ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 2
อีกวันหนึ่งต่อมา ที่โปโลคลับแห่งนั้น แลเห็นม้าสองตัวถูกควบขับมาแต่ไกล อ้อมสนามแล้วตรงไปอีกรอบหนึ่ง
เชษฐากับเกษลดา ตั้งหน้าตั้งตาขี่ จนอ้อมกลับมาอีกรอบ สองคนหยุดไล่ๆ กัน เด็กมารับม้าไป สองคนเดินขึ้นไปในสโมสร
สองคนเดินขึ้นมาในสโมสร ท่าทางเหน็ดเหนื่อย...มาหยุดดื่มน้ำที่โต๊ะ ขณะมนัสวีร์เดินตรงเข้ามาหา
“คุณมนัสวีร์ สมเป็นทนายประจำตระกูลจริงๆ” เกษลดาทัก
เชษฐาถาม “เป็นยังไง”
“ตามติดเจ้านายทุกวินาที เวลางานไม่ว่า นี่เวลาพักผ่อนก็ยังตามมา” หญิงสาวเย้า
“ผมอนุญาตไว้เอง” เชษฐาบอก
“อ้าว...” เกษลดาตีแขนเชษฐาเล่นๆ “ปล่อยให้รู้สึกไปแทน ที่แท้....” หล่อนหัวเราะขำตัวเอง “ขอโทษนะคะยื่นจมูกมากไปหน่อย”
เชษฐาจับจมูกสั่นเบาๆ “ได้เลยไม่เป็นไร” พลางหันไป “นัส”
“เกษไปห้องน้ำนะคะ เชิญคุยธุรกิจได้ตามสบาย”
มนัสวีร์เดินเข้ามาหา “เซ็นหนังสือมอบอำนาจกับสำเนาบัตรประชาชน”
“ไม่ต้องไปเองจริงนะแก” เชษฐาถามย้ำ
“ไม่ต้อง เซ็นมอบทั้งสองฝ่ายก็ได้ ให้ลิ่วล้อไปทำให้ โธ่เอ๊ย พวกนักการเมือง นักธุรกิจใหญ่ๆ ใครเขาไปยืนกระจ๋องหง่องที่กรมที่ดิน รอคิวหน้าเป็นมันกว่าจะถึงเป็นชั่วโมงๆ เขาก็ให้สมุนไปทำให้ทั้งนั้น” ทนายความคู่ใจอธิบาย
“ฉันถามหนึ่ง ทำไมแกต้องตอบไปถึงร้อยวะ”
“เอาให้เคลียร์ เอ้า เช็คอีกใบ เซ็นซะด้วย”
เชษฐาดูเช็ค “เอาไปให้เงี้ยเหรอ เขาก็รู้สิ”
“ไม่ ทำแคชเชียร์เช็คไป” มนัสวีร์บอก
“จะเซ็นทำไม้ อีกสองวันเงินก็กลับมาหาฉันอย่างเดิม” เชษฐาว่า
ที่บ้านอนงค์วดีอีกวัน แคชเชียร์เช็คถูกวางลงโดยณรงค์ศักดิ์
“เงิน ค่าตึกครับ ผมทำแคชเชียร์เช็คมานะครับ”
อนงค์วดีแปลกใจ “ทำไมรีบให้คะ ไปให้วันโอนดีกว่าค่ะ”
“คุณอนงค์วดีไม่ต้องไปหรอกครับ เซ็นมอบอำนาจให้ผม ผมไปจัดการเอง”
อนงค์วดียิ่งแปลกใจ “ได้เหรอคะ”
“ได้จริงๆ ครับ ผมจ่ายเงินให้ก่อนแต่ได้ใบมอบอำนาจการโอน ผมก็อุ่นใจแล้วครับ”
“ค่ะ”
“บัตรประชาชนด้วยนะครับ…สำเนาครับ”
ไม่นานต่อมา ใบมอบอำนาจ และสำเนาบัตรของอนงค์วดีวางอยู่คู่กัน อนงค์วดี เซ็นชื่อบนบัตรประชาชนก่อนและต่อด้วยเซ็นในใบมอบอำนาจว่า “ใช้ในการโอนที่ดิน”
อนงค์วดีเซ็นอย่างรวดเร็ว และหนักแน่น พอเซ็นคำว่า มนตรี ท้ายนามสกุลเสร็จ ก็ขีดยาวและจุดใต้เส้นยาว อย่างแรง
อีกวันหนึ่งที่คฤหาสน์บ้านสิงหมนตรี อนงค์วดีเงยหน้ามองรูปท่านเจ้าพระยา
“คุณปู่ทวดเจ้าขา หลานกราบขอโทษ” หล่อนทรุดตัวลงกราบ “ที่หลานรักษาสมบัติของตระกูลไว้ไม่ได้” ถึงตรงนี้อนงค์วดีสะเทือนใจจนน้ำตาออกมาคลอ เสียงสั่นพร่า “คุณปู่ทวดคงโกรธหลานแต่หลานไม่มีหนทางใดๆ เลยเจ้าค่ะ มีทางนี้ทางเดียวเพราะว่าหลานไม่มีปัญญารักษาให้ตึกนี้มีสภาพเหมือนอย่างเดิม นับวันก็จะหักพังไป หลานกลัวว่าในที่สุดตึกจะพังทลายลงมา ถึงเวลานั้นหลานจะเสียใจยิ่งกว่านี้ หลานหวังว่าเจ้าของตึกคนใหม่เขาคงจะรักตึกนี้ เขาคงทะนุบำรุงให้ตึกสวยงามเหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นเขา” น้ำตาอนงค์วดีไหลพราก เสียงเครือ “คงไม่มาซื้อตึกที่สภาพแบบนี้”
เชษฐายืนฟังนิ่งๆ อยู่ที่เชิงบันได มุมลับตาถัดไปอีกหน่อย สีหน้านิ่งอึ้ง เห็นอนงค์วดีก้มลงเช็ดน้ำตา แล้วกราบอีกที
“หลานกราบลาคุณปู่ทวดนะเจ้าคะ คงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว”
อนงค์วดีหันหลังกลับ น้ำตายังเต็มตา ยืนเช็ดน้ำตา เชษฐาแหงนมอง สายตาลึกซึ้ง ประทับใจ
ไม่มีใครเห็นว่ายามนี้ รูปคุณประยงค์ มีแววตาดุดัน ท่าทีกราดเกรี้ยว
“นังมารยา” วิญญาณร้ายพึมพำในคอ
อนงค์วดี ก้าวลงบันได แต่มีเสียงหน้าต่างปิดดังปังใหญ่ ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง เปรี้ยง ค้างคาวตัวหนึ่ง บินถลาเข้ามาหา พลางร้องเสียงแหลม อนงค์วดีตกใจร้องกรี๊ด พุ่งตัวลงบันไดอย่างรวดเร็ว ร่างของหล่อนถลาเข้าสู้อ้อมแขนของเชษฐาที่พุ่งตัวมาพอดิบพอดี
เชษฐารับแล้วกอดไว้แน่น มือคว้าราวบันได ตัวเขาเองก็หมุนจนอนงค์วดีเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
รูปคุณประยงค์เหมือนมีแสงออกมาจากนัยน์ตา ขยับตัวจะออกไป
ย่าน้อยร้องบอก “อย่าค่ะ คุณอา”
คุณประยงค์ เหลือบนัยน์ตาไปที่รูปย่าน้อย เห็นรูปย่าน้อยจ้องตรงมา ส่ายหน้านิดหน่อยว่าอย่าไป
จังหวะนี้อนงค์วดี แกะมือเชษฐาที่โอบไว้แน่น แล้วตัวก็กระเด้งออกมา
“ตกใจอะไร....ก็แค่ค้างคาว”
อนงค์วดีถามทันที “คุณมาทำไมอีก”
“นัสชวนมา”
“ชวนมาทำไม”
“ชวนมาดูอีกที ก่อนที่...”
อนงค์วดีจ้องหน้าเขานิ่ง “ก่อนที่....อะไรคะ”
“ก่อนที่กรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนมือน่ะสิ”
“มันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“มันก็...เกี่ยวๆ อยู่เหมือนกัน...นิดหน่อย”
อนงค์วดีจ้องมอง สีหน้าใคร่ครวญ สังหรณ์ใจ หยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก
“คุณณรงค์ศักดิ์...คุณอยู่ที่ไหนคะ อยู่กรมที่ดินแล้วหรือคะ คุณโอนหรือยัง...ถ้ายังไม่โอน ฉันขอระงับ เปลี่ยนใจแล้วค่ะ ไม่ขาย ได้ยินมั้ยคะ ไม่ขาย คุณมาเอาเงินคืนไปฉันยังไม่ได้ใช้แม้แต่บาทเดียว อะไรนะ...” อนงค์วดีทำท่าหมดแรงพอฝั่งอีกฝ่าย “โอนแล้วเรียบร้อย” หล่อนนิ่งไปแบบสะกดใจ “คุณณรงค์ศักดิ์ ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ซื้อเอง คุณบอกชื่อคนซื้อได้มั้ยคะ...” อนงค์วดีกลั้นใจฟัง “ขอบคุณ” กดปิด แล้วหันข้างให้ พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ จนตัวหล่อนสั่นสะท้าน
แล้วอนงค์วดีก็ออกเดิน จะไปให้พ้นตรงนี้ หล่อนเดินอย่างเร็วข้ามห้องโถง เชษฐาตามอย่างเร็ว จนทันกัน คว้าแขนอย่างแรง ตรงจุดนั้น กรรมเหลือเกิน อยู่ตรงหน้ารูปของคุณประยงค์พอดี
อนงค์วดีสะบัด เชษฐาจับสองแขนไว้ หน้าเผชิญหน้า
“มีเหตุผลบ้าง”
“ปล่อยฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ...”
“ทำไม อย่าเป็นบ้าไปหน่อยเลยได้มั้ย”
“เรื่องของฉัน คุณใช้เล่ห์เหลี่ยมจนได้ตึกของฉันไป คุณก็เอาไปอย่ามายุ่งกับฉัน...ปล่อย”
อนงค์วดีพูดจบ ความเจ็บแค้นพุ่งประดังขึ้นมาในอก น้ำตาประดังพร่างพรูขึ้นมาจนเต็มหน้าด้วยความเจ็บใจ หล่อนสะอื้นไห้ โดยพยายามกลั้นไว้เต็มที่
เชษฐา ค่อยๆ ปล่อยแขน มองอย่างใจหวิวๆ ด้วยความสงสาร อนงค์วดี ปาดน้ำตาจนแห้ง หันหลังกลับเดินออกไป เชษฐายืนมอง
แสงแดดสุดท้ายของวัน ส่องมาเป็นลำ เสียงฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างที่ด้านนอก
แสงนั้นลดวูบ ภายในห้องมืดมนลงทันที ฟ้าร้องอีกเปรี้ยง...เปรี้ยง ตามด้วยเสียงฝนตกซู่ลงทันที
อนงค์วดียืนนิ่งอยู่สักครู่ เชษฐาเดินเร็วๆ เข้าไปหาอนงค์วดีผ่านรูปประยงค์ ร่างเชษฐากระแทกเข้าใบหน้าประยงค์แรงและเร็ว
สีหน้าประยงค์จากโกรธเกรี้ยวกลายเป็นหมองเศร้า น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นเต็มตา จนไหลพรากออกมา
ขณะที่อนงค์วดีก้าวพรวดๆ ออกมาหน้าตึก มนัสวีร์สวนเข้ามาพอดี
“คุณมนัสวีร์”
อนงค์วดีทักเหมือนเหมือนดีใจ แต่พอนึกว่ามนัสวีร์ต้องร่วมมือด้วยแน่ๆ จึงหันหลังให้ ไม่อยากพูดด้วย เชษฐาออกมา อนงค์วดีหันหลังไปอีกทาง ฝนตกแรงมาก ออกไปกันไม่ได้
“คุณอนงค์วดีครับ”
อนงค์วดียืนเฉยๆ ไม่ตอบมนัสวีร์มองเชษฐาเป็นเชิงถาม เชษฐาแบมือยักไหล่
“คุณอนงค์วดี ฟังหน่อยได้มั้ยครับ”
อนงค์วดียังนิ่งอยู่
“คุณอนงค์วดี เราจะไม่พูดกันอีกเลยในชาตินี้ก็ได้ แต่วันนี้ผมขอให้คุณฟังเราสักครั้ง”
อนงค์วดีถอนหายใจแรงๆ แล้วหันมาทำท่ารับฟัง ท่าทีสงบขึ้น
“ขอบคุณ” เชษฐาก้มหัวให้ “ผมขอให้คุณลืมเรื่องที่ผมหลอกคุณ เพราะถ้าไม่หลอกคุณ คุณก็ไม่ขายผม”
“ถึงเดี๋ยวนี้ฉันก็ไม่อยากขายคุณ ฉันพร้อมที่จะคืนเงินให้คุณ คุณโอนที่ดินมาให้ฉัน ฉันจ่ายค่าโอนเอง”
เชษฐาฉุน “ค่าโอนเท่าไหร่คุณทราบมั้ย”
อนงค์วดีคอแข็ง
“ผมจ่ายค่าโอนเต็มจำนวนไม่มีจ่ายใต้โต๊ะ เงินต้นเท่านี้คุณคงไม่คิดว่าค่าโอนจะเท่ากับเงินเดือนของคุณแค่เดือนเดียวนะ”
“กรุณาอย่าดูถูกฉัน” อนงค์วดีเสียงสั่น “ถึงแม้ว่าจะเป็นจริงตามที่คุณพูดว่าฉัน...ฉันไม่ปัญญา” พร้อมกับถอนสะอื้นลึกๆ
“ผมเพียงอยากจะบอกว่า คุณอย่าใช้อารมณ์ตัดสิน ใช้เหตุผล ถึงแม้ว่าเหตุผลนั้นจะทำให้อารมณ์เสียก็ตาม แต่ถ้าตัดสินด้วยเหตุผลความผิดพลาดก็น้อยลง”
อนงค์วดีรู้สึกตัวเองพ่ายแพ้ตั้งแต่วินาทีนั้น สบตาเชษฐาแล้วพยักหน้า
“ผมอยากให้คุณเชื่อผมเถอะนะว่าตึกนี้ขายยากมาก อีกสิบยี่สิบปีอาจจะยังไม่มีคนมาซื้อก็ได้ ถ้าคุณไม่รีบเอาเงินไปใช้เสี่ยพิภพ อีก 3 เดือน 6 เดือนข้างหน้าดอกเบี้ยจะไปถึงสี่ล้านจริงมั้ย”
“จริง” น้ำเสียงอนงค์วดีเบาหวิว
“พรุ่งนี้คุณปิ่นสุดานัดเอาเงินมาใช้หนี้ผม ผมได้ยินว่านัดเสี่ยพิภพให้มาเอาเงินสองล้านเจ็ดด้วย วันมะรืนนี้คุณกับคุณแม่คุณจะเป็นอิสระไม่เป็นลูกหนี้ใคร”
อนงค์วดีพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว...ขอบคุณ” พลางมองหน้าเชษฐา แล้วก้มลงไหว้ “ขอบคุณ ฉันรู้แล้วว่าคุณหวังดี ฉันจะไม่ลืมความหวังดีของคุณเลยค่ะ”
อนงค์วดี เงยหน้ามองสายฝนที่เริ่มซา เชษฐามองด้านข้างของอนงค์วดี แล้วเผลอใจไปนิดเดียว
“ลาค่ะ” อนงค์วดีไหว้อีกครั้ง “คุณมนัสวีร์ ลานะคะ ขอบคุณทุกอย่าง”
“ฝนยังตกอยู่เลย”
อนงค์วดีกางร่ม “มีร่มค่ะ คนเรือเขาจะคอยนานแล้ว”
อนงค์วดีเดินไปห่างออกไปจวนจะออกประตูอยู่แล้ว
“วันไหนที่ผมทุบตึกนี้ คุณมาด้วยมั้ยผมจะให้...” น้ำเสียงเชษฐาร่าเริงมาก
อนงค์วดียูเทิร์นกลับแบบฉับพลัน
“อะไรนะ....” หล่อนปราดมายืนตรงหน้าทันควัน “คุณว่าอะไรนะคะคุณเชษฐา”
“ว่าอะไร...ผมจะให้คุณมาลงค้อนทุบตึกเป็นคนแรก”
“ทุบ...คุณจะทุบตึก จะบ้าไปแล้วหรือ ตึกเนี่ยนะ คุณจะทุบทิ้ง...”
“บางส่วน ผมจะทุบบางส่วน สร้างใหม่ให้ทันสมัยกว่านี้เพราะว่า...”
อนงค์วดีเหมือนจะสำลักจ้องหน้า
“เพราะว่า...มันเก่า สมควรถูกรื้อทิ้ง ถึงมันยังไม่พังแต่ก็จวนแล้ว” เชษฐาบอก
“ไม่ค่ะ มันไม่พัง ไม่จวนด้วย”
“คุณจะเก็บไว้ทำไม มันรู้มันเห็นมนุษย์มาตั้งกว่าศตวรรษ มันเบื่อแล้ว”
“คุณคิดเอาเอง”
“ไม่เถียงกันดีกว่า ยังไงๆผมก็ทุบตึกนี้แน่”
อนงค์วดีคอตก ถอนหายใจยาว พยายามปลง
“มีอะไรจะพูดอีกมั้ย”
“ไม่มีค่ะ ฉันไม่มีจะมีก็แต่วิญญาณของท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่” อนงค์วดีบอกเสียงเข้ม
สองคนชะงัก นิ่งอึ้ง
“ท่านอยู่มานานจนที่นี่เป็นเรือนตาย ท่านคงไม่อยากกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”
“ถ้าวิญญาณที่ว่ามีจริง น่าจะมีใครสักคนร้องค้านออกมา”
จู่ๆ มีลมพัดอีกวูบ หน้าต่างกระทบกันดังปึงปัง...ปึงปัง จนระงมไปหมด ตามด้วยเสียงร้องหวีดหวิว เหมือนเสียงร้องไห้ ดังอยู่ในอากาศ
“หายสงสัยหรือยังคะ” อนงค์วดีว่า
เชษฐาหันมาจ้องอนงค์วดีอย่างจริงจังที่สุด “คุณเชื่อหรือคุณอนงค์วดี”
“ค่ะ” อนงค์วดีเสียงหนักแน่นมาก “ฉันเชื่อ”
“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ คุณจะพิสูจน์ยังไง”
อนงค์วดีมองอย่างท้าทาย “ค้างที่นี่...คืนนี้”
เชษฐามองสบตาหล่อนนิ่งๆ สายตาเป็นคำถามว่า ท้าหรือ อนงค์วดีตอบรับแน่วนิ่งด้วยสายตาเช่นกัน
อ่านต่อหน้า 2
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ในเวลาเดียวกัน ฝนยังคงตกสลับกับเสียงฟ้าร้องครืนครัน ปิ่นสุดาอยู่ที่บ้าน กำลังรอสายโทรศัพท์ แต่ไม่มีคนรับสักที จึงกดปิด หงุดหงิดๆ เดินไปเดินมา เรียกสาวใช้
“ผักบุ้ง...ผักบุ้ง”
“ขา...” ผักบุ้งเข้ามาอย่างเร็ว
“คุณหนูยังไม่กลับเลย”
“กี่ทุ่ม ต๊าย 2 ทุ่มแล้วด้วย”
“ทำไมเนี่ย....โทร.ไปก็ไม่รับสาย”
“ทำไงดี....ทำไงดี ไป” ผักบุ้งพยักหน้าชวน “ตาม”
“ไปตามที่ไหน”
“อ้าว บุ้งไม่รู้ คุณผู้หญิงรู้มั้ยคะ”
“ฉันก็ไม่รู้ ที่ทำงานไม่อยู่”
“ตายแล้ว...ตายแล้ว ไอ้โจรฆ่าแล้ว” ผักบุ้งตกใจเว่อร์
ปิ่นสุดาเอ็ด “นี่ ไอ้บุ้งพูดจาดีๆ หน่อย”
ผักบุ้งย้อน “ค่ะ ดีๆ...ดีๆหน่อย”
ปิ่นสุดาเซ็งจัด
ผักบุ้งชี้ “แต่งตัว จะไปไหน”
ปิ่นสุดาหลบตาผักบุ้ง “เรื่องของชั้น”
ผักบุ้งบอกอย่างรู้ทัน “เล่นไพ่?”
“แกอย่ายุ่งได้มั้ย” สองนายบ่าวโต้เถียงกันไปมา
“ไม่ได้”
“เอ๊ะ ไปให้พ้น”
“ไม่ไป”
“งั้นชั้นไปเอง” โทรศัพท์ดังขัดจังหวะ ปิ่นสุดาพรวดเดียวไปรับสาย “ยายหนู”
“คุณหนู....” ผักบุ้งปรี่เข้ามาอย่างเร็ว จะรายงาน
ปิ่นสุดาผลักหน้าไป ฟัง...ฟัง....ฟัง รับคำอือ....อือม์...จ้ะ...จ้ะ วางสาย แล้วหันไปหยิบกระเป๋าถือ
“เดี๋ยว” ผักบุ้งเข้าขวาง “คุณหนูอยู่ไหน”
“คุณหนูค้างที่อื่น พรุ่งนี้กลับ”
“บอกคุณหนูรึป่าวจะไปเล่นไพ่”
“ได้ยินรึเปล่าล่ะ” ปิ่นสุดาเดินตัวปลิวออกไปทันที
“คุณผู้หญิง....คุณหนูกลุ้มใจไม่รู้เลยเหรอค้า” ผักบุ้งร้องตามหลังไป
สามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ในคฤหาสน์ อนงค์วดีถือโทรศัพท์อยู่ในมือ แล้วเอาใส่กระเป๋า
“เอาจริงหรือนี่”
เชษฐามองหน้าอนงค์วดีแน่วนิ่ง อนงค์วดีก็มองตอบเชษฐา สองคนไม่พูดใดๆ สักคำ
“มีใครตอบฉันซักคนซิ
สองคนตอบพร้อมๆ กัน “จริงค่ะ” / “จริง”
มนัสวีร์ถอนหายใจเฮือก “เอา....จริงก็จริง”
“เราไปชั้นบนดีกว่าค่ะ”
แสงไฟจากแชนเดอเลียร์สวยงามแบบโบราณลงไปที่คนทั้งสามอนงค์วดีเดิน สองคนเดินตาม จากสุดฟากของห้องใกล้ทางออก ข้างห้องมาที่บันได
“ดีจังที่มีไฟฟ้าใช้” มนัสวีร์ว่า
“คุณพ่อของฉันติดไฟฟ้า...ก่อนเราย้ายออกไปจากบ้านนี้ไม่นาน”
สองคนนิ่งเงียบ เดินตามมาเงียบๆ
มนัสวีร์มองไปเห็นปู่กลับ ยืนอยู่ในเงามืดจึงร้องสุดเสียง กระโจนเข้าหาเชษฐาโดยอัตโนมัติ ปู่กลับ ยืนนิ่งๆ ให้แสงไฟส่องหน้า...แลดูน่ากลัวมาก
“เฮ้ย...ใครน่ะ” เชษฐาก็ตกใจ แต่คุมสติอยู่
“ปู่กลับจ๊ะ ออกมาเถอะ ยืนอยู่อย่างนั้นทำให้คนกลัวนะ” อนงค์วดีบอก
ปู่กลับก้าวออกมาช้าๆ มายืนสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าทุกคน
เชษฐาเพ่งแล้วจำได้ “อ๋อ....วันก่อนก็เจอแล้ว แต่เจอตอนมืดยืนซุ่มๆ แบบนี้ ทีหลังไม่เอานะปู่”
“ขอรับ ท่านเจ้าคุ....” ปู่กลับหยุดพูดกึก
“ไม่ต้องเรียกฉันท่าน ฉันไม่ชอบ” เชษฐาบอก
“ขอรับท่าน” ปู่กลับตอบในท่าทางนอบน้อมมาก
เชษฐาทำท่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ทั้งหมดเดินผ่านรูปคุณย่าน้อย มนัสวีร์เดินผ่าน จากหางตาเหมือนมีอะไรไหวๆ ที่รูป ใบหน้าย่าน้อย มองสบตามนัสวีร์ และยิ้มออกมากิ๊กหนึ่ง
มนัสวีร์ตกใจร้อง “เฮ้ย...”
“อะไรอีก”
มนัสวีร์ส่ายหน้า “ชักจะตาลายแฮะ เป็นเพราะหิวรึเปล่า”
“หิวก็ไม่มีอะไรทาน ทนเอา”
“คุณย่าน้อยค่ะ” อนงค์วดีเอ่ยขึ้น
“แหม มองเท่าไหร่ก็ไม่มีเค้าคุณย่า” มนัสวีร์บอก
อนงค์วดีอธิบาย “คุณย่าน้อยเสียตั้งแต่ยังสาว อายุเพิ่ง 16 หรือ 17”
มนัสวีร์จ้องมองนิ่งอยู่ เหมือนนัยน์ตาจะพร่าพราย ถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใช่ตัวเอง
“เป็นอะไรเสียครับ”
อนงค์วดีบอก “ท่านตายในน้ำค่ะ”
มนัสวีร์อึ้ง “ตกน้ำ”
อนงค์วดีเสริม “บางคนบอกว่าท่านตั้งใจ”
“เพราะอะไร”
“เพราะรักไม่สมหวัง” อนงค์วดีว่า
“โถ....” เสียงมนัสวีร์อ่อนเบาด้วยอารมณ์เศร้า
ย่าน้อยหน้าเศร้า ตามมนัสวีร์ อนงค์วดีพาเดินเลยไป
“เชิญค่ะ”
มนัสวีร์ตามไป เชษฐา เดินเหมือนเลื่อนลอยนิดๆ สีหน้าคุณชวดเพ่งมอง...เรียก
เชษฐาหยุดกึก แล้วหันไปทางรูปคุณชวดประยงค์
ประยงค์ จ้องมอง แล้วยิ้มให้เชษฐาเชษฐารู้สึกงงงวยประหลาด เขามองจ้อง ยิ้มตอบ ประยงค์ ยิ้มกว้างขึ้นอีก
เชษฐานัยน์ตาพร่าพราย
“คุณชวดของดิฉันค่ะ” อนงค์วดีบอก
เชษฐา สั่นหน้านิดๆ มองรูปประยงค์ รูปเป็นปกติทุกอย่าง เป็นรูปวาด
อนงค์วดีบอกต่อ “คุณชวดชื่อประยงค์ค่ะ”
“คุณชวดหรือครับ” เชษฐาแปลกใจ
“รูปโน้นยังแค่คุณย่า นี่คุณชวดเลยหรือ” มนัสวีร์พูดขำๆ
“เป็นคุณชวดที่น่ารักมาก” เชษฐายิ้ม
“เชิญค่ะ พาไปห้องคุณเชษฐาก่อน”
ทั้งหมดเดินผ่านไป คุณชวด หรือ ประยงค์ เลื่อนสายตามองตาม
สามคนยืนมองสภาพห้อง เชษฐาเพ่งมอง ที่กลางห้องมีเตียงโบราณเตี้ยๆ วางอยู่ เป็นเตียงเท้าสิงห์ พนักสลักลวดลาย มุ้งผ้าโปร่งตาพริกไทยสีค่อนข้างเก่า ตู้ โต๊ะ เครื่องเรือนเป็นของโบราณแท้
“ห้องผมหรือครับ” เชษฐาถาม
อนงค์วดีส่งเสื้อผ้าให้ “ถ้าไม่รังเกียจ”
เชษฐารับเสื้อผ้ามา สูดดมกลิ่น “แค่กลิ่นก็ข่มขวัญผมแล้ว ผมคืน ไม่ใช้...ไม่ใช่เหม็นนะครับแต่กลิ่นแปลกๆครับ ผม...เอ้อ...ขอโทษนะครับ”
“ห้องน้ำอยู่ทางนี้ค่ะ เมื่อก่อนเป็นห้องอบผ้าม่วง ดัดแปลงเป็นห้องน้ำ”
“อบผ้าม่วงหรือครับ” มนัสวีร์ฉงน
“ค่ะ ผ้าม่วงที่ผู้ชายนุ่งกับเสื้อราชปะแตน ซักแล้วเอามาอบให้หอม”
“ใช้อะไรอบหรือครับ” มนัสวีร์ซักต่อ
“ดอกชะลูดค่ะ เป็นดอกไม้หอม ใช้อบผ้ากันทุกบ้านค่ะสมัยก่อน”
“ผมว่าการทดลองเริ่มต้นเถอะครับ ดึกมากแล้ว” เชษฐาขัดขึ้น
“ได้ค่ะ คุณมนัสวีร์ เชิญทางนี้”
อนงค์วดี มนัสวีร์อยู่ในห้องย่าน้อยแล้ว
“ห้องใครครับ” มนัสวีร์ถาม
“ห้องเดิมคุณย่าน้อยค่ะ”
“ไม่มีห้องอื่นแล้วหรือครับ”
“ห้องคุณปู่ทวด...นอนมั้ยคะ”
“เอ้อ นอนกับคุณย่าน้อยท่าจะดีกว่า” มนัสวีร์บอกท่าทีของเขาน่าขัน
ภายในห้องนอนเชษฐาหลับสนิทในเสื้อผ้าชุดเดิม เขานอนขดตัวเพราะหนาว ทั้งห้องมืดสนิท เชษฐาพลิกตัวช้าๆ หันกลับมาอีกทาง ลืมตาขึ้นแล้วสีหน้าแปลกใจ นัยน์ตาเบิกกว้าง คล้ายเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดล้ำบางอย่าง
เชษฐาในชุดแต่งตัวปัจจุบันเห็นตัวเอง ยืนอยู่หัวบันได เขามองลงไปยังแชนเดอร์เลียร์ซึ่งค่อยๆ หรี่แสงลงจนดับสนิท โถงหน้าบันไดมืดไปทั้งห้อง เชษฐาไหวตัวนิดๆ แล้วไม่นาน แสงประทีปอันเกิดจากเทียนและไส้น้ำมันในตะเกียง และโคมอัจกลับที่ผนังห้องและเพดาน ก็ค่อยๆ มลังเมลืองขึ้น ทีละน้อยๆ จนสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง ลมพัดโชยมา เปลวเทียนก็วับแวม เกิดเงาวูบไหวไปตามแรงลม
จากห้องเก่า แลดูสกปรก หยากไย่เต็ม ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็น ห้องโถงที่สวยงาม สว่างไสว เชษฐากำลังยืนงงจังงังกับภาพตรงหน้า
มีลมกระโชกมาอย่างแรง เปลวเทียนวูบวาบไปวูบวาบมา หรี่แสงลงจนใกล้ดับ ทั่วทั้งห้องมืดสลัวลง แสงเทียนที่ใกล้ดับ วับแวมเหมือนดวงดาวที่เปล่งแสง ระยิบๆ อยู่กลางท้องฟ้าที่มืดมิด
เชษฐามองอย่างตะลึงงัน เขาเห็นดวงดาวระยิบระยับในความมืด และแสงก็มลังเมลืองขึ้นอีกคราหนึ่ง
คราวนี้ ในห้องโถง...มีผู้คนยืนกันอยู่เต็ม ทั้งหญิงชาย ท่าทางนุ่มนวล สง่างาม ดูเหมือนคนธรรมดา แต่ละท่านแต่งกายโบราณตามภาพที่แขวนอยู่ในคฤหาสน์สิงหมนตรี
ทุกคนยิ้มแย้ม พูดคุยทักทายกัน สักพักทุกคนหันไป แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด เมื่อคุณประยงค์ก้าวออกมาจากกรอบรูป ด้วยท่าทีสง่างาม สวย...หวาน ใบหน้าหล่อนยิ้มแย้ม ย่าน้อย ก้าวตามมาอีกคน คุณสวาสดิ์ก้าวออกมาไล่ๆ กัน
ย่าน้อยยื่นมือให้สวาสดิ์ สองคนจูงมือกันเดินมาด้านหลังประยงค์ ผ่านมาทักทายทุกคน ผู้คนส่วนใหญ่ที่อายุน้อยกว่าพากันไหว้ทักทายประยงค์ ด้วยท่าทีนอบน้อม
ประยงค์ไหว้ผู้ใหญ่ ขณะเดินมาถึงตีนบันได แล้วหยุดสักครู่ เหลียวมองขึ้นมา
ย่าน้อยและสวาสดิ์ เดินเลยไปสมทบกับคนอื่น ประยงค์มองเชษฐาเขม็ง ทั้งสองสบตากันเต็มแรง เชษฐายืนงวยงง ประยงค์ยิ้มหวานให้เขา
ในเวลาเดียวกันที่เชษฐาฝันอยู่นั้น อนงค์วดียังคงนอนหลับอยู่ในห้อง แล้วสักครู่ก็พลิกตัวไปอีกทาง ยังหลับตาอยู่เช่นเดิม
อนงค์วดีฝันอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับเชษฐาอย่างน่าอัศจรรย์ หล่อนยืนอยู่บนบันไดขั้นสูงกว่าเชษฐา 2 ขั้น มองเชษฐาและประยงค์ที่จ้องตากันอยู่ แล้วประยงค์ก็ก้าวขึ้นบันไดมา จดสายตามองจ้องเชษฐาอยู่ตลอดเวลา แถมยังยิ้มหวานให้
แต่ทันใด พอมองเลยเชษฐาขึ้นไปเห็นอนงค์วดี ประยงค์ก็หยุดเดิน เปลี่ยนสายตาเป็นดุดัน เชษฐาเหลียวหันไปมองตาม
อนงค์วดีเดินลงบันไดมองหาเชษฐา แววตาเชษฐาที่มองตามคิดสงสารอยู่ในใจอย่างประหลาด
“คุณอนงค์”
อนงค์วดีหยุด มองสบตาเชษฐา แล้วหันไปทางอื่นอย่างหมางเมิน
“แง่งอนตามเคย มาเถอะค่ะเจ้าคุณอย่าสนใจคนงอนจนเกินงามเลย” คุณชวด หรือ ประยงค์บอก
เชษฐาไม่เข้าใจแต่สบตาประยงค์ แล้วเท้าก้าวตามไปอย่างไม่รู้ตัว ประยงค์เดินลงมา จังหวะนี้เชษฐาหันไปมองอนงค์วดี เห็นสีหน้าหล่อน ทั้งน้อยใจ เสียใจ เชษฐาหยุดมอง เสียงประยงค์เอ่ยขึ้น
“วันนี้เป็นวันชุมนุมญาติตระกูลสิงหมนตรี ถึงเธอสองคนไม่ใช่คนในตระกูลนี้ แต่เราก็ต้อนรับเธอได้”
อ่านต่อหน้า 3
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
จบถ้อยคำพูดดังกล่าว ประยงค์เหลียวมองมายังอนงค์วดีด้วยสายตาลึกล้ำมาก
“ชื่อแม่อรรึ”
เสียงคำว่า “แม่อร” ดังสะท้อนไปสะท้อนมา
เท้าของเชษฐาก้าวลงมาจากบันได เช่นเดียวกับเท้าของอนงค์วดีที่ก้าวตามลงมา แต่ภาพที่เกิดขึ้นกลับเป็นว่าเจ้าคุณ และ แม่อร ก้าวเดินลงไปที่คุณประยงค์ที่ยืนรอที่บันได
อรยอบตัวเล็กน้อย ไปยืนห่างออกไปหน่อย
“เจ้าคุณพ่อกำลังรออยู่ค่ะ เจ้าคุณ ไปกราบท่านเถอะ”
เจ้าคุณยิ้มน้อยๆ รับคำ เดินตามไปสองสามก้าว แล้วหยุด “เดี๋ยวเถอะครับคุณประยงค์”
ประยงค์หันมาหา “มีอะไร” น้ำเสียงเข้มขึ้น
เจ้าคุณหันมาทางอร “อร ไปกราบท่านเจ้าพระยาด้วยกัน”
ประยงค์มองหน้าเจ้าคุณ ด้วยสายตาตัดพ้อ เสียใจลึกล้ำ
“มาสิ แม่อร”
ทั้งสามคนเดินไปด้วยกัน
ที่ด้านบนของบันได เชษฐา และอนงค์วดียืนอยู่ที่เดิม ท่าเดิม สีหน้า และแววตางวยงง คล้ายคนที่อยู่ในภวังค์ เอาแต่ก็จ้องจับที่เหตุการณ์ข้างล่าง
วงมโหรีเล่นเพลง “บุหลันลอยเลื่อน” มีนักร้องด้วยก็ดี
เจ้าคุณกราบเจ้าพระยาสีหศักดิ์ฤทธิรงค์
ท่านเจ้าพระยานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนตั่ง มีคนรายล้อม เป็นหมู่ญาติๆ ทั้งหญิงและชาย นั่งลดหลั่นจากระดับผู้ใหญ่ รุ่นลูก รุ่นหลาน เหมือนในภาพหมู่บรรพบุรุษที่แขวนอยู่ในคฤหาสน์สิงหมนตรียังไงยังงั้น
“ยินดีด้วย พระยาอักษรธำรง เสนาบดีกระทรวงธรรมการคนใหม่”
“เป็นพระเดชพระคุณขอรับกระผม” เจ้าคุณตอบ
“ได้ยินว่าเธอทำผลงานด้านการศึกษาไว้ดีเยี่ยมที่เมืองโน้น”
“พอประมาณขอรับกระผม ข้าราชการที่โน่นสามัคคีกันดีมากกว่า”
“ต่อไปนี้ฉันก็เรียกเธอว่าพ่อปราชญ์ไม่ได้แล้วสิ” ท่านเจ้าพระยาเย้า
“กระผมยังเป็นเด็กที่เติบโตในบ้านสิงหมนตรีนี้ ด้วยความเมตตาของท่านเจ้าพระยากระผมไม่เคยลืมขอรับ”
“เธอเติบโตในด้วยอาหารด้วยน้ำด้วยอากาศของบ้านนี้ แต่ความรู้ความฉลาดปราดเปรื่อง จนได้เป็นพระยาที่อายุน้อยที่สุด....มันเป็นของเธอพ่อปราชญ์ สมชื่อที่พ่อแม่ของเธอตั้งไว้ ฉันยินดีกับเธอจริงๆ”
เจ้าคุณกราบลงอีก อย่างซาบซึ้ง
จังหวะนี้ อรมองจ้องภาพตรงหน้า สายตาหวั่นๆ เกรงๆ
เจ้าพระยาสีหศักดิ์ฤทธิรงค์ ค่อยๆ เหลียวหน้ามาทางอร สายตาจ้องมาเต็มๆ
“แล้วนั่นใคร”
ที่ห้องนอนของอนงค์วดียามนั้น หล่อนยังนอนหลับสนิท สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังฝัน ถึงเหตุการณ์เดียวกับเชษฐาอย่างต่อเนื่อง
เสียงท่านเจ้าพระยาถามต่อ “ชื่ออะไรน่ะเรา”
อนงค์วดีซึ่งหลับอยู่ทำปากขมุบขมิบ “ชื่ออรเจ้าค่ะ”
“มาด้วยกันกับพ่อปราชญ์ มาจากเมืองพิษณุโลกรึเจ้า”
อนงค์วดีตอบอีก “เจ้าค่ะ มาจากเมืองพิษณุโลก”
ท่านเจ้าพระยาซัก “เกี่ยวข้องยังไงกับพ่อปราชญ์”
สีหน้าอนงค์วดี เศร้า...หมอง น้ำตาหล่อนค่อยๆ ไหลรินอาบแก้มนวล ทั้งๆ ที่ยังหลับตา เสียงสะอื้นดังมากขึ้น
อนงค์วดีฝันต่อ ว่าเห็นแม่อรยืนอยู่ริมแม่น้ำ ใต้ร่มไม้ใบบัง ในมุมลับตา สีหน้าหมองเศร้า ทอดสายตามองออกไป จนเห็นว่า เจ้าคุณ เดินมากับประยงค์ สายตาเจ้าคุณลึกซึ้งมองประยงค์ไม่วางตา สองคนเดินมุ่งหน้าตรงเข้ามา
อรทำตัวลีบเล็ก พร้อมกับเคลื่อนตัวหลบในเงามืดยิ่งขึ้น
ทว่า เจ้าคุณกลับประคับประคองให้ประยงค์เดินหลีกก้อนหิน จนกระทั่งมายืนใกล้ๆ กับอร
“เดือนหงาย ไม่มีเมฆบังอย่างนี้งามเหลือเกิน” ประยงค์ชี้ชวน
สองคนแหงนดูพระจันทร์บนท้องฟ้า แลเห็นพระจันทร์แจ่มกระจ่างตา อรเองก็แหงนดูดวงจันทร์เช่นกัน
แต่ภาพที่อรเห็นนั้น คือดวงจันทร์ที่มีเมฆหมอกบดบัง และยังมีกิ่งไม้ใบไม้บดบังอีกด้วย
“ลมพัดเย็นสบาย”
“หอมกลิ่นประยงค์ชื่นใจ” สุ้มเสียงเจ้าคุณกรุ้มกริ่ม
“ที่ไหนกันคะ” ประยงค์เขิน
“ใกล้ๆ นี้เอง...ไม่เคยเห็นดอกประยงค์ที่ไหนงามเท่า”
“อุ๊ย...อย่าปากหวาน เดี๋ยวแม่อรได้ยินเจ้าคุณจะลำบากนะคะ” ประยงค์พูดประโยคนี้ชัดๆ ด้วยสีหน้ายั่วยวน
ถ้อยคำนั้นกระแทกเข้าหน้าของอรทันที
“แม่อรหรือใครที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าคุณประยงค์” เจ้าคุณว่า
สองร่างเคลื่อนเข้าชิดกัน แขนกระหวัดเข้าหากัน เจ้าคุณก้มลงจูบแก้มประยงค์
อรมองจ้อง นัยน์ตาพร่าพรายไปด้วยน้ำตา หันหลังกลับเดินจากไป
เจ้าคุณยังจูบคุณประยงค์อย่างนุ่มนวล รักใคร่ สองมือประคองหน้าประยงค์ สองคนมองตากันนิ่ง
“ผมทำผิดกับคุณประยงค์เพราะห่างไกลกันแต่ไม่เคยคลายความรักคุณเลย จะรักตลอดไป”
“รักของเจ้าคุณเป็นสอง แต่รักของฉันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น”
“ชื่นใจ”
“กลับมาบ้านของเรานะคะ....พ่อปราชญ์” ประยงค์เชื้อชวน
ที่ห้องนอนเชษฐายามนั้น เชษฐาพึมพำออกมาเบาๆ “พ่อปราชญ์” ขณะยังหลับตาและฝันต่อ
ในฝันของเชษฐา เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องโถง เมื่อครั้งอดีต ก่อน ปราชญ์เด็กหนุ่มวัยรุ่น อายุประมาณ 20 ปี และนายเปรื่องผู้เป็นพ่อ นั่งรออยู่ในโถงบ้านสีหมนตรี
สักครู่เจ้าพระยาสีหศักดิ์ฤทธิรงค์ซึ่งในตอนนั้นยังดำรงยศเป็นแค่พระยา เดินออกมา ประยงค์ยังเป็นเพียงเด็กสาว แต่งตัวในชุดอยู่กับบ้านง่ายๆ นุ่งโจง เดินตามบิดามาด้วยท่าทางสง่ามีความมั่นใจสูง
“ไอ้เปรื่อง เอาลูกมาให้ข้าเลี้ยงรึ”
“ขอรับท่าน ขอให้เรียนหนังสือกับรับใช้แล้วแต่ท่านจะบัญชา”
“เออ....ดูหน้าตาหน่วยก้านดี ไม่อยากให้ทำนาเหมือนเอ็งว่างั้นเถอะ อายุเท่าไหร่ล่ะไอ้หนุ่ม”
ปราชญ์ก้มหน้าประหม่าไม่กล้าตอบ
“สิบหกย่างสิบเจ็ดขอรับ” เปรื่องตอบแทน
ท่านเจ้าคุณกับนายเปรื่องโต้ตอบกันต่อไปเบาๆ ประมาณว่า เมียเอ็งเป็นยังไงบ้าง...เปรื่องตอบไปว่า ก็สามวันดีสี่วันไข้ขอรับ...เอ็งมีลูกกี่คนนะ ลูกชายคนเดียวนี่แหละขอรับ แม่มันออดๆแอดๆ มีลูกยาก
ระหว่างนั้นปราชญ์สบตาประยงค์ แต่ประยงค์ถลึงตาใส่แล้วแกล้งทำแล้วเมินไปอีกทาง ปราชญ์ตกใจก้มหน้านิ่ง...ประหม่า
“อ้อ....ยายหนู ลูกสาวฉันไอ้เปรื่อง”
“โตขึ้นแล้วงามขอรับคุณหนู เห็นมาตั้งแต่ยังวิ่งเล่น” เปรื่องชม
“เขาชื่อประยงค์ จำไว้นะ”
เชษฐาที่หลับอยู่ในห้องนอนพึมพำออกมา
“ประยงค์....คุณประยงค์”
แล้วเชษฐาลืมตาขึ้น
ตรงบริเวณโถงบันได ยามเช้าตรู่ ทุกคนใส่เสื้อชุดเก่าตั้งแต่เมื่อวาน เชษฐาซอยเท้าลงบันไดมาเร็วรี่ เห็น มนัสวีร์ และอนงค์วดี สองคนยืนพูดกันเบาๆ หันมาดู
“Good Morning” เชษฐาทัก
อนงค์วดีมองมาด้วยสายตาประหลาด เชษฐาก็มองตอบ ด้วยสายตาเดียวกัน มนัสวีร์ กระแอมเบาๆ
“เอ้อ...หลับสบายดีมั้ยคุณอนงค์วดี”
“คุณเชษฐาล่ะคะ”
“สบายครับ...หลับสนิททั้งคืน”
“ดิฉัน...ก็หลับสบายค่ะ” อนงค์วดีปด
เชษฐาถาม “ไม่มีฝัน ไม่มีละเมอ ไม่มีเจออะไรหรือ”
“แหม....ดิฉันเป็นเจ้าของบ้านนะคะ ถ้าจะเจออะไรก็คงคนอื่นเจอล่ะค่ะ
“ผมก็อยากเจอเหมือนกัน แต่ไม่มีเลย งั้นก็สรุปดีกว่า”
อนงค์วดีหน้าเสีย
“ว่าที่เราลงทุนนอนค้างที่นี่ทั้งคืนเพราะว่าอาจจะมีใครบางคนมายืนยันกับผมว่าผมไม่น่าจะทุบตึกนี้....แต่นี่...ไม่มี...”
อนงค์รู้สึกใจหาย
“เร็วๆ เถอะน่า คุณอนงค์กำลังจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
อนงค์วดีมองมนัสวีร์อย่างขอบคุณ
“ใช่มั้ยครับ” เชษฐาถาม
“ค่ะ ดิฉันเพียงแต่ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ อะไรก็อะไรไปเสียเลยดีกว่า”
เชษฐาที่มองอนงค์อยู่ตลอดเวลาด้วยสายตาคมกริบ ต่อคำทันที “อะไรที่ว่านั้นก็คือ ผมก็ทุบตึกนี้ได้ตามแผนเดิม”
อนงค์วดีรู้สึกวาบหวิว ใจหายวับ แต่ฝืนใจฝืนกายอย่างเต็มที่
“เป็นข้อสรุปที่ยุติธรรมนะครับ
“ค่ะ”
“ผมไม่ได้ละเลย ความประสงค์ของคุณนะ”
“ไม่ค่ะ” อนงค์วดีมองจ้อง และน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา
“คุณแน่ใจ คุณอนงค์วดี” เชษฐาถาม
“แน่...ใจ” อนงค์วดีตอบ น้ำตาร่วงทันที
อนงค์วดีไม่พูดต่อ เดินจ้ำออกไปจากตึกทันที
“โธ่เอ๊ย แกก้อ...ย้ำถามเค้าทำไมจนน้ำตาเต็มตาขนาดนั้น”
“อยากดูน้ำตาเขาร่วงว่ะ...สวยดี หยด....เผาะ....เผาะ”
“แกมันซาดิสม์มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น”
“ใช่...ชอบ”
เสียงมนัสวีร์อ่อนใจมาก แล้วเดินออกไปอีกคน เชษฐาหัวเราะเสียงดังพอสมควรเดินตามหลัง มนัสวีร์
ผ่านรูปคุณชวดประยงค์ไปแล้ว เชษฐาเดินผ่าน แล้วเหมือนมีอะไรบางอย่าง ดึงตัวเขาไว้จนเดินต่อไม่ได้ ต้องหยุดอยู่หน้ารูปนั้น ในรูปคุณประยงค์จ้องเขม็งมาร้องเรียก
“เจ้าคุณขา”
เชษฐาหันขวับไป สายตาพุ่งตรงไปที่รูปในกรอบงามล้ำ
“ใช่...ใช่จริงๆ” เขาครางเบาๆ “คุณประยงค์”
ด้านอนงค์ยืนหันหลังให้มนัสวีร์ มองตึกทั้งหลัง ใจหายมากขึ้นทุกที น้ำตาก็ไหลออกมาเองแบบควบคุมไม่ได้
“คุณอนงค์วดีครับ”
อนงค์วดีเช็ดน้ำตาง่วนอยู่
“ตัดใจนะครับ”
อนงค์วดียังเช็ดน้ำตาอยู่
“การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นครับไม่ช้าก็เร็ว” มนัสวีร์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันมี” หยิบกระดาษทิชชู เช็ดน้ำตา “ดิฉันยังหวังจนวินาทีสุดท้ายแม้แต่ที่คุณเชษฐาพูดว่าจะสรุปดิฉันก็ยังหวัง”
มนัสวีร์เก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋า มองอย่างเห็นใจ “ไม่สมหวังก็ผิดหวังครับ”
อนงค์วดีหัวเราะขำออกมาจนได้ “ค่ะ เพราะการตัดสินใจไม่ใช่ของเรา เราไม่มีสิทธิ์แล้ว”
ฟากเชษฐาแหงนเงยจ้องจับอยู่ที่รูปคุณประยงค์อย่างพินิจพิเคราะห์ ภาพความคิดตอนฝันเห็นประยงค์ ตอนรุ่นสาว มองค้อนๆ น่ารักๆ ผุดขึ้นมาแว่บนั้น
เชษฐามองจ้อง เหตุการณ์ในความฝันตอนที่เชษฐาจูบประยงค์ผุดขึ้นมาอีก
ใบหน้าประยงค์ในรูปมองจ้องมาที่เชษฐา นัยน์ตาคู่นั้นมีความรักลึกซึ้งมาก เชษฐารู้สึกวูบวาบ เหมือนจะทรงตัวไม่ได้
เสียงประยงค์ดังแผ่วๆ “ทุบตึก...ฉันจะอยู่ที่ไหน”
เชษฐาตกใจ คิดว่าตัวเองหูฝาด เหลียวมองไปรอบๆตัว
“อย่าทุบนะคะเจ้าคุณ”
เชษฐาถอยหลังออกมา สองสามก้าว มองจ้องที่รูปคุณประยงค์แน่นิ่ง คำพูดทั้งสองประโยคนั้น เชษฐาไม่เห็นจังๆ จากภาพ
เขาคิดว่าเป็นเสียงดังมาจากที่อื่น!
อ่านต่อหน้า 4
ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
เชษฐาก้าวออกมาหน้าตึก ด้วยสีหน้านิ่ง สองคนหันไปมอง เชษฐามองมาหน้านิ่ง จนเดาไม่ถูกว่าคิดอะไร
พระอาทิตย์ลาฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เวลาเคลื่อนคล้อยจากเช้าเป็นเย็นและค่ำในตอนนี้ ปู่กลับเดินตัวงอ ก้มหน้าเศร้าหมองอยู่หน้ารูป เงยหน้ามองคุณประยงค์ของมัน
“คุณท่านคนใหญ่ขอรับ...ท่านเจ้าคุณจะทุบตึกนี้นะขอรับ”
ภาพคุณประยงค์ในกรอบรูปค่อยๆ จางลง...จางลง จนหายไป
ปู่กลับหันมาอีกทาง รู้ว่าจะพบอยู่ทางนี้ “คุณท่านขอรับ”
ทุกอย่างในห้องโถงยามนี้สวยงามเต็มรูปแบบ คุณประยงค์นั่งอย่างสง่างามที่เก้าอี้ตัวสวย แต่สีหน้ายังอมความวิตกกังวลอยู่
“เสียดาย...ถ้าทุบคุณท่านกับคุณน้อย...”
สักพัก ย่าน้อยก้าวลงมา แล้วเดินอย่างคล่องแคล่วว่องไว สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ตรงเข้ามาที่คุณประยงค์
“แม่น้อย ไอ้กลับมันกำลังสงสัยว่าถ้าท่านเจ้าคุณทุบตึกนี้ทิ้ง เราสองคนจะไปอยู่ทีไหน”
“น้อยก็ไปอยู่ที่ที่น้อยตาย” ย่าน้อยบอก
พริบตานั้น ผีคุณประยงค์ และ ผีย่าน้อย วูบมายืนอยู่ริมน้ำอย่างรวดเร็วๆ ปู่กลับโผล่จากตึกเดินกระย่องกระแย่งตามมา
“น้อยตายตรงนี้ น้อยไม่กลัวหรอกว่าจะไม่มีที่อยู่” ย่าน้อยกระโดดตูมลงไป หายวูบไปใต้น้ำทันที
ปู่กลับเดินเร็วเท่าทีจะเร็วได้ จนมาถึงพอดี “คุณน้อย...เล่นสนุกอีกแล้วล่ะสิ” น้ำเสียงชายชราบ่นๆ
“ข้าล่ะเบื่อหน่ายแม่น้อยเสียเหลือเกิน แก่นกะโหลกกะลาจริงเชียว ตั้งแต่ยังไม่ตาย ตายแล้วยังไม่วาย” คุณประยงค์ว่า
“ท่านเจ้าคุณคงไม่กลับมา....ไอ้กลับคิดถึงท่าน ท่านแสนดี”
คุณประยงค์หน้าหมองลง “จริงสิ ท่านดี แต่ท่านก็ทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจได้ถึงที่สุด”
“ท่านไม่ผิดนี่ขอรับคุณท่านคนใหญ่”
“ไอ้กลับ มึงว่าใครผิด ฮะ” ประยงค์ฉุนกึก สะบัดตัวน้ำเสียงเป็นเกรี้ยวกราดทันที “พูดออกมาเดี๋ยวนี้นะมึง”
พร้อมกับเดินตรงเข้าหาปู่กลับ อย่างเอาเรื่อง
ปู่กลับถอยหนีท่าทีงกๆ เงิ่นๆ “ทุกคนก็ว่าตัวเองไม่ผิด”
“มึงหมายจะพูดว่ายังไง ไอ้กลับ ไอ้เฒ่าสถุล มึงจะว่ากูผิดใช่มั้ย กูผิดรึกูมาก่อน ทำไมกูต้องเป็นที่สอง ท่านเป็นของกูก่อน ทำไมกูต้องเสียท่านให้อีนังเด็กบ้านนอกคนนั้น”
คุณประยงค์พูดพลางเดินดาหน้าเข้าหาปู่กลับ ที่ถอยหนีจนเซ นัยน์ตาชายชรา หวาดหวั่นกลัวสุดขีด
อารมณ์ผีคุณประยงค์ มาถึงที่สุดของอารมณ์ ใบหน้ากลายเป็นผี และพุ่งตรงเข้าหาปู่กลับ จนร่างกระเด็นไปทั้งตัว
คุณประยงค์ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าปู่กลับ เสียงกลายเป็นแหบพร่าด้วยอารมณ์โกรธจัด “คนที่ผิดก็มีอีทิ้งเมียมึงอีกคน กูจะบอกให้” สองมือคุณประยงค์ผลักปู่กลับเต็มแรง จนตัวกระเด็นกลิ้งเกลือก “เพราะอีทิ้งเป็นคนลงมือ มันเป็นคนทำ มันเป็นคน.....ฆ่า...”
คุณประยงค์ออกฤทธิ์ตามแรงโทสะ แต่เห็นเพียงว่า ใบหน้าปู่กลับโขกกับก้อนหิน ร่างกระเด็นไปจนก้นกระแทกพื้น และไหล่กระแทกต้นไม้โครมใหญ่ สองมือเหี่ยวแห้งเหนี่ยวกิ่งไม้จนเลือดไหลโทรม
สภาพที่เห็นปู่กลับยับเยินไปทั้งตัว คุณประยงค์สะใจ จากใบหน้าผีร้ายกลับมาเป็นใบหน้าปกติ
“มึงจำไว้ไอ้กลับ...อย่าบังอาจกะกู ถ้าไม่เห็นใจกู ก็อย่าซ้ำเติม”
ปู่กลับก้มหน้า กราบกับพื้น น้ำตาไหลพรากๆ สะอึกสะอื้น น้ำมูกน้ำลายไหลปนกันน่าเวทนา
ประยงค์ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ย่าน้อย ยืนตัวเปียกปอน ผมเผ้าลู่น้ำหยดรินลงมา
“คุณน้อย”
“ถูกคุณอาลงมือรึ ไม่ตายหรอกน่า ไอ้กลับเอ็งมันหัวแข็ง หนังเหนียว เหี่ยวไปทั้งตัวแต่ยังไม่ยอมตายจะร้อยขวบแล้วนะเอ็งน่ะ” ย่าน้อยพูดเหมือนเป็นเหตุการณ์แสนชาชิน
“ขอรับ”
“ตอนนั้นอีทิ้งเมียเอ็งมันไม่น่าทิ้งเอ็งไปเลย...มันไปมีผัวใหม่หรือวะ” ย่าน้อยถาม
ปู่กลับอัดอั้นขึ้นมาในใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีก จนลมตีสว้านขึ้นมา
“เปล่า...ขอรับ....เปล่า มัน...มันถูก....ถูกคุณท่านคนใหญ่บังคับ...บังคับให้...ให้”
ชายชราอายุยืน ก้มหน้าร้องไห้ไปกับผืนดิน
“คุณอาประยงค์บังคับให้ทำอะไร”
ปู่กลับ เงยหน้ามองย่าน้อย ใบหน้าเหยเก เบะปาก น้ำตาไหลอาบหน้า ไม่ตอบ
ปู่กลับซมซาน กลับมาบ้าน ซึ่งเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ อยู่ท่ามกลางแมกไม้ อาการอย่างคนเจ็บหนัก คลานขึ้นเรือน เปิดประตู เจอคุณประยงค์ ที่สภาพร่างกายเป็นผีเต็มขั้น ใบหน้าซีดขาว น่ากลัว แต่ไม่ยับเยินเลอะเทอะ คุณประยงค์นั่งคอตกท่าทางหม่นหมองอยู่ และค่อยๆ เหลียวหน้ามา น้ำตาอาบหน้า
ปู่กลับลงนั่งยองๆ ไหว้ท่วมหัว “คุณท่าน...”
“ไอ้กลับ ข้าไม่ได้บังคับอีทิ้ง เอ็งอย่าใส่ไคล้ข้า”
ปู่กลับหน้าสลด พูดไม่ออก ความจริงรู้อยู่เต็มอก
“อีทิ้งเป็นบ่าวสนิทของข้า ข้าไม่บังคับให้มันทำบาปทำกรรมดอกนะไอ้กลับ อย่าเข้าใจข้าผิด”
ปู่กลับนิ่ง สายตาเสียใจลึกล้ำ มองสบตาประยงค์ บอกอย่างชัดเจนในสายตา
ประยงค์รู้ความหมาย “ไม่เชื่อก็ตามใจเอ็ง” ร่างประยงค์วูบหายไปทันที
“อีทิ้ง...ข้าคิดถึง เอ็งเหลือเกิน”
ภาพความทรงจำครั้งเก่าผุดขึ้นในความคิดของชายชรา
“อีทิ้ง ข้ารู้ว่าคุณท่านคนใหญ่บังคับเอ็ง...จนเอ็งตาย ศพเอ็งข้าก็ไม่เห็น”
ปู่กลับร้องไห้เสียงดังอย่างขมขื่นใจ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ที่บ้านหลังนี้เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ปู่กลับยังหนุ่มแน่น วัยประมาณ 30 ปี
อีทิ้ง บ่าวของคุณประยงค์ คุยอยู่กับไอ้กลับ กิริยาท่าทางน่ารักน่าใคร่ดี ทิ้งเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน หัวเราะเสียงดัง ปากกว้างๆ มันนั่งหมอบ และทำท่าหยอกล้อ กับไอ้กลับ
ที่ทำงานของเชษฐาเป็นออฟฟิศขนาดย่อมๆ เชษฐามีมรดกเป็นกิจการ 2-3 อย่าง คือ
กิจการโรงแรม เป็นโรงแรมบูธีค ขนาดปานกลาง ที่สวยเท่และทันสมัย ตบแต่งเรียบง่าย ส่วนอีกอย่างกิจการสโมสรราตรี และสุดท้าย คือ กิจการร้านอาหารไทยที่มีสาขาหลายแห่ง ชื่อร้าน “รสไทย”
มนัสวีร์ ก็เป็นทนายความของสำนักงานผลประโยชน์แห่งนี้ของเชษฐา
เห็นป้ายเด่นสะดุดตา สำนักงานผลประโยชน์ “เกรียงไกรฤทธิ์” ส่วนภายในห้องทำงานเชษฐา เขานั่งฟังเลขารุ่นพี่ ชื่อโสน สาวใหญ่โสด แต่งตัวเก๋ ใส่แว่น เป็นคนซื่อสัตย์ แต่ปากร้าย เถรตรงมาก ที่อ่านรายงานให้ฟัง
“เรื่องที่ 2 การเข้าออกของพนักงานในรอบปีที่ผ่านมา ลาออก สโมสรราตรี พนักงานลาออก 2 คน เพราะไปเรียนปริญญาโทต่อ ร้านอาหารรสไทยทุกสาขาไม่มีมีพนักงานออกเลยแม้แต่คนเดียว โรงแรมพิมานกรุงเทพ พนักงานลาออกจำนวน....เอ๊ะ พิมพ์ผิดรึเปล่าเนี่ย 6 คน ไม่น่าถึง ส่วนโรงแรมพิมานคีรี เขาใหญ่ ไม่มีพนักงานลาออกเลย ต่อไปเรื่องการรับพนักงานใหม่ สโมสรราตรี”
โสนมองเชษฐา ที่ตอนแรกก็ฟังดีๆ แต่สักครู่ก็ครุ่นคิดเหตุการณ์เมื่อคืน ภาพฝัน แวบเข้ามาหลอน เป็นฉากๆ จากภาพตัวเขาเองกับแม่อรยืนบนบันได ดูหมู่มวลในห้องโถง และภาพท่านเจ้าพระยาผุดขึ้นตามมา สุดท้ายเป็นภาพ ตัวเองกับคุณประยงค์ตรงริมน้ำ
“คุณหนึ่ง ถ้าไม่ฟังพี่โหนหยุดอ่านนะ” โสนเรียกแทนตัวเองว่า “พี่โหน”
“ขอโทษครับ พี่โหน ผมเผอิญมีเรื่องคิดครับ”
“คุณพ่อคุณหนึ่งสอนเสมอว่า ใครพูดกับเราให้สนใจฟัง เป็นการให้เกียรติคนพูด”
เชษฐาอึ้ง “โห เล่นถึงพ่อเลยหรือครับ พี่โหน”
“พี่โหนทำงานกับท่านมาสามสิบปีก่อนท่านสิ้น ตั้งแต่บริษัทยังเป็นห้องแถวเล็กๆ จนเดี๋ยวนี้มีทั้งกิจการโรงแรม สโมสรราตรี ร้านอาหารกี่สาขาแล้ว เพราะปรัชญาการทำงานของท่าน และพี่โสนก็จำได้ว่าทานสอนคุณหนึ่งตลอดเวลาเพราะเป็นลูกชายคนเดียวแต่...วินาทีนี้ พี่เสียใจ”
“ครับ...พี่โหน ต่อเถอะครับผมขอโทษจริงๆ”
“การลาออกของพนักงาน สโมสรราตรี พนักงานลาออก 2คน...เพราะไปเรียนปริญญา...”
“พี่โหน ขอโทษครับ พี่ต้องอ่านตรงนี้ครับ” เขาชี้ให้ดู “เรื่องลาออกพี่อ่านจบไปแล้วครับ”
“อ้อ จริง เพราะคุณหนึ่งไม่ตั้งใจฟัง พี่เลยอ่านผิด” สาวใหญ่โบ้ย
เชษฐาเหวอมาก “งั้นหรือครับ”
“งั้นสิ”
เชษฐาอ้าปากค้าง มนัสวีร์เปิดประตูเข้ามาพอดี
สองคนเดินมาด้วยกัน ผ่านแผนกที่มีพนักงานนั่ง 2-3 คน คร่ำเคร่งทำบัญชี
“มาได้เวลาพอดี ฉันกำลังถูกพี่โหนเทศน์ยาวเลยว่ะ” เชษฐาว่า
“สมควรแล้ว พี่โหนก็คือภาพจำลองของคุณลุงพ่อแก”
“แกน่าจะเป็นเจ้าของบริษัท”
“ฉัน?”
“ไม่ใช่ พี่โหนสิ ไอ้บ้า”
“ทำอะไรแกถึงดุให้ล่ะ”
“เหม่อ....แกรายงานผลงานไม่ฟัง”
“ถูกแล้ว คุณลุงโกรธนักหนาเรื่องคนพูดแล้วไม่ฟัง เออ แกเหม่อ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนใช่มั้ย”
“แกไม่ฝันเลยหรือ ไอ้นัส”
“ไม่ได้ฝัน แต่ฉันคิดว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ เลยล่ะ”
เชษฐาฉงน “เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันพายเรือเล่นกับผู้หญิงคนหนึ่ง เห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกเหมือนไปจริงๆ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพายกระทบน้ำ”
เชษฐาหยุดกึก “มันเหมือนจริงมาก ฉันยังจำ...” เชษฐาหยุดกึก “ใช่...ฉันก็เหมือนกัน เหมือนไม่ใช่ฝัน”
ภาพตอนเชษฐาจูบคุณประยงค์ผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“จำอะไร” มนัสวีร์สงสัย
“จำ.....กลิ่น”
“กลิ่น?”
“กลิ่นดอกไม้ ใช่สิ มันคือกลิ่นดอกไม้ แต่ไม่รู้ว่าดอกอะไรเท่านั้น”
ภาพฝันเมื่อคืนของมนัสวีร์โผล่เข้ามาตอนนี้
ตรงริมน้ำตอนกลางคืน มนัสวีร์ กับย่าน้อย สองคนค่อยๆ พายเรือออกไปจากฝั่ง ย่าน้อยพาย และนั่งเอียงหน้าไปอีกทาง ผมยาวสลวยปิดแก้มและซีกหน้าไว้ มนัสวีร์มองไม่เห็น
ด้านอนงค์วดี เดินตรวจงาน ในแผนกขนม ซึ่งวันนี้ส่วนใหญ่เป็นขนมฝรั่ง เค้ก และพาย หล่อนเดินดูขนมที่วางเรียงราย แล้วคิดอะไรขึ้นได้
“พี่แต๋วคะ พี่แต๋วทำขนมไทยๆ ได้บ้างมั้ยคะ”
จู่ๆ ภาพแม่อรนั่งทำขนม โรยฝอยทองคล่องแคล่ว ผ่านเข้ามาในห้วงคิดอนงค์วดี แวบหนึ่ง อนงค์วดีหน้าตาฉงนฉงาย
“น้องอนงค์....เป็นอะไรคะ” แต๋ว รุ่นพี่หัวหน้าเชฟขนมถาม
“พี่แต๋วทำได้มั้ยคะ”
“แขกโรงแรมเราเป็นฝรั่งซะเยอะ น้องอนงค์คิดว่าเค้าจะทานได้หรือคะ”
อนงค์วดีนิ่ง ภาพความคิด ตอนแม่อรตักขนมน้ำข้นมีกะทิโรย ส่งให้เจ้าคุณ ผุดขึ้นมา เป็นฉากๆ
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ลานกว้าง บริเวณหลังเรือนที่แม่อรอยู่ แม่อรนั่งทำขนม โรยฝอยทอง ลงในกระทะทองเหลืองใบใหญ่
แม่อรตักขนมใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยกะทิ ส่งให้เจ้าคุณ เหตุการณ์ต่อมา มีบ่าวผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังช่วยทำขนมอยู่
อนงค์วดีถึงบ้านตอนกลางคืน หน้าตาครุ่นคิดตรึกตรอง คิดถึงภาพที่แวบๆ อยู่ในสายตาและห้วงคิดตอนอยู่ที่ทำงาน ปิ่นสุดาวางจานอาหาร
“ลูก.....เอ้าแม่ทำเอง อาหารชาววังเชียวนะ”
“คุณแม่ทำขนมไทยได้มั้ยคะ” อนงค์วดีลงมือทานอาหาร และทานไปตลอดเวลาที่คุยกัน
“ไม่ได้ ไม่ชอบทำ ถามทำไม”
“หนูอยากทำ หนูคิดว่าหนูชอบ...น่าจะชอบน่ะค่ะ หนูจะใส่ในเมนูโรงแรมค่ะ”
ปิ่นสุดาเพ่งมองลูกสาว สีหน้าอนงค์วดี เหมือนลอยไปไกลกว่า
“หนู...ยายหนู”
“หนูจะไปเรียนทำขนมที่ไหนดีคะ คุณแม่”
“ก่อนไปเรื่องขนม ยังไม่บอกแม่ว่าตกลงคุณเชษฐาเขาจะทุบตึกทิ้งรึเปล่า”
อนงค์วดีอารมณ์ขุ่น ลุกขึ้นเดินไปทันที
“หนูไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก เขาจะทุบหรือไม่ทุบเรื่องของเขา หนูไม่สนใจอีกแล้ว”
“ทำไม....ถึงเขาจะทุบเขาก็คงพูดกับเราดีๆ ทำไมหนูถึงโกรธเคืองเขาขนาดนั้น มีเรื่องอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ย”
อนงค์วดีจ้องหน้าแม่...นิ่ง...ไม่รู้จะตอบยังไง
“ยายหนู...” ปิ่นสุดาเรียกเป็นเชิงถาม
อนงค์วดีถอนหายใจยาว
“เขาก็พูดดีๆ ค่ะ ว่าเขาจะทุบทิ้งแน่นอน ไม่ใช่บ้านของเราอีกต่อไปแล้ว ทุบก็ทุบไป”
อนงค์วดีรวบช้อนส้อม ดื่มน้ำ จะลุก
ปิ่นสุดาถาม “อิ่ม?”
“ค่ะ”
“อะไรทานนิดเดียว เสียดายที่ต้องทิ้ง” ปิ่นสุดาเห็นอนงค์วดีลุก “เดี๋ยว นั่งลงก่อน คุณเชษฐาเขานอนทั้งคืนเจออะไรรึเปล่า ถึงกลัวจนจะทุบตึกทิ้ง”
คำพูดมารดากระแทกเข้าหน้าอนงค์วดีเต็มแรง หล่อนมองแม่ด้วยสีหน้าฉงน
“ใช่มั้ย...เขาเจอใช่มั้ย”
“เขาว่าไม่เจอ หนูไม่ทราบว่าเขาพูดจริงรึเปล่า”
“แล้วหนูล่ะ หนูเจออะไรบ้างรึเปล่าลูก”
อนงค์วดีย้อนเรียบๆ “หนูควรจะเจออะไรคะคุณแม่”
ปิ่นสุดานิ่งงันไป สีหน้าคล้ายจดจำรำลึกอะไรบางอย่าง
“คุณแม่...”
“แม่เข้าไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ก่อนท้องหนู ก่อนที่คุณพ่อตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะสู้ค่ารักษาดูแลไม่ไหว ก็คุณพ่อน่ะ...อยู่แบบผู้ดีเก่าตลอดชีวิตของท่าน อยู่แบบไหนน่ะหรือ แบบสิงหมนตรีไง”
ภาพเหตุการณ์ในอดีต จากรางๆ เบลอๆ ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในความคิดของปิ่นสุดา
ที่คฤหาสน์สิงหมนตรี เมื่อยามยังงดงามในอดีต ราว 20 กว่าปีมาแล้ว ตึกหลังโอฬาร สว่างไสวด้วยแสงไฟ ภายนอก มีรถยนต์ทันสมัยแห่งยุคนั้นแล่นเข้าจอด ตามกันมาสัก 2-3 คัน
ที่บริเวณท่าน้ำสว่างไสว มีเรือรับ-ส่ง แขกข้ามฟาก ติดป้ายสิงหมนตรี เรือจอดเทียบท่า แขกหนุ่ม-สาว ขึ้นจากเรือ
ผู้คนเดินเข้าโถงตึก ยิ้มแย้มแจ่มใส พนักงานต้อนรับ ยืน ผายมือให้ไปทางประตูใหญ่
ภายในห้องโถง เห็นความโอฬารของห้อง แชนเดอเลียร์กลางห้องวาววับจับตา ผ้าม่านไหมสีทองเป็นประกาย ดอกไม้สดแจกกันใหญ่ยักษ์ ตั้งเด่นอยู่ตามมุมต่างๆ เป็นดอกไม้ไทย ที่เอามาจัดรวมกัน ในนั้นมีมหาหงส์ พุทธรักษา บานไม่รู้โรย มีดอกไม้สด เช่น มะลิเสียบก้านไม้ นอกจากนี้ ยังมีมะลิร้อยเป็นช่อเป็นตุ้ม เป็นวงคล้ายมาลัยประดับเสริม ยิ่งดูงดงาม ตามช่องหน้าต่างและประตู มีอุบะร้อยเป็นรูปต่างๆ แขวนไว้
ในห้องโถงมีรูปของบรรพบุรุษต้นตระกูล และคนอื่นๆ แขวนไว้ครบครันแล้ว
เสียงปิ่นสุดาเล่าบรรยายเหตุการณ์ในความคิดดังขึ้น คลอๆ “คุณพ่อเป็นข้าราชการ เงินเดือนน้อยนิดแต่มีชีวิตแบบคนร่ำรวย งานปาร์ตี้ เต้นรำ สังสรรค์จัดกันไม่เว้น...แทบจะทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จัดงานขนาดนี้ลูกคิดว่าต้องใช้ผู้คนขนาดไหน ใช้เงินขนาดไหน”
มีภาพปรากฏขึ้น เป็นแขกเหรื่อเดินไปมา คุยกัน หัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส
ไวน์ แชมเปญ ถูกเปิด ทีละขวดๆ โดย กลุ่มบริกร เด็กเสิร์ฟส่งเครื่องดื่มให้แขก
พ่ออนงค์วดีและปิ่นสุดาอยู่ในหมู่แขก พ่อยกแก้วแชมเปญ เชิญชวนแขกดื่ม ดื่มเสร็จหันไปโค้งให้ปิ่นสุดา สองคนเปิดฟลอร์ เพลงจังหวะวอลซ์ ลีลาสวยงามโก้เก๋ แขกเต้นรำเต็มฟลอร์
ที่โต๊ะเล่นไพ่ ตรงมุมห้องโถง แขกต่างเล่นไพ่กัน อย่างสนุกสนาน
อนงค์วดีถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “มีเล่นไพ่ด้วย...คุณแม่ไม่ได้เล่นหรือคะ”
พอเห็นปิ่นสุดายิ้มเขินๆ อนงค์วดีนึกรู้ “ไม่น่าถามเล๊ย”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมา เห็นปิ่นสุดานั่งเล่นไพ่อย่างมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส
ถึงตอนนี้อนงค์วดีถามมารดาขึ้น “คิดว่าคุณแม่จะเล่าเรื่อง....ลึกลับ....น่ากลัวที่หนูควรจะเจอ”
“ก็มี...”
“เหรอคะ....คุณแม่เจอเอง”
“แม่เจอน้อยมาก....แค่หนเดียว แต่....”
ปิ่นสุดาทำท่าสยองขวัญ เมื่อนึกถึงเรื่องราวอดีต
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในห้องโถงคฤหาสน์สิงหมนตรี วันหนึ่ง ช่วงตอนกลางคืน เวลานั้นปิ่นสุดาท้องประมาณ 7 เดือนแล้ว เดินมาในห้องโถงเร็วรี่ แล้วต้องชะงัก เมื่อมองเห็นคุณประยงค์ในภาพขยับหน้ายิ้มด้วย ปิ่นสุดาอ้าปากค้าง
คุณประยงค์ก้าวลงมาจากรูป หันมาทางปิ่นสุดา แล้วยิ้มหวานให้
“ลูกของเอ็ง เป็นหลานชวดของข้า” คุณประยงค์ชี้ ไปที่ท้องของปิ่นสุดา
ปิ่นสุดาตกใจ ยืนโงนเงนๆ สักครู่ แล้วค่อยๆ ล้มลง
อนงค์วดีฟังแล้วประหลาดใจ
“คุณชวดประยงค์หรือคะ ก้าวออกมาจากรูปเหรอคะ คุณแม่เห็นจริงๆ กับตา?”
ปิ่นสุดาย้ำคำ “กับตา...”
“คุณแม่เป็นลมหมดสติเลยหรือคะ นานมั้ยคะ ตอนคุณแม่ฟื้นคุณชวดยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าคะ”
“แม่รู้สึกตัวในห้องนอน”
“โฮ่....คุณแม่ฝันนั่นเอง”
พูดไปอย่างนั้น ทว่าพออนงค์วดี คิดถึงสิ่งที่ตัวเองเห็น สีหน้าซีดลง
“หนู....หนูก็เห็นใช่มั้ยลูก...” ปิ่นสุดาถาม
อนงค์วดีไม่ตอบ แต่สีหน้ายอมรับ
“ไม่ได้ฝันใช่มั้ย”
อนงค์วดีส่ายหน้าน้อยๆ
“หนูขายไปได้ก็ดีแล้ว สมควรให้คุณเชษฐาเขาทุบทิ้งเสียด้วย เพราะไม่อย่างนั้นวิญญาณคุณชวดก็ไม่ไปไหน วนเวียนอยู่แต่ที่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ารอคอยอะไร”
คำพูดของผู้เป็นมารดากระแทกเข้าหน้าอนงค์วดีเต็มแรง หล่อนมีสีหน้าตกใจบางๆ
“รอคอยเหรอคะ คนเราจะรอคอยใครได้บ้างคะคุณแม่”
“รักใครก็คอยคนนั้นล่ะ” ปิ่นสุดาตอบทันที
อนงค์วดีรู้สึกวาบหวิวในอก ภาพความฝันตอนเจ้าคุณจูบประยงค์ โดยตัวเองยืนดู ด้วยจิตใจปวดร้าวผุดขึ้นมา อนงค์วดี น้ำตาเต็มตา
“ยายหนู....ร้องไห้ทำไมลูก”
“หนู....ไม่ทราบค่ะ ร้องเอง...มันร้องออกมาเองค่ะ คุณแม่คะ”
“หือม์”
“ถ้าคุณชวดรอคอยใคร...จะเกิดอะไรกับคนนั้นคะ”
“ก็อาจจะเอาตัวไป”
อนงค์วดีมีสีหน้าตกใจเล็กๆ
ที่สำนักงานเชษฐา วันรุ่งขึ้น โสนรับโทรศัพท์อยู่
“สำนักงานผลประโยชน์เกรียงไกรค่ะ” นิ่งฟัง “คุณเชษฐาไม่อยู่ค่ะคุณมีธุระอะไรคะถึงโทร.มาเวลา” สาวใหญ่ดูนาฬิกา “สิบสองสามสิบ เป็นเวลาพักของท่านนะคะทำไมไม่โทร.เวลางาน”
คู่สายเป็นอนงค์วดีซึ่งอยู่ที่ทำงาน เห็นคนจัดขนมอยู่ด้านหลัง
“ต้องขอโทษนะคะ เผอิญธุระของดิฉันเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ เลยไม่อยากรบกวนคุณเชษฐาเวลาทำงาน” อนงค์วดีว่า
“อ๋อ....” โสนสีหน้าดีขึ้น “งั้นถูกต้องแล้ว ขอโทษที่พูดจาไม่ดี เชิญคุณโทรศัพท์ไปที่มือถือของคุณเชษฐาสิคะ”
“โทร.แล้วค่ะ แต่ปิดเครื่อง”
“อ๋อ ท่านไปทานอาหารกลางวัน เดี๋ยวทานเสร็จอาจจะเปิดมือถือ คุณโทร.ใหม่เวลาใกล้ๆ บ่ายโมง หรืออาจจะโทร.มาที่นี่อีกทีก็ได้ ท่านทานกลางวันใกล้ๆ สำนักงานอาจจะกลับก่อนบ่ายโมงก็ได้”
“ท่านทานกลางวันที่ไหนคะ....ขอโทษค่ะ”
เชษฐาอยู่ที่ร้านอาหาร สมัยใหม่แต่งน้อยแต่เก๋ และดูดีมากๆ สีสันไม่ฉูดฉาด หนักไปทางเข้มขรึม
“อ้าว...ตกลงไม่ทุบแล้วหรือ ไหนหนึ่งว่าจะทุบไง” เกษลดาที่อยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้น
“เปลี่ยนใจ” เชษฐาตักอาหารใส่จานให้ “อร่อย...”
“ขอบคุณค่ะ เปลี่ยนใจเพราะอะไร ถามได้มั้ยเอ่ย”
“เพราะว่า ถ้าทุบ...จะมีคนเสียใจหลายคน”
เกษลดาถามทันที “ใคร”
“ก็หลายคน”
“เจ้าของเดิม?”
“นั่นก็ใช่ เขาต้องเสียใจที่สุด”
“หนึ่งแคร์เขา”
“ทำไมใช้คำว่า แคร์ มันไม่ใช่นะเกษ แต่ผม...ผมตอบไม่ถูก เอาเป็นว่า ผมคิดว่าตึกนี้ควรอนุรักษ์ไว้...แล้วกัน”
“ถ้าไม่แคร์จะใช้คำไหนล่ะ เขาไม่อยากให้ทุบ คุณก็ไม่ทุบ ก็แปลว่าคุณแคร์เขากลัวเขาจะเสียใจ”
“พูดอย่างนั้นก็ได้”
คราวนี้เกษลดาหน้าเสีย
เชษฐาต่ออีกคำ “ถ้าอยากพูด...”
“หนึ่ง”
“ผมบอกไม่ใช่แล้วเกษยังดันทุรังทำไม ไม่น่ารักเลย นี่ขนาดไม่ใช่เรื่องของคุณนะ ถ้าเผอิญเป็นเรื่องของคุณกับผม” เขาเน้นด้วยเสียงและสีหน้า “เรามิต้องเถียงกันบ้านแตกเหรอ” เชษฐาใช้คำว่า “บ้านแตก” เท่ากับยอมรับว่าเกษลดามีความหมายลึกซึ้งกว่าธรรมดา
เชษฐาจ้องหน้าเกษลดา เหมือนจะบอกให้รู้เป็นนัยๆ
“โอเค แต่ที่หนึ่งพูดก็ไม่ใช่ตรรกะเสมอไป ถ้าหนึ่งบอกไม่ใช่ทุกครั้งเกษต้องหยุด จะรู้ได้ไงว่า ไม่ใช่ของหนึ่งมันไม่ใช่จริงๆ”
“มันขึ้นอยู่กับสันดานของแต่ละคน” เชษฐาว่า
“โห....แร็งส์อ่ะ” เกษลดาหัวเราะเบาๆ
“ต้องคำนี้ ถ้าผมมีสันดานชอบโกหก ก็เชื่อยาก”
“ถูกต้อง”
“งั้นเราก็ต้องศึกษากันต่อไป”
เกษลดาจ้องมองเชษฐานิ่ง อ่านสายตาซึ่งกันและกัน เกษลดาจับคางเชษฐาสั่นเบาๆ หยอกเย้า ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ
“ไม่ศึกษา เกษพร้อมจะเข้าสนามสอบ” เกษลดาทำปากจุ๊บเบาๆ “พร้อมแล้ว”
ทุกอย่างอยู่ในสายตาอนงค์วดี ที่นั่งอีกโต๊ะ บนโต๊ะมีแก้วกาแฟใบเดียวไม่มีอาหาร
ตรงทางออกจากร้านอาหาร เชษฐาเดินออกมากับเกษลดา ผ่านบริกรที่ไหว้อย่างอ่อนน้อม สองคนเดินมาหยุดใกล้ๆ โต๊ะอนงค์วดี แต่ไม่เห็นหล่อน
“หนึ่งคะ เรื่องตึกสิงหมนตรี”
สีหน้าอนงค์วดี นิ่งฟัง
“หนึ่งว่า...” เกษลดาลดเสียงลง “มี.....ผีมั้ย”
“เขาเรียกวิญญาณ”
“เหมือนกัน เกษว่าต้องมี บอกไม่ถูกนะ ที่เกษถามเพราะกลัว กลัวลึกๆยังไงบอกไม่ถูก ทั้งกลัวทั้งเกลียดทั้งอยากให้มันหายไปจากโลกนี้”
สีหน้าเกษลดาเครียดจัด เกิดภาพหลอนขึ้นมาในหัวหล่อนอีกแวบหนึ่ง เป็นภาพที่บ่าวชายกำลังโบยเกด โดยมีคุณประยงค์ยืนบัญชาการอยู่
เกษลดาสัมผัสรับรู้ได้ หล่อนห่อตัวเหมือนเจ็บปวดเหลือเกิน ส่งเสียงสะท้านออกมานิดๆ
“อูย...”
“เป็นอะไรเกษ”
“ไม่รู้สิหนึ่ง เป็นทุกทีที่คิด....หรือเห็น....มันเหมือนเห็น”
อนงค์วดีลุกขึ้น เดินเข้าไปหา
เชษฐาทัก “คุณอนงค์วดี”
อนงค์วดีไหว้ทั้งสองคน สีหน้าเกษลดา มองอนงค์วดี แล้วความรู้สึกผูกพันเก่าๆ ครั้งอดีตชาติ ก็พลุ่งขึ้นมาแวบหนึ่ง
เกษลดาเดินเข้าไปหาอนงค์วดีก้าวหนึ่ง แต่อนงค์วดีหันไปพูดกับเชษฐา ท่าทีไม่สนเกษลดาสักน้อย
“คุณเชษฐาคะ”
เกษลดาหยุด ความรู้สึกเก่าๆ หายไป เกิดความไม่ชอบใจ มองด้วยหางตา
“ครับ...คุณอนงค์วดีมาทานอาหารที่นี่หรือครับ”
“เปล่าคะ ดิฉันมาหาคุณเชษฐา”
สายตาเชษฐา ดูกรุ้มกริ่มขึ้นมานิด “หาผม....มีอะไรกับผมหรือครับ”
อนงค์วดีหน้าเฉยมองเชษฐาแต่ระงับความรู้สึก พูดจาอย่างเป็นทางการที่สุด
“ถ้าคุณเชษฐาอยากทุบตึกแล้วสร้างใหม่ ดิฉันไม่ขัดข้องแล้วนะคะ คุณทำได้อย่างที่คุณต้องการ”
“ขอบคุณมาก” เชษฐายิ้มขำๆ กับท่าทีเด็กๆ ของอนงค์วดี
“เอ๊ะ ขอออกความเห็นนิดหน่อยนะคุณอนงค์วดี คุณน่าจะถามเจ้าของบ้านคนใหม่นะว่า เขาอยากได้ความเห็นของเจ้าของบ้านคนเก่าหรือเปล่า”
อนงค์วดีหน้าแตกเล็กๆ
“คุณเชษฐาตัดสินเองได้ไม่ใช่หรือว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรกับตึกหลังนี้ เอ๊ะ..หรือว่าต้องฟังคุณ มีข้อตกลงอะไรกันหรือหนึ่ง”
อนงค์วดีหน้าเสีย ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เชษฐาบอก “ไม่มี”
“แล้วไป เห็นคุณอนงค์วดีพูดเหมือนมีดีลอะไรกันอยู่ เช่นเขาขายให้ถูกแล้วต้องทำตามเขา”
“ไม่...ไม่ค่ะ ดิฉันเพียงแต่เคยพูดว่าไม่อยากให้ทุบตึก....เกรงว่า…”
เกษลดาต่อให้ “เกรงว่าคุณเชษฐาจะเชื่อฟังคุณ”
“ไม่ใช่...ดิฉันขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ควรใจเร็วมาบอกคุณ ลาค่ะ” อนงค์วดีไหว้อย่างเรียบร้อยทั้งสองคน
เชษฐาเรียกไว้ “เดี๋ยวครับ”
อนงค์วดีหันมา
“วันทุบตึกผมจะเชิญคุณมาลงค้อนแรก...อย่างที่บอกไว้”
“ไม่ค่ะ...ดิฉันขัดข้อง ขอโทษนะคะ” อนงค์วดีเดินไป แล้วหันมา “คุณเชษฐาคะ รีบทุบเสียนะคะ อย่ารออะไรอีกเลยค่ะ”
อนงค์วดีเดินจากไป สองคนมีสีหน้าฉงนฉงาย เกษลดาเอ่ยขึ้น
“ต้องมีอะไรมากกว่านี้....เกษรู้สึกว่าต้องมี”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าใบหน้าเชษฐา เขานิ่งคิดสีหน้าลึกซึ้ง
ที่บริเวณหน้าคฤหาสน์สิงหมนตรี สภาพคฤหาสน์รกเรื้อมากขึ้น...เหมือนต้นไม้จะโตขึ้นอีก ห่อคลุมคฤหาสน์ นกบินไปมา กินลูกตะขบที่ต้นไม้ซึ่งเติบโตอยู่ริมหน้าต่าง งูตัวใหญ่เลื้อยหากินอยู่ตามพื้นดิน
ในคืนพระจันทร์ข้างแรม เห็นเป็นรูปเคียวเกี่ยวกิ่งฟ้า นกกลางคืนบินว่อน นกฮูกร้องเป็นระยะ...ระยะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วๆ จากกลางวัน กลายเป็นตอนกลางคืน พระจันทร์เต็มดวง ตอนกลางดึก ฝนตกหนัก ยินเสียงร้องไห้แผ่วๆ ดังมาเป็นระยะ ปู่กลับเปิดประตูคฤหาสน์ออกมา ส่องตะเกียงสูง “คุณท่านคนใหญ่ ไปไหนอีกแล้ว”
ภายในสโมสรราตรีของเชษฐาคืนเดียวกัน มีวงดนตรีเล็กๆ นักร้องกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ผู้คนในร้าน คุยกัน ดื่มกัน เดินทักทาย ที่โต๊ะของเชษฐาและเกษลดาตรงมุมหนึ่ง มีเพื่อนสาวๆ สวยๆ ของเกษลดามาด้วย และก๊วนเพื่อนหนุ่มๆ ของเชษฐา รวมทั้งมนัสวีร์ อยู่ด้วย ทุกคนคุยหัวเราะเฮฮา บรรยากาศครื้นเครง
นักร้องชายร้องเพลงเสร็จ ประกาศเรียก
“ขอเชิญคุณเกษลดาครับ”
ทางนี้ยังไม่ได้ยิน เกษลดายังยื่นแก้วตัวเองให้เชษฐาดื่ม
“คุณเกษลดา ให้เกียรติหน่อยครับ” นักร้องประกาศอีก
เพื่อนเรียก “เกษ...”
“เออ...ได้ยินแล้ว จะให้ร้องเพลงน่ะสิ มาทีไรต้องร้องเพลงทุกที เกษจะเรียกค่าตัวแล้วนะหนึ่ง”
เชษฐาเย้า “เท่าไหร่”
“แค่เดินไปส่งที่เวที”
“ถูกมาก...” เชษฐาลุกขึ้น เซนิดๆ “ส่งกี่เที่ยวก็ได้”
เกษลดาเข้าประคอง เชษฐาโอบเอว พาไป
“มาแล้วค่ะ....มาแล้ว”
เชษฐาพาเกษลดาไป ระหว่างทางมีสาวสวยชื่อ ก้อย เข้ามาทักเชษฐา ท่าทีสนิทสนมกันมาก
“เดี๋ยวผมไปหานะก้อย อยู่โต๊ะไหน”
“โน่น สัญญาก่อน” ก้อยยื่นแก้มให้
เชษฐาจุ๊บทีหนึ่ง เกษลดากระชากตัวไปทันที
เชษฐากระซิบข้างหู “อย่าเพิ่งคร๊าบ...ยังไม่ใช่เจ้าของผม”
เกษลดาหยิกเต็มแรงตรงเอวจนเชษฐาร้องโอ๊ย แล้วผลักเชษฐาคะมำไป ตัวเองก้าวขึ้นเวที
เชษฐาหันมาส่งจูบให้ ล้อๆ แล้วเดินไปทางโต๊ะก้อย
เกษลดาขึ้นไปร้องเพลง หล่อนเลือกเพลงฝรั่งที่ความหมายเศร้าๆ สายตามองไปที่เชษฐา เห็นนัวเนียอยู่ที่โต๊ะก้อย
ฟากปู่กลับยังเที่ยวตามหาคุณประยงค์อย่างห่วงใย
“คุณท่านคนใหญ่....อยู่ไหน” ปู่กลับเงี่ยหูสีหน้าประหลาดใจ “ร้องไห้...เป็นอะไร”
ย่าน้อยวูบออกมาจากภาพ
“นี่ ไอ้กลับ คุณอาประยงค์เขาเป็นผีนะ แกจะตามหาเขาทำไม”
“เสียงคุณท่านร้องไห้” ปู่กลับบอก
“เอ๊า ผีร้องไห้ไม่ได้เหรอ มีหัวใจนะ”
“ฝนตก” ปู่กลับกังวล
“เฮ้อ ไอ้กลับ เอ็งสิต้องกลัวฝนคุณอาเขาไม่กลัวเปียกหรอก เอ็งจะเป็นบ้าไปกับคุณอาเขาทำไม น่าเบื่อหน่ายจริงๆ” ย่าน้อยหายวับไป
ปู่กลับเดินออกมา เห็นแล้วว่าคุณท่านคนใหญ่อยู่ที่ท่าน้ำ คุณประยงค์นั่งเศร้าสร้อย เปียกฝนไปหมดทั้งตัว ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทาห่อเหี่ยวไปทั้งร่าง ปู่กลับนั่งลงห่างออกมาหน่อย ถอนใจยาว
“ท่านจะทุบตึกไอ้กลับ” คุณประยงค์ครวญ
“ท่านไม่ทุบหรอกขอรับ”
“เอ็งรู้ได้ไง”
“ท่านต้องมีสัญญาณว่าท่านทุบตึกนี้ไม่ได้ เชื่อไอ้กลับเถอะ”
“ทำอย่างไร ท่านถึงจะจำข้าได้...” ใบหน้าประยงค์จะร้องไห้อยู่แล้ว “ท่านอยู่กับแม่อรแถมยังมีนังเกดด้วย ใยท่านจะมาคิดถึงความหลังกับข้า ข้าทำผิดกับท่านนักหนา...ไอ้กลับเอ็งก็รู้”
ปู่กลับคอตก ส่ายหน้า พลอยเศร้าไปด้วย
อ่านต่อตอนที่ 3