xs
xsm
sm
md
lg

ปีกมงกุฎ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปีกมงกุฎ ตอนที่ 9

เวลานั้น คุณหญิงสุดสวาทนั่งคอแข็ง มองพยาบาลกำลังเช็ดตัวให้นายพลอัศวินห่มผ้าให้แล้วเดินออกไป ณเดชย์หันมาทางผู้เป็นมารดา

“ผมอยากให้คุณแม่ ลืมเรื่องแย่ๆ ที่ผ่านมาของคุณพ่อ วันนี้เรามาช่วยกันทำให้คุณพ่อหายเป็นปกติก่อนดีกว่าครับ”
“บอกแม่แล้ว นะก็ช่วยไปบอกเมียเล็ก เมียน้อยของคุณพ่อด้วยแล้วกันโดยเฉพาะนังแม่ลูก จิ้งจอกพันหน้า นั่นด้วย”
ณเดชย์มีสีหน้าครุ่นคิดตริตรอง

ตรีอัปสรมองดารินทร์แล้วหันหน้าไปทางอื่น ดารินทร์มองตาม ก่อนจะเดินไปยืนประจันหน้าลูกสาว
“แกจะบอกความจริงแม่ได้รึยังว่าแกไปไหนมา”
“ถ้าตรีบอกความจริง แม่สัญญาได้ไม๊ ว่าจะไม่โกรธ...ไม่เกลียดตรี”
“ชั้นเป็นแม่แกนะยายตรี ชั้นไม่สัญญาหรอกว่าจะไม่โกรธ แต่รับรองได้ว่า ไม่มีวันเกลียดแกแน่นอน”
“วันนั้น ตรีไม่ได้ไปชลบุรี แต่ตรีไปบ้านสามร้อยยอด”
ดารินทร์ตะลึง “อะไรนะ...แกไปทำอะไรที่นั่น”
ตรีอัปสรมองดารินทร์ ละอายใจเหลือเกิน

ส่วนสลิลทิพย์เดินหน้าตาเบิกบานสดชื่นเดินเข้ามาในห้องรับแขก ซึ่งชญานนท์นั่งอยู่กับอรสินี
“เสียดายที่คุณดิษฐ์ไม่ว่าง น้าอยากเชิญมาทานข้าวที่บ้าน เลี้ยงฉลองที่อรได้ตำแหน่งเป็นการภายใน”
“ถ้าไม่ติดลูกค้า คุณพ่อก็จะมาครับ”
“แล้วหนูมุกล่ะคะ”
“มุกไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิงป้าสุดสวาทเฝ้าคุณลุงอัศวินครับ”
“เวรกรรมจริงๆ แล้วบรรดา เมียน้อย ตามไปเฝ้าดูแลมั่งหรือเปล่าเนี่ย วันนี้น้าเจอยายดารินทร์ ยังหน้าระรื่นชื่นบานอยู่เลย”
“คุณแม่คะ”
สลิลทิพย์ไม่สนใจเสียงอรสินีหันมาพูดต่อ
“น่าสงสารคุณอัศวินนะคะ แต่ก็น่าสงสัย ว่าทำไมแกถึงได้ขับรถไปเอง แกต้องนัดเด็กไว้แน่ๆเลย...เผลอๆเป็นสาวๆที่มาประกวดรึเปล่าก็ไม่รู้”
อรสินีส่งเสียงเป็นเชิงขอร้องอีก “คุณแม่คะ”
“จะเรียกอะไรนักหนา ห๊ะ ยายอร เปลี่ยนเรื่องคุยก็ได้” สลิลทิพย์ค้อนอรสินีแล้วหันมาทางชญานนท์ “เดี๋ยวเราทานข้าวกันไปคุยเรื่องละครกันไปนะจ๊ะ นนท์”
“ครับ”
สลิลทิพย์ยิ้มอย่างพอใจ

ฟังคำจากปากลูกสาวจบ ดารินทร์ตบหน้าตรีอัปสรจนสุดแรงเกิด ใบหน้าสวยสะบัดไปตามแรงโทสะ ตรีอัปสรหันกลับมา ดารินทร์ตบอีกครั้งจนตรีอัปสรเซไปล้มที่เตียงนอน
“แกทำอย่างนี้ได้ยังไง ห๊ะ ยายตรี แกทำได้ยังไง ชั้นอยากจะฆ่าแกจริงๆ”
ตรีอัปสรร้องไห้มือจับแก้มตัวเอง “ตรีไม่มีทางเลือก แม่ก็รู้ว่าตรีไม่มีทางเลือก”
ดารินทร์ตวาดใส่อีก “ทำไมจะไม่มี ชั้นอาจจะกดดัน บีบบังคับแก แต่ชั้นไม่เคยคิดจะให้แกเป็นเมียน้อย นางบำเรอใคร เพื่อให้ได้ตำแหน่ง”
ตรีอัปสรยกมือไหว้ “ตรีขอโทษ แม่ยกโทษให้ตรีนะ”
“ชั้นไม่อยากจะคิดเลย ถ้าวันนั้นรถคุณอัศไม่คว่ำ...จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องมันจะเป็นยังไง”
“ตรีต้องได้มงกุฎน่ะแม่...แล้วตรีก็เห็นว่ามันเป็นวิธีเดียว”
ดารินทร์ย้อนหยัน “โดยยอมรับข้อตกลง นอนกับผู้ชายที่เป็นผัวแม่ของตัวเองน่ะเหรอ”
“แม่...” ตรีอัปสรทั้งเจ็บทั้งอายทั้งอัดอั้น “ตรีบอกแล้วไงว่าตรีไม่มีทางเลือก แล้วคุณลุงก็มีข้อเสนอที่ตรี....ตรี...”
ดารินทร์พูดต่อให้ “ปฏิเสธไม่ได้...งั้นล่ะซิ”
“แม่เองก็ยังคิดว่า ตรีอ้อนคุณลุงให้ช่วย แล้วแม่ไม่คิดบ้างเหรอว่า คนอย่างคุณลุงจะช่วยตรี โดยที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน แม่คิดว่าผู้ชายเห็นแก่ตัวพรรณนั้น จะช่วยตรีเพราะเค้ารักแม่เหรอ”
ดารินทร์แค้นขึ้นมา “สันดานผู้ชายมันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ทั้งนั้น ชั้นไม่ได้เชื่อใจคุณอัศ แต่ชั้นเชื่อใจ เชื่อมั่นในตัวลูกสาวชั้น ชั้นคิดว่าถ้าลูกเจอเรื่องร้ายขนาดนี้ ลูกต้องบอกแม่แน่นอน แต่แกไม่พูดซักคำ”
“ตรีพยายามบ่ายเบี่ยง แต่คุณลุงก็เร่งรัด จนตรีไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”
ดารินทร์ระบดระบาย “แกก็เห็นอยู่แล้ว ว่าที่ชั้นจะเชิดหน้าอยู่ในสังคม ชั้นไม่เคยเชิดได้เต็มที่เลย ชั้นรู้ว่าจริงๆ แล้ว ทุกคนคิดยังไงกับชั้น ดูถูกชั้นแค่ไหน ลับหลังก็เรียกชั้น นังเมียน้อย ไม่เคยมีศักดิ์ศรีอะไรเลย แกอยากจะเป็นแบบชั้นรึไง ชั้นอาจจะไม่ได้สอนแกตรงๆ แต่ชั้นไม่เคยคิดจะให้แกเป็นเมียน้อย เมียเก็บใคร ชั้นเป็นแม่ที่ทำตัวอย่างเลวๆ ให้แกเห็นว่า อย่าทำแบบชั้น แกจะต้องเชิดหน้า ชูตาในสังคมได้อย่างไม่อายใคร”
ทั้งตรีอัปสร ทั้งดารินทร์ ต่างก็ร้องไห้กันออกมา ตรีอัปสรกราบแม่อีกครั้ง
“ตรีขอโทษ....ตรีขอโทษค่ะแม่”
“จำไว้นะ ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก แกต้องบอกชั้นทุกเรื่อง”
“ค่ะ แล้วถ้าคุณลุงกลับมาเป็นปกติ เราจะทำยังไงคะแม่ เอาแค่ถ้าเค้าพูดได้ แล้วพูดเรื่องตรี”
“คุณอัศจะไม่มีวันพูดเรื่องนี้เด็ดขาด แม่จะไม่ยอมให้ใครทำลายชื่อเสียงแก และที่สำคัญแกจะต้องเป็นที่หนึ่งเหนือยายอรสินีทุกเรื่อง”
“แม่จะทำอะไรคะ”
ดารินทร์มองตรีอัปสรสีหน้าและแววตามุ่งมั่นอย่างมาก

สลิลทิพย์นั่งทานข้าวมื้อค่ำ ร่วมกับอรสินี อาชัญ อติรุจ และชญานนท์
“ตานนท์ แล้วเรื่องเล่ห์ร้ายสายสวาทนี่ ตัวไหนเด่นกว่ากันล่ะ ระหว่าง...ทักษิกากับลักษณา”
“ก็เด่นไม่ต่างกันครับ เพียงแต่ตัวนึงจะร้าย อีกตัวดี”
สลิลทิพย์ยิ้มพอใจ “น้ารู้เลย ว่ายายอรจะได้เล่นบทไหน”
อาชัญยิ้ม พลางสัพยอก “เป็นทีมผู้ผลิตของสถานีด้วยรึไงคุณ ถึงได้รู้”
“ชั้นก็ดูจากคาแร็คเตอร์ของลูกสาวชั้นซิคะ ผู้หญิงสวยหวานน่าทะนุถนอมแบบนี้ จะเล่นเป็นตัวร้ายได้ยังไง แบเบอร์ตั้งแต่ยังไม่ต้องแถลงข่าวเลย”
อติรุจหันไปทางอรสินี “ไง ยายอร นั่งเงียบไม่พูด ไม่จาเลย”
“อรไม่รู้จะพูดอะไรนี่คะ”
“แล้วต้องไปฝึกแอคติ้ง การแสดงไม๊” อติรุจถาม
ชญานนท์บอก “ก็ต้องฝึกอยู่แล้วครับ”
“ขอน้าพูดอีกครั้งนะ อย่าเพิ่งเบื่อ...”
สลิลทิพย์ว่าไม่ทันจบคำ อาชัญ กะ อติรุจ พูดแซวพร้อมกันทันทีว่า “ฝากน้องด้วยนะ”
สลิลทิพย์หันมามองพ่อลูก แล้วค้อนควักท่าทีน่าขัน “พ่อลูกคู่นี้ เข้ากันดีเหลือเกิน”
ชญานนท์ยิ้มขำ อรสินีก็อดขำไปด้วยไม่ได้
“ยังไง...นนท์เค้าก็ต้องดูแลอรอยู่แล้วล่ะน่า...ใช่ไม๊นนท์”
“ครับ”
ทุกคนบนโต๊ะยิ้มให้กัน ชี้ชวนกันกินอาหารอย่างอบอุ่น

ในห้องพักฟื้นนายพลเวลานั้น มุกตาภาปอกผลไม้ใส่จานสวยงามแล้วเอาไปวางให้คุณหญิงสุดสวาท ซึ่งนั่งอยู่กับณเดชย์
“คุณหญิงแม่คะ”
คุณหญิงสุดสวาทหันมามอง แล้วมองผลไม้ในจาน ก่อนจะเงยหน้ามองมุกตาภา
“ขอบใจหนูมุกมากนะลูก งานก็ยุ่งวุ่นวายแล้วยังต้องมาดูแลแม่อีก”
มุกตาภายิ้มหวาน “ไม่เป็นไร...มุกไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”
“ตานะ เลือกคนไม่ผิดจริงๆ” คุณหญิงหันไปทางลูก “ดูแลหนูมุกให้ดีล่ะ อย่าให้ใครมาฉกไปล่ะ”
มุกตาภาอดขำไม่ได้ “ไม่มีใครมาฉกมุกหรอกค่ะ คุณหญิงแม่ ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่มีทางนางสาว ณ สยาม กับรองก็เพิ่งกลับจากประกวดที่เมืองนอก มุกก็ต้องดูแลเรื่องไปงานต่างๆ แล้วก็เรื่องแสดงละคร”
“กลับกันมาแล้วเหรอ แล้วได้ตำแหน่งกันมาบ้างรึเปล่า”
เสียงนายพลอัศวินอือ อา อือ อา อยู่ในลำคอ ทั้งสามคนหันไปมอง
มุกตาภาดีใจ “คุณพ่อส่งเสียงค่ะ”
คุณหญิง ณเดชย์ และมุกตาภาเดินไปล้อมรอบเตียง ณเดชย์มองพ่อแล้วหันมาทางแม่
“เดี๋ยวผมมานะครับ คุณแม่”
คุณหญิงร้อง “อ้าว”
ณเดชย์รีบพูดกับมุกตาภา “ฝากด้วยนะ...มุก”
มุกตาภางงๆ “ค่ะ”
ณเดชย์เดินออกไป คุณหญิงกับมุกตาภามองตามไปแล้วหันมามองหน้ากัน
“ไปไหนของเค้า”
คุณหญิงงงไม่หาย

เย็นจวนค่ำ ตรีอัปสรเดินออกมาจากในบ้าน มองไปที่สวน แล้วเดินตรงไปหา ณเดชย์ยืนรออยู่ก่อนจะหันมามอง
“นึกว่าคุณจะไม่ออกมาพบผมซะแล้ว”
ตรีอัปสรยิ้มอ่อนโยน “ตรีจะทำอย่างนั้นทำไมล่ะคะ แต่แปลกใจว่าทำไมคุณถึงมาหาตรีที่บ้าน”
ณเดชย์ยิ้มเย้า “ผมอยากเปิดตัวกับคุณน้าดารินทร์ไง”
ตรีอัปสรจ้องตาเขา “แต่ตรีว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น”
“คุณพ่อโทร.หาตรีเป็นคนสุดท้าย ก่อนรถคว่ำ คุณน้าบอกว่าตรืลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน”
“ค่ะ”
“ทำไมคุณพ่อถึงโทร.หาตรี...มีอะไรรึเปล่า”
ตรีอัปสรมองณเดชย์นิ่ง “ตรีไม่ได้รับสาย แล้วตรีจะรู้ได้ยังไงคะ ว่าคุณลุงโทร.หาตรีเรื่องอะไร”
ณเดชย์ถอนหายใจ “ผมอยากรู้ว่าคุณพ่อกำลังจะไปไหน ไปทำอะไร”
เสียงดารินทร์ดังขัดขึ้น “ก็ต้องรอให้คุณอัศ หายดีก่อนล่ะค่ะ”
ณเดชย์และตรีอัปสรหันไปมองดารินทร์ ที่เดินเข้ามาและบอกต่อ
“คุณอัศเป็นคนเดียวที่บอกเราได้”
“คนที่คุณพ่อนัดเจอก็บอกเราได้เหมือนกันครับ” ณเดชย์ว่า
ตรีอัปสรหันมาสบตากับดารินทร์

รถของชญานนท์แล่นมาจอดหน้าบ้านดารินทร์ ชญานนท์ดับเครื่องแล้วมองไปที่ในบ้านสีหน้าครุ่นคิด
เวลานั้นมุกตาภากำลังโวยวายกับชญานนท์
“กลายเป็นว่ามุกต้องเฝ้าคุณลุงอัศวิน ดูแลคุณหญิงแม่ ส่วนคุณนะ ไม่เคยอยู่เลยค่ะ ยิ่งถ้ามุกไป เค้าก็จะฝากให้มุกดู แล้วตัวเองก็แว่บออกไป วันนี้ก็เหมือนกัน”
ชญานนท์จะอ้าปากพูด แต่มุกตาภาชี้ที่ปากชญานนท์ก่อน
“พี่นนท์อย่าพูดนะคะ ว่าคุณนะแว่บไปทำงาน ถ้าพี่นนท์ไม่เชื่อหรือพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างคุณนะล่ะก้อ ช่วยสละเวลาไปดูที่บ้านยายตรีอัปสรซักนิดเถอะคะ มุกว่าคุณนะต้องไปอยู่ที่นั่นแน่นอน”

ชญานนท์คิดขึ้นมาแล้วทอดสายตามองไปที่บริเวณหน้าบ้านดารินทร์ พึมพำกับตัวเอง
“นี่เราเชื่อยายมุกได้ยังไงเนี่ย”
ชายหนุ่มส่ายหน้า อดขำตัวเองไม่ได้ ขณะขยับจะสตาร์ทรถออกไปนั้นเอง ชญานนท์ต้องชะงักเมื่อเห็นรถของณเดชย์ขับออกมาจากในบ้านดารินทร์ แล่นผ่านหน้าเขาไปช้าๆ ณเดชย์ไม่เห็นชญานนท์ที่มองตามไปแล้วหันมาขมวดคิ้ว สักครู่เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น ชญานนท์หันไปมอง พบว่าตรีอัปสรยืนมองอยู่เหมือนเป็นคำถามว่าเขามาจอดรถทำอะไรแถวนี้

ไม่นานต่อมาชญานนท์นั่งอยู่ในห้องรับแขก มีตรีอัปสรนั่งเก้าอี้อีกตัว ถามดักคอ
“คุณนนท์มาหาตรี หรือมาดูตรีคะ”
ชญานนท์พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ผมเอาหนังสือนวนิยายที่คุณจะต้องแสดงมาให้”
พลางชญานนท์ส่งซองสีน้ำตาลมีหนังสือนิยานเล่มหนาอยู่ข้างในให้ ตรีอัปสรรับมาถือไว้ในมือ ก่อนจะมองชญานนท์ ดารินทร์เดินนำปิ๋มมาเสิร์ฟน้ำให้แขก
“อันที่จริง คุณนนท์ไม่ต้องมาเองก็ได้นะคะ โทร.บอกตรี...ตรีก็เข้าไปหาที่สถานีได้”
“นั่นซิคะ อุตส่าห์ให้เกียรติมาเอง ขอบคุณมากนะคะ ที่ให้ความสำคัญกับยายตรี” ดารินทร์เยื้อนยิ้ม
“คือ...บังเอิญผมมาธุระแถวนี้ ก็เลยแวะเอามาให้ครับ”
ดารินทร์พยักหน้า “อ๋อ...ค่ะ แล้ว...ตรีแสดงเป็นใครคะ”
“เรากำลังวางตัวละครอยู่ครับ ระหว่างนี้ผมอยากให้คุณตรีอัปสรกับคุณอรสินี อ่านเรื่องก่อนจะได้รู้แนวทาง”
ดารินทร์รับอีก “อ๋อ...ค่ะ อืม...ดิชั้นขอตัวก่อนนะคะ คุยกันตามสบาย”
ชญานนท์ขยับลุกขึ้นเช่นกัน “ผมก็ต้องขอตัวกลับเหมือนกันครับ”
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคะ” ดารินทร์แปลกใจ
“ครับ คุณดารินทร์กับตรีจะได้พักผ่อน”
ชญานนท์ลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ ดารินทร์รับไหว้
“สวัสดีค่ะ”
ชญานนท์เดินออกไป โดยมีตรีอัปสรตามไปส่ง ดารินทร์มองตามแล้วเดินขึ้นบันไดไป

ชญานนท์เดินนำตรีอัปสรออกมายังรถที่จอดอยู่ ตรีอัปสรชวนคุย
“นอกจากเรื่องหนังสือแล้ว คุณมีอะไรกับตรีอีกรึเปล่าคะ”
ชญานนท์หยุดเดินแล้วหมุนตัวมาทางตรีอัปสร สบตานิ่ง
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากให้คุณดูแล รักษาภาพพจน์ของ นางสาว ณสยามไว้ให้ดี”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ เลิกคิ้ว ย้อนถาม “แล้วตรีทำอะไรที่ไม่รักษาภาพพจน์บ้างล่ะคะ”
“ผมก็แค่มาเตือนไว้ก่อน เพราะผมว่าคุณน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”
“คนเราบางทีก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันค่ะ ต้องให้คนอื่นช่วยเตือน ช่วยบอก”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ บางทีสิ่งที่คุณเห็น สิ่งที่คุณมโนไปเอง อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้”
ชญานนท์หันมามองตรีอัปสรเต็มตา แววตาสนใจ และเริ่มสนุกไปกับความฉลาดปราดเปรียวของตรีอัปสร เหมือนได้ลับสมองประลองปัญญา
“แล้วผมควรทำยังไง”
ตรีอัปสรยิ้ม “ง่ายมากค่ะ ข้อ 1 ถ้าสงสัย อยากรู้ ก็ต้องถามเลยค่ะ อย่าเก็บไว้”
“ถามแล้วผมจะได้คำตอบจริงๆ เหรอ”
“คุณก็ต้องเชื่อใจเค้าซิคะ แต่ถ้าไม่เชื่อใจก็ไปข้อที่ 2 ค่ะ ถ้าถามแล้วแต่ไม่เชื่อในคำตอบก็ต้องคุม...คุมให้อยู่ในสายตา ว่าแต่จะกล้าคุมหรือเปล่าล่ะคะ”
“ถ้าจำเป็นก็คงต้องทำ ผมจะได้ไม่ต้อง...มโนไปเอง ใช่ไม๊”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “ค่ะ...จะเริ่มเลยไม๊คะ”
ชญานนท์เดินมาถึงรถกับตรีอัปสร เขาหันมามองบอกลา
“ราตรีสวัสดิ์”
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
ตรีอัปสรยกมือขึ้นแตะริมฝีปากส่งจูบ แล้วเอื้อมมือไปแตะที่แก้มของชญานนท์เบาๆ ชญานนท์มองเหมือนเคลิ้มไปชั่วขณะจิตก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นรถ สตาร์ทรถออกไปอย่างเร็ว
ตรีอัปสรมองตามไปแล้วยิ้มนิดๆอย่างพอใจ

ในสวนสวยบ้านชญานนท์เช้านี้ มุกตาภาเกรี้ยวกราดใส่พี่ชายเต็มที่
“เป็นไงล่ะคะ ผิดปากมุกไม๊ มุกไม่ยอมให้นังตรีอัปสรมันคาบคุณนะไปหรอกนะคะ...พี่นนท์”
ชญานนท์เอ็ด “เบาๆ หน่อย พี่ไม่อยากให้คุณพ่อได้ยิน”
มุกตาภาพยายามระงับอารมณ์ “แต่ยังไงมุกก็ไม่ยอมหรอกนะคะ อย่าคิดว่าเป็น นางสาว ณ สยาม เป็นนางเอกละคร แล้วมุกจะยอมให้มันทำอะไรก็ได้ตามใจมันนะคะ”
“พี่จะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
“จัดการยังไงคะ”
“พี่ก็มีวิธีการของพี่ มุกเองก็ต้องหยุดโวยวาย”
มุกตาภาแปลกใจ “พี่นนท์รู้ใช่ไม๊คะ ว่ามุกรักคุณนะมากแค่ไหน ก่อนที่จะเจอตรีอัปสรคุณนะก็รักมุก ไม่งั้นเราจะหมั้นกันเหรอคะ ถ้าไม่ใช่เพราะนังนั่น...”
พูดเท่านั้นน้ำตาที่คลออยู่ ก็หยดรินลงมา ชญานนท์มองมุกตาภาอย่างเห็นใจและสงสารน้อง
“ตั้งแต่คุณนะ กลับมาจากอังกฤษ คุณนะก็เปลี่ยนไป มุกพยายามใจเย็นพยายามเข้าใจ ไม่อาละวาด แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ยิ่งนับวัน...ยิ่งมากขึ้นนะคะพี่นนท์”
ชญานนท์บอกเสียวงเข้ม “พี่จะแยกตรีอัปสรออกมาให้”
มุกตาภาชะงักกึก มองชญานนท์อย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะคะ พี่นนท์จะแยกนังนั่นออกมายังไงคะ”
“ตรีอัปสรกำลังจะมีงานละคร ไหนจะต้องเรียนการแสดง ไหนจะภารกิจนางสาว ณ สยาม เจองานมากขนาดนี้ แยกได้ไม่ยากหรอก”
“พี่นนท์แน่ใจเหรอคะ”
“พี่ว่าน่าจะได้ผลนะ ระยะทาง กับเวลา ทำให้คนเลิกกันมาเยอะแล้ว มุกเองก็ต้องหาเวลาไปอยู่กับคู่หมั้นให้มากขึ้น”
“ค่ะ ขอบคุณพี่นนท์มากนะคะ ที่ช่วยมุก”
ชญานนท์ไม่ตอบแต่ยิ้มให้กำลังใจน้องสาว

ตอนสายวันนี้ ตรีอัปสร นั่งจิบกาแฟอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ใบหน้าสวยงามสดใส แววตาอ่อนละมุน ดูออกว่ามีความสุข ดารินทร์เดินออกมา จับตาดูท่าทีของลูกสาวแล้วเดินเข้ามาหา
“ตื่นแต่เช้าเชียวนะ...วันนี้”
ตรีอัปสรหันมายิ้มให้ “วันนี้ต้องเข้าไปที่สถานีค่ะ”
ดารินทร์มองตรีอัปสรอย่างพิจารณา “แม่ว่าวันนี้ แกดูสวยใสเปล่งปลั่ง ผิดปกตินะ”
ตรีอัปสรขำๆ อารมณ์ดี “ผิดปกติอะไรแม่ ก็เหมือนเดิม...ตรีไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
ดารินทร์ตั้งข้อสังเกต “หรือว่า แกกำลังมีความรัก”
ตรีอัปสรชะงักไปนิดหนึ่ง จึงหันมาทางดารินทร์ “ความรักอะไรล่ะแม่ ตรียังไม่มีใคร แม่ก็รู้”
“ชั้นไม่รู้ เรื่องอยู่ในใจแก ชั้นจะไปรู้ได้ยังไง ขอแค่แกอย่าไปหลงรักคนมีเจ้าของก็แล้วกัน จะคุณนะ...คุณนนท์ ก็อย่าไปยุ่งกับเค้า” ดารินทร์เตือนด้วยความหวังดี
“ตรีนึกว่า แม่อยากให้ตรีแย่งคุณนนท์ แก้แค้นยายคุณป้ามหาภัย ให้ลูกมันผิดหวังซะอีก”
“อย่าดีกว่า แกจะเหนื่อยซะเปล่า”
ตรีอัปสรฉงน “ทำไมแม่คิดยังงั้นล่ะ”
“แกดูไม่ออกหรือมองไม่เห็น หะ ยายตรี คุณชญานนท์เค้ารักยายอรสินีมาก แล้วไอ้ความมากของเค้า มันก็แผ่กระจายออกมากระแทกคนรอบๆ ตัวได้เลย แกไม่รู้สึกเลยเหรอ ยายตรี”
ตรีอัปสรไม่สบอารมณ์ ลุกขึ้น “แม่จะไปเอาอะไรกับอารมณ์ของคน เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิก เดี๋ยวเกลียด ไม่มีอะไรแน่นอน”
ดารินทร์ขมวดคิ้ว “พูดแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย อย่าบอกนะ ว่าแกไปแอบรัก แอบชอบคุณนนท์”
ตรีอัปสรปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า...”
“ปฏิเสธเสียงสูงขนาดนี้ ชักจะไว้ใจไม่ได้แล้ว ระวังตัว ระวังใจให้ดีแล้วกัน ชั้นไม่อยากให้แก น้ำตาเช็ดหัวเข่า”
ตรีอัปสรทำหน้าเซ็งๆ “ตรีเนี่ยนะ” พร้อมกับเบ้ปากอย่างถือดี “ไม่มีทาง”
“ชั้นว่าช่วงนี้แกอย่าหาเรื่องดีกว่า เรื่องคุณอัศยังไม่จบ ชั้นขี้เกียจช่วยแกแก้ปัญหาใหม่”

ขณะเดินแยกไปตรีอัปสรมีสีหน้าละอายใจเล็กๆ เมื่อแม่พูดถึงนายพลอัศวิน ดารินทร์มองตามอย่างกังวลและเป็นห่วง

ปีกมงกุฎ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ในขณะที่วรัญญานั่งอ่านหนังสืออยู่กับเจ๊หนึ่ง ตรงมุมรับรอง ซักครู่ ทิปปี้เดินมากับภารดีและกัลยาณี วรัญญาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเลิกคิ้วฉงน

“มากันพร้อมหน้า พร้อมตาเลยนะ”
ภารดีบอก “ชั้นก็เป็น 1 ใน 5 เหมือนกัน ถ้ามีอะไรพิเศษ กองประกวดก็ต้องตามตัวเป็นธรรมดา ใช่ไม๊ ณี”
“ใช่”
ภารดีบอกอีก “แล้วนัง สาว ณ สยาม กับรอง ยังไม่ยุรยาตรมาอีกเหรอ”
“นั่นซิ เสียมารยาทจริงๆ แทนที่จะตรงเวลา นี่ถ้ามาถึงน่ะ ก็ต้องบอกว่า รถติดม๊าก...มากค่ะ” ทิปปี้ว่า
“หรือไม่ก็บอกว่า ลืมกระเป๋าสตางค์ค่ะ” ภารดีทำท่าทาง น้ำเสียงเลียนแบบตรีอัปสร
เจ๊หนึ่งด่า “โอย นิสัยไม่มีพัฒนาการกันเลยนะยะ มาถึงก็ไม่ดูซ้ายขวาหน้าหลังเลย คราวหน้าช่วยหัดแหกตาก่อนแหกปากน่ะ”
“อรสินีกับตรีอัปสรอยู่ในห้องคุณดิษฐ์ กำลังคุยเรื่องละคร”
คำพูดวรัญญา ทำเอาทั้งทิปปี้ ภารดี และกัลยาณีชะงักหันหน้าเข้าหากัน

ขณะเดียวกันภายในห้องประชุมช่อง ไทยเท็น คุณดิษฐ์รับเอกสารมาจากมุกตาภา มีอรสินี ตรีอัปสร ชญานนท์ และรัตน์นั่งอยู่ด้วย
“ได้หนังสือไปอ่านกันแล้วใช่ไม๊”
อรสินีและตรีอัปสรรับ “ค่ะ” พร้อมกัน
คุณดิษฐ์ก้มหน้าอ่านรายละเอียด แล้วเงยหน้าขึ้นมองอรสินี ตรีอัปสร
“เรื่องนี้มีตัวเด่น 2 ตัว คือ ทักษิกา กับ พัชราพร แต่เรายังไม่วางลงไปว่าใครเล่นเป็นตัวไหนนะครับ”
มุกตาภาเอ่ยขึ้น “แต่มุกว่า อรเป็นพัชราพรจะเหมาะกว่านะคะ เพราะพัชราพร เรียบร้อย อ่อนหวานเหมือนบุคลิกของอร”
คุณดิษฐ์บอกว่า “แต่พ่ออยากให้ทั้งสองคนเรียนการแสดงก่อน แล้วเราค่อยวางตัวละคร”
รัตน์เลื่อนแฟ้มส่งให้ตรีอัปสรและอรสินี มุกตาภามองรัตน์อย่างหมั่นไส้
“นี่เป็นตารางเรียนการแสดงค่ะ”
“เราจะเปิดกล้องต้นเดือนหน้า ช่วงนี้ก็เข้าคลาสเรียนแอคติ้งกันไปก่อน จะได้มีพื้นฐานการแสดงในคลาสนอกจากคุณ 2 คนแล้ว ก็ยังมี วรัญญา ภารดีและก็กัลยาณีด้วย” ชญานนท์กล่าว
ตรีอัปสรถามขึ้น “แล้วพระเอกล่ะคะ เป็นพระเอกใหม่หรือเปล่าคะ”
“พระเอก 2 คน มีทั้งใหม่และเก่า ช่วงบ่ายเรามีแคสติ้งพระเอกใหม่...ใช่ไม๊ คุณมุก”
“ใช่ค่ะ”
คุณดิษฐ์เอ่ยขึ้น “คุณรัตน์พาอรสินีกับตรีอัปสรไปที่คลาสแอคติ้งด้วยนะ”
“ค่ะ” รัตน์หันมาทางอรสินีและตรีอัปสร ทั้งคู่ขยับลุกขึ้น ยกมือไหว้คุณดิษฐ์แล้วเดินออกไป พอประตูปิดลง มุกตาภาก็หันมาทางคุณดิษฐ์ทันที
“ทำไมพ่อไม่วางตัวละครไปเลยล่ะคะ ก็เห็นอยู่ว่า อรควรจะเล่นบทนางเอก ส่วนนางอิจฉาก็ให้ยายตรีอัปสรเล่น”
“พ่อบอกแล้วไงว่าขอดูเค้าเรียนการแสดงก่อน เอาเวลาที่เถียงกับพ่อไปแคสติ้งพระเอกที่มุกเลือกมาดีกว่า นนท์ไปดูตอนแคสติ้งด้วยนะ
มุกตาภาหน้าบึ้ง ขัดใจ แต่เถียงไม่ออก

ในห้องแคสติ้งนักแสดงในสตูดิโอ ช่องไทยเท็น ตอนนั้น วุฒิ แฟนหนุ่มของแพรวเพื่อนสนิทมุกตาภาแสดงตามบทที่ได้รับ โดยมีชญานนท์ อาจารย์ดรีมริกา ไมค์ มุกตาภา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ วุฒิพูดตามบทที่ได้รับ
“พัชราพร คุณไม่มีสิทธิ์จะไปใส่ร้ายคุณทักษิกานะ ผมรู้จักทักษิกาดีเธอไม่มีวันทำอะไรชั่วร้ายแบบนั้นแน่นอน ผมขอเตือนคุณเป็นครั้ง สุดท้าย ถ้าผมรู้ว่าคุณแกล้งทักษิกาอีก ผมจะบอกคุณมารวิภา คุณแม่ของคุณ”
วุฒิเล่นค่อนข้างใช้ได้ ดรีมริกามองอย่างพอใจ แล้วหันมาทางชญานนท์
“เป็นยังไงมั่งฮะ”
“ก็โอเค ครับ”
ดรีมริกาหันมาทางวุฒิ “โอเค...ออกไปรอข้างนอกก่อนนะฮะ”
วุฒิพยักหน้าแล้วเดินออกไป
มุกตาภาถามอีก “เป็นยังไงมั่งคะ คุณดรีม โอเค ไม๊คะ”
“ก็โอเคนะฮะ แอคติ้งใช้ได้ แต่ยังไม่โดดเด้งถึงขั้นเป็นพระเอกได้ เราคงต้องหามาแคสอีกฮ่ะ”
“พี่เห็นด้วยกับอาจารย์ดรีมนะ เราอาจจะหาบทให้เค้าแสดง แต่คงไม่ถึงขั้นพระเอก มุกมีใครมาแคสอีกรึเปล่า”
“ไม่มีแล้วค่ะ” มุกตาภาบอก
ชญานนท์หันไปทางดรีมริกา “อาจารย์มีใครที่หน่วยก้านดี ดูดี พอจะเป็นพระเอกของช่องเราได้บ้างไม๊ครับ”
“ก็พอมีค่ะ จะลองนัดมาแคสดูนะฮะ”
“ครับ”
“ดรีมขอไปดูสาวๆก่อนนะฮะ”
ดรีมริกาเดินแยกออกไป มุกตาภาหันมามองชญานนท์อดขำท่าทีน้องไม่ได้ “เพื่อนเหรอ”
มุกตาภาทำหน้าเซ็งๆ “เพื่อนแฟน แล้วก็เป็นแฟนเพื่อนค่ะ”

มุกตาภานัดเจอ แพรว และ วุฒิ ที่ร้านกาแฟ แพรวยิ้มให้ หันไปมองวุฒิที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วหันมา
“ไม่ได้เป็นพระเอกก็ไม่เป็นไรหรอก ใช่ไม๊วุฒิ”
“ก็ผิดหวังนิดนึง แต่ก็ไม่เป็นไร”
“แต่มุกจะหาบทดีๆ ให้ ยังไงก็ได้เล่นละครแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่คุณวุฒิเป็นหู เป็นตาให้มุกเรื่องคุณนะ ก็โอเคแล้วค่ะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ผมจะช่วยสอดแนมให้”
“ถ้าวุฒิได้เข้าไปแสดง ก็จะช่วยดูยายตรีอัปสรได้ด้วย เพราะเล่นละครด้วยกัน จริงไม๊” แพรวว่า
มุกตาภาพยักหน้า “ใช่”
“แล้วตอนนี้ ยายนั่น เป็นไงมั่ง เธอต้องหาทางสกัดจุดดาวรุ่งมันให้ได้นะ”
มุกตาภาไม่ตอบ แต่มีสีหน้าครุ่นคิด หนักใจไม่ใช่น้อย

ในห้องเรียนการแสดงตอนนี้ ตรีอัปสรมองกล้อง แววตาร้อนแรง ยั่วยวน
“ทักรักคุณฤทธิ์ที่สุด แล้วทักก็รู้ว่าคุณฤทธิ์ก็รักทัก...ทักจะไม่มีวันให้ใครหรืออะไรมาแยกเราจากกันได้ค่ะ...ทักสัญญา”
จบประโยค ตรีอัปสรก็มองกล้องอย่างรักใคร่ เทิดทูน ซักครู่มีเสียงตบมือดังขึ้น เห็น อรสินี ภารดี วรัญญาและกัลยาณี นั่งอยู่ด้วย ดูตรีอัปสรแสดงอยู่กลางห้อง ภารดีทำหน้าเบ้ หมั่นไส้ แต่ก็พยายามเก็บอาการ
“เก่งมาก หนูตรี ครั้งแรกของการแสดง ทำได้เท่านี้ก็สุดยอดแล้ว”
ตรีอัปสรยกมือไหว้ดรีมริกา
“ขอบคุณมากค่ะ ตรีแสดงได้ก็เพราะอาจารย์ดรีมพูดให้ตรีมีอินเนอร์ค่ะ”
ภารดีเบ้ปาก “สตรอว์เบอร์แหล....จริงๆนังนี่”
วรัญญาหันมามองภารดี “ก็เพราะสรตอว์เบอร์แหลนี่แหละ ถึงได้ตีบทแตก”
“สงสัยชั้นต้องใช้ความแหลให้เป็นประโยชน์แบบนังนี่ซะแล้ว” ภารดีว่า
กัลยาณีพูดแทรกขึ้น “ชั้นว่าถ้าเธอเอามาใช้จริงๆ เธอต้องเล่นดีกว่ายายตรีอัปสรสิบเท่า”
ภารดีคิดไม่ทัน ยิ้มพอใจ “มันแน่นอนอยู่แล้ว”
วรัญญากับกัลยาณีมองหน้ากันแล้วอมยิ้มขำ ภารดีทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ หันมาทางกัลยาณี
“นี่เธอว่าชั้นตอแหลกว่ายายตรีสิบเท่าเหรอ”
เสียงอาจารย์ดรีมริกาขัดขึ้น “เอ้า เม้าท์อะไรกันยะ ตั้งใจกันหน่อย”
ทั้ง 3 สาวหยุดทันที หันมามองที่กลางห้องเห็นอรสินียืนแสดงตามบทอยู่
“ถ้าไม่รักก็บอกมาเถอะค่ะ อย่าหลอกลวง หลอกล่อให้พัชเจ็บไปมากกว่านี้เลยค่ะ พัชไม่มีแรงต่อสู้กับใครอีกแล้ว ถ้าคุณฤทธิ์จะไปก็ไปเถอะค่ะ”
อรสินีนัยน์ตาเศร้าหมอง

ชญานนท์เดินนำอรสินีมา ทั้งคู่เดินออกไปด้านนอกคู่กัน ตรีอัปสรเดินออกมาจากอีกด้านหนึ่ง หยุดยืนมองชญานนท์ที่เดินไปกับอรสินี ตรีอัปสรมองตามไปด้วยสายตาหมั่นไส้
เสียงเยาะหยันของภารดีดังขึ้น “อิจฉา จนตาร้อนผ่าวเลย”
ตรีอัปสรหันไปมองเห็นภารดีเดินมากับทิปปี้ วรัญญา เจ๊หนึ่ง และกัลยาณี โดยเดินมาเป็นกลุ่ม ตรีอัปสรมองอย่างดูถูกทั้งกลุ่ม ก่อนที่จะขยับเดินไป
“จะไม่ทักทายกันซะหน่อยเหรอฮะ ในฐานะคนรู้จัก” เจ๊หนึ่งตำหนิ
ทิปปี้เสริม “หรือว่าได้ตำแหน่งแล้วหยิ่งฮะ”
วรัญญาเดินมาใกล้ตรีอัปสร “ไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย สบายดีนะ ตรี”
“สบายดี ยกเว้นตอนนี้ ขอตัวนะ”
ตรีอัปสรพูดหยิ่งๆ แล้วเดินเชิดแยกไป ภารดีกับกัลยาณีเดินมาประกบวรัญญาคนละข้าง
“นังนี่มันชอบสร้างศัตรูเป็นหมู่คณะจริงๆ”
“อย่าไปสนใจเลย คนกำลังหึงหน้ามืดก็ยังเงี้ย” วรัญญาแขวะ
เจ๊หนึ่งแทรกเข้ามา “ยายตรีชอบคุณนนท์เหรอ เอ๊ะ แต่ก่อนหน้านี้คุณนนท์ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับยายตรีมากกว่ายายน้องอรนะ”
ทิปปี้บอก “ของแบบนี้มันพลิกโผกันได้ย่ะ”
“ใช่ มีสิทธิ์พลิกมาถึงหนูดีเลยละ คอยดูต่อไปก็แล้วกัน ปะ พี่ทิปปี้”
ภารดีควงแขนทิปปี้เดินออกไป วรัญญามองตาม เบ้ปากเซ็งๆกับคำพูดของภารดี
“ยายหนูดี นี่นอกจากจะขี้อิจฉาแล้วยังเพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ เสนอหน้าจริงๆ”
วรัญญาหันมาเห็นกัลยาณียืนฟังอยู่ด้วย
“อย่าไปอยู่ใกล้ยายนั่นมากๆ ล่ะ เดี๋ยวจะติดเชื้อมาไม่รู้ตัว”
วรัญญาสะบัดหน้าแล้วเดินไปกับเจ๊หนึ่ง ทิ้งกัลยาณีให้ยืนอยู่คนเดียว
กัลยาณีมองตามไป “ชั้นว่าเธอติดเชื้อก่อนชั้นอีก...ยายรัญ”

ชญานนท์นั่งที่เก้าอี้ในสนามหญ้า อรสินีเดินเข้ามาทรุดตัวนั่ง มีน้อยเอาเครื่องดื่มมาวางให้
“วันนี้เรียนแอคติ้งเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีค่ะ” อรสินีทอดถอนใจ “แต่อร กลัวทำไม่ได้ กลัวทำแล้วไม่ดี”
ชญานนท์จับมืออรสินีให้กำลังใจ “อย่ารีบกลัว ดักหน้าไปก่อนซิคะ พี่เชื่อว่าน้องอรต้องทำได้”
อรสินียิ้มอ่อนๆ “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ ว่าไปๆมาๆ อรจะถลำลึกมาไกลขนาดนี้ตั้งใจว่าประกวด นางสาว ณ สยาม จบก็กลับมาทำงานให้คุณพ่อเหมือนเดิม แต่กลายเป็นว่า นอกจากประกวดแล้ว ยังมาเล่นละครต่ออีก”
ชญานนท์มองอรสินีอย่างเห็นใจ “พี่นนท์ก็มีส่วนผิดที่ดึงน้องอรเข้ามา ทั้งๆ ที่ตอนแรกพี่ก็ไม่เห็นด้วยกับการประกวด”
อรสินียิ้ม “ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ บางทีทุกอย่างอาจจะถูกกำหนดไว้แล้วก็ได้ ว่าอรต้องเป็นแบบนี้”
ชญานนท์พูดล้อๆ “เป็นซุปตาร์ของประชาชนน่ะเหรอ”
อรสินีหัวเราะ “ถ้าอรเป็นซุปตาร์จริงๆ พี่นนท์จะทำยังไงคะ”
“พี่ก็จะมีเจ้าสาวเป็นซุปตาร์น่ะซิ”
อรสินียิ้มนิดๆ แล้วนิ่งคิดก่อนจะถอนหายใจ “แล้วถ้าเกิดอรเล่นละครแล้วแป้กล่ะคะ จะทำยังไง”
“คิดมากอีกแล้วนะเรา ละครจะดังจะแป้ก น้องอรก็ยังเป็นน้องอรของพี่นนท์เหมือนเดิมล่ะค่ะ โอ.เคไม๊คะ”
อรสินีมองชญานนท์แล้วยิ้มให้กัน

เย็นนั้น นายพลอัศวินนอนนิ่งอยู่บนเตียง ตากลอกไปมา เห็นณเดชย์ยืนจับมือพ่ออยู่
“คุณพ่อต้องเข้มแข็งไว้นะครับ ผมเชื่อว่าคุณพ่อจะต้องหาย คุณพ่อก็ต้องเชื่อเหมือนกับผม”
มุกตาภาเดินเข้ามายืนข้างณเดชย์ เอื้อมมือไปจับมือท่านพายพล
“เราเป็นกำลังใจให้คุณพ่อนะคะ”
นายพลอัศวินมองณเดชย์และมุกตาภา น้ำตาไหล มุกตาภามองแล้วสงสาร พลอยร้องไห้ไปด้วย ณเดชย์หันมามองมุกตาภาเพราะได้ยินเสียงสะอื้น ก่อนจะประคองมุกตาภาไปนั่งที่เก้าอี้ พูดเสียงอ่อนโยน
“อย่าร้องไห้ให้คุณพ่อเห็น ผมไม่อยากให้ท่านใจเสีย”
มุกตาภาพูดเบาๆ “มุกขอโทษค่ะ แต่มุกสงสารคุณพ่อ”
ณเดชย์มองมุกตาภา โอบกอดปลอบ มุกตาภาอิงซบร้องไห้เบาๆกับอกเขา เสียงเคาะประตูดังขึ้นและประตูเปิดออก เห็นตรีอัปสรเดินเข้ามา พอเห็นตรีอัปสรธเดชย์ก็ขยับลุกขึ้นพุ่งมาหาทันทีโดยไม่สนใจมุกตาภา
“ตรี”
ตรีอัปสรขยับตัวออกห่างณเดชย์ที่พุ่งเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ คุณนะ คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ”
ตรีอัปสรขยับจะเดินเข้าไปหานายพลอัศวิน แต่หันมาเห็นมุกตาภาก่อน
“อุ๊ย คุณมุก ขอโทษค่ะ ตรีไม่ทันเห็น สวัสดีอีกครั้งนะคะ”
มุกตาภามองตรีอัปสรอย่างหมั่นไส้ แต่ไม่กล้าออกอาการใดๆ ตรีอัปสรทักทายเสร็จก็หันไปไม่สนใจมุกตาภา เดินไปหานายพลอัศวินซึ่งนอนอยู่ สองคนสบตากันจังๆ
“คุณลุง เป็นยังไงบ้างคะ”
นายพลอัศวินครางในลำคอ ส่งเสียงออกมา อือๆ อาๆ ณเดชย์เดินมายืนดูใกล้ๆ
“คุณพ่อ คงอยากทักทายคุณ”
“ค่ะ”
“หายเร็วๆ นะคะ คุณลุง ตรีเป็นกำลังใจให้นะคะ”
นายพลนักรักส่งเสียงอืออา อยู่ในลำคอ ณเดชย์ขยับเข้ามาใกล้ มองตรีอัปสรอย่างดีใจ ตรีอัปสรยิ้มให้ มุกตาภามองภาพณเดชย์กับตรีอัปสร อย่างโกรธจัด ตรีอัปสรปรายหางตามองมุกตาภาแล้วหันไปยิ้ม
หวานกับณเดชย์เหมือนจงใจยั่ว

ชญานนท์ช่วยอรสินีทำสลัดอยู่ในครัว เสียงโทรศัพท์ของชญานนท์ดังขัดจังหวะสองคนซึ่งกำลังมีความสุขอยู่
“รับโทรศัพท์ก่อนค่ะ พี่นนท์”
“ขอเวลาส่วนตัวซัก 2 ชั่วโมงเถอะ เดี๋ยวค่อยโทร.กลับ”
อรสินีมองโทรศัพท์ของชญานนท์ที่วางอยู่ เห็นชื่อ “มุก” โทร.มา จึงหันมาทางชญานนท์
“มุกโทร.มาค่ะ อาจจะมีเรื่องด่วนนะคะ...พี่นนท์”
“โอเค ค่ะ...รับก็ได้” ชญานนท์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ฮัลโหล”

ตรงมุมหนึ่งในโรงพยาบาล มุกตาภาพูดไปร้องไห้ไป
“ไหนพี่นนท์บอกว่านังนั่นมันจะมีงานเยอะยุ่งจนไม่มีเวลามายุ่งเกี่ยวกับคุณนะไงคะ ทำไมมันยังมาลอยหน้าอยู่ที่นี่กับคุณนะอยู่ล่ะคะ แล้วคุณนะ พอเจอนังตรีอัปสรก็ไม่สนใจมุกเลย เหมือนมุกไม่มีตัวตน เหมือนในโลกนี้มีเค้ากับนังมารนั่นสองคน พี่นนท์ พี่นนท์ต้องช่วยมุกนะคะ กว่าละครจะเปิดกล้อง นังนี่มันต้องคาบคุณนะไปกกไม่ปล่อยแน่ มุกต้องตายแน่ๆ เลยค่ะ”
มุกตาภาพูดไปร้องไห้คร่ำครวญ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น

ชญานนท์มีสีหน้าเครียด กังวลเป็นห่วง ได้แต่ปลอบ
“ใจเย็นๆ มุก ใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่ดูให้”
ชญานนท์หันมามองอรสินี ซึ่งมองมาตาแป๋ว ชญานนท์ยิ้มให้นิดหนึ่ง ก่อนจะขยับลุกขึ้นไปพูดโทรศัพท์ต่อ
“พี่สัญญาแล้ว พี่ต้องทำตามสัญญา หยุดร้องไห้ได้แล้ว โอเคนะ”
ชญานนท์กดสายโทรศัพท์แล้วหันมาเจออรสินีมองอยู่อย่างสนใจ
“มีอะไรเหรอคะ พี่นนท์ มุกเป็นอะไรคะ”
ชญานนท์พยายามพูดให้ปกติที่สุด “งอแง เอาแต่ใจ ตามประสา ลูกสาวคนเล็กน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
อรสินีเลิกคิ้วถามทีเล่นทีจริง “เป็นความลับเหรอคะ”
ชญานนท์ยิ้ม “ไม่มีความลับค่ะ พี่จะมีความลับกับน้องอรได้ยังไงล่ะคะ”
“เพียงแต่ว่าบางเรื่องอาจจะไม่บอก ใช่ไม๊คะ” อรสินีเย้าขำๆ
“เดี๋ยวนี้หัดดักคอพี่นะ อีกหน่อยแต่งงานกันไป สงสัยพี่โดนต้อนจนมุมแน่หิวแล้วอะค่ะ”
ชญานนท์ทำท่าอ้อนเหมือนหิวมาก อรสินียิ้มหวาน
“เสร็จแล้วล่ะค่ะ ทานได้เลย”
ชญานนท์เดินคลอคู่ไปกับอรสินี แต่สีหน้าแอบมีกังวล

มุกตาภาเช็ดน้ำตาจนแห้ง พยายามจัดหน้าตาให้ปกติที่สุด แต่สีหน้าทั้งแค้นใจ และเจ็บใจ
“นังตรีอัปสร นังมารร้าย ชั้นไม่มีวันให้แกฉกคุณนะไปจากชั้นเด็ดขาด นังงูพิษ”
สีหน้ามุกตาภาเคียดแค้นชิงชัง ตรีอัปสรสุดจะประมาณ

ฝ่ายตรีอัปสรมองนายพลอัศวินเหมือนสงสารและเห็นใจเหลือเกิน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หล่อนคิดแค้นในใจ
“ถ้ายังไม่อยากตาย ก็ขอให้อยู่สภาพนี้ตลอดไปนะคะ คุณลุง คุณลุงคงทำกรรมกับผู้หญิงไว้มาก...กรรมมันก็เลยตามทัน จะตายก็ไม่ตาย ต้องทนทรมานนอนเป็นขอนไม้”
“คิดอะไรอยู่เหรอ...ตรี”
ตรีอัปสรหันมามอง “สงสารคุณลุงค่ะ ตรีภาวนาขอให้คุณลุงหายเร็วๆ”
ตรีอัปสรเหมือนนึกอะไรได้ มองซ้าย มองขวา ก่อนจะหันมาทางณเดชย์
“ตายจริง แล้วนี่คู่หมั้นคุณหายไปไหนคะ ตรีมัวแต่ดูคุณลุงไม่ทันสังเกตว่า คุณมุกออกไปตอนไหน”
“เห็นบอกว่าจะไปหาอะไรมาทานนะ...เดี๋ยวก็คงมา”
“งั้นตรีกลับก่อนดีกว่าค่ะ อยู่นานมากจะไม่ดี”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย คิดมากน่ะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “คิดมากไว้น่ะดีแล้วค่ะ จะได้รอบคอบ ตรีไม่อยากให้คุณมุกเข้าใจผิด”
“ไม่ผิดหรอก นั่นน่ะเข้าใจถูก”
ตรีอัปสรหันมามองนายพลอัศวินแล้วหันกลับมาหาณเดชย์ นายพลอัศวินมองสองคนอยู่ และได้ยินทุกอย่าง
“ตรีกลับดีกว่าค่ะ” นางสาว ณ สยาม หันมาทางท่านนายพลยกมือไหว้ “ตรีกลับก่อนนะคะ คุณลุง” พลางเอื้อมมือไปจับมือนายพลอัศวิน “ขอให้หายเร็วๆนะคะ”
ตรีอัปสรจดสายตามองนายพลอัศวินอย่างเย็นชาและกระด้าง ก่อนจะหันมาทางณเดชย์
“ตรีไปนะคะ”
“ผมเดินไปส่งที่รถ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ตรีอัปสรขยับไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินไปที่ประตู แต่ประตูเปิดออกพร้อมกับมุกตาภาที่เข้ามาพอดี
“คุณมุกมาพอดีเลย คุณนะบอกว่าคุณมุกไปซื้อของมาทาน” ตรีอัปสรมองมุกตาภาที่มามือเปล่า “อ้าว ไม่ได้ซื้อมาเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรน่าทานก็เลยไม่ซื้อมา” มุกตาภาบอก
“อ๋อ...ค่ะ ตรีกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
ตรีอัปสรพูดจบก็เดินออกไปโดยทำเป็นไม่สนใจณเดชย์ ตรีอัปสรอมยิ้มร้ายขำมุกตาภานิดๆ ขณะเดินไปตามทางหน้าห้องพิเศษ
“นึกว่าชั้นไม่รู้เหรอ ว่าแกแอบโทร.ไปฟ้องพี่ชาย อยากรู้จริงๆ ว่า พี่ชายคนดีของเธอจะทำยังไง”
ตรีอัปสรมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

เช้าวันต่อมา ตรีอัปสรกำลังแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใกล้เสร็จแล้ว เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ดารินทร์เดินเข้ามาในห้อง ตรีอัปสรหันไปมอง
“อ้าว แม่เองเหรอ ตรีนึกว่าปิ๋ม”
“คุณนนท์มา” ดารินทร์บอก
ตรีอัปสรชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ
“มาแต่เช้าเนี่ยนะคะ เค้าบอกแม่รึเปล่าว่ามาทำไม”
“บอกว่าจะมารับแกไปเรียนแอคติ้ง”
ตรีอัปสรฉงน “มารับตรีเนี่ยน่ะ”
“ก็ใช่น่ะซิ มีอะไรรึเปล่าเนี่ย ชั้นว่าชักจะมีกลิ่นตุ ตุ...แล้วนะ”
“คิดมากน่ะแม่ ก็แค่คุณนนท์มารับตรี ไม่ได้มาขอแต่งงานซะหน่อย”
ดารินทร์มองตรีอัปสรอย่างจับตา “แต่ชั้นว่า แววตาแกมันแพรวพราวเหมือนคุณนนท์มาขอแต่งงานมากกว่านะ”
ตรีอัปสรขยับลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วหันมามองดารินทร์ พูดเย้า
“เหรอคะ คุณนายละเอียด ช่างสังเกตมากไปไม๊เนี่ย”
ตรีอัปสรเดินออกไปจากห้อง ดารินทร์มองตามอย่างเป็นกังวล

ชญานนท์เดินชมนกชมไม้อยู่ในสวนสวย ขณะตรีอัปสรเดินออกมาจากในบ้าน ชญานนท์หันมามองเห็นตรีอัปสรก็ยิ้มให้อย่างหว่านเสน่ห์เต็มที่ ก่อนจะเดินมาหา
ตรีอัปสรทัก “สวัสดีค่ะ”
“ทักเป็นทางการเชียวนะครับ”
“แล้วจะให้ตรีทักยังไงล่ะคะ อรุณสวัสดิ์ หรือว่า...อะไรดี”
ชญานนท์หัวเราะ “ก็ลองคิดคำทักทายที่กันเองกว่านี้ซิครับ”
ตรีอัปสรยิ้ม “ขอเป็นคราวหน้าแล้วกันนะคะ” หล่อนเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณแม่บอกว่า...คุณนนท์มารับตรีไปเรียนแอคติ้ง”
“ใช่ครับ”
ตรีอัปสรมองชญานนท์อย่างท้าทายเล็กๆ “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ผมขอข้ามข้อ 1 ที่คุณบอกว่า ถ้าสงสัย อยากรู้ แล้วให้ถาม ไปที่ข้อ 2 เลยได้ไม๊”
“คุณกำลังจะคุมตรีเหรอคะ”
“ผมบอกแล้วไง...ว่าถ้าจำเป็น ผมก็ต้องทำ”
ตรีอัปสรฉงน “อะไร ทำให้คุณคิดว่า จำเป็นคะ”
ชญานนท์ยิ้ม แววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม “อยากรู้จริงๆ เหรอ”
ตรีอัปสรยิ้มเขินกับท่าทางนั้นของเขา ก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น
“จะไปกันเลยไม๊คะ”
“โอเค..ครับ”
ตรีอัปสรเดินคู่กับชญานนท์ออกไปทางด้านข้างบ้าน ดารินทร์เดินออกมามองตามไป สีหน้าครุ่นคิดกังวล
“ชักจะยังไงๆ แล้วนะเนี่ย”

ตอนสายๆ สลิลทิพย์กับอรสินี เดินคุยกันเข้ามาในสถานีไทยเท็น
“อันที่จริง ให้ตานนท์แวะไปรับอรก่อนมาทำงานก็ได้น่ะ แม่จะได้ไม่ต้องมาส่ง ไหนๆ ก็มาที่นี่เหมือนกัน”
อรสินียิ้ม เขินนิดๆ “คุณแม่...อนุญาติให้อรกับพี่นนท์เปิดตัวได้แล้วเหรอคะ”
“ก็แค่ไปรับ ไปส่ง อรเองก็ต้องวางตัวให้ดี จะเปิดตัวยังไงก็ไม่ทำให้อรเสียหาย เสียชื่อได้หรอกลูก”
“ค่ะ”
“เราต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้สาวๆ สมัยนี้”
“ค่ะ”
สลิลทิพย์หยุดเดิน “แม่ส่งแค่นี้นะ...แม่มีนัดกับคุณป้าริสา”
“ค่ะ”
“แล้วถ้าเย็นนี้ พี่นนท์ไปส่งก็โทร.บอกแม่น่ะ..แม่จะได้ไม่ต้องมา”
“ได้ค่ะ” อรสินียิ้มพลางยกมือไหว้ลาแม่ “สวัสดีค่ะ”
สลิลทิพย์ยิ้มอย่างพอใจที่มีลูกสาวมารยาทดี ดึงลูกเข้ามากอดโชว์พนักงานที่เดินผ่านไปมา ให้เห็นถึงความรักของแม่ลูกแสนอบอุ่น ก่อนจะเดินแยกไป อรสินีเดินไปต่อ

ขณะที่อรสินีขึ้นบันไดเลื่อนมา หน้าตายิ้มแย้ม มองไปข้างหน้า พอหมุนตัวไปอีกทาง ต้องชะงักเมื่อเห็นชญานนท์เดินคู่มากับตรีอัปสร กำลังคุยอะไรบางอย่าง แต่เหมือนชญานนท์ได้ยินไม่ชัดจึงเอียงหูลงมาฟังใกล้ชิด ตรีอัปสรพูดอีกครั้ง คราวนี้ชญานนท์ได้ยินแล้วหัวเราะขำ ทั้งชญานนท์และตรีอัปสรหัวเราะหัวใคร่กันอย่างมีความสุข พากันเดินเลี่ยงไป

ภาพนั้นทำให้อรสินีมีสีหน้าเจื่อนลงนิดหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้ปกติแล้วเดินไปต่อ

ปีกมงกุฎ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา ภายในแอคติ้งคลาส อ.ดรีมริกา กำลังสอนแอคติ้งให้เหล่านางงามทั้ง 5 ที่คุณดิษฐ์เตรียมผลักดันเป็นนักแสดง อรสินี ตรีอัปสร ภารดี วรัญญา และกัลยาณี เรียนอยู่ด้วยกัน

คุณดิษฐ์กำลังดู Resume ของนักแสดงอยู่ในห้องทำงาน เสียงเคาะประตูดังขี้น
“เข้ามา”
เป็นชญานนท์ที่เปิดประตูเดินเข้ามาลงนั่งตรงข้ามบิดา “ดูอะไรอยู่ครับ คุณพ่อ”
“คุณดรีม เอา Resume พระเอกมาให้พ่อดู คนนี้น่าสนใจ”
ชญานนท์หยิบมาเปิดดู เห็นรูปและรายละเอียดของ เพชร คุณดิษฐ์พูดขยายความไปด้วย
“หน้าตาดี รูปร่างดี การศึกษาดี ครบถ้วนเลย แต่ต้องรอดูการแสดงว่าผ่านรึเปล่า”
ชญานนท์ถามเสียงเรียบ “คุณพ่อจะเอามาเป็นพระเอกเรื่อง เล่ห์ร้าย สายสวาทเหรอครับ”
“อ้าว ก็ใช่น่ะซิ เราทำละครเรื่องนี้แล้วจะให้พ่อเอาเค้าไปเป็นพระเอกเรื่องไหน พ่อจะให้ประกบคู่กับหนูอร”
ชญานนท์โพล่งขึ้นทันที “แต่ผมว่าไม่เหมาะครับ...อย่าเอานายนี่มาแสดงเลยครับ”
คุณดิษฐ์แปลกใจ “นนท์จะตัดสินว่าไม่เหมาะได้ยังไง ยังไม่เห็นฝีมือการแสดงเค้าเลย”
ชญานนท์บอก “เพราะผมรู้จักนายคนนี้ไงครับ”
คุณดิษฐ์เลิกคิ้วฉงน “เค้าเป็นเพื่อนนนท์เหรอ”
“เปล่าครับ เค้าเป็นรุ่นน้องผม เรียนที่มหาลัยเดียวกับน้องอร”
คุณดิษฐ์หรี่ตามอง อย่างสนใจ “เล่าให้จบซิ”
“นายคนนี้ เคยตามจีบน้องอร”
คุณดิษฐ์เปลี่ยนสีหน้า เป็นเข้าใจทะลุปรุโปร่ง “อ๋อ...แฟนเก่าหนูอรหรอกเหรอ”
ชญานนท์ถอนหายใจ คุณดิษฐ์มองลูกชายอย่างขำๆ
“เรื่องมันผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ตอนนั้น นนท์เองก็แว่บไปมีคนอื่นเหมือนกัน เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้ว...ไม่มีอะไรหรอก”
“คุณพ่อจะให้นายนี่มาเป็นพระเอกจริงๆ เหรอครับ” ชญานนท์ถามย้ำ
“ก็ต้องอยู่ที่ฝีมือการแสดงของเค้า อย่าเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันซิ” คุณดิษฐ์ปรามในที
ชญานนท์อึดอัดแต่พูดไม่ออก

ที่ห้องประชุม ช่องไทยเท็นเวลานี้ ปาน ผู้จัดละครชื่อดัง อ่านเอกสารในแฟ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ตรงข้ามเป็นรัตน์กับมุกตาภา และชญานนท์
“ปานขอบอกนะคะ ว่าเรื่องที่ไทยเท็นเลือกมาทำละครเป็นเรื่องที่ดีมาก...บทก็สนุก”
ชญานนท์เข้าประเด็น “ตกลงคุณปาน รับเป็นผู้จัดให้เรานะครับ”
“ปานต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ...ที่ต้องปฏิเสธ”
รัตน์แปลกใจไม่ต่างจากคนอื่น “อ้าว...ทำไมล่ะคะ”
ปานถอนหายใจเฮือก แจงเหตุผลยาวเหยียด “นางงามก็คือนางงามค่ะ นักแสดงก็คือนักแสดง เอามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้หรอกค่ะ พวกนางงามทำได้แค่ สวยไป สวยมา...จะให้เข้าถึงบทบาทการแสดง มันยากนะคะ แล้วนี่คุณเล่นวางนางงามเป็นนางเอก 1 เป็นตัวเอก 1 แล้วยังมีตัวรองๆ อีก 3 โอย...เจอเข้าไป 5 คน ปีนึงจะได้ปิดกล้องไม๊คะเนี่ย ถ้าไทยเท็นคิดจะปั้นนางงามเป็นนักแสดงปานว่า ส่งไปเรียนการแสดงซักปี สองปีก่อน แล้วค่อยเอามาแสดงดีกว่าค่ะ ประเภทเดือนหน้าจะเปิดกล้อง ปานขอบายค่ะ”

ชญานนท์ รัตน์ และมุกตาภา ยังอยู่ในห้องประชุม 3 คนหันมามองหน้ากัน ก่อนจะหันไปอีกทาง อู๊ด ผู้จัดมือทองอีกคนของช่อง
“ไม่ไหวฮ่ะ อู๊ดแพ้นางงาม อู๊ดไม่ได้อคตินะฮะ แต่อู๊ดเชื่อมั่น1000 % ว่านางงามไม่มีทางเป็นนักแสดงที่ดี ตีบทแตกได้ นอกจากมาเดิน นั่ง นอน ยืน พูด ประดับฉาก ให้ละครดูสวยงามขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วเราใช้ ดอกไม้สดประดับฉากแทนก็ได้ค่ะ...ถูกกว่า...สวยกว่าด้วย อู๊ดคงต้องปฏิเสธเหมือนคุณปานนะคะ”

เมื่อรูปการณ์ออกมาแบบนี้ คุณดิษฐ์จึงเรียกประชุมย่อยที่ห้องทำงานทันที มี ดรีมริกา รัตน์และชญานนท์ อยู่ในนั้น
“แล้วเราจะหาใครมาเป็นผู้จัดให้ล่ะครับ คุณดรีม”
ดรีมริกา นิ่งคิด “ดรีมจะลองไปคุยกับเพื่อนให้ฮ่ะ เป็นผู้จัดมืออาชีพเหมือนกัน ถึก ลุย ชอบของยาก น่าจะไม่มีปัญหา”
“แล้วพระเอกล่ะครับ ตกลงคุณดรีม แคสติ้งได้รึยังครับ” ชญานนท์ถาม
“อ๋อ...ได้แล้วฮ่ะ ไม่มีปัญหา ตั้งใจจะเปิดตัววันแถลงข่าวเลย”
รัตน์ยิ้มเย้า “เป็นความลับกับทีมงานด้วยเหรอคะ คุณดรีม”
ดรีมริกาหัวเราะ “เปล่าฮ่ะ ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร คุณดิษฐ์วางตัวละครเรียบร้อยรึยังฮะ....หรือจะให้ผู้จัดเป็นคนวาง”
ชญานนท์ตอบแทนบิดา “ผมรับหน้าที่นี้จากคุณพ่อมาแล้วครับ พรุ่งนี้ผมจะส่งให้คุณดรีมนะครับ”
“ได้ฮ่ะ ดรีมจะนัดผู้จัดของดรีมเข้ามาด้วย อืม...” ดรีมริกานึกขึ้นได้ “แล้วนี่ คุณมุกตาภาไปไหนคะ ดรีมไม่เห็นเลย”
ดรีมริกาหันไปทางชญานนท์ รัตน์ และคุณดิษฐ์ ชญานนท์มีสีหน้าครุ่นคิดตริตรอง

ทุกคนในห้องประชุม ต่างมีสีหน้าแววตาบ่งบอกอารมณ์ ตามจริตใครมัน ภารดี วรัญญา และกัลยาณี ดูจะเครียดจัด มีเพียงมุกตาภา ซึ่งนั่งอยู่ ด้วยสีหน้าสะใจ เยาะเย้ย ดูแคลน ก่อนจะกดปุ่มหยุดเสียงของ 2 ผู้จัดมือทอง จากโทรศัพท์มือถือ
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไม๊ ผู้จัดละครมือหนึ่ง มืออาชีพ ยังออกปากว่าไม่อยากทำให้” มุกตาภาทำเป็นถอนหายใจ “ถ้าชั้นเป็นพวกคุณ ชั้นกลับไปวงการขาอ่อนเหมือนเดิมดีกว่า ดูท่าจะเป็นนักแสดงไม่รุ่ง”
เสียงชญานนท์ดังขัดขึ้น “แต่ผมไม่คิดแบบนั้นนะ”
ทุกคนหันไปมองชญานนท์ มุกตาภาหน้าเสียเพราะไม่คิดว่า ชญานนท์จะเดินเข้ามาเงียบๆ
“ผมว่าคำพูดพวกนี้ น่าจะเป็นแรงผลักดันให้พวกคุณเอาชนะคำสบประมาทให้ได้ แล้วผมก็เชื่อว่าพวกคุณทำได้ ผมไม่เชื่อว่านางงามจะเป็นนักแสดงไม่ได้ แต่นักแสดงต่างหากที่อาจจะไม่มีคุณสมบัติเป็นนางงาม”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ เมื่อสบตากับชญานนท์ ภารดี วรัญญา กัลยาณี พลอยยิ้มมีความหวังไปด้วย ในขณะที่มุกตาภามีสีหน้าหงุดหงิด

สองพี่น้องอยู่ด้วยกันตรงมุมหนึ่งในช่องไทยเท็น
“พี่ไม่รู้ว่ามุกทำแบบนั้นเพื่ออะไร แต่ถ้าคุณพ่อรู้เข้า คุณพ่อต้องไม่พอใจแน่” น้ำเสียงชญานนท์ตำหนิกลายๆ
“มุกก็แค่อยากจะชี้ทางสว่าง ชี้ทางที่พวกนางงามควรจะทำให้พวกเค้าไงคะ”
“เรื่องทำละคร เรื่องนางงามมาแสดง เราเป็นคนเริ่มนะมุก คุณพ่อดึงนางงามมาแสดงละครแล้วมุกก็จะผลักไสไล่ส่งเค้าไป”
“ก็มุกไม่อยากให้คุณพ่อล้มเหลวกับละครเรื่องแรกนี่คะ ผู้จัดก็หาไม่ได้ พระเอกก็ยังไม่มี นางงามพวกนี้ก็งั้นๆ”
“คงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่อยากจะกำจัดตรีอัปสรใช่ไม๊ เพราะถ้าใช่ พี่ว่ามุกคิดผิดนะ ถ้าเราไม่ไว้ใจใคร เราก็ควรจะทำทุกอย่างให้เค้าอยู่ในสายตาเราจะดีกว่า เราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของเค้าไง”
ชญานนท์มองตาน้องสาว ท่าทีจริงจัง มุกตาภาหลบตาวูบอย่างเกรงๆ

เจ๊หนึ่งทรุดตัวลงนั่งตรงเก้าอี้พักตามทางเดิน มีวรัญญา ภารดี กัลยาณีนั่งอยู่ด้วย พร้อมกับทิปปี้
ตรีอัปสรนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวห่างออกไป
เจ๊หนึ่งวี้ดขึ้น “ต๊าย ยายไข่มุกนี่ มันมีพิษเหมือนกันนะ”
ทิปปี้เสริม “นั่นซิ เห็นหน้าอ่อนๆ นึกว่าจะโนะเนะ ที่ไหนได้...”
วรัญญาว่า “แสบแบบไม่ออกอาการไง”
ภารดีบอกอย่างหมั่นไส้ “แล้วก็เรียกแต่พวกเรานะ ทียายอรสินีกลับไม่เรียก ยายนั่นน่ะ...ไม่เหมาะกับการเป็นนักแสดงมากที่สุด”
“ก็เค้าเป็นเพื่อนกัน มีคนเม้าท์ในเนตว่ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก” กัลยาณีว่า
“ชั้นล่ะอยากจะเข้าไปบอกคุณดิษฐ์จริงๆ ว่านังลูกสาวหน้าแบ๊ว มันทำอะไรกับพวกเราไว้มั่ง” ภารดีแค้นไม่หาย
“เห็นด้วยค่ะ หนูดี...ไปกันเลยไม๊”
เจ๊หนึ่งบอก “ชั้นไปด้วย”
วรัญญาหงุดหงิด “โอ๊ย เจ๊ ก็เป็นไปกับเค้าด้วยเนอะ เรื่องมันจบไปตั้งแต่คุณนนท์เข้ามาพูดแล้ว จะไปตะกุยเรื่องขึ้นมาอีกทำไมเนี่ย”
กัลยาณีลุกขึ้น “ใช่...ชั้นเห็นด้วย สู้เอาไปเม้าท์ในเน็ตให้คนสงสัยดีกว่า ข่าวในเน็ตกระพือเร็วกว่าเยอะ”
กัลยาณีพูดจบก็เดินไป ทุกคนมองตามแล้วทิปปี้หันมามองภารดี เจ๊หนี่งหันมามองวรัญญา
“เรารีบกลับไปเข้าเวปกันเหอะ...หนูดี”
“ทันทีเลยค่ะ พี่ทิปปี้”
ทิปปี้กับภารดีรีบไป วรัญญาหันมาทางตรีอัปสรที่นั่งอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหา
“ชั้นว่าคราวนี้ เธอเงียบผิดปกตินะ ตรี”
ตรีอัปสรยิ้มหยัน “มีพวกเธอเสียงดังโวยวายแล้ว ชั้นจะไปตะโกนแข่งกับพวกเธอทำไม”
จากนั้นตรีอัปสรก็ลุกขึ้นเดินไปเลย วรัญญามองตามไป เจ๊หนึ่งเดินมาประกบมองตาม
“นังนี่มันร้ายลึก แล้วยังฉลาดเป็นกรดอีก น่ากลัวจริงๆ”
วรัญญามองตามอย่างเห็นด้วย

เช้าวันนี้ คุณดิษฐ์เดินมาตามทางในอาคารช่อง ไทยเท็น พร้อมด้วยชญานนท์และมุกตาภา มีพนักงานทำความเคารพเป็นระยะๆ ทั้ง 3 พ่อลูกเดินเข้าห้องประชุมมา ซึ่งในนั้นมี อาจารย์ดรีมริกา รัตน์ วุฒิ อรสินี ตรีอัปสร ภารด วรัญญา และกัลยาณี นั่งรออยู่แล้ว ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ทักคุณดิษฐ์
คุณดิษฐ์มองไปยังทุกคนเป็นการทักทายตอบ ก่อนจะหันไปทางดรีมริกา
“อ้าว แล้วพระเอก ไม่มาด้วยเหรอ”
ดรีมริกายิ้ม “มาฮ่ะ”
“งั้นก็เรียกมาเปิดตัวเลย พระนาง เค้าจะได้รู้จักกัน ทำความคุ้นเคยกันไว้”
“ฮ่ะ”
ดรีมริกาลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ซักครู่ ก็เดินเข้ามาพร้อมกับ เพชร ทุกคนมองเพชรอย่างชื่นชมในความหล่อ ยกเว้นอรสินีกับชญานนท์
อรสินีไม่คิดว่าจะเจอเพชรในสถานภาพที่เป็นพระเอกละคร
เช่นเดียวกับชญานนท์ที่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยทัก “เพชร”

ดูออกว่าชญานนท์และอรสินี ต่างกระอักกระอ่วนใจมาก แต่ต้องเก็บอาการ

จากนั้นไม่นาน คุณดิษฐ์เดินเข้ามาในห้อง มีชญานนท์เดินตามมาติดๆ

“คุณพ่อครับ”
คุณดิษฐ์หันมามองชญานนท์ ก่อนจะพูดดักขึ้นก่อน
“คุยได้ทุกเรื่องนะ นนท์...ยกเว้นเรื่อง พระเอกละคร”
ชญานนท์ชะงักถอนหายใจ ย้อนแย้งบิดา “พระเอกละครมีให้เลือกตั้งเยอะนะครับคุณพ่อ แล้วคุณพ่อก็บอกผมเอง ว่าต้องแคสติ้งก่อน”
“ใช่ คุณดรีมแคสติ้งไปเรียบร้อยแล้ว ยังถ่ายมาให้พ่อดูเลย พ่อว่าใช้ได้”
คุณดิษฐ์พูดต่อขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ ชญานนท์เดินตามไปนั่งตรงหน้า
“โปรไฟล์ของเค้าก็ดี หนุ่มนักเรียนนอก เรียนจบกลับมาก็ลงเล่นละครของไทยเท็นทันที มันมีประเด็นโปรโมทนะ”
ชญานนท์จำนนกับเหตุผลของบิดา มุกตาภาเปิดประตูเดินหน้าบึ้งเข้ามา
“พี่นนท์คะ คุณดรีมบอกว่า พี่นนท์วางตัวให้อรเล่นเป็นทักษิกา แล้วให้นัง...เออ...ยายตรีอัปสร เล่นเป็นพัชราพร ได้ยังไงคะ...พี่นนท์...พี่นนท์เอาคนเรียบร้อยมารับตัวร้าย ตัวอิจฉา”
คุณดิษฐ์ขัดขึ้น “แต่พ่อว่า ก็น่าสนใจดี”
สองคนหันไปมองบิดา ชญานนท์แปลกใจที่พ่อเห็นด้วย ส่วนมุกตาภานึกไม่ถึงว่าพ่อเห็นดีด้วย
คุณดิษฐ์พูดต่อ “นักแสดงที่ดี ก็ควรจะต้องแสดงได้ทุกบทบาทใช่ไม๊ พ่อว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้นเยอะเลย...ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไร...แต่ถ้าดูรูปการแล้วทำให้มีเรตติ้ง พ่อก็โอเค ทั้งนั้น”
คุณดิษฐ์มองชญานนท์เหมือนรู้กัน มุกตาภามองพ่อและพี่ชายอย่างแปลกใจ

ฝ่ายอรสินีนั่งอยู่ที่โซฟา มุมหนึ่งในไทยเท็น ซักครู่ หญิงสาวขยับลุกขึ้นหมุนตัวไปแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเพชรเดินเข้ามาหา เพชรสบตากับอรสินีนิ่ง
“เพชร...สบายดีนะคะ” อรสินีทักทาย
เพชรยิ้มนิดๆ “นึกว่าอรจำเพชรไม่ได้แล้วซะอีก”
“ทำไมอรจะจำไม่ได้ล่ะ เพียงแต่อรไม่คิดว่าจะมาเจอเพชรที่นี่...แล้วก็แบบนี้”
เพชรหัวเราะขำ เดินเข้าไปใกล้ๆ เลิกคิ้วถาม “แบบนี้...หมายถึง...”
“ก็แบบมาเป็นพระเอกละคร...แบบนี้ไงคะ”
เพชรหัวเราะอีก “ก็เพราะผมอยากเจออรไง”
อรสินีฉงนเลิกคิ้ว อย่างแปลกใจ “อะไรนะคะ”
“ผมรู้ว่าคุณเป็นรองนางสาว ณ สยาม ผมรู้ว่าคุณกำลังจะแสดงละคร แล้วผมก็รู้ว่าละครเรื่องนี้กำลังหาพระเอก”
อรสินียิ้มบางๆ “รู้ทุกเรื่องเลยนะคะ”
“แต่ไม่รู้ว่าอรสินีคนสวย รู้สึกยังไงกับเพชร”
อรสินีซึ่งกำลังฟังอยู่ ไม่คิดว่า เพชรจะพูดแบบนี้ สีหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยความเขินอาย เพชรเห็นหน้าอรสินีก็อดขำไม่ได้

ภารดี และ กัลยาณี เดินมาพร้อมกับทิปปี้ เห็นวรัญญานั่งดูข่าวจากไอแพดกับเจ๊หนึ่งอยู่มุมหนึ่ง
“เจ๊ ดูยายนี่มันเม้นท์ซิ ต๊าย นี่ ยายมุก นางรู้รึเปล่าเนี่ย ว่าโดนยำซะเละเลย” วรัญญาว่า
“นั่นซิ...ถ้ามาถามเจ๊ว่าใครโพสต์ เจ๊จะบอกว่า นังหนูดี นังนี่มันแสบจริงๆ”
“ยายณีก็มิใช่น้อย ตัวต้นคิดให้โพสต์เรื่องยายมุก สกัดจุดนางงามลามไปจนถึงผู้จัดที่เม้าท์พวกเราด้วย”
เจ๊หนึ่งสะใจ “โดนกันครบถ้วน ทั่วถึงเลย”
เสียงภารดีแหลมเข้ามา “ระวังตัวเองไว้ด้วยแล้วกัน”
เจ๊หนึ่งกับวรัญญาหันไปมอง เห็นภารดี กัลยาณี และทิปปี้ ยืนเรียงเป็นแผงอยู่ข้างหลัง
“เม้าท์พวกชั้นกันปากมันเลยนะยะ” กัลยาณีใองตาขวาง
วรัญญามองอย่างเฉยๆ ไม่มีอาการสะทกสะท้าน “ก็หรือไม่จริงล่ะ”
ภารดีมองวรัญญาแล้วมองเลยไปทางอรสินีที่ยืนคุยอยู่กับเพชร เลยเปลี่ยนประเด็น
“เห็นเงียบๆ หงิมๆ ไวไฟเหมือนกันนะ ยายอรสินี”
กัลยาณีพยักพเยิดตาม “นั่นซิ ทำความรู้จักกับผู้ชายเร็วกว่าที่คิดนะยะ”
วรัญญามองตามไป “เค้าต้องแสดงละครเป็นพระเอก นางเอกคู่กัน ก็ต้องทำความคุ้นเคยกันไว้เป็นธรรมดา”
เจ้าหน้าที่ไทยเท็นเดินเข้ามาที่กลุ่ม
“อาจารย์ดรีมเชิญทุกคนที่ห้องทำเวิร์คช็อป ค่ะ”
ภารดีมองตามเจ้าหน้าที่ไป แล้วหันมากระซิบถามทิปปี้ “พี่ทิปปี้ เวิร์คช็อป นี่มันคืออะไร”
ทิปปี้ทำหน้าเหมือนรู้ หันมามองภารดีเหมือนตำหนิที่ไม่รู้เรื่องเลย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้า
“พี่อธิบายไป หนูดีก็คงไม่เข้าใจ ให้อาจารย์ดรีมอธิบายดีกว่า”

อาจารย์ดรีมริกายืนอยู่หน้าห้องเวิร์คช็อป มีตรีอัปสร อรสินี ภารดี วรัญญา กัลยาณี เพชร และ วุฒินั่งฟังอยู่
“เวิร์คช็อป ก็คือการควบคุมร่างกาย การหายใจ การเคลื่อนไหว สมาธิตีความบท การพูด สีหน้า แววตา เป็นการเรียนรู้การสื่อสาร ผ่านร่างกายและจิตใจ”
ดรีมริกา หยิบเอกสารขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“และนี่คือ ตัวละคร และคาแร็คเตอร์ของตัวละคร” อ่านเอกสารในมือ “ตรีอัปสรแสดงเป็นพัชราพร”
วรัญญา ภารดี และกัลยาณี ตกใจสุดขีด อุทานพร้อมกัน “ห๊ะ นางเอกเหรอ”
ภารดีร้องต่อทันที “ต๊าย...”
วรัญญาถามต่อ “แล้วอรล่ะคะ”
ดรีมริกาหันไปมองอรสินี “อรสินีเป็นทักษิกา”
วรัญญาแย้ง “ทำไมสลับที่สลับทางแบบนี้ล่ะคะ”
ภารดีเห็นด้วย “นั่นซิ เอาคนเรียบร้อยไปเล่นเป็นตัวร้าย”
“เพราะนี่คือการแสดงไง” ดรีมริกาบอก พลางมองมายังทุกคน “มันไม่สำคัญว่าพวกเธอจะเป็นคนแบบไหน แต่มันสำคัญที่พวกเธอสามารถสวมบทบาทที่ได้รับเนียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเธอได้ดีแค่ไหนต่างหาก”
ระหว่างที่ดรีมริกาพูดอธิบาย อรสินีและตรีอัปสรตั้งใจฟัง อย่างมุ่งมั่น

ดรีมริกาเริ่มต้นสอน เห็นการละลายพฤติกรรม และ เวิร์คช็อป ทุกคนสนใจตามจริตใครมัน

ประตูห้องเวิร์คช็อปเปิดออก อ.ดรีมเดินคุยออกมากับอรสินี ตรีอัปสรและเพชร ส่วนวรัญญา ภารดี
กัลยาณี เดินตามออกมา มุกตาภาเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน”
ทั้ง 3 คนหันมามอง พอเห็นมุกตาภา กัลยาณีและภารดี ขยับเดินหนีเนียนๆ ทันที
มุกตาภาเรียกไว้ “ชั้นบอกว่า เดี๋ยวก่อน”
ภารดีหันมามอง “ก็ไม่บอกชื่อว่าใคร หนูดีก็คิดว่าเป็นยายรัญ”
มุกตาภาไม่อ้อมค้อม “ชั้นรู้นะ ว่าพวกเธอเอาเรื่องชั้นไปโพสต์ในเน็ต”
วรัญญาชิ่ง พูดยิ้มนิดๆ “ถ้าเรื่องนี้ รัญขอเป็นคนดูน่ะ”
ภารดีกับกัลยาณีหันไปมองวรัญญาที่แยกออกจากกลุ่มไปอีกด้าน
ร้องพร้อมกัน “อ้าว”
มุกตาภาโมโหมาก “พวกเธอนี่มัน...ช่างกล้าจริงๆ”
ภารดีจนมุม จึงเปลี่ยนเป็นหันมาประจันหน้ากับมุกตาภา
“ไม่เห็นต้องอาศัยความกล้าเลย แค่พูดเรื่องจริงออกสื่อ”
กัลยาณีรีบสนับสนุน “ใช่”
มุกตาภาจ้องหน้า “ถ้าคิดจะอยู่บ้านเดียวกัน ก็หัดเกรงใจลูกเจ้าของบ้านบ้าง”
ภารดีเบ้ปากไม่แคร์ “ฝากไปสอนลูกเจ้าของบ้านด้วยเหมือนกันนะคะ อย่าให้พวกเราหมดความอดทนแล้วเดินไปเล่าความจริงให้เจ้าของบ้านฟังเลย”
พูดจบภารดีก็เดินหนีไปกับกัลยาณี มุกตาภามองตามไปอย่างโกรธจัด หันมามองวรัญญาซึ่งยิ้มแหยๆ ให้
“จบแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
วรัญญาเดินหนีไปอีกคน มุกตาภามองตามอย่างโกรธจัด

ที่ห้องทำงานคุณดิษฐ์เวลานั้น คุณดิษฐ์ รัตน์และติ๊น่า ผู้จัดละคร นั่งอยู่ด้วยกัน รวมถึงมีน ผู้กำกับ
“ผมดีใจนะครับ ที่คุณติ๊น่า รับปากมาเป็นผู้จัดให้”
ติ๊น่ายิ้มรับ “ด้วยความยินดีค่ะ ติ๊มองว่างานนี้เป็นงานที่ท้าทายความสามารถมากๆ ใช่ไม๊ คุณมีน”
“ใช่ครับ” มีนรับ
“คุณมีน เป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง เหมาะที่จะทำละครเรื่องนี้มากค่ะ” ติ๊นาอวยส่ง
“ก็ต้องลุยเต็มที่อ่ะครับ เจอนางงาม 5 คนมารวมกัน ใหม่ๆ ทั้งนั้น” มีนว่า ประชดกลายๆ
คุณดิษฐ์พยักหน้า “ผมเข้าใจ แต่ถ้าเราทำสำเร็จ ก็ถือว่าเราเอาชนะคำสบประมาทได้ จริงไม๊ครับ...ผมจะให้คุณรัตน์อำนวยความสะดวกคุณติ๊น่า...และคุณมีนนะครับ ผมอยากให้ละครเปิดกล้องเร็วที่สุด”
ติ๊น่าพยักหน้ารับ “แน่นอนค่ะ”
คุณดิษฐ์หันมามองรัตน์และยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างดูจะลงตัวตามแพลนงาน

รัตน์เดินมาพร้อมกับติ๊น่าและมีน มาถึงทางด้านหน้าอาคาร รัตน์ยกมือไหว้ทั้ง 2 คน
“พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะคะ คุณรัตน์ ติ๊จะเอารายชื่อทีมงานกับค่าใช้จ่ายเข้ามาให้ดู”
“ค่ะ”
“ไป...มีน”
มีนกับติ๊น่าขยับจะเดินไป มุกตาภาเดินมาพอดี วางมาด เป็นผู้บริหาร ทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
รัตน์มองมุกตาภาแล้วหันมาทางติ๊น่ากับมีน
“นี่คุณมุกตาภาค่ะ ลูกสาวของคุณดิษฐ์” รัตน์หันไปทางมุกตาภา “คุณติ๊น่า ผู้จัดละคร กับคุณมีน...ผู้กำกับค่ะ”
มุกตาภาพยักหน้าทักทายวางมาด “สวัสดีค่ะ”
ติ๊น่าขยับจะยกมือรับไหว้ ก็เลยชะงักค้าง เก้อเล็กน้อย เพราะมุกตาภาไม่ได้ไหว้
“สวัสดีค่ะ”
มีนทัก “สวัสดีครับ”
“ยินดีต้อนรับสู่ไทยเท็นนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ได้คุยกับคุณพ่อแล้วใช่ไม๊คะ”
“เรียบร้อยค่ะ สัปดาห์หน้าดิชั้นจะส่งรายละเอียดของทีมงานกับค่าใช้จ่าย รวมทั้งวันเปิดกล้องบวงสรวงมาให้ค่ะ”
มุกตาภาวางมาดอีก “เน้นเปิดกล้องให้เร็วที่สุดดีกว่าค่ะ”
“ได้ค่ะ ดิชั้นขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ติ๊น่ากับมีนค้อมหัวให้แล้วเดินไป โดยไม่สนใจว่า มุกตาภาขยับมือขึ้นจะยกมือไหว้ มุกตาภพาลพาโลหันมามองรัตน์อย่างหมั่นไส้ ขวางหูขวางตาไปหมด
“ดูคุณรัตน์จะมีความสุขมากนะคะ”
รัตน์ยกมือจับหน้าตัวเอง “ก็...ปกตินะคะ เพียงแต่มีความรับผิดชอบมากขึ้นตามความสามารถน่ะค่ะ แล้วก็มีความสุขกับงานที่ทำ ขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบไปทำงาน”

รัตน์พูดเท่านั้นก็เดินไปเลย ทิ้งมุกตาภาให้เข่นเขี้ยว มองตามอย่างโกรธเคืองเพียงลำพัง

ปีกมงกุฎ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ตกตอนเย็นเจ๊หนึ่งกับทิปปี้ลุกขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นวรัญญา ภารดี และกัลยาณี เดินออกมา

เจ๊หนึ่งกะทิปปี้ พูดพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย “เสร็จแล้วเหรอ”
ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน เหมือนด่ากันเองว่ามาพูดเหมือนชั้นทำมายยะ ก่อนจะหันไปหาเด็กในคาถา แต่ดันพูดพร้อมกันอีกว่า “ไปกันเถอะ”
คราวนี้เจ๊หนึ่งปรี๊ดแตก โวยวายทันที
“มาพูดพร้อมชั้นทำไมยะ”
ทิปปี้เถียง “หล่อนนั่นแหละมาพูดพร้อมชั้น”
วรัญญารำคาญ “พอเหอะ...พอ...แยกย้าย”
ภารดีเองก็หงุดหงิด “เห็นด้วย ไป๊...พี่ทิปปี้ กลับ”
วรัญญาดึงเจ๊หนึ่งไป ภารดีก็ดึงทิปปี้เดินไป กัลยาณีมองแล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินไป

จังหวะนี้สลิลทิพย์เดินนวยนาดมาดไฮโซโก้หร่านมาอีกทาง มองไปเห็นอรสินีเดินมากับตรีอัปสร ทั้ง 2 เดินเข้ามายกมือไหว้ สลิลทิพย์ยังคอแข็งกับตรีอัปสร
“ตรีแยกเลยนะคะ คุณอร” ตรีอัปสรหันไปมองทางสลิลทิพย์ “คุณป้าจะได้ไม่ต้องเกร็งคอแข็ง เป็นห่วงกลัวจะเป็นตะคริวอ่ะค่ะ”
ตรีอัปสรเดินไป สลิลทิพย์หันขวับไปมองตามหลังอย่างโกรธจัด ด่าตามหลังไป
“นังบ้า ปากคอเหมือนแม่มันไม่มีผิด”
อรสินีปราม “คุณแม่คะ”
สลิลทิพย์เหลียวขวับมา “อะไรอีก”
สลิลทิพย์ชะงักเมื่อเห็นเพชรยืนอยู่ เพชรยกมือไหว้อย่างนอบน้อม สลิลทิพย์มองอย่างพิจารณาก่อนจะนึกออก
“เพชร...มาได้ยังไงเนี่ย”

ค่ำนั้น ชญานนท์เครียดจัด จึงนัดเจออติรุจที่ร้านอาหารเพื่อปรับทุกข์เรื่องพระเอกใหม่ ชญานนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่านายนั่นมาได้ยังไง”
อติรุจมองท่าทางเครียดกังวลของชญานนท์ก็อดขำไม่ได้ ชญานนท์หันมามอง
“ขำอะไร ชั้นเครียดนะโว้ย”
อติรุจหัวเราะ “นายจะเครียดไปทำไม นายก็น่าจะรู้จักน้องอรดี น้องอรไม่มีทางคิดอะไรกับนายเพชรแน่นอน”
“ชั้นรู้...แต่ชั้นก็ไม่อยากให้น้องอรใกล้ชิดนายเพชร”
“ถ้าเรื่องนั้น นายก็ต้องทำใจแล้วละ เค้าเล่นละครด้วยกัน ยังไงก็ต้องเจอกัน”
“ชั้นคงต้องไปกองถ่ายบ่อยๆแล้ว”
อติรุจท้วง “จะไปให้ฟุ้งซ่านทำไม นายต้องเชื่อใจน้องอรซิ”
“ยังไง ชั้นก็ฝากนายดูๆ ให้ด้วยน่ะ แล้วชั้นจะช่วยดูตรีอัปสรให้”
อติรุจฉงน “เกี่ยวอะไรกับตรี”
ชญานนท์บอก “อ้าว ก็แลกกันไง นายช่วยดูแฟนชั้น ชั้นก็ช่วยดูแฟนนาน โอเคไม๊”
อติรุจขยับปากเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจ พยักหน้ารับส่งๆ
“โอเค แต่ถึงนายไม่ช่วยดูตรี...ชั้นก็ต้องดูน้องสาวชั้นอยู่ดี”
ชญานนท์ยิ้มขำ “ขอบใจนะ” แล้วนึกขึ้นได้ “อืม...ชั้นยังไม่ได้ไปเยี่ยมคุณลุงอัศวินเลย ไปด้วยกันไม๊”
อติรุจมองชญานนท์เหมือนตัดสินใจว่าจะไปดีไม๊

เวลานั้น นายพลอัศวินนอนนิ่ง แววตาที่มองเพดานห้องเห็นแต่ความเจ็บช้ำทุกข์ทรมาน ประตูเปิดออกเห็นคุณหญิงสุดสวาทเดินเข้ามากับแมน โดยที่แมนนั้นมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณหญิงหันมามองแมนแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
“เข้ามาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ท่านอัศวินไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ...มะ”
คุณหญิงเดินไปจูงมือแมนมาที่เตียงคนไข้ แมนยกมือไหว้อย่างนอบน้อม คุณหญิงมองเยาะหยันสามี แล้วหันมายิ้มหวานกับแมน
“เห็นไม๊ พี่บอกแล้วว่าท่านไม่ว่าอะไรหรอก ท่านใจกว้าง ใจดี...รู้ว่าอะไรเป็นความสุขของพี่ ท่านก็ยินดีให้ทำ”
แมนหันไปมองคุณหญิงแล้วหันกลับมาทางท่านนายพล คุณหญิงคล้องแขนแมนเข้าใปใกล้ๆ สามี
“ใช่ไม๊คะ คุณอัศ”
นายพลอัศวินมองคุณหญิงอย่างเจ็บช้ำ แมนรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้น แมนหันมาทางคุณหญิง
“ผมขอเข้าห้องน้ำนะครับ”
คุณหญิงสุดสวาทพยักหน้า ยิ้มให้ แมนเดินแยกไป คุณหญิงหันมามองอัศวินซึ่งนอนอยู่
“อย่ามาตัดพ้อต่อว่าชั้นด้วยแววตาเลยค่ะ เพราะชั้นรู้ว่า ถ้าชั้นเป็นฝ่ายนอนแบบคุณ...คุณก็คงพาสาวๆของคุณมาเยี่ยมชั้นแบบนี้เหมือนกัน ใช่ไม๊คะ”
คุณหญิงยิ้มเยาะสามี เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออก เห็นชญานนท์เดินเข้ามาพร้อมอติรุจ สองหนุ่มยกมือไหว้คุณหญิง ทักพร้อมกัน
“สวัสดีครับ”
ชญานนท์ถือกระเช้าผลไม้ของเยี่ยมมาด้วย ส่วนอติรุจถือแจกันดอกไม้
“สวัสดีจ้ะ”
ชญานนท์เอ่ยขึ้น “ต้องขอประทานโทษคุณหญิงด้วยนะครับ ที่มาเยี่ยมคุณลุงช้า”
คุณหญิงเยื้อนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ก็คุณนนท์ส่งหนูมุกเป็นตัวแทนมาแล้วนี่”
“ครับ”
คุณหญิงหันไปทางอติรุจ “ขอบคุณนะ ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”
อติรุจยังไม่ทันตอบอะไร ประตูห้องน้ำเปิดออกพอดี เห็นแมนเดินออกมา ชญานนท์ชะงักเขม้นมองแมน พอรู้ว่าเป็นใคร แต่พยายามเก็บอาการ ส่วนอติรุจชะงัก นึกไม่ถึงว่า จะเจอแมนที่นี่ คุณหญิงมองทั้งสองฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน ประมาณว่าคุมเกมอยู่
“แมน...นี่คุณชญานนท์ ส่วนนี่...คุณอติรุจ”
แมนทัก “สวัสดีครับ”
คุณหญิงสุดสวาทแนะนำ เปิดเผยตัวกลายๆ “แมนเป็นเลขาฯส่วนตัวของอา” คุณหญิงนึกขึ้นได้หันมาทางอติรุจ “อืม...แมนเคยทำงานอยู่กับคุณใช่ไม๊”
อติรุจบอก “ใช่ครับ”
ชญานนท์เดินไปที่เตียง มองนายพลอัศวินอย่างเห็นใจ พลางเอ่ยขึ้น “คุณพ่อฝากเยี่ยมคุณลุงมาด้วยนะครับ ท่านให้มาเรียนคุณลุงว่า อีก 2-3 วัน จะมาหาคุณลุงครับ”
นายพลอัศวินมองนิ่ง พูดอะไรไม่ได้ ชญานนท์หันมาทางอติรุจซึ่งยืนมองอย่างเห็นใจเช่นกัน
“ผมขอตัวไปรอข้างนอกนะครับ”
แมนพูดจบก็เดินออกไป โดยไม่ฟังคำอนุญาตจากคุณหญิงสุดสวาท ชญานนท์หันมาทางคุณหญิง
“คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”
คุณหญิงมองชญานนท์แล้วถอนหายใจ ส่ายหน้าช้าๆ

แมนเดินหลบออกมามุมหนึ่ง สีหน้าที่เครียดๆ ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
น้ำเสียงตัดพ้อของอติรุจดังขึ้น “คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”
แมนหันขวับไปมอง เห็นอติรุจเดินมา แมนมีสีหน้าละอายใจ “คุณรุจ”
“ไปไม่ลาเลยนะ...ให้ชั้นตามหา คิดไปต่างๆ นานา ว่าเป็นอะไรรึเปล่า”
แมนถอนหายใจ “ขอโทษครับ”
อติรุจพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เป็นเลขาฯส่วนตัวของคุณหญิงสุดสวาท งานสบายกว่าทำงานกับชั้นเยอะเลย...ใช่ไม๊”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”
อติรุจมองแมนนิ่ง “ชั้นจำได้ว่านายเคยบอกว่า อยากทำงานที่ถึงแม้จะได้เงินน้อย แต่ขอให้มีศักดิ์ศรี มองหน้าคนอื่นได้เต็มตา ไม่ใช่เหรอ ลองคิดดูให้ดีแล้วบอกมาล่ะกัน...ชั้นจะรอ”
อติรุจพูดจบก็เดินกลับไปทางเดิม ทิ้งให้แมน มองตามไปอย่างสับสน สายตาสองสองหนุ่มบอกให้รู้ว่ามีสายสัมพันธ์บางประการยึดโยงพวกเขาเอาไว้ มันมิใช่แค่เจ้านายกับลูกน้องแน่ๆ

สลิลทิพย์รู้เรื่องตอนกลับถึงบ้านก็โกรธสุดขีด เดินใบหน้าบึ้งตึง ตามมานั่งข้างอรสินี
“เล่นเป็นทักษิกาเหรอ ตายแล้ว แม่ไม่ยอมนะ คิดได้ยังไงเนี่ย ใครเป็นคนวางตัว”
“อรไม่ทราบค่ะ แต่คิดว่าทางไทยเท็นคงคิดมาดีแล้วล่ะค่ะ”
สลิลทิพย์แว้ดใส่ “คิดดงคิดดีอะไร แม่ไม่ยอมหรอก ตอนประกวด อรเป็นรอง นางสาว ณ สยาม แต่ตอนเล่นละคร อรควรจะเป็นนางเอก
อติรุจเดินเข้ามาทันได้ยิน มองสลิลทิพย์ทีกับอรสินีที
“คิดเองกำหนดเองเลยเหรอครับ คุณแม่”
สลิลทิพย์ค้อนขวับมองอติรุจอย่างหมั่นไส้
“ตารุจ เคยมีซักครั้งไม๊ที่แกจะเข้าข้างแม่ เห็นด้วยกับแม่”
“ผมไม่เคยขัดคุณแม่เลยนะครับ ยกเว้นเรื่องน้องอร”
สลิลทิพย์ค้อนอีกวง “นั่นละ เรื่องสำคัญที่แกไม่ควรขัดแม่”
อติรุจหัวเราะขำท่าทีสลิลทิพย์ “แล้วคุณแม่จะทำยังไงล่ะครับ”
อรสินีมองอติรุจแล้วหันไปมองสลิลทิพย์ ที่สีหน้าแววตาเอาเรื่องเต็มที่

สายวันต่อมา ระเบิดลงที่ห้องทำงานชญานนท์ในออฟฟิศไทยเท็น ตูมใหญ่ สลิลทิพย์กำลังโวยวายไล่บี้เอากับชญานนท์
“น้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่านนท์เป็นคนวางตัวละครแล้วให้ยายอรเล่นเป็นตัวร้าย แต่ให้ตรีอัปสรเป็นนางเอก จะเชิดชู ปูปั้นกันไปถึงไหนห๊ะ”
ชญานนท์พยายามคุมสติ บอกเสียงเรียบ “ผมเห็นว่าเหมาะสมครับ คุณพ่อก็เห็นด้วย”
สลิลทิพย์สวนกลับทันควัน “แต่น้าไม่เห็นด้วย นนท์ควรจะเปลี่ยนตัวให้ยายอรเป็นนางเอก”
“ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ นนท์เป็นผู้บริหารจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ผมไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวนะครับ คุณน้า”
สลิลทิพย์ลุกขึ้น “ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ทำไม่ได้ น้าก็จะให้ยายอรถอนตัว”
ชญานนท์แย้ง “แต่น้องอรเซ็นสัญญากับไทยเท็นแล้วนะครับ”
“เซ็นได้ก็ฉีกสัญญาได้ ไม่เห็นแปลกเลย แล้ววันนี้น้าก็ไม่ได้ให้ยายอรมาเรียนแอคติ้งแล้วด้วย พอกันที”
สลิลทิพย์ทิ้งระเบิดลูกสุดท้าย ก็เดินสะบัดออกไป ชญานนท์เครียดจัด

แต่เรื่องนี้ริสาขาเม้าท์ มีสีหน้าท่าทีไม่เห็นด้วย
“แต่ชั้นไม่เห็นด้วย”
ริสาพูดแล้วเดินมานั่งตรงข้ามเพื่อนสูงวัย สลิลทิพย์มองอย่างแปลกใจ
“ไม่เห็นด้วย นี่ อย่าบอกนะ ว่าเธออยากให้หลานเล่นเป็นตัวร้ายเป็นนางอิจฉา”
ริสามองอรสินีซึ่งนั่งเงียบอยู่ด้วย ก่อนจะหันไปพูดกับสลิลทิพย์
“ชั้นถามหน่อยเถอะ สลิล เธอได้อ่านเรื่อง อ่านบทละครเรื่องนี้รึเปล่า หรือรู้แค่ว่ามีนางเอก มีตัวอิจฉา”
“ชั้นอ่านเรื่องย่อกับคาร์แร็คเตอร์ตัวละครก็รู้แล้ว..ว่า พัชราพรเป็นนางเอกส่วนทักษิกา มันนางร้าย”
“ใครบอกเธอ ทักษิกาน่ะเป็นตัวเอก บทเด่นกว่านางเอกไม่รู้เท่าไหร่ ใช่ไม๊ หนูอร”
อรสินีพูดเบาๆ “ใช่ค่ะ”
สลิลทิพย์ย้อนแย้ง “ถึงยังไงก็เป็นตัวร้าย มันจะดีไปกว่านางเอกได้ยังไง เริ่มต้นก็เล่นร้ายแล้ว คนดูก็ต้องติดภาพ คราวเนี้ยจะกลับมาเล่นเป็นนางเอกแสนดี ก็ไม่มีทาง”
อรสินีเอ่ยขึ้น “แต่เดี๋ยวนี้ คนดูเค้าแยกออกนะคะคุณแม่ เราสวมบทร้าย ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวจริงเราจะร้ายกาจนี่คะ”
ริสาเสริม “ใช่ หนูอรพูดถูก ชั้นว่าเธอควรจะให้หนูอรกลับไปเรียนแอคติ้ง แล้วก็เล่นละครเหมือนเดิม”
สลิลทิพย์อ่อนลงแล้ว “ได้ยังไงล่ะ ชั้นเพิ่งไปอาละวาดตานนท์มาหยกๆ แล้วจะให้ชั้นส่งยายอรกลับไปได้ยังไง”
“ก็ไม่เห็นยากเลย ทำเฉยๆ ไปซะ ตานนท์เค้าคงรู้นิสัยว่าที่แม่ยายของเค้าหรอกน่า” ริสาว่า
สลิลทิพย์ค้อนริสาแล้วเมินหน้าไปทางอื่น ริสาหันมามองอรสินีแล้วยิ้มให้กำลังใจ อรสินียิ้มตอบนิดๆ

อติรุจรู้เรื่องตอนเย็นหลังกลับจากออฟฟิศ ชายหนุ่มหัวเราะขำ ก่อนจะหันมาทางอรสินี
“คุณป้าริสานี่ แสบไม่ใช่เล่นนะ ทำเอาคุณแม่อึ้งได้ก็สุดยอดแล้ว”
“ใช่ค่ะ”
อรสินียิ้มขำ สีหน้าดูมีความสุข อติรุจมองน้อง “แต่คนที่สุดยอดที่สุด ต้องยกให้อรนะ”
อรสินีฉงน “ทำไมคะ อรไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
อติรุจเดินมากอดอรสินีหลวมๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างชื่นชม
“ตอนคุณแม่บังคับให้อรประกวด นางสาว ณ สยาม พี่รู้ว่าอรไม่มีความสุขที่จะทำ แต่ก็ตามใจคุณแม่ มาวันนี้ อรไปไกลจนถึงเล่นละคร อรก็ยังพยายามจะทำมันให้ได้”
อรสินีถอนหายใจ “อย่างน้อยมันทำให้เรารู้นะคะ พี่รุจ ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ”
“พี่ว่า อรมีเลือดนักสู้เต็มตัวนะ มีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดสูง”
อรสินียิ้มหวานพูดเย้า “นี่กำลังชมอรอยู่ใช่ไม๊คะ”
อติรุจยิ้ม “ใช่มั้ง”
อรสินีและอติรุจหัวเราะกันอย่างมีความสุข ข้างๆ สระน้ำนั่นเอง

ฟากตรีอัปสรเดินเข้าบ้านมา ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตรีอัปสรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์อย่างแปลกใจว่าใครกันที่โทร.มา ก่อนจะตัดสินใจรับสาย
“สวัสดีค่ะ...ใช่ค่ะ...ตรีอัปสร...จากไหนคะ”
ตรีอัปสรหยุดฟังแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ โดยทางนั้นพูดมาว่า “จำเสียงพ่อไม่ได้เหรอ”
ตรีอัปสรครางออกมา “พ่อ”

รุ่งเช้า ใครคนหนึ่งเดินฉับๆ ไปตามทางเข้าชุมชนแห้งนั้น ผู้คนเดินสวนผ่านไปมาต่างสะกิดมอง ที่แท้เป็นดารินทร์ ซึ่งพยายาม แต่งตัวธรรมดา เบาๆ เป็นที่สุดแล้ว แต่ก็เด่นสะดุดตาประสาดีไซเนอร์ ดารินทร์เดินหน้านิ่ง ผ่านไปโดยไม่สนใจผู้คนที่มองเม้าท์มา

สักครู่หนึ่งชบาเดินยิ้มเยาะ กวนโทสะเต็มที่ออกมาจากในบ้าน
“นึกแล้วไม่มีผิด ว่านังแม่จะต้องออกหน้ามาแทนลูก”
กล้าทัก “มาเร็วดีนี่...ดา”
ชบาแส่อีก “แต่ชั้นว่าช้าไป จริงๆ ควรจะมาตั้งแต่เมื่อวาน ที่พ่อเค้าโทร.ไปหาลูกเค้าแล้ว”
ดารินทร์มองชบาตาวาววับ “อย่ามาเจ๋อ เสนอหน้าได้ไม๊ นี่มันเรื่องครอบครัวชั้น คนอื่นอย่า ส....แส่” ดารินทร์ลากเสียงส....ยาวๆ คล้ายจะด่าว่า เสือก แต่สุดท้ายหลุดคำว่า แส่ ออกมา
ชบากรี๊ด “แอร๊ย...นังดารินทร์ แกกล้าด่าชั้นในบ้านชั้นเลยเหรอ โดนตบซักทีดีไม๊ จะได้มีสติ สตังค์ขึ้นมามั่ง”
ชบาปราดเข้ามาเหมือนจะตบ ดารินทร์ซึ่งเอามือใส่ไว้ในกระเป๋าตลอด ยกขึ้นทั้งๆ ที่มือยังอยู่ในกระเป๋า
“เข้ามาซิ ถ้าอยากเจ็บตัว ก็เข้ามา”
ชบาชะงักเมื่อเห็นดารินทร์มีสีหน้าดุดัน เสียงเข้ม เอาจริง ชบามองมือของดารินทร์ที่ล้วงในกระเป๋า กับท่าทางเอาจริงนั้น ก็จ๋อยลง กล้ามองแล้วรีบคลี่คลาย สถานการณ์
“ชบา ไปขายของเหอะไป สายแล้ว”
“ชั้นไม่ปล่อยให้พี่อยู่กับนังนี่หรอก”
ดารินทร์เหยียดยิ้มดูถูกเต็มที่ “โอย...สภาพแบบนี้ ยังไงถ่านก็ไม่ติดหรอก ตอนเนี้ยอย่างดีก็เป็นขี้เถ้า ลมพัดปลิวแล้ว”
ชบามองดารินทร์กับกล้าอย่างครุ่นคิด จนกล้าย้ำอีก
“ไปเถอะ”
ชบาหันมากำชับกล้า “อย่าให้เสียเปรียบนะ พี่กล้า”
ชบามองดารินทร์ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไป ดารินทร์มองตามอย่างเยาะหยันและดูแคลน ก่อนจะหันมาทางกล้า

ส่วนตรีอัปสรมีสีหน้าค่อนข้างเครียด กังวล ไม่มีสมาธิ ระหว่างเรียน ซ้อม แอคติ้ง
เสียงดรีมริกาเรียกดังขึ้น “ตรี...ตรีอัปสร”
เสียงเรียกในตอนหลังดังขึ้น ตรีอัปสรสะดุ้งหันมามอง แล้วปรับสีหน้าให้ปกติที่สุด
“คะ”
ในห้องเรียนแอคติ้ง อรสินี วรัญญา ภารดี กัลยาณี เพชร และวุฒิ อยู่ด้วย ดรีมริกามองอย่างแปลกใจ เช่นเดียวกับอรสินีซึ่งนั่งใกล้ๆ ตรีอัปสร
“เป็นอะไรรึเปล่า ใจลอยไปไหนห๊ะ”
ภารดีแขวะ “สงสัยจะฝันหวาน คิดถึงตอนเป็นนางเอกละครมั้ง”
ตรีอัปสรยิ้มหวานกับภารดี “ซ้อมบทตัวอิจฉาตลอดเวลา...เหนื่อยไม๊เนี่ย”
ตรีอัปสรพูดจบก็ไม่สนใจ ภารดีที่ขยับจะอ้าปากเถียง หันมาพูดกับดรีมริกาต่อ
“อาจารย์ดรีม จะให้ตรีทำอะไรคะ”
“หลังจากเวิร์คช็อปแล้ว เราจะไปประชุมรับบทและก็คุยกับคุณติ๊น่า ผู้จัดละครเรื่องนี้ ขอให้ทุกคนตั้งใจแสดงละครเรื่องนี้ให้ดีที่สุด เข้าใจไม๊”
ทุกคนรับ “เข้าใจค่ะ” / “เข้าใจครับ”
เพชรหันมามองอรสินี ส่งยิ้มหวานให้ ตรีอัปสรหันมาเห็นพอดี มองอย่างแปลกใจ

ทางด้านกล้าลุกขึ้นยืน เดินไปหาดารินทร์
“ชั้นโทร.ไปหาลูกเพราะเธอมันผิดสัญญาไง ลูกเป็น นางสาว ณ สยาม ไปประกวดต่อที่เมืองนอกจนกลับมาเล่นละคร ชั้นก็ยังไม่ได้เจอลูกซักที” กล้ามองดารินทร์อย่างไม่เกรงกลัว “เธอไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่เป็นไร”
ดารินทร์เดือดปุดๆ “เพื่ออะไรเนี่ย ทำแบบนี้เพื่ออะไร ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือส่งเสริมลูก แต่พอมันดังได้ดีขึ้นมาก็โผล่มาถ่วงความเจริญลูกทันที”
“เธอจะพูดยังไงก็เรื่องของเธอ แต่ชั้นเป็นพ่อของมัน ทุกคนก็ควรจะรู้ว่าตรีอัปสรยังมีพ่ออยู่”
ดารินทร์ส่ายหน้าระอาใจ “ชั้นนึกว่าเรื่องแบบนี้มันจะมีแต่ในละคร ที่ไหนได้ เรื่องจริงมันเน่ายิ่งกว่าอีก”
กล้าคร้านจะเถียงชิงตัดบท “มีอะไรอีกไม๊ ชั้นจะออกไปข้างนอก”
กล้าเดินผ่านดารินทร์ไปแต่เห็นชัดว่ามือไม้สั่น ดารินทร์หันมามองตาม
“ถ้าอยากกินไข่ก็ไม่ควรฆ่าไก่นะ ถ้านายเปิดตัวว่าเป็นพ่อขี้เมาของยายตรี โอกาสของตรีก็อาจจะดับวูบ แล้วที่คิดว่าจะได้เงิน ได้ออกหน้าออกตากับลูก ก็เป็นอันจบ”
กล้ากลืนน้ำลาย มีอาการสั่นนิดๆ จากการหิวเหล้า มองดารินทร์ลุกลี้ลุกลน สับสน
ดารินทร์พูดต่อ “ถามตัวเองดูซิ ว่าอยากได้ชื่อว่าเป็นพ่อยายตรี หรืออยากได้เงินเอาไว้กินเหล้ากันแน่”
“ก็อยากทั้งสองอย่างนั่นล่ะวะ”
“โลภมาก ระวังลาภจะหาย ตอนนี้ยายตรีกำลังจะเล่นละคร อีกไม่กี่วันก็เปิดกล้องแล้ว”
“ชั้นรู้แล้ว ไม่ต้องบอกซ้ำซาก”
ดารินทร์พยายามข่มอารมณ์ “พูดตรงๆเลยนะ ถ้านายอยู่เงียบๆ แบบที่อยู่มาตลอดสิบกว่าปี นายก็จะมีเงินใช้ตลอด แต่ถ้านายออกมาโวยวายป่าวประกาศ นายอาจจะไม่ได้อะไรเลย”
กล้ายิ้มเยาะพูดเป็นนัย “ใครบอกล่ะ ว่าจะไม่ได้อะไรเลย”
ดารินทร์ชะงักกึก สะดุดหู เขม้นมองอดีตสามีอย่างพิจารณา “ใครเสี้ยมให้นายคิดแบบนั้น ห๊ะ มันเป็นใคร”
“โอย...จะเป็นใครก็ช่างเถอะ...พูดมาก...หิวเหล้าว่ะ”
กล้ามองดารินทร์อย่างถือไพ่เหนือกว่า ดารินทร์มองอย่างรู้ทัน ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเงินส่งให้ กล้ารับเงินมาถือไว้ แล้วเดินลิ่วๆ ออกไป โดยไม่สนใจดารินทร์
“เดี๋ยว นายกล้า...นายกล้า”
ดารินทร์ตะโกนตามหลังไป แต่กล้าไม่หยุด ยังคงเดินไปเรื่อยๆ
“อะไรเนี่ย พอได้เงินก็ไปแนบเลย ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าละครเปิดกล้องแล้วโผล่ไปกองถ่าย จะทำไงเนี่ย”

ดารินทร์มองตามไปนัยน์ตาขุ่น ทั้งโกรธขึ้ง ทั้งหงุดหงิด และอารมณ์เสียเป็นที่สุด ตระหนักชัดว่าเรื่องต้องวุ่นวายมากขึ้นไปมากกว่าอีกเป็นแน่

อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น