เรือนริษยา ตอนที่ 14
เสียงเหมือนถ้วย ชามหลายใบหล่นลงพื้นพร้อมกันจนดังสนั่นไปทั่วบ้านหลังน้อย ลิตรที่เดินถือถุงอาหารมาหน้าบ้านอย่างอารมณ์ดีตกใจเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากในครัว
“รำเพย!”
ลิตรวิ่งตกอกตกใจเข้ามาในครัว เขาเห็นสภาพครัวเต็มไปด้วยจานชามที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้น ส่วนรำเพยกำลังนั่งโก่งคออาเจียนอยู่ที่ระเบียง ลิตรวางถุงอาหารแล้วรีบถลาเข้าไปลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง
“รำเพย...รำเพยเป็นอะไร ทำไมถึงอ้วกอย่างงี้”
รำเพยหยุดอาเจียนแล้วหันมามองหน้าลิตรอย่างหมดแรง ลิตรรีบเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างสุดรักสุดห่วง
“ดูซิ หน้าซีดหมดเลย โธ่รำเพยของพี่ เป็นอะไรทำไมไม่บอกห่ะ พี่จะได้พาไปหาหมอ”
“ฉันไม่ได้เป็นหรอก”
“ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก อ้วกขนาดนี้ เอ่อ...”
แล้วลิตรก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาการอ้วกแบบนี้เหมือนคนแพ้ท้อง
“หรือว่า...ที่รำเพยอ้วก...รำเพยกำลังแพ้ท้อง อาการแบบนี้ต้องใช่แน่ๆ รำเพยท้องใช่มั้ย!”
ลิตรถามด้วยอาการตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ รำเพยไม่ตอบเป็นคำพูดแต่เลือกพยักหน้ารับ ทำให้ลิตรกระโดดตัวลอยพร้อมส่งเสียงไชโย
“รำเพยท้อง! ฮ่ะๆๆๆ พี่ดีใจที่สุดในโลกเลย”
ลิตรพูดพลางหอมรำเพยฟอดใหญ่ แล้วสวมกอดรำเพยไว้แน่น
“เราจะมีลูกด้วยกันแล้ว พี่จะมีลูกกับผู้หญิงที่พี่รัก ต่อไปนี้ชีวิตของนายลิตรจะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง จะไม่ใช่ไอ้ลิตรที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไร้ครอบครัวอีกต่อไป”
สีหน้าของลิตรเปี่ยมสุข ต่างจากอารมณ์ของรำเพยที่สับสนเพราะไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี
รูปรำเพยในมือชิดถูกส่งให้ตำรวจรับไปดู ตำรวจพยักหน้าแล้วรับไว้ ชิดยกมือไหว้ขอบคุณ
รำเพยนั่งซึมอยู่ในสวนเล็กๆหลังบ้าน ลิตรเดินมาเห็นอาการซึมเศร้าของรำเพยด้วยความเห็นใจ รำเพยหันมามองลิตรก็เมินหน้าหนีไปทางอื่นด้วยท่าทางงอนๆ ลิตรมองอาการของรำเพยแล้วก็รู้สึกดีขึ้นเพราะอย่างน้อยก็รู้ว่ารำเพยแค่งอน ไม่ได้ซึมเศร้าจนอาจจะคิดหนีแบบคราวก่อน ลิตรเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“รำเพยโกรธอะไรพี่เหรอจ้ะ” ลิตรถาม
“รำเพยไม่ได้โกรธ แต่เบื่อ คนเคยทำโน่นทำนี่ วันๆต้องมานั่งอยู่เฉยๆแอบอยู่แต่ในบ้าน มองต้นไม้ต้นเดิมซ้ำๆทุกวัน ไม่ได้ไปไหน”
ลิตรหัวเราะแล้วโอบกอดรำเพยไว้
“รำเพยอยากได้อะไรมั้ย เสื้อผ้า หรือสร้อยคอ ต่างหู หรืออะไรดี เดี๋ยวพี่ซื้อมาให้”
รำเพยส่ายหน้า
“รำเพยอยากออกไปข้างนอกบ้าง ได้มั้ยจ๊ะ อยู่แต่ในนี้ทุกวัน รำเพยเบื่อ”
ลิตรนิ่งเพราะไม่อยากเสี่ยงพารำเพยออกไป แต่พอได้เริ่มพูดรำเพยก็เว้าวอน
“นะจ๊ะพี่ลิตร ให้รำเพยออกไปเที่ยวบ้างนะ อย่างขังรำเพยไว้อย่างนี้เลย”
เรไรกำลังเดินตรวจงานในโรงสี โดยมีบุญและคนงานเดินตามเพื่อฟังเรไร สักพักชิดก็เดินเข้ามาท่าทางร้อนใจ
เรไรหันมาเห็นก็รีบเดินมาหา
“ว่าไง ชิด มีข่าวอะไรมั้ย” เรไรถาม
“ครับ...ตำรวจบอกว่า มีเบาะแสที่บ้านร้างหลังนึงครับ” ชิดบอก
เรไรยิ้มอย่างมีความหวัง
รถตำรวจขับนำรถของเรไรเข้ามาจอดที่หน้าบ้านไม้กลางสวน เรไรลงจากรถ โดยมีชิดเดินตามมาติดๆ ตำรวจเดินดูรอบบ้านแล้วกลับมารายงานเรไร
“บ้านนี้แหละครับ ที่มีคนบอกว่าเคยเห็นผู้หญิงลักษณะคล้ายๆกับคุณรำเพย”
เรไรมองเข้าไปในบ้านแต่ภายในบ้านเงียบเชียบเพราะไม่มีใครอยู่
“แต่มันเงียบมากเลยนะ ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย” เรไรบอก
“นั่นสิครับ ผมว่าแหล่งข่าวอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่ผมจะพยายามตามเรื่องให้ต่อไปนะครับ เดี๋ยวเราจะนำภาพถ่ายของคุณรำเพยไปติดประกาศตามที่สาธารณะ ที่คนผ่านไปมาเยอะๆนะครับ น่าจะพอช่วยได้อีกทาง” ตำรวจแนะนำ
“ขอบคุณค่ะคุณตำรวจ” เรไรกล่าว
เรไรมองเข้าไปในบ้านอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง
“ไปอยู่ที่ไหนนะรำเพย”
ณ ตลาดน้ำแห่งหนึ่งมีชาวบ้านนำข้าวของทางการเกษตรมาวางขาย นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากมาย ลิตรกับรำเพยที่ปลอมตัวด้วยการใส่หมวก ใส่แว่นพรางหน้าตาเดินกลมกลืนมากับนักท่องเที่ยว รำเพยเดินซื้อของด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น มือถือลูกมะดันกินอย่างถูกใจเพราะกำลังแพ้ท้อง ลิตรมองอย่างรู้สึกดีที่รำเพยดูแช่มชื่นขึ้น
“กัดมะดันแบบนั้น ไม่เปรี้ยวเหรอรำเพย” ลิตรถาม
รำเพยหันไปมองลิตรตาแป๋วพลางส่ายหน้า ลิตรยิ้มก่อนจะจูงมือรำเพยพลางยื่นหน้ากระซิบที่หู
“จริงซินะ พี่ลืมไปว่ารำเพยกำลังแพ้ท้อง”
รำเพยยิ้มเขิน “เอ่อ ขอบคุณพี่ลิตรมากจ้ะ ที่พารำเพยมาเปิดหูเปิดตา”
“อะไรที่ทำให้รำเพยมีความสุข พี่จะทำทุกอย่าง ขอให้พี่ได้อยู่กับรำเพยก็พอ” ลิตรว่า
ลิตรยื่นช่อดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังกำหนึ่งยื่นให้รำเพย ข้อมือลิตรไม่มีนาฬิกาสวมอยู่ ทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข ลิตรยืนจับมือมองหน้ารำเพยอยู่ท่ามกลางบรรยากาศตลาดน้ำ
ชิดเดินเข้าไปหารำเพยที่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ตัวเดียวกับที่รำเพยเคยนั่ง โดยที่สีหน้าชิดรู้สึกผิด
“ไม่พบอะไรเลย ผมขอโทษครับที่พาคุณเรไรมาเสียเวลาเปล่า”
“ฉันเข้าใจน่า ว่าแกหวังดีกับฉัน พอเจอข่าวรำเพยแกก็ต้องรีบพาฉันมา แต่ฉันแปลกใจทำไมไม่พบใครอยู่ที่นี่เลย ทั้งๆ ที่ตำรวจมีเบาะแสว่ามีคนอยู่ที่บ้านหลังนี้แน่ๆ” เรไรว่า
นาฬิกาข้อมือของลิตรที่ตกอยู่ข้างเก้าอี้ใกล้ๆ เท้าเรไรแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“คุณรำเพยคงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ กลับบ้านเถอะครับ ท่าทางคุณเรไรเหนื่อยมาก” ชิดบอก
เรไรถอนใจ “ฉันเหนื่อยใจน่ะ แต่ถึงวันนี้ไม่พบรำเพย ฉันก็จะหาต่อไป จนกว่าจะพบยัยน้องบ้าเอ้ย แกรู้บ้างไหมว่าฉันเป็นห่วงแกแค่ไหน ทำไมอยู่ๆถึงหายหัวไปแบบนี้”
เรไรพูดออกมาอย่าอัดอั้นก่อนจะลุกจะเดินไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาตกอยู่ที่เท้า
“เอ่อ...มีอะไรครับคุณเรไร?” ชิดถาม
เรไรค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาไปหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูดด้วยสีหน้าช็อคสุดขีด
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ลิตรตัดสินใจคว้าข้อมือรำเพย
“ก็ได้จ้ะ! ไป พี่จะพารำเพยไปเที่ยว”
รำเพยอึ้งมองอย่างแทบไม่เชื่อหู ลิตรดึงมือรำเพยให้ลุก ส่วนอีกมือที่ใส่นาฬิกาก็โอบไปที่หลังรำเพย
“อ้าว มัวนั่งอยู่ทำไม รีบไปซีจ๊ะ เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจนะ”
รำเพยเลยรีบลุกเดินไปแต่นาฬิกาข้อมือของลิตรตกอยู่ที่ข้างๆ ม้านั่ง
เรไรที่นั่งอยู่ที่บ้านกลางสวนนั่งกำนาฬิกาแน่น
ชิดมองเรไร
เรไรมองนาฬิกาที่ตกอยู่ก่อนจะก้มหยิบขึ้นมา เรไรกำนาฬิกาไว้แน่น
เรไรลุกเดินถือนาฬิกาไปด้วยความแค้น เธอมั่นใจขึ้นมาว่าลิตรอาจจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของรำเพย ชิดมองตาม
เรไรนั่งมองนาฬิกาข้อมือที่แน่ใจว่าเป็นของลิตรแน่นอน เธอคิดย้อนไป
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา รำเพยสวมนาฬิกาข้อมือให้ลิตร ลิตรมองนาฬิกาฝังเพชรด้วยอาการตื่นเต้น
“นาฬิกาฝังเพชรด้วยเหรอครับนี่!”
“ก็ใช่น่ะซิ พี่สั่งทำพิเศษสำหรับลิตร สุดที่รักของพี่ พี่ออกแบบเองด้วย รับรองว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนแน่นอน”
“ขอบคุณมากครับพี่เรไร”
ลิตรจับมือเรไรขึ้นมาจูบ เรไรยิ้มอย่างมีความสุข
สีหน้าของเรไรในปัจจุบันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เธอกำนาฬิกาไว้แน่น ภายในหัวเริ่มมีเรื่องลิตรกับรำเพยพรั่งพรูออกมา
ภาพในอดีต รำเพยตกใจแทบช็อคที่เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของลิตร เธอพยายามจะดิ้นรนจากอ้อมกอดของลิตร แต่ลิตรกลับลืมตัว ลืมความน่ากลัวของเรไรไปอย่างหมดสิ้น เมื่อมีรำเพยอยู่ในอ้อมกอด และใบหน้างดงามที่เค้าหลงรัก ก็อยู่ห่างแค่ปลายจมูก สายตาเว้าวอนของลิตรทำให้รำเพยใจสั่นระรัว และลืมตัวไปชั่วขณะ ก่อนที่รำเพยจะรู้ตัว ใบหน้าของลิตรก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนรำเพยหนีไม่ทัน
รำเพยเดินช้าๆ ด้วยหน้าตาสงบ เสงี่ยมมาที่กลางห้อง ลิตรจ้องอย่างตกตะลึงในความงามของรำเพย
ที่ปัจจุบัน ดวงตาของเรไรแดงก่ำด้วยความเจ็บแค้น เธอปะติด ปะต่อเรื่องราวทั้งหมดและแน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง ลิตรกับรำเพย เรไรขว้างนาฬิกานั้นทิ้งกับพื้นจนแตกละเอียดอย่างไม่มีเยื่อใย
ชิดเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วก็เจอเรไรรออยู่ด้วยสีหน้าเดือดดาล
“ฉันมีงานสำคัญให้แกทำ” เรไรบอก
ชิดรับคำ “ครับ”
ชิดรีบรับคำอย่างเกรงๆเพราะรู้ว่าเรไรกำลังอารมณ์ขึ้น
“จับตาดูลิตรไว้ เค้าก้าวขาออกจากบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ แกต้องตามไปแล้วกลับมารายงานฉันทุกครั้ง ว่าเค้าไปไหน ไปเจอใคร เข้าใจไหม!”
“เข้าใจครับ!”
“รีบไปซี! ตามอย่าให้คลาดสายตา ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องแก ไป!”
ชิดรีบออกไปจากห้องทันที เรไรหันมาตบสองมือลงบนโต๊ะก่อนจะขยำกระดาษที่อยู่บนโต๊ะอย่างเคียดแค้น
ลิตรขับรถหรูเข้ามาจอดที่หน้าโรงสี ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงสี มอเตอร์ไซค์คันนึงแล่นมาจอดฝั่งตรงหน้า คนขี่มอเตอร์ไซค์เปิดหน้าหมวกออกทำให้เห็นว่าเป็นชิด ชิดมองมาที่รถของลิตรอย่างจับตา
ลิตรเดินคุยกับเจ้าของที่นาแห่งหนึ่ง มอเตอร์ไซค์คันเดิมจอดซุ่มดูอยู่ฝั่งตรงข้าม
รถของลิตรแล่นมาตามถนนด้วยความเร็วปกติ ห่างออกไปเล็กน้อย มอเตอร์ไซค์คันเดิมแล่นตามมาอย่างตั้งใจ
วันต่อมา รำเพยที่ท้องใหญ่ขึ้นนั่งร้อยมาลัยเพื่อถวายพระด้วยตัวเอง รำเพยก้มลงลูบท้องของตัวเองด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“แม่ไปทำบุญที่วัดไม่ได้ แม่ก็จะสวดมนต์ ไหว้พระ ขอให้หนูมีร่างกายที่สมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรงนะลูกนะ”
ลิตรที่กลับจากทำงานให้เรไรเดินเข้ามาหยุดมองภาพที่สวยงามตรงหน้าอย่างมีความสุข จู่ๆ รำเพยก็ถอนใจ และมีหน้าตาที่หมองลง ลิตรเลยเดินเข้าไปหา
“อยู่ๆ ก็ถอนใจ เป็นอะไรจ๊ะรำเพย” ลิตรถาม
รำเพยเงยหน้ามองลิตรที่เดินเข้ามานั่งลงจับมือเธอ
“คิดถึงพี่เหรอ หื๊อ? พี่มาแล้วนี่ไง ขอหอมให้หายคิดถึงหน่อย”
ลิตรพูดพลางยื่นหน้าจะหอมแก้ม แต่รำเพยหลบเพราะอยู่ในอารมณ์กังวลใจ
“โธ่พี่ลิตร ถ้าพี่เรไรรู้เรื่องที่รำเพยท้อง รำเพยจะทำยังไงดี”
ลิตรหุบยิ้มเพราะก็เครียดเหมือนกัน
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้รำเพยอย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้เลยนะ รำเพยทำใจให้สบายๆนะจ้ะ เพื่อลูกของเราที่จะเกิดมา”
รำเพยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“พี่รับรองจ้ะ ว่าพี่จะดูแลรำเพยกับลูกให้ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ นะจ้ะ”
รำเพยก้มลงมองท้องตัวเองอย่างห่วงใยจนไม่เห็นสีหน้าเคร่งเครียด เพราะความกังวลของลิตร ชิดตามมายืนแอบดูอยู่หลังต้นไม้ เขาเห็นรำเพยที่ตั้งท้องกำลังคลอเคลียกับลิตรก็ถึงกับช็อค ชิดยกมือปิดปากตัวเองแล้วหันยืนพิงต้นไม้อย่างขาอ่อนจนแทบหมดแรง
สีหน้าเรไรนิ่งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ชิดมาบอกเรื่องของลิตร
“แกว่ามันไปอยู่กับใครนะ ชิด”
“เอ่อ...กับคุณลิตรที่บ้านกลางสวน ที่ผมเคยพาคุณเรไรไปดูครับ” ชิดบอก
เรไรค่อย ๆ ยก 2 มือที่สั่นเทาขึ้นจับหัวของตัวเองราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมาทับตัวเธอ เรไรส่ายหน้ารับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาของเธอไหลพรั่งพรูจนแทบคลั่ง ก่อนจะส่งเสียงร้องกรี๊ดโหยหวนออกมา
“กรี๊ด...”
เรไรใช้มือกวาดข้าวของบนโต๊ะตกระเนระนาดรวมทั้งนาฬิกาที่วางอยู่ เธอคว้าข้าวของเขวี้ยงลงพื้นอาละวาดระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่งจนรู้สึกหน้ามืดเพราะอาการความดันกำเริบจนวูบจะล้ม ชิดตกใจจึงรีบเข้ามาประคอง
“นายครับ…พอเถอะครับ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป”
เรไรร้องไห้ชนิดที่ปิ่มจะขาดใจ “มันทำแบบนี้กับชั้นได้ยังไง...ชิด มันทำได้ยังไง!!! ชั้นเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของมันนะ มันแย่งผัวพี่สาวที่เลี้ยงดู มันมากับมือเหมือนเป็นพ่อแม่ของมันได้ยังไง” เรไรปล่อยโฮต่อหน้าชิด
ชิดนิ่งฟัง เรไรร้องไห้จนสุดแล้วกลั้นสะอื้นสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“มันกับชั้น...คงอยู่ร่วมโลกเดียวกันอีกไม่ได้”
ชิดมองเรไร
เรไรสั่ง “ชิด...แกต้องไปฆ่ามัน”
ชิดตกใจ
“ห่ะ...นายหญิงให้ผมไปฆ่า..คะ...คะ...ใครครับ?”
“อีรำเพย อีน้องทรยศ ในเมื่อมันกล้าหักหาญน้ำใจชั้น ชั้นก็ไม่คิดว่ามันเป็นน้องเหมือนกัน มีมันต้องไม่มีชั้น”
“ชิด!!”
“ครับนายหญิง”
“แกรักฉันมั้ย!!!” เรไรถาม
ชิดละล่ำละลักตอบ
ชิดยกมือไหว้ “คุณเรไรมีบุญคุณกับผม คำว่ารักคงทดแทนไม่หมดหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้น...แกไปกำจัดหนามยอกอกให้ชั้น อย่าให้มันมาอยู่เป็นหอกข้างแคร่ ทิ่มแทงหัวใจชั้นอีกต่อไป”
เรไรหยิบนาฬิกามาเขวี้ยงลงพื้น ลิตรกลับเข้ามาเห็นเรไรเขวี้ยงนาฬิกาและได้ยินในสิ่งที่เธอพูด
ลิตรส่ายหน้า เขาคิดในใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ลิตรนึกถึงห่อผ้าขาวของพ่อเฒ่าได้ก็รีบหันกลับออกไปจากเรือนรัตนะอย่างเงียบ ๆ
เรือนริษยา ตอนที่ 14 (ต่อ)
บ้านไม้หลังน้อยตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางดงไม้รกทึบชนิดที่ยากแก่การเข้าถึง รำเพยร้องไห้ฟูมฟายด้วยอารมณ์ของคนท้อง ลิตรกอดรำเพยไว้แน่น
“ว่าไงล่ะจ้ะพี่ลิตร ไหนพี่บอกว่ารักรำเพย รักลูกไงจ้ะ แล้ว” รำเพยน้ำตาร่วง “ทำไมถึงปล่อยให้เราอยู่กันแบบนี้”
ลิตรเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่มาก ก่อนจะให้คำสัญญาที่หนักแน่นกับรำเพย
“รออีกไม่นานนะจ๊ะ พี่จะทำให้รำเพยกลับไปอยู่ที่เรือนรัตนะอีกครั้งให้ได้”
ลิตรเดินมาทรุดลงนั่งใต้ต้นรำเพยอย่างครุ่นคิด ดอกรำเพยแกว่งไกว ตามแรงลม ก่อนจะหลุดร่วงลงมา ลิตรก้มลงหยิบดอกรำเพยขึ้นมาดูอย่างทนุถนอม
“พี่ขอโทษนะรำเพย”
ลิตรมองดูดอกรำเพยนิ่ง
เรไรผลักประตูเข้ามาในห้องหลังจากสั่งให้ชิดไปฆ่ารำเพย เธอทรุดนั่งลงที่เตียงแล้วก็จับขมับด้วยสภาพจิตใจที่สับสนว้าวุ่นแบบทั้งรัก ทั้งสงสารน้องสาว
“รำเพย...ทำไมแกต้องแย่งผัวพี่...ทำไมถึงทำกับพี่สาวคนเดียวของแกได้ลงคอ”
สุดท้ายความลุ่มหลงก็ถูกดึงกลับมาอยู่ในอารมณ์แค้น
“แกไม่สวมควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
ลิตรยืนอยู่หน้าห้องนอนเรไรด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย ลิตรเปิดประตูเข้าไปในห้องก็เห็นเรไรที่นั่งอยู่ที่เตียง เรไรปรับอารมณ์ก่อนจะค่อยๆหันมาปั้นยิ้มหวานให้เหมือนไม่มีอะไร แต่แววตากับลุกโชนด้วยไฟแค้น
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะลิตร? ออกไปทำงานแทนพี่ทุกวัน คงเหนื่อยมากซินะ”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับพี่ พี่ล่ะครับ เอาแต่คิดถึงน้องรำเพย ตามหาทุกวันระวังจะไม่สบายนะครับ” ลิตรพูด
“หึๆๆๆพี่ไม่เป็นไรหรอก ห่วงก็แต่รำเพย ไม่รู้ไปอยู่กับใครที่ไหนชาตินี้ถ้าไม่มีโอกาสได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีก ก็-ขอ-ให้-รำเพย-ไป-สบาย!”
ลิตรแอบขบกรามมองเสี้ยวหน้าที่อำมหิตของเรไร พอเรไรตวัดสายตามามองลิตร ลิตรก็รีบยิ้มให้อย่างเยือกเย็น พลางเดินเข้ามาหาเรไร
“พี่เรไรช่างเป็นพี่สาวที่แสนดีอะไรยังงี้ เอาพูดถึงแต่น้องรำเพย ไม่ห่วงผมบ้างหรือไง”
“ห่วงซิ ทั้งรักและหวง ไม่ยอมให้เธอเป็นของใคร พี่ถึง....”
เรไรพูดถึงแค่นี้ก็หยุดพูดแล้วมีแววตาแค้น ลิตรรีบตัดบทด้วยการกอดเรไรไว้แน่นก่อนจะพูดเหมือนสั่งลา
“พอเถอะครับพี่ ไม่ต้องบอก ผมก็รู้ พี่เหนื่อยมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่พี่ควรจะพักผ่อนได้ซะที”
เรไรกอดลิตรแน่นอย่างสุดรักสุดหวง
“ลิตรของพี่...เพื่อจะได้อยู่กับเธอ พี่ยอมแล้ว ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่าทำให้พี่เสียใจอีกนะ อย่าทำอีก”
ลิตรนิ่งแล้วมีแววตาเพชฌฆาต
เรไรที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง อยู่ๆ เธอก็เบิกตาโพลงแล้วกลอกตาไปมาอย่างหวาดกลัว สักพักเรไรก็เริ่มหายใจไม่ออกแล้วดิ้นทุรนทุราย ใครสักคนมองมาจากมุมมืดภายในห้อง เรไรยกมือทั้งสองข้างขึ้นไขว่คว้ากลางอากาศแล้วพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แล้วเรไรก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะหายใจติดขัด อ้าปากกว้างเหมือนพยามยามจะงับอากาศตรงหน้า
รำเพยผลักประตูห้องผัวะออกมาด้วยอาการเจ็บท้องใกล้คลอด
“โอ้ย....”
รำเพยทรุดลงนั่งอยู่ที่หน้าประตูห้องเพราะลุกไม่ไหว เธอทั้งเจ็บท้องทั้งกลัวเพราะอยู่คนเดียว
เรไรที่นอนอยู่บนเตียงหวาดกลัวสุดชีวิต มือของเธอพยายามจะไขว่คว้าเพื่อเอาชีวิตรอด
เรไรร้องเสียงแผ่วเบา “ละ...ละ...ลิตร!”
มือรำเพยก็พยายามยื่นมือตะเกียกตะกายลากตัวออกไปจากห้องเหมือนกัน
“พี่...ลิตร!”
สองพี่น้องมีสภาพที่น่าสงสาร ทั้งสองต่างก็ร่ำร้องเรียกหาลิตรให้ช่วยเหลือเหมือนกัน
เรไรร้องเรียก “ละ...ลิตร!”
รำเพยก็เรียก “พี่ลิตร”
ชีวิตหนึ่งกำลังจะดับ อีกชีวิตกำลังจะให้กำเนิดชีวิตใหม่
ร่างในเงามืดของลิตรยืนมองเรไรอยู่ เรไรเริ่มหมดลม มือที่ไขว่คว้าเกร็งครั้งสุดท้ายแล้วร่างของเรไรก็ค่อยๆดิ้นช้าลง มือทั้งสองตกลงข้างลำตัว เรไรพยายามจะหายใจเอาอากาศเข้าปอดแต่ก็ไม่สำเร็จ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอขาดห้วงไป แล้วเรไรก็ตาค้างร่างแน่นิ่งไป แต่ดวงตายังเบิกโพลง
รำเพยร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเสียงร้องของเด็กที่ดังอุแว๊ๆออกมา
ร่างของลิตรในเงามืดเคลื่อนออกมาช้าๆ ตรงมาที่หัวเตียงของเรไร เขาก้มลงหยิบเตาเล็กๆ สำหรับเอากำยาน ที่ยังมีควันกรุ่นอยู่ใส่ในถุงก่อนจะเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นยามค่ำคืนจากภายนอกพัดเข้ามาในห้อง ร่างของลิตรเดินออกจากห้องไป เรไรนอนสิ้นลมอย่างเดียวดาย
หลายสัปดาห์ผ่านไป รำเพยอุ้มนันทนัช ลูกสาวที่เพิ่งเกิดก้าวขึ้นบันไดเรือนรัตนะมาด้วยน้ำตา แล้วเธอก็ต้องหยุดยืนน้ำตาไหลเผาะจนแทบหมดแรง เมื่อมองตรงไปก็เห็นรูปถ่ายขาวดำของเรไรในกรอบไม้สีดำตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน ด้านหน้ามีกระถางธูปปักธูป1ดอกไว้ มีโกศใส่เถ้ากระดูกวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ
“พี่เรไร!”
รำเพยเดินเข้าไปทรุดลงนั่งกองกับพื้น เธอกอดลูกร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้ารูปถ่ายเรไร ลิตรที่เดินตามขึ้นบันไดมาหยุดมองอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
“ฉันขอโทษฉันทำผิด...ต่อพี่ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เลย” รำเพยบอก
ลิตรเดินเข้ามานั่งลงโอบปลอบรำเพย
“อย่าเสียใจไปเลยรำเพย พี่เรไรเค้าไปดีแล้วนะ”
“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่เรไรถึงบุญน้อยนัก?”
“เอ่อ...หมอบอกว่าพี่เรไรหัวใจวายเฉียบพลัน”
รำเพยส่ายหน้า “ไม่! เป็นไปไม่ได้ พี่เรไรไม่ได้เป็นโรคหัวใจ พี่เรไรยังแข็งแรงดีตอนที่ฉันไปจากที่นี่ อยู่ๆพี่เรไรจะมาตายได้ยังไง”
“หักห้ามใจเสียบ้างเถอะรำเพย ไหนๆ พี่เรไรก็ตายไปแล้ว ต่อไปรำเพยจะกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนะจ๊ะ”
ลิตรจับมือรำเพยด้วยความดีใจที่เขาได้ครอบครองทั้งสมบัติและรำเพยโดยไม่มีเรไรเป็นอุปสรรคอีกแล้ว
“ขอต้อนรับกลับเรือนรัตนะอีกครั้งจ้ะรำเพย” ลิตรบอก
รำเพยกลับพูดกับลิตรด้วยน้ำเสียงเย็นชาสายตาจ้องจับผิด เธอพูดย้ำอย่างไม่เชื่อลิตร
“พี่เรไรไม่ได้หัวใจวายตาย!!! บอกความจริงกับฉันมา พี่ลิตรทำอะไรพี่เรไร?”
ลิตรตกใจแล้วมองหน้ารำเพย “รำเพย…"
"พูดความจริงซีพี่ลิตร ฉันอยากได้ยินจากปากของพี่ ถ้าพี่รักฉันจริงอย่างที่พร่ำบอกฉันตลอดเวลาที่กักขังฉันไว้เป็นเมียพี่ต้องไม่โกหกฉัน พี่ทำอะไรกับพี่เรไร บอกมาซี...บอกฉันมา...ฮือๆๆ”
ถึงรำเพยจะร่ำไห้ปานจะขาดใจ ทำให้ลิตรรู้สึกแย่มากขนาดไหนก็ตาม แต่ลิตรก็ไม่มีทางบอกความจริงเรื่องการตายของเรไรแน่นอน ลิตรดึงรำเพยมากอดแนบอก ไดยไม่พูดอะไรสักคำ รำเพยได้แต่ร้องไห้จนแทบขาดใจ
รำเพยค่อยๆเดินเข้ามาในห้องเรไรด้วยความเสียใจอย่างสุดประมาณ เตียงนอนสวยหรูของเรไรว่างเปล่าโดยมีแต่ที่นอนตั้งอยู่แต่เครื่องนอนทั้งหลายถูกเก็บไปจนหมดแล้ว รำเพยนั่งลงที่ปลายเตียง น้ำตาที่แห้งไปแล้วเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตาอีกครั้ง ก่อนจะไหลพรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น รำเพยก้มลงกราบที่ปลายเตียงเหมือนกราบเท้าเรไร
“พี่เรไร น้องขอโทษ”
รำเพยก้มหน้าลงร้องไห้กับปลายเตียง
เงาจางๆของเรไรยืนมองรำเพยด้วยสายตากร้าวแข็งที่มุมห้อง แต่เมื่อเห็นความโศกเศร้าและสำนึกผิดของน้องสาว สีหน้าของเธอก็สลดลง เรไรพูดเสียงแผ่วเบาแต่รำเพยไม่ได้ยิน
“อย่าอ่อนแอ อย่าขี้แย ต้องเข็มแข็งนะ รำเพย”
รำเพยร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง เงาจางๆของเรไรมองน้องสาวอย่างห่วงใย
รำเพยกำลังห่มผ้าให้นันทนัชที่นอนหลับอย่างไร้เดียงสา เสียงเคาะประตูดังขึ้น รำเพยหันไปมองด้วยความสงสัยว่าใคร
เสียงลิตรดังขึ้น “รำเพย พี่เอง เปิดประตูหน่อยจ้ะ”
รำเพยนั่งนิ่งอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไงดี เธอได้แต่นั่งมองลูกสาวอย่างหม่นหมอง ลิตรยืนคอยอยู่หน้าห้องด้วยความหงุดหงิดก่อนจะทุบประตูแรงๆ ด้วยความร้อนใจ รำเพยสะดุ้งตามเสียงที่ดังขึ้นของประตู แต่ก็ก็ยังไม่ลุกขึ้นไปเปิด นันทนัชสะดุ้งตื่นตกใจร้องไห้จ้า รำเพยรีบอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้ ลิตรได้ยินเสียงลูกและเสียงรำเพย
“รำเพย เปิดประตูให้พี่หน่อย”
รำเพยตอบกลับมาจากในห้อง
“พี่ลิตร ไปนอนที่ห้องเถอะจ้ะ รำเพยจะนอนกับลูก”
ลิตรเริ่มโมโหที่โดนขัดใจ
ลิตรตบประตูแรงๆ “รำเพย อย่าทำแบบนี้นะ เปิดประตูให้พี่”
“ที่นี่เป็นเรือนหอของพี่เรไรกับพี่ลิตรนะ พี่ลืมไปแล้วเหรอ”
คำพูดของรำเพยทำเอาลิตรอึ้งจนพูดไม่ออก
“อย่างน้อยก็เห็นแก่พี่เรไรเถอะนะจ๊ะ” รำเพยเสียงเริ่มสั่น
เสียงรำเพยขาดห้วงไป ลิตรมองประตูก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป รำเพยน้ำตาตกพร้อมกับกอดลูกไว้แน่น
รำเพยจัดเตรียมของสำหรับใส่บาตรทำบุญให้เรไร ชิดเดินมายืนอยู่เงียบๆ รำเพยหันมาเห็น
“ชิด มาทำบุญให้พี่เรไรด้วยกันสิ”
ชิดพยักหน้าด้วยอาการสำรวม
ทั้งสองคนช่วยกันใส่บาตรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เรไร เวลาผ่านไป รำเพยกรวดน้ำให้เรไรที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชิดยกมือไหว้
ชิดพูดเสียงแห้งด้วยความอาดูรในหัวใจ “ขอให้คุณเรไรได้รับบุญกุศลในวันนี้ด้วยนะครับ”
น้ำเสียงของชิดทำเอารำเพยน้ำตาคลอ ชิดเห็นอาการรำเพย แล้วก็รีบปลีกตัวออกไป แต่รำเพยเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนสิชิด อย่าเพิ่งไป”
ชิดหยุดมอง
“ชิดอยู่ด้วยหรือเปล่าตอนที่...." รำเพยพูดไม่ออก
ชิดรู้ความหมายของรำเพยจึงส่ายหน้า
“เปล่าครับ ป้านวลเป็นคนไปเจอตอนเช้า เพราะสายแล้ว แต่คุณเรไรยังไม่ลงมาจากห้อง” ชิดบอก
เหตุการณ์ในอดีตย้อนมา นวลยืนเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องเรไร
“คุณเรไร คุณเรไรคะ.....ไม่สบายหรือเปล่าคะ คุณเรไร”
นวลยืนรออยู่สักพัก แต่ไม่มีเสียงตอบออกมาเลยตัดสินใจไขกุญแจเข้าไป ภายในห้องเรไรมีมุ้งขาวๆที่กางไว้รอบเตียงเรไรนอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าต่างเกือบทุกบานเปิดออก นวลค่อยๆเดินมาที่เตียง เพราะคิดว่าเรไรหลับไม่สบาย นวลเดินมาชะเง้อหน้าเตียง
นวลเห็นเรไรนอนนิ่งจนผิดปกติ นวลลังเลอยู่นานจนสุดท้ายตัดสินใจเปิดมุ้งเข้าไปเพื่อจะดูอาการเรไร เรไร นอนตาเบิกโพลงที่นอนยับเยินเพราะแรงดิ้นรนที่ผ่านมา นวลตกใจสุดขีดก่อนจะร้องลั่นเรือนรัตนะ
“คุณเรไร”
พอเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ชิดก็น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ รำเพยก็สุดจะกลั้นจึงร้องไห้ตามชิด
รำเพยถามสิ่งที่ค้างคาในใจ “แล้วพี่ลิตรอยู่ด้วยรึเปล่าตอนที่...”
“คุณลิตรบอกกับทุกคนว่าไปนอกเมือง แต่ผมไม่เชื่อ ผม.....”
ชิดนิ่งไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดดีมั้ยก่อนจะเดินหนีไป ทำให้รำเพยสงสัย
รำเพยเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานลิตร ลิตรเห็นว่ารำเพยเป็นฝ่ายมาหาก็ดีใจแล้วรีบลุกมาหารำเพย
“รำเพย!”
“คนใจร้าย!”
ลิตรหยุดก็ชะงัก
“อะไรกันรำเพย อยู่ๆมาด่าพี่!”
“พี่เรไรไม่ได้หัวใจวายตาย พี่เป็นคนฆ่าพี่เรไร”
ลิตรอ้าปากค้างแต่พยายามควบคุมสติแล้วจะเข้าไปหยุดรำเพย
“รำเพย พูดเรื่องอะไร ใครเอาเรื่องเหลวไหลมาพูดให้รำเพยฟัง”
รำเพยเหมือนคนสติแตกจึงพุ่งเข้าไปทำร้ายลิตรด้วยความเสียใจ
“มันจริงใช่มั้ย พี่พูดความจริงมาซี ว่าพี่ฆ่าพี่เรไร พี่ทำทำไม พี่ทำได้ยังไง”
รำเพยกรีดร้องไปพร้อมกับตบตีลิตรเพราะคุมสติไม่อยู่ ลิตรตกใจกับอาการของรำเพยจึงพยายามรวบตัวรำเพยไว้จนสำเร็จ รำเพยกรีดร้องและดิ้นรนพยายามจะหาทางเป็นอิสระ
“พี่ทำได้ยังไง...ฆ่าพี่เรไรทำไม...ทำไม!”
“พี่ไม่ได้ฆ่าพี่เรไร...พี่ไม่ได้ฆ่า”
“ไม่จริง...พี่ฆ่าพี่เรไร...พี่ฆ่าพี่เรไร”
รำเพยพยายามดิ้นออกจากวงแขนของลิตรด้วยความรู้สึกโกรธแค้น รำเพยดิ้น ๆ ลิตรไม่รู้จะทำยังไงนอกจากใช้เสียงที่ดังกว่าเพื่อเรียกสติรำเพยให้กลับคืนมา
“เพราะพี่เรไรจะส่งคนไปฆ่ารำเพยไงล่ะ พี่เลยจำเป็นต้อง...ชิงลงมือก่อน”
รำเพยนิ่งเหมือนโดนหมัดน๊อคจากลิตร “ห่ะ!”
“แต่รำเพยไม่ต้องห่วงนะ พี่เรไรเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้นไม่ได้ทรมานอะไรเลย” ลิตรบอก
รำเพยเหมือนได้สติจึงมองหน้าลิตร แล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนเขื่อนแตก
รำเพยร้องไห้แทบขาดใจ “ฮือๆๆๆ พี่ฆ่าพี่สาวฉัน พี่ฆ่าผู้หญิงที่มีบุญคุณกับพี่ที่สุด พี่ทำลงไปได้ยังไง”
“พี่ทำลงไปเพราะรักรำเพย รักลูกของเรา เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตามประสาพ่อ แม่ ลูก”
รำเพยผลักลิตรออก
“ฉันจะอยู่กับคนที่ฆ่าพี่ฉันสาวได้ยังไง ฉันจะไปจากชีวิตพี่เหมือนกับที่พี่เอาชีวิตพี่เรไรไปจากฉัน”
“พี่ทำเพื่อรำเพยถึงขนาดนี้แล้ว” ลิตรโกรธ “ถ้ารำเพยยังทิ้งพี่ไปได้ลงคอก็เอาซี๊ พี่ก็จะเอาชีวิตลูกไปจากรำเพย ชาตินี้ อย่าหวังเลยว่ารำเพยจะได้เห็นหน้าลูกอีก”
รำเพยอ้าปากค้าง ลิตรหันเดินผละไปอย่างหัวเสียทิ้งให้รำเพยทรุดนั่งลงร้องไห้มองรูปเรไรที่แขวนไว้ในห้องทำงานอย่างรู้สึกผิด
รำเพยโกรธลิตรมากจึงทำหมางเมินเขาตลอด
ในห้องนอน รำเพยนอนกอดนันทนัช ลิตรหันมาโอบ รำเพยปัดมือเขาออกไม่ยอมให้แตะต้องตัว เธออุ้มลูกลุกหนีไป
ที่โต๊ะอาหาร...นวลยกสำรับอาหารมาวางให้รำเพยตรงหน้า รำเพยมองอาหารอย่างเบื่อๆ กินไม่ลง แต่ก็จับช้อนฝืนจะกิน ลิตรเดินเข้ามาลูบไหลนั่งลง รำเพยวางช้อนแล้วลุกเดินไปทันที ลิตรมองเหวอๆ ก่อนจะโกรธปัดสำรับอาหารจนร่วงกระจาย
ลิตรเดินมองหารำเพยไปทั่วบ้านจนยัวะจึงตะโกนเรียก เขาเจอแก้วก็ถาม แก้วส่ายหน้าบอกไม่รู้ พอเจอนวล นวลก็ส่ายหน้าบกไม่รู้จนลิตรโมโหเตะข้าวของ มาเจอชิดเดินผ่านมาลิตรก็ถาม แต่ชิดเอาแต่ส่ายหน้า ลิตรผลักชิดล้มแล้วเตะชิดเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะออกจากบ้านไป ชิดมองตามอย่างเคียดแค้น
ลิตรเดินออกมามองหาในสวน แล้วเขาก็เห็นรำเพยนั่งอุ้มนันทนัชเหม่อๆ อยู่ในท่าตัวแกว่งกล่อมลูกให้หลับ ลิตรเห็นแล้วก็ถอนใจก่อนจะเดินปรี่เข้าไปหา แต่รำเพยลุกเดินหนีไปทันที ลิตรยืนฟิวส์ขาดก่อนจะหุนหันออกจากบ้านไป
ลิตรขับรถออกจากบ้านมาด้วยความรู้สึกเครียดและอัดอั้นไปตามถนน แล้วสายตาของเขาก็มองไปเห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังถูกชายแก่ตบตีอยู่ริมทางข้างหน้า ลิตรชะลอความเร็วลงมองเพ่งไปแล้วก็เห็นชัด
“ทิพย์นี่!”
เรือนริษยา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภาพในอดีตย้อนกลับมา พ่อเลี้ยงตบทิพย์เต็มแรงจนเธอเซล้มลง
"ลุกขึ้นมาอีเนรคุณ! กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น มึงต้องเป็นเมียกูทดแทนข้าวแดงแกงร้อนที่กูเลี้ยงมึงมา"
พ่อเลี้ยงตบทิพย์อีก2ครั้ง จนทิพย์มึน พ่อเลี้ยงหัวเราะอย่างหื่นๆ ก่อนจะดึงทิพย์ขึ้นแล้วโอบเอวพาลากเข้าป่าข้างทางไป โดยที่ทิพย์ส่งเสียงอ้อนวอนอย่างอ่อนแรง
"พ่อ...ฉันไหว้ล่ะพ่อ อย่าทำอะไรฉันเลย ช่วยด้วย"
ลิตรขับรถเข้ามาจอดรถก่อนจะรีบลงจากรถ พอตามไปที่ป่าข้างทางก็เห็นพ่อเลี้ยงกำลังปล้ำและพยายามฉีกเสื้อทิพย์ เพื่อจะข่มขืนทิพย์ที่พยายามจะขัดขืนป้องกันตัว ลิตรเข้าไปกระชากไหล่พ่อเลี้ยงให้หันมาแล้วต่อยเข้าเต็มหน้า พ่อเลี้ยงล้มลง
"มึงมาเสือกอะไรด้วยวะไอ้ลิตร ไอ้แมงดา เกาะผู้หญิงกิน"
พ่อเลี้ยงด่าอย่างรู้จักลิตรดีมาก่อน เลยถูกลิตรกระชากคอขึ้นมาต่อยอีกหมัด
พ่อเลี้ยงคว้าไม้ที่ควานเจอใกล้มือลุกขึ้นมาตีลิตร แต่ลิตรผงะหลบ พ่อเลี้ยงเหวี่ยงไม้อีก2ครั้ง ลิตรหลบได้แล้วก็ใช้เท้าถีบจนพ่อเลี้ยงเซ ลิตรถีบซ้ำโดยอัดพ่อเลี้ยงเข้ากับต้นไม้ ลิตรเข้าไปล็อคแขนแล้วแย่งไม้มาได้
"ถ้าแกยังมายุ่งกับทิพย์อีก ฉันจะฆ่าแก!”
ลิตรเงื้อไม้ฟาดไปที่ท้ายทอยพ่อเลี้ยงเต็มแรง พ่อเลี้ยงกระตุกล้มลงสลบ ลิตรเหวี่ยงไม้ทิ้งแล้วก็หันไปหาทิพย์ที่นอนจุกอยู่
"ทิพย์ เป็นยังไงบ้าง?”
ลิตรประคองทิพย์ลุกขึ้น ทิพย์กอดลิตรร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่ให้ไอ้พ่อเลี้ยงมาทำอะไรทิพย์ได้อีก ไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลทิพย์เอง"
ทิพย์ตะลึงงัน เธอผละจากอกลิตรมามองหน้าเขาแบบแทบไม่เชื่อหู
นันทนัชอยู่ในวัยแบะเบาะน่ารัก รำเพยกำลังแต่งตัวปะแป้งใส่ถุงมือให้หลังจากอาบน้ำให้เสร็จ
เสียงทิพย์ชม “น่าเอ็นดูจังเลย”
รำเพยเงยหน้ามองไปที่ประตูก็เห็นทิพย์ปรี่เข้ามาคุกเข่าลงมองนันทนัช โดยมีลิตรที่เป็นคนพามาเดินตามเข้ามาด้วย แต่รำเพยมองอย่างไม่ไว้ใจ เธอรีบอุ้มนันทนัชขึ้นไม่ให้ทิพย์ถูกตัวพลางมองอย่างแปลกใจว่าทิพย์เป็นใคร
“ไม่เป็นไรหรอกน้องรำเพย ไม่ต้องตกใจนะจ๊ะ นี่ทิพย์...พี่พามาช่วยรำเพยเลี้ยงลูกของเราน่ะ รำเพยจะได้ไม่เหนื่อย มีเวลาพัก” ลิตรแนะนำ
รำเพยไม่ตอบรับใดๆ เธอทำหน้าเฉยชาใส่ทั้งทิพย์และลิตรก่อนจะอุ้มลูกออกไปเลย ทิพย์มองตามหน้าเสีย
“ทำไมคุณ...เอ่อ...” ทิพย์อึกอัก
ลิตรขัดขึ้น “ถ้าทิพย์อยากจะอยู่บ้านนี้ อยากช่วยฉันจริงๆ ทิพย์ต้องทำให้รำเพยไว้ใจ”
ลิตรมองจ้องทิพย์ ทิพย์พยักหน้าแล้วรับคำสั่งด้วยความเต็มใจ
“จ้ะ ทิพย์จะพยายาม”
รำเพยอุ้มพานันทนัชหลบมา นันทนัชงอแงส่งเสียงร้องไห้จ้า ขณะที่รำเพยกำลังรีบชงนมใส่ขวด
“รอเดี๋ยวลูก...รอเดี๋ยว...แม่กำลังชงนมแล้วลูก”
ทิพย์ได้ยินเสียงร้องก็รีบเข้ามาดู
“คุณหนูเป็นอะไรจ๊ะ ร้องไห้จ้าเลย”
รำเพยไม่ตอบ เธอหันไปรีบชงนมต่อแต่ทิพย์ไม่ละความพยายาม
“เอ่อ...โถ หิวนมเหรอคะคุณหนูของทิพย์”
ทิพย์ลงไปนั่งคว้านันทนัชขึ้นมาอุ้มกล่อม รำเพยตกใจจะห้าม แต่ทิพย์ร้องเพลงกล่อมเด็กขึ้น
“โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ อ้ายหมาหางงอ กอดคอโงกเงก”
นันทนัชหยุดร้องในทันที
“ดูซีจ๊ะ คุณหนูหยุดร้องแล้ว สงสัยจะชอบโงกเงก”
“เอ่อ...กินนมนะลูก” รำเพยเดินเข้าไปยื่นขวดนมให้นันทนัชกิน
“ทำไมคุณรำเพยไม่ให้คุณหนูกินตัวเองล่ะจ๊ะ นมแม่ดีกว่านมกระป๋องอีก” ทิพย์บอก
“ฉันไม่มีน้ำนมน่ะจ้ะ” รำเพยตอบ
รำเพยยอมพูดกับทิพย์เป็นครั้งแรก ตอนนั้นเองที่นันทนัชกินนมไปส่วนมือก็คว้านิ้วทิพย์เอาไว้ ทิพย์จับมือนุ่มๆนั้นไว้อย่างทนุถนอม
“ดูมือเล็กๆนี่ซิ น่ารักจัง”
ทิพย์ยิ้ม สายสัมพันธ์เล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจที่ยังสดใส อ่อนโยนของสาวรุ่นเช่นทิพย์
เวลาผ่านไป ทิพย์กำลังเลี้ยงนันทนัชโดยกำลังเล่นหยอกล้อกัน นันทนัชหัวเราะ รำเพยที่มีหน้าตาซีดเซียว เดินเข้ามาในห้อง
“อยู่กับแม่นะจ๊ะคุณหนู ทิพย์ไปก่อนล่ะ”
ทิพย์รีบขยับถอยหลังเพื่อเปิดพื้นที่ให้รำเพยเข้ามานั่งใกล้นันทนัช รำเพยนั่งมองลูกด้วยความเศร้าใจ ทิพย์นั่งมองด้วยความสงสาร ด้วยจิตใจที่ยังดีงามทำให้ทิพย์เสนอตัวช่วยเหลือรำเพยเท่าที่จะทำได้
“คุณรำเพยคะ คุณรำเพยอยากได้อะไรมั้ยจ้ะ เดี๋ยวทิพย์ทำให้ ทิพย์ทำกับข้าวอร่อยนะจ้ะ” ทิพย์บอก
ท่าทางเป็นมิตรและจริงใจของทิพย์ ทำให้รำเพยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอบใจนะจ้ะทิพย์ ฉันยังไม่อยากได้อะไร” รำเพยบอก
รำเพยนิ่งไป เหมือนคิดอะไรได้
“งั้นทิพย์ไปตามป้านวลให้หน่อยนะจ้ะ ฉันอยากจะ” รำเพยเสียงสะดุด “ทำบุญให้พี่เรไรน่ะจ้ะ”
ทิพย์ลำบากใจแต่ก็ตัดสินใจบอก
“ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้วจ้ะ คนอื่นๆน่ะลาออกไป หมดแล้วจ้ะตอนนี้มีแต่ทิพย์กับชิด” ทิพย์บอก
รำเพยอึ้งแล้วก็ยิ่งรู้สึกว้าเหว่ ที่คนคุ้นเคยได้หายไปจนหมด ทิพย์เห็นรำเพยซึมลงไปอีกก็รู้สึกสงสาร
“แต่คุณรำเพยไม่ต้องห่วงนะจ้ะ เรื่องแค่นี้ ทิพย์จัดการให้ได้จ้ะ”
รำเพยยังนั่งซึม ทิพย์มองแล้วก็สงสารเพราะทิพย์ในตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวซื่อๆ จิตใจบริสุทธิ์ที่ต้องกล้าแกร่ง เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นเอง
วันต่อมา ทิพย์จัดข้าวปลาอาหารให้ชิดตามหน้าที่ ชิดนั่งกินข้าวเงียบๆ เสียงลิตรกับรำเพยที่ทะเลาะกันดังแว่วมา ทิพย์กับชิดหันไปมองทางเรือนรัตนะ ชิดทำท่าไม่สนใจ เขานั่งกินข้าวต่อไป ทิพย์เดินไปมอง แล้วกลับมานั่งข้างๆ ชิด
“ชิด ทำไมคุณรำเพยถึงเอาแต่ร้องไห้ทุกวันเลยล่ะ” ทิพย์ถาม
“ก็พี่สาวเธอเพิ่งตาย เธอก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา” ชิดตอบ
“แล้วทำไมต้องทะเลาะกับคุณลิตรด้วยล่ะ”
“เพราะคุณรำเพยเธอรู้แล้วน่ะสิ ว่าผู้ชายคนนั้นมันไม่ใช่คนดี”
ทิพย์มองอย่างงงๆ กับคำพูดของชิด
ชิดพูดเบาๆ กับตัวเอง “และกูจะอยู่ที่นี่ เพื่อรอดูวันที่มันตาย”
ชิดเผลอหลุดปากถึงความรู้สึกเคียดแค้นของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว ทิพย์มองหน้าชิด อย่างไม่แน่ใจ ในสิ่งที่ชิดพูด เพราะเขาพูดเสียงเบามาก ชิดรู้สึกตัวก็มองหน้าทิพย์แล้วรีบเดินหนีไป ทิพย์มองตามแล้วบ่นออกมา
“คนบ้านนี้แปลกๆทุกคนเลย”
บรรยากาศรอบๆเรือนรัตนะ เต็มไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้าที่ดูสดใสและสวยงาม แมลงบินตอมดอกไม้ นกตัวเล็กๆกระโดดไปมาตามกิ่งไม้ ชิดยืนตัดแต่งต้นไม้ด้วยความกังวลใจ จนมีสีหน้าไม่เป็นสุข
ชิดเห็นรำเพยมีสีหน้าหม่นหมอง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่น เพราะไม่ได้รับการใส่ใจ รำเพยนั่งอุ้มนันทนัชไว้แนบอกแล้วใช้สายตาเหม่อมองออกไปไกล ลิตรเดินอ้อมมาจากตัวบ้านอีกฝั่ง พอเห็นรำเพยแล้วก็หยุดยืนมองด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดหัวใจ เพราะหญิงสาวแสนสวยเหมือนนางฟ้าที่เค้าตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเปลี่ยนไปขนาดนี้
ลิตรตัดสินใจเดินเข้าไปหารำเพย เพราะต้องการพูดคุยทุกอย่างกับเธอให้กระจ่าง และให้รำเพยคนเดิมกลับมารำเพยเห็นลิตรเดินมาด้วยหางตาก็รีบลุก จะเดินหนี ลิตรตะโกนสั่งเสียงดังแบบที่ไม่เคยใช้กับรำเพยมาก่อน
“หยุดนะรำเพย”
รำเพยชะงักเพราะตกใจในน้ำเสียงและกิริยาของลิตร ชิดเห็นท่าทางไม่ค่อยดีก็รีบเดินเข้ามาหารำเพย ลิตรเดินมาถึงตัวรำเพย รำเพยมองหน้าลิตรด้วยสีหน้าตัดพ้อ น้อยใจ เคียดแค้น และรังเกียจลิตรสุดประมาณ สายตาของรำเพยทำให้ลิตรหัวเสียขึ้นมาอีก ลิตรจับแขนของรำเพยที่อุ้มนันทนัชไว้แน่น รำเพยตกใจจึงเบี่ยงตัวหนี
“ปล่อยนะ ปล่อย”
ลิตรพูดเสียงดัง “ไม่ปล่อย”
เสียงของลิตรทำให้นันทนัชตกใจจนร้องไห้จ้า
ลิตรเองก็ตกใจจึงรีบปล่อยมือจากรำเพย รำเพยได้ทีจึงผละหนี แต่ลิตรหายตกใจเสียงร้องไห้ของลูกแล้วจึงปรี่เข้ามาจะจับตัวรำเพย ชิดเดินมาถึงตัวทั้งสองคนพอดีจึงเข้าขัดขวางไม่ให้ลิตรถึงตัวรำเพย ลิตรไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่รำเพยทำ และมาเจอชิดซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของบ้านเข้ามาขวางก็ยิ่งทำให้ลิตรโกรธ และตั้งใจใช้ชิด เป็นที่ระบายอารมณ์โกรธที่สะสมมานานวัน
“มึงอย่ายุ่ง ไอ้ชิด ถอยไป”
ชิดยังยืนปักหลักมั่น ไม่ยอมให้ลิตรเข้าใกล้รำเพย
“คุณนั่นแหละที่อย่าเพิ่งมายุ่งกับคุณรำเพยเลย เธอยังไม่ค่อยสบายใจปล่อยเธอไว้สักพักเถอะครับ”
ชิดพูดหน้านิ่งๆ แต่ท่ายืนมั่นคง เขาตั้งใจปกป้องน้องสาวคนเดียวของเจ้านายเก่า โดยที่ทั้งคำพูดและท่าทางของชิด ยิ่งทำให้ลิตรเดือดดาล ลิตรตรงเข้าไปกระชากชิดออกมา ชิดขัดขืน ทั้งสองคนกอดปล้ำกันไปมา รำเพยตกใจจึงผละออกมายืนดูห่างๆ
ลิตรสุดจะทนเลยเหวี่ยงหมัดขวาตรงๆ เข้าไปที่หน้าของชิดจนเต็มรัก ชิดล้มคว่ำไปกองกับพื้น ลิตรตามเข้าไปซ้ำโดยทั้งเตะ ทั้งถีบ ชิดได้แต่ปัดป้องไม่กล้าสู้กลับ รำเพยตกใจก่อนจะร้องห้ามเสียงดัง
“หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้ พี่จะฆ่าคนให้หมดทั้งเรือนรัตนะเลยหรือไง”
คำพูดของรำเพยเหมือนคำประกาศิตที่หยุดลิตรได้อย่างฉมัง
ลิตรมองชิดสลับกับมองรำเพย เขากลัวว่ารำเพยจะหลุดอะไรออกมาอีกเพราะคิดว่าชิดไม่รู้เรื่องการตายของเรไร ลิตรจะเข้าไปหารำเพย แต่รำเพยรีบเดินหนีไป ลิตรหันมามองชิดเพราะกลัวว่าชิดจะได้ยินสิ่งที่รำเพยพูด และรู้ว่าตัวเองเป็นคนฆ่ารำเพย ลิตรเห็นชิดนอนตัวงอก้มหน้ากับพื้นเพราะเจ็บที่โดนซ้อม ลิตรเหมือนจะโล่งใจ เขารีบเดินออกไป ชิดขยับตัวมามองตามลิตรด้วยสายตาที่บอกความแค้น
คั่วขนุนอยู่ในจานที่แต่งอย่างผู้ดี ทิพย์ใส่ถาดเดินถือมาวางเสิร์ฟลงบนโต๊ะรวมกับกับข้าวไทยอีกหลายอย่างที่จัดจานได้อย่างน่ารับประทาน แล้วเธอก็ยืนรอ ลิตรเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเครียดๆ
“ทานข้าวค่ะคุณผู้ชาย แล้วคุณรำเพยล่ะคะ?” ทิพย์ถาม
“รำเพยเอาแต่คลุกอยู่กับลูก ฉันเข้าไปหา คุยด้วย รำเพยก็ไม่ยอมพูดยอมจา”
ลิตรถอนใจก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
“เอ่อ...คุณรำเพยคงยังไม่หิว งั้นคุณผู้ชายทานก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณรำเพยหิวเมื่อไหร่ ทิพย์จะจัดให้ใหม่”
ทิพย์ตักข้าวใส่จานให้ลิตร
“เห็นพักนี้คุณผู้ชายทานอะไรไม่ค่อยลง วันนี้ทิพย์ก็เลยทำกับข้าวที่คุณลิตรชอบทานทั้งนั้นเลย มีทั้งคั่วขนุน ยำใบชะคราม แล้วก็ปลานึ่งขิง ทานเยอะๆนะคะคุณผู้ชาย”
พอทิพย์วางจานข้าวให้ลิตร ลิตรก็คว้ามือทิพย์แล้วจับไว้ ทิพย์ตกใจมองหน้าลิตร
“ขอบใจมากนะทิพย์ มีแต่เธอเท่านั้นที่คอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยฉันรำเพยเค้าไม่สนใจฉันเลย
ทิพย์นั่งคุกเข่าลงข้างๆลิตรแล้วพูดปลอบโยน
“ทิพย์เข้าใจคุณผู้ชายค่ะ ตอนนี้คุณรำเพยเธออาจจะยังทำใจไม่ได้เรื่องคุณเรไร แต่อีกหน่อยเธอก็น่าจะเข้าใจว่าที่คุณลิตรทำไปทั้งหมด ก็เพราะว่ารักเธอมาก”
“ก็แล้วทำไม รำเพยไม่เข้าใจฉันห่ะทิพย์ ทำไมรำเพยไม่ดีกับฉันเหมือนกับเธอ”
ลิตรจับหน้าทิพย์มามองจ้องก่อนยื่นหน้าลงมาจูบทิพย์
ทิพย์หลบออกจากบ้านมายืนจับปากตัวเอง เธอหลงรักลิตรอยู่แล้วยิ่งมาโดนจูบแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ใจทิพย์เตลิดเตลิงเพราะลุ่มหลงลิตรมากมาย
“เป็นอะไรรึปล่าวทิพย์?”
ทิพย์ตกใจจึงหันไปมองก็เห็นรำเพยที่กำลังอุ้มนันทนัชมองอยู่
“เอ่อปล่าวค่ะคุณรำเพย...ปละ...”
“แต่ท่าทางเธอตกอกตกใจมาก เหมือนไปเจออะไรมา” รำเพยว่า
“เอ่อ...ไม่มีอะไรจริงๆค่ะคุณรำเพย คุณรำเพยไปทานข้าวเถอะค่ะ คุณผู้ชายกำลังทานอยู่ ส่งคุณหนูมาให้ทิพย์ดูให้”
รำเพยทำหน้าเศร้าแล้วก็ระทมทุกข์ทันที
“ฉันกินอะไรไม่ลง! ยิ่งเห็นหน้าเค้า คอฉันตีบตันไปหมด แทบจะหายใจไม่ออก ฉันไม่รู้ว่าจะทนอยู่อย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน”
“คุณรำเพยไม่คิดจะให้อภัยให้คุณผู้ชายบ้างเลยเหรอคะ” ทิพย์ถาม
“ฉันไม่เอาเค้าเข้าคุก แล้วฉันยังต้องให้อภัยเค้าอีกเหรอทิพย์แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดต่อพี่เรไรมากพอแล้ว อย่าให้ฉันทำผิดมากไปกว่านี้เลย” รำเพยบอก
รำเพยปาดน้ำตาแล้วก็เดินอุ้มนันทนัชไป ทิพย์ได้แต่ถอนใจ
เสียงกรีดร้องของรำเพยดังลั่นบ้าน ทิพย์วิ่งขึ้นบันไดมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่ชั้นบน ทิพย์เห็นลิตรกำลังยื้อยุดรำเพยที่กำลังร้องไห้กอดลูก
“เข้ามาในห้อง วันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” ลิตรว่า
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ปล่อยฉันนะ ฉันจะเลี้ยงลูก” รำเพยบอก
“เลิกเอาลูกมาเป็นข้ออ้างหนีฉันซะที เธอเป็นเมียฉันนะรำเพยเธอต้องทำหน้าที่เมีย” ลิตรว่า
“ฉันไม่อยากทำ ไม่ทำอีกแล้ว”
ลิตรได้ยินอย่างนั้นก็เจ็บปวดมาก
“แต่เธอต้องทำ! เพราะฉันยังรักและต้องการเธออยู่ คนอย่างนายลิตรไม่ยอมให้ใครมาปฏิเสธเด็ดขาด เอาลูกมานี่!”
ลิตรแย่งลูกไปจากมือรำเพยได้ รำเพยก็ถึงกับกรี๊ดลั่น
“กรี๊ด...เอาลูกฉันคืนมานะ เอาคืนมา”
รำเพยพยายามไขว้คว้าเพื่อแย่งลูกมา แต่ลิตรอุ้มหลบแล้วหันมาเห็นทิพย์เลยเดินมาส่งลูกให้ทิพย์
“ทิพย์! เอายัยหนูไป...เอาไปให้ไกลๆ”
ทิพย์รับมาอย่างทำอะไรไม่ถูกและพูดอะไรไม่ออก เสียงเด็กร้องจ้า รำเพยพยายามเข้ามาแย่ง
“ส่งลูกมาให้ฉันทิพย์ เอาลูกฉันมาเอาคืนมา!”
รำเพยแผดเสียงร้องลั่นพลางจิกแย่ง จนกระชากเสื้อทิพย์ทำให้ทิพย์ทรุดลงไปกองกับพื้น
ทิพย์ร้องลั่น “ว้าย!”
“ลูกแม่ เอาลูกมาให้ฉัน เอาลูกฉันมา” รำเพยคร่ำครวญ
ลิตรรวบมือรำเพยขวางไว้แล้วช้อนตัวอุ้มรำเพยไปที่ห้อง
“ปล่อยฉันคุณลิตร...ฉันจะหาลูก...ปล่อย...ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คุณฉันขยะแขยงคุณ! ปล่อยฉัน”
รำเพยพูดพลางตบตีไปที่อกลิตร ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มโทสะอยากเอาชนะของเขามากขึ้น
“งั้นดีเลย วันนี้ฉันจะให้เธอทำหน้าที่เมียทั้งๆที่ขยะแขยงผัวตัวเอง”
ลิตรพารำเพยเข้าห้องแล้วปิดประตู
ทิพย์อุ้มนันทนัชที่ร้องไห้จ้ามองไปที่ห้อง เสียงที่โต้เถียงค่อยๆ เงียบลง ทิพย์ทรุดนั่งน้ำตาร่วงอยู่ตรงนั้นอย่างเจ็บปวดที่รู้ว่าลิตรที่เธอรักกำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั้น
เสียงทุบประตูห้องพร้อมกับเสียงร้องอย่างคร่ำครวญของรำเพยดังขึ้น
“เอาลูกฉันคืนมา!”
ทิพย์ที่กำลังกล่อมนันทนัชวัยแบเบาะให้หลับต้องสะดุ้ง
“ได้ยินมั้ย...เอาลูกฉันคืนมานะ...เอาลูกฉันคืนมา”
รำเพยเคาะประตูพลางร่ำร้องหาลูกจนแทบขาดใจ
“ได้ยินไม๊ทิพย์ เปิดประตู ฉันจะหาลูก เอาลูกคืนมาให้ฉัน”
ทิพย์เปิดประตูออกมาแล้วรีบปิดประตูทันที
“เบาๆค่ะคุณรำเพย คุณหนูกำลังหลับอยู่ แกคงตกใจน่ะค่ะ ร้องไห้โยเยตลอดเวลา เพิ่งจะยอมหลับไปเมื่อกี้เอง รอให้คุณหนูตื่นก่อนนะคะ แล้วทิพย์จะเอาไปคืน”
“ไม่ต้องมายุ่ง ฉันจะกล่อมลูกฉันเอง เอาลูกฉันคืนมา”
รำเพยจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่ทิพย์มาขวางไว้
“ยังเอาไปไม่ได้ค่ะคุณรำเพย!”
“ทำไมจะเอาไปไม่ได้ นั่นมันลูกฉันนะ!”
“แต่คุณผู้ชายสั่งให้ทิพย์เอามาดูแล ถ้าคุณผู้ชายยังไม่สั่งให้ทิพย์คืนให้คุณ ทิพย์ก็ขัดคำสั่งไม่ได้หรอกค่ะ”
“หลีกไปนะ ฉันจะเข้าไปหาลูกฉัน บอกให้หลีก”
ด้วยความโหยหาลูกทำให้รำเพยเงื้อมือตบลง เธอลงมือจิกผมทิพย์
“ว้าย! ทิพย์เจ็บนะคะคุณรำเพย อย่าทำอย่างงี้เลยค่ะ ทิพย์คืนคุณหนูให้คุณไม่ได้จริงๆ”
ทิพย์ยังขวางรำเพยโดยไม่ยอมให้เข้าไปซึ่งก็ยิ่งทำให้รำเพยคลั่ง นันทนัชตกใจตื่นแล้วก็ร้องไห้จ้า
“กรี๊ด ยัยหนูลูกแม่ มาอยู่กับแม่เถอะลูก แม่จะไม่ยอมให้ใครพรากลูกไปจากแม่ได้เด็ดขาด ฉันบอกให้หลีกไป หลีกไปซี”
รำเพยตบทิพย์อีกครั้ง แต่ทิพย์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากรำเพย ลิตรเข้ามาเห็นก็ตกใจจึงรีบเข้ามาดึงรำเพยออกไปจากทิพย์
“หยุดนะรำเพย...ฉันบอกให้หยุด!”
ลิตรดึงรำเพยออกมาจากทิพย์จนได้
ทิพย์ทรุดลงนั่งหอบอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น ผมเผ้ากระเซิง เสื้อมีรอยขาด หน้าตาถูกตบและมีรอยเล็บข่วนที่คอมองภาพลิตรอุ้มพาตัวรำเพยแยกไป
เรือนริษยา ตอนที่ 14 (ต่อ)
ทิพย์แอบมองผ่านช่องประตูเข้าไปก็เห็นรำเพยกำลังร้องไห้ ขณะที่ลิตรพยายามพูดทุกอย่างเพื่อให้รำเพยเห็นใจเขา
“ห่วงแต่ลูก อะไรๆก็ลูก หายใจเข้าออกเป็นลูกไปหมด” ลิตรว่า
“ก็ลูกฉันทั้งคนนี่ ฉันรักของฉัน” รำเพยบอก
“แล้วพี่ละรำเพย รำเพยเอาพี่ไปทิ้งไว้ที่ไหน”
“พี่เคยอยู่ที่ไหน พี่ก็อยู่ที่นั่นแหละ พี่ได้ตายจากหัวใจฉันไปแล้วนับแต่วันที่พี่ฆ่าพี่เรไร”
ทิพย์ตกใจที่ได้รับการยืนยันเรื่องนี้ ลิตรโผเข้าไปจับแขนรำเพย
“ใช่ซีพี่มันเลว พี่ฆ่าพี่เรไร แต่ที่พี่ทำลงไปทั้งหมดเพราะใคร เพราะพี่รักรำเพยใช่มั้ย”
“อย่ามาโทษฉันนะ ใจพี่มันอำมหิต พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อสนองตัณหาของตัวเองทั้งนั้นไม่ว่าจะเงินทองหรือความรักถ้าพี่รักฉันจริงอย่างที่ปากพูด ก็ปล่อยฉันกับลูกไปซิ พี่ทำได้มั้ย”
“ไม่มีวัน ไม่มีวันที่พี่จะปล่อยเธอไป”
“ถ้าพี่ไม่คืนลูกให้ฉัน ฉันก็จำเป็นจะต้องเอาพี่เข้าคุก” รำเพยว่า
“ว่าไงนะ!”
“ฉันจะไปแจ้งตำรวจว่าพี่ฆ่าพี่เรไร”
“ดี...ถ้ารำเพยไปหาตำรวจ ก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะได้เจอหน้าลูกอีก”
“พี่มันคนสารเลว...พี่มันเลวที่สุดฮือๆๆ”
ลิตรผุนผันออกจากห้องด้วยความโกรธ รำเพยทรุดลงร้องไห้คร่ำครวญจนเสียงร้องไห้คร่ำครวญของรำเพยดังออกมาจากเรือนรัตนะ
เช้าวันใหม่ ลิตรวิ่งเข้ามาดูในห้องโดยมีทิพย์วิ่งตามมาด้วย แต่พบแต่เปลเด็กที่ว่างเปล่าและข้าวของเสื้อผ้าของนันทนัชหายไปหมด
“ห่ะ รำเพย! รำเพยเอาลูกฉันไปไหน” ลิตรตกใจ
“เมื่อคืนคุณรำเพยนอนกับคุณหรูในห้องนี้ เช้ามา ทิพย์มาดู ก็ไม่เห็นแล้วค่ะ ข้าวของคุณหนูก็หายไปหมดเลย คุณรำเพยต้องพาคุณหนูหนีไปแล้วแน่” ทิพย์ว่า
“ไม่นะรำเพย รำเพยจะหนีฉันไปไหนไม่ได้” ลิตรตกใจ
ลิตรวิ่งออกไป
ลิตรวิ่งลงบันไดมาเจอชิดที่เดินเข้ามา
“ไอ้ชิด! มึงเห็นคุณรำเพยไหม?”
“ผมไม่เห็น” ชิดบอก
ชิดส่ายหน้า ทำไม่สนแล้วจะเดินผละไป แต่ลิตรเข้ามากระชากคอเสื้อเขาไว้
“ไอ้ตอแหล! มึงใช่ไหมที่เป็นคนรำเพยกับลูกหนีกูไป”
ทิพย์ตกใจ “ว้าย!”
ทิพย์ยืนตกใจ ชิดไม่ตอบ เขาได้แต่มองหน้าลิตรอย่างยิ้มเยาะ
“ไอ้สารเลวเอ้ย มึงเอาลูกเมียกูไปไหน” ลิตรว่า
ลิตรต่อยชิดจนคว่ำ แล้วตามเข้าไปเตะไม่ยั้ง
“บอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ บอกมา มึงเอาเมียกูไปว้ที่ไหน”
ทิพย์รีบเข้าไปดึงลิตรไว้อย่างโกลาหล
“อย่าค่ะคุณผู้ชาย อย่า เดี๋ยวนายชิดก็ตายพอดี”
ลิตรขับรถเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้าน รำเพยที่กำลังอุ้มนันทนัชอยู่ที่ระเบียงตกใจ ลิตรรีบลงจากรถโดยมีทิพย์ตามมาด้วย
ลิตรเรียก “รำเพย!”
รำเพยตกใจ “ห่ะ!”
รำเพยรีบอุ้มนันทนัชเข้าบ้านแล้วปิดประตูล็อคกลอนทันที
“รำเพยพาลูกหนีพี่มาทำไม” ลิตรถาม
ลิตรถลามาที่ประตูแต่ก็เปิดไม่ออก เขาได้แต่เคาะโวยวายเสียงดังลั่นอยู่หน้าบ้าน
“รำเพย! เปิดประตูให้พี่เข้าไป รำเพยจะมาทิ้งพี่แบบนี้ไม่ได้ พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อรำเพยกับลูกนะ”
รำเพยที่อยู่ในบ้านนั่งทรุดอยู่กับพื้นพร้อมกับกอดลูกร้องไห้ หลังจากเงียบมานานรำเพยก็โพล่งออกมา
“รำเพยเกลียดพี่ ไปให้พ้นจากชีวิตรำเพยเลย อย่าให้รำเพยเห็นหน้าพี่อีก รำเพยไม่อยากต้องเกลียดพี่ไปมากกว่านี้ แต่ถ้าพี่ยังไม่เลิกวุ่นวายตอแยกับชีวิตรำเพย พี่จะไม่ได้เห็นหน้ารำเพยอีกเลย เพราะรำเพยจะฆ่าตัวตายตามพี่เรไรไป”
“รำเพย...เปิดประตู รำเพย...พี่รักรำเพย...อย่าทำกับพี่อย่างงี้...รำเพยเปิดประตูๆ”
ลิตรทรุดเข่าคอตกอยู่ที่หน้าประตู ทิพย์ยืนมองสภาพอันน่าเวทนาของลิตรอยู่ที่รถ
วันต่อมา ทิพย์เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานพร้อมถือถาดอาหารเข้ามาด้วย เธอเห็นลิตรนั่งเอนเบาะอยู่ที่เก้าอี้ ในสภาพทรุดโทรมหมองเศร้า
“คุณผู้ชายค่ะ ทานอะไรสักหน่อยเถอะ ทิพย์ตุ๋นรากบัวยาจีนมาให้ คุณผู้ชายจะได้มีแรง”
ลิตรส่ายหน้า “ฉันกินอะไรไม่ลง”
“คุณผู้ชายไม่ยอมกินอะไรเลย ไม่ได้นะคะ มา...ทิพย์ป้อนให้นะคะ กำลังร้อนๆเลย”
ทิพย์เปิดฝาแล้วตักน้ำแกงขึ้นมาเป่าเพื่อจะป้อนให้ลิตร แต่ลิตรกลับจับมือทิพย์ไว้
“ฉันควรทำยังไงดีทิพย์ รำเพยใจแข็งเหลือเกิน ใจไปง้อไปงอนยังไง รำเพยก็ไม่เคยเปิดประตูโผล่หน้าออกมาให้ฉันเห็น ไม่แม้แต่จะพูดกับฉันสักคำฉันจะบ้าตายอยู่แล้วทิพย์”
ทิพย์มองมือตัวเองที่ลิตรกุมไว้อย่างอึ้งๆ
“ผู้หญิงเราไม่เคยใจแข็งกับคนที่เรารักได้หรอกค่ะคุณลิตร” ทิพย์บอก
ทิพย์พูดพลางส่งสายตาให้อย่างสื่อความหมายให้ลิตรเข้าใจว่าหมายถึงตัวเธอด้วย
ทิพย์พูดต่อ “ถ้าเรารักใครสักคน ไม่ว่าเขาจะทำผิดคิดร้ายมามายแค่ไหนเราก็อภัยให้เค้าได้เสมอค่ะ”
“ฉันก็หวัง...หวังว่ารำเพยจะให้อภัยให้ฉันสักวัน”
ทิพย์ฟังแล้ว ด้านมืดในใจก็ทำให้ผุดคำพูดอีกประโยคออกมาจากปากของเธอ
“หรือบางที คุณรำเพยอาจจะไม่เคยรักคุณลิตรมาก่อนเลยก็ได้”
คำพูดของทิพย์ทำให้ลิตรอึ้งและใจหาย ตาของเขากวาดมองไปที่โต๊ะ ลิตรมองเห็นปากกากับกระดาษ เขาก็คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างดีกว่ามานั่งเฉยๆอยู่แบบนี้ คิดได้ดังนั้นลิตรก็คว้าสมุดฉีกปากกามาเริ่มเขียนจดหมายลงไป ทิพย์อึ้งมองสิ่งที่ลิตรกำลังทำ
“รำเพยที่รัก พี่รู้ว่ารำเพยคงไม่มีวันให้อภัยพี่ พี่อยากจะขอโทษ อยากให้เรากลับมารักกัน อยู่ด้วยกันเหมือนเก่า รำเพย..........”
เวลาผ่านไป ลิตรเขียนจดหมายระบายความในใจลงไป
“สายตาหมางเมินที่รำเพยมองพี่ รำเพยคงไม่รู้หรอกว่า มันทำให้พี่เจียนบ้า มันกรีดแทงลงตรงกลางหังใจพี่ทุกวันทุกคืน”
เมื่อเขียนเสร็จ ลิตรก็พับจดหมายใส่ซองส่งให้ทิพย์ที่ยืนอยู่
“ทิพย์ช่วยเอาจดหมายนี่ ไปส่งให้คุณรำเพยทีนะ กำชับให้อ่านให้ได้นะ”
ทิพย์รับมา “เอ่อ...ค่ะ”
ทิพย์ยื่นมือไปรับจดหมาย ลิตรจับกุมมือไว้แล้วกำชับ
“ส่งให้ถึงมือนะ ให้รำเพยอ่านให้ได้ เค้าจะได้เห็นใจ แล้วกลับมาหาฉัน”
ทิพย์กำลังเดินถือจดหมายไปที่บ้านไม้ สีหน้าทิพย์ครุ่นคิดสับสนเพราะความคิดฝ่ายดีและฝ่ายชั่วกำลังต่อสู้กันภายในใจของเธอ ทิพย์หยุดมองไปที่บ้านมุมไกลๆ เธอเห็นรำเพยกำลังอุ้มกล่อมลูกอยู่ที่หน้าต่างห้อง ทิพย์ก้มลงมองจดหมายอีกครั้ง แล้วตัดสินใจฉีกจดหมายออกเป็น2ส่วน แล้วหันหลังเดินกลับ
ลิตรมีสีหน้าเศร้าขณะมองจดหมายที่ถูกฉีกออกเป็น2ส่วนในมือทิพย์ที่กำลังยื่นให้เขา
“คุณรำเพยรับไป แต่ไม่ยอมอ่าน แล้วฉีกทิ้งค่ะ”
เวลาผ่านไป ทิพย์ยื่นจดหมายคืนให้ลิตรอีก3-4ครั้ง แต่บางฉบับไม่ถูกฉีก ลิตรรับมาอย่างใจสลาย เขาเดินกลับมาที่โต๊ะ เปิดหีบอย่างดีแล้ววางจดหมายทั้งหมดลงไป ภายในหีบมีจดหมายหลายฉบับที่ถูกฉีกและแปะกาวแล้ว และที่ไม่ถูกฉีกวางอยู่ภายในกว่าสิบฉบับ
ลิตรเคาะประตูห้อง ทิพย์เปิดประตูออกแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นลิตรยืนมึนๆ ด้วยฤทธิ์เหล้า
“เอ่อ...คุณผู้ชาย”
ลิตรโผเข้ามากอดทิพย์แล้วคร่ำครวญ
“ช่วยฉันด้วยทิพย์ ทำยังไงก็ได้ ให้รำเพยกลับมาหาฉัน”
ทิพย์กอดปลอบลูบหลังลิตรด้วยความรัก
“ค่ะทิพย์จะช่วย...ไม่ต้องเศร้าไปนะคนดีของทิพย์....ทิพย์จะช่วยคุณเอง”
“ทิพย์จะช่วยฉันยังไง”
“เพราะมีคุณหนูนัน คุณรำเพยก็เลยไม่สนใจคุณลิตร ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้คุณหนูนันคนเดียว”
“ทิพย์ ! นั่นมันลูกฉันนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ทิพย์จะเลี้ยงลูกมาให้คุณเอง แต่เราต้องแยกคุณหนูนันมาจากคุณรำเพยซะก่อน”
ลิตรตะลึงมองทิพย์
เช้าวันใหม่ รำเพยเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องปล่อยขวดนมร่วงจากมือเมื่อพบว่าลูกหายไปจากเบาะที่นอน
“ยัยหนูลูกแม่!”
ทิพย์อุ้มนันทนัชวิ่งออกมาจากบ้านสวนอย่างรีบร้อนก่อนจะหายลับไปที่หัวถนน รำเพยวิ่งร้องไห้ฟูมฟายออกมาตะโกนหาโดยที่ในมือยังถือผ้าอ้อมลูกอยู่
“ยัยหนูลูกแม่...ยัยหนู...ช่วยด้วย...มีคนขโมยลูกฉันไป” รำเพยตะโกนลั่น
รำเพยวิ่งร้องออกไปที่ถนน
รำเพยเดินร้องหาลูกจนมาถึงที่หน้าเรือนรัตนะ โดยที่ในมือยังถือผ้าห่มของนันทนัชติดมาด้วยสภาพเหมือนคนเสียสติ รถคันหรูของลิตร แล่นออกจากบ้านมาพอดี ลิตรเห็นสภาพของรำเพยแล้วก็ตกใจจึงรีบจอดรถมาประคองเธอไว้
“รำเพย!”
“ปล่อยฉันนะ! พี่ขโมยลูกฉันมาใช่ไหม เอาลูกฉันคืนมา” รำเพยว่า
รำเพยผลักลิตรแล้วรีบเดินไปที่บ้านก่อนจะร้องเรียกหาลูกอย่างไร้สติ
“ยัยหนูลูกแม่!”
ลิตรยืนมอง แล้วก็ยิ้มดีใจ
“ในที่สุด รำเพยก็ต้องกลับมาหาพี่เอง”
ด้วยความที่เหนื่อยอ่อนกับการเดินออกตามหาลูกทำให้รำเพยทรุดจนเป็นลมล้มลง
“รำเพย!”
ลิตรรีบวิ่งมาอุ้มรำเพยขึ้นก่อนจะพาเดินกลับเข้าบ้านไป
ลิตรวางรำเพยที่เริ่มฟื้นคืนสติมาแล้วแต่ยังมีท่าทีเหนื่อยอ่อนระโหยโรยแรงลงบนเตียง
“นอนพักให้สบายนะรำเพย ไม่ต้องห่วงลูก พี่รับรองว่าลูกเราปลอดภัยดี”
รำเพยสะอิ้น
“พี่เอาลูกชั้นไปทำไม เอาคืนมาให้ฉันเถอะนะ พี่เอาลูกชั้นไปไว้ที่ไหน”
รำเพยขยับจะลุกไปเล่นงานลิตรแต่ความอ่อนแอทั้งกายและใจทำให้ไม่สามารถทำได้ ลิตรมองอย่างสงสารแล้วจะเดินเข้าไปจับมือและปลอบใจแต่สายตาของรำเพยนั้นมองมาอย่างเลียดชังจนลิตรไม่กล้า
“รำเพยรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่จะไปพายายหนูกลับมา” ลิตรบอก
ลิตรรีบเดินออกไปที่ประตูแล้วปิดล๊อคห้องไว้ รำเพยได้ยินเสียงล๊อคกุญแจก็ตกใจ จึงโซซัดโซเซไปที่ประตู รำเพยพยายามเขย่าประตูให้เปิดออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ลิตรยืนมองประตู อย่างไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงดี เสียงรำเพยร้องให้เปิดประตูดังออกมา
“ปล่อยชั้นออกไป เปิดประตู”
เสียงร้องที่เหนื่อยอ่อนและแผ่วเบาของรำเพยทำให้ลิตรตัดสินใจเดินออกไปทำอะไรบางอย่าง
รำเพยทรุดนั่งกับพื้นอย่างคนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้
บ้านอีกหลังหนึ่งที่ทิพย์แอบพานันทนัชมาเลี้ยงดูเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงัด น่าวังเวงใจ ทิพย์นั่งชันเข่ามองไปรอบๆอย่างหวาดๆ นันทนัชนอนหลับพริ้มอยู่บนเบาะ เสียงกุกกักดังขึ้นที่หน้าประตู ทิพย์สะดุ้งก่อนจะคว้ามีดมาถือไว้ นัยน์ตาจ้องไปที่ประตูเขม็ง
เสียงที่หน้าประตูเงียบไป ทิพย์ถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วประตูก็เปิดออกโดยแรง ทิพย์หันควบไปมองด้วยความหวาดกลัวเธอเห็นลิตรยืนอยู่ที่หน้าประตู ทิพย์ยิ้มโล่งอก เธอแทบจะวิ่งเข้าไปกอดลิตรด้วยความดีใจแต่ลิตรไม่สนใจทิพย์แม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปดูนันทนัชด้วยความห่วงใย ทิพย์หน้าเจื่อน
“ยายหนูเป็นไงบ้างทิพย์” ลิตรถาม
“ร้องไห้โยเยตลอดเลยค่ะ ทิพย์เพิ่งกล่อมให้หลับได้เมื่อกี้เองค่ะ”
ลิตรลูบหัวอันเล็กกระจ้อยร่อยของนันทนัชด้วยความสงสาร ทิพย์มองอย่างอิจฉานิดๆ
รำเพยพยายามทุบประตูและเขย่าประตูห้องด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“พี่ลิตร! ปล่อยฉันออกไปนะ ฉันจะไปหาลูก พี่ใจร้ายมากนะ มาขังฉันไว้แบบนี้พี่ฆ่าพี่เรไรของฉันแล้ว ยังมาพรากลูกไปจากฉันอีก พี่ฆ่าฉันเลยดีกว่า พี่ลิตร ปล่อยฉันออกไป!”
ไม่มีเสียงตอบ รำเพยร้องไห้แล้วก็ทรุดลงนั่งซบหน้าร้องไห้อยู่ที่พื้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแปลกที่ลูกบิดประตู
รำเพยมองไปที่ประตูอย่างมีความหวังอีกครั้ง เธอค่อยๆรวบรวมกำลังแล้วเดินไปที่ประตู ประตูเปิดออกโดยง่าย เหมือนมีคนมาไขกุญแจให้ รำเพยออกมายืนหน้าห้องแล้วมองไปรอบๆ ร่างบางเบาของเรไรยืนอยู่ตรงนั้น แต่รำเพยมองไม่เห็น รำเพยยกมือไหว้ไปทั่วทิศเหมือนจะขอบคุณอะไรบางอย่างที่มาช่วยเธอ
“รำเพยไม่รู้ว่าเป็นใคร ผีบ้านผีเรือนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาช่วยรำเพย รำเพยขอบพระคุณมากนะคะ”
รำเพยค่อยๆเดินปาดน้ำตาออกไป
วิญญาณเรไรยืนมองอย่างเศร้าสร้อยและสงสาร
รำเพยเปิดเข้ามาในห้องทำงานลิตรเพื่อจะตามหานันทนัช
“ยายหนู หนูอยู่ที่นี่หรือเปล่าลูก”
รำเพยเดินหาไปทั่วห้องเหมือนคนสติหลุด แต่ทั่วห้องว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงานันทนัช รำเพยเห็นผ้าห่มของนันทนัชวางกองไว้ที่พื้น เธอตกใจ แล้วประโยคที่ลิตรเคยพูดก็ดังแว่วมา
“ดี...ถ้ารำเพยไปหาตำรวจ ก็อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะได้เจอหน้าลูกอีก”
ภาพในความคิดอันฟุ้งซ่านของรำเพย
คือภาพลิตรที่กำลังบีบคอเล็กๆของนันทนัชอย่างโหดเหี้ยม นันทนัชร้องไห้จ้าด้วยความกลัว
รำเพยสะดุ้งสุดตัวเพราะคิดไปเองว่าลิตรจะเอาลูกไปฆ่า รำเพยร้องไห้คร่ำครวญปริ่มจะขาดใจ
“ยายหนู ยายหนูของแม่”
รำเพยนั่งร้องไห้จนแทบหมดแรง
เสียงพูดโทรศัพท์กึ่งตกใจของกฤตพนธ์ดึงชิดกลับมาสู่ปัจจุบัน
“อะไรไอ้นุใครส่งอะไรมาให้ชั้น” กฤตพนธ์ถาม
กฤตพนธ์นั่งคุยโทรศัพท์กับภานุอยู่ในหน่วยข่าวกรองโดยทำหน้าสยองอยู่
“แกรีบมาดูเองก็แล้วกัน ชั้นว่าเรื่องนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้วว่ะ” ภานุบอก
นันทนัชมองท่าทีของกฤตพนธ์ด้วยความอยากรู้ กฤตพนธ์เก็บมือถือแล้วหันมามองนันทนัช
“ผมต้องรีบเข้าไปที่หน่วยแล้วละครับ คุณไปส่งผมก่อนก็แล้วกันนะครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” นันทนัชถาม
กฤตพนธ์ส่ายหน้า “ยังไม่รู้เหมือนกันครับ เรารีบไปกันเถอะครับ”
กฤตพนธ์รีบเดินออกไปอย่างร้อนใจจนนันทนัชเดินตามแทบไม่ทัน ชิดมองตามด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ประตูห้องกฤตพนธ์เปิดออกอย่างแรง ภานุสะดุ้ง กฤตพนธ์เดินเข้ามาด้วยความกังวล
“ตกลง ใครส่งอะไรมาให้ชั้นห่ะ ไอ้นุ”
ภานุไม่พูดแต่ชี้ไปที่กล่องกระดาษสีน้ำตาล กฤตพนธ์เดินไปหยิบขึ้นมาดู เขาเห็นกระดาษสมุดธรรมดาที่ถูกฉีกออกมา มีตัวหนังสือสีแดงเขียนไว้ตัวโตๆ ว่า “อย่ามายุ่งกับคนในเรือนรัตนะ”
กฤตพนธ์วางจดหมายขู่ลงแล้วหยิบรูปถ่ายใบใหญ่ขึ้นมาดู แล้วก็อึ้งไป
“นั่นแหละ ที่ชั้นต้องเรียกแกมาด่วน ไอ้จดหมายนั่นนะ ชั้นให้ฝ่ายเทคนิคเค้าเช็คแล้ว มันเป็นแค่เลือดวัว แต่รูปถ่ายหน้าบ้านแก พร้อมเป้ากระสุนเลือดน่ะ คือสิ่งที่ชั้นกังวล” ภานุบอก
กฤตพนธ์วางรูปลง
มันคือรูปถ่ายหน้าบ้านอัศวัติที่ถูกวาดเป็นเป้ากระสุนด้วยสีแดงอยู่
กฤตพนธ์โกรธ “มันคิดว่าจะเอาครอบครัวชั้นมาข่มขู่ชั้น แล้วจะทำให้ชั้นกลัว หรือไม่ ไม่มีทาง”
“แล้วแกจะทำยังไง”
“ชั้นก็จะลุยกับคุณนันต่อ แล้วก็ต้องปกป้องคนในครอบครัวชั้นไว้ด้วย”
สีหน้ากฤตพนธ์มีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
จบตอนที่ 14