เรือนริษยา ตอนที่ 16
กฤตพนธ์ขี่มอเตอร์ไซด์บิ๊กไบค์มาแต่ไกลแล้วก็จอดอยู่ที่นอกประตูรั้วบ้าน นันทนัชลงจากรถ
“ระวังตัวมากกว่าเดิมนะคุณ” กฤตพนธ์เตือน
นันทนัชพูดกวนๆ “ฉันน่าจะจ้างใครสักคนมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว ว่าม่ะ?”
“คุณไม่ต้องจ้างหรอก แค่บอกคำเดียว”
กฤตพนธ์พูดพลางมองตานันทนัช
“คุณเพิ่งเกือบตายเพราะฉันมานะคะ คุณไม่กลัวเหรอ?” นันทนัชถาม
“มีใครบ้างไม่กลัวความตาย”
นันทนัชฝืนยิ้ม
“ฉันไง! เพราะฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ฉันเหลือตัวคนเดียว”
“คุณพูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ แล้วผมล่ะ ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไง ที่ผ่านมาผมก็เหนื่อยฟรีน่ะซิที่ตามช่วยคุณ”
“เชอะ! ลำเลิกบุญคุณ! ฉันเข้าบ้านล่ะ”
นันทนัชหันหลังเดินไป แต่กฤตพนธ์คว้ามือนันทนัชมาจับไว้ นันทนัชหยุดแล้วหันมามอง
“เข้าบ้านไปแล้วอย่าใช้อารมณ์เหนือสติ จำได้ไหม?”
นันทนัชมองมือตัวเองที่ถูกจับอยู่แล้วก็ถาม
“แล้วตอนนี้ที่คุณจับมือฉัน คุณกำลังใช้อารมณ์หรือสติอยู่ล่ะ?”
“สงสัยผมจะเสียสติ” กฤตพนธ์ตอบ
นันทนัชค้อนแล้วก็ดึงมือกลับก่อนจะหันหลังเดินไป กฤตพนธ์ยิ้มขำ เขานั่งมองนันทนัชเดินไปที่ประตู เธอหันมาโบกมือให้ กฤตพนธ์โบกมือตอบแล้วมองจนนันทนัชเดินเข้าประตูรั้วไป กฤตพนธ์กลับมาคิดถึงคำพูดของมานพแล้วเครียดเมื่อคิดว่าต้องกลับบ้านไปเจอกับอะไร
เสียงมานพแวบขึ้นมา “ไม่ว่าจะอยู่กับผู้หญิงคนไหน ให้รีบกลับมา นี่เป็นคำสั่ง!”
กฤตพนธ์เร่งเครื่องมอเตอร์ไซด์ออกไป
นันทนัชเปิดประตูบ้านเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม การได้อยู่ใกล้ชิดกฤตพนธ์ทำให้เธอมีความสุขมาก เดือนกำลังเดินเฉิดฉายด้วยท่าทางดัดจริตเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคุณนายของบ้าน เดือนหันมาเห็นนันทนัชเดินเข้าบ้านมาก็เบรกหัวแทบทิ่มเพราะทำให้นึกถึงฤทัย
“ว้าย...มันมาแล้ว”
เดือนรีบแจ้นวิ่งไปขึ้นบันไดไปทันที
นันทนัชกลับหันมามองภายในบ้านด้วยสีหน้าที่มีความสุขกลับมาถอดถอนใจพร้อมรับมืออีกครั้ง รณฤทธิ์โผล่มามองแบบเหี้ยมโหด พอเห็นนันทนัชกลับบ้านมาเขาก็ขบกรามด้วยความโกรธจนตาแทบถลน เพราะเขาสั่งเชนไปเก็บที่เขาใหญ่แล้ว
ฤทัยแต่งตัวสวยเหมือนจะออกไปข้างนอก เธอเดินออกมาจากห้องแล้วก็ส่งกระเป๋าถือให้ไม้ที่ยืนรออยู่หน้าห้องช่วยถือ เดือนวิ่งขึ้นบันไดอย่างกระหืดกระหอบขึ้นมา
“คุณผู้หญิงคะ...คุณผู้หญิง!”
“มีอะไรอีเดือน?” ฤทัยถาม
เดือนชี้แล้วก็หอบ “กลับ...กลับมาแล้วค่า”
“ใครของแกห่ะ ใครกลับมา?”
“ก็ยัยนันน่ะซีคะ มันกลับมาแล้ว!”
กนกกรออกจากห้องด้วยสีหน้าเหวี่ยงๆ แล้วจะเดินมาหาฤทัย แต่พอได้ยินเดือนบอกแบบนั้นเธอก็ปรี๊ กนกกรใช้สองมือจิกกำพร้อมเอาเรื่องขึ้นมาทันที
“อีนัน!”
กนกกรรีบหันเดินลงบันไดไปทันที ฤทัยกับไม้มีสีหน้าตื่นเต้นทันทีหลังจากได้ฟังเดือนรายงานเรื่องการกลับมาของนันทนัช
“อ้าว แล้วแกจะมัวมายืนเสนอหน้าอะไรอยู่ตรงนี้ รีบไปซี ไปจัดการตามแผน ไป”
ฤทัยยื่นฝ่ามือผลักเดือนจนหน้าแทบคะมำ
“ค่า ไปเดี๋ยวนี้”
เดือนรีบหันกลับวิ่งลงบันไดจนเกือบร่วงตกบันไดแต่คว้าราวบันไดไว้ได้ทัน
“ว้ายๆๆ”
“เอ๊า!ดีๆซินังนี่ เดี๋ยวก็เสียแผนหรอก แล้วเล่นให้เนียนๆล่ะ อย่าปล่อยความโง่ออกมา” ฤทัยว่า
“ค่า! เชื่อฝีมืออีเดือนเหอะ” เดือนบอก
เดือนวิ่งลงบันไดไปแล้ว ฤทัยหันมามองหน้าไม้
“วันที่เรารอคอย...กำลังจะมาถึงแล้วไม้”
ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กัน
ศรีเดินมาเห็นเดือนวิ่งกระหืดกระหอบผ่านมา
“หลีกๆอีศรี....หลีกไปซี!”
“วิ่งยังกับถูกผีเข้า เป็นไรของแกเนี่ยะ?”
เดือนไม่ตอบ เธอวิ่งไปทางห้องทำงานของลิตร ส่วนศรีหันกลับมามองเห็นฤทัยกับไม้กำลังเดินลงบันไดด้วยความรีบร้อน
“จะเกิดเรื่องไรขึ้นอีกวะเนี่ยะ?” ศรีถาม
ศรีถอนใจอย่างกังวล
รณฤทธิ์แอบเดินพูดมือถือไปมาอย่างหัวเสีย
“นังนันกลับมาบ้านแล้ว หน้างี้บานมีความสุข ยังกับไปขึ้นสวรรค์กับไอ้กฤตมา ก็ไหนว่าจะตามไปเก็บไอ้กฤตที่เขาใหญ่ไงห่ะ ตกลงไม่ได้ไป?”
เชนนั่งพูดมือถือโดยที่เขาไม่สวมเสื้อ มีผ้าก็อซพันแผลที่ถูกยิงอยู่ที่สีข้าง สมหมายที่อยู่ข้างๆ แขนของเขาพันแผลที่ถูกยิงไว้
เชนพูดด้วยสีหน้าแค้น “ไปซี ทำไมจะไม่ไป”
“แล้วไอ้กฤตมันตายรึปล่าว มันไปด้วยกัน ถ้าไอ้กฤตเป็นอะไรไปนังนันมันต้องเป็นเดือดเป็นร้อนซี” รณฤทธิ์ถม
“ก็มันไม่ตายน่ะซิ” เชนตอบ
“เวรเอ้ย! มันไปกัน2ต่อ2 โอกาสดีๆ ปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไงวะ”
“ดวงไอ้เวรนั่นมันยังไม่ถึงคาด แต่คราวหน้าฉันจะไม่พลาด”
นันทนัชเดินถือแก้วน้ำเย็นเดินดื่มออกมาจากห้องครัวก็เจอเข้ากับกนกกรที่ก้าวเข้ามาดักหน้า
กนกกรว่า “หน้าด้าน!”
นันทนัชสูดลมหายใจเต็มแรงพร้อมจะด่าคืน แต่แล้วเสียงของกฤตพนธ์ก็เข้ามาในโสตประสาท
“เข้าบ้านไปแล้วอย่าใช้อารมณ์เหนือสติ จำได้ไหม?”
นันทนัชปล่อยลมหายใจออก เธอวางแก้วน้ำพร้อมกับยกสองมือจับแก้มตัวเองตอบโต้อย่างชิลๆ
“ก็ไม่นี่! หน้าฉันนุ่มดีออก เพราะไม่เคยฉีดโบท็อกซ์หรือยกเครื่อง”
นันทนัชหันจะเดินต่อแต่กนกกรดึงแขนเธอเอาไว้
“ไม่ต้องมาแกล้งโง่นะ แกหลอกพาคุณกฤตไปไหนมาห่ะ”
“หลอก? หึๆๆระดับสมองผู้พันอย่างเค้า ไม่โง่เง่าให้ฉันหลอกได้หรอกเค้าต่างหากที่เป็นคนพา...ฉัน...ไปเอง” นันทนัชยักคิ้วน้อยๆ
กนกกรโวยวายใส่นันทนัชหนักขึ้น
กนกกรแทบกรี๊ด “อี่ย์...แล้วแกก็ไปกับเค้าง่ายๆอย่างงั้นเหรอ อีทุเรศ!นี่แกคิดจะแย่งคุณกฤตของฉันไปจริงๆเหรอห่ะ ตามไปอ่อยเค้าถึงที่แบบนี้”
นันทนัชสะบัดมือกนกกรออก
“แย่งหรือไม่แย่ง มันก็ขึ้นอยู่กับความกากของเธอกับแม่เธอนั่นแหละกิ๊บ อย่ามาหาเรื่องกำจัดฉันให้มากนัก ไม่อย่างงั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” นันทนัชว่า
“ทำเป็นมาขู่ ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แกคิดจะใช้คุณกฤตเป็นไม้กันหมาให้แกใช่ไหม ฉันบอกไว้เลยว่าไม่มีทาง แกไม่มีวันชนะฉันกับแม่ได้ ไม่มีวัน”
“งั้นก็ตามสบาย เอาเล๊ย ถ้าทำฉันเจ็บมากๆ ฉันจะเอาคืน ด้วยการแย่งนายกฤตของเธอมาควงเล่นสักพัก ไม่รับรองด้วยนะ ว่าจะใช้งานอย่างระมัดระวัง ไม่ให้บุบสลาย หึๆ”
กนกกรโกรธ “อีนัน!”
กนกกรชี้หน้าจะกรี๊ดด่า แต่เสียงเดือนร้องลั่นดังขัดลั่นบ้านเสียก่อน
“เจอแล้ว! ฉันเจอพินัยกรรมแล้ว!”
นันทนัชตกใจ “ห่ะ!”
นันทนัชกับกนกกรหันมองเข้าไปในบ้านอย่างตกตะลึง
รณฤทธิ์ที่เพิ่งวางสายจากเชนหงุดหงิดอยู่แต่ก็ตะลึงกับเสียงที่ได้ยิน
เสียงเดือนดังขึ้น “คุณผู้หญิงขา….เร็วค่า....พินัยกรรมอยู่นี่ค่ะ...เดือนเจอแล้วฮ่ะๆๆ”
รณฤทธิ์รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
นันทนัช กนกกร และรณฤทธิ์รีบเดินมาที่ห้องทำงานของลิตร โดยที่ฤทัยกับไม้มาถึงก่อนแล้ว
“ไหนนังเดือน...พินัยกรรมอยู่ไหน?” ฤทัยว่า
“นี่ค่ะ คุณผู้หญิง!” เดือนส่งซองใส่พินัยกรรมที่ปิดผนึกแน่นหนาให้ฤทัย ฤทัยรับมาดูแล้วทำเป็นตื่นเต้นดีใจ
“ห่ะ! พินัยกรรมจริงๆด้วยไม้” ฤทัยว่า
ไม้ทำเป็นยิ้มดีใจ
“ดีใจด้วยครับคุณผู้หญิง เจอพินัยกรรมเสียที”
กนกกรกับรณฤทธิ์รีบเดินเข้ามาหาฤทัย โดยที่นันทนัชยังคงยืนมองอยู่ที่ประตูกับศรีที่ค่อยๆ โผล่มาดู
“ใช่ พินัยกรรมของพ่อลิตรเหรอแม่?”
“ก็ใช่น่ะซี นังเดือน แกนี่เก่งจริงๆเลย เลี้ยงไม่เสียข้าวสุก” ฤทัยว่า
“ไม่ต้องเลี้ยงข้าวเดือนหรอกค่า จ่ายค่าหาพินัยกรรมพบ 1แสนบาทตามสัญญามาก็พอ อิๆ” เดือนบอก
เดือนต้องยิ้มแหยๆ เมื่อฤทัยแอบจิกด่าด่า
ฤทัยพูดเบาๆ รอดไรฟัน “เดี๋ยวเหอะ อีโลภมาก”
“งั้นก็เปิดดูซีแม่ ว่าพ่อลิตรยกสมบัติอะไรให้เราบ้าง” รณฤทธิ์
รณฤทธิ์จะคว้าพินัยกรรมไป แต่ฤทัยดึงซองหนีพร้อมฟาดซองไปที่ไหล่รณฤทธิ์ดังผัวะ
“แกจะมาเปิดได้โล่งโจ้งไงตารณ ต้องให้ทนายเป็นคนเปิด ต้องมีสักขีพยาน เผื่อว่าพ่อลิตรยกทั้งบ้านและสมบัติทั้งหมดให้พวกเรา จะได้ไม่มีใครหน้าด้านมาคัดค้านไง”
ฤทัยพูดพลางมองไปที่นันทนัช รณฤทธิ์กับกนกกรเลยหันไปมองด้วยเห็นสีหน้าที่เจื่อนของนันทนัชก็พากันหัวเราะเยาะ นันทนัชรวบรวมสติก้าวเข้ามาถามเดือน
“เดือน!”
“เอ่อ...มีอะไรคะ?”
“เราหาพินัยกรรมนี่พบที่ไหน?”
ไม้มองจ้องไปที่หน้าเดือนเพราะกลัวเดือนจะหลุดให้นันทนัชจับได้ เดือนพยายามโกหกให้แนบเนียน
“เอ่อ...ในแจกันนี่แหละ มันซ่อนอยู่ใต้พวกดอกไม้แห้งพวกนี้”
เดือนชี้ไปที่แจกันใบหนึ่ง นันทนัชถึงกลับทำหน้าเหลอ
“หา....เราเจอพินัยกรรมในแจกันใบนี้เนี่ยะนะ!”
“ก็ใช่น่ะซีคะ ข้องใจอะไรเหรอ”
“หึ แจกันใบนี้วางจะทิ่มตาอยู่อย่างงี้ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครเคยล้วงเคยควานหา พินัยกรรมในแจกันใบนี้มาก่อน แม่สาวใช้ถึงเพิ่งมาหาพบในวันนี้”
“หยุดแถทีเถอะย่ะ! แกมันก็อีหมาจนตรอกที่คอยเห่าหาเรื่องไปวันๆหึ แต่วันนี้ฉันมีพินัยกรรมที่จะปิดปากแกได้แล้ว ฮ่ะๆๆ” ฤทัยหัวเราะ
ฤทัยเดินถือพินัยกรรมหัวเราะออกจากห้องไป รณฤทธิ์ กนกกร ไม้ และเดือนเดินตามออกไป นันทนัชได้แต่ยืนเคว้ง เขาเดินมาจับแจกันแล้วก็นึกย้อนไป
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เป็นตอนที่แจกันจะร่วงตกพื้นแตก นันทนัชรีบถลาเข้าไปรับไว้ทัน แต่ตัวเองต้องล้มกระแทกลงกับพื้นก้นแทบเคล็ด โดยที่สองแขนอุ้มแจกันไว้ นันทนัชเป่าปากอย่างโล่งอกแล้วใจก็ฉุกคิดขึ้นมา
“ขอให้พ่อซ่อนพินัยกรรมไว้ในแจกันนี้ทีเถอะ” นันทนัชพูด
นันทนัชกลั้นใจก่อนจะค่อยๆยื่นมือล้วงลึกเข้าไปในแจกันอย่างลุ้นๆ แต่แล้วก็หน้าจ๋อยไป เมื่อมือควานๆไปทั่วแจกันก็พบแต่ความว่างเปล่า
“โธ่เอ้ย! อุตส่าห์ลุ้นแทบตาย”
ศรีเรียก “คุณนันคะ...คุณนัน!”
เสียงเรียก ทำให้นันทนัชสะดุ้งหลุดจากภวังค์พบว่าศรียืนมองอยู่อย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึปล่าวคะ?” ศรีถาม
“ฉันไม่เป็นไร”
“เอ่อ...อย่าห่วงเลยนะคะ ถ้า...พินัยกรรมนั่นเป็นของที่คุณผู้ชายทำไว้จริงๆ ศรีว่ายังไงๆ คุณผู้ชายคงไม่เห็นใครดีกว่าลูกสาวแท้ๆของตัวเองหรอกค่ะ นอกเสียจากว่า...”
“มันจะไม่ใช่ของจริง!” นันทนัชว่า
ศรีได้แต่ทำหน้าอ้ำอึ้ง
ไกรภัทรเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“คุณพ่อเรียกผมมามีอะไร”
ไกรภัทรไม่ทันถามจบ สมุทรชัยที่กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ยกมือห้ามให้หยุดพูด
“รบกวนนะครับคุณฤทัย ห้ามให้ใครเปิดหรือแกะผนึกซองพินัยกรรมเด็ดขาด”
“ห่ะ...เจอพินัยกรรมแล้วเหรอ?” ไกรภัทรตกใจจนต้องถามสมุทรชัยออกไปเบาๆ สมุทรชัยพยักหน้าพลางพูดต่อ
“ถ้าก่อนถึงมือผมแล้วมีร่องรอยแกะเปิดซอง ในฐานะทนายผมจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายให้พินัยกรรมนั้นเป็นโมฆะในทันที เข้าใจนะครับ ผมจะรีบนัดหมายพยานเข้าไปทำการเปิดอ่านพินัยกรรมให้เร็วที่สุด วันนี้! จะเป็นไปได้ยังไงครับคุณฤทัย ผมขอเวลาเตรียมตัวสักวันก็แล้วกันนะครับ...คร้าบๆ ผมจะรีบให้เร็วที่สุด ผมก็อยากให้แบ่งๆมรดกกันให้หมดเรื่องหมดราวไป ไม่รู้จะดึงไว้ทำไม พร้อมแล้วผมจะโทรไปนัดวันเวลา สวัสดีครับ” สมุทรชัยพูด
สมุทรชัยกดวางสายด้วยความหนักใจ
“หึ คุณนันไม่ทันเกมส์คุณฤทัยเลย”
“แปลว่าคนที่เจอพินัยกรรมคือคุณฤทัย” ไกรภัทรถอนใจ “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าพินัยกรรมฉบับนั่นเป็นของจริง ในเมื่อคุณลิตรเองก็แอบทำไม่ให้คุณพ่อดู”
“หึ คนอย่างคุณลิตร ไม่เคยไว้ใจใคร”
ไกรภัทรหันจะออกจากห้อง
สมุทรชัยถาม “นั่นแกจะไปไหนน่ะ?”
“ในเมื่อเรื่องมันออกมาแบบนี้ คุณพ่อคิดว่าผมควรจะไปหาใครล่ะครับ?” ไกรภัทรถาม
สมุทรชัยไม่ตอบเพราะรู้กันว่าควรจะเดินแผนเข้าหานันทนัช ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะหยุดพินัยกรรมนั้น
ไว้ได้ ไกรภัทรเดินออกไป
กฤตพนธ์กลับมาถึงบ้านแล้วก็เดินเข้ามาในบ้าน จนมาเจอกับธรรม
“คุณลุงล่ะนายธรรม?” กฤตพนธ์ถาม
ธรรมอึกอัก “เอ่อ...”
“ลุงรอหลานอยู่!”
เสียงมานพดังขึ้น กฤตพนธ์เงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นมานพยืนมองมาที่เขาซึ่งอยู่ที่ระเบียงชั้นบน แล้วมานพก็หันเดินไป
“มีคนมาฟ้องเรื่องผมกับคุณนันอีกแล้วเหรอ?” กฤตพนธ์ถาม
ธรรมอ้ำอึ้ง
“เอ่อ...รีบขึ้นไปคุยกับคุณท่านเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปเตรียมอาหารเย็นให้”
กฤตพนธ์ถอนใจแล้วก็เดินขึ้นบันไดไป
เรือนริษยา ตอนที่ 16 (ต่อ)
กฤตพนธ์ก้าวเข้ามาในห้องก็เห็นมานพยืนอยู่ต่อหน้ารูปชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งก็คือพ่อแม่ ของกฤตพนธ์นั่นเอง
มานพพูด “ลุงยังจำได้ ตอนที่แม่หลานตั้งท้อง พ่อกับแม่หลานดีใจกันมาก ตระกูลเรามีลูกยากกันเหลือเกินนี่ ลุงเองก็พยายามยังไงก็ไม่มี จนคุณป้าของหลานหมดบุญไป แต่กว่าจะได้หลานมาคนนึง แม่หลานต้องรอจนเกือบถอดใจ เพราะยังงี้....” มานพหันมามองกฤตพนธ์ “วันที่หลานเกิดมาลืมตาดูโลกจึงเป็นเหมือนวันที่ฟ้าประทานของขวัญที่มีค่ามาให้กับตระกูลอัศวัติของเรา แต่น่าเสียดาย...ที่พ่อกับแม่ของหลาน...ไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชมลูกชายที่โตขึ้นอย่างน่าภูมิใจในวันนี้”
กฤตพนธ์มองไปที่รูปของพ่อกับแม่ด้วยสีหน้าเศร้า เสียงในอดีตในวันนั้นหวนกลับคืนมาเป็นเสียงเบรกเอี๊ยดของรถที่เสียหลักตามด้วยเสียงชนโครมดังสนั่น สีหน้ากฤตพนธ์ยังรู้สึกสะเทือนใจแม้ว่าจะทำใจได้แล้ว มานพเดินมาจับไหล่กฤตพนธ์
“ลุงสัญญาณต่อหน้าโกศ พ่อแม่หลานว่าจะดูแลหลานให้ดีที่สุด เหมือนลูกของลุงคนนึง”
กฤตพนธ์มองหน้ามานพเพราะรู้ว่าที่มานพพามารำลึกถึงพ่อแม่ทั้งหมดเพราะห่วงเรื่องนันทนัช
“ผมก็รักและเคารพลุงเหมือนพ่อของผมครับ” กฤตพนธ์บอก
มานพตบไหล่แล้วพูดเบาๆ “ดีมากไอ้ลูกชาย ถ้าอย่างงั้น พ่อคนนี้ขอ...”
กฤตพนธ์รีบขัดขึ้น “เรื่องคุณนันใช่ไหมครับ!”
มานพพยักหน้า “หลานไปไหนกับแม่นันคนนั้นมา...ไปกันตามลำพัง”
“ผมรับประกันด้วยเกียรติของผมครับ ว่าเรา2คนไม่ได้ไปทำอะไรเสื่อมเสีย ตรงกันข้าม กลับมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นระหว่างเรา”
“กฤต! นี่หลานหลงรักเด็กคนนั้นเข้าแล้ว! เค้ารู้ตัวว่าพ่อไม่รัก แล้วก็จะไม่ได้รับมรดกสักสตางค์แดงเดียว ก็เลยคิดจะมาจับหลานนะ”
“ลุงก็ฟังมาจากคุณกิ๊บฝ่ายเดียวนะครับ แต่ไม่เคยได้ฟังฝ่ายคุณนันพูดบ้างเลย”
มานพเถียงไม่ออกจึงนิ่งเงียบ
“ผมอยากพาคุณนันมากราบลุงสักครั้ง” กฤตพนธ์บอก
มานพอ่อนใจ “ลุงจะไปทำธุระที่เยอรมันสองสามอาทิตย์ คงไม่มีเวลาเจอใคร”
มานพหันหลังเดินไปแต่กฤตพนธ์ก็ไม่ละความพยายาม
“คุณนันกำพร้าพ่อแม่เหมือนกับผมนะครับ ผมโชคดีมากที่ยังมีลุงคอยเมตตา แต่คุณนัน...เด็กสาวตัวคนเดียว ไม่มีใครเลยนะครับ”
มานพหยุดเดินแล้วชะงักฟังแวบนึงก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินผละออกไปจากห้อง กฤตพนธ์ยืนมองมานพเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกหนักใจ แล้วเขาก็หันกลับมามองรูปพ่อกับแม่
ตกเย็น ภายในร้านอาหารมีลูกค้าหนาตา แฟนต้าเดินยิ้มทักทายเทคแคร์ลูกค้า
“อาหารรสชาติเป็นยังไงบ้างคะ ติชมได้นะคะ...อาหารที่สั่งได้ครบหรือยังคะ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น แฟนต้าดูหน้าจอก็เห็นว่าธีร์โทรมาจึงรีบรับสาย
“มัวทำไรอยู่พี่ธีร์ โทรไปไม่รับสาย...เดินแบบอยู่เหรอ เสร็จแล้วรีบมานะยัยนันน่ะซี แย่แล้ว”
แฟนต้าพูดพลางมองผ่านประตูออกไปที่โต๊ะนอกระเบียงไกลๆ เธอเห็นนันทนัชกำลังนั่งคอตกคุยอยู่กับทิพย์โดยดูเหมือนว่าทิพย์กำลังมีอารมณ์ใส่นันทนัชอยู่
ทิพย์กำลังหัวเสียสุดๆ
“พินัยกรรมฉบับนั้นต้องเขียนยกมรดกทั้งหมด รวมทั้งเรือนรัตนะให้นังฤทัยหมดแน่ๆ เพราะว่ามันเป็นของปลอม นังฤทัยมันต้องเป็นคนทำขึ้นมาเอง”
“นันก็คิดเหมือนกับน้านั่นแหละค่ะ ว่ามันต้องเป็นของปลอม” นันทนัชว่า
“หึ คิดอย่างเดียวมันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ มันต้องทำด้วย ทำยังไงก็ได้ ให้พินัยกรรมนั่นใช้ไม่ได้”
นันทนัชหนักใจ “ให้ลุงสมุทรชัยจัดการได้ไหมคะ ลุงเค้าเป็นทนาย เค้าต้องดูออกว่ามันเป็นของจริงของปลอม”
“คุณนันก็เป็นซะอย่างงี้ คิดแต่จะพึ่งคนอื่น ตัวเองเป็นลูกสาวแท้ๆ มีสิทธิ์ในฐานะทายาทอยู่ในเต็มมือกลับไม่ใช้ มัวแต่ไปทำอะไรอยู่กับใคร”
ทิพย์ระเบิดอารมณ์ใส่อย่างลืมตัวทำเอานันทนัชอึ้ง
“น้าทิพย์! ทำไม...ทำไมน้าว่านันอย่างงี้ล่ะค่ะ”
“ก็ถ้าคุณนันไม่หาวิธีสู้ แค่พินัยกรรมปลอมๆฉบับเดียว จะทำให้คุณนันแพ้นังแม่เลี้ยงอย่างราบคาบ แล้วต้องระเห็จออกจากเรือนรัตนะทันทีนะคะ”
“แต่นันไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไรเลย นันก็พยายามสู้แล้ว ที่ผ่านมา น้ารู้ไหมว่านันต้องเจอกับอะไรบ้าง”
นันทนัชรู้สึกเหมือนจะหมดใจจึงยอมแพ้ ทิพย์เลยคิดว่าต้องรีบจับมือเอาน้ำเย็นเข้าลูบแล้วเสี้ยมต่อ
“แล้วคุณนันรู้รึปล่าวล่ะคะ ว่าแม่รำเพยของคุณนันก่อนจะตาย ต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“แม่! ใครทำอะไรแม่คะ ทำไมน้าไม่ยอมเล่าให้นันฟังว่าแม่ตายยังไง”
ทิพย์พยักหน้าทำเหมือนจำใจเหลือเกินที่จะต้องเล่าความจริงให้ฟัง
“น้าไม่อยากเลยนะคะ แต่ไหนๆแล้วน้าก็จะจำเป็นต้องเล่า เรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ค่ะ...”
เหตุการณ์ในอดีตจากปากคำของทิพย์ ลิตรกลับเข้าบ้านมาหลังจากไปหาทิพย์ที่แอบลักพาตัวนันทนัชไป รำเพยที่นั่งพิงเสาสภาพทรุดโทรมรออยู่ปรี่เข้าหาลิตร
“พี่ลิตร! ลูกฉันอยู่ที่ไหน?” รำเพยถาม
ลิตรตกใจที่รำเพยออกจากห้องมาได้ในสภาพโทรมหัวกระเซิง
“รำเพยออกจากห้องมาได้ยังไง แล้วทำไมปล่อยหน้าตาโทรมอย่างงี้” ลิตรถาม
“อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะหาลูก เอาลูกฉันคืนมา”
ลิตรฉุน “เว้ย! โวยวายหาแต่ลูก แล้วพี่ล่ะ รำเพยเอาผัวคนนี้ไปไว้ที่ไหน”
“พี่เคยอยู่ที่ไหน เคยมาจากใต้ตมไหนก่อนที่พี่เรไรจะเมตตาพาพี่มาเลี้ยงดูปูเสื่อให้ได้ดิบได้ดี พี่ก็ไสหัวกลับไปซี”
ลิตรทั้งโกรธทั้งเสียใจมากที่ถูกพูดแทงใจดำจึงเงื้อมือตบรำเพย “รำเพย!”
รำเพยร้อง “ว้าย!”
รำเพยล้มลงไปนั่งกับพื้น ชิดเห็นก็ตกใจจึงขยับจะออกมาช่วยแต่ก็ยั้งตัวเองไว้
“ใช่ซี...พี่มันไอ้กุ๊ย ไอ้ละโมบ ไอ้ฆาตกร! แต่หัวใจของพี่ตรงนี้” ลิตรตบที่อกซ้ายตัวเอง “ก็รักรำเพยสุดหัวใจ พี่ถึงทำทุกอย่างเพื่อรำเพย...”
รำเพยยกมือขึ้นปิดหู “ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่ต้องการ!”
“งั้นก็อย่าหวังว่าจะได้เจอหน้าลูกอีก”
ลิตรหันเดินออกจากบ้านไปอีกครั้ง
“เอาลูกฉันคืนมานะพี่ลิตร เอาลูกฉันคืนมา ฮือๆๆ ยายหนูของแม่...”
ชิดแอบมองมาที่รำเพยที่ร้องไห้คร่ำครวญ
ลิตรเดินเข้ามาในไนต์คลับ ฤทัยกำลังร้องเพลงลูกกรุงที่มีเนื้อหาประโลมใจหนุ่มนักเที่ยวอยู่ที่เวที
“อยู่คนเดียวเงียบเหงาเศร้าทรวง เธอมิห่วงหายไปทั้งคืน
ปล่อยให้ฉันระกำกล้ำกลืน เธอไปชื่นระรื่นฉ่ำใจ”
ลิตรหยุดมองเพราะเนื้อเพลงช่างกระทบใจของเขาที่กำลังเจ็บปวดรวดร้าวจากรำเพย ฤทัยในชุดสวยสุดเซ็กซี่กำลังประคองไมโครโฟนร้องเพลงพลางเหลือบตามอง พอเห็นลิตรยืนมองอยู่ก็ยิ่งใส่ลีลาเย้ายวนใจ
ผู้จัดการไนต์คลับหันมาเห็นลิตรก็จำได้จึงรีบเข้ามายกมือไหว้ต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณลิตร เชิญทางโน้นเลยครับ โต๊ะวีไอพี”
ผู้จัดการผายมือไปยังโต๊ะเก้าอี้โซฟาสีแดงหรูหรา
“เดี๋ยวผมจะจัดเด็กๆน่ารักๆดาวเด่นประจำไนต์คลับเราไปนั่งปรนนิบัติ”
“ฉันไม่เอาเด็กพวกนั้น พูดมาก น่ารำคาญ”
“เอ่อ...งั้นเอารุ่นใหญ่ มากประสบการณ์เราก็มี คุณลิตรต้องการคนไหนบอกได้เลยครับ ผมจะใส่พานมาให้”
“ฉันต้องการคนนั้น!”
ลิตรชี้ไปที่ฤทัยบนเวที ผู้จัดการอ้าปากหวอ
“ว่ายังไง?”
“เอ่อ..ได้ซีครับ แหม...ระดับเจ้าสัวลิตร ไนต์คลับเรายินดีบริการ”
“เร็วๆนะ” ลิตรว่า
ผู้จัดการรับคำ “ครับๆ”
ลิตรพูดพลางเดินไปทิ้งตัวนั่งลงเอนที่โซฟาอย่างสุดเซ็ง ผู้จัดการรีบกระวีกระวาดไปสั่งบ๋อยเอาน้ำแข็งเหล้าโซดาไปเสิร์ฟ แล้วรีบเดินไปที่เวทีที่ฤทัยกำลังร้องเพลงจบพอดี ลูกค้าปรบมือ
ฤทัยค่อยๆ แหวกม่านแล้วมองไปที่ลิตร เธอเห็นลิตรนั่งดื่มเซ็งๆอยู่คนเดียวที่โวฟา โดยมีพาร์ตเน่อร์สาวสองคนเข้าไปเสนอตัวแต่ก็ถูกลิตรกวักมือไล่จนต้องเดินหน้าเสียออกมา
“เค้าเป็นใครเหรอพี่?” ฤทัยถาม
ฤทัยถามผู้จัดการไนท์คลับที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เค้าชื่อนายลิตร!”
ฤทัยกระดี๊กระด๊า “หล่อ...ล่ำดีนะ”
“ไม่ใช่แค่หล่ออย่างเดียว ยังรวยมากด้วย” ผู้จัดการบอก
ฤทัยยิ่งหูผึ่ง “รวยเหรอ? รวยแล้วทำไมไม่เคยเห็นมาเที่ยวที่ไนท์คลับเรามาก่อนเลย เพิ่งเห็นมาไม่กี่ครั้งนี่แหละ ที่นี่...ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเศรษฐีต้องมากันทุกคน”
“ก็เค้าเพิ่งจะรวยน่ะ ตั้งแต่ไปเกาะยัยคุณเรไร จนเค้าเอามาทำผัว”
“ต๊าย! งั้นตอนนี้ยัยคุณนายทึนทึกเจ้าของโรงสีนั่นลงหลุมไปแล้วไอ้หมอนี่ก็กลายเป็นหนูเฝ้าโรงสีน่ะซี อู้ย รวยไม่รู้เรื่องเลย ยัยเรไรน่ะมีทั้งโรงสี ที่ดิน ห้องเช่าห้องแถวเยอะแยะไปหมด”
“ก็เออน่ะซิ เป็นโชคดีของเธอแล้วที่เค้าถูกตาต้องใจเธอ รีบออกไปเอาใจเข้าซี จับให้อยู่หมัด มัดให้เป็นขาประจำ รับรองว่าไอ้โรคร้อนเงิน หาเท่าไหร่ให้ผัวกับลูกใช้ไม่พอเนี่ยะ จะหายเป็นปลิดทิ้ง”
ฤทัยฟังแล้วก็ยิ้ม เธอดึงอกเสื้อให้ต่ำ ใช้มือแตะผมเผ้าให้เข้าทรงสวยที่สุดก่อนเดินออกไป
ฤทัยเดินปรี่เข้าไปหาลิตรที่โต๊ะอย่างช้าๆ ลิตรหันมาเห็นก็ส่งสายตารอคอย จนกระทั่งฤทัยเดินมาถึงที่โต๊ะ
“ขอฤทัยนั่งด้วยคนได้มั้ยคะคุณลิตร?”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันรอเธออยู่”
ฤทัยก้าวจะเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ แต่ลิตรห้ามไว้ด้วยอารมณ์เบื่อๆเซ็งๆ อยากทำอะไรสนุกๆ
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งนั่ง”
ฤทัยแปลกใจ “ทำไมเหรอคะ?”
“หมุนตัวให้ดูหน่อยซิ...ช้าๆนะ”
ฤทัยหมุนอวดทรวดทรงองค์เอวอย่างเย้ายวนทั้งตัวทั้งหน้า
“พอหรือยังคะ ฤทัยหมุนจนเวียนหัวแล้วนะ โอ๊ะ!”
ฤทัยทำเป็นเซ ลิตรดึงแขนพาตัวฤทัยล้มมานั่งลงบนตักเขาพอดี ทั้ง2สบตากัน
“ฉันกำลังเซ็งมาก เหมือนกำลังถูกกระชากลงนรกให้ตาม...เอ่อ ไอ้คนที่มันตายไปแล้วด้วย เธอจะเอาใจ ปรนนิบัติฉันให้เหมือนขึ้นสวรรค์ได้ไหม” ลิตรถาม
“ได้ซีคะ แต่ว่า...เห็นทีคุณต้องทุ่มหน่อยล่ะ เพราะปรกติ ฉันไม่ไปร้องเพลงกล่อมใครให้ขึ้นสวรรค์ข้างนอก ยกเว้นร้องบนเวที”
“แค่นี้ทุ่มพอไหม”
ลิตรพูดพลางควักเงินเป็นฟ่อนออกมาวางบนโต๊ะ ฤทัยมองด้วยตาลุกวาวเพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนกล้าทุ่มให้นักร้องอย่างเธอมากขนาดนี้มาก่อน ฤทัยโอบทั้งสองมือไปรอบคอลิตรแล้วกระซิบไปที่หูเค้า
“คุณทุ่มหมดตัวแบบนี้ งั้นเอาทั้งตัวและหัวใจของฤทัยไปเลยค่ะ”
การใช้ชีวิตระหว่างลิตรกับรำเพยในบ้านหลังเดียวกันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เหงา เศร้าเพราะถึงจะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็ไม่คุยกัน ไม่มีความสุขกันเลย การใช้ชีวิตของทั้งสองเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในการที่จะทำให้ครอบครัวกลับมารักกันเหมือนเดิม
ลิตรกลับเข้าบ้านมากลางดึก เขาเห็นรำเพยยืนหันหลังอยู่ที่หน้าต่างในความมืด ลิตรจะเดินเข้าไปหา แต่รำเพยหันกลับมาโดยฝ่ามือทั้ง2ประคองรองเท้าผ้าของเด็ก2ข้างไว้ ลิตรฟิวส์ขาดแล้วหันเดินขึ้นห้องไปอย่างฉุนเฉียว
เช้าวันใหม่ ลิตรตื่นเปิดประตูห้องมาก็ชะงักเมื่อเจอรำเพยยืนหน้าโทรมเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนอยู่หน้าห้อง ในมือของรำเพยถือของเล่นลูกพร้อมทั้งถามหานันทนัช ลิตรปิดประตูใส่หน้าอย่างหงุดหงิด
ตอนกลางวัน ลิตรเดินดูเอกสารออกมาจากห้องทำงาน เขาเห็นรำเพยนั่งสอยอยู่กับตะกร้าเสื้อผ้าของลูก หยิบเสื้อขึ้นมาดูทีละตัว ตัวไหนมีรอยขาดก็ใช้เข็มปะชุน โดยเธอไม่เห็นลิตรอยู่ในสายตาเลย ลิตรเขวี้ยงเอกสารลงที่พื้น รำเพยแค่หันมามองอย่างเฉยชาแล้วหันกลับไปกอดเสื้อลูกไว้แนบอก
รำเพยกับลิตรเดินมาเจอกันในบ้าน ทั้งคู่หยุดมองหน้ากัน ลิตรหวังจะเห็นสายตาที่รักและมีเยื่อใยจากรำเพยแต่รำเพยกลับมึนตึงแล้วเดินผ่านเขาไปอย่างไม่ใยดี ลิตรกำหมัดแน่นด้วยความผิดหวังเสียใจที่ในใจรำเพยมีแต่ลูก ไม่เคยเห็นค่าความรักที่เขาทุ่มเทให้เลย
รำเพยเที่ยวเดินร้องไห้คร่ำครวญตามหาลูกไปทั่วด้วยท่าทางที่สติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว
“ยายหนู...ยายหนูลูกแม่อยู่ที่ไหน”
ชิดแอบเดินตามดูแลรำเพยด้วยความเป็นห่วง
“โธ่คุณรำเพย ชิดจะช่วยคุณยังไงดี”
ตอนนั้นรำเพยหูแว่วได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ
“ยัยหนู...ยัยหนูลูกแม่”
รำเพยยิ้มก่อนจะวิ่งไปที่พุ่มไม้แล้วแหวกหาอย่างเอาเป็นเอาตาย
ชิดรีบตามมาแอบดู พอเห็นอาการเขาก็ส่ายหน้า
“โธ่คุณรำเพย นี่คงคิดถึงลูกมาก จนคุมสติไม่ได้แล้ว”
รำเพยหูแว่วเสียงลูกที่ได้ยินเปลี่ยนเป็นเสียงเด็กร้องไห้จ้า
“ยัยหนูอยู่ที่ไหนลูก อย่าร้องนะ...อย่าร้อง...แม่มาแล้ว”
รำเพยแหวกพุ่มไม้จนมือถูกกิ่งไม้เกี่ยวเป็นแผลเลือดซิบ แต่กลับไม่เจออะไร
“ยัยหนู...ยัยหนูของแม่ หายไปไหนอีกแล้ว คุณลิตร เอาลูกฉันคืนมานะอย่าเอาลูกไปจากฉันอีกเลย ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว พี่สาวฉัน...พี่สาวคนเดียวของฉัน คุณก็พรากไปแล้ว ยังจะเอาลูกฉันไปอีกเหรอ ฮือๆๆ พี่เรไรจ๋า...พี่เรไร”
รำเพยทรุดร้องไห้นั่งลงแผละลงที่พุ่มไม้ด้วยสีหน้าที่เริ่มหมดหวัง
แล้วตาของรำเพยก็มองเห็นเหมือนวิญญาณของเรไรยืนมองอยู่ รำเพยยิ้มทั้งน้ำตา
“พี่เรไร ...นั่นพี่ใช่ไหม? ฉันคิดถึงพี่เหลือเกิน จริงซิ พี่ตายไปแล้ว พี่ตายแล้ว ฮือๆๆ ฉันไม่ได้ทำบุญไปให้พี่เลย ฉันของโทษ ลูกฉันหาย ฉันกำลังตามหาลูกอยู่ ฉันไม่มีเวลาใส่บาตรให้พี่เลย ฉันเป็นน้องที่เลวมาก ฉันทำร้ายพี่ พี่อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันขอโทษแล้วพี่เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่เล็กจนโต เราโตมาด้วยกัน เรา2คนอยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าทุกข์หรือสุช แต่ตอนนี้ฮือๆ...ตอนนี้เรากลับต้องพรากจากกัน เพราะรักผู้ชายเลวคนนี้เหมือนกัน”
รำเพยพิงหัวกับต้นไม้แล้วสะอื้น
“ฉันเหนื่อยเหลือเกินพี่เรไร...ใจฉันเหมือนจะขาด...ฉัน ฉันยอมแพ้แล้วพี่”
วิญญาณเรไรส่ายหน้าก่อนจะพยายามยื่นมือไปสัมผัสรำเพย แต่ก็สื่อสารอะไรไม่ได้ วิญญาณของเรไรซบหน้ากับฝ่ามือแล้วร้องไห้
ลิตรที่อยู่ในห้องของโรงแรมกำลังลุกใส่เสื้อผ้าแต่งตัว ส่วนฤทัยยังคงนอนอยู่บนเตียง ลิตรแต่งตัวเสร็จก็นั่งลงที่เตียงแล้วใส่รองเท้า
“ขอบใจนะฤทัย เธอช่วยทำให้ชีวิตเซ็งๆของฉัน มีรสชาติขึ้นเยอะเลย”
“ขอบใจไม่เอา ขอเปลี่ยนเป็น...”
ฤทัยลุกมาโอบกอดลิตรจากด้านหลังแล้วร้องเพลงเสียงกระซิบใกล้ๆ หู
“รักฉันนานๆ อย่ารานรักห่าง อย่าจางร้างไป
จิตใจฝันใฝ่ จำไว้อย่าเลือน จิตเตือนใฝ่หา”
ฤทัยยิ้มอย่างพออกพอใจจริตมารยามัดใจของฤทัยที่หาไม่ได้จากทั้งเรไรและรำเพย
ลิตรกับฤทัยเดินโอบกอดอี๋อ๋อกันออกมาจากห้อง โดยมีเสียงเพลงรักฉันนานๆ ประกอบไปตลอดทาง
รำเพยกำลังบรรจงทาปากด้วยสีแดงอมส้มชวนเสน่หา เธอนั่งแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง รำเพยหวีผมยาวสลวยดำขลับ เธอมองตัวเองในกระจก วันนี้เธอตั้งใจแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ เมื่อลิตรต้องการ เธอก็จะทำหน้าที่เมียเป็นครั้งสุดท้าย
และแล้ววิญญาณของเรไรก็ปรากฏขึ้นในกระจกที่ด้านหลังรำเพย เรไรพยายามพูดห้ามรำเพยไม่ให้เธอทำในสิ่งที่กำลังคิด แต่รำเพยก็มองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
วิญญาณเรไรพยายามสื่อสารทุกทางจนสามารถปัดขวดน้ำหอมบนโต๊ะเครื่องแป้งล้มได้ รำเพยหันไปมองขวดน้ำหอมก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาวางอย่างเดิมแล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนคิดไปเอง
“พี่เรไรอย่ามาห้ามฉันเลยนะ ฉันตัดสินใจดีแล้ว”
วิญญาณเรไรถึงกับกรีดร้องคร่ำครวญแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา
นันทนัชในวัยแบเบาะร้องไห้โยเย
“เป็นอะไรคุณหนู ร้องทำไมเนี่ยะ อ่ะๆๆกินนมซะ”
ทิพย์พยายามป้อนนมให้แต่นันทนัชก็ปัด
“นมก็ไม่กิน โอ๋ๆๆ...มาทิพย์อุ้มนะ”
ทิพย์อุ้มนันทนัชขึ้นแล้วพาเดินกล่อมไปมา
“นิ่งซะนะคนดี อย่าร้องนะอย่าร้อง โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ อ้ายหมาหางงอ กดคอโงกเงก”
ทิพย์ทำอย่างไรนันทนัชก็ไม่ยอมหยุดร้อง และดูเหมือนจะร้องมากกว่าเดิม
“โฮ่ย จะร้องไปถึงไหน คืนนี้จะได้นอนไหมเนี่ยะ ฉันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ อ่ะ...อยากร้องก็ร้องไป”
ทิพย์วางนันทนัชลงแล้วเดินไปชะเง้อมองหาลิตรที่ริมระเบียง
“คุณลิตรหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะมาหาทิพย์”
ทิพย์ทั้งเหนื่อยและหงุดหงิด
ลิตรกลับมาถึงบ้านแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาต้องตกใจที่เห็นรำเพยเข้ามานั่งอยู่ในห้อง
“รำเพย!”
เรือนริษยา ตอนที่ 16 (ต่อ)
รำเพยค่อยๆหันมามองหน้าเขา ลิตรตะลึงในความงามที่เขาไม่ได้เห็นมานานนับตั้งแต่เรไรจากไป
ลิตรยิ้มด้วยความดีใจแล้วก็ปิดประตู ก่อนจะเดินเข้ามาหารำเพย เขาจับไหล่ของรำเพยให้เธอยืนขึ้นแล้วมองหน้าที่งดงามนั้นอย่างหลงใหล
“รำเพยยกโทษให้ฉันแล้วใช่มั้ย ถึงเข้ามาหาฉันในห้อง”
รำเพยไม่ตอบ เธอหลบตาเขา ลิตรเข้าใจไปว่ารำเพยเขินอายจึงกอดรำเพยแนบอก
“ฉันดีใจเหลือเกินรำเพย รู้ไหมที่รำเพยเย็นชาใส่ฉัน ทำเหมือนไม่มีฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ลิตรเชยคางรำเพยแล้วมองหน้า “รำเพยได้คนเดิมของฉันกลับมาแล้ว...ฉันรักรำเพย...รักมาก...รักสุดหัวใจ”
ลิตรยื่นหน้าไปจูบหน้าผากของรำเพย รำเพยน้ำตาไหลเผาะเพราะเธอทั้งรักทั้งเกลียดลิตร
“ต่อจากนี้ไป เราจะลืมเรื่องที่ผ่านมา ลืมไปให้หมด ว่าเคยมีพี่เรไรโลกนี้จะมีเพียงลิตรกับรำเพยเท่านั้น”
ลิตรประคองรำเพยไปนั่งที่เตียง ก่อนจะก้มลงจูบรำเพย แล้วเขาก็พารำเพยล้มตัวลงนอนไปบนเตียง
นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาตี 4 ลิตรนอนโอบกอดรำเพยไว้ในอ้อมแขน สีหน้าของลิตรดูอิ่มเอมมีความสุข
ลิตรขยับตัวแล้วก็ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นพบว่ารำเพยอยู่ในอ้อมแขนเขาก็ยิ้มอย่างสุดแสนมีความสุข
“พี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมรำเพย”
ลิตรลูบหน้ารำเพยที่อยู่ในอ้อมแขนเขา ลิตรเช็ดน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ของรำเพย
“พี่จะทำให้รำเพยมีความสุขที่สุดในสิ่งที่รำเพยต้องการ” ลิตรหมายถึงการไปเอาลูกกลับมาให้ “เราจะกลับมาเป้นครอบครัวที่อบอุ่นอีกครั้ง”
ลิตรจูบที่หน้าผากรำเพยแล้วลุกขึ้นจากเตียง รำเพยนอนหลับ
นันทนัชยังคงนอนร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ทิพย์ที่นอนอยู่ลุกนั่งพรวด
“ร้องอะไรนักหนาเนี่ยะ ไม่หลับไม่นอนเลย วันนี้เป็นอะไรห่ะ เป็นอะไร”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสียงลิตรดังเข้ามา “ทิพย์ๆ เปิดประตู”
ทิพย์ดีใจจึงรีบลุกไปเปิดประตู เธอเห็นลิตรยืนอยู่หน้าห้อง
“คุณผู้ชาย มาเสียดึกเลย”
ลิตรโผเข้ามาอุ้มนันทนัช
“ลูกฉันไม่สบายเหรอทิพย์ ทำไมถึงได้ร้องจ้ายังงี้”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ร้องมาตั้งแต่หัวค่ำ ให้กินนมก็ไม่กินกล่อมยังไงก็ไม่ยอมหยุดร้อง” ทิพย์ว่า
“โอ๋ ลูกพ่อ อย่าร้องนะลูกเด็กดี พ่อจะพากลับไปหาแม่รำเพยนะลูกแม่คิดถึงหนูมากรู้ไหม แม่ต้องดีใจมากที่ได้เจอลูกอีกครั้ง”
ลิตรหันหลังจะอุ้มนันทนัชออกไป แต่ทิพย์มาขวางทางไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณผู้ชาย! อะไรกัน อยู่ๆก็จะพาคุณหนูกลับไป”
“ก็แล้วทำไมฉันจะพาลูกกลับไมได้ รำเพยเค้ายอมใจอ่อนคืนดีกับฉันแล้ว”
ลิตรยิ้มอย่างมีความสุข แต่ทิพย์รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ
“ใจอ่อนทั้งๆที่รู้ว่าคุณผู้ชายลักพาตัวลูกมาน่ะเหรอคะ!”
“ก็ใช่น่ะซี ขอบใจมากนะทิพย์ ถ้าไม่ได้แผนของเธอ รำเพยคงไม่ยอมคืนดีกับฉันง่ายๆ ฉันจะพาลูกไปคืนให้อ้อมแขนรำเพยฉันสาบานว่าต่อจากนี้ไป ฉันจะทำให้รำเพยเมียของฉันมีความสุขที่สุดในโลก”
ลิตรรีบอุ้มนันทนัชออกไป ทิพย์แทบทรุดอยู่ตรงนั้นแต่ก็รีบตามออกไป
“เดี๋ยวค่ะ...รอทิพย์ด้วย!”
ลิตรอุ้มนันทนัชเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข โดยทีทิพย์เดินตามหลังมาแบบหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยสีหน้าที่เศร้าซึมแฝงความอิจฉา
“รำเพยๆ...พี่พาลูกกลับมาหารำเพยแล้ว...รำเพยจ๋า”
ลิตรมองไปภายในบ้านแต่ก็ไม่เจอรำเพย เขานึกยิ้มกรุ้มกริ่ม
“จริงซิ รำเพยคงยังไม่ตื่น เพราะเมื่อคืนเรามีความสุขด้วยกัน”
ทิพย์ได้ยินอย่างนั้นถึงกับยกมือปิดปากเพราะความริษยาพุ่งปรี๊ด “ห่ะ!”
“ลูกรักของพ่อ พอถึงบ้านก็หยุดร้องเลย คิดถึงแม่ใช่ไหมลูกเราขึ้นไปปลุกแม่ที่ห้องนอนด้วยกันนะ”
ลิตรอุ้มนันทนัชขึ้นบันได ทิพย์เดินไปยืนมองตามแล้วมือของเธอก็บีบราวบันไดแน่น
ลิตรอุ้มลูกเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยหน้าตายิ้มแย้มแล้วตะโกนเรียกรำเพย
“รำเพย...พี่พาลูกกลับมาหารำเพยแล้ว”
ลิตรพบกับความว่างเปล่า เขามองหารำเพยแต่ไม่พบเธออยู่ในห้อง แต่แล้วตาของลิตรก็เหลือบไปเห็นลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงเปิดอ้าอยู่ ในลิ้นชักมีปลอกปืนวางอยู่แต่ปืนหายไป ลิตรใจหายวาบ
“รำเพย!”
ลิตรรีบวิ่งออกไปจากห้อง บนโต๊ะเหนือลิ้นชักมีจดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวที่รำเพยเขียนให้ลิตรวางไว้
รำเพยค่อยๆ นั่งลงที่ม้านั่งใกล้ต้นรำเพย เธอหยิบดอกรำเพยสีส้มที่ร่วงอยู่บนม้านั่งขึ้นมาดู รำเพยเงยหน้ามองไปที่ต้นรำเพย
“ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันคนเดียว เพราะฉัน...ทำให้พี่เรไรต้องตายทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเค้าฆ่าพี่ ฉันยังเลว หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ ยอมรับผู้ชายเลวๆคนนี้เข้ามาอยู่ในหัวใจ ฉันมันชั่วไม่กล้าเอาผิดกับไอ้ฆาตกรที่ฆ่าพี่ เอามันเข้าคุก เพียงเพราะว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกฉัน ฮือๆ เค้าพรากพี่ไปจากฉันแล้ว เค้ากำลังพรากลูกไปจากฉันอีก ชีวิตของฉันอยู่ไปก็ไม่ประโยชน์ ไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว”
น้ำตารำเพยไหลพรั่งพรู เธอปล่อยดอกรำเพยร่วงจากมือยกปืนที่เตรียมมาขึ้นมาจ่อขมับ
“ยัยหนูของแม่...แม่ไม่มีวาสนาจะได้ดูแลลูกอีกแล้ว...ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก แม่รักลูกนะ รักมากที่สุดในโลก”
รำเพยหลับตาลง น้ำตาของเธอร่วงเผาะอาบทั้งสองแก้ม เป็นจังหวะที่ลิตรวิ่งอุ้มนันทนัชตามหาออกมาเห็นเข้าพอดี
“อย่า...รำเพย!”
ทิพย์เข้ามาเห็นก็ตกใจ เธออ้าปากค้างเช่นเดียวกับชิดที่เดินตามหลังมา ขณะที่ลิตรวิ่งอุ้มนันทนัชเดินเข้าหาไปรำเพยอย่างสุดชีวิตเพื่อหวังจะหยุดเธอ แต่รำเพยลั่นไกปัง
“รำเพย!”
รำเพยทรุดลง ลิตรถลาเข้ามาประคองร่างรำเพยที่มีเลือดไหลอาบแก้ม
“ทำไมถึงทำอย่างงี้...ทำไม!”
นันทนัชน้ำตาคลอหลังจากทิพย์เล่า
“ห่ะ...แม่! เรื่องมันเป็นอย่างงี้เองเหรอ ยัยฤทัยทำให้แม่ต้องฆ่าตัวตาย”
“ใช่ค่ะ แม่รำเพยของคุณจับได้ว่าคุณลิตรนอกใจแอบไปยุ่งกับนังฤทัย-นังนักร้องในบาร์ คุณรำเพยเสียใจมากก็เลย...ยิงตัวตาย”
ทิพย์พยักหน้าแล้วดึงนันทนัชมากอดปลอบแต่ในใจกลับคิดอีกว่า
“นังเด็กโง่เอ้ย...แกมันก็โง่เชื้อไม่ทิ้งแถวเหมือนแม่แกนั่นแหละ”
แล้วทิพย์ก็เล่นละครฉากใหญ่ต่อไป
“เพราะนังฤทัยมันเป็นมือที่3 มันทำลายความรักระหว่างพ่อกับแม่คุณ เพราะมันทำให้แม่คุณต้องฆ่าตัวตาย คุณถึงหยุดความโลภของมันไว้ให้ได้ อย่าให้มันได้มรดกของพ่อคุณไปได้ แม้แต่ชิ้นเดียวนะคะคุณนัน คุณต้องขัดขวางมันให้ได้”
นันทนัชแค้น
“ค่ะ นันจะทำให้ได้ ถึงแม้ตอนนี้นันยังคิดไม่ออก ว่าจะขัดขวางยังไง”
“ไม่ว่าจะใช้คนใช้ใคร จะใช้เล่ห์ จะใช้กลหรือคาถา คุณนันก็ต้องทำแล้วค่ะ ไม่มีเวลาลังเลอีกต่อไปแล้ว”
นันทนัชอึ้งมองทิพย์ที่ส่งสายตากดดัน ไกรภัทรเดินเข้ามา
“ขอโทษนะครับที่มาช้า รถติดมาก”
ทิพย์เงยหน้ามองสบตากับไกรภัทรแล้วต่างคนต่างเล่นละครทำเป็นแปลกหน้าต่อกัน
“เอ่อ...นี่คุณไกรภัทรลูกชายลุงทนายสมุทรชัยน่ะค่ะ น้าทิพย์ยังจำได้รึปล่าว”
“โทษทีนะ น้าจำไม่ได้” ทิพยตัดบทไม่อยากคุยด้วย “คุณนันนัดมาเหรอค่ะ?”
“ค่ะ ก็จะมาคุยเรื่องพินัยกรรมที่หาพบนั่นแหละค่ะ”
“งั้นน้าไปทำงานก่อนล่ะ”
ทิพย์ลุกเดินผละไปอย่างรวดเร็ว นันทนัชลุกขึ้นยืนส่งแล้วมองทิพย์เดินหายไปด้านหลังของร้านอย่างรวดเร็ว นันทนัชถอนใจแล้วหันมายิ้มให้ไกรภัทร
“เชิญนั่งซีคะคุณไกรภัทร”
“ขอบคุณครับ”
นันทนัชหันไปจะนั่งลงเกิดเซด้วยอาการวูบแบบทั้งเครียด ทั้งเพิ่งเหนื่อยจากการหนีตายที่เขาใหญ่
“โอ๊ะ! ระวังครับ”
ไกรภัทรประคองนันทนัชไว้ในอ้อมแขนได้ทัน
ทิพย์แอบโผล่มองมาที่ทั้งคู่ ก่อนจะหันเดินผละไป
“หน้าคุณซีดมากเลยนะครับ นี่คงไม่ค่อยได้พักผ่อน ค่อยๆนั่งนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ ไหวไหม? หรือจะให้ผมพาไปโรงพยาบาล”
ไกรภัทรมองนันทนัชด้วยความเป็นห่วงเป็นใย อยากเทคแคร์ ดูแล นันทนัชยิ้มอย่างรู้สึกดี
“อย่าลำบากเลยค่ะ นันหายแล้ว แค่นี้นันก็รบกวนคุณแย่แล้วต้องให้คุณมาถึงที่นี่”
“อย่าพูดอย่างงั้นซีครับ ผมเต็มใจมาต่างหาก พอรู้ว่าคุณฤทัยเป็นคนเจอพินัยกรรมผมก็รู้ทันทีว่าผมนี่แหละที่จะต้องช่วยคุณ”
นันทนัชมองไกรภัทรอึ้งๆ
แฟนต้าเดินผ่านมาขณะทำหน้าช่วยเสิร์ฟขนมปังให้ลูกค้า เธอเห็นไกรภัทรกับนันทนัชกำลังนั่งมองหน้ากัน
“อุตะ!...นั่นมันลูกชายทนายนี่ อยู่ๆก็โผล่มา...มันยังไงๆเนี่ยะ?”
กฤตพนธ์ที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเใส่ชุดลำลองเหมือนจะนอน กฤตพนธ์นั่งลงที่โต๊ะที่มีกระเป๋าปฐมพยาบาล เขาเปิดกระเป๋าแล้วหยิบยา หยิบผ้าพันแผลออกมาวางก่อนจะหันมาเปิดแผลที่ถูกลูกดอกหน้าไม้เฉี่ยวที่แขนแล้วใจของเขาก็หวนคิดไปถึงความประทับใจที่ลำธารกลางป่า
กฤตพนธ์ดึงตัวนันทนัชมาโอบกอดไว้ที่ด้านหลัง
“ถ้าคุณไม่ยอมฟังที่ผมพูด งั้นก็ฟังนี่ ได้ยินไหม?”
นันทนัชรู้สึกแทบละลายอยู่ในอ้อมแขนกฤตพนธ์
“เอ่อ... ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลย...นอกจากเสียงน้ำ แล้วก็….เอ่อ...”
เสียงหัวใจของกฤตพนธ์เต้น นันทนัชได้ยินจากอกของเขาที่แนบหลังเธออยู่
“คุณได้ยินเสียงหัวใจผมใช่ไหม ถ้าไม่เชื่อที่ผมบอก ก็ช่วยฟังหัวใจของผมที่เป็นห่วงคุณ”
กฤตพนธ์ยิ้มพร้อมกับคิดว่าเขามอบใจให้นันทนัชไปแล้ว กฤตพนธ์จะไม่ถอยแม้จะมีอุปสรรคใดๆมาขวางทาง เสียงเตือนมีข้อความส่งมาทางมือถือดังขึ้น กฤตพนธ์คว้ามาเปิดดู ข้อความส่งมาจากสมุทรชัย
“ทนายสมุทรชัย!”
กฤตพนธ์ต้องขมวดคิ้วเมื่ออ่านข้อความ
“คุณฤทัยพบพินัยกรรมของคุณลิตรแล้ว ขอเชิญคุณมาเป็นสักขีพยานในการเปิดพินัยกรรมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้”
กฤตพนธ์อ่านแล้วนึกห่วงไปถึงนันทนัช
นันทนัชกำลังคุยกับไกรภัทร โดยแฟนต้าทำทีเป็นเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้เพื่อจะแอบฟัง
“เปิดพินัยกรรมพรุ่งนี้เหรอคะ!”
“ครับ เป็นความประสงค์ของคุณฤทัย”
“ขัดเค้าไม่ได้เหรอคะ ให้คุณพ่อคุณยืดเวลาเปิดพินัยกรรมออกไปก่อนไม่ได้เหรอคะ กะทันหันแบบนี้ นันจะไปเตรียมตัวทันได้ยังไง”
นันทนัชพูดอย่างร้อนใจ
“ใจเย็นๆครับคุณนัน ใจเย็นๆก่อน เครียดมากไปเดี๋ยวคุณจะไม่สบาย”
ไกรภัทรพูดพลางยื่นมือไปแตะมือนันทนัชเบาๆ เพื่อเตือนสติ แฟนต้ามอง
“คุณนันจะไปเตรียมตัวอะไรล่ะครับ ถ้าคุณลิตรระบุไว้ในพินัยกรรมว่ายังไง ทุกคนก็ต้องทำตามประสงค์ของคุณลิตร”
“นันไม่เชื่อว่าพินัยกรรมฉบับนั้นเป็นของจริงน่ะซีคะ”
ไกรภัทรกับแฟนต้าอึ้งฟังที่นันทนัชพูด เสียงมือถือของนันทนัชดังขึ้น นันทนัชไม่มีอารมณ์ที่จะหยิบมือถือขึ้นมารับสาย
“ต้า...ชอบรับแทนที บอกว่าฉันไม่ว่าง”
แฟนต้าคว้ามือถือนันทนัชไปก่อนจะเดินมากดรับสายอยู่ห่างๆ
“ฮัลโหล...ไม่ใช่นันค่ะ ต้าเอง คุณกฤตมีอะไรคะ?”
กฤตพนธ์เดินพูดสายด้วยความร้อนใจ
“คุณนันอยู่ที่ร้านคุณต้าเหรอครับ ผมรู้เรื่องเจอพินัยกรรมแล้วเค้าเป็นยังไงบ้าง?”
“หน้างี้ยังกับแบกโลกไว้ทั้งลูกแน่ะ” แฟนต้าว่า
“ขอผมพูดสายด้วยหน่อยซิครับ”
“นันกำลังคุยกับคุณไกรภัทรอยู่น่ะค่ะ เค้าไม่มีอารมณ์จะรับสายใครหรอก...เอ่อ...ฮัลโหลๆ”
เสียงตู๊ดๆ ซึ่งเป็นเสียงที่บอกว่าสัญญาณตัดไปแล้ว
“เฮ้ย...วางสายไปซะงั้น”
กฤตพนธ์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็รีบร้อนเดินลงบันไดมา ธรรมเดินถือถาดชาออกมา
“อ้าว...ผมกำลังชงชาไปให้ดื่ม จะออกไปไหนครับคุณกฤต?”
กฤตพนธ์ตอบ “ไปธุระ”
กฤตพนธ์เดินออกจากบ้าน
“สงสัยจะที่หน่วยจะมีภารกิจด่วน”
เดือนกำลังเดินใส่ชุดนอนผ้าบางๆที่คิดว่าเซ็กซี่ที่สุดเดินตรงมาที่ห้องพักของไม้ แล้วเดือนก็ตกใจจนชะงักเมื่อเห็นฤทัยแอบเดินลับๆล่อๆ ตรงมาที่ห้องไม้เหมือนกัน เดือนหันซ้ายหันขวาหาทางหลบ กระถางต้นไม้เปล่าๆ ขนาดใหญ่วางอยู่นอกชายคา เดือนรีบก้าวลงไปนั่งหลบพลางคว้าบุ้งกี๋ตักเศษใบไม้ที่วางอยู่มาครอบปิดหัวอีกที ฤทัยเดินสวมชุดนอนมายืนเกาะประตูโพสต์ท่าสยายผมเซ็กซี่อยู่หน้าประตูห้องไม้แล้วก็เคาะประตู ไม้เปิดประตูออกมาเพราะคิดว่าเป็นเดือนมา
“มาแล้วเหรอจ๊ะเดื....”
ไม้หยุดปากตัวเองแทบไม่ทัน เมื่อเห็นว่าเป็นฤทัย
“เอ่อ...พี่ฤทัย วันนี้มาแต่หัวค่ำ”
“ก็พี่มีความสุข พอนึกถึงว่าพรุ่งนี้พี่จะได้อะไรบ้างมาอยู่ในกำมือพี่ก็เลยอยากจะมาฉลองล่วงหน้ากับไม้”
ฤทัยพูดพลางดันอกไม้เข้าไปในห้องแล้วปิดประตู เดือนที่มีบุ้งกี๋ครอบหัวอยู่โผล่พรวดขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ
“อีคุณนายหื่นกาม...เผลอเป็นมาเคาะห้องคนขับรถ มีเงินทำไมไม่ไปซื้อไอ้ตัววะ เที่ยวมาแย่งของๆคนใช้อยู่ได้”
เดือนเดินออกจากกระถาง แล้วเธอก็นึกอยากสอดรู้จึงค่อยๆ เดินมาแอบแนบหูฟังที่ประตูห้อง
ฤทัยเดินจูงมือไม้มาที่เตียง
“ทนายสมุทรชัยไม่สงสัยเรื่องพินัยกรรมที่เราพบเลยเหรอครับ?”
“สงสัยแล้วพิสูจน์อะไรได้ไหมล่ะ ในเมื่อพินัยกรรมฉบับนั้นปลอมได้เหมือนของจริงเดี๊ยะ ฮิๆๆ” ฤทัยหัวเราะ
เดือนได้ยินก็อ้าปากค้าง
“แต่คุณนันสงสัยแน่ๆ นี่ออกไปจากไปไหนไม่รู้ คงจะไปหาทางขัดขวาง”
“ฉันถึงได้รีบให้ทนายเปิดพินัยกรรมพรุ่งนี้ไง นังนันมันจะมาไม้ไหน ยังไงมันก็ไม่มีทางขัดขวางได้ทัน”
“ถ้าอย่างงั้นผมขออวยพรล่วงหน้า ให้พรุ่งนี้พี่ได้ทุกอย่างสมปรารถนาแล้วอย่าลืมนะครับ”
ไม้ทำตัวเอาอกเอาใจ
“แหม...ลืมได้ยังไง สุดรักสุดสวาทของพี่ ถ้าไม่ได้ไม้ช่วยพี่ หามืออาชีพมาปลอมพินัยกรรมให้ เรื่องมันจะง่ายอย่างงี้เหรอ”
เดือนแอบฟัง
เสียงฤทัยดัง “มามะ...ผัวขา...พี่จะเริ่มปูนบำเหน็จรางวัลให้ตั้งแต่คืนนี้เลย ฮิๆๆ”
เดือนทำท่าจะอ้วก เดือนเดินผละจากห้องมาพร้อมกับความลับเรื่องพินัยกรรม
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.
เรือนริษยา ตอนที่ 16 (ต่อ)
แฟนต้าพูดขึ้น
“ฉันคิดออกแล้ว เราก็แอบไปขโมยพินัยกรรมนั้นมาซี ไม่มีพินัยกรรมพรุ่งนี้ก็เปิดพินัยกรรมไม่ได้จริงไปไหม”
“ขโมยทรัพย์สินคนอื่น คดีอาญา ติดคุกนะครับ”
“อู้ย!”
“แปลว่านันต้องยอมเป็นง่อย ปล่อยให้เค้าเปิดพินัยกรรมปลอมๆนั่น”
ไกรภัทรมองนันทนัชแล้วก็นึกถึงวิธีที่จะช่วยตามคำสั่งทิพย์ที่สั่งมา
“อย่าเพิ่งหมดหวังครับ ยังพอมีอีกวิธีนึง”
นันทนัชมีความหวังขึ้นมาทันที “วิธีไหนคะ?”
“ถ้าคุณนันมีพินัยกรรมอีกฉบับนึงมาสู้แย้งว่าเป็นของจริง การเปิดพินัยกรรมก็อาจจะต้องเลื่อนออกไป”
“นันจะไปหาพินัยกรรมที่ไหนมาล่ะคะ นันไม่มี แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ยังมีเวลาอีกทั้งคืน นันจะลองกลับไปคิดดู อาจจะคิดออก ทันเวลาเปิดพินัยกรรมก็ได้”
นันทนัชลุกขึ้น
“จะกลับแล้วเหรอแก?”
นันทนัชพยักหน้า “อือ”
“ผมเดินไปส่งที่รถนะครับ”
ไกรภัทรเดินตามนันทนัชมา กฤตพนธ์เดินเข้ามาพอดี นันทนัชหยุดมองมาที่กฤตพนธ์ กฤตพนธ์ก็หยุดมองนันทนัชที่มีไกรภัทรยืนเคียงข้าง
“ผมรู้เรื่องพินัยกรรมแล้ว คุณจะทำยังไง ผมพอจะช่วยอะไรคุณได้ไหม?”
“เอ่อ...”
นันทนัชจะตอบแต่ไกรภัทรแย่งพูดขึ้น
“คุณนันปรึกษาผมแล้ว และผมก็ให้คำปรึกษาเธอไปหมดแล้วด้วยคูณกฤตไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ให้คุณนันกลับไปพักผ่อนดีกว่ากลับบ้านเถอะครับคุณนัน”
“พรุ่งนี้คุณไปเป็นสักขีพยานอีกใช่ไหมคะ ค่อยคุยกันนะคะคุณกฤต วันนี้ฉันเหนื่อยจริงๆ”
กฤตพนธ์พูดอะไรไม่ออก เห็นสีหน้ายิ้มๆของไกรภัทร นันทนัชหันจะเดินไป ธีร์ก็รีบร้อนเดินเข้ามาอีกคน
“เป็นยังไงบ้างนัน!”
แฟนต้าทำหน้าเซ็งแอบบ่น
“โธ่เอ้ย...พิ่งจะมา...ไม่ทันกินเค้าตลอด”
.”ไว้คุยกันนะพี่ธีร์ คืนนี้นันมีเรื่องสำคัญต้องกลับไปคิด คุณไกรภัทรก็ไม่ต้องเดินไปส่งหรอกค่ะ รถจอดอยู่นี่เอง นันไปก่อนนะคะทุกคน”
“เอ่อ...”
ธีร์จะรั้งนันทนัชไว้ แต่นันทนัชก็เดินผละไปแล้ว สามหนุ่มได้แต่ยืนมอง กฤตพนธ์หันไปเหลือบมองไกรภัทร ไกรภัทรค่อยๆหันมามองกฤตพนธ์ กฤตพนธ์รู้สึกได้ว่าแววตาของไกรภัทรยิ้มอย่างท้าทายอย่างไรไม่รู้ เขาก้มหัวให้เล็กๆ เหมือนจะบอกลา แล้วก็เดินออกไปจากร้าน
“โธ่เอ้ยนัน...อุตส่าห์รีบมา จะคุยด้วยหน่อยก็ไม่ได้ เซ็ง”
กฤตพนธ์เลิกคิ้วข้างหนึ่งมองธีร์ที่ดันพูดเหมือนใจเขาเลย
นาฬิกาตรงผนังบอกเวลาตี3 นันทนัชยังคงเดินคิดอย่างง่วงๆอยู่ในห้อง
“จะทำไงดี...จะทำไงดี”
นันทนัชเดินมาหยุดมองที่รูปของลิตรแล้วก็นึกโกรธพ่อขึ้นมาอีก
“ถ้าพ่อไม่เจ้าชู้ ไม่ไปยุ่งกับยัยฤทัย แม่ก็คงไม่ฆ่าตัวตาย พ่อก็ไม่ถูกฆ่าแล้วนันก็คงไม่มารับกรรมอยู่อย่างนี้หรอก ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็มาจากพ่อนั่นแหละ!! แล้วนันต้องทำยังไง ถึงจะหยุดยัยฤทัยไม่ให้ฮุบสมบัติของพ่อไป พินัยกรรมตัวจริงของพ่ออยู่ที่ไหนล่ะพ่อเก็บมันไว้ที่ไหน”
นันทนัชมองรูปลิตรแล้วก็ท้อแท้เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมาพร่ำพูดกับรูปที่ไม่มีชีวิตแบบนี้ นันทนัชหันเดินขยี้ตาอย่างง่วงๆ ไปที่เตียง เธอทิ้งตัวลงนอนคว่ำกับเตียงอย่างหมดแรง
“ถ้านันมีพินัยกรรมอีกฉบับ...ก็ขวางยัยแม่เลี้ยงได้...แล้วนันจะเอาพินัยกรรมจากที่ไหนมาล่ะ”
นันทนัชค่อยๆ ผลอยหลับไป เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก
ลูกบิดประตูระเบียงค่อยๆ หมุนออกช้าๆ เพื่อปลดล็อค ประตูเปิดออก กุญแจอยู่ในมือของร่างที่ก้าวเข้ามาในห้อง ร่างนั้นหยุดยืนอยู่ในเงามืดข้างเตียงพร้อมกับมองจ้องมาที่นันทนัช แสงฟ้าแลบภายนอกส่งวูบวาบเข้ามาภายในห้องกระทบหน้าร่างที่ยืนอยู่ทำให้เห็นเป็นใบหน้าทิพย์ยืนมองนันทนัชด้วยแววตาดุกร้าว
“นังเด็กโง่เอ้ย มัวแต่นอนหลับอยู่ได้ แกต้องคิดให้ออกซีว่าจะขัดขวางนังฤทัยยังไง แกต้องไม่ยอมแพ้มัน แกต้องแก้แค้นมันแทนฉัน”
เรือนรัตนะมีฟ้าแลบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังมาก
กฤตพนธ์ก้าวเข้ามายืนที่หน้าเรือนรัตนะ เขาหนักใจทุกครั้งที่ต้องมาบ้านที่มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นหลังนี้ กฤตพนธ์ถอนใจแล้วจะเดินจะเข้าบ้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อกนกกรที่มารออยู่ออกมาต้อนรับ
“กิ๊บกำลังรอคุณกฤตอยู่เลยค่ะ” กนกกรบอก
“ผมไม่ได้มาสายใช่ไหมครับ” กฤตพนธ์ถาม
“ยังมีเวลาถมเถไปคะ สำหรับพินัยกรรมที่จะเป็นตัวตัดสินว่ายัยนันควรจะอยู่ที่นี่ หรือควรจะไปให้พ้นๆ”
“ดูเหมือนคุณกิ๊บจะมั่นใจเหลือเกินนะครับ ว่าคุณลิตรจะยกมรดกให้ใคร”
“ไม่มั่นใจได้ยังไงคะ ตลอด5ปีที่พ่อลิตรไล่ยัยนันไปเรียนเมืองนอกยัยนั่นไม่เคยกลับมาดูดำดูดีพอเลย ไม่แม้แต่จะโทรมาถามว่าพ่อสุขสบายดีรึปล่าว พ่อลิตรเองก็ไม่เคยพูดว่าคิดถึงลูกสาวคนเดียวเลยนอกจากด่าๆๆว่าเป็นลูกไม่รักดี ไม่เห็นหัวพ่อ”
“บางทีพ่อลูกอาจจะแค่มีทิฐิต่อกัน”
“อ๋อเหรอคะ คุณกฤตเรียกที่พ่อลิตรทำกับยัยนันว่าเป็นทิฐิ แต่กิ๊บว่าพ่อลิตรตัดหางปล่อยวัดยัยนั่นมากกว่า”
กฤตพนธ์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับกนกกรต่อก็เลยตัดบท
“เอาเป็นว่า ผมอวยพรให้คุณกิ๊บสมปรารถนาในสิ่งที่หวังไว้ในพินัยกรรมก็แล้วกันนะครับ” กฤตพนธ์ดูนาฬิกา “ได้เวลาแล้ว รีบเข้าไปเถอะครับ”
กฤตพนธ์เดินผ่านกนกกรไป แต่กนกกรแถตามมา
“รอกิ๊บด้วยซีคะคุณกฤต ไปฟังข่าวดีด้วยกันค่ะ”
ว่าแล้วกนกกรก็กอดแขนกฤตพนธ์หมับแล้วเดินไปกับเขา นันทนัชเดินมาพอดีแล้วจะตรงไปยังห้องโถงใหญ่ กนกกรเดินเกาะแขนมากับกฤตพนธ์แล้วก็ชะงักมอง กนกกรพยายามระงับความหึงหวงที่ผุดขึ้นในใจ ขณะที่กฤตพนธ์พยายามแกะมือกนกกรออกอย่างสุภาพ แต่กนกกรก็ไม่ยอม เธอเกาะแขนเขาแน่น แถมยังยิ้มเยาะเย้ยใส่นันทนัช นันทนัชตีหน้านิ่งเฉยใส่ทั้งกนกกรและกฤตพนธ์แล้วหันหลังเดินต่อไป
กนกกรพูดเบาๆ “หมั่นไส้...ทำเป็นเชิด!”
กฤตพนธ์กับกนกกรเดินตาม
กฤตพนธ์ นันทนัช ฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ ไกรภัทร สมุทรชัย หมวดเมธนั่งประจำที่พร้อมสำหรับการเปิดพินัยกรรม กฤตพนธ์แอบมองไปที่นันทนัชอย่างห่วงๆ แต่กลับเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนไม่กังวลอะไรของนันทนัชซึ่งแตกต่างจากเมื่อคืนที่ดูเครียดมา ขณะที่ฝ่ายฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ดูจะกระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมกับมองเหยียดเยาะเย้ยไปทางนันทนัชอย่างเป็นต่อ
“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ผมก็จะเริ่มเลยนะครับ” สมุทรชัยว่า
สมุทรชัยหยิบซองพินัยกรรมที่ปิดผนึกไว้อย่างดีออกมาเปิด นันทนัชมองจ้องไปที่ซองพินัยกรรมเขม็ง สมุทรชัยหยิบเอกสารพินัยกรรมออกมาซึ่งเป็นแค่กระดาษA4สีขาวที่มีข้อความไม่กี่บรรทัด สมุทรชัยเหลือบมองข้อความที่ระบุไว้ด้วยสีหน้าที่ดูเครียดๆ จนต้องขยับแว่นสายตา ทำเอาไกรภัทรกังวลไปด้วย จึงเหลือบมองสบตากับสมุทรชัย
“โอ๊ย...ลีลาอยู่นั่นแหละ จะอ่านก็รีบอ่านเสียทีสิ”
ฤทัยแอบหยิกขารณฤทธิ์ รณฤทธ์ปัดมือฤทัย ฤทัยฉีกยิ้มให้สมุทรชัย
“เชิญอ่านเลยซิคะคุณทนาย ไม่ว่าคุณลิตรจะทำพินัยกรรมไว้ว่ายังไงไม่ยกสมบัติอะไรให้ฉันเลย ฉันก็จะยอมรับมันค่ะ” ฤทัยว่า
นันทนัชแอบเบ้ปากในความเสแสร้งของฤทัย สมุทรชัยกระแอมเบาๆแล้วเริ่มอ่าน
“ตั้งใจฟังนะครับทุกท่าน พินัยกรรมของคุณลิตรระบุชัดเจนไว้สั้นๆครับทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้า นายลิตร ฤทธานนท์ ขอมอบให้...”
สมุทรชัยหยุดแล้วเงยหน้ามองไปที่นันทนัชกับฤทัย นันทนัชก็อดจะรู้สึกลุ้นไม่ได้ คนอื่นๆก็พลอยลุ้นไปด้วย
“ขอมอบให้...นางฤทัย ฤทธานนท์ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
สิ้นเสียงของสมุทรชัย นันทนัชหลับตาลงสะกดจิตใจให้นิ่งไว้ กฤตพนธ์กับไกรภัทรมองมาที่นันทนัช ด้วยสายตาเป็นห่วง นันทนัชลืมตาขึ้นด้วยแววตาเข้มแข็งอีกครั้ง เสียงดีอกดีใจกรี๊ดกร๊าดของฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ที่โผเข้ากอดกันดังลั่นห้องอย่างไม่แคร์ใคร
ไม้ ศรี เดือนแอบเอาหูแนบฟังอยู่ที่หน้าประตูห้องที่ปิดล็อคไว้ เสียงดีอกดีใจของสามแม่ลูกดังลอดออกมาอย่างชัดเจน ศรีทำหน้าแหย
“เสียงใครกรี๊ดกร๊าดดีใจลั่นห้องง่ะ” ศรีอยากรู้
“ไม่ใช่เสียงยัยนันของแกแน่ย่ะ” เดือนถาม
“ฉันก็ว่างั้นแหละ คุณนันคงไม่ทำอะไรเว่อร์ขนาดนี้” ศรีนึกขึ้นได้ “ห่ะ! ถ...ถ้าเป็นเสียงของคุณผู้หญิง คุณกิ๊บ งั้นก็แสดงว่า... คุณผู้ชายคงจะยกมรดกให้เยอะมาก”
ไม้ยิ้มอย่างดีใจที่แผนทำพินัยกรรมปลอมของเขาสำเร็จ
“เยอะมากอะไรของแกยะ ฉันว่า...คงจะยกให้ทั้งหมดนั่นแหละ” เดือนว่า
เดือนพูดพลางมองมาที่ไม้เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่ารู้อะไรมา
“คุณผู้ชายจะทำอย่างงั้นได้ไง” ศรีถาม
“ทำไมจะทำไม่ได้ ก็พินัยกรรมฉบับนั้นน่ะมัน” เดือนจะพูด
ไม้คว้าแขนเดือนดึงเข้ามาไปก่อนที่เธอจะพูดจบ
“หุบปากพล่อยๆของแกเลย มานี่”
ไม้กระชากแขนรีบพาเดือนเดินออกไป
“โอ๊ย...เบาๆได้มั้ย ฉันเจ็บนะ”
ศรีมองตามด้วยความสงสัย
“สองคนนั้นมันมีลับลมคมนัยอะไรวะ?”
สมุทรชัยต้องกระแอมขึ้นเพื่อเตือนให้ฤทัย กนกกร รณฤทธิ์เลิกดีใจกรี๊ดกร๊าดกันเสียที ฤทัยรู้สึกตัวก่อนจึงหันมามองทุกคนแล้วก็ตีลูกทั้งสองให้หยุด
“นี่ๆพอแล้ว...สำรวมหน่อยเด็กๆ”
กนกกรกับรณฤทธิ์ถึงได้หยุดแล้วหันกลับมานั่งที่เก้าอี้อย่างเดิมแต่สายตาส่งมายิ้มเยาะเย้ยให้นันทนัชตลอดเวลา โดยเฉพาะรณฤทธิ์ที่ถึงกับทำปากด่าแบบไม่มีเสียงว่า “สมน้ำหน้า”
กฤตพนธ์เห็นเข้าก็ถึงกับขบกรามเพราะโมโหแทน แต่เขากลับเห็นนันทนัชยิ้มเยาะที่มุมปากส่งคืนไปให้อย่างรณฤทธิ์ด้วยความเย็นชา
“เอ่อ...แล้วไม่ทราบว่าพี่ลิตรเขียนไว้ในพินัยกรรมสั้นๆเท่านี้เองเหรอคะคุณทนาย ฤทัยคิดว่าพี่ลิตรจะสั่งเสียอะไรถึงฤทัยบ้างเสียอีก”
ฤทัยทำเป็นไขสือพร้อมกับจีบปากจีบคอถาม
“แหม...เมื่อก่อนเคยเป็นนักร้องดังในไนท์คลับ ไม่รู้ว่าเคยไปรับจ็อบเล่นหนังเล่นละครด้วยรึปล่าว ถึงได้ดีบทแตกขนาดนี้!”
นันทนัชที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น กนกกรปรี๊ดแตก
“นังนัน! นี่แกดูถูกกว่าแม่ฉันเป็นนักร้องเหรอห่ะ”
“แล้วถูกไหมล่ะ ถ้าพ่อฉันไม่ไปเที่ยวตามไนท์คลับก็คงไม่เจอกัน”
“อีไม่เจียม อีปากปีจอ จะถูกเฉดหัวออกจากบ้านยังจะมีหน้ามาแฉแม่ฉันอีก”
“ตารณ! หยุดเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ฤทัยปราม
“แต่มันด่าแม่นะ” กนกกรบอก
“สงบปากเดี๋ยวนี้ ! ให้แม่พูดกับหนูนันเอง นะจ๊ะ”
ฤทัยมองตาเป็นการบังคับ ลูกทั้งสองจึงจำต้องหยุด ฤทัยทำตีหน้าสงสารหันไปพูดกับนันทนัช
“หนูนันจ๋า น้าเห็นใจหนูนะจ๊ะ ถ้าน้าเป็นหนูก็คงทำใจลำบาก ห่างบ้านไปหลายปี กลับมาก็ต้องเจอกับครอบครัวของแม่เลี้ยง พ่อก็เพิ่งจะเสีย แถมพินัยกรรมพ่อก็ไม่ยอมยกสมบัติอะไรให้เลยแต่น้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร คุณทนายคะ”
“เอ่อ...ครับคุณฤทัย?”
ทุกคนหันมองไปที่ฤทัยว่าเธอกำลังจะทำอะไร
ไม้ดึงเดือนหลบออกมาที่หลังบ้าน
“จะลากฉันไปถึงไหนเนี่ยะ?”
ไม้ปล่อยแล้วดันเดือนจนหลังติดฝา
“เมื่อกี้แกจะพูดอะไรห่ะ?”
“อ๋อ เรื่องพินัยกรรมปลอมนั่นน่ะเหรอ”
ไม้รีบอุดปากเดือนไว้ทันที
“แกรู้ได้ยังไงห่ะ?”
เดือนกระชากมือไม้ออกจากปาก
“ก็นังคุณนายมันพ่นออกมาตอนแอบไปนอนกับแกที่ห้องเมื่อคืนไงไอ้ไม้ฉันได้ยินชัดเต็ม2หูเลย”
ไม้ชี้หน้าเดือน
“รู้แล้วก็เงียบไว้เลย อย่าปากพล่อยพูดให้ใครฟังนะ ไม่งั้นได้ถูกเฉดหัวออกจากบ้านหลังนี้ทั้งบ่าวทั้งนาย”
“ถ้าฉันเก็บความลับไว้ให้ แล้วฉันจะได้อะไรล่ะ หื๊อ?”
“ถ้าฉันได้เงินได้ทองจากคุณผู้หญิงมา ฉันจะซื้อทองให้แกใส่แกอยากได้เสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋า อยากได้อะไร ฉันจะให้เงินแกไปซื้อ”
“จริงนะไอ้ไม้”
“จริงซิ ฉันได้ดีแล้วฉันจะไม่ลืมเมียอย่างแก”
“รักอ่ะตัวเอง ไม่ต้องห่วงนะ เค้าจะเย็บๆๆปากให้สนิทเลย”
เดือนดีใจมากจึงกอดซบไม้
นันทนัชมองไปที่ฤทัยกำลังบอกกับสมุทรชัย
“คุณทนายช่วยจัดการโอนเงินส่วนที่จะเป็นของฉันให้หนูนันสักก้อนนึงตามแต่คุณทนายจะเห็นสมควร”
“ให้ทำไมแม่!” รณฤทธิ์
รณฤทธิ์จะขัด ฤทัยยื่นฝ่ามือไปปิดปากไว้ให้หยุดพูด
“ถ้าหนูนันยังไม่พอใจ จะขายที่สักแปลง2แปลงก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไร”
“นี่แม่จะทำอะไรของแม่น่ะ!”
ฤทัยให้มาจิกตามองกนกกรให้หยุดพูด
“ขอเพียงแค่หนูนันไม่ต้องเดือดร้อนลำบากลำบน เวลาที่ต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ข้างนอก”
“เอ่อ...ถือเป็นน้ำใจ เป็นเรื่องดีเหลือเกินครับคุณฤทัย ผมในฐานะที่ทำงานกับคุณลิตรมานาน ผมก็ขออนุโมทนาด้วน ผมว่าถ้าวิญญาณคุณลิตรรับรู้ได้ก็คงจะยินดีมากทีเดียวครับ”
“แต่นันไม่ยินดีรับเงินทองพวกนั้นค่ะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรับจากคนที่มือถือสากปากถือศีลด้วย เพราะว่า...”
นันทนัชกวาดตามองไปที่ฤทัย รณฤทธิ์ กนกกรด้วยท่าทางที่เป็นต่อ
“แหมๆ...น้าอุตส่าห์ยื่นน้ำจิตน้ำใจให้ ทำไมไม่รับล่ะจ๊ะ เพราะอะไร?”
“เพราะว่านันมีพินัยกรรมฉบับจริงของคุณพ่อค่ะ!”
ทุกคนอึ้งไปทั้งห้อง โดยเฉพาะฤทัยถึงกับขาอ่อนทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ กฤตพนธ์กับไรภัทรมองไปที่หน้าของนันทนัชก็เห็นสีหน้าที่ถือไพ่เหนือกว่าฤทัยปรากฏขึ้น
จบตอนที่ 16