนงค์วดี หันขวับไปดู สีหน้าเข้มขึ้น นัยน์ตาวาวโรจน์
“วอนจริงๆ นังอร วอนตั้งแต่วันแรกที่เหยียบบ้านนี้ จนถึงวันนี้” เสียงคุณประยงค์ดังขึ้นแหลมขึ้นด้วยแรงอารมณ์ “มึงอยากตายอีกหนหนึ่งรึนังอร” เสียงตอนท้ายดังก้อง
สองคนตกใจ ถอยกรูด
คุณประยงค์ยืนตัวสั่น
“คุณย่าประยงค์เป็นอะไรคะ” สวาสดิ์กระซิบ “พี่น้อย”
“อย่าถาม ไป....กลับ ห้องตัวเอง...เร้ว เงียบๆ นะอย่าส่งเสียง” ย่าน้อยบอก
สองคนย่องหนับๆ เข้าห้องตัวเองไป
“อีตัวมารผจญ ทำลายความสุขของกูข้ามภพข้ามชาติ ชาติก่อนมึงได้ท่านไปครอบครองไปกกกอด มึงฉกท่านของกูไป มึงฉกไป” เสียงตอนสุดท้ายแทบเป็นเสียงกรี๊ด
เหตุการณ์ที่เรือนพักของแม่อร วันหนึ่งในอดีต ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง
เวลานั้น เจ้าคุณเดินนำ แม่อรตามหลัง เกดตามแม่อรอีกที บ่าวสองคนแบกของขึ้นเรือนไป
คุณประยงค์ คิดถึงที่เจ้าพระยาผู้เป็นบิดาพูด
เวลานั้นคุณประยงค์ มองไปทางอื่น ขณะท่านเจ้าพระยาเอ่ยขึ้น
“ยังไม่มีบ้านช่องห้องหอขณะที่กำลังปลูกเรือนมาอยู่ที่นี่ มีเรือนว่างอยู่หลังหนึ่ง อยู่กันไปก่อน”
เจ้าคุณหันมาพูดอะไรบางอย่างกับแม่อร แม่อรเงยหน้าขึ้นยิ้มกับเจ้าคุณ กิริยาฝากเนื้อฝากตัว เจ้าคุณเอ็นดู เขี่ยผมที่ตกมาที่หน้าผากให้เข้าที่ เกดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มองๆ มองภาพนั้นไม่วางตา
“กูรู้ตั้งแต่วันแรกที่มึงมาเหยียบบ้านกู ว่าบ่าวอย่างมึงก็หลงเสน่ห์ท่านเหมือนกัน อีเกด อีคนไม่เจียมกะลาหัวกำเริบเสิบสานไม่เคยตัดน้ำใส่กระโหลกจะโงกดูเงาตัวเอง แม้แต่กูมึงยังไม่เกรง วันนั้นไง...วันที่กูให้อีทิ้งไปเรียกมึง”
ที่ลานข้างตึกเมื่อครั้งอดีต
ในขณะที่เกดเดินถือเสื้อผ้าจะไปซักที่ท่าน้ำ เป็นท่าน้ำลับตาไปทางหลังบ้าน คุณประยงค์ยืนมองอยู่
เห็นกองเสื้อผ้าในมือ และอยู่ในตะกร้าแต่มีบางส่วนโผล่ขึ้นมา คุณประยงค์ขมวดคิ้ว หันไปเรียก
“อีทิ้ง...อีทิ้ง”
“เจ้าขา”
“เอ็งไปเรียกนังนั่นมาหาข้า”
“มาหาทำไมหรือเจ้าคะ”
คุณประยงค์จ้องทิ้งนิ่งๆ “เอ็งถามอย่างนี้คิดว่าข้าต้องตอบเอ็งงั้นรึ”
“แหะ...แหะ ก็...คุณท่านคนใหญ่ถามทิ้ง ทิ้งก็ตอบทุกที”
“เอ็งเอาตัวเองเทียมข้ารึอีทิ้ง”
ทิ้งโลดแล่นไปทันที
เกดยืนอยู่ตรงหน้าคุณประยงค์ที่มองมาด้วยสายตาหยามเหยียด
“นั่นอะไร”
“เสื้อผ้าก็เห็นอยู่” เกดตอบห้วนๆ
“อ๊ะ นอกจากไม่คุกเข่าพูดกับคุณท่านคนใหญ่แล้วยังวาจากำเริบอีก” ทิ้งด่า
เกดหันมามองทิ้งด้วยนัยน์ตาคมกริบ
“มองอะไรจะพูดอะไรก็พูดมา”
“เอ็งเป็นบ่าวใช่มั้ย”
“เออ เป็นบ่าว...มีอะไรรึ”
“เป็นบ่าวเหมือนกันก็อย่ามาว่ากัน” เกดว่า
“ทำไมจะว่าไม่ได้วะเอ็งกำเริบกับเธอจริงๆ รู้นี่ว่าคุณท่านคนใหญ่เป็นใครทำไมเธอถามไม่ตอบดีๆ”
“ตอบไม่ดีกรงไหน”
“ก็อย่างที่มึงตอบล่ะวะอีเกด”
“กูตอบยังไงล่ะ อี...เอ็งชื่ออะไร”
“มึงไม่ต้องรู้ชื่อกู รู้แต่ว่าถ้าเธอถามมึง...”
ประยงค์เรียก “อีทิ้ง...”
ทิ้งตกใจ “เจ้าค่ะ”
“พูดมากความอยู่นั่นแหละจัดการกะมัน”
“ตอบไม่ดีกรงไหนน่ะเหรอ ตอบอย่างที่มึงตอบเมื่อกี้ไง มึงก็ตอบสิว่าเสื้อผ้าทำไมต้องบอกว่าก็เห็นอยู่ด้วยล่ะวะ”
“แล้วเห็นรึเปล่าล่ะ...อีทิ้ง” เกดจงใจเน้นชื่อ
“อีเกด....เห็นหรือไม่ก็ถามอย่างนั้นไม่ได้...กำเริบ” ทิ้งผลักอกเกด “แล้วยังเถียงอีก”
เกดผลักตอบ “ทำไมจะถามไม่ได้” ผลักพลางเดินรุกไล่ “ฮะ....พูดความจริง ทำไมพูดไม่ได้” เกดผลักอีกที “มึงคิดว่ามึงเป็นบ่าวชั้นไหนวะ ชั้นบนเหรอ...ฮะ....ฮะ กูจะขำตาย ชั้นบนชั้นล่าง มันก็อีบ่าวเหมือนกันล่ะวะ”
ทิ้งหน้าเหรอมากกับการรุกไล่ของเกด หันไปมองคุณประยงค์ให้ช่วย
“อีทิ้ง ปล่อยให้มันพูดจาหยามหยันตบตีเอ็งถึงเนื้อถึงตัวอย่างนั้นได้ยังไง ทำไมไม่ตบมันเข้าซักที”
ขาดคำคุณประยงค์ ทิ้งตบเปรี้ยงทันที คุณประยงค์หัวเราะชอบใจ แต่กลับมีเสียงทิ้งร้อง “ว้าย” คุณประยงค์หันไปมองอีกที ทิ้งลงไปนอน โดยเกดคร่อมอยู่ข้างบน กำลังเงื้อง่าราคาแพง มือหนึ่งขยุ้มคอทิ้ง
“หยุดนะ อีเกด”
เกดตบเปรี้ยง “ตบกันคนละทีเสมอกัน หยุดก็ได้” พลางโยนทิ้งลงกับพื้นอย่างแรง
จากนั้นเกดเดินจากไป คว้าตะกร้าเสื้อผ้า ทิ้งเจ็บโอดโอย
“อีเกด กลับมานี่เดี๋ยวนี้” คุณประยงค์ขึ้นเสียง
เกดหันกลับมา
“เสื้อผ้านั่น ของเจ้าคุณอย่าปะปนกับของผู้หญิง ถึงจะเป็นเมียก็เถอะ มันเสียศรีท่าน”
เกดรับด้วยสีหน้า พยายามเข้าใจ
“อยู่บ้านนอกทำยังไงก็ได้ถือว่าโง่เง่า ไม่รู้ธรรมเนียมแต่อยู่ที่นี่...ทำไม่ได้”
เกดนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “เจ้าค่ะ”
คุณประยงค์จึงว่าต่อไม่ได้
“แต่ไม่เห็นท่านเจ้าคุณว่ากระไร”
“ไม่ได้....กูสั่ง”
ยิ่งคิดยิ่งแค้น คุณประยงค์คำรามออกมา
“อีเกด ตามท่านมารึ คอยดูแล้วกันว่ามึงจะตามท่านไปได้กี่น้ำ”
ที่ออฟฟิศเชษฐา อีกวันหนึ่ง โสนวางสัญญาซ่อมบ้าน ลงตรงหน้าเชษฐา
“เช็นค่ะคุณหนึ่ง”
“อะไรครับ...อ๋อ สัญญาซ่อมบ้าน ทุกอย่างตามสเป็คท์ที่ผมให้ไปนะครับพี่โน๋”
“ถามยังงี้อีกแล้ว” โสนติง
“ขอโทษครับ....ผมผิดไปแล้ว เท่าไหร่นัส เคาะสุดท้าย”
“สิบแปดของบริษัทที่เขารับเหมา แต่มีอีก 4 ที่เขา Sub-contract รวมเป็น 22 ล้าน”
“โอเค...บอกสมชายลงมือเลย” เชษฐาบอก
ในโถงของคฤหาสน์ วันหนึ่ง
บรรดาช่างเต็มห้องโถง กำลังเดินดู ชี้ตรงโน้นตรงนี้ วันนี้เป็นวันที่ช่างทุกฝ่ายมาดูวางแผนงาน มีพิมพ์เขียวกางเต็มไปหมด มีผู้รับเหมาชื่อ สมชาย อยู่ในนี้ด้วย
เป็นช่างหลายจำพวก ทั้งช่างซ่อมแซม ทำไฟ ทาสี งานประปา แต่ยังไม่มีใครลงมือทำ แต่ยืนกะ ยืนมองแต่ละส่วนตามแบบแปลน ช่างบางพวกยกนั่งร้านมา และกำลังต่อขึ้นเป็นชั้นๆ
มีเสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่ แต่ละฝ่าย พูด....พูด....พูด หารือเรื่องงานของตน
ผีคุณประยงค์ ทำท่าหนวกหูเต็มทนแล้ว สายตาดุดัน กรอกตามองไปทางโน้น ทางนี้ อารมณ์เสียอย่างหนัก
“ย่าน้อย ฉันทนไม่ได้ จะกระทำย่ำยีบ้านฉันไปถึงไหน เธอทนได้แต่ฉันทนไม่ได้ มันต้องมีใครซักคนรับผลของความอลหม่านเหล่านี้”
พูดจบคุณประยงค์ก็หยุดชะงัก
คนงานคนหนึ่งชื่อ ว่อง คล้ายกับเห็นและได้ยิน เพราะยืนตรงหน้ารูปคุณประยงค์พอดี ถึงกับอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงแล้วหงายหลังล้มตึง
สวาสดิ์ ผีลูกย่าน้อย ร้องกรี๊ด โดยไม่ขยับตัว
บรรดาช่างทั้งหลายตกใจ วิ่งกรูมา จับตัวขึ้น มะรุมมะตุ้มอยู่สักครู่
ใครคนหนึ่งร้องขึ้น “ตายแล้ว”
ผู้คนร้อง ฮือฮา ตกใจกันถ้วนหน้า
สมชายบอก “เอารถมา ส่งโรงพยาบาลเร็ว”
ช่างท้วง “ตายแล้วนะพี่”
“ก็ต้องส่งไปชันสูตร” สมชายยืนกราน
หลายคนช่วยกันอุ้มออกไป
เสียงคนงาน 1 บอก “ไอ้ว่องมันเป็นโรคหัวใจอยู่”
ตามด้วยเสียงคนงาน 2 “หัวใจล้มเหลวมั้ง”
“เออ ใครได้ยินเสียเด็กร้องกรี๊ดมั่ง” สมชายถาม
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ
ตรงข้างๆ ตึก อีกวันถัดมา เชษฐา มนัสวีร์ สมชาย และช่างหลายคน รวมตัวกันอยู่บริเวณนั้น เบื้องหน้าตั้งเครื่องสังเวย ขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง ทุกคนยืนเรียงรายอยู่ ไกลออกไป ปู่กลับ แอบๆ ซุ่มดูอยู่แถวนั้น จุดธูปจุดเทียน ควันธูปลอยคว้าง
เชษฐา พึมพำเบาๆ
“คุณประยงค์”
ไม่นานต่อมาเชษฐากำลังแหงนดูรูปคุณประยงค์
“ถ้าทำอีก...ผมหยุด ไม่ซ่อมและไม่มา”
มนัสวีร์ยืนมอง
สองหนุ่มอยู่ตรงหน้าตึก ยามเย็นมากแล้ว
“แกแน่ใจเหรอว่าเป็นฝีมือคุณชวดคนสวย”
“ฉันเดาไว้ก่อน ตายตรงนั้นนี่โทษใครไม่ได้ โทษคุณชวดก่อนล่ะ” เชษฐาว่า
“มันเป็นโรคหัวใจอยู่...ไม่ใช่หรอก”
ตรงหน้ารูปภาพ ห้องโล่ง มีข้าวของบางอย่างวางระเกะระกะ แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว
“ได้ยินแล้วนะคะคุณอา อย่าทำอีก” ย่าน้อยว่า
คุณประยงค์ก้าวลงมา มองไปรอบๆ “ไม่แล้ว...” แหงนดู “บ้านของเรา....แม่น้อย บ้านของเรา”
“ทำไมคะ”
“กำลังจะเหมือนเดิม....สวยเหมือนเดิม”
คุณประยงค์ยิ้มสวยหวาน นัยน์ตาเหมือนดาว
“คุณอา”
“หือม์”
“คุณอางามจังค่ะ...”
คุณประยงค์หันมายิ้มหวาน
“ก็ฉันเป็นคนงาม....งามถึงคนลือหล่อนไม่รู้หรือยะ แม่น้อย”
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
คฤหาสน์สิงหมนตรี ย้อนอดีตไปเกือบร้อยปี เป็นยุคสมัยต้นรัชกาลที่ 6 ตัวตึกงดงามสว่างไสว บ่าวไพร่เดินขวักไขว่อยู่หน้าตึก ภายในห้องนอนคุณประยงค์ ยินเสียงสาวๆ หัวร่อต่อกระซิก กำลังแต่งตัวกันอยู่
คุณประยงค์ในวัยสาวสะพรั่ง หันหน้ากลับมา ในชุดแต่งตัวสวยงาม ใบหน้าสวยหวาน เพื่อนๆ 3-4 ต่างร้องฮือฮา เข้าไปรุมล้อม
“ประยงค์ เธอใช้รูจทาปากแท่งไหนเนี่ย สีสวยจัง ปากเธอ สวยเชียว” เพื่อนคนที่ 1 แตะคางเบาๆ
เพื่อนคนที่ 2 ถามต่อ “รูจทาแก้มล่ะ ประยงค์ แก้มแดงสวย”
ตามด้วยเพื่อนคนที่ 3 “แป้งฝุ่นทาหน้านี่อีก” พลางเอานิ้วแตะหน้าคุณประยงค์อย่างแผ่วเบา “หน้าเนียนจริงๆ”
คุณประยงค์ ยิ้มภูมิใจตัวเอง
ด.ญ. น้อยในวัย 7 ขวบกระโดดแกมเต้นเข้ามาหา “คุณอาขา....เจ้าคุณปู่ให้น้อยมาตามคุณอาค่ะ แขกมาแล้ว”
ที่หน้าตึก ตอนเวลาตะวันโพล้เพล้ เห็นเรือแล่นเข้าจอดเทียบท่า แขกขึ้นจากเรือ มีบ่าวชายคอยรับ ช่วยดึงเรือ
ขณะเดียวกันรถแล่นเข้าจอดหน้าตึก แขกลงจากรถ สองสามคัน แขกหันมาทักทายกัน เพราะรู้จักกัน
แขกเป็นชายสูงอายุ มากับคุณหญิง มีลูกสาวมาด้วยบ้าง ลูกชายบ้าง
นอกจากนี้ มีแขกหนุ่มๆ แต่งเครื่องแบบทหารก็มี แต่งพลเรือนก็มี
สาวๆ แต่งตัวสวยงาม สีสันละลานตา พอพบกันต่างชี้ชวนดูเสื้อผ้ากัน หัวร่อต่อกระซิกกัน ด้วยกิริยานุ่มนวลแบบกุลสตรีไทยโบราณ
เวลาต่อมา ทุกคนรวมตัวอยู่ภายในห้องโถงอันสวยงามโอ่อ่า ผู้คนยืนอยู่ตามที่ต่างๆ ในห้องโถง มีบ่าวชายหญิงถือถาดเสิร์ฟเครื่องดื่ม เป็นน้ำชา และน้ำเปล่า แก้วไวน์ก็มี
แขกผู้หญิง 2-3 คน กำลังคุยกันเรื่องคำนำหน้านาม
หญิงชื่อวิไลเอ่ยขึ้น “อย่าลืมเขียนว่านางสาว นำหน้าชื่อนะ แม่อรุณ”
หญิงชื่ออรุณบอก “ใช่ ฉันเป็นนางสาวอรุณ ส่วนเธอเป็นนางวิไล”
หญิงอีกคนในกลุ่มว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม เราต้องประกาศว่าเรามี...” หล่อนกระแอมนิดหน่อย “เสียแล้ว”
ทั้งสามคนหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน
อรุณบอกอีก “จริง ก่อนนี้ เรียกแม่อรุณ แม่วิไล ก็ไม่รู้นะว่า....” พลางทำหน้าทะเล้น “วิไลน่ะ ไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว” ก่อนจะกระซิบกระซาบ “ใช่มั้ยวิไล”
วิไลร้อง “อุ๊ย” ตีอรุณดังเผียะ
เพื่อนหญิงในกลุ่มบอก “แหม ก็ในหลวงท่านเรียนจบเมืองนอกเมืองนา ก็ทำแบบฝรั่งน่ะสิ”
ส่วนแขกพลเรือนผู้ชาย 2 คน คุยกันเรื่องหนังสือหนังหา
“เออ...คุณสมบัติ โรงพิมพ์คุณพิมพ์ พระราชนิพนธ์ของในหลวงหลายเล่มสินะ”
“ครับ ขณะนี้กำลังพิมพ์ที่พระองค์ท่านทรงแปลครับ ชื่อเรื่องเวนิสวาณิชครับ”
“อ๋อ The Merchant of Venice ของเชคสเปียร์ น่าสนใจ....น่าสนใจทีเดียว”
ข้าราชการผู้ใหญ่ 2 คน กำลังคุยกันเรื่องนามสกุล
“ท่านเจ้าพระยาได้สกุลพระราชทานว่าอะไรหรือขอรับ” พลางมองไปทางท่านเจ้าพระยา
“สิงหมนตรี พระราชทานว่าสิงหมนตรี” อีกคนเสริม
ท่านเจ้าพระยากับท่านผู้หญิงนั่งที่เก้าอี้ชุดคุยกับแขกผู้ใหญ่ชายหญิง
“ทุกคนขอพระราชทานนามสกุลหมดแล้วนะ...เจ้าคุณ” หันมาถามแขกคนหนึ่ง
“ขอรับ กระผมเพิ่งได้พระราชทานมาเมื่อวานนี้เองขอรับ” แขกท่านนั้นตอบ
“ยินดีด้วย ต่อไปนับสาแหรกวงศ์วานว่านเครือกันจะได้ชัดเจนขึ้น”
ท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้น “ในหลวงท่านมิทรงเหนื่อยแย่หรือคะเนี่ย ต้องทรงคิดนามสกุลเป็นร้อยๆ”
“ท่านทรงทำให้ประเทศเราทันสมัย” ท่านเจ้าพระยามองไป “แม่ประยงค์” ท่านลุกขึ้น เดินไปหา ยื่นมือให้บุตรี “แม่ประยงค์ ทางนี้ลูก”
คุณประยงค์เดินเข้ามา สวยงามจนคนตะลึง มีเพื่อนกลุ่มเดิมมาด้วย ด.ญ.น้อยเดินตามมา ผู้คนในห้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน
ท่านเจ้าพระยาจูงมือคุณประยงค์ เดินไปทักทายแขกเหรื่อตามทาง
“เอ้า นี่ไง เจ้าของวันเกิด ลูกสาวฉัน แม่ประยงค์”
คุณประยงค์ ยิ้มหวานไหว้ ทักทายคน
ท่านเจ้าพระยา แนะนำลูกชายสองคน ด้วยเสียงเบาๆ
“ลูกชายสองคน พ่อปาน พระราชนุกูล พ่อปั้น คุณหลวงวิจิตรนาวา ส่วนหลานเล็กนี่ แม่น้อย ลูกสาวพ่อปั้นเขา” ท่านเจ้าพระยาโอบแม่น้อยเข้ามา
แม่น้อยไหว้ผู้ใหญ่ ส่งยิ้มหวาน คุณปาน คุณปั้น ทักทายผู้คน
คุณประยงค์ แย้มยิ้ม ทักทายคนนั้นคนนี้
คุณประยงค์นึกถึงความหลังด้วยสีหน้าเบิกบาน ยิ้มหวาน มองหน้าย่าน้อย แต่นัยน์ตาครุ่นคิดถึงภาพตนเอง
“คุณอาสวยจนคนลือจริงๆ”
“ฮึ....รู้ได้ไงแม่น้อย”
“เห็นกะตาสิเจ้าคะ ถึงน้อยยังเด็กตอนนั้น แต่น้อยเห็นหมดล่ะค่ะ” ย่าน้อยว่า
ความหลังครั้งอดีต ผุดขึ้นขณะน้อยมองคุณประยงค์ที่ยังคงทักทายคนโน้น คนนี้ ท่านเจ้าพระยาพาเดินไปจนทั่วห้อง ใบหน้าสวย ยิ้มหวาน แต่ก็ยังมีมาดคุณท่านคนใหญ่ มีสง่าอยู่ในทีท่า
ด.ญ.น้อย เดินตามไปห่างๆ นัยน์ตามองบรรดาผู้คนที่คุณประยงค์เพิ่งผ่านไป เห็นและได้ยินชัดว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนมีกิริยา หรือพูดจาแบบชื่นชมความงามของคุณประยงค์
“น้อยเห็นด้วยว่า พ่อปราชญ์น่ะ แอบมองคุณอาไม่วางตา”
ปราชญ์หรือ เจ้าคุณ ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มน้อย ยืนแอบมองดูคุณประยงค์อยู่ห่างๆ
“พ่อปราชญ์แอบอยู่หลังเสา น้อยเห็น แต่คุณอาน่ะไม่เห็นเขาหรอก มัวแต่ยืนให้หนุ่มๆ มองแล้วมองอีก”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาสีหน้าคุณประยงค์ ลึกซึ้งมาก
“ช่างน่าสงสารพ่อปราชญ์ ตาห้อยแล้วห้อยอีก” ย่าน้อยว่า
“แม่น้อย” คุณประยงค์ส่งเสียงปราม
“ค่ะ...ค่ะ ตาละห้อยแล้วละห้อยอีกคุณอาก็ไม่ยอมมองเขาเล้ย”
คุณประยงค์ ซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ความรักความหลังผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงอีกครา
สองคนอยู่ด้วยกัน ตรงบริเวณบ้านที่ลับตาคน ตอนกลางคืน
“ฉันเห็น.....เห็นพ่อปราชญ์ตลอดเวลา”
“ผมไม่เห็นคุณมองผมเลย เห็นแต่คุยกับ...” เหลือบไปทางหนุ่มๆ หน้าตาขุ่นมัว
“พ่อปราชญ์ ถึงฉันไม่ได้มองไม่ใช่ฉันไม่เห็น”
“ถ้าเห็น ต้องมอง”
“ฉันไม่มอง แต่ฉันเห็น” เสียงคุณประยงค์เรียบ แต่หนักแน่น
ปราชญ์มองหน้าด้วยสายตาดื่มด่ำมาก คุณประยงค์ มองตอบด้วยสายตาเดียวกัน ปราชญ์เขยิบเข้าไปใกล้ คุณประยงค์มือยันอกไว้ ส่ายหน้า
“ใจผมจะขาด...”
“เพราะอะไร” คุณประยงค์ถามเสียงแผ่ว
“กลัวเสียคุณไป ใครๆก็หมายปองคุณ”
“แต่ฉันหมายปองพ่อปราชญ์”
ปราชญ์ทำหน้าซาบซึ้งเป็นที่สุดจ้องใบหน้าคุณประยงค์
“ผมจะทำตัวให้เจริญ...เทียบทันกับคุณประยงค์ ผมขอให้คำสัตย์ไว้ตรงนี้....คอยผมนะครับ”
“คอยสิ....คอยตลอดเวลา”
ปราชญ์ยื่นมือ ขอมือคุณประยงค์ ที่ลังเลอึดใจ วางมือลง
ปราชญ์จูบมือ “ชื่นใจของผม”
ทั้งสามคนขึ้นไปยืนในรูปเรียบร้อยแล้ว สีหน้าคุณประยงค์ยังคงพริ้มเพราอิ่มเอิบ
ย่าน้อยเรียก “คุณอา....คุณอาขา...”
คุณประยงค์ไม่ได้ยิน
“คุณประยงค์เจ้าขา”
คุณประยงค์หันมา ยิ้มหวานกับคุณสวาสดิ์
“คุณย่าง๊าม....งาม จริงๆ ค่ะ คุณอาน้อย”
ท่ามกลางดนตรีไทยที่บรรเลงเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้งนั้น คุณประยงค์พูดคุยอยู่กับแขก ท่านเจ้าพระยา ท่านผู้หญิง คุณปาน คุณปั้น ต่างก็คุยกับแขกทั้งหลายของตัวเอง ปราชญ์มองมาที่คุณประยงค์
จู่ๆ จากตัวตึกสิงหมนตรีอันสวยงามแลเห็นแสงไฟสว่างไสว กลายเป็นตึกร้าง ทั่วทั้งตึกมืดสนิท บนฟ้ามีแต่พระจันทร์รูปเคียว นกแสกบินผ่านพลางร้องเสียงแหลม
คุณประยงค์ในรูปน้ำตานองเต็มสองตา สะอื้นแผ่วเบา
“มืด....มืดมิดเหลือเกิน”
“คุณอาขา ตึกซ่อมเสร็จ ท่านก็มาแล้วค่ะ อีกไม่นานหรอกนะคะ” ย่าน้อยปลอบ
อยู่มาวันหนึ่ง อนงค์วดีคุยกับปิ่นสุดาอยู่ที่บ้าน
“จวนเสร็จหรือยัง....ซ่อมตึก”
“น่าจะซ่อมเสร็จแล้วประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ค่ะคุณแม่”
“ทำไมหนูรู้”
อนงค์วดีร้อง “อ๋อ...”
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน
วันหนึ่งก่อนหน้านี้ เห็นเรือค่อยๆ แล่นเข้ามา อนงค์วดีอยู่ในเรือลำนั้น หล่อนมองเข้าไปที่หน้าบ้านสิงหมนตรี แล้วเรือก็แล่นผ่านเลยไป อนงค์วดีมาเพื่อแอบดู เห็นคนงานกำลังซ่อมตึก
อนงค์วดียังคุยอยู่กับปิ่นสุดาในบ้าน มีผักบุ้งทำงานบ้านอยู่ไม่ไกล
“หนู....ไปดูมาค่ะ”
ปิ่นสุดาหันขวับมาทันที “ทำไมหนูต้องไปดู”
อนงค์วดีมองหน้าแม่ ท่าทีแปลกใจ “ทำไมถึงไปไม่ได้ล่ะคะ”
“คุณเชษฐาเขาชวนหรือ”
“เปล่าค่ะ หนูไปดูเอง แค่อยากรู้ว่าเขาซ่อมยังไง”
“แล้วเขาซ่อมยังไง”
“เหมือนเดิมค่ะ...”
“คงสมใจคนบางคน” ปิ่นสุดาพึมพำ
“คุณแม่หมายถึงคุณชวดใช่มั้ยคะ”
ปิ่นสุดาเปลี่ยนท่าที ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ธรรมดา “คุณเชษฐาเขารู้มั้ยว่าที่นั่นมีผี”
อนงค์วดีไม่ตอบ แต่ถามกลับ “คุณแม่คะ คุณชวดเธออยู่ที่นั่นตลอดเวลาเลยหรือคะ”
“แม่ไม่รู้ แต่แม่จะพาหนูไปหาคนที่รู้เรื่องดี”
ปิ่นสุดาบอกด้วยนัยน์ตามาดหมาย
อ่านต่อตอนที่ 4