xs
xsm
sm
md
lg

สุสานคนเป็น ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุสานคนเป็น ตอนที่ 12

วิญญาณลั่นทมเดินเข้ามาคลายสะกดชีพ ชีพลืมตาขึ้นอย่างอ่อนระโหย เมื่อเห็นลั่นทมเขาก็ถอยหนีด้วยความรังเกียจ ลั่นทมมองชีพด้วยแววตาอ่อนโยน ถาดเครื่องเซ่นยังวางอยู่ข้างหน้า

“ครึ่งค่อนวันแล้วนะคะ..ทานเถอะค่ะ..ทมอุตส่าห์ให้ออกมานั่งนอกโลงแล้วนะ”
ชีพอ้อนวอน “ปล่อยฉันไปเถอะลั่นทมแล้วฉันจะทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้”
“ความสุขของทมอยู่ตรงได้เห็นคุณเป็นคนดี...ดีกับทมและคนอื่นๆ อย่างจริงใจ”
“ตกลง ฉันจะเป็นคนดี”
“ไม่จริงค่ะ ฉันรู้ว่าคุณพูดปด”
ชีพโมโห “เสือกรู้อีก”
“คุณไม่มีทางเลือก ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ไปกินอาหารไม่งั้นคุณตาย”
ชีพมองลั่นทมแบบทั้งแค้นทั้งกลัว เขาจำใจลงมือกินด้วยความรังเกียจ ลั่นทมมองอย่างสมเพช แล้วชีพก็ทนไม่ไหวจึงทุบจานชามเครื่องเซ่นแตกพินาศ
“โว้ย...ไม่กิน..ฉันไม่กิน...ฉันไม่ใช่ผี...ฉันเป็นคน”
ลั่นทมมองชีพอย่างผิดหวัง ชีพพรวดพราดลุกขึ้นวิ่งสะเปะสะปะไปที่ประตู เมื่อจะถึงประตูก็มีลมพัดมาอย่างแรงจนชีพผงะเซถลาเข้ามา แล้วฟุบลงคร่ำครวญอย่างสุดแค้น
“ฆ่าฉันซีลั่นทม...เธออยากให้ฉันตายก็ฆ่าเลยซี”
ลั่นทมเข้ามาปลอบโยน “ทมฆ่าใครไม่ได้หรอกมันบาป...ทมกลัวต้องชดใช้เวรกรรมอีก”
“เธอทรมานฉันแบบนี้มันก็บาป”
“ไม่หรอกค่ะ ทำคนชั่วไม่บาป”
ชีพโกรธ “โว้ย..” ชีพคร่ำครวญ “ลั่นทม..ไหนๆ เธอก็ตายแล้ว อภัยฉันเถอะ”
“เพราะอภัยน่ะซี ทมถึงมาปรนนิบัติคุณอย่างนี้ เราจะอยู่ด้วยกันในสุสาน..ทมจะไปหาอาหารมาให้ใหม่”
ชีพแผดเสียง “ไม่กิน..ฉันจะออกไปจากที่นี่ ฉันจะไปจะออกไปนังผีบ้า ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ รส..รสอยู่ไหนทำไมไม่มาช่วยฉันรส”
ชีพคร่ำครวญ ลั่นทมมองด้วยความผิดหวัง “ยังจะเรียกหามันอีกเหรอ”


หวานชะเง้อมองไปข้างนอก กลุ่มของสวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มแอบมองอยู่คุยกันเบาๆ
“น้าหวานคงเป็นห่วงคุณผู้ชายนะ” ยาใจบอก
“หรือว่าเป็นห่วงแม่รส เห็นออกไปตามกันตั้งแต่เช้า” จิ้มลิ้มว่า
“นั่นสิ...หรือว่าเป็นอย่างที่เราคิดกัน คุณผู้ชาย”
ทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะหันไปทางสุสาน
ยาใจกับจิ้มลิ้มพูดพร้อมกัน “สุสาน..”
“ใช่ บอกน้าหวานดีกว่า...” สวาทว่า
“บอกทำไม” ยาใจถาม
“ก็ให้มันรู้ไปเลย..”
สวาทเดินไปหาหวาน หวานหันกลับมาพอดี
“ข้าก็ว่าจะไปตามคุณผู้ชายที่นั่น...”
ทั้งหมดพยักหน้าให้กันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“คุณผู้หญิง อย่าทำอย่างที่นังหวานกลัวเลยนะคะ มันบาป”


หวานกับพวกออกมาข้างนอก ฉ่ำตัดกิ่งไม้อยู่ ส่วนวิเวกดายหญ้า สมพรยืนมองรถของธารินทร์ที่แล่นเข้ามา
“วันนี้คุณอุษากลับไวจัง...” หวานว่า
อุษากับธารินทร์ลงมาจากรถเห็นกลุ่มสาวใช้ยืนอยู่หน้าบ้าน อุษาเลยถาม
“พวกน้าหวานจะไปไหนกันจ๊ะ”
“นั่นสิ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“คุณผู้ชายยังไม่กลับเลยนะคะ หายไปตั้งแต่เช้า แม่รสก็ไปตามที่ไหนไม่รู้” หวานบอก
“บนบ้านหากันทั่วหรือยัง...” ธารินทร์ถาม
“อุ๊ย บ้านก็มีเท่านี้ มีหรือที่แม่รสจะไม่เห็นคุณผู้ชาย...”
“แต่ผมว่าลองหาอีกทีดีกว่า...”
ธารินทร์เดินเข้าไปในบ้าน ทุกคนเดินตามเข้าไป ฉ่ำ สมพร และวิเวกมองหน้ากัน
“ไปช่วยเขาหากันดีกว่า...” ฉ่ำบอก
“จะดีเหรอลุงฉ่ำ”
“หากันหลายคน ไม่น่ากลัวหรอก ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณผู้ชายอยู่ที่ไหน...”


ทุกคนเข้ามาในบ้าน ธารินทร์ที่ยืนอยู่ข้างอุษาบอกกับทุกคน
“แยกย้ายกันไป แบ่งออกเป็นสองกลุ่มดีกว่า พวกลุงฉ่ำหาในสวนหลังบ้าน”
“ไอ้เวกกับไอ้พรหาจนทั่วแล้วครับ หมวด” ฉ่ำบอก
“ก็หาอีกทีสิ...เผื่อจะเจอ...ส่วนน้าหวาน ผมแล้วก็ษา ขึ้นไปข้างบนที่เหลือหาข้างล่างนี่แหละ”
ทุกคนพยักหน้า “น้าหวานขอน้ำแก้วนึงสิ กระหายน้ำจังเลย”
“ได้ค่ะคุณรินทร์ รอเดี๋ยวนะคะ..” พูดจบหวานก็เดินไป


โหน่งเอาหน้าแนบข้างฝาแล้วนับเลขเพื่อเล่นซ่อนแอบ
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก”
หนุ่ยย่องไปข้างนอกแล้วเข้าไปในห้องของรสสุคนธ์ โหน่งลืมตาขึ้นแล้วหันมากวาดตาไปทั่วแล้วก็ไม่เห็นหนุ่ย เลยเดินออกไป


โหน่งเดินเข้ามาในห้องของรสสุคนธ์แล้วมองหา หนุ่ยซ่อนอยู่ใต้เตียง โหน่งเหลียวไปรอบๆ แล้วเดินมาเปิดประตูตู้แล้วโหน่งก็ตกตะลึง ถอยหลังออก โหน่งเห็นร่างของชีพที่ถูกมัดขาดใจตายแล้ว ร่างชีพล้มลงใส่โหน่ง “โอ๊ย...ช่วยด้วย ช่วยด้วย...”
โหน่งตกใจที่เห็นร่างของชีพถูกมัดไว้ตลอดทั้งร่าง โหน่งพยายามดิ้น โหน่งกรีดร้องสุดเสียง หนุ่ยวิ่งออกมาจากมุมหนึ่งแล้วกอดโหน่งแน่นเพราะไม่เห็นอะไร
“โหน่งๆๆๆ”


ทุกคนวิ่งขึ้นบันไดมาในสภาพหน้าซีดหวานตกใจ “ตายแล้ว หนุ่ย โหน่ง...”
“เสียงมาจากห้องน้าชีพค่ะ” อุษาบอก
ธารินทร์รีบเดินนำไปก่อน

ทุกคนเดินเข้ามา ธารินทร์กอดหนุ่ยไว้ ส่วนอุษากอดโหน่ง ทุกคนตกใจที่เห็นประตูตู้เปิดอยู่์“บอกน้าซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
โหน่งชี้ไปที่ตู้ “คุณลุงชีพอยู่ในตู้”
ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน อุษารีบเปิดประตูตู้ให้กว้างขึ้น
บรรดาสาวใช้กอดกันกลม
“ไหนล่ะจ๊ะ ไม่เห็นมีอะไรเลยโหน่ง..” อุษามองหา
“เด็กไม่โกหกหรอกครับ ผมว่าต้องเกิดอะไรสักอย่างแล้วละ”
“นั่นสิ...” อุษามองหน้าทุกคน “น้าหวานพาหนุ่ยกับโหน่งไปหาอะไรทานก่อน แล้วนี่แม่เขาไปไหนซะล่ะ”
“ออกไปกับแม่รสตั้งแต่เช้าแล้วค่ะคุณอุษา...”
“ไปไหนคะ...”
“เห็นว่าไปตามหาคุณชีพ..”
ธารินทร์รีบพรวดพราดออกไปนอกห้อง
ทุกคนมองตาม อุษารีบเดินตามออกไป
“ไม่ใช่คุณชีพตายแล้วนะ...ไม่งั้นจะมาหลอกได้ไง” สวาทว่า
“ว้าย...ผีคุณนายคนเดียว นังยาก็จะฉี่ราดตายแล้ว นี่ยังจะผีคุณผู้ชายอีกเหรอ” ยาใจบอก
“ฉะ...ฉะ...ฉันว่าออกไปข้างนอกเถอะ...” จิ้มลิ้มบอก
ฉ่ำเข้ามาหาโหน่งแล้วจ้องหน้าถามเสียงจริงจัง
“ไอ้หนู เอ็งเห็นคุณผู้ชายจริงๆ เหรอวะ”
“จริงสิลุง...ลุงชีพถูกมัดทั้งตัวเลยนะ ล้มมาใส่ผม” โหน่งบอก
สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มกลัว
“ข้าว่าคุณผู้ชายตายแล้วว่ะ” สมพรบอก
“แล้วจะอยู่ทำไมกันล่ะวะ...” วิเวกถาม
วิเวกวิ่งออกไปก่อน ทุกคนที่เหลือตามไป เหลือหวานกับหนุ่ยและโหน่ง
“ไปหาอะไรกินในครัวกันเถอะ...”
หวานพาเด็กทั้งสองคนเดินออกไป

ธารินทร์กับอุษาคุยกันอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้ากังวลใจ
“คิดอะไรอยู่หรือคะรินทร์” อุษาถาม
“ผมเป็นห่วงคุณชีพ...เด็กไม่น่าโกหก” ธารินทร์บอก
“กลัวว่าน้าชีพตายแล้วเหรอคะ”
“ผมยังไม่สรุปอะไรทั้งนั้น...ขอให้มีหลักฐานเพิ่มก่อน”
“หลักฐาน...”
ธารินทร์ไม่ตอบแต่เดินไปทางสุสาน อุษาเดินตามไป “รินทร์...”
อุษาเดินตามไป

อุษาเดินมาทันธารินทร์ที่ข้างบ้าน
“รินทร์จะไปที่สุสานเหรอคะ” อุษาถาม
“ใช่ ถ้าเจอน้าชีพก็แสดงว่าน้าชีพยังไม่เป็นอะไร...ทั้งหมดเป็นฝีมือคุณน้าลั่นทม...แต่ที่ผมกลัวไปมากกว่านั้นก็...”
ธารินทร์พูดค้างไว้ อุษาถามทันที “อะไรคะ”
“น้าชีพตายแล้ว ด้วยฝีมือคนอื่นที่ไม่ใช่คุณน้าลั่นทม” ธารินทร์บอก
“หมายถึงรสสุคนธ์หรือคะรินทร์...”
“ก็แค่สันนิษฐาน...ไปที่สุสานกันเถอะ”

ลั่นทมนอนกับชีพอยู่ในโลงศพ เสียงอุษากับธารินทร์ดังเข้ามา
ชีพยิ้มดีใจ “อุษา ช่วยน้าด้วย”
“อย่าพยายามเลยค่ะ ไม่มีใครมองเห็นชีพหรอก เสียงชีพก็ไม่มีใครได้ยิน” ลั่นทมบอก
ชีพเหลียวหน้ามาดูลั่นทมก็เห็นลั่นทมยิ้มเย็นน่ากลัว
อุษากับธารินทร์สำรวจไปรอบๆ สุสาน
“สุสานก็แค่นี้...น้าชีพคงไม่ซ่อนตัวอยู่ในนี้หรอกค่ะ” อุษาบอก
“ครั้งก่อน คุณน้าลั่นทมยัง” ธารินทร์พูดยังไม่จบ
เขาจ้องไปที่โลงศพ ธารินทร์เดินตรงไปที่โลงศพ อุษารีบถาม
“รินทร์จะทำอะไร...”
“ผมอยากรู้ว่าน้าชีพอยู่ในนี่หรือเปล่า”
ธารินทร์เลื่อนฝาเปิด ชีพดีใจจึงรีบยิ้มให้ธารินทร์
“น้าอยู่นี่ไง...น้าอยู่นี่ เห็นน้ามั้ย...เอาน้าออกไปจากที่นี่ น้าเหม็นนังผีลั่นทมนี่จะแย่แล้ว”
ธารินทร์เห็นแต่ลั่นทมนอนอยู่คนเดียวไม่มีร่างของชีพ อุษาชะเง้อมองเข้าไปในโลงก็เห็นแต่ลั่นทม
“ไม่มี...”
“ร่างของคุณน้ายังไม่เน่าเลยนะคะ...ยิ้มเหมือนคนนอนหลับ...แค่ขึ้นอืดเท่านั้น” อุษาบอก
ธารินทร์ปิดฝาโลงด้วยสีหน้าผิดหวัง ชีพดิ้นรนแล้วพยายามส่งเสียงดัง“ษา...ษา...ช่วยน้าด้วย น้าอยู่ในนี้ โธ่โว้ย แค่นี้มองไม่เห็นเหรอไงวะ...ษาๆ โว้ย”
ฝาโลงเลื่อนปิดสนิท ลั่นทมหัวเราะก้อง ชีพตวาด
“บ้าเอ๊ย แกฆ่าฉันดีกว่านังลั่นทม...แกมันคนใจร้าย ตายเป็นผีแล้วก็ยังใจร้ายอีก”
ลั่นทมหันใบหน้าไปทันทีด้วยดวงตากร้าว “ก็ใครล่ะที่ทำให้ทมเป็นอย่างนี้”
อุษายืนน้ำตาคลอมองไปที่โลงศพ
“คุณน้าขา...อย่าทำอย่างที่ษาคิดเลยนะคะ...ปล่อยน้าชีพออกมาเถอะค่ะ”
ธารินทร์ฉวยมืออุษาถามทันที “ษาคิดว่า...น้าชีพอยู่ในนั้นเหรอ”
“ค่ะ ทุกอย่างคุณน้าลั่นทมทำให้เราเห็นไปอย่างนั้น แม้กระทั่งหนุ่ยโหน่งด้วย ษามั่นใจ”
“กับเด็กๆ อย่างนั้น คุณน้าลั่นทมจะทำแบบนั้นทำไมกันษา”
“ก็เพื่อจะให้บทเรียนแก่นฤมลไงล่ะคะ อย่าลืมสิว่านฤมลรู้เห็นเป็นใจกับรสสุคนธ์ทุกอย่าง”
อุษามองไปที่โลงศพด้วยสีหน้าเศร้า ธารินทร์ยืนอยู่ข้างๆ

อุษากับธารินทร์คุยกันอยู่
“รินทร์อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนษานะคะวันนี้ ษาให้น้าหวานทำแกงมัสมั่นไว้ให้รินทร์ด้วย”
ธารินทร์กุมมืออุษา
“เสียดายจัง ผมต้องรีบไปเข้าเวร...วันหน้า ไม่พลาดแน่ครับษาแล้วถ้ามีอะไรคืบหน้า โทรบอกผมด้วยนะ”
“ค่ะ รินทร์...รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะเข้าเวรไม่ทัน”
ทั้งสองไปที่รถของธารินทร์ ธารินทร์ขึ้นรถ อุษารอส่งจนรถของธารินทร์เคลื่อนไป

หวานหาขนมให้เด็กทั้งสองกิน
“กินซะ...เฮ้อ นังแม่ก็ไปไหนก็ไม่รู้”
“ก็ไหนว่าไปกับแม่รสไง...ไม่ใช่ป่านนี้มีผัวใหม่ไปแล้วนะ” สวาทว่า
“นั่นสิ ผัวเก่าก็หาย ไปหาผัวใหม่ดีกว่า”
“อุ๊ย อย่างนังรสก็หาได้สิ อย่างพวกเราจะไปหาที่ไหน”
หวานปราม “พอๆ พูดอะไรระวังบ้าง...เด็กๆ นั่งหัวโด่อยู่ที่นี่”
อุษาเดินเข้ามามองทุกคนแล้วพูด “ษาไปที่สุสานมาค่ะน้าหวาน”
ทุกคนตกใจแล้วหันมาทางอุษา“แล้ว...เจออะไรหรือเปล่าคะคุณอุษา” สวาทถาม
อุษาส่ายหน้าถอนใจ
“แสดงว่าคุณผู้ชายไม่ได้อยู่ในนั้น...เอ้อ แล้วดูในโลงศพหรือเปล่าครับ...” ฉ่ำถาม
“รินทร์ดูแล้วค่ะลุงฉ่ำ แต่ไม่เห็นน้าชีพ มีแต่ร่างของคุณน้า” อุษาบอก
สมพรกับวิเวกถอนหายใจโล่งอก
“เป็นอะไรวะไอ้พร ไอ้เวก” สวาทถาม
“นึกว่างานจะเข้าฉันสองคนแล้วน่ะสิ...” สมพรว่า
“ใช่ๆ ถ้าใช้ฉันสองคนไปเปิดโลงศพ ฉันไม่เอาด้วยนะ...” วิเวกบอก
“น้าหวานติดต่อรสสุคนธ์ได้มั้ย...” อุษาถาม
“เดี๋ยวจะลองติดต่อดูนะคะ ว่าแต่คุณษามีอะไรกับนังรสมันหรือเปล่าคะ”
“คนหายไปพร้อมกันตั้งสามคนนะน้าหวาน มันน่าแปลก...”
อุษาเดินออกไป หวานเดินตามออกไปติดๆ
“เกี่ยวอะไรกับแม่รสแล้วก็คุณมลด้วยวะ” จิ้มลิ้มถาม
“งานนี้ต้องเกี่ยวสิ ไม่งั้น คุณษาไม่พูดแบบนั้นหรอก”
“ไอ้พร ไอ้เวก ไปรดน้ำต้นไม้...เราไม่ใช่พวกชอบนินทาเจ้านาย”
วิเวกกับสมพรเห็นด้วยกับฉ่ำจึงเดินออกไป
กลุ่มของสวาทมองตามไป “หนอย ไอ้ฉ่ำ เดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้ายนะ...ว่าใครไม่ว่า ว่าพวกข้าเดี๋ยวเจอดี...”

รสสุคนธ์กับนฤมลเดินออกจากร้านเพชรอย่างหมดแรง ทั้งสองคนเดินมาถึงรถก็ยืนมองหน้ากัน
“เพชรก็ปลอมอีกโธ่น้องรสเราจะเอายังไงดีเนี่ย พี่ว่าทุกร้านมันมองไม่ผิดหรอก ผิดที่น้องรสนั่นแหละ เอาของปลอมมาทำไม”
รสสุคนธ์แค้นสุดขีด “ต้องเป็นฝีมือนังผีลั่นทมแน่ๆมันต้องแกล้งรสแกล้งคุณชีพมันร้ายกว่าที่รสคิด มันหลอกให้เราตายใจ ทุเรศที่สุด”
“แล้วจะเอายังไงต่อ เงินที่เหลือยังไม่พอค่าแท็กซี่เลยมั้งเนี่ย” นฤมลว่า
รสสุคนธ์กำมือกัดฟันกรอดๆ ด้วยสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความแค้น คนขับมองออกมาที่ทั้งสองคน“ว่าไงจะไปต่อหรือเปล่า ถ้าไม่ไปก็จ่ายค่ารถมา...”
รสสุคนธ์กับนฤมลมองหน้ากัน


ลั่นทมประคองชีพออกมาจากโลงศพ
“ดีๆนะคะชีพ เดี๋ยวจะล้มไป ชีพยิ่งไม่ได้กินอะไรด้วย”
ชีพยืนที่พื้นได้มั่นคงแล้วก็สะบัดมือลั่นทมออกอย่างรังเกียจ แล้วผละออกห่าง
“ฉันจะกลับบ้าน...” ชีพบอก
“ก็นี่แหละบ้านของเรา ตอนที่ทมปลูกเรือนไทยหลังนี้ทมตั้งใจให้เป็นเรือนตายของเรา เราจะตายด้วยกันที่นี่ในสุสานหลังนี้...”
“ฉันไม่ใช่ผี...ถึงจะได้อยู่ในสุสาน แกดูสินังลั่นทม บ้านใครที่ไหนจะมีโลงศพตั้งอยู่ในบ้าน นอกจากผีเท่านั้นแหละ...ทุเรศสิ้นดี”
ชีพเดินออกห่าง ลั่นทมยิ้มเครียดแล้วมองไปที่เชิงเทียน เปลวเทียนสว่างขึ้นทีละแท่งจนกระทั่งสุสานสวยงามเหมือนอยู่ในงานเลี้ยงที่ตกแต่งไว้อย่างโรแมนติก
“สุสานของเราสวยมั้ยคะชีพ” ลั่นทมถาม
“สวยตายละ...นังปีศาจ...ฉันเกลียดแก...นังผีลั่นทม” ชีพด่า
ลั่นทมน้อยใจมองชีพตาขวาง “ชีพพูดเหมือนไม่ได้รักทมเลย”
ชีพระเบิดเสียงหัวเราะแล้วตะคอกใส่หน้า
“เพิ่งรู้...ที่ฉันทำดีกับแกมาตลอดก็เพราะสมบัติแกต่างหากล่ะ อย่าหลอกตัวเองอีกเลย นังลั่นทม รู้แบบนี้แล้วก็ปล่อยฉันไปซะ ส่วนแกจะไปลงนรกที่ไหนก็ไปซะ”
“คิดว่าจะหนีทมพ้นเหรอ”
ลั่นทมจ้องไปที่ชีพ ลมพัดมาอย่างรุนแรงจนชีพเซไปปะทะผนัง ทันใดนั้นร่างของชีพที่ถูกเชือกมัดตั้งแต่ไหล่จนถึงปลายเท้าดิ้นรนแล้วตวาดใส่ลั่นทม
“ปล่อย ปล่อยฉัน นังผีนรก แกมันร้ายเกินกว่าที่นรกจะรับแกไว้ใช่มั้ย...นังลั่นทม...แกบอกมาสิว่าแกอยากกินอะไร ฉันจะทำบุญไปให้”
ลั่นทมน้ำตาไหลพรากเป็นสีเลือดไหลอาบแก้ม
“ถ้างั้นทมกับชีพก็ตายไปด้วยกันเถอะ...ตายในกองไฟด้วยกันนี่แหละ”
ลั่นทมคว้าเชิงเทียนขึ้นมาแล้วเดินเข้าหาพร้อมทั้งสะอื้นเบาๆ แต่ดวงตากร้าว ชีพมองอย่างตกตะลึง แล้วก็กระถดตัวหนี
“อย่า...อย่านะ ฉันยังไม่อยากตาย...อย่านะลั่นทม...อย่า...”
ลั่นทมยืนค้ำหัวชีพซึ่งถูกมัดอยู่ ตะเกียงฉายใบหน้าของลั่นทมเป็นเงาดูน่ากลัว
“ลั่นทม...อย่านะ...อย่า...ฉันขอร้อง...”
“ตอนชีพคิดฆ่าทม ทมยังไม่มีโอกาสร้องขอแบบนี้เลย...ชีพ เราตายด้วยกันเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้จบกันเสียที”
ลั่นทมลดเชิงเทียนลงต่ำทำให้เห็นดวงตาน่ากลัว เธอหัวเราะเสียงก้อง ชีพดิ้นรน ร้องไห้เพราะกลัวตาย

คนขับรถขับไปพลางมองดูรสสุคนธ์กับนฤมลจากกระจกมองหลัง
“แล้วถ้านี่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ พี่ก็สูญเสียทุกอย่างสิผัวพี่ก็ตาย หนุ่ยโหน่งก็ต้องออกจากโรงเรียน พามาอยู่ที่นี่เงินทองพี่ก็ไม่มี แล้วพี่จะอยู่ยังไง”
นฤมลเริ่มร้องไห้เบาๆ รสสุคนธ์หงุดหงิดรำคาญ
“โอ๊ย จะร้องทำไม ใจคอพี่มลจะคิดเกาะฉันกินไปยันตายเลยเหรอ”
นฤมลหยุดร้องไห้แล้วก็ตกตะลึง“น้องรส ทำไมพูดกับพี่แบบนี้ล่ะ ทีตอนชวนพี่มาไม่เห็นพูดแบบนี้”
“ก็อย่าร้องไห้สิ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย..”
รสสุคนธ์มองเห็นคนขับกำลังมองเธอจากทางกระจกมองหลัง
“เอ้า ขับไปสิ จะสนใจเรื่องชาวบ้านทำไม...หา...”



ชีพกระเสือกกระสนดิ้นรนโดยมีเชือกมัดอยู่ เขาร้องไห้โฮเพราะกลัวตาย ลั่นทมที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะสะใจ เธอถือเชิงเทียนที่มีเทียนจุดสว่างอยู่
“กลัวตายเหรอชีพ...กลัวตายเหรอ...เห็นมั้ยว่าความตายมันไม่น่าพิสมัยสักนิดเดียว...แต่ชีพกับรสสุคนธ์ก็กลับยื่นความตายให้ทม ทำไมไม่ให้โอกาสทมได้ร้องขอชีวิตบ้างล่ะคะ”
ลั่นทมลดตัวลงไปนั่งข้างๆ แล้ววางเชิงเทียน ดวงตาลั่นทมอ่อนโยนแล้วก็ยิ้มให้ ชีพนิ่งเพราะไม่รู้ว่าลั่นทมจะมาไม้ไหน
“สัญญาได้มั้ยว่าจะไม่คิดร้ายต่อทมและคนอื่นๆ อีก แล้วทมจะจะให้ชีพเป็นอิสระ”
ชีพยิ้มแล้วพยักหน้าเร็วๆ เพราะกลัวลั่นทมเปลี่ยนใจ
“สัญญา...ฉันสัญญา ปล่อยฉันไปเถอะ เธอต้องการอะไรฉันให้ได้หมด...”
ลั่นทมยิ้มก่อนจะใช้สายตาไล้ไปที่ร่างของชีพ
สายตาลั่นทมมองไปที่ใดเชือกที่มัดชีพอยู่ก็หลุดออกมา ชีพลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มดีใจ เขาวิ่งถลาไปที่ประตู แต่ล้มลง ลั่นทมยืนขึ้นแล้วท้าทาย
“คิดจะหนีทมเหรอชีพ”
“นังปีศาจ ไหนแกบอกว่าจะให้อิสระฉันไง นังลั่นทม...”
“อิสระของทม หมายถึงแก้มัดชีพต่างหากล่ะคะ...อยู่ที่นี่กับทมที่สุสานนี้แหละ ทมยังไม่ให้ชีพไปไหนทั้งนั้น”
“โธ่โว้ย ทำไมวะ...ทำไม...”
“เพราะทมรู้ว่าชีพยังไม่สำนึกจริงๆ น่ะสิ...”
ชีพไม่ฟัง เขามีดวงตากร้าวแล้ววิ่งออกไปที่ประตูเพื่อจะเปิด ประตูเปิดได้แล้วก็ตีเข้าหน้าชีพอย่างแรง“โอ๊ย...”
ชีพล้มลงไปกับพื้น เขานอนกุมหน้าบิดไปมาร้องไห้ ลั่นทมมองดูด้วยความสงสาร เธอส่ายหน้าน้ำตาคลอ


นฤมลร้องไห้อย่างขวัญเสีย รสสุคนธ์ที่นั่งคู่มาในที่นั่งตอนหลังโกรธแค้น คนขับมองกระจกส่องหลัง
“ตกลงจะไปไหนกันต่อเนี่ย ให้ผมขับไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ไหวนะ”
“รู้แล้วน่ากำลังคิดอยู่” รสสุคนธ์ว่า
คนขับเอ่ยขึ้น “แต่ค่ารถ”
รสสุคนธ์โวย “ทวงอยู่ได้บอกว่าจ่ายก็จ่ายสิ ถ้าฉันไม่จ่ายแกพาฉันส่งตำรวจได้เลย”
“ตกลงน้องรสจะไปไหน ให้เขากลับบ้านดีมั้ย ไปขอยืมค่ารถน้าหวานแกก่อน”
รสสุคนธ์คิดหนักก่อนจะพูดคนเดียว “คงไม่มีทางเลือกแล้ว”
รสสุคนธ์ชะโงกไปหาคนขับแล้วสั่งหนักแน่น “ไปบริษัทอาร์แอลดีไซน์ รู้จักมั้ย”
“รู้จักสิเขาขายพวกโคมไฟออกจะใหญ่โต”
“ใช่..รีบไปเลย”
คนขับเร่งความเร็ว นฤมลรีบถาม “ไปที่นั่นทำไม”
“เถอะน่าเดี๋ยวพี่ก็รู้”
นฤมลตกใจ “น้องรสจะทำอะไร”
รสสุคนธ์ไม่ตอบแต่มีสีหน้าตัดสินใจเด็ดขาด


ชีพที่นั่งซุกตัวอยู่มุมหนึ่งหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน ชีพหัวโงนจนตกใจตื่น เขามองไปรอบๆอย่างหวาดๆ ทุกอย่างเงียบ ไม่มีลั่นทม ชีพดีใจก่อนจะค่อยๆ คลานไปเกือบถึงประตู ชีพชะงักแทนสายตาเห็นเท้าลั่นทมยืนขวางอยู่ ชีพผงะหงาย
“ลั่นทม”
ชีพรีบหันกลับแล้วคลานเร็วๆ ไปอยู่มุมเดิม ลั่นทมหายไปแล้วไปปรากฏร่างนั่งลงใกล้ๆชีพแล้วถามอย่างอ่อนหวาน
“จะไปไหนคะชีพ”
“ปละเปล่า”
ลั่นทมลูบผมชีพ ชีพเบี่ยงหนีเพราะขยะแขยง
“ไม่ต้องกลัวทมหรอกค่ะ ทมบอกแล้วไงว่าทมจะไม่ทำร้ายชีพ ชีพจะเดินจะนั่งจะนอน จะทำอะไรก็ได้ในสุสานนี้เหมือนว่าเป็นบ้านของชีพเอง”
ลั่นทมทำท่านึกได้ “อ๋อ นึกออกแล้วเมื่อก่อนเราชอบเต้นรำกัน เรามาเต้นรำกันเถอะค่ะชีพ”
ลั่นทมมองไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงมุมห้อง ฉับพลันเสียงเพลงก็ดังโหยหวนชวนขนลุก ลั่นทมลุกขึ้นยื่นมือให้ชีพจับ เทียนยังคงส่องสว่างต่อเนื่อง
“มาเต้นรำกันให้สนุกเถอะคะที่รัก”
ชีพทำหน้าเหมือนอยากตาย “ไม่..ฉันไม่อยากเต้น ฉันไม่เต้นรำกับผี”
ลั่นทมมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นดุดันแล้วพูดน้ำเสียงเฉียบขาด
“ฉันสั่งให้คุณลุกมาเต้นรำกับฉัน”
ชีพตกใจจนรีบลนลานลุกขึ้น “ก็..ก็ได้ เต้นก็ได้”
ลั่นทมพอใจ เธอกอดชีพเต้นรำอย่างมีความสุข ตรงข้ามกับชีพที่ทำท่าผะอืดผะอมเพราะขยะแขยงสุดชีวิต
“รส..เธออยู่ไหน ทำไมไม่มาช่วยฉัน” ชีพคร่ำครวญ

อ่านต่อหน้าที่ 2


สุสานคนเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)

ศรีกำลังจะเปิดประตูเดินออกมาจากบริษัท ศรีชะงักที่เห็นรถแท็กซี่เข้าจอดหน้าบริษัท รสสุคนธ์และนฤมลลงจากรถ ศรีไม่พอใจจึงเดินย้อนกลับเข้าข้างในอย่างรวดเร็ว



จรัลทำงานอยู่ในห้องทำงานบริษัทอาร์แอลดีไซน์ ศรีเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาแล้วส่งเสียงดัง“จรัล...พี่บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งกับแม่รสสุคนธ์”
“ผมก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนี่ครับ” จรัลบอก
“ถ้าไม่ยุ่งแล้วมันมาหาเธอทำไม”
“ผมไม่รู้จริงๆ”
“มันอยู่ที่หน้าบริษัท...ฮึ อีแบบนี้เหรอ ฉันเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่ามันต้องมาขอเงิน”
จรัลนิ่งคิดก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าได้เงินแล้วเขาไปจากคุณชีพ...ผมก็จะให้”
“จรัล พี่บอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้..ถ้าแกขืนยุ่งเดี๋ยวลั่นทมตามมาราวี คราวนี้พี่ตายแน่”
“ผมทำเพื่อช่วยคุณนายลั่นทม เธอไม่ทำร้ายพวกเราหรอกเชื่อผม”
จรัลทำสีหน้ามั่นใจ


รสสุคนธ์เดินมากับนฤมลท่ามกลางความโอ่อ่าของบริษัทอาร์แอลดีไซน์
“เดี๋ยวๆ..ใจคอน้องรสจะ..มาอยู่ที่นี่..แล้วพี่ล่ะจะทำยังไง” นฤมลถาม
“ฉันไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่ ฉันมาเอาเงิน แล้วก็จะขอร้องให้คุณจรัลช่วย ตอนนี้คงมีคุณจรัลคนเดียวที่จะพอช่วยได้” รสสุคนธ์บอก
นฤมลชี้ที่เพชรในกระเป๋า “น้องรสแน่ใจแล้วหรือว่าเพชรพวกนี้ปลอมเป็นเพราะ..”
รสสุคนธ์สุดแค้น “ใช่ ฝีมือนังลั่นทมแน่”
นฤมลตกใจ “งั้นที่คุณชีพหายไปก็...”
“ฝีมือมันนั้นแหละแต่คราวนี้มันอาจเอาถึงตายเราถึงไม่เจอคุณชีพ คนที่จะช่วยได้ก็ต้องเป็นคนมีคาถาอาคมอย่างคุณจรัลนี่ล่ะ ฉันถึงต้องมาหาเขา”
รสสุคนธ์เดินลิ่วไปยังห้องทำงานจรัล นฤมลยืนตะลึงมอง


จรัลนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ส่วนศรีนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งที่สังเกตยาก จรัลหันไปมองศรีขำๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ศรีแอบดูอยู่
“เชิญ” จรัลบอก
รสสุคนธ์กับนฤมลเดินเข้ามา ไหว้จรัล “อ้อ คุณรสสุคนธ์ มีอะไร”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาเกาะแขนจรัลแล้วทำหน้าตาน่าสงสาร “รสไม่เหลือใครแล้ว คุณต้องช่วยรสนะคะ”
“เรื่องอะไร” จรัลถาม
“คุณช่วยไปจับวิญญาณนังลั่นทมถ่วงน้ำให้รสที ถ้าคุณทำให้รส รสจะยอมทำตามที่คุณต้องการทุกอย่าง”
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะรส ผมติดต่อกับวิญญาณได้แต่ไม่ใช่พวกหมอผี หรือถึงใช่ผมก็จะไม่ทำร้ายใคร มันบาป”
รสสุคนธ์อึ้ง จรัลมองหน้ารสสุคนธ์แล้วพูดเรียบๆ “ถ้ามาเพราะเรื่องนี้ก็กลับไปเถอะ ผมมีงานต้องทำ”
รสสุคนธ์โกรธแต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ “ถ้างั้นเรื่องที่คุณเคยเสนอ รสคิดว่าอยากรับข้อเสนอนั่น”
จรัลมองรสสุคนธ์อย่างชั่งใจ รสสุคนธ์รีบพูด “ถ้าแสนหนึ่งมากไปรสเอาไม่ถึงก็ได้ ถ้าคุณไม่ช่วยเรื่องลั่นทม รสก็คงต้องไปจากที่นั่น”
จรัลนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “ตกลง แต่ผมมีเงินสดอยู่นิดหน่อย”
ศรีเดินออกมาพูดเสียงเข้มมาก “ไม่ได้นะจรัล”
นฤมลกับรสสุคนธ์ตกใจ จรัลพูดกับศรี “ให้ผมจัดการเองเถอะครับพี่ศรี”
รสสุคนธ์ยิ้มเย้ยศรี จรัลเปิดลิ้นชัก ศรีไม่พอใจจึงเดินมายืนข้างๆลิ้นชักมองแต่แล้วศรีก็ชะงักที่เห็นจรัลหยิบเศษกระดาษเปล่าที่อยู่มุมหนึ่ง เพราะจรัลเห็นเงินเป็นเศษกระดาษ แต่เห็นเศษกระดาษจรัลเห็นเป็นเงิน จรัลจึงหยิบกระดาษปึกใหญ่มานับแล้วส่งให้รสสุคนธ์ รสสุคนธ์รับมาด้วยท่าทางดีใจมาก นฤมลพลอยยิ้มออกไปด้วย ศรีมองจรัลงงๆ ที่จรัลส่งกระดาษให้รสสุคนธ์ ศรีพึมพำอยู่คนเดียว
“อะไรของมัน..จรัลมันเสกกระดาษได้เหรอ”
รสสุคนธ์รีบไหว้และหันมายิ้มเย้ยศรีที่ยืนงงๆ “อู๊ย ขอบคุณมากนะคะคุณจรัล”
ศรีพยายามจะพูดให้รู้ว่าเป็นกระดาษ “นั่นมัน..เธอจะเอาไปไม่ได้นะรสสุคนธ์”
“ขอโทษนะคะพี่ศรีน้องชายพี่เขาให้รสแล้ว มันก็เป็นของรส รสไปล่ะค่ะ”
“เดี๋ยวครับ จะไปอยู่ไหนกันที่ไหน” จรัลถาม
“ที่ไหนก็ได้...ขอให้พ้นจากบ้านนั้น” รสสุคนธ์บอก
“ขอให้โชคดีนะ”
รสสุคนธ์กับนฤมลเดินออกไป ศรีมองจรัลทึ่งๆ “เธอนี่เก่งนะพี่ไม่ยักรู้ วันหลังเสกให้พี่บ้างสิ”
ศรีเดินออกไป จรัลมองตามไปอย่างงงๆ “เสกอะไร..”


นฤมลมีสีหน้าซีดเซียว รสสุคนธ์บ่น “เกลียดจริงๆ..ทำเป็นคนดีมีคุณธรรม ฉันไปหาหมอผีที่อื่นก็ได้”
“รสจะไปตามลำพังจริงๆ หรือ”
“แล้วจะให้รสหิ้วใครไปด้วยล่ะ หาหมอผีได้เมื่อไรจะกลับมาลากวิญญาณมันไปถ่วงน้ำให้ดู”
“แต่ตอนนี้พี่ไม่มีเงินเลยนะรส ขอแบ่งให้พี่บ้างสิ”
รสสุคนธ์เปิดกระเป๋าถือจะหยิบเงินที่จรัลมอบให้
“เอ้า รสแบ่งให้ แต่มากไม่ได้นะ” รสสุคนธ์มองในกระเป๋าแล้วก็ชะงัก “เอ๊ะ..”
รสสุคนธ์หยิบกระดาษเปล่าออกมาโดยไม่มีธนบัตรตามที่เห็นก่อนหน้านี้
“อะไรกันนี่”
นฤมลหยิบกระดาษมาดู “นี่มันพวกใบเสร็จเก่าๆ ของบริษัทนี่กระดาษเปล่าก็มี มันยังไงกันก็เมื่อกี้เห็นๆอยู่ว่าเป็นเงินทั้งนั้น”
รสสุคนธ์ตะลึงแล้วก็โกรธจัด เธอปากระดาษไปทั่วรถแท็กซี่
“นังลั่นทมแน่เลย นังผีบ้า..นังสารเลวมีมันเท่านั้นแหละที่ทำได้”
คนขับมองรสสุคนธ์แปลกๆ “พวกคุณจะลงหรือยัง ผมรำคาญเต็มทีแล้วนะ”
รสสุคนธ์เจ็บแค้นเป็นที่สุด “ยัง.. ไปวัดเหนือ”
นฤมลงง “ไปทำไม”
“หาคนมาจัดการนังลั่นทมไง”
“ผมจะไปให้เป็นที่สุดท้ายแล้วนะ จะไปไหนอีกก็ต่อคันอื่นแล้วกัน”
รสสุคนธ์หันไปกระซิบนฤมล “พี่มลมีเงินเท่าไรเอามารวมๆกันก่อน ฉันกลัวไม่พอจ่าย”
นฤมลกอดกระเป๋าแน่น “โธ่ พี่เหลือแค่เศษๆแบงก์ อย่าเอาไปเลยขอติดกระเป๋าไว้มั่ง”
รสสุคนธ์กระชากกระเป๋ามา “เศษแค่ไหนก็เอามาก่อนหรือพี่จะเดินไป”

ลั่นทมเต้นรำซบอยู่กับอกชีพอย่างมีความสุข ชีพมีท่าทางเหนื่อยอ่อนและโซเซจนจะล้ม ลั่นทมพร่ำเพ้อ“ทมมีความสุขเหลือเกิน นึกถึงเมื่อก่อน จำได้มั้ยคะชีพ เราสองคนมีเวลาว่างเมื่อไร เป็นต้องขับรถไปกรุงเทพ เราเต้นรำกันจนร้านเขาเลิก ทมอยากให้เวลานั้นย้อนกลับมาได้จริงๆ”
ลั่นทมเงยหน้ามองชีพ ชีพขาอ่อนและซวนเซจนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น
“ฉัน..ฉันไม่ไหวแล้วฉันเหนื่อย ปล่อยฉัน ฉันกำลังจะตาย ปล่อยฉันไปลั่นทม ปล่อย..”
ชีพหลับไป ลั่นทมนั่งลงช้อนหัวชีพให้หนุนตักตัวเอง เธอมองชีพอย่างรักใคร่
“เหนื่อยก็นอนพักเสียนะคะชีพ ทมจะร้องเพลงกล่อมชีพเอง”
ลั่นทมลูบผมชีพด้วยแววตามีความสุข ลั่นทมร้องเพลงเยือกเย็น

นฤมลกับรสสุคนธ์เดินเข้ามามองหาสัปเหร่อในวัด เธอเห็นสัปเหร่อกำลังทำความสะอาดบริเวณวัด
รสสุคนธ์กับนฤมลเดินเข้ามา
สัปเหร่อทัก “อ้าวคุณนาย หวัดดีครับ”
“เป็นสัปเหร่อมานานเท่าไรแล้ว” รสสุคนธ์ถาม
“หลายปีครับ มีอะไรล่ะครับ”
“เห็นเค้าพูดกันว่าสัปเหร่อมีอาคมสะกดผีทุกคนใช่มั้ย”
สัปเหร่ออวด “ไม่มีอาคมแก่กล้าก็เป็นสัปเหร่อไม่ได้ซีครับ ก่อนเอาศพลงโลงก็ต้องมีเวทย์มนต์สะกดวิญญาณ..ไม่งั้นอาจมีการสำแดงอะไรก็ได้”
“ดี..งั้นจัดการวิญญาณคุณนายลั่นทมให้ได้มั้ย เขาอาละวาดจนวุ่นวายกันไปหมดแล้ว”
สัปเหร่อมองอย่างกระหยิ่ม “ผมก็ได้ข่าวครับ สองหมื่นแล้วกัน..ล่วงหน้าหมื่นนึง”
“อะไรนะมากไปมั้ย” รสสุคนธ์ถาม
“คุณนายท่านเป็นคนดีครับบุญบารมีท่านแยะ ฝีมือไม่แก่กล้าจริงใครก็แตะท่านไม่ได้”
รสสุคนธ์กับนฤมลมองหน้ากัน รสสุคนธ์ต่อรอง “ให้งานสำเร็จก่อนได้ไหมแล้วจะจ่ายเป็นสองเท่า”
“ลำพังลมปากจะให้ซักกี่แสนก็ได้ครับ แต่สมัยนี้เรื่องจับเสือมือเปล่าเป็นเรื่องฝันกลางวันแล้วละครับ ขอตัวก่อนนะคุณนาย”
สัปเหร่อเดินไปอย่างไม่ใส่ใจแถมหัวเราะเยาะใส่ รสสุคนธ์กับนฤมลมองสัปเหร่ออย่างเดือดดาลและผิดหวัง


ชีพนอนกระสับกระส่าย แล้วเขาก็ค่อยๆลืมตา เสียงเพลงวังเวงของลั่นทมยังดังต่อเนื่อง ชีพผลุนผลันลุกขึ้น ลั่นทมหยุดร้อง
“ตื่นแล้วเหรอคะชีพ” ลั่นทมถาม
ชีพยกมือไหว้ลั่นทมแล้วถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ลั่นทมฉันไหว้ล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันอยู่ในนี้ไม่ไหวแล้วเธอจะทรมานฉันทำไม ฉันยังไม่ตาย จะให้ฉันอยู่ในสุสานทั้งที่ยังเป็นๆแบบนี้ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้คะ ทมเองยังเคยอยู่ทั้งๆที่ยังไม่ตาย แต่ทมไม่ได้อยู่สบายเหมือนคุณสักหน่อย ทมต้องอุดอู้อยู่แต่ในโลง ขยับ เขยื้อนไม่ได้ พูดกับใครก็ไม่ได้ ถ้าเทียบกันแล้ว ชีพสบายกว่าทมตั้งเยอะ” ลั่นทมเสียงดุ “เพราะฉะนั้นชีพต้องอยู่ให้ได้”
ชีพโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเลยลืมความกลัว เขาลุกขึ้นพูดเสียงดัง
“โธ่เว้ย นังผีนรก ฉันขอร้องแกดีๆแกไม่ยอมใช่มั้ย ได้ฉันไม่กลัวแกแล้ว ตายเป็นตายสิวะ”
ชีพพุ่งใส่ร่างลั่นทมแต่ก็ผ่านวืดออกไปทำให้ชีพกระเด็นไปล้มอยู่ที่พื้น ลั่นทมมองตามด้วยสายตากร้าว“อย่าทำให้ทมโกรธนะชีพ ไม่ว่าคุณจะอยากอยู่กับทมหรือไม่คุณก็ต้องอยู่ อยู่ในสุสานทั้งเป็นๆแบบนี้ล่ะ มันถึงจะสาสมกับความใจดำอำมหิตของคุณ”
ลั่นทมหายไป ลมพายุวูบวาบอยู่ในห้องดูน่ากลัว ชีพนั่งร้องไห้แล้วก็ตีอกชกหัวตัวเองในสภาพคล้ายคนเสียสติเต็มที
“ฉันไม่อยากอยู่ เอาฉันออกไป ใครก็ได้ช่วยฉันที รส..รสช่วยด้วย”


รสสุคนธ์กับนฤมลเหงื่อโทรมหน้าโทรมตัวขณะเดินขาลากเข้ามาในบ้านอย่างอ่อนล้า ทั้งคู่ทั้งเหน็ดเหนื่อยและหิวโหยขณะเดินเข้ามาในบ้าน ทั้งสองมีสีหน้าบึ้งตึงขณะเดินผ่านอุษา อุษามองตามอย่างแปลกใจในท่าทางอ่อนโรยของทั้งสองคน
“น้าชีพละ..น้าหวานบอกว่าเธอไปตามหาน้าชีพไม่ใช่เหรอ” อุษาถาม
รสสุคนธ์มองอุษาแค้นๆ เธอไม่ตอบแต่ตะโกนเสียงดัง “น้าหวาน หาข้าวหาน้ำให้กินหน่อยเร็ว ฉันหิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวแล้ว น้าหวาน”
อุษามองรสกับนฤมลแล้วก็โซเซไปนั่งที่โซฟาอย่างไม่เข้าใจ


หวานยืนมองรสสุคนธ์กับนฤมลกินข้าวเหมือนตายอดตายอยาก
“ทำยังกับไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน” หวานว่า
“ก็ไม่ได้กินนะสิน้า” รสสุคนธ์บอก
“แล้วมัวไปทำอะไรกันอยู่ล่ะ”
“ก็มัวแต่เสียเวลาไปขายเพชรขายทองชุบนะสิ”
“พูดอะไรวะ”
รสสุคนธ์หยิบกระเป๋าเทเพชรกับทองชุบออกมาเต็มโต๊ะ หวานมองอย่างงงๆ
“เห็นความร้ายกาจของนังลั่นทมหรือยัง” รสสุคนธ์ถาม
“หลงดีใจว่าเป็นของจริง ปลอมทั้งนั้น” นฤมลว่า
หวานเข้ามาหยิบไปดู “หมายความว่าแกคิดจะขโมยของคุณผู้หญิงไปขาย”
“ฉันไม่ได้ขโมยยังไงมันก็ต้องเป็นของคุณชีพของฉันอยู่ดี”
“สมน้ำหน้า แต่เดี๋ยวแล้วคุณผู้ชายล่ะทำไมไม่กลับมาด้วยกัน” หวานถาม
“ป่านนี้ตายไปแล้วมั้ง” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์อิ่มแล้วก็ลุกขึ้น หวานรีบถาม “แล้วของพวกนี้ล่ะ”
“น้าจะเอาเก็บไปเป็นที่ระลึกก็ได้ ฉันยกให้”
รสสุคนธ์เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างอ่อนเพลีย นฤมลอิ่มพอดีจึงรีบจะตามไปติดๆ แต่หวานกระชากคอเสื้อไว้
“เดี๋ยว..เก็บล้างซะด้วย ที่นี่ไม่มีขี้ข้าแก นังมลข้าหาให้กินก็ดีแล้วหนอย กินเสร็จคิดจะชิ่งเชียวนะ เก็บ”
หวานทำท่าขึงขัง นฤมลจำใจเก็บอย่างไม่พอใจ

อุษามองเพชรกับทองบนเตียง หวานถาม “จะให้ทำยังไงกับของพวกนี้ดีคะคุณอุษา”
อุษาหยิบขึ้นมาดูทีละชิ้นด้วยความประหลาดใจ “น้าหวาน..น้าหวานดูดีๆสิ”
หวานไม่เข้าใจแต่หยิบทองขึ้นมาดู “เอ๋มันก็สุกปลั่งเหมือนทองจริงๆนะคะเนี่ย”
“ษาว่ามันก็เป็นของจริงนะน้าหวาน ร้านไหนกันที่บอกว่าเป็นของปลอม”
“มันว่ามันไปตั้งเป็นสิบๆร้าน ทุกร้านไม่รับซื้อแล้วก็บอกว่าเป็นของปลอม มันถึงระทดระทวยกลับมานี่ละคะ”
อุษาหยิบสร้อยเพชรขึ้นมาดู “ถึงษาจะดูเพชรดูทองไม่เก่ง แต่ษาก็พอแยกแยะออกนะคะว่าปลอมหรือไม่ปลอม ษาว่านี่ของจริงทั้งนั้น”
หวานงง “หรือว่าคุณผู้หญิง ใช่แล้วคุณผู้หญิงคงเล่นงานมันอีกแล้วท่านคงไม่อยากให้มันได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของมัน ดีเลยค่ะงั้นคุณษาเก็บไว้นะคะ คุณผู้หญิงคงต้องการอย่างนั้นแน่”
อุษามองเพชรมองทองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นฤมลจัดแจงเตรียมนอน โหน่งกับหนุ่ยเปิดประตูเข้ามา เด็กทั้งสองเข้ามากอดอ้อนขอนอนด้วย
“แม่ ขอโหน่งนอนด้วยนะ”
“อะไรกัน...โตแล้ว แม่ฝึกให้แยกห้องนอนแล้วไง” นฤมลว่า
“โหน่งกลัวผี...”
“หนุ่ยก็กลัวฮะแม่”
นฤมลจับตัวเด็กทั้งสองมาคาดคั้น “ใครสอนให้พูดอย่างนี้ หรือว่าลูกเห็น...”
เด็กทั้งสองพยักหน้าทั้งที่แม่ยังพูดไม่จบ “หา...อะไรนะ หนุ่ย โหน่ง เล่าให้แม่ฟังซิ เรื่องจริงหรือโกหกแม่เนี่ย...”
เด็กทั้งสองมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าหวาดๆ

นฤมลเคาะประตูห้องของรสสุคนธ์
“รส...รส...น้องรส เปิดประตูให้พี่หน่อยสิ...รส..”
รสสุคนธ์เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้ารำคาญสุดๆ
“อะไรอีกล่ะพี่มล เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วนี่”
“น้องรส ผีคุณชีพหลอกหนุ่ยกับโหน่ง ลูกพี่..” นฤมลบอก
รสสุคนธ์ตะลึง “อะไรนะพี่มล ผีคุณชีพเหรอ...คุณชีพตายแล้วเหรอ...หรือว่าลูกพี่มลโกหก...ถ้าโกหกนะ ฉันไม่ยอมหรอก”
รสสุคนธ์ผลุนผลันเดินผ่านหน้านฤมลไป นฤมลเดินตามไปติดๆ

รสสุคนธ์วิ่งลงบันไดมา มีนฤมลวิ่งตามมาติดๆ
“น้าหวาน...น้าหวาน มีใครอยู่บ้าง..” รสสุคนธ์เรียก
“จะทำไมเหรอน้องรส” นฤมลถาม
รสสุคนธ์หันไปตวาดเสียงเขียว“ถ้าผัวฉันตายจริงๆ ขึ้นมาล่ะพี่มล...ฉันไม่ใช่อย่างพี่นี่จะได้ให้ผัวตายฟรี..ฉันต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ให้ได้”
รสสุคนธ์ตะโกนด้วยความหงุดหงิดจึงเสียงดังขึ้น“น้าหวาน หูแตกหรือไงนะ”
หวานวิ่งมาด้วยความโมโห “อะไรวะนังรส...หา ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว จะตะโกนทำไม”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจต่างก็ตื่นขึ้นแล้ววิ่งมาที่ห้องโถง
“มากันพร้อมเลยก็ดี...จะได้ถามให้รู้เรื่องไปเลย...พี่มลบอกว่าหนุ่ยกับโหน่งถูกผีหลอกเหรอ...จริงหรือเปล่า ถ้าไอ้เด็กปากเสียสองคนมันพูดไม่จริง ฉันจะได้ตัดลิ้นมันซะ”
นฤมลตกใจและส่ายหน้า “น้องรส ใจเย็นๆ ลูกพี่ก็อาจจะ...”
นฤมลพยายามจะเข้าไประงับอารมณ์โกรธของรสสุคนธ์ แต่รสสุคนธ์สะบัด
“อยู่เฉยพี่มล ฉันถามนังพวกนี้...”
“ถ้านังพวกนี้ แกหมายถึงข้าด้วย ข้าก็จะตอบ..หนุ่ยกับโหน่งบอกว่าถูกผีคุณชีพหลอก เท็จจริงยังไงไม่มีใครตอบได้ รู้แต่ว่าเจ้าหนุ่ยกับเจ้าโหน่งมันกลัวมาก...กลัวเหมือนที่แกกลัวผีคุณผู้หญิงนั่นแหละ”
ยาใจกับจิ้มลิ้มปิดปากหัวเราะ รสสุคนธ์หันขวับมาจ้องตาวาวแต่สวาทเท้าเอวลอยหน้าไม่กลัวรสสุคนธ์
“ที่น้าหวานพูดน่ะจริง ใครจะพิสูจน์ได้ล่ะว่าเด็กเห็นหรือเปล่าแล้วทำไมแม่รสต้องเดือดร้อนด้วยล่ะ” สวาทว่า
“ผัวฉันตายเป็นผี จะไม่ให้ตกใจหรือไง หรือว่าแกอยากให้ผัวแกตายบ้างล่ะ หา นังหวาด...” รสสุคนธ์บอก
“อ้าว นังนี่ มาแช่งกันได้กลางค่ำกลางคืน ถือนะโว้ย...อยากเจอดีหรือไง วันนี้ขอตบปากนังนี่สักฉาดเถอะ”
สวาทเงื้อมือเข้าไป แต่โดนรสสุคนธ์ถีบล้มลงไป “โอย...นัง..รส” สวาทกุมท้อง
รสสุคนธ์จะถลาเข้ามาบ้าง แต่ยาใจกับจิ้มลิ้มเงื้อมือไปป้องกันสวาท “ลองดูก็ได้นะแม่รส” จิ้มลิ้มว่า
“เข้ามาเลย แน่จริงเข้ามาสิ...เข้ามาเลย...” ยาใจท้าทาย
ยาใจกับจิ้มลิ้มท้าทาย สวาทลุกขึ้นแล้วโถมตัวเข้าใส่รสสุคนธ์จนรสสุคนธ์ล้มลงไป หวานร้องห้าม แล้วพยายามแยกทั้งสองคน
“หยุดๆๆ ข้าบอกให้หยุด”
รสสุคนธ์หงายหลังไป สวาทได้ทีก็จะเงื้อมือตบแต่ช้ากว่ารสสุคนธ์ที่เบี่ยงตัวหนีแล้วจิกผมสวาทได้จึงจะเป็นฝ่ายตบแทน
เสียงอุษาดังขึ้น “ใครไม่หยุด ฉันไล่ออกจากปากแน่”
ทุกคนหันไปก็เห็นอุษายืนอยู่ด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ตอนฉันถูกนังอ้วนนี่ตบ ทำไมหล่อนไม่ออกมา หา..ออกมาตอนนี้ทำไม เข้าข้างกันหรือว่าจะลองตบกับนังรสดูตัวต่อตัว” รสสุคนธ์ว่า
“นังรส แกอย่าก้าวร้าวคุณอุษานะ” หวานปราม
“นับถือมันยังกะญาติผู้ใหญ่เลยนะน้าหวาน นังอุษามันเป็นญาติข้างไหนของน้าเหรอ...มันก็แค่คนอาศัยชายคาคุณชีพอยู่ ต่อไปบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของฉัน ยิ่งคุณชีพตาย ก็ยิ่งต้องเป็นของฉันคนเดียว อย่าลืมว่าฉันจดทะเบียนกับคุณชีพแล้ว”
“ที่แท้ก็อยากให้น้าชีพตายจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ...อยากได้สมบัตินักเหรอครบหกเดือนแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขพินัยกรรม บ้านนี้ก็ต้องเป็นของเธอ แต่เมื่อยังไม่ใช่ ก็อย่าเพิ่งทะนงตัว” อุษาบอก
อุษาหันมาทางนฤมล “ส่วนคุณนฤมล ดิฉันอยากจะขอเตือนนะคะ ทิ้งลูกให้คนอื่นเลี้ยงมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เด็กจะเห็นผีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าเด็กถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง...ขออย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก...
...ถ้าพรุ่งนี้คุณชีพยังไม่กลับมา...ตำรวจก็คงต้องเข้ามาสอบสวนยกให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง...แยกย้ายกันไปนอนได้แล้วค่ะ”
อุษาเดินไป รสสุคนธ์มองตามอย่างแค้นๆ “ใหญ่คับบ้านเลยนะ รออีกหกเดือนเถอะ แกจะไม่มีที่ซุกหัวนอนระวังจะตายเหมือนหมาข้างถนน”
“ระวังปากบ้างแม่รส...”
รสสุคนธ์หันมาถลึงตาใส่หวาน “มันคันมือว่ะ...เกาก็คงไม่หาย แบบนี้มันต้องตบคนให้หายคัน”
“เอาสิ แม่หวาด งานนี้นังยา ยอมเสียค่าปรับ...” ยาใจว่า
“นังลิ้มพร้อมจ่าย แผลละสิบบาท...ยอมหมดตัว...จัดไป”
สวาทกับยาใจทำท่าจะเข้ามา รสสุคนธ์หันไปเงื้อมือตอบ
“ไม่ได้ยินเหรอ ใครก่อเรื่อง เป็นต้องถูกไล่ออกไปจากบ้านนี้...” หวานบอก
“นึกว่ากลัวเหรอ...ฮึ...” รสสุคนธ์ฮึดฮัดแล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป นฤมลรีบตามไป
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองตามทั้งสองขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด

รสสุคนธ์เข้ามาในห้องแล้วกระแทกตัวลงที่เตียงก่อนจะถอนใจ
“ชีพ คุณไปไหนนะ...หอบสมบัติหนีฉันไปแล้วใช่มั้ย หรือว่าคุณตายจริงๆ ชีพ...บอกรสสิ รสจะได้แก้แค้นให้คุณ ผีนังลั่นทมมันจะชนะเราไม่ได้...”
รสสุคนธ์หงุดหงิดจึงขว้างปาหมอนเพื่อระบายอารมณ์
“นี่ถ้าครบหกเดือน ฉันยังไม่ได้อะไรละก็...ฉันจะฆ่าแกนังอุษา..ทำไม แกต้องเป็นมารฉันไปทุกเรื่องเลยนะ”
รสสุคนธ์มีสีหน้าเคียดแค้น


อุษากราบหมอนเพื่อจะเตรียมนอน โทรศัพท์มือถือของอุษามีสัญญาณโปรแกรมไลน์ อุษากดดูก็เห็นสติ๊กเกอร์สวยๆ ที่ธารินทร์ส่งมา อุษาตัดสินใจกดต่อสายโทรศัพท์
ธารินทร์ที่อยู่ที่โรงพักพูดโทรศัพท์สีหน้ามีความสุข
“นึกว่าษานอนแล้วซะอีก...คิดถึง เลยส่งภาพสวยๆ มาให้”
“รินทร์คะ น้าชีพยังไม่กลับมาเลยค่ะ แต่รสสุคนธ์กลับมาแล้วษามีเรื่องจะรบกวนรินทร์...ออกเวรแล้ว รินทร์มาหาษาแต่เช้าเลยได้มั้ยคะ”
ธารินทร์มีสีหน้าเจื่อนไปเพราะเป็นห่วงอุษา
“เรื่องอะไรเหรอษา...บอกผมได้มั้ย ถ้าร้ายแรง ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย...”
“ไม่ต้องหรอกค่ะรินทร์...”
“ถ้ามีอะไรร้ายแรง ษาต้องรีบโทรบอกผมนะ”
“ค่ะ ษาสัญญา...”
“ฝันดีครับ ษา...”
“ค่ะ พรุ่งนี้จะให้น้าหวานทำกับข้าวไว้ให้นะคะ ษาจะรอทานอาหารเช้ากับรินทร์...”
ธารินทร์ยิ้ม อุษาปิดโทรศัพท์
ที่โต๊ะข้างเตียงมีเพชรกับทองที่รสสุคนธ์เอาไปขายวางอยู่ อุษาหยิบมาดู
“คุณน้าต้องการอะไรคะ...หรือว่าต้องการให้ของพวกนี้กับษา..”
อุษามองดูทองเส้นหนึ่งด้วยสีหน้ากังวล


พระจันทร์ดวงกลมโต หมาหอนโหยหวน ลั่นทมเคลื่อนอย่างรวดเร็วจากหน้าต่างตรงไปที่เตียงที่รสสุคนธ์นอนอยู่ รสสุคนธ์ลืมตาตื่นแล้วก็ตกใจสุดขีด
“ลั่นทม..”
รสสุคนธ์กระเสือกกระสนกลิ้งตกจากเตียงแล้วตะกายหนีลั่นทมสุดชีวิต ลั่นทมหัวเราะน่ากลัว
“พวกโลภในสมบัติของคนอื่นไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันจะฆ่าแกรสสุคนธ์ ฉันจะฆ่าแก”
“อย่า..ไม่นะไม่”
รสสุคนธ์วิ่งหนีไปที่ประตู ลั่นทมยื่นมือยาวมาบีบคอรสสุคนธ์อย่างรวดเร็ว รสสุคนธ์ดิ้นและอึกอักจะขาดอากาศหายใจ
“อย่าทำฉัน โอ๊ย ช่วยด้วย ช่วย..ด้วย”
ลั่นทมก้มหน้าที่เหมือนศพเข้าไปใกล้ น้ำเหลืองของลั่นทมไหลหยดใส่หน้ารสสุคนธ์
“แก..ตาย”
รสสุคนธ์ตาเหลือกลาน


รสสุคนธ์ยกมือบีบคอตัวเองแล้วก็นอนดิ้นอึกอักร้องอยู่คนเดียว
“อย่า โอ๊ยหายใจไม่ออก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นฤมลตะโกนเข้ามา “น้องรส..น้องรสเป็นอะไรหรือเปล่า น้องรส”
ประตูเปิดเข้ามา นฤมลยืนมองด้วยความตกใจก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาดึงมือรสสุคนธ์ออกแล้วเรียกเสียงดัง“น้องรส ปล่อยสิ ทำอะไรนะ”
รสสุคนธ์ยังบีบคอตัวเองอย่างหนักจนหน้าเขียว นฤมลตะลึงแล้วก็ได้สติจึงตบหน้ารสสุคนธ์หลายฉาด รสสุคนธ์ตกใจลืมตา นฤมลรีบกระชากมือรสสุคนธ์ออก
“น้องรส”
รสสุคนธ์มองนฤมลงงๆ แล้วก็กุมหน้า
“พี่มล” รสสุคนธ์รู้สึกเจ็บจึงโวย “มาตบหน้าฉันทำไม โอ๊ยนี่พี่จะบ้าไปแล้วเหรอ”
“พี่ไม่ได้บ้า แต่คนที่จะบ้านะน้องรส อยู่ๆนอนบีบคอตัวเองทำไมพี่จะลงไปกินน้ำได้ยินเสียงดิ้นเสียงร้องเลยเข้ามาดู เรียกเท่าไรก็ไม่รู้สึกตัว พี่ก็เลยต้องตบให้สตินะสิ”
รสสุคนธ์อึ้งคิดแล้วก็ทำสีหน้าเหมือนนึกได้ เธอรีบคว้ามือนฤมลแล้วลากออกไปจากห้องโดยไม่พูดไม่จา นฤมลเดินตามออกไปอย่างงงๆ


รสสุคนธ์กระโดดขึ้นเตียงนฤมล
“คืนนี้ฉันนอนด้วยคนนะพี่มล”
นฤมลเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วถามหวาดๆ
“น้องรสโดนผีคุณนายลั่นทมเล่นงานเอาใช่มั้ย”
รสสุคนธ์อึ้งแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่รู้ ฉันแค่ฝัน ฉันอาจจะคิดมากจนเก็บไปฝันก็ได้”
นฤมลถาม “ฝันว่าอะไร”
“มันบีบคอฉัน มันบอกจะฆ่าฉัน”
นฤมลผวากระโดดเข้ากอดรสสุคนธ์
“แย่แล้วคุณนายคงโกรธที่เราเอาเพรชเอาทองไปขาย โอ๊ย ขอสมาลาโทษด้วยเถอะค่ะ อย่ามาหักคอฉันเลย ฉันไปตามคำสั่งน้องรสนะคะ”
รสสุคนธ์ฉุนจึงตวาด “เอ๊ะพี่มลนี่ เอาตัวรอดเลยนะ”
“ก็พี่กลัวนี่”
“อย่าปอดนะก็บอกว่าแค่ฝัน มันไม่ได้มาจริงสักหน่อย ปอดแหกไปได้”
“เขามาทำให้ลูกพี่เห็นผีคุณชีพ บางทีเขาอาจจะเตือนพี่ก็ได้ ว่าพี่ไม่ควรโลภ...”
“ผีแม่พระชาติไหนเข้าสิงล่ะเนี่ย...ปอดไปได้...ตะกี้ฉันแค่ฝันไม่มีอะไรหรอก”
เสียงหมาหอนโหยหวนดังขึ้น ทั้งสองคนตกใจ รสสุคนธ์รีบล้มตัวนอนคลุมโปง นฤมลตาเหลือกก่อนจะรีบมุดเข้าไปในโปงเดียวกับรสสุคนธ์จนผ้าห่มสั่นพั่บๆ



เช้าวันใหม่ ไกรเดินเข้ามากับธารินทร์และผัน อุษารีบยกมือไหว้ต้อนรับไกรและเลยไปที่ผัน “สวัสดีค่ะคุณน้าไกร คุณลุงผันจะไปไหนกับ รินทร์เหรอคะ”
“ติดรถไอ้หมวดเข้าเมืองหน่อยหนู” ผันบอก
“ที่ษาบอกเมื่อคืนว่ามีเรื่องสำคัญ..อะไรเหรอครับ”
“นั่นสิ..น้าก็อยากรู้เหมือนกัน”
อุษามองไปที่ชั้นบนแล้วกระซิบ “ไปที่ห้องษากันเถอะค่ะ”
ผันรีบพูดกับธารินทร์ “พ่อรออยู่นี่แล้วกันนะ”

อ่านต่อหน้าที่ 3


สุสานคนเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)

เครื่องเพชร เครื่องทองอยู่ในกล่องที่อุษานำไปใส่ ธารินทร์กับไกรอึ้ง อุษาพูดต่อ “ก็อย่างที่ษาเล่าให้ฟังแหละค่ะ แต่ษาไม่อยากเก็บไว้กับตัวเองรบกวนคุณน้าไกรช่วยเอาไปไว้ในธนาคารเหมือนเดิมได้มั้ยคะ”

“ได้ครับ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ”
เสียงฉ่ำโวยวายอยู่ข้างนอกลั่นๆ ทั้งสามคนมองหน้ากัน


ฉ่ำกำลังพูดให้หวาน จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจฟังด้วยท่าทางตื่นเต้น อุษา ธารินทร์ และไกรเดินเข้ามา “เสียงดังอะไรกันจ๊ะลุงฉ่ำ” อุษาถาม
“ที่สุสานครับ...ไปดูที่สุสานหน่อยครับ เร็ว” ฉ่ำเร่ง
ทุกคนมองหน้าฉ่ำด้วยความแปลกใจ


ไกร ธารินทร์ อุษา ฉ่ำ และหวานเดินเข้ามาที่บริเวณที่ตั้งเครื่องเซ่นที่แตกกระจาย ชีพถูกลั่นทมบังคับให้ไปซุกตัวอยู่มุมหนึ่งในห้อง ชีพร้องตะโกนตลอดเวลาจนเสียงแทบแห้งแต่ร่างกายกระดิกไม่ได้ “ฉันอยู่นี่..อยู่ตรงนี้ ทำไมไม่มีใครได้ยิน”
ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงชีพ วิญญาณลั่นทมอยู่ทางหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ฉ่ำชี้ให้ธารินทร์ดู “แม่หวานใช้ให้ผมมาเก็บถาดเครื่องเซ่นอันเก่า แต่พอผมเข้ามาก็เห็นสภาพแบบนี้ละครับหมวด”
“นายฉ่ำก็เลยวิ่งโวยวายไปบอกอิฉันที่ครัวนะคะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“น้าชีพหรือเปล่า เรายังหาน้าชีพไม่เจอเลยนะคะ”
ฉ่ำหน้าตาตื่น “จริงด้วย หรือจะเป็นคุณชีพ ลองหาดูมั้ยครับ”
ชีพพูดเสียงแหบแต่ไม่มีใครได้ยิน “ฉันอยู่นี่ไงโว้ย นังผีร้ายมันบังคับไว้ ไม่ให้ใครเห็น”
“อิฉันว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
“ช่วยกัน หาให้ทั่ว..อาจจะเป็นคุณชีพอย่างที่ว่าก็ได้”
ทุกคนค้นหา ฉ่ำเข้ามาใกล้ชีพ ชีพร้องจนเสียงแหบแห้ง
“ตรงนี้..ฉันอยู่นี่...มาซี่ จะเลยไปไหน”
ไม่มีใครเข้าถึงตัวชีพได้ ชีพแทบจะคลั่งตาย “ไอ้โง่ ไอ้ตาบอด”
วิญญาณลั่นทมยืนสงบนิ่ง บางคนเดินทะลุร่างของลั่นทมเพื่อหาชีพ ผันเดินเข้ามามองถาดเครื่องเซ่นที่เกลื่อนกลาดอย่างงงๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับ...” ผันถาม
“คุณลุงหมอมาก็ดีเลยค่ะ คุณน้าชีพอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ” อุษาบอก
“พวกเราหาจนทั่วแล้วแต่ไม่มี”
ผันมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางใช้ความคิด



ธารินทร์ ไกร อุษา และผันยืนปรึกษาหารือกัน แต่ละคนสีหน้าเครียด “หรือว่าคุณน้าลั่นทมเล่นงานน้าชีพอีกแล้ว แสดงว่าวิญญาณคุณน้าไม่ให้อภัยน้าชีพ” อุษาบอก
“แต่ผมยังไม่อยากเชื่อ..ผมรู้สึกว่าทั้งคุณชีพ ทั้งรสสุคนธ์อยากครอบครองสมบัติของคุณลั่นทมเหลือเกิน เป็นไปได้มั้ยว่าสองคนนั่นวางแผนจะทำอะไรบ้างอย่าง”
“มันก็ไม่แน่นะคุณทนาย เรื่องยังงี้..ต้องพิสูจน์กัน” ผันว่า
“แต่ษาอยากให้ลองวิธีของษา”
ธารินทร์ถาม “วิธีอะไรจ๊ะษา”
“ติดต่อวิญญาณคุณน้าค่ะ” อุษาพูดกับผัน “น่ะค่ะคุณลุง..ติดต่อท่านถามท่านดีกว่า ว่าใครฆ่าท่านและท่านต้องการอะไร วิญญาณถึงได้วนเวียนอยู่แบบนี้”
ทุกคนเงียบเพราะต่างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ลั่นทมที่ยืนอยู่มุมหนึ่งพูดเรียบๆ
“ไม่มีประโยชน์หรอกอุษา น้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น ตอนนี้น้าต้องการตัวน้าชีพให้อยู่กับน้าในสุสานนี้ตลอดไป”

รสสุคนธ์กับนฤมลที่อิดโรยจากการอดนอนเดินเข้ามาในห้อง
“ทำไมบ้านเงียบเชียบแบบนี้ หายหัวไปไหนกันหมด น้าหวาน นังสวาท นังจิ้มลิ้ม นังยาใจ”
รสสุคนธ์เดินมองหาแต่ก็ไม่มีใคร เธอหันมาสั่งนฤมล “พี่มลแหนะ ไปทำอะไรให้ฉันกินหน่อยหิวข้าวจะแย่แล้ว อ๋อแล้วเอาขึ้นไปให้ฉันที่ห้องด้วยนะ ฉันง่วงจัง เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน”
รสสุคนธ์เดินโซเซแล้วก็หาวขึ้นข้างบนไป นฤมลมองค้อนๆ แล้วก็พึมพำ
“ฉันก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน หึตอนชวนมาบอกจะให้อยู่อย่างเจ้านาย สุดท้ายก็มาใช้เป็นขี้ข้าประจำตัว เฮ้อเวรของฉันแท้ๆ”


รสสุคนธ์นั่งกอดเข่ารออยู่บนเตียง ปากก็หาวเพราะง่วงมาก
“ทำบ้าอะไรอยู่นะคนทั้งหิวทั้งง่วง”
ประตูเปิดเข้ามา รสสุคนธ์เห็นนฤมลเดินถือถาดอาหารเข้ามา
“เอามาที่เตียงนี่เลยพี่มล ทำอะไรมาให้ฉันกินละ”
นฤมลเดินมาวางถาดบนเตียง อาหารเป็นจานข้าวผัดกับแก้วน้ำหวานสีแดง
“เห็นว่าน้องรสหิวมาก พี่เลยทำข้าวผัดหมูมาให้ กับน้ำแดงจะได้ชื่นใจหายเพลียจ๊ะ” นฤมลบอก
รสสุคนธ์คว้าช้อน “อะไรก็ได้ ตอนนี้หิวจนจะหน้ามืดอยู่แล้ว”
รสสุคนธ์ตักข้าวกินเอากินเอาด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย รสสุคนธ์กลืนไปหลายคำแล้วก็หยิบน้ำแดงดื่มอึกๆ “เฮ้อค่อยยังชั่วหน่อย”
รสสุคนธ์ตักกินอีก เสียงลั่นทมดังขึ้น “หิวก็กินเยอะๆ”
รสสุคนธ์ชะงักแล้วก็นิ่งอึ้งก่อนจะค่อยๆเหลือบตามอง แล้วรสสุคนก็ถึงกับตาเหลือกที่เห็นนฤมลกลายเป็นลั่นทม รสสุคนธ์ทิ้งช้อนด้วยอาการตกใจ “แก..”
ลั่นทมแสยะยิ้ม “ไม่ยักรู้ว่าแกก็กินของพวกนี้เป็น”
รสสุคนธ์อึ้ง เธอก้มมองจานข้าวผัดก็เห็นว่ามันกลายเป็นของเน่าเสียมีแต่หนอนยั้วเยี้ย แก้วน้ำแดงกลายเป็นน้ำเลือดสีสด รสสุคนธืตาเหลือกและผะอืดผะอม
“แก...แกแกล้งฉัน ยี้”
รสสุคนธ์คว้าจานขว้างใส่ตัวลั่นทมจนเลอะเทอะ ลั่นทมยิ้มเยาะ
เสียงนฤมลดังขึ้น “ว้าย..น้องรส ทำไมทำกับพี่แบบนี้”
รสสุคนธ์ชะงักจ้องก็เห็นลั่นทมกลายเป็นนฤมล นฤมลลุกขึ้นเต้นเร่าๆปัดข้าวที่กระจายเต็มตัว
“โอ๊ย ดูสิเลอะเทอะหมดเลย”
รสสุคนธ์มองอย่างตกตะลึง “พี่มล”

นฤมลมองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ “ก็พี่นะสิ บอกว่าหิวพี่ก็อุตส่าห์รีบทำมาให้นี่ตัวพี่ยังไม่ได้กินเลยนะ พี่รู้ว่าเธอไม่ชอบกินข้าวผัดแต่มันทำเร็วที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดแล้ว โอ๊ย...ไม่กินก็ไม่ต้องขว้างแบบนี้ก็ได้ พี่ต้องไปอาบน้ำใหม่แล้วเนี่ย บ้าชะมัด”
นฤมลสะบัดหน้าเดินออกไป รสสุคนธ์ยังอึ้งจนนฤมลปิดประตู รสสุคนธ์ร้องกรี๊ด
“โอ๊ย..อยากจะบ้า นี่ฉันจะกลายเป็นคนประสาทหลอนไปแล้วใช่มั้ย บ้าๆๆๆ คุณชีพนี่คุณไปอยู่ที่ไหน ทำไมทิ้งฉันแบบนี้”
รสสุคนธ์ซุกหน้ากับหมอนแล้วร้องกรี๊ดๆ



หวานเดินนำพวก สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ มาช่วยกันเก็บกวาดข้าวของที่แตกเกลื่อน ทุกคนรีบทำกันอย่างรวดเร็ว
“เออทำกันเร็วดีมาก เพิ่งเห็นพวกเอ็งไม่อู้ก็วันนี้ล่ะ” หวานว่า
“ก็พวกเราไม่อยากอยู่ในนี้นานๆนี่น้า”
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้ เฮ้อ ไปไหนทำอะไรก็ยกโขยงกันไปเป็นกลุ่มๆเชียว”
“ก็มันกลัวนี่..ไป..ไป..” จิ้มลิ้มว่า
“รอด้วยๆ” ยาใจร้องบอก
ชีพพยายามดิ้นรนในขณะที่ลั่นทมนิ่งสงบ
“อย่าเพิ่งไป..อย่าไป..”
ทุกคนเดินออกไปจนหมด เสียงประตูปิดดังสะท้าน ชีพแทบจะเป็นบ้า เขาหันมาโวยวายลั่นทมที่นิ่งสงบอยู่ทางหนึ่ง
“หยุดทรมานฉันเสียที...จะฆ่าก็ฆ่าให้ตายเลย”
ลั่นทมเข้ามาปลอบโยน
“ทมไม่ได้ทรมานนะคะ...ชีพมีอิสระจะไปไหนมาไหนก็ได้ในสุสานนี้..เพียงแต่ออกไปข้างนอกไม่ได้เท่านั้น”
ชีพเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความแค้นระคนหวาดกลัว
“นี่หรืออิสระ..แก นังผีร้าย..แกจะต้องตกนรกหมกไหม้”
ลั่นทมเสียงกร้าว “อยากลงไปนอนในโลงอีกใช่มั้ย...ชีพ”
ชีพถอยกรูด “ไม่..ไม่..อยู่ในสุสานนี่ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว”

อุษายกมือไหว้ไกรที่ถือกล่องเครื่องเพชรอยู่
“ษาฝากเก็บที่ตู้เซฟธนาคารด้วยนะคะคุณอา...”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย” ไกรบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นผมลาก่อนนะครับ”
ธารินทร์กับอุษาไหว้ไกร ไกรรับไหว้แล้วหันมาทางผัน
“ไปก่อนนะลุง” ไกรลา
“โชคดีพ่อไกร...”
ไกรเดินไปที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่
อุษาบอกกับผัน“คุณลุงหมอต้องช่วยษานะคะ ติดต่อกับวิญญาณของคุณน้าให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะหยุดความพยาบาทของคุณน้าไม่ได้ษาเป็นห่วงคุณน้า กลัวคุณน้าจะบาปไปมากกว่านี้”
“ลุงจะพยายาม...”
ธารินทร์มองหน้าผันด้วยความเป็นห่วง “แน่ใจแล้วเหรอพ่อ...”
ผันกลืนน้ำลาย อุษามองหน้าธารินทร์เป็นเชิงขอร้องว่าไม่ให้ขัด

ผันนั่งอยู่หน้าโต๊ะพระ เขาเปิดคัมภีร์ด้วยสีหน้ากังวล ต้อยติ่งนั่งอยู่ข้างๆ“พ่อจะทำอะไรเหรอจ๊ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า...ไปนอนซะไป...พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” ผันว่า
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์นะพ่อ...” ต้อยติ่งว่า
“อ้าว เหรอ...แต่พ่อว่ามันดึกแล้วนะ ต้อยติ่งที่รักของพ่อต้องเป็นเด็กดี ไม่ควรนอนดึกนะลูก”
“โห พูดเพราะ มีแผนแน่ๆ เลย บอกมาซะก่อนว่าจะทำอะไร...ไม่บอกละก็ ต้อยติ่งฟ้องพี่ธารินทร์แน่”
“บ๊ะ จะฟ้องมันเรื่องอะไร พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด...”
“ผิดสิ ผิดที่ไม่ยอมบอกความจริงต้อยติ่งไง”
ธารินทร์เดินเข้ามาพอดี ต้อยติ่งหันไปเห็น“พี่ธารินทร์...พ่อ...”
ธารินทร์กลับไล่ต้อยติ่งให้ออกไป“ดึกแล้ว...ไปนอนซะ ถ้าดื้อนะ พี่จะไม่พาไปไหนอีกเลย จะไม่ยอมให้โทรไปหาพี่อุษาด้วย”
ต้อยติ่งหน้าง้ำแล้วก็ยอมออกไป“ไปก็ได้...”
ต้อยติ่งเดินออกไป ธารินทร์เห็นต้อยติ่งเดินพ้นไปแล้วก็มานั่งข้างๆ พ่อ
“พ่อ เชื่อผมเถอะ อย่าพยายามเลย อุษาเป็นหลานของคุณน้าลั่นทมแท้ๆ วิญญาณของคุณน้าลั่นทมยังไม่สนใจ แล้วพ่อเป็นใคร”
“ที่พ่อจะทำนี่...พ่อไม่ได้ทำเพื่อคุณนายนะ แต่พ่อทำเพื่อเอ็ง”
ธารินทร์งง “เพื่อผม...”
“ก็ใช่สิวะ...ถ้าหนูอุษายังขืนเป็นยังงี้ เอ็งจะมีความสุขเหรอวะ ไอ้หมวด..”
“แล้วพ่อจะทำไง ในตำรามีเหรอ ถ้าพ่อทำได้ทุกอย่าง ต่อไปก็ช่วยชุบตัวเองให้หนุ่มฟ้อด้วยจะได้มีเมียเด็กๆ สักสองคน”
“อ้าว ไอ้นี่...ถ้าข้าทำได้ อย่ามาให้ข้าช่วยก็แล้วกัน...”
ผันเปิดตำราต่อไปแต่แล้วก็ต้องถอนใจ เมื่อพลิกมาถึงหน้าสุดท้าย ธารินทร์เก็บคัมภีร์ แล้วบอกพ่อ “ไปนอนเถอะครับ...ดึกแล้ว”
“ข้าไม่ใช่นังต้อยติ่งน้องเอ็งนะโว้ย ไอ้หมวด”

นฤมลนั่งอยู่กับรสสุคนธ์ในห้องนอน
“คุณชีพหายไปอย่างนี้ก็น่าคิดนะน้องรส”
“น่าคิดยังไง” รสสุคนธ์ถาม
“หรือว่าเขาแกล้งหนีเธอ”
“หนีฉัน...พี่มลเสียสติหรือเปล่าเนี่ย ถึงพูดยังงี้ ถ้าตัวร้อนเป็นไข้ก็ไปหายากินซะ เขาน่ะรักฉันยิ่งกว่าอะไร มีเหรอที่เขาจะหนีฉันไป”
“ทำไมไม่คิดบ้างว่าคุณชีพร่วมมือกับใครบางคน แกล้งหายไปแล้วพอน้องรสไปจากที่นี่ เขาก็กลับมาครองรักกันเหมือนเดิม”
รสสุคนธ์หันขวับมาที่นฤมลด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“ต่อมริษยาทำงานหนักไปหรือเปล่าพี่มล พี่ถึงพูดจาให้ฉันดูไร้ค่าแบบนี้...ออกไปให้พ้นหน้าฉันเลยนะ หรือว่าอยากถูกน้ำแกงราดหัวแบบเมื่อกลางวันนี้อีก...หา...”
นฤมลรีบยืนขึ้นแล้วส่ายหน้ายิ้มแหยๆ “ก็แล้วแต่ นี่เป็นความเห็นของพี่...น้องรสอย่าสนใจเลยจ้ะ”
นฤมลเดินออกไปแล้วก็ปิดประตู รสสุคนธ์ขว้างหมอนไปที่ประตูเพื่อระบายอารมณ์
“นังบ้าเอ๊ย...”
รสสุคนธ์มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าทั้งโกรธทั้งครุ่นคิดและสับสน รสสุคนธ์ทะลึ่งตัวลุกพรวดด้วยสีหน้าเริ่มไม่มั่นใจก่อนจะตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า

รสสุคนธ์วิ่งหน้าตาตื่นลงบันไดมา หวานตกใจ
“เป็นอะไรนังรส...แล้วนี่จะไปไหน” หวานถาม
“กรุงเทพฯ ฉันจะไปตามคุณชีพ”
หวานถามด้วยความตกใจ “รู้เหรอว่าคุณชีพอยู่ที่ไหน”
“รู้สิ...ฉันว่าใช่แน่ๆ คุณชีพต้องอยู่คอนโด...เขาซื้อคอนโดให้ฉันที่กรุงเทพฯ ฉันไม่เคยบอกใคร”
อุษาเดินมาจากทางหนึ่ง “ทำไมไม่โทรไปก่อนล่ะ”
“คุณชีพไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป ท่าทางจะรีบร้อนมาก ไม่รู้หนีอะไรหรือว่าแกขู่ฆ่าเขานังอุษา”
“นังรส อย่าก้าวร้าวคุณอุษา...”
“ว่าได้เหรอน้าหวาน...นังนี่ไม่ได้เป็นแม่พระอย่างที่น้าหวานคิดหรอก...มันวางแผนทุกอย่าง คิดจะฮุบสมบัติไว้คนเดียว”
“อย่ามองว่าคนอื่นเขาชั่วเหมือนตัวสิ รสสุคนธ์ ถ้าคนอย่างฉันคิดจะเลวแบบเธอ ฉันไม่ยอมให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ได้หรอก..”
“แกเอาคุณชีพไปซ่อนใช่มั้ย คิดจะทำอะไรบอกมาเลยดีกว่า...นังอุษา”
รสสุคนธ์จ้องหน้าอุษา แต่อุษาพูดเสียงเรียบและหนักแน่น
“ที่ฉันถามก็เพราะเธอบอกเองว่าน้าชีพซื้อคอนโดให้ แล้วทำไมไม่โทรไปที่คอนโดล่ะ เธอน่าจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ที่ห้องหรือว่าที่พูดออกมามันไม่จริง มันไม่ใช่ของเธอ รสสุคนธ์”
เงาร่างของลั่นทมปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่ง
“อย่าแส่ นังอุษา...รู้ไว้แต่ว่าคุณชีพซื้อให้ฉันก็แล้วกัน”
จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทเดินออกมาจากมุมหนึ่ง ทั้งสามต่างจ้องไปที่รสสุคนธ์
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเหรอ” รสสุคนธ์ว่า
“เคย แต่คนประหลาดพันลึกอย่างหล่อนข้าไม่เคยพบเคยเห็นโว้ยนี่ยังไม่แน่ใจเลยว่าหล่อนน่ะเป็นเปรตขอส่วนบุญจำแลงแปลงกายมาหรือเปล่า”
จิ้มลิ้มกับยาใจหัวเราะ “หรือไม่ก็มาจากขุมนรก ขุมที่ลึกที่สุด ถึงไม่เคยรู้ว่าบาปบุญคุณโทษมันเป็นยังไง”
“แต่ฉันว่านะสัมภเวสีเร่ร่อนมากกว่า เร่ร่อนเกาะหาผู้ชายรวยๆ ไปเรื่อย เจอคฤหาสน์ใหญ่ ๆ เลยกลับหลุมไม่ถูก”
จิ้มลิ้ม สวาท และยาใจหัวเราะ หวานถอนใจแล้วก็ยกมือห้ามแต่ไม่ทันเพราะรสสุคนธ์ถลาเข้าไปจะตบกลุ่มสวาท อุษาตวาดห้ามมาทันที
“หยุดนะ ถ้าขืนเธอทำอะไรคนของฉัน...ฉันเอาเรื่องแน่”
รสสุคนธ์หันมายิ้มเยาะ“เหรอ ตบนังขี้ข้าพวกนี้ไม่ได้ งั้นตบแกแทนก็แล้วกัน”
รสสุคนธ์หันมาจะตบอุษา แต่ลั่นทมปรากฏตัวขึ้นมาดึงผมรสสุคนธ์จนหน้าหงาย ทุกคนตกใจ
“ว้าย” รสสุคนธ์หันมาแต่ก็ไม่เห็นใคร เธอหน้าเสีย เงาร่างของลั่นทมปรากฏขึ้นแล้วตบหน้ารสสุคนธ์อย่างแรงหนึ่งที รสสุคนธ์ทรุดลงไปก้นกระแทกแล้วใช้มือกุมแก้ม
หวานตกใจ “ตายแล้วนังรส...”
รสสุคนธ์น้ำตาคลอเพราะเจ็บ เธอชี้มือกราด
“พวกแกแกล้งฉัน...คอยดูนะ ถ้าคุณชีพกลับมา ฉันจะฟ้องคุณชีพให้ไสหัวพวกแกไปให้พ้นบ้านนี้”
นฤมลวิ่งลงบันไดมาหน้าตาตื่น เหมือนเพิ่งตื่นนอน
“พี่มลมาก็ดีแล้วนั่งรถไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย..” รสสุคนธ์ชวน
“ดึกแล้วนะน้องรส..จะไปไหนเหรอ”
“หยุดเลยนังรส...กลับไปนอน ก่อนที่จะโดนคุณผู้หญิงหักคอเอา”
ลั่นทมยืนจ้องหน้าตาดุไปที่รสสุคนธ์
“น้าหวานเข้าข้างอีพวกขี้ข้า มันแกล้งตบฉันแล้วถอยฉากหนี...กล้าดีไปโทษผีนังลั่นทม โธ่เอ๊ย คิดว่าฉันกลัวเหรอ”
หวานรีบเข้าไปห้ามไม่ให้รสสุคนธ์พูดไปมากกว่านี้ “อย่านังรส อย่าพูดแบบนี้”
รสสุคนธ์เบี่ยงตัวหนี “พี่มลไม่ไปก็อย่าไป แต่จำไว้นะ ถ้าฉันตามคุณชีพกลับมาได้ละก็ พี่มลเตรียมขนของออกไปจากบ้านนี้ได้เลย”
รสสุคนธ์ผลุนผลันเดินออกไป อุษาเรียก “รสสุคนธ์”
“นังรส...” หวานเรียก
รสสุคนธ์เดินออกไปแล้ว กลุ่มสวาทซุบซิบกัน หวานวิ่งตามออกไป อุษาเดินตามไปติดๆ

รสสุคนธ์เรียกหาฉ่ำเสียงดัง
“ไอ้ฉ่ำ...ไอ้ฉ่ำ”
หวานกับอุษายืนอึ้ง นฤมลและกลุ่มสวาทเดินออกมา
“รสสุคนธ์ ฉันถามว่าทำไมไม่โทรไปก่อน...ถ้าน้าชีพสบายดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้ค่อยเดินทาง นี่มันดึกแล้วนะ”
“ฉันต้องการกระชากหน้ากากแกไงนังอุษา คราวนี้แหละทุกคนจะได้เห็นธาตุแท้ของแกว่าเป็นแม่พระหรือปีศาจกันแน่”
“เธอพูดอะไรรสสุคนธ์...”
รสสุคนธ์ไม่สนใจ เธอตะโกนเรียกฉ่ำเสียงดัง “ฉ่ำ ไอ้ฉ่ำ...”
ฉ่ำวิ่งมา สมพรกับวิเวกวิ่งตามมาด้วยท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นนอน สวาทดึงฉ่ำไว้แล้วประกาศกร้าว“แกจะใช้ไอ้ฉ่ำไม่ได้ มันไม่ได้รับเงินเดือนจากแก นังรส”
“อะไรกันแม่หวาด...” ฉ่ำถาม
“ไอ้ฉ่ำไม่ต้องพูดมาก หรือว่าอยากไปนอนที่อื่น หา...” สวาทว่า
ฉ่ำจ๋อยไป สมพรกับวิเวกยืนงงๆ มองดูทางโน้นที ทางนี้ที ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นที่มุมหนึ่ง“สมพร ไปเปิดประตูรั้วให้เขาสิ...”
สมพรมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร “ไปสิ สมพร...นายเวกด้วย ไปช่วยกัน”
“ไอ้พร...เอ็ง...”
สมพรเหมือนถูกสะกดจิต “ไปเปิดประตู...”
สมพรกับวิเวกวิ่งจากไป
“อะไรของเขาน่ะ คุณอุษาขา...” ยาใจงง
“พี่มล ไปเร็ว...หาแท็กซี่ข้างหน้าก็ได้...ให้มันรู้ไปว่าคนบ้านนี้ใจดำ..”
รสสุคนธ์ก้าวฉับๆ แล้วหันมาจ้องหน้านฤมล นฤมลวิ่งตามไป
“นังรส...นังรส...”
ลั่นทมมองตามไปแล้วยิ้มเครียด ลมเย็นพัดมา อุษารู้สึกผิดสังเกต
“คุณน้าอย่าทำอะไรเขานะคะ...” อุษาคิดในใจ
หวานมองหน้าอุษาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เธอชะเง้อมองไปทางประตู กลุ่มของสวาท ฉ่ำ ยาใจ จิ้มลิ้มอยู่ด้านหลัง

สมพรกับวิเวกเปิดประตูให้ทั้งสองคน รสสุคนธ์ก้าวออกไปด้วยความมั่นใจและมีอารมณ์กรุ่นโกรธ
นฤมลเริ่มหวั่นๆ จึงรั้งข้อมือรสสุคนธ์ไว้
“รส ไปพรุ่งนี้เถอะ เกิดบ้าอะไรขึ้นมาตอนนี้ล่ะ”
รสสุคนธ์สะบัดแล้วตวาดเสียงเขียว
“ก็ใครล่ะเจ้าอุบายดีนัก บอกว่านังอุษาร่วมมือกับคุณชีพ แกล้งทำให้คุณชีพหายไป ใครล่ะ” รสสุคนธ์เสียงดังใส่ “หรือว่าสมองเสื่อมลืมไปหมดแล้ว...หา...”
นฤมลหน้าเสียแต่ก็พยายามประนีประนอม
“งั้น ถ้าหาแท็กซี่ไม่ได้ เรากลับมาบ้านก่อนนะ แล้วค่อยไปใหม่พรุ่งนี้...”
“ก็ได้..”
วิเวกกับสมพรยืนมองทั้งสองว่าจะตัดสินใจอย่างไร ลั่นทมปรากฏตัวขึ้นตรงกลางแล้วเพ่งไปที่ประตู ประตูค่อยๆ ปิดเอง สมพรกับวิเวกตะลึงแล้วมองหน้ากัน ประตูปิดล็อกได้เอง
“ไอ้วะ..เวก...” สมพรละลักละล่ำ
“จะ...จ้า...”
“ปะ...ปะ...ไปเถอะ..”
ทั้งสองวิ่งไปอย่างรวดเร็ว รสสุคนธ์กับนฤมลหันมาด้วยความตกใจ นฤมลวิ่งมาที่ประตูรั้วแล้วเขย่า“ไอ้เวก ไอ้สมพร เปิดๆๆ เปิดสิ...ฉันอาจจะกลับมาอีกก็ได้...”
“ป่วยการพี่มล ไอ้อีขี้ข้าบ้านนี้มันเป็นพวกผี ไม่ใช่พวกคน มันเลยเอาใจแต่ผีนังลั่นทม...เป็นพวกมัน รักมันตั้งแต่มีชีวิตอยู่จนตายไปแล้ว มันก็ยังไม่เลิก ไปเถอะ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็ดึก”
นฤมลจำใจเดินกลับมา ลมพัดแรงมาเข้าหน้า ผมของนฤมลปลิว เธอรู้สึกตัวชาวูบก่อนจะมองไปที่รสสุคนธ์ นฤมลเห็นเงาร่างของลั่นทมเดินตามรสสุคนธ์ ชนิดก้าวต่อก้าว นฤมลตะลึงพูดไม่ออกจนหน้าซีด
รสสุคนธ์หันมา“เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ พี่มล...หรืออยากยืนเป็น...”
รสสุคนธ์เข้ามากระชากตัวนฤมลไป นฤมลแข็งขืนแต่ต้านไม่ได้จึงยอมให้กระชากไป ลั่นทมยิ้มมุมปาก อย่างสะใจ


อุษานั่งที่โซฟา หวานนั่งอยู่ข้างๆ ทุกคนอยู่ไม่ห่าง
“ษากลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากฝีมือของคุณน้า..”
“หา...” หวานหน้าเสีย สวาทนึกขึ้นได้ถึงตอนที่รสสุคนธ์ถูกตบแต่ไม่เห็นคนตบ
“ว้าย...จริงด้วยค่ะคุณษา...ตอนที่นังรสถูกตบ หน้าหงายทั้งที่ไม่มีใครตบน่ะต้องไม่ใช่ฝีมือใครแน่...นอกจาก...”
จิ้มลิ้มกับยาใจพูดพร้อมกัน “คุณผู้หญิง...”
สวาทกับฉ่ำตกตะลึง หวานกับอุษาหันมาเป็นจังหวะที่สมพรกับวิเวกพรวดพราดเข้ามาในบ้าน
“ผีๆๆ ผีหลอก”
จิ้มลิ้ม ยาใจ และสวาทเซไปกองแล้วก็ตกใจ “ว้าย ที่ไหน ๆๆ ๆ หาไอ้พร ไอ้เวก...”
“หน้าประตู จู่ๆ ประตูก็ปิดได้เอง ตอนนั้นแม่นฤมลจะเปลี่ยนใจกลับเข้ามา” วิเวกเล่า
สมพรพูดต่อทันที “แต่ประตูปิดดังปัง!”
สมพรทำเสียง “ปัง” ดังๆ กลุ่มของสวาทตกใจหวีดร้องเบาๆ
“ษาจะไปสุสาน ไปพูดกับคุณน้าให้รู้เรื่อง” อุษาบอก
“คุณษา...อย่าเลยค่ะ...เชื่ออิฉันนะคะ...” หวานกล่อม
อุษาไม่ฟัง เธอเดินออกไป
“เอายังไงล่ะน้าหวาน...” ฉ่ำหันมาถาม


ดวงจันทร์กลมโตอยู่บนฟ้ามืด เสียงหมาหอนดังแว่วมาเบาๆ นฤมลเริ่มหวาดๆ
“น้องรส...พี่ว่ากลับกันเถอะ มันน่ากลัววังเวงยังไงก็ไม่รู้ เราเรียกรถสามคันแล้วนะ มันไม่รับเราสักคัน”
“พี่มลอย่าพูดอะไรให้ฉันโมโหไปมากกว่านี้นะ ที่ยืนเป็นบ้าอยู่นี่ไม่ใช่เพราะปากพี่เหรอ ยุแหย่ฉันดีนัก แทนที่จะได้นอนหลับอยู่บนที่นอน...”
“เออ พี่ยอมรับผิด ถ้างั้น...กลับบ้านนะน้องรส พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
“ขอฉันลองอีกคันนะพี่มล...”
นฤมลใจชื้นขึ้น “แล้วนี่...พี่อยากรู้จังเรื่องคอนโด ทำไมน้องรสถึงมั่นใจว่าคุณชีพอยู่ที่นั่นล่ะจ๊ะ”
“ก็มันรังรักของฉัน มีฉันกับเขาเท่านั้นที่รู้กันสองคน เขาตั้งใจซื้อให้ฉันเลยนะพี่มล” รสสุคนธ์ทำสีหน้าโอ่ๆ
“เหรอ...แล้วเขาเซ็นยกให้น้องรสหรือยัง”
รสสุคนธ์กระแทกเสียงใส่อย่างไม่พอใจ “ยัง...ดันมาเกิดเรื่องนังลั่นทมมันตายซะก่อน...ทุกอย่างก็เลยชะงัก”
รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมา รสสุคนธ์โบกรถ นฤมลยืนลุ้นแล้วมองไปในรถ รสสุคนธ์เจรจาแล้วหันมาพยักหน้าให้นฤมล ทั้งสองเข้าไปในรถ แล้วรถก็เคลื่อนไป
“กว่าจะถึงพี่คงหลับได้ตื่นหนึ่งเลยนะน้องรส...”
“ถ้าคิดว่าถ่างตาตื่นแล้วคอยพูดจาให้ฉันโมโห พี่มลก็หลับไปเถอะ”
นฤมลหน้าแหยเพราะรู้ว่ารสสุคนธ์เหน็บให้ นฤมลหันหน้าออกนอกรถแล้วหลับตา รถแล่นไป


ทุกคนอยู่ที่หน้าสุสาน อุษาจะเข้าไปข้างใน
“คุณษา ดึกแล้วนะคะ อิฉันว่า...”
“น้าหวานกลัวคุณน้าด้วยเหรอคะ...คุณน้าไม่ทำอะไรพวกเราหรอกค่ะ ษาแค่อยากมาพูดอะไรบางอย่างกับคุณน้าเท่านั้น” อุษาบอก
“พูดเวลาอื่นก็ได้นี่คะ” สวาทว่า
“ใช่ ๆ ตอนกลางวันแดดแจ๋ๆ น่ะค่ะคุณษา” จิ้มลิ้มบอก
“นะคะ เชื่อพวกเราเถอะค่ะ”
อุษากวาดตาดูทุกคน “ถ้ากลัวก็กลับไปซะ...ษาจะเข้าไปข้างใน”
“ไอ้พร ไอ้เวก เอ็งสองคนเป็นผู้ชาย เข้าไปเป็นเพื่อนคุณษา”
สมพรกับวิเวกส่ายหน้าเร็วๆ ด้วยความกลัว
“พวกเอ็งกลับไปเถอะ ข้าจะเข้าไปกับคุณษาเอง...” หวานบอก
อุษากับหวานเปิดประตู แมวดำตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากด้านข้าง หวานตกใจจนล้มลงไป ทุกคนกรีดร้องกันแล้วก็ผวา แมวดำกระโจนหายไปในความมืด
“ก็แค่แมว กลัวอะไรกันคะ...น้าหวานลุกขึ้นค่ะ” อุษาว่า
อุษาพยุงหวานลุกขึ้นแล้วหันมาอีกทีก็เห็นว่าทุกคนวิ่งกันไปหมดแล้ว

อ่านต่อหน้าที่ 4


สุสานคนเป็น ตอนที่ 12 (ต่อ)
 
ธารินทร์ผวาตื่นขึ้นแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา
“ครับ...อะไรนะลุงฉ่ำ...โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ...”
ธารินทร์ปิดโทรศัพท์
ฉ่ำวางโทรศัพท์ลงบนเครื่องแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกวังเวง
“เงียบผิดปกตินะ...ใจมันหวิวๆ พิกล..”
ฉ่ำรีบย่องออกไปข้างนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มของสวาทวิ่งสวนเข้ามา ทุกคนตกใจ
“เฮ้ย...อะไรกัน”
ทุกคนหอบหายใจและมีสีหน้ากลัวกันหมด “คุณษากับน้าหวานล่ะวะ”
สมพรละลักละล่ำ “ทะ...ทะ ที่สุสาน...”
ฉ่ำกลืนน้ำลายแล้วมีสีหน้าหวั่นๆ


อุษากดสวิทซ์ไฟ ไฟในสุสานสว่างขึ้น โลงศพตั้งอยู่ตรงหน้า ชีพนอนซุกตัวอยู่ที่ริมฝามุมหนึ่ง ชีพผวาตื่นขึ้นมาด้วยความดีใจ“ษา...ษา...น้าหวาน...ฉันอยู่นี้ ษา น้าอยู่นี่...มองมาทางนี้สิมองมาทางนี้ ช่วยน้าด้วย”
ชีพพยายามเรียกแต่ทั้งสองไม่ได้ยิน ทั้งสองเดินไปทั่วสุสาน หวานก้าวตามอุษา“คุณน้าขา..ษามาหาค่ะ ถ้าคุณน้าได้ยินก็ปรากฏตัวเถอะค่ะ ษาไม่กลัวคุณน้าหรอกค่ะ”
“น้าอยู่นี่...ษา...หันมาทางนี้สิ..” ชีพบอก
อุษาหันไปทางชีพพอดีแต่ก็มองไม่เห็นชีพ
“ษา...ษา..โธ่โว้ย ตาบอดหรือแกล้งบอดกันวะ นังหวาน...นังหวานอย่าให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้นะโว้ย ฉันจะไล่แกออก นังหวาน”
“คุณษาขา อิฉันว่าเรากลับกันเถอะค่ะ” หวานชวน
“ไม่ค่ะน้าหวาน...”
อุษาเคาะโลงศพแล้วเรียกลั่นทม“คุณน้าคะ คุณน้า..”


ลั่นทมหันหน้ามาขณะยืนอยู่กลางถนนภายใต้บรรยากาศหลอนๆ รถแท็กซี่เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว
รสสุคนธ์หวีดร้องออกมาเบาๆ
รสสุคนธ์ตกใจ “หา...”
รสสุคนธืเห็นรถพุ่งชนร่างของลั่นทม คนขับเบรกจนหันรถเหไปทางหนึ่ง รถพุ่งไปที่ไหล่ทาง นฤมลผวาตื่น รถกระเด็นกระดอน นฤมลหวีดร้องกับรสสุคนธ์ เสียงรถชนดังโครม


อุษากับหวานยืนอยู่หน้าโลงศพ ชีพค่อย ๆลุกยืนขึ้นจะพุ่งตัวเข้าไปหา
“ไม่ได้ยินใช่มั้ยษา” ชีพถาม
ชีพพุ่งตัวเข้าไป ลั่นทมปรากฏตรงหน้าแล้วใช้มือข้างเดียวยันลำคอของชีพไว้
“ปล่อย...” ชีพหน้านิ่ว “ฆ่าฉันเลยสินังลั่นทม...”
ลั่นทมดวงตากร้าว ชีพสะบัดร่างของชีพกลิ้งไปโดนโต๊ะวางเครื่องเซ่นทำให้กระถางธูป เชิงเทียนล้มระเนระนาด
หวานหวีดร้องแล้วก็ตกใจจนล้มลงตัวสั่น ไฟดับพึ่บ หวานกอดขาอุษาไว้แน่นหวานเสียงสั่น “คุณอุษา กลับเถอะค่ะ”
“น้าหวานออกไปค่ะ...ออกไป คุณน้าลั่นทมไม่ทำอะไรษาหรอกค่ะ...ไปสิ...ไปสิคะ..”
หวานส่ายหน้าแล้วกอดอุษาไว้แน่นก่อนจะร้องไห้ ลมพัดแรงข้าวของหลายอย่างในสุสานปลิวไป
ตามแรงลม หวานร้องไห้และไม่ยอมไป
“ออกไปค่ะน้าหวาน ออกไป..”
ชีพพยายามจะเข้ามาหา แต่ลั่นทมยืนขวางไว้แล้วชี้หน้า ลั่นทมจ้องตาดุๆ ชีพกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ลั่นทมหันมาที่หวาน
“ไปสิ...หวาน...ไป...” ลั่นทมว่า
หวานนิ่งค้างเหมือนต้องมนต์สะกด “ค่ะ ไป...ไป...” หวานรับคำ
หวานรีบคลานออกไป
ลั่นทมจ้องอุษา อุษาโรยตัวลง ชีพตกใจ
“แกจะทำอะไรอุษา นังผีลั่นทม” ชีพว่า
“อุษามันเป็นหลานฉัน...อย่ายุ่ง...กลับเข้าไปในโลงเดี๋ยวนี้” อุษาบอก
ชีพตกใจแล้วก็ส่ายหน้า“ไม่...ฉันไม่ไป...ฉันไม่ยอมไปนอนในโลง ลั่นทม อย่า..”
ลั่นทมบันดาลให้ฝาโลงเปิด ชีพมองโลงที่เปิดตาค้าง
ลั่นทมสั่งเฉียบขาด “ลงไป...”


ธารินทร์ขับรถมาเห็นรถแท็กซี่ไถลไปข้างทาง ธารินทร์จอดรถแล้วรีบเดินลงไปอย่างระวังตัว เขาแตะปืนที่มือ ธารินทร์ย่องไปจนเห็นรถประสบอุบัติเหตุอยู่ คนขับรถแท็กซี่ฟุบไปกับพวงมาลัย แต่ที่เบาะหลังไม่มีร่างของรสสุคนธ์กับนฤมล
ธารินทร์เรียกคนขับ “คุณๆๆ...”
ธารินทร์วิทยุเรียกตำรวจให้รีบมาเคลียร์


หวานเดินแข็งๆ เข้ามาในบ้าน ทุกคนหันมาทางหวาน
“น้าหวาน...คุณอุษาล่ะ” ฉ่ำถาม
“นั่นสิ...” สวาทว่า
หวานได้สติก็หันกลับไปอย่างเร็วแล้วส่ายหน้า
“หมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่า”
จิ้มลิ้มสรุป “คุณอุษาตายแล้ว...”
“หา.”
“คุณษาไล่ฉันให้กลับมาก่อน... เธอจะอยู่ในสุสาน...”
ทุกคนตกใจ “หา...”

อุษานอนหนุนตักลั่นทมที่หน้าโลงศพ ลั่นทมลูบเรือนผมอุษาด้วยท่าทางถนอมรัก
“ษา...น้าขอโทษ แต่พวกเขาทำกับน้ารุนแรงเหลือเกินน้าจำเป็นต้องให้บทเรียนแก่พวกเขา พวกเขาจะต้องสำนึกผิดและจะต้องเป็นคนดี...ษาอย่าห้ามน้าเลยนะจ๊ะ”
อุษาหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุขใจ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เปลหามคนขับแท็กซี่ออกมา ธารินทร์เดินตามมาติดๆ แล้วบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ผมฝากด้วยนะจ่า มีธุระด่วนต้องไปที่บ้านษา”
“ครับหมวด เชิญเลยครับ อุบัติเหตุธรรมดา...โชคดีนะครับที่ไม่มีผู้โดยสาร”
ตำรวจอีกนายวิ่งมา “หมวดครับ...เชิญทางนี้หน่อยครับ”
ทั้งหมดเดินไปที่รถพยาบาลธารินทร์ถาม “มีอะไรจ่า”
คนขับแท็กซี่เอ่ยถาม “ผู้โดยสารผมล่ะครับ”
“อะไรนะ..มีผู้โดยสารด้วยเหรอครับ...กี่คน”
“สองครับ ผู้หญิงสวยๆ”
“รับมาจากไหน...”
ธารินทร์ตกใจ

ธารินทร์เดินเข้าไปในบ้านลั่นทม ทุกคนกรูกันมาที่ธารินทร์
“คุณธารินทร์ขา ช่วยอุษาด้วยค่ะ...ช่วยด้วย..” หวานตกใจ
“อุษา อยู่ไหน ใครทำอะไรเธอ หา น้าหวาน...” ธารินทร์ถาม
หวานร้องไห้จนพูดไม่ออก ฉ่ำตอบแทน “ที่สุสานครับ”
“ไปกับน้าหวานสองคน แต่น้าหวานกลับออกมาคนเดียวช่วยด้วยนะคะคุณผู้หมวด” สวาทว่า
ธารินทร์ผลุนผลันออกไปทันที
“ตามสิวะ...” ฉ่ำบอก
ทุกคนวิ่งตามออกไป

ทุกคนเดินตามธารินทร์ไป นกแสกเกาะกิ่งไม้อยู่ด้านบน จิ้มลิ้ม ยาใจ แย่งกันเดินไม่ยอมอยู่รั่งท้าย “นังยา...อะไรวะ” จิ้มลิ้มถาม
“ฉันไม่อยากเดินท้ายนี่นังลิ้ม...” ยาใจว่า
“น่ารำคาญ...ข้าเดินเองก็ได้วะ ไปๆๆๆ ข้าอยู่ท้ายเอง” วิเวกอาสา
ทั้งกลุ่มเดินไปด้วยกัน นกตัวหนึ่งบินโฉบมาใกล้วิเวก
วิเวกตกใจ “เฮ้ย...”
ทั้งกลุ่มผวา ธารินทร์หันมา
“ถ้ากลัวกันยังงี้ ผมว่ากลับไปรอที่บ้านดีกว่าครับ หลายคนก็ยิ่งต้องระวังกัน...จะยิ่งเป็นห่วง ทำงานลำบาก”
“แล้วคุณธารินทร์ไม่กลัวเหรอคะ” หวานถาม
“ไม่ครับ ผมมั่นใจว่าคุณน้าลั่นทมไม่ทำอะไรเราสองคน”
ทุกคนนิ่งมองหน้ากัน

ธารินทร์ยืนอยู่หน้าสุสานคนเดียวแล้วมองไปที่ประตู
“ผมมาดีนะครับคุณน้าลั่นทม...คืนษาให้ผมเถอะครับ ผมเป็นห่วงเธอ...”
ประตูเปิดกว้างทันที ลมพัดกรูมาจากข้างในออกมาปะทะหน้าธารินทร์ ธารินทร์เดินเข้าไปข้างใน

ธารินทร์เดินเข้าไปก็เห็นอุษานอนอยู่ในเงามืด “ษา...”
ธารินทร์ช้อนร่างของอุษาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ลั่นทมยืนอยู่มุมหนึ่งมองทั้งสองด้วยสายตาเมตตา
ชีพที่อยู่ในโลงศพดิ้นรน “ธารินทร์ ช่วยน้าด้วย...น้าอยู่ในนี้ ช่วยน้าด้วย”
ลั่นทมหันขวับไปทางโลงศพ ธารินทร์อุ้มอุษาออกไปข้างนอก
“อย่าโวยวายเลยชีพ...ไม่มีใครได้ยินชีพหรอกค่ะ...หรือว่าเหงาที่ต้องนอนอยู่ในนั้นคนเดียว ทมจะได้ไปนอนเป็นเพื่อน”
ชีพตะโกนออกมาอย่างคับแค้นใจ
“ไม่ต้อง ฉันเหม็น ฉันขยะแขยงแกเต็มที นังผีบ้า นังปีศาจ...”
ลั่นทมหัวเราะ ฝาโลงศพเปิดกว้าง ชีพจะผวาลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้เพราะหลังติดแน่นกับพื้นโลงศพ“ปล่อย...ปล่อยฉัน...”
ลั่นทมหัวเราะ เธอชะโงกหน้าเข้าไปในโลงศพแล้วใบหน้าของลั่นทมก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าเละเทะ น้ำเหลืองหยดไปที่หน้าของชีพ
“น้ำเหลือง...แหวะ เหม็น นังบ้า นังลั่นทม จะอ้วก...อย่าให้ฉันออกไปข้างนอกได้นะโว้ย”
ใบหน้าลั่นทมเปลี่ยนเป็นปกติ“ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ออกไปหรอกชีพ...อย่าพยายามให้เหนื่อยเลย เรายังจะต้องกินข้าวด้วยกัน เต้นรำด้วยกันอีกหลายครั้ง”
ชีพอยากจะด่าแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่เม้มปากเกร็งเครียด และขบกรามด้วยความคับแค้น

ธารินทร์อุ้มอุษาเข้ามาในบ้าน หวานและทุกคนรีบกรูกันเข้าไปหา
“คุณอุษา...”
ธารินทร์วางอุษาลงที่โซฟา อุษายังไม่รู้สึกตัว
“คงต้องเช็ดตัวให้คุณษา...ไม่รู้สึกตัวเลย” ธารินทร์บอก
“ตกลงคุณนายลั่นทมไม่ได้ทำอะไรคุณอุษานะคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ เข้าไปข้างใน ผมก็เห็นอุษานอนอยู่ที่พื้นเลยอุ้มมาเลย...”
“คุณผู้หญิงไม่ทำอะไรกับคนที่คิดดีกับเธอหรอก เชื่อข้าเถอะ”
“งั้นคนคิดไม่ดีที่ออกไปตั้งแต่หัวค่ำ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ” จิ้มลิ้มอยากรู้
“หมายความว่ายังไงครับ” ธารินทร์ถาม
“ก็แม่รสสุคนธ์กับแม่นฤมลน่ะสิคะ ไปตามคุณชีพที่คอนโดในกรุงเทพฯ เห็นว่าเรียกแท็กซี่ไปเอง ไม่รู้ไปถึงไหนกันแล้วค่ะ” ยาใจบอก
ธารินทร์หน้าเสีย เขานึกถึงตอนที่คนขับแท็กซี่บอกว่ามีผู้โดยสารสองคน
ธารินทร์ถามย้ำ“ไปกันสองคนเหรอครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับหมวด” วิเวกถาม
“แท็กซี่เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่เห็นสองคนนั่น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ธารินทร์รีบเดินออกไป สมพรงง “อ้าว เลยไม่รู้เรื่องกันเลย”
หวานเป็นห่วงรสสุคนธ์“นังรส”

สวาทยืนทำกับข้าวเตรียมใส่บาตร จิ้มลิ้มกับยาใจคอยช่วย
“ไม่รู้ว่าวันนี้คุณอุษาจะใส่บาตรไหวมั้ย...” สวาทว่า
“นั่นสิ น้าหวานเฝ้าอยู่แน่ะ ดีนะที่เป็นคุณอุษา ถ้าขืนเป็นนังลิ้มละก็จับไข้หัวโกร๋นแล้วละ” จิ้มลิ้มว่า
“แกคนเดียวซะเมื่อไหร่ นังลิ้ม นังยาด้วย..”
“แต่ถ้าเป็นข้านะโว้ย ข้าไม่อยู่แน่...แค่คิดก็สยอง..เออว่าแต่ใครได้ข่าวนังรสบ้างวะ...เจ้าประคู้น อย่าให้มันได้กลับมาเลยบ้านนี้จะได้สงบซะที...”
หวานเดินเข้ามาพอดี ยาใจกับจิ้มลิ้มสะกิด สวาทไม่ทัน หวานมองหน้าสวาท สวาทได้สติ
“อุ๊ย...”
“ไม่เป็นไร นังรสมันเป็นหลานฉันก็จริง แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับมันหรอก...จัดเครื่องเซ่นให้คุณผู้หญิงหรือยัง...”
“กำลังจะทำเดี๋ยวนี้แหละ”
“ว่าแต่ใครจะเป็นคนเอาไปล่ะ นังลิ้มขอปฏิเสธนะ...”
“นังยาก็ด้วย..”
ทุกคนหันไปมองสวาท“ทุกทีก็เป็นหน้าที่ของแม่หวานอยู่แล้วนี่ หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน..”
“ถ้าคุณอุษาไม่ไหว ข้าก็ต้องเป็นคนเอาไปเอง ให้มันรู้ไปว่าจะถูกคุณผู้หญิงหักคอ”

หวานกับอุษาใส่บาตร จิ้มลิ้มกับยาใจคอยส่งของให้พระรับบาตรเสร็จจะเดินไป
“นิมนต์ก่อนเจ้าค่ะ...” อุษาบอก
“มีอะไรเหรอโยม...”
“หลวงพ่อช่วยไปเทศน์โปรดคุณน้าในสุสานหน่อยได้มั้ยเจ้าคะ...”
หวาน ยาใจ จิ้มลิ้มตกใจ “คุณอุษา...น้าหวานว่า...”
อุษาไม่สนใจหวาน “นะคะหลวงพ่อ...ช่วยหน่อยเจ้าค่ะ”
สัปเหร่อที่วันนี้เป็นเด็กวัดมองหน้าหลวงพ่อแล้วก็สบตากัน
“ช่วยเขาหน่อยเถอะหลวงพ่อ”
“ถ้างั้น หนูนิมนต์ฉันเช้าเลยนะเจ้าคะ”
สมภารนิ่งสงบแล้วมองเข้าไปในตัวบ้าน

สวาทพูดขึ้นทันที จิ้มลิ้มกับยาใจยืนอยู่ไม่ห่าง
“หา...ข้าว่าจะไปกันใหญ่นะโว้ย ถ้าคุณผู้หญิงเกิดไม่พอใจขึ้นมาเรามิแย่กันทั้งบ้านเหรอวะ แล้วนี่ไอ้ฉ่ำไปไหน”
“ห่วงน้าฉ่ำคนเดียวนะน้าหวาด ทีพวกฉันไม่เห็นเป็นห่วง”
“นังยา เอ็งยืนอยู่ตรงนี้ ข้าจะต้องห่วงทำไมวะ”
“ไปที่สุสานกับน้าหวานแน่ะ”
“ตายละ...แล้วทำไมไม่ตามไปกันล่ะวะ”
“น้าหวาดพูดจริงเหรอ”
“เช้าแบบนี้ ผีไม่หลอกโว้ย แดดแจ๋จางปาง ข้าไม่กลัว อีกอย่างคนก็เยอะ แถมมีพระกับสัปเหร่ออีก...เชื่อนังหวาดเถอะ”
สวาทเดินนำไปก่อน ยาใจกับจิ้มลิ้มมองหน้ากันแล้วเดินตามออกไป

หลวงพ่อยืนอยู่หน้าโลงศพ อุษากับหวานอยู่ใกล้ๆ
“ตอนเอาใส่โลงได้มัดตราสังข์หรือเปล่า”
อุษากับหวานนิ่งมองหน้ากัน ไม่ตอบ ฉ่ำ วิเวก สมพรหลบอยู่หลังหวานมีสีหน้าหวาดๆกันหมด
“ถ้าเงียบแบบนี้แสดงว่าไม่ได้ทำพิธี ถึงว่าทำไมเฮี้ยนนัก”
ชีพหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ลั่นทมเหลือบมอง
“อย่าดีใจไป ไม่มีใครได้ยินแล้วก็เห็นชีพหรอก ชีพน่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ”
“ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าแกถูกสัปเหร่อมัดตราสังข์แล้วเอาไปเผาแกจะเป็นยังไง...ฮึๆๆ”
“ถ้าเป็นยังงั้น ชีพก็ต้องตายกับทมด้วย”
“แกจะเก่งไปกว่าพระไม่ได้หรอกนังผีลั่นทม”
อุษาร้องไห้ “หลวงพ่อเจ้าขา อย่าทำอะไรคุณน้า ษาแค่ต้องการให้ช่วยพูดกับคุณน้าให้ละความพยาบาทเท่านั้นค่ะ”
“มันไม่ถูกนะหนูอุษา นี่คงต้องเฮี้ยนมาก วันก่อนถึงได้มีคนในบ้านหนูนี่แหละไปหาฉัน จะจ้างฉันมาสะกดวิญญาณคุณนายลั่นทม”
“คุณลุงพูดอะไรนะ ใครกันที่คิดทำร้ายคุณน้า”
“จะใครซะอีกล่ะ ก็เมียใหม่คุณชีพไง...คุณนายคนใหม่นั่นแหละ” สัปเหร่อว่า
อุษาสะเทือนใจแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่น่าเลยรสสุคนธ์”
ชีพหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ ลั่นทมแค้นมากจึงพูดเสียงเครียด
“นังรสสุคนธ์!”
ดวงตาลั่นทมเบิกโพลง

สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มเดินออกมา ธารินทร์จอดรถที่ลานหน้าบ้านพอดี
“คุณผู้หมวด” ยาใจเรียก
“พระเอกมักจะมาทันเวลาเสมอ...ไปหาคุณธารินทร์กันเถอะ” สวาทชวน
ธารินทร์ก้าวลงมาจากรถ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ประตูรั้วก็ไม่ได้ปิด แถมยังไม่มีใครอยู่อีก”
“ไปที่สุสานกันเถอะค่ะ” จิ้มลิ้มชวน
“สุสาน...”
ธารินทร์มองไปยังด้านที่สุสานตั้งอยู่ แล้วเดินนำไปก่อน
“ไป...” สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจก้าวตามไปติดๆ

ธารินทร์ สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มเข้ามา
ธารินทร์ถาม “ษา ทำอะไร”
“ท่านสมภารให้ยกโลงศพลงมาค่ะ..” หวานบอก
“หลวงพ่อ ถ้าจะมัดตราสังข์เวลานี้ คงไม่ได้หรอกค่ะ ศพคุณน้าคงไม่อยู่ในสภาพที่ดีแล้ว ษาต้องการให้หลวงพ่อบอกคุณน้าให้ละความพยาบาทเท่านั้นแหละค่ะ”
ธารินทร์จับมืออุษาเพื่อปลอบใจ
“แต่ษา วันก่อนก็เห็นศพคุณน้าลั่นทมยังดีอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าจะต้อง”
ธารินทร์ยังพูดไม่จบ อุษาก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของธารินทร์เพราะไม่พอใจ
“ไม่ค่ะ ษาไม่ต้องการให้ทำยังงั้น คุณน้าไม่ได้ร้ายกาจกับทุกคนรินทร์ก็รู้นี่คะ ถ้าใครไม่ทำคุณน้าก่อน คุณน้าก็ไม่ทำร้าย...”
“เอาเถอะ ถ้างั้นช่วยเปิดโลงหน่อย หลวงพ่อจะสวดให้พรเขาแล้วก็จะอุทิศบุญให้เขาด้วย”
“เป็นวิธีการของท่านน่ะครับ...” สัปเหร่อบอก
“แค่เปิดฝาโลงใช่มั้ยครับ...” ธารินทร์ถาม
หลวงพ่อพยักหน้า “อาตมารับปากว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากนี้...”
“ถ้าหลวงพ่อรับปาก ษาก็ยอมค่ะ ลุงฉ่ำ”
ฉ่ำสะดุ้ง “ครับคุณษา...”
“ช่วยเปิดฝาโลงหน่อย แง้มนิดหน่อยก็ได้ สมพร วิเวกช่วยกันหน่อยนะคะ”
หวาน สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มพากันมองไปที่โลงศพ สวาทยกมือไหว้“อย่าทำอะไรไอ้ฉ่ำนะคะ คุณผู้หญิง”
ชีพหัวเราะในลำคอ “เสร็จแน่ นังปีศาจ...”
ลั่นทมนิ่งไม่สะทกสะท้านก่อนจะระบายยิ้มน้อยๆ
ฉ่ำ สมพร วิเวกเดินไปที่โลงศพ ธารินทร์บอก “ผมช่วย..”
ทั้งสี่คนอยู่ที่ฝาโลงเพื่อจะเปิดฝาโลงแต่ก็หนักจนยกไม่ขึ้น และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“ทำไมหนักยังงี้” ฉ่ำสงสัย
“ไม่ได้การละครับ หนักยิ่งกว่าหินอีก” วิเวกบอก
“ สงสัยไม่ได้..” สมพรว่า
“ออกแรงพร้อมกันอีกที...” ธารินทร์บอก
ทั้งสี่ช่วยกันเปิดฝาโลงแต่ก็เปิดไม่ได้
“หลวงพ่อช่วยหน่อยเถอะครับ”
หลวงพ่อพนมมือภาวนาเบาๆสัปเหร่อพูด “เอ้า ทีนี้ลองกันอีกทีนะครับ”
ทั้งสี่ช่วยกันเปิดฝาโลงศพปรากฏว่าฝาโลงขยับได้หน่อยหนึ่ง กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา ทุกคนจะอ้วก
หวานปิดปากเบือนหน้าไปทางอื่น ทุกคนจะอาเจียน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ถึงกับอาเจียนโอ้กอ้าก ฝาโลงหลุดจากมือปิดสนิทเหมือนเดิม เสียงดังปัง ฉ่ำ สมพร วิเวกรีบผละออกมา
“ไม่ไหวละครับ คุณอุษา ไอ้สมพรขอยอมแพ้ละครับ..” สมพรบอก
“คุณน้าไม่ยอมค่ะ...หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยบอกคุณน้าทีเถอะ เจ้าค่ะ...” อุษาบอก
หลวงพ่อยืนอยู่ตรงหน้าหลับตา
ลั่นทมนอนอยู่ในโลงโดยมีชีพนอนอยู่ข้างๆ
หลวงพ่อพูด “โยมลั่นทม การต้องทุกข์ทรมานอยู่ในโลงแคบๆ นั่นก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งของโยมนะ...อย่าเพิ่มกรรมให้ตัวเองอีกเลย หากขาดสติไปมากกว่านี้ โยมจะยิ่งได้รับทุกข์ทรมาน กรรมจะยิ่งตามสนองโยมนะ”
ลั่นทมน้ำตาคลอแล้วก็ไหล
“หลวงพ่อเจ้าขา...โยมยอมแล้วค่ะ โยมจะยอมปล่อยพวกเขา...แต่หลวงพ่อก็ต้องให้เขากลับตัวกลับใจด้วยนะคะ โยมอยากเห็นพวกเขาเป็นคนดีเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อหันมาทางอุษา
“โยมลั่นทมยอมปล่อยแล้ว” หลวงพ่อบอก
“ปล่อย...หรือว่าคุณผู้ชายอยู่ในนั้น...ไอ้ฉ่ำดูอีกทีซิ” หวานบอก
ฉ่ำส่ายหน้า “น้าหวานก็เห็นว่ามันหนักแค่ไหน...ใครมีแรงก็ยกเอาสิ”
“ใช่...ใช้แต่ไอ้ฉ่ำของฉัน”
สวาทหันมาทางวิเวกกับสมพร ทั้งสองส่ายหน้าเร็วๆ
“น้าหวานจ๊ะ จัดอาหารถวายหลวงพ่อด้วย เดี๋ยวษาจะตามไป” อุษาบอก
ธารินทร์ถาม “ษาจะทำอะไร”
“ถ้ารินทร์อยากรู้ รินทร์ก็อยู่เป็นเพื่อนษาสิคะ ส่วนคนอื่น ๆ กลับไปได้” อุษาบอก
ทุกคนมองไปที่โลงศพ

สมภารนั่งมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนนั่งอยู่ตรงหน้า
“ผีคุณนายลั่นทมบอกหลวงพ่อเหรอครับว่าจะปล่อย...เอ้อ ปล่อยใครครับ” สัปเหร่อบอก
“อาตมาก็ไม่รู้หรอก โยมลั่นทมใช้คำว่าพวกเขา...”
“ถ้าเป็นคุณผู้ชายก็คงไม่ใช่ คุณผู้ชายคนเดียวไม่มีพวก แล้วใครกันหว่า” สวาทสงสัย
หนุ่ยกับโหน่งวิ่งลงบันไดตึงๆ “ยายหวานๆๆ แม่ไปไหน..”
“โหน่งหิวข้าวแล้ว หาแม่ไม่เจอ”
สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มมองหน้ากัน แล้วก็มองหน้าหนุ่ยกับโหน่ง
“นังรสกับแม่นฤมล...”
หวานหันมาใช้สายตาดุๆ ปรามสวาทเพราะกลัวหนุ่ยกับโหน่งจะกลัว


ธารินทร์มองอุษาอย่างตะลึงเมื่อเห็นอุษาแนบหน้ากับโลงศพลั่นทม
“คุณน้าขา...ตอนนี้ทั้งน้าชีพ รสสุคนธ์และนฤมลหายไปจากบ้านนี้ ถ้าคุณน้าเป็นคนทำให้พวกเขาหายไป คุณน้าคืนพวกเขามาเถอะค่ะ ษาจะช่วยเหลือคุณน้าทุกอย่าง ษาสัญญา..”
ธารินทร์เข้ามาปลอบอุษาด้วยการกอดอุษาเบาๆ อุษาหันมาซบกับอกธารินทร์ร้องไห้
“รินทร์คะ ช่วยอ้อนวอนคุณน้าทีเถอะค่ะ...”
“ถ้าผมขอ ผมจะขอให้คุณน้าลั่นทมสงสารษา...คุณน้าคงไม่อยากเห็นษาทุกข์ทรมานจนอาจจะต้องตายตามคุณน้าไปใช่มั้ยครับ”
ลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ
ชีพพูดเสียงดัง “โว้ย ไอ้ธารินทร์ น้าตะโกนอยู่นี่ ไม่ได้ยินหรือไงวะอยากจะออกไปจากนี้เต็มทีแล้ว ฉันยังไม่อยากตายไปพร้อมกับศพนังปีศาจนี่”
“ใช่ค่ะรินทร์ ษาไม่อยากทุกข์ทรมานอีกแล้ว ษาอยากจะตายตายให้รู้แล้วรู้รอดไป..” อุษาบอก
“โธ่..ษา...อย่าโกรธน้าเลย น้ายอมปล่อยคนอื่นก็ได้ แต่น้าชีพน้ายังไม่ยอมให้เขาออกไป เขาจะต้องอยู่กับน้า...”
ชีพเหลือบมาทางลั่นทมแล้วพูดเสียงกร้าว
“ฉันอยากออกไปจากที่นี่ ฉันไม่อยากอยู่ในโลงแคบๆ นี่แกได้ยินฉันมั้ยนังลั่นทม...หา...”


ธารินทร์กับอุษาเดินมาด้วยกัน
“ษาเชื่อว่าคุณน้าจะใจอ่อน วันที่เราได้ทุกคนคืนมา ษาจะขอร้องคุณน้าอีกที จะทำให้รสสุคนธ์กับน้าชีพมากราบขอขมาคุณน้าให้ได้ค่ะรินทร์...”
“ถ้าเขาเชื่อเรา มันก็จบไปนานแล้วนะษา แต่นี่เขาโลภอยากได้ของคนอื่นไปเป็นของตัวเอง”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธารินทร์รับ “ผมร้อยตำรวจโทธารินทร์ครับ...อะไรนะจ่า...ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ธารินทร์ปิดโทรศัพท์บอกอุษา “เกิดเรื่องประหลาดแล้วละษา...”
“อะไรคะ...”


ณ ป่าช้ารถยนต์ที่เกิดจากอุบัติเหตุในคดีต่างๆ มีรถยนต์เรียงรายกันอยู่จำนวนมาก จ่าสองนายกำลังช่วยกันเปิดซากรถยนต์คันหนึ่ง
“มันสนุกนักเหรอคุณ ถึงเข้าไปข้างในน่ะ...ที่ทางมีตั้งเยอะแยะไม่อยู่ ดันอยู่ในป่าช้ารถ...”
“เอ๊ะ พูดมากจริง” รสสุคนธ์ไม่พอใจ “จะช่วยหรือเปล่า ถ้าไม่ช่วยก็ไปเลย ไปไหนก็ได้ไกลๆ เลย”
“น้องรส ทำไมพูดกับคุณจ่าเขาอย่างนั้นล่ะ พอดีเขาก็ไม่ช่วยเราหรอก...พี่อยากกลับบ้านนะ พี่คิดถึงลูก...”
ธารินทร์กับอุษาเดินมาถึงพอดี
“รสสุคนธ์ คุณนฤมล...”
“เออ มาก็ดีแล้ว บอกแฟนแกให้ช่วยฉันที”
“ได้ แต่ก่อนที่ผมจะช่วย บอกมาก่อนว่าทำไมถึงเข้าไปอยู่ข้างในนั่นได้”
อุษาเดินวนรอบรถแล้วน้ำตาก็ไหลพราก
“ใครเขาจะบ้าเข้ามาล่ะ ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นไปได้ยังไงจู่ๆ รถก็เกิดอุบัติเหตุ ไอ้คนขับแท็กซี่มันคงง่วง หลับในเราสองคนก็สลบไปเลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ”
“ใช่ๆ พอรู้สึกตัวก็อยู่ที่ในนี้แล้ว...น่ากลัวจะตาย ดีนะที่รู้สึกตัวตอนกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนจะสยองแค่ไหน”
อุษาส่ายหน้าแล้วมองไปรอบๆ เหมือนต้องการจะสื่อสารกับลั่นทม
“คุณน้าปล่อยเขาแล้ว...อย่าจองเวรกับเขาอีกเลยนะคะ”
ธารินทร์มองอุษาอย่างสงสารและเห็นใจ


รสสุคนธ์เดินนำมาแล้วพูดเสียงดัง
“ฉันนี่แหละจะจองเวรกับมันให้ถึงที่สุด”
“เธอน่าจะสำนึกในบุญคุณของคุณน้านะ...” อุษาบอก
รสสุคนธืหันกลับมาเผชิญหน้าอุษา ธารินทร์กับนฤมลเดินตามหลังมา
“สำนึกเหรอ นังลั่นทมมันมีบุญคุณอะไรกับฉัน ฉันต่างหากที่มีบุญคุณกับมัน ถ้าไม่มีฉันเหรอ ป่านนี้คุณชีพคงมีเมียน้อยไปทั่วเมือง แต่นี่ เพราะมีฉัน”
“เหรอ...มีแค่เธอก็เกินพอแล้วละ...รสสุคนธ์ ขอร้องอย่าด่าว่าคุณน้า ไม่งั้นเธอจะเจอดีอีก”
รสสุคนธ์ทำท่าจะตอบโต้ แต่นฤมลห้ามไว้
“ไม่เอาน่าน้องรส...เชื่อพี่เถอะ...ยังไงเราก็รอดมาได้แล้วนะ”
“คุณนฤมลพูดถูกครับ ผมว่าเหตุการณ์เมื่อคืน คุณสองคนก็ได้รับบทเรียนมากไปแล้ว คุณจะทราบมั้ยว่าถ้าอุษาไม่ขอร้องวิญญาณคุณน้าลั่นทมละก็ ป่านนี้ก็คงไม่มีใครเจอคุณแน่...คงเป็นศพอยู่ในป่าช้ารถนั่นแหละ”
รสสุคนธ์เชิดหน้าแล้วพูดเยาะๆ
“อ้อ สุมหัวกัน จงใจให้ผีมันแกล้งฉัน แล้วอ้างบุญอ้างคุณว่าผีนังลั่นทมมีเมตตา ทุเรศ จำไว้นะ ฉันไม่มีวันให้อภัยมันเด็ดขาด ฉันจะจ้างหมอผีสักสิบคน มาจัดการกับมันอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทนได้มั้ย...”
“ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะน้องรส”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจเดินออกมาจากข้างใน
“อะไรกันเหรอนังรส แล้วหายไปไหนมาทั้งคืน”
“เดี๋ยวผมเล่าให้น้าหวานฟังเองครับ...ให้เขาสองคนไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนดีกว่า”
รสสุคนธ์กับนฤมลเดินขึ้นบันได
มือของลั่นทมคว้าหมับที่ข้อเท้าของนฤมล ทำให้นฤมลเสียหลักล้มลง
“ว้าย..ใครทำอะไรฉัน...ใคร...บอกมานะ”
นฤมลมองไปข้างล่างก็เห็นทุกคนยืนตะลึงอยู่ “เดินไม่ดีก็โทษผีเหรอพี่มล...” รสสุคนธ์ถาม
“แต่ตะกี้นี้มีคนมาจับขาพี่จริง ๆนะน้องรส...มัน...คงกะให้พี่ตกบันไดตายน่ะ”
“เหลวไหล...ฉันไม่กลัวมันหรอก” รสสุคนธ์ท้าทาย “แน่จริงก็ออกมาสิ...นังรสไม่กลัวหรอก..”
“นังรส...ปากเสีย..” หวานว่า
“กลางวันแสกๆ ยังงี้ ถ้าเฮี้ยนจริงก็ต้องทำให้ฉันเชื่อสิ”
“รสสุคนธ์ เธออย่าก้าวร้าวต่อวิญญาณคุณน้านะ” อุษาเตือน
รสสุคนธ์ไม่ใส่ใจ เธอก้าวขึ้นบันไดอย่างท้าทาย มือของลั่นทมผลักรสสุคนธ์อย่างแรงจนรสสุคนธ์เสียหลักกลิ้งตกลงมา ธารินทร์รีบวิ่งไปประคองไว้ได้ หวานปิดปากด้วยความตกใจเช่นเดียวกับสวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ
“นังรส...”
“รสสุคนธ์ เป็นอะไรหรือเปล่า” อุษาถาม
นฤมลหน้าซีด เธอเหลียวมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ลั่นทมยืนท้าทายอยู่ที่บันไดขั้นบนสุด รสสุคนธ์สะบัดธารินทร์ออกเพราะเสียหน้า
“ปล่อย...”
รสสุคนธ์ก้าวขึ้นบันไดผ่านหน้าลั่นทม ลั่นทมมองตามด้วยสายตาอาฆาต นฤมลตามไปติดๆ


นฤมลคุยกับรสสุคนธ์อยู่
“น้องรส พี่ว่าเราย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ พี่บอกตรงๆนะว่าพี่กลัวถ้าวันนี้น้องรสหรือพี่คอหักตายจะว่ายังไง”
“ดีสิ...ฉันจะได้มาหลอกหลอนพวกมัน โดยเฉพาะนังอุษา...เอาให้มันกลัวจนขาดใจตายไปเลย”
“แล้วนี่น้องรสยังคิดจะไปหาคุณชีพที่คอนโดอีกหรือเปล่า”
“คงไม่แล้วละ...”
นฤมลระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ดีแล้วละน้องรส...พี่ว่ารักษาชีวิตไว้ดีกว่า...เงินทองน่ะมันของนอกกาย ไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้นะน้องรส”
รสสุคนธ์ทำเสียงล้อประชด “เหรอ” รสสุคนธ์ลากเสียงยาว “ถ้างั้นพี่มลจะเสนอหน้าอยู่ทำไมอยากหาศักดิ์ศรีก็ออกไปหาข้างนอกสิ โน่น...” รสสุคนธืชี้มือไปที่ประตู “ไปเลย...ถ้าใจบุญนัก ไม่โลภ ไม่อยากได้สมบัติของใครก็ไปอยู่วัดซะ ผัวก็ไม่มีแล้ว ฉันจะติดต่อตาลุงสัปเหร่อให้เอามั้ยล่ะ”
นฤมลยิ้มแหยๆ เพราะไม่มีที่ไป“ยังไงก็ต้องกลัวไว้บ้าง โบราณว่าจิ้งจกทักยังต้องฟัง”
“จิ้งจกน่ะฉันฆ่าตายคามือมาหลายตัวแล้ว...รู้ไว้ด้วยว่าคนอย่างนังรส ลองได้ก้าวไปข้างหน้าแล้ว อย่าหวังว่าจะยอมแพ้ มันต้องตายกันไปข้างเลย”


อุษา ธารินทร์ และหวานนั่งคุยกัน
“ษายังแปลกใจอยู่ดี คุณน้าจะมีอำนาจมากขนาดบังคับร่างกายของรสสุคนธ์กับนฤมลไปที่ป่าช้าได้ยังไง...”
“เป็นไปได้สิ อย่าลืมนะคะคุณ อุษา คุณผู้หญิงไม่ได้เป็นคนอย่างพวกเราแล้ว...แต่ว่าท่านเป็น...”
หวานยังพูดไม่จบ อุษาก็รีบตัดบท
“เป็นอะไรก็ไม่ต้องพูดหรอกน้าหวาน...แต่ถึงคุณน้าจะไม่ใช่คน แต่คุณน้าก็ไม่น่าจะทำแบบนั้นได้ ษาไม่อยากเชื่อ”
“ป่าช้ารถยนต์กับที่เกิดเหตุไม่ได้ไกลกันเลยนะษา...ตรงที่ใช้เป็นป่าช้ารถยนต์น่ะ ทางตำรวจใช้ที่โล่งข้างถนนสำหรับเก็บซากรถที่ยังอยู่ในคดี....ท่านอาจจะสะกดจิตทั้งสองคนนั่นให้เดินไปได้” ธารินทร์บอก
“เชื่อเถอะค่ะคุณอุษา”
อุษามองออกไปข้างนอกด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ถ้าคุณน้ายิ่งมีอิทธิฤทธิ์ ความน่ากลัวของคุณน้าจะต้องมากขึ้น...ษาหวั่นใจจังเลยค่ะรินทร์”
“อะไรเหรอษา”
“สักวันคนที่จะตกเป็นเหยื่อของคุณน้าจะต้องมีมากขึ้น..” อุษาหวั่นใจ


สวาท ฉ่ำ และยาใจทำกับข้าวกันอยู่
“เร่งมือเข้านะยะ คุณผู้หมวดอยู่ทานข้าวด้วย...อ้อ มัวแต่ยุ่งๆ กันตั้งแต่เช้า เครื่องเซ่น...เอาไปที่สุสานหรือยังวะนังยา นังลิ้ม” สวาทถาม
ยาใจกับจิ้มลิ้มตกใจ “เออ จริงสิ น้าหวาด...รู้สึกเหมือนว่าจะยัง...”
“ยังๆๆ ฉันจำได้”
สวาทเหลียวมองไปรอบๆ “น้าหวานไม่รู้ใช่มั้ย...”
“มัวด่านังรสกับแม่นฤมลอยู่ เลยไม่ได้ใส่ใจ”
“น้าหวาดถามทำไม”
สวาทชี้หน้าทั้งสองเป็นเชิงคาดโทษไว้ล่วงหน้า
“ถ้าน้าหวานถามก็บอกว่าเอาไปแล้ว แล้วก็เอากลับมาแล้วนะโว้ย ขืนใครปากโป้ง นังหวาดจะตบเปรี้ยงให้หน้าหันเลย”
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้น แต่ไม่มีใครเห็น
“สวาท ฉันหิวข้าว...”
สวาทหันกลับไปทำกับข้าวต่อ“ฉันหิวข้าว...คุณชีพก็หิว เร็ว ๆ หน่อยสิ”
สวาทเหลียวมองไปรอบๆ เหมือนได้ยินเสียง
“นังยา นังลิ้ม ได้ยินอะไรหรือเปล่าวะ”
“ได้ยินอะไร ไม่มี..”
“น้าหวาดได้ยินอะไรล่ะ...”
“เออ ช่างเถอะ...”
สวาททำงานต่อไป ลั่นทมประชิดอยู่ด้านหลังแล้วกระซิบที่ข้างหูสวาท“ฉันหิวข้าว...”
สวาทสะดุ้งแล้วพูดเสียงดัง “หิวข้าว...”
“ใช่ เร็วๆ สิ เอาเยอะๆ นะ”
สวาทตรงไปเปิดหม้อข้าวแล้วก็ตักข้าวจานใหญ่
“ใครจะกิน มากมายยังงั้นน้าหวาด..” ยาใจถาม
“เครื่องเซ่นคุณผู้หญิง” สวาทตอบ
“อ้าว พูดอยู่หยกๆ ว่าไง ลืมแล้วเหรอน้าหวาด หรือว่ากลัวคุณอุษาด่า...”
สวาทไม่ใส่ใจ ยังคงรีบตักกับข้าวจัดสำรับอย่างรวดเร็ว ลั่นทมยืนยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ

อ่านต่อตอนที่ 13

กำลังโหลดความคิดเห็น