อย่าลืมฉัน ตอนที่ 22
เกนหลงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้กลางห้อง หัวใจเต้นอย่างเหนื่อยอ่อน สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่างบีบหัวใจเหลือเกิน น้ำตาของเกนหลงไหลไม่หยุด
ภาพที่เห็นเขมชาติกับสุริยงทะเลาะกันย้อนเข้ามา เหมือนละครที่ฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เกนหลงร้องไห้ออกมา ทุกอย่างคลี่คลายออกมาแล้ว เป็นความจริงที่แสนจะเจ็บปวด
เอื้อเปิดประตูเข้ามา และมองเกนหลงด้วยความสงสารจับใจ เกนหลงค่อยๆหันมาพอเห็นเอื้อเท่านั้นก็ปล่อยโฮออกมา
“พี่เอื้อ”
เกนหลงลุกขึ้นและวิ่งมากอดเอื้อเหมือนเด็กที่วิ่งเข้าหาคนที่ตัวเองไว้ใจและปล่อยความรู้สึกทุกอย่างออกมา เกนหลงร้องไห้อย่างหนัก ในอ้อมกอดของเอื้อ ที่กอดเธอไว้ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
เกนหลงพูดปนสะอื้น
“เกนรู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้ว ก่อนเริ่มงาน เขา เขามาทะเลาะกันตรงนี้ แล้วเขาก็พูดทุกอย่าง”
พูดทุกอย่างที่เกนสงสัย เขาสองคน เขารักกันค่ะพี่เอื้อ เขาสองคนรักกัน เขมรักคุณสุ เขมไม่ได้รักเกน เขมเขาไม่ได้รัก
เกน”
เกนหลง ร้องไห้ตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของเอื้อ เอื้อหลับตาอยากจะพูดมากมาย แต่สุดท้ายก็พูดได้แค่ว่า
“ร้องไปเลย ร้องออกมาให้หมด พี่จะอยู่เช็ดน้ำตาให้เราเอง”
เกนหลงปล่อยโฮ หนักกว่าเดิม ยิ่งเกนหลงร้องหนัก เอื้อก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น ทั้งสองคนถ่ายเทความรู้สึก
ให้กันและกันอย่างลึกซึ้งและสวยงาม
เอื้อและเกนหลงยืนกอดกันท่ามกลางความเศร้า ความเสียใจ ความสงสาร และความรักที่เด่นชัดแม้
ทั้งสองคนจะไม่รู้ตัวก็ตาม
เขมชาติ ที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น ในขณะที่สมคิด วิบูลย์ ที่คุยกับหมอ ไม่มีใครเห็นว่าเขมชาติฟื้นแล้ว
“ผลเอกซเรย์ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีเลือดออก ไม่มีรอยแตก แต่ถ้าคนไข้ฟื้นแล้วมีอาการวิงเวียน
หรือแน่นหน้าอก ต้องรีบพามาหาหมอทันทีนะครับ”
สมคิดรับคำ “ครับ ผมจะดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุดครับ”
“สำหรับวันนี้ ถ้าคนไข้รู้สึกตัวแล้วจะกลับเลยก็ได้นะครับ ไม่มีอะไรแล้ว”
“ขอบคุณมากครับ”
เมื่อหมอเดินออกไป เขมชาติก็เอ่ยคำถามแรก
“งาน งานหมั้น งานหมั้นเป็นยังไงบ้าง”
สมคิดกับวิบูลย์รีบหันมา
“คุณเขม คุณเขมรู้สึกตัวแล้ว” วิบูลย์รีบวิ่งมาดูอาการ
“คุณเกน คุณเกนอยู่ที่ไหน?”
เขมชาติร้องเรียกหาเกนหลง ด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ ในใจ
วิบูลย์อึกอัก สมคิดจึงพูดแทรกขึ้น
“เดี๋ยวผมคุยกับคุณเขมเอง คุณวิบูลย์ช่วยไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายให้หน่อยนะ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็ให้รถมารอรับ จะได้พาคุณเขมกลับไปพักต่อที่บ้าน”
วิบูลย์รับคำ ก่อนที่จะเดินออกไป สมคิดหันมาทางเขมชาติ แล้วก็ถอนใจ “เฮ่อ”
เขมชาติพูดด้วยความตกใจ
“คุณอาพจน์สั่งระงับงานหมั้นวันนี้?”
“ก็คุณสลบกลางงาน พวกผมก็ต้องพามาโรงพยาบาล ถ้าไม่ระงับจะให้คุณเกนหมั้นกับใครล่ะครับ?”
เขมชาติรู้สึกเป็นห่วงเกนหลงอย่างมาก
“ถ้าข่าวนี้ออกไป คุณเกนจะต้องเสียหาย ผมจะไปหาคุณเกน”
เขมชาติจะลุกไปแต่สมคิดรีบจับไว้
“เดี๋ยวครับ ผมว่าก่อนที่คุณจะไป คุณควรจะหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าคุณจะไปทำไม คุณพุ่งเข้าไปช่วย
ผู้หญิงอื่น แทนที่จะช่วยคู่หมั้นของตัวเอง ใครๆก็เห็นกันทั้งงาน และตอนนี้คุณจะกลับไปหาคุณเกน คุณจะไปพูด
อะไรกับเธอ”
เขมชาติสะอึก สมคิดพูดต่อ
“จะขอนัดวันหมั้นใหม่ ขอหมั้นแบบกันเอง และไปจัดใหญ่ในงานฉลองสมรส หรือจะไปแก้ตัวอะไรอีก
ที่ผ่านมาคุณเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เพราะคุณเกนเธออาจจะแค่สงสัย ไม่เห็นกับตา แต่ครั้งนี้ เธอเห็นเต็มสองตา ถ้า
คุณจะแก้ตัว คิดดูให้ดีๆนะครับ ว่าจะแก้แล้วหลุด หรือ ยิ่งแก้ยิ่งมัดตัวเองแน่นขึ้นไปอีก”
เขมชาติฉุกคิด สติเริ่มกลับมา สมคิดเห็นเขมชาติสงบแล้วก็นั่งลงข้างๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่มีประโยชน์ถ้าคุณเขมจะไปแบบไม่รู้ใจตัวเอง จะยิ่งทำให้ปัญหาบานปลายมาก ที่ผ่านมา ผม
พยายามเตือนให้คุณเขมตัดใจ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้ผมขอแนะนำให้คุณถามใจตัวเอง คุณจะเลือกใคร ก่อนที่จะ
เดินไปข้างหน้า อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ทำร้ายตัวเอง และคนรอบข้างอีกเลยครับ”
เขมชาตินิ่ง ยอมรับโดยไม่โต้แย้ง และเริ่มคิดหนัก
รถชนะมาจอดเทียบหน้าบล้านสุริยง ในขณะที่เด็กน้อยทั้งสามคนนอนหลับเรียงกันในรถด้วยความอ่อนเพลีย
“ขอบคุณคุณชนะที่มาส่ง เดี๋ยวสุไปตามชื่นมาช่วยอุ้มไก่ กับไข่ เข้าบ้าน รอสักครู่นะคะ”
สุริยงลงจากรถไป ชนะมองตาม แล้วก็ตัดสินใจลงตามไป
“คุณสุครับ เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเรื่องคาใจนิดหน่อยครับคือ เอ่อ ผมค่อนข้างแปลกใจที่วันนี้คุณ
เขมเข้ามาช่วยคุณ แทนที่จะช่วยคู่หมั้นตัวเอง ขนาดผมยืนอยู่ใกล้ๆ ยังเข้าไปช่วยคุณสุไม่ทันเลย เหมือนคุณเขมเขา
เป็นห่วงคุณสุมาก”
สุริยงชะงักนิดๆ แต่พยายามไม่แสดงออก ชนะพูดต่อ
“มันขัดแย้งกับท่าทีที่เขาแสดงออกว่าไม่ค่อยชอบคุณ ผมก็เลยสงสัย จริงๆแล้วเขาทำเป็นไม่ชอบ
เพราะกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองหรือเปล่า ? ตรงๆเลยนะครับ คุณเขมเขาคิดอะไรกับสุหรือเปล่า?”
สุริยงสะอึก อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็ยิ้มกลบเกลื่อน
“คงไม่หรอกค่ะ อุบัติเหตุวันนี้มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนวัดอะไรไม่ได้ บางทีคุณเขมชาติอาจจะไม่ได้คิด
อะไรเลยก็ได้ สุไม่อยากตัดสินอะไรทั้งนั้นค่ะ”
ชนะมองหน้าสุริยง พยายามจะหาคำตอบ แต่ก็ไม่พบคำตอบที่ต้องการ
“วันนี้ตัดสินไม่ได้ ถ้าวันไหน คุณสุตัดสินได้ว่า คุณเขมชาติเขาคิดยังไงกับคุณ ช่วยบอกผมด้วยนะ
ครับ อย่างน้อยผมก็อยากรับรู้ในฐานะเพื่อนคนนึง”
สุริยงพยักหน้ายิ้มรับและเดินเข้าบ้านไป ทันทีที่คล้อยหลังชนะ แววตาของสุริยงครุ่นคิดอย่างหนัก
ชนะมองตามสุริยงรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
เกนหลง ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นอนหลับอยู่บนโซฟา โดยมีเอื้อนั่งอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
เอื้อเดินมาเห็นว่าเกนหลงหลับแล้ว ก็ขยับห่มผ้าให้แล้วก็เดินออกไป
คุณพจน์ยืนรออยู่ เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“น้องเป็นยังไงบ้าง?”
“ร้องไห้จนหลับไปแล้วครับ”
คุณพจน์ถอนหายใจเบาๆ
“เฮ่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ อาไม่เห็นด้วยตั้งแต่ให้ผู้หญิงคนนั้นมาช่วยจัดงานแล้ว”
เอื้อชะงักนิดๆ
“ขอโทษนะ ถึงเขาจะมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงเอื้อ แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
“เอ่อ มันยากที่จะอธิบาย แต่เท่าที่ผมรู้จักหนูเล็กมา ผมมั่นใจว่าหนูเล็กคงไม่ดีใจที่เหตุการณ์ลงเอยแบบนี้”
“ถ้าเขาไม่ดีใจ แล้วเขมชาติหล่ะจะดีใจหรือเปล่า อาอยากรู้จริงๆว่าคิดยังไง ดูสิ ตั้งแต่เกิดเรื่องก็หาย
เงียบไปเลย นี่อาก็ให้คนเอาสินสอดทองหมั้นไปคืนเขาแล้ว ไม่อยากเอามาเก็บไว้ให้มันค้างๆคาๆ ถ้าจะยังจะยืนยัน
ว่าจะหมั้นก็ค่อยว่ากันอีกที บอกตรงๆ อาก็เดาใจหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ออกจริงๆ เฮ่อ”
คุณพจน์คิดถึงเขมชาติแล้วก็ถอนหายใจ เอื้อฟังแล้วก็พาลคิดถึงไปด้วย นั่นสิ เขมชาติจะคิดยังไง
ในขณะที่เขมชาติกลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้าน ก็เดินเข้ามาในห้องนอน เห็นผนังที่มีรูปสุริยงกับตัวเองติดอยู่ อีกด้านของห้องเห็นกองของหมั้นวางอยู่ พร้อมกับกระดาษโน้ตของสมคิด
“ทางคุณพจน์สั่งให้คนเอาสินสอดกลับมาคืนคุณเขมก่อนหลังจากเคลียร์กันแล้ว ค่อยว่ากัน ผมวางของมีค่าไว้ใน
ห้องนอนคุณเขมนะครับ”
เขมชาติหันไปดูของหมั้น ที่มีทั้งกล่องเครื่องประดับ และเงินสด รวมทั้งกล่องแหวนหมั้น พลางหยิบ
แหวนหมั้นมาดู แล้วก็คิด จากนั้นก็ปรายตาไปมองที่รูปสุริยง ก่อนที่จะวางแหวนไว้ที่เดิม แล้วก็เดินมาที่รูป ค่อยๆยื่น
มือไปจับรูปด้วยความรัก แล้วก็หันมาทางแหวนอีกครั้งยามนี้เขมชาติยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างรูปของสุริยง และแหวน
ของเกนหลง ก่อนที่จะค่อยๆ ทรุดคุกเข่าลง เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเหลือเกิน คำพูดสมคิดดังเข้ามาอีกครั้ง
“ที่ผ่านมา ผมพยายามเตือนให้คุณเขมตัดใจแต่มันก็ไม่สำเร็จ ตอนนี้ผมขอแนะนำให้คุณถามใจตัวเองคุณจะเลือกใคร
ก่อนที่จะเดินไปข้างหน้า อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ทำร้ายตัวเอง และคนรอบข้างอีกเลยครับ”
เขมชาตินั่งอยู่ตรงกลาง ระหว่างทางที่ต้องเลือก ในขณะที่สุริยงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก นภาเดินเข้ามาหา
“นี่แม่หนูเล็ก เมื่อเช้าก่อนนายไก่ นายไข่จะไปโรงเรียน บอกให้แม่ฟังว่าเมื่อวานที่งานมีใครที่ชื่อ พี่เขมนอนหลับไปเลย
คืออะไร?”
ครั้นเห็นสุริยงเก็บของก็แปลกใจ
“อ้าว แล้วนี่หนูเล็กจะไปไหน?”
ทันใดนั้นเสียงออดก็ดังขึ้น ที่หน้าบ้าน
เมื่อประตูบ้านเปิดออก ฮันนี่ ที่ยืนอยู่กับชนะ ก็รีบวิ่งข้ามากอดสุริยงทันที
“ น้าสุ สวัสดีค่ะ กลับบ้านเรากันค่ะ”
นภา อาทิตย์ เดินตามออกมา ชื่นยกกระเป๋ามาให้ ชนะ กับฮันนี่ยกมือสวัสดี นภา อาทิตย์รับไหว้
“พ่อคะ แม่คะ หนูเล็กกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
“อ้าว แล้วเรื่องงานของคุณเกนหล่ะ” อาทิตย์เริ่มงง
สุริยงรีบบอก “หนูเล็กคงอยู่ช่วยไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ อยากรีบกลับไปทำงานมากกว่า”
ฮันนี่กระโดดตัวลอย
“เย้! น้าสุคิดถูกที่สุดเลยค่ะ ฮันนี่ก็อยากให้น้าสุกลับไปทำงานมากกว่า งานเมื่อวานไม่เห็นสนุกเลย
รอดูงานหมั้นของคุณพ่อกับน้าสุนะคะ รับรองสนุกกว่านี้ล้านเท่า”
นภากับอาทิตย์หัวเราะในความช่างฉอเลาะของฮันนี่ ในขณะที่ชนะอายจนหน้าแดง
“ฮันนี่คะ อย่าเยอะมากลูก พ่อเขิน”
สุริยงหันมาบอกพ่อกับแม่
“หนูเล็กไปก่อนนะคะ พ่อแม่อย่าทำงานหนักนะคะ ชื่นดูพ่อกับแม่ด้วยนะ ฝากสองแสบด้วย เดี๋ยว
เย็นนี้หลังเลิกเรียนสุจะโทร.คุยกับเขาอีกที ไปนะคะแม่”
สุริยงมองหน้านภาแล้วก็โผมากอด เหมือนจะขอกำลังใจบางอย่าง นภางงๆ ไม่รู้เรื่อง ได้แต่อวยพร
ลูกสาว
“เดินทางดีๆนะลูก วันหยุดก็รีบกลับมาหล่ะ”
“ค่ะ”
ชนะ ฮันนี่ยกมือไหว้ร่ำลา นภากับอาทิตย์รับไหว้ ฮันนี่จูงมือสุริยงไปอย่างมีความสุข ชนะถือกระเป๋า
ตามไป ครั้นรถแล่นออกไป อาทิตย์รีบหันมาถามนภาทันที
“ตกลงยังไงคุณ เรื่องงานเมื่อวาน หนูเล็กว่ายังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น ? ถามหรือยัง?”
“ถามแล้ว แต่ง้างไม่ขึ้น หนูเล็กปิดปากเงียบตามฟอร์ม ไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็เนี่ย ไปทำงานซะ
แหละ ตกลงก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น แล้วคนชื่อพี่เขมๆ อะไรนั่นน่ะ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
นภาพูดทิ้งท้ายด้วยความอยากรู้
เขมชาติยืนรอเกนหลงอยู่ในบ้าน แววตาครุ่นคิด เหมือนตัดสินใจบางอย่าง เกนหลงเดินเข้ามาทางด้านหลัง ในใจเดือดพล่านแต่พยายามคุมอารมณ์
เขมชาติได้ยินเสียงฝีเท้าหันมา
“คุณเกน”
เกนหลง มองหน้าเขมชาตินิ่ง “เกนรอฟังคำอธิบายอยู่ค่ะ”
“ผมขอโทษ” เขมชาติก้มหน้า ด้วยความรู้สึกผิด
ทั้งที่โกรธ แต่เกนหลงก็สู้ควบคุมอารมณ์ไว้ “ขอโทษ.เรื่องอะไรคะ?”
“เรื่องที่ผมปิดบังคุณมาตลอด เรื่องที่ผมไม่เคยบอกคุณ”
เกนรอฟังใจเต้น ใจสั่น น้ำตาเอ่อ และพร้อมจะไหลได้ทุกเมื่อ
“ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อสุริยาวดี”
เกนหลงขมวดคิ้ว
“เราคบกัน ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง แล้วเธอก็ทิ้งผมไปแต่งงานกับคนอื่น”
เกนหลงใจยังเต้นโครมคราม
“ผมไม่ได้ข่าวเธออีกเลย แต่ไม่นานมานี้ เธอกลับมาในชีวิตผมอีกครั้ง” เขมชาติพูดไม่ออก แต่ก็
จำต้องพูด “เธอเปลี่ยนชื่อ ...เป็น ...”
เกนหลงตอบแทน...เสียงสั่น น้ำตาเริ่มจะคลอ “สุริยง”
เขมชาติเงยหน้ามองเกนหลง สองคนประสานสายตากัน แล้วเขมชาติก็พยักหน้า เกนหลงเซนิดๆเจ็บปวด จนแทบจะยืนไม่อยู่
“ตลอดเวลาผมพยายามที่จะลืมเธอ และผมคิดว่า ผมลืมเธอได้”
เกนหลง เสียงแข็ง “แต่คุณไม่เคยลืม"
เขมชาติ เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“ ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมเกลียดเธอ เกลียดที่เธอทิ้งผมไป เกลียดที่เห็นแก่เงิน ผมเกลียดเธอที่สุด”
เกนหลง น้ำตาร่วง “ แต่จริงๆแล้ว คุณยังรักเธอ!”
เขมชาติสะอึก มองหน้าเกนหลง เห็นแววตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ เกลียด ผิดหวัง เขมชาติเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส..
“ผมขอโทษ”
เขมชาติทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าเกนหลง เกนหลงเห็นเขมชาติยอมรับอย่างหมดฟอร์ม ก็ยิ่งเสียใจ แค้นใจ จนในที่สุด ก็ระเบิดออกมา
“ทำไม ทำไมต้องโกหก ทำไมไม่บอกความจริงตั้งใจแรก ทำไมต้องปิดบังกัน ทำไม ทำไม”
เกนหลงทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ เขมชาติไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่พูดคำว่าขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เลิกพูดคำนี้ได้แล้ว ไม่อยากฟัง คำขอโทษของคนโกหก ฟังยังไงก็ไม่เชื่อ”
เกนหลงกลั้นใจถาม แม้ในใจลึกๆ กลัวคำตอบ
“สรุปแล้วเหตุการณ์ที่สวิสทั้งหมด มันคือการจัดฉาก และการโกหกครั้งมโหฬาร ใช่มั้ย?”
เขมชาติไม่กล้าตอบ
“มันไม่มีความจริงอยู่เลยใช่มั้ย? คุณหลอกให้เกนอยู่ที่นี่ เพื่อคุณจะได้อยู่กับแฟนเก่าสองต่อสองคุณโกหก โกหกทุกอย่าง”
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 22 (ต่อ)
เกนหลงน้ำตาไหลพราก
“ไม่ใช่ทุกอย่าง มีอย่างนึงที่ผมไม่ได้โกหก คุณคือผู้หญิงที่ผมต้องการแต่งงานด้วย มันคือความจริง”
เกนหลงยิ่งฟังยิ่งแค้น
“อย่างเดียวเหรอ? เหอะ อย่างเดียวเนี่ยนะ จะบอกให้นะ ความจริงที่คุณพูด มันจะไม่มีวันเป็นจริง เกนแต่งงานกับผู้ชายที่หลอกตัวเอง ไม่รู้ใจตัวเอง จนทำให้คนอื่นต้องเสียใจแบบนี้ไม่ได้ คุณยังไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง ชาตินี้คุณจะซื่อสัตย์กับคนอื่นได้ยังไง เกนขอยกเลิกทุกอย่าง เราจบกันแค่นี้”
เกนหลงฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขมชาติอย่างแรง จนเขมชาติหน้าหันไปตามแรงตบ หน้าชา ใจสะท้านไปชั่วขณะ เกนหลงสะบัดหน้าและเข้าบ้านไปด้วยความเสียใจ ผิดหวังอย่างที่สุด เขมชาติ ค่อยๆ หันมา ใบหน้าแดงกล่ำ
“คุณเกน”
เขมชาติมองเกนหลงด้วยความรู้สึกผิด ได้แต่ยอมให้เกนหลงเดินจากไปด้วยความเสียใจ
เกนหลงเดินเข้ามาในห้องนอน แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งที่พื้น แล้วก็ร้องไห้ แต่เป็นการร้องไห้อย่างคนที่มีสติ อย่างผู้หญิงที่เข้มแข็ง ไม่ฟูมฟายสะอึกสะอื้นเหมือนที่ผ่านมา
ในขณะที่เขมชาติยังอยู่ที่เดิม น้ำตาร่วงด้วยความเสียใจ รู้สึกผิดสุดหัวใจ และเมื่อคุณพจน์เดินเข้ามาในบ้าน เกนหลงก็เดินเข้ามาหาบิดา พลางพูดเสียงนิ่งๆ เข้มแข็ง ความเสียใจแทบจะหายไปหมดสิ้น คงเหลือแต่ความเด็ดเดี่ยว
“เกนได้คำตอบ สำหรับอนาคตตัวเองแล้วนะคะคุณพ่อ”
คุณพจน์มองหน้า รอฟังอย่างตั้งใจ
ชนะคุยโทรศัพท์อยู่ในมุมหนึ่งของรีสอร์ท ไม่ห่างออกไปเห็นสุริยงตรวจความเรียบร้อยของรายชื่อแขกที่เคาน์เตอร์
“ครับๆ ได้ครับ ขอบคุณครับ”
ชนะวางสายไปแล้วก็เดินมาหาสุริยง
“คุณพจน์โทร.มาบอกผมว่า ไม่ต้องรีบตกแต่งคอนเวนชั่นฮอลล์โรงแรมใหม่ เพราะงานแต่งของคุณเกน ยกเลิกไปแล้ว”
สุริยงอึ้ง
“ไม่มีงานแต่ง งานหมั้นที่ค้างไว้ ก็ยกเลิกไปด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
พลางหันมาถามสุริยง
“คุณสุรู้หรือเปล่า”
สุริยงยืนอึ้ง จนชนะต้องเรียกซ้ำ
“คะ...คะ อะไรนะคะ”
“คุณสุรู้หรือเปล่าครับ ทำไมคุณเกน กับคุณเขมถึงได้ยกเลิกงานแต่ง”
สุริยงอึกอัก “ไม่ทราบค่ะ สุก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? สุขอตัวไปตรวจสระว่ายน้ำหน่อยนะคะ เมื่อเช้าบริษัทดูแลสระเจ้าใหม่เพิ่งเข้ามาทำครั้งแรก”
สุริยงพูดจบก็เดินเลี่ยงไป ชนะมองตาม สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของสุริยงแต่ยังชัดเจนนัก
ในขณะที่เขมชาติ หลังจากกลับจากบ้านเกนหลง มาถึงบ้านของตัวเอง ก็ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา อย่างคนหมดแรง ก่อนจะเอนตัวลงนอนซังกะตาย หมด หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หมดกัน
เอื้อยืนอยู่กลางบ้านเกนหลง ที่เงียบเหงา มีเพียงคุณพจน์ ที่ยืนต้อนรับอยู่
“เกนไปต่างจังหวัดเหรอครับ?”
คุณพจน์พยักหน้าแทนคำตอบ
“ไปจังหวัดไหนครับ?”
คุณพจน์ถอนหายใจ
“อาว่า ปล่อยเขาให้อยู่กับตัวเองไปสักพักเถอะ”
เอื้อจำใจรับคำ “ครับ แล้วเกนไม่อยู่แบบนี้เรื่องงานที่ยังค้างอยู่”
“ไม่มีแล้ว ทั้งงานหมั้น และงานแต่ง เกนเขาขอยกเลิกทั้งหมด รวมทั้งความสัมพันธ์กับเขมชาติตอนนี้ทั้งสองคนก็เลิกกันแล้ว”
เอื้ออึ้งไป ถึงจะพอคาดเดาตอนจบไว้อยู่แล้ว หากก็ไม่คิดว่าจะปิดฉากอย่างงรวดเร็วแบบนี้
อัมพิกา ที่ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ขยับตัวขึ้นมานั่งตัวตรงด้วยความแปลกใจ เมื่อได้รับฟังข้อมูลจากทนายธีระศักดิ์
“นังนั่นไม่เซ็นรับหุ้น ทำไมจะต่อรองเอาอะไรอีก? มันต้องการอะไรเพิ่มอีกนอกจากหุ้น”
“ไม่มีครับ คุณสุริยงขอยืดเวลาไปจนกว่าคุณอัมพิกาจะหาย ขอให้ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อย
จัดการ คุณสุริยงเป็นห่วงไม่อยากให้เครียดกลัวว่าอาการจะทรุด”
อัมพิกาชะงัก ไม่เชื่อว่าสุริยงปรารถนาดีจริงๆ
“สร้างภาพ คิดว่าทำดีแล้วฉันจะประเคนสมบัติให้งั้นสิ มันจะต้องฝันค้าง เพราะฉันจะนอนอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”
“คุณสุริยงคงไม่ได้คิดแบบนั้น” ทนายธีระศักดิ์ช่วยแก้ข้อกล่าวหา
อัมพิกาสวนทันที
“ฉันไม่เชื่อ ปลิงอย่างมันคิดแต่จะสูบสมบัติของตระกูลฉัน อย่าหวังเลย”
ทรนายธีระศักดิ์พยายามจะอธิบาย “แต่...”
“จะเถียงแทนมันทำไม นี่ทำงานกับใครกันแน่ หะ”
ทนายธีระศักดิ์ยิ้มเจื่อนๆ
“ขอโทษครับ ถ้าคุณอัมพิกาไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อัมพิกายังไม่ทันตอบ ธีระศักดิ์ก็เนียนเดินออกไป สวนกับพยาบาลที่เข็นรถเสิร์ฟอาหารเข้ามา
อัมพิกาพึทพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด “ ทำให้อารมณ์เสียแต่เช้า”
“อาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มทรงเครื่องเห็ดหอมสดค่ะ” พยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลาง
จัดการเปิดฝาถ้วยเห็นข้าวต้มร้อนๆ กลิ่นหอนฉุย
อัมพิกาตักชิม สีหน้าพอใจ
“อร่อยมาก ว่าจะชมหลายทีแล้ว ตั้งแต่มาพัก อาหารถูกปากทุกมื้อ ฝากชมทางครัวด้วยนะ”
พยาบาลอธิบายซื่อๆ “อาหารที่เสิร์ฟให้คุณอัมพิกา ไม่ใช่อาหารของทางโรงพยาบาลค่ะ”
“อ้าว ไม่ใช่ของโรงพยาบาล แล้วเป็นของใคร?”
อัมพิกางง
ในขณะที่อาทิตย์กับนภากำลังเดินถือปิ่นโตออกไป บังเอิญสวนกับพยาบาลคนเดิม ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องพักอัมพิกา พยาบาลจึงเรียกไว้
“ญาติคุณอัมพิกาคะ”
อาทิตย์กับนภาชะงักหันมา
“คุณอัมพิกาเชิญพบค่ะ”
เมื่อเข้ามาในห้องพักของอัมพิกา ทั้งอาทิตย์ และนภา ก็ยืนตัวลีบ เมื่อสะดุดกับสีหน้ากราดเกรี้ยว และหางตา ที่มองมายังทั้งคู่อย่างวางอำนาจ
“พวกแกคิดจะทำอะไรฉัน?”
อาทิตย์งง “ทะ ทำอะไรครับ ผมไม่ได้คิดอะไรเลยครับ”
“ไม่จริง!แ กคิดจะทำอาหารสกปรกให้ฉันกิน” อัมพิกาเริ่มจินตนาการเป็นตุเป็นตะ
“หรือพวกแกแอบใส่ยาพิษในอาหาร คิดจะฆ่าฉันใช่ไหม!”
อาทิตย์กับนภาตกใจ นภาปฎิเสธเสียงสั่น
“เปล่านะคะ เราไม่เคยคิดแบบนั้นเลยแล้วอาหารทุกอย่างก็สะอาด ปลอดภัย ใช้วัตถุดิบอย่างดีนะคะ
พวกเราทำตามคำแนะนำของคุณเอื้อทุกอย่าง ทำแต่สิ่งที่คุณชอบ”
อัมพิกาเบ้ปาก “ฉันไม่เชื่อ พวกแกต้องการอะไร พูดความจริงมา”
อาทิตย์รีบอธิบาย
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ ที่เราทำอาหารมาให้เพราะคุณเอื้อบอกว่าคุณป่วยเพราะความเครียด เราเลยคิด
ว่า ถ้าได้ทานอาหารถูกปากก็อาจจะทำให้อารมณ์ดี”
นภารีบเสริม “เราดีใจนะคะที่คุณอัมพิกาทานอาหารได้หมดแล้วก็ชอบอาหารที่ทำมาให้”
อัมพิกาสวนกลับทันที
“ถ้าฉันรู้ว่าเป็นอาหารของพวกแก ฉันก็ไม่กิน ไม่ต้องมาทำดีกับฉัน พวกแกมันก็เลวเหมือนกันหมดทั้ง
บ้าน เกาะพ่อฉันกินยังไม่พอ ยังหลอกให้พ่อยกสมบัติให้ไอ้เด็กสองคนนั่น แล้วก็หวังจะฮุบไว้เอง”
นภาโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
“เปล่านะคะ เราไม่เคยบอกให้เจ้าสัวทำแบบนั้นเราไม่เคยอยากได้สมบัติจากครอบครัวคุณ”
“ไม่อยากได้แล้วทำไมไม่ไปให้พ้นๆ ยังวนเวียนอยู่ทำไม ไม่อยากได้ ก็ไปสิ เอาลูกสาวแก เอาไอ้เด็ก
สองคนนั้นไปด้วย จะไปไหนก็ไป จะมายุ่งกับเอื้อ ยุ่งกับฉัน ยุ่งกับสมบัติของพวกฉันทำไม”
อาทิตย์ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ และตรงไปตรงมา
“ลำพังพวกเราจะไปก็คงได้เพราะเป็นคนนอก แต่สำหรับ“ไก่ ไข่” คงไปไม่ได้ เพราะเจ้าสัวมอบหมาย
ให้หนูเล็กดูแลเรื่องมรดก และเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคุณ เราคงพรากพี่พรากน้องจากกันไม่ได้”
อัมพิกาโดนจี้ใจดำ ถึงกับโวยวายเสียงลั่นแบบคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“มันไม่ใช่น้องฉัน มันไม่ใช่รัตนชาติ มันไม่มีวันจะได้สมบัติอะไรทั้งสิ้น มันกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
กัน อย่าบังอาจเอามันมานับญาติกับฉัน รัตนชาติมีทายาทแค่สามคนเท่านั้น”
อัมพิกาโวยวายเสียงดัง จนตัวสั่น ปากสั่น มือสั่น หายใจรัว ปมความน้อยใจ เสียใจที่พ่อมีลูกกับ
คนอื่นเติบโตทิ่มแทงใจอัมพิกาอย่างแรง
“เรามีกันแค่สามคนพี่น้อง มันไม่ใช่ลูกคุณพ่อ มันไม่ใช่ คุณพ่อมีลูกแค่สามคน แค่สามคนนั้นเท่านั้น
คุณพ่อรักเราแค่สามคน คุณพ่อไม่ได้รักพวกมัน ไม่ได้รักพวกมัน ได้ยินมั้ย ไม่ได้รักพวกมัน”
พูดถึงตรงนี้ อัมพิกา ก็เริ่มหายใจไม่ออก ก่อนจะช็อกหมดสติ อาทิตย์กับนภาตกใจที่เห็นอัมพิกาช็อก
ตาค้าง
“คุณอัมพิกา คุณไปตามพยาบาลเร็ว”
นภารีบหันไปบอกสามีด้วยความตระหนกตกใจ
อัมพิกานอนหลับอยู่บนเตียง พยาบาลฉีดยาเข้าที่สายน้ำเกลือ ในขณะที่อาทิตย์กับนภายืนอยู่ห่างๆ
มองอัมพิกาอย่างเป็นห่วง
“ทำไมถึงหลับนิ่งไปเลยล่ะคะ” นภาพหันมาถานางพยาบาล
“หลับเพราะฤทธิ์ยาค่ะ คุณหมอสั่งยาให้คนไข้จะได้พักผ่อน”
อาทิตย์พยักหน้า ”อ๋อ ขอบคุณครับ”
พยาบาลยิ้มรับแล้วออกไป อาทิตย์กับนภามองอัมพิกา นภาปรึกษาด้วยความรู้สึกผิด
“พ่อทำไงต่อไปดี ดูท่าทางคุณอัมจะโกรธเรามากนะ ฉันไม่สบายใจเลย แต่ถ้าจะไม่ให้มาดูคุณตามที่
เขาต้องการ ฉันก็ไม่สบายใจเหมือนกัน”
อาทิตย์รีบปลอบใจภรรยา
“เราไม่มาดูแลคุณเขาไม่ได้หรอก ดูสิ ถ้าเราไม่มา แล้วใครจะดูแล มาแต่ละทีก็เห็นคุณนอนอยู่คนเดียว
คุณเอื้อก็งานยุ่ง คุณอรทัยก็คงไม่ว่าง ญาติคนอื่นๆก็ไม่มี”
ทุกคำพูดของอาทิตย์ แบละนภา อัมพิกาได้ยินชัดเจน ทั้งที่ยังนอนหลับตา
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันหล่ะคิดถึงตอนที่เจ้าสัวป่วย แล้วเราได้แต่เฝ้าอยู่ห่างๆ ไม่ได้ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด
เพราะลูกๆท่านไม่ยอม ตอนนี้ลูกท่านมาป่วยจะให้เรานิ่งดูดายไม่สนใจ ไม่มาดูแลอีก ฉันทำไม่ได้จริงๆ”
อาทิตย์เห็นด้วย
“พ่อก็ยอมไม่ได้ ครอบครัวเรามีวันนี้มาได้ก็เพราะเจ้าสัว วันที่เราลำบากเจ้าสัวท่านเมตตาช่วยอย่าง
เต็มที่ และเราเองก็รอวันที่จะได้ตอบแทนบุญคุณมาตลอด ไม่ได้ทำให้ท่าน ทำให้ลูกท่านก็ยังดี แต่เพื่อไม่ให้คุณอัมพิกา
ลำบากใจ เราต้องระวังให้มากกว่านี้”
นภามองอัมพิกาแล้วก็ถอนใจ
“เฮ่อ ฉันก็เข้าใจเหตุผลที่คุณเขาจะเกลียดพวกเรา แต่ถ้าจะให้นิ่งดูดายเพราะกลัวว่าจะโดนเกลียด
มากขึ้น ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน ฉันยอมที่จะโดนเกลียด โดนด่ามากกว่าเมื่อกี๊ แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นคนอกตัญญู
เด็ดขาด”
อาทิตย์ยกแขนโอบไหล่ภรรยาไว้
“พ่อดีใจที่แม่ไม่ท้อเพื่อตอบแทนบุญคุณของเจ้าสัว เราจะต้องดูแลคุณอัมพิกาอย่างดีที่สุด”
นภายิ้มรับ
“จ้ะพ่อ” พลางหันมามองอัมพิกา เห็นว่าผ้าห่มเลื่อนมากองอยู่ที่เอว นภาขยับผ้าห่มห่มให้อย่างแผ่ว
เบา
“พ่อดูอุณภูมิแอร์หน่อยสิ มันเท่าไหร่ ? แม่ว่าหนาวไปนะปรับให้คุณเขาหน่อยมั้ย?”
อาทิตย์กดเพิ่มอุณหภูมิให้แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
ในขณะที่อัมพิกาค่อยๆ ลืมตา เริ่มรู้สึกสับสนกับการได้รับรู้ท่าทีของคนบ้านสุริยง ที่เธอตั้งแง่รังเกียจมาตลอด
สมคิดเดินมาถึงหน้าห้องทำงานเขมชาติ ชะงักที่เห็นเอื้อยืนอยู่กับวิบูลย์
“เขมชาติไม่มาทำงาน?”
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 22 (ต่อ)
วิบูลย์พยักหน้า
“ครับ ตั้งแต่งานหมั้นคุณเขมไม่เข้าออฟฟิศเลยครับ ผมพยายามติดต่อแต่คุณเขมปิดโทรศัพท์ โทรไปที่บ้านก็ไม่รับ”
เอื้อท่าทางเคร่งเครียด วิบูลย์ตัดสอนใจถามตรงๆ
“คุณเอื้อ มีเรื่องด่วนหรือเปล่าครับ”
เอื้อหันมา “ไม่ด่วน แต่สำคัญ ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณเขมชาติ เรื่องเกนหลง”
สมคิด คิดและตัดสินใ.จเดินเข้าไปหาเอื้อ พูดด้วยความมั่นใจ
“คุณเขมอยู่ที่บ้าน ถ้าต้องการพบจริงๆ ผมจะพาไปเองครับ”
พลางลุ้นรอคำตอบของเอื้อ
และก็เป็นจริงตามที่สมคิดสันนิษฐาน เมื่อสมคิด และเอื้อ มาถึงบ้านของเขมชาติ ก็พบเจ้าของบ้านนอนคว่ำอยู่บนเตียงแน่นิ่ง เหมือนคนสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่ง สมคิดเดินไปข้างเตียง
“คุณเขมครับ”
เขมชาติยังนิ่ง
“คุณเขม”
เขมชาติ ยังนอนนิ่ง ไม่หันกลับมา แต่ออกคำสั่ง “ ออกไป”
สมคิดอึกอัก “แต่ว่า”
เขมชาติ ตวาดเสียงดัง “บอกให้ออกไป”
ทันใดนั้น เอื้อก็พูดแทรกขึ้นมาเลย
“ผมออกไปตอนนี้ไม่ได้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เสียงของเอื้อ ทำเอาเขมชาติชะงัก และรีบลุกขึ้นพรวดมา
“คุณเอื้อ”
แล้วทั้งคู่ก็เผชิญหน้ากัน ในขณะที่สมคิดเดินเลี่ยงออกมายืนรอที่หน้าห้อง
“ขอโทษนะครับคุณเขม มันถึงเวลาที่ความจริงจะต้องถูกเปิดเผยสักที”
เอื้อยืนมองภาพคู่ของเขมชาติ และสุริยง ที่ติดไว้เต็มผนัง อย่างคาดไม่ถึง เขมชาติยืนหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ
“ นี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“มหาวิทยาลัย ผมกับวดีเราคบกันแล้วเขาก็ทิ้งผมไปแต่งงานกับพ่อคุณ”
เอื้อช็อก พลางหันมองเขมชาติ
“เกนเคยรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
เขมชาติส่ายหน้า ไม่กล้าพูด
เอื้อโกรธ “ทำไมไม่บอก”
“ไม่มีใครรับเรื่องแบบนี้ได้”
“ผมก็รับไม่ได้ คุณพยายามจะดึงหนูเล็กกลับคืนแต่ก็ยื้อเกนหลงไว้ จนทุกอย่างมันบานปลาย พังไม่เป็นท่า แล้วตอนนี้ก็เก็บตัวเหมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ”
เอื้อปรายตามองสภาพของเขมชาติด้วยความสมเพช
“ขี้ขลาด คุณขี้ขลาดกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
“ใช่ ผมขี้ขลาด ผมทำให้ผู้หญิงสองคนต้องเสียใจ ผมผิดไปแล้ว”
เอื้อจ้องหน้าเขมชาติอย่างเอาเรื่อง
“รู้สึกผิด แต่ไม่ทำอะไร ? แล้วจะช่วยอะไรให้มันดีขึ้น?”
เขมชาตินิ่งจุก จนพูดไม่ออก เอื้อส่ายหน้า ถามตรงๆ
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
“ผมไม่รู้” เขมชาติตอบอย่างคนอับจนหนทางเอื้อส่ายหน้ อารมณ์เริ่มโกรธขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะยิงประโยคคำถาม ที่ต้องการคำตอบจากปากของเขมชาติ
“ตอนนี้คุณรักใคร?”
เขมชาติมองเอื้อด้วยความสับสน ทั้งที่มีคำตอบอยู่ในใจ แต่การพูดออกมาช่างยากลำบาก
“ผม ผมรู้แค่ว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยลืม สุริยาวดี”
จบประโยคของเขมชาติ เอื้อเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าเขมชาติอย่างจัง จนถึงกับร่วงลงไปกองกับพื้น สมคิด ที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ได้ยินเสียงโครมคราม รีบหันขวับไปทันที
“คุณเขม”
เขมชาตินอนกองอยู่ที่พื้น ไม่ต่อสู้ เอื้อเดินมาพูดด้วยความโกรธ
“สำหรับคำตอบที่ขี้ขลาดที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องนอน
หมดสภาพอยู่แบบนี้”
เขมชาติสะอึกกับคำของเอื้อที่กระแทกใจอย่างจัง
“ถ้าไม่มีความกล้า อย่ามายุ่งกับหนูเล็ก และเกนหลงอีก ผู้หญิงสองคนนี้มีค่ามากกว่าจะโดนผู้ชายอย่างคุณทำร้าย”
พูดจบ เอื้อก็เดินออกไปทันที ในขจณะที่สมคิดรีบเข้าไปดูเขมชาติ
“คุณเขม”
เขมชาตินอนนิ่งยกมือขึ้นห้าม ไม่ให้สมคิดเข้ามาใกล้
“ออกไป”
“คุณเขม”
“ออกไป”
สมคิดรับคำ ไม่พูดอะไรต่อ แล้วตัดใจเดินออกไปตามคำสั่ง ทิ้งเขมชาติที่ดิ่งลึกจมไปกับความผิดของตนเองเพียงลำพัง น้ำตาไหลลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างช้า ๆ
คุณพจน์รับโทรศัพท์จากเอื้อ พลางย้อนถามกลับไปทางปลายสาย
“จะไปตามหาเกน?”
เอื้อคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านเขมชาติ สีหน้ามุ่งมั่น
“ผมรู้ความจริงทุกอย่าง แล้วก็รู้ว่าทำไมเกนถึงต้องไป คุณอาครับ ถ้าคุณอาไว้ใจผม บอกผมได้ไหม
ครับว่าเกนหลงอยู่ที่ไหน?”
คุณพจน์สีหน้าลังเล พลางคิดหนัก
ชนะพาสุริยงเข้ามาที่มุมเบเกอรี่ภายในรีสอร์ท ในขณะที่พนักงานกำลังทำงานกันอย่างกระตือรือร้น
“วันนี้สุให้บาริสต้าจัดกาแฟยี่ห้อใหม่ที่จะนำมาเพิ่มในเมนูให้คุณชนะลองชิมดูค่ะ”
สุริยงเดินเข้ามาแล้วชะงักกับกลิ่นกาแฟ ที่อวลอยู่ในอากาศ แต่ยังพยายามอดทน พนักงานเอากาแฟทดลองชิมมาวางตรงหน้าสุริยงกับชนะ
ชนะหยิบขึ้นมาดมกลิ่น
“หอมดีนะครับ อืม คุณสุลองชิมสิครับ”
สุริยงรู้สึกเหม็นแต่ยังฝืนได้อยู่ จนเมื่อยกแก้วขึ้นมาใกล้จมูก กลิ่นกาแฟทำให้สุริยงสุดจะกลั้นไว้ได้
สุริยงเกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงรีบวิ่งออกไป
ชนะตกใจ
“คุณสุ คุณสุ”
สุริยงวิ่งมาอาเจียนในห้องน้ำ ชนะวิ่งตามเข้ามายืนรอที่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วง ครู่เดียวสุริยงก็เดินออกมา ท่าทางเพลียๆ
“คุณสุ เป็นอะไรครับ”
“เวียนหัวน่ะค่ะ พอได้กลิ่นกาแฟก็คลื่นไส้”
ชนะเริ่มคิด
“กลิ่นกาแฟ ผมว่ามันก็กลิ่นปกตินะครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง อยากไปหาหมอไหมครับ ผมพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ สงสัยเมื่อเช้าจะกินอาหารเช้าช้าไปหน่อย ท้องว่างๆ ก็เลยคลื่นไส้” พลางตั้งท่าจะอาเจียน แล้วก็วิ่งเข้า
อาเจียนอีกรอบ สักพักเดินออกมาหน้าตาซีดกว่าเดิม
ชนะพูดด้วยความเป็นห่วง “ ผมว่าคุณสุไปพักเถอะครับ วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว”
สุริยงปฎิเสธ
“อุ๊ยไม่ต้องหรอกค่ะ สุไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไปเถอะครับ พักสักหน่อย ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาทำงาน”
สุริยงตั้งท่าจะไม่ยอม ชนะรีบย้ำ
“ไปเถอะครับ ผมอนุญาต”
“งั้นก็ขอบคุณค่ะ”
สุริยงยิ้มให้ชนะ แล้วเดินกลับไปที่ห้อง ชนะมองตามด้วยความเป็นห่วง
เกนหลงใช้มือเกาะแง่งหินและปีนผาจนถึงจุดสูงสุดที่เป็นเป้าหมาย ใบหน้าที่ชื้นด้วยเหงื่อ ดูเข้มแข็ง
ขึ้น ก่อนที่จะโรยตัวลงมาที่จุดเริ่มต้นที่ตีนผาอีกครั้ง จากนั้นก็ปลดเซฟ หากเมื่อหันกลับมา ก็ต้องงชะงักที่เห็นเอื้อ
ในสภาพใส่เชิ้ต คลายเนคไทหลวมๆ ใส่แว่นดำเท่ๆ ดูแปลกแยกกับการแต่งกายของคนที่จะมาปีนผา
“พี่เอื้อ มาได้ยังไงคะ ?”
เอื้อไม่ตอบ แต่ย้อนถาม “มายังไง มันไม่สำคัญเท่าเราจะกลับกับพี่ได้หรือยัง?”
เกนหลงชะงัก
“เกนยังไม่กลับหรอกค่ะ” พยายามฝืนทำเป็นร่าเริง
“เกนกำลังสนุกเลยค่ะพี่เอื้อ พี่เอื้อรู้ไหมคะ การปีนหน้าผา มันต้องระมัดระวังและต้องใช้สมาธิอย่างมาก เวลาปีนเกนจะไม่ต้องคิดเรื่องอื่น นอกจากเราจะต้องเลือกที่จะจับหินก้อนไหน จะต้องจับยังไงถึงจะดึงตัวเราขึ้นไปได้ เราต้องมองไปข้างหน้าเพื่อหาเส้นทางที่จะพาเราไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างปลอดภัย มันอาจจะลำบากระหว่างทาง แต่พอขึ้นไปถึงข้างบน มันฟินสุดๆ เลยค่ะ”
“แล้วมันทำให้เราหนีความจริงได้หรือเปล่า?”
เกนหลงหันขวับมองหน้าเอื้อ
“พี่รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว” เกนหลงขมวดคิ้ว “เขมชาติบอกเรื่องระหว่างเขากับหนูเล็กให้พี่ฟังหมด
แล้ว”
เกนหลง โพล่งออกมาทันที
“ถ้าพี่เอื้อจะมาพูดเรื่องนี้เกนขอไม่ฟังนะคะ”
พลางทำท่าจะเดินหนี แต่เอื้อรีบจับมือยึดไว้ไม่ให้ไป
“เกนต้องฟัง”
เกนหลงชะงัก นิ่งไปชั่วขณะ หันกลับมา ขอบตาร้อนผ่าว
“ทำไมคะ? ทำไมเกนต้องฟัง”
“เพราะมันเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ”
เกนหลงสะบัดมือออก
“ไม่ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกของใครก็ตาม เกนต้องยอมรับมันให้ได้ใช่มั้ยคะ? ทำไมคะ ทำไมเกนต้อง
เป็นคนที่ยอมรับทุกอย่าง”
“เกน” เอื้อพยายามจะให้ทำให้เกนหลงใจเย็น หากอามณ์น้อยใจ และเสียใจ ที่ประเดประดัง พร้อมใจกันประทุขึ้นมา ทำให้เกนหลงเย็นไม่อยู่
“โอเค อยากให้ยอมรับ เกนก็ยอมรับแล้วไงคะ ยอมรับว่าเขมเขาเคยรักคุณสุ และเขาก็ยังรักอยู่ เกนถึงได้ยกเลิกทุกอย่าง แล้วก็มาที่นี่ เพื่ออยู่กับตัวเอง”
เกนหลงเริ่มน้ำตาไหล “แล้วพี่เอื้อจะให้เกนยอมรับอะไรอีก”
เอื้อมองด้วยความสงสารจับหัวใจ
“สิ่งที่เกนทำ มันคือการหนี เกนยังไม่ได้ยอมรับมันจริงๆ”
เกนหลงน้ำตาร่วง ทว่ายังฝืนเข้มแข็ง
“แล้วพี่เอื้อจะให้เกนทำยังไง หรือเกนต้องกลับไปเพื่อเห็นว่าเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เกนต้องยิ้ม
รับมันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้านั่นคือการยอมรับความจริงของพี่เอื้อ เกนบอกเลยค่ะ เกนไม่เข้มแข็งขนาดนั้น เกนรับ
ไม่ได้ค่ะ”
“เกนเข้าใจผิด ตอนนี้ไม่มีใครมีความสุขทั้งนั้น”
เกนหลงมองเอื้อ อย่างพยายามค้นหาความหมาย
“หนูเล็กกลับไปทำงานกับคุณชนะไม่ยอมติดต่อใคร เขมชาติเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมพบใคร ไม่ทำงาน และไม่ได้ไปตามหนูเล็ก หลังจากงานหมั้นสองคนนั้นไม่ได้เจอกัน เขาสองคนไม่ได้มีความสุขอย่างที่เกนคิด”
เกนหลงอึ้งที่ทุกอย่างผิดคาด พลางเริ่มนิ่งลง
“หนูเล็กไม่เคยคิดจะทำร้ายเกน ส่วนเขมชาติเขาก็มีเหตุผลที่พี่โทษเขาได้ไม่เต็มปาก ทุกคนต่าง
ทรมานใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเ พราะทุกคนหนีความจริง ถ้าความสุขในการปีนผาของเกนต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยาก
จึงจะพบความสุข ก็คงเหมือนความสุขในชีวิตที่ต้องแลกด้วยความเจ็บปวด”
เกนหลงนิ่งคิดตาม เอื้อพูดต่อ
“เกนจะต้องก้าวข้ามด้วยการยอมรับความจริง ถ้าเกนหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ปีนขึ้นไป ไม่ก้าวข้ามมัน เกนก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไป”
เกนหลงคิด พลางเริ่มตัดสินใจ
“ไม่ เกนอยากมีความสุข ตรงนี้มันทรมานเกินไป เกนอยากข้ามมันไปให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าเกนควรต้องทำ
ยังไง”
เอื้อยิ้ม “ไม่ยาก แค่กลับมาเป็นเกนหลงที่สดใสเป็นคนที่สนุกสนานกับชีวิตและก็คิดบวก“ ทำท่า
วงเล็บ “จนบางทีก็เกินไป”
เกนหลงขำทั้งน้ำตา
“เพราะทุกครั้งที่มีปัญหา เกนหลงคนนั้นจะหาทางออกที่ดีได้เสมอ”
เกนหลงคิดตามคำพูดของเอื้อ แล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ พลางหันไปมองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้า แววตาค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น
“ฉันจะต้องข้ามมันไปให้ได้”
สมคิดเดินเข้ามาในห้องกินข้าว มองไปที่ถาดอาหารที่วางอยู่เหมือนเดิม อาหารในถาดมีสภาพเย็นชืด ดูก็รู้ว่าไม่มีการแตะต้อง และไม่ได้รับการสนใจจากเขมชาติสักนิด
คนใช้เดินมาจะเก็บจาน
“คุณเขมไม่ทานอะไรเลยเหรอ”
“ค่ะ ไม่ทานมาหลายวันแล้วค่ะ”
สมคิดพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องนอนที่เปิดประตูทิ้งไว้ เห็นเขมชาติที่นอนซึมนิ่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องพักของสุริยง สุริยงฝืนยันตัวลุกจากเตียงไปเปิดประตู ทั้งที่ยังเวียนหัวนิดๆ ฮันนี่ยืนอยู่ที่หน้าห้อง พนักงานถือถาดข้าวต้มยืนอยู่ข้างหลัง
“น้าสุคะ เป็นยังไงบ้างคะคุณพ่อบอกว่าน้าสุไม่สบาย ฮันนี่เป็นห่วงก็เลยมาเยี่ยมค่ะ คุณพ่อสั่งให้ทำ
ข้าวต้มมาให้น้าสุด้วยนะคะ”
พนักงานวางถาดข้าวต้มแล้วเดินออกไป
“คุณพ่ออยากจะมาดูแลน้าสุ แต่กลัวคนอื่นมองไม่ดี ฮันนี่ก็เลยอาสามาเองค่ะ น้าสุทานหน่อยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
สุริยงฝืนยิ้ม ขยับจะตักข้าวต้มเข้าปาก แต่แล้วก็กลับคลื่นไส้ จนต้องวิ่งเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ
ฮันนี่ตกใจ ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“น้าสุคะ ฮันนี่ไปตามคุณพ่อนะคะ”
สุริยงรีบออกมาจากห้องน้ำ
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง น้าสุไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่าไปกวนคุณพ่อเลยนะคะ”
สุริยงพยายามเข้มแข็ง ฮันนี่มองแล้วพูดซื่อๆ ประสาเด็ก แต่กลับกระแทกใจสุริยงอย่างจัง
“แต่เวลาฮันนี่ไม่สบาย ฮันนี่ยังอยากให้คุณพ่อมาดูแลเลย น้าสุไม่อยากมีคนดูแลเหรอคะ”
สุริยงฟังแล้วแอบน้อยใจในโชคชะตา พูดไม่ออก ได้แต่ดึงฮันนี่มากอดไว้ ฮันนี่งงๆ ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่กอดตอบอย่างน่ารัก
“งั้นฮันนี่ดูแลน้าสุเองก็ได้ค่ะ” พลางลูบหลังให้ อย่างที่เห็นพ่อทำให้ตัวเองบ่อยๆ “ โอ๋ๆ น้าสุ หายไวๆนะคะ”
สุริยง น้ำตาซึม “ ขอบใจมากจ้ะ”
จากนั้นทั้งคู่ ก็ตระกองกอดกัน เป็นความเอื้ออาทรที่ทำให้สุริยงรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
วนิตาร้องโวยวายเสียงดัง จนอัมพิกาที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ผวาด้วยความตกใจ
“อรๆ ดูข่าวนี่สิ”
วนิตากับอรทัย กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ที่เก้าอี้สำหรับแขกที่มาเยี่ยมไข้ในขณะที่อัมพิกานอนอยู่
บนเตียง
วนิตาอ่านต่อ
“อื้ออึงกันไปทั้งวงการไฮโซกับช็อตเด็ดกลางงานหมั้นทายาทเจ้าของโรงแรมชื่อดัง เมื่อคู่หมั้นหนุ่มสุด
ฮอต พุ่งเข้าช่วยเลขาสาวที่ควบตำแหน่งแม่เลี้ยงของนายธนาคารหนุ่มด้วยอ้อมกอดแนบแน่นแบบไม่กลัวตาย ทิ้งให้
คู่หมั้นสาวและแขกยืนตะลึงอึ้งงันกันเป็นแถว ลือหึ่งว่างานนี้มีกลิ่นว่างานวิวาห์หรูที่วางแผนไว้อย่างยิ่งใหญ่จะล่มไม่
เป็นท่า”
อ่านจบ วนิตาก็หัวเราะอย่างสะใจ
“สะใจฉันจริงๆทั้งเขมทั้งยัยเกนหลงหน้าแตกยับเยิน”
อรทัยเบ้ปาก
“สุดท้ายเขมก็ตกเป็นเหยื่อยนังสุริยงจนได้ สมน้ำหน้า ผู้ชายโง่ ๆ ก็สมควรจะโดนผู้หญิงร้ายๆ หลอก”
“ถูก และผู้หญิงดีๆ อย่างเราก็ต้องโดนทิ้งอยู่เป็นโสด ฮ่าๆ”
อรทัยหันขวับมามองตาขวาง “ไม่นะ เธอเป็นโสดไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่เป็นด้วยหรอกย่ะ”
วนิตา ยิ้มแห้งๆ รีบเฉไฉ ”ไม่ก็ไม่จ้ะ”
อัมพิกามองอรทัยกับวนิตา พลางนิ่งคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“อร พี่อยากจะกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ถ้าพี่กลับไปอยู่บ้าน เราอยู่บ้านดูแลพี่ได้หรือเปล่า”
อรทัยสวนทันที
“ทำไมต้องให้อรดูแลพี่อัมด้วยล่ะคะ เงินเรามีก็จ้างพยาบาลสิคะ อรดูแลคนอื่นเป็นซะที่ไหน พี่อัมก็รู้”
“แล้ว ถ้าเกิดพี่ช็อกอีกรอบเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ นอนเป็นผักเป็นหญ้า เราจะดูแลพี่ได้หรือเปล่า”
อรทัยรีบส่ายหน้า
“โอ้ย ยิ่งต้องจ้างใหญ่เลย อรไม่นั่งเช็ดอึ เช็ดฉี่ให้พี่หรอกนะคะ อรทำไม่เป็น”
อัมพิกาหน้าเสียไปนิด แต่ยังพยายามต่อรอง
“พี่ไม่ได้ให้ทำ เราแค่คอยอยู่เป็นเพื่อนพี่ เป็นกำลังใจ ทำได้หรือเปล่า”
อรทัยอิดออด “มันก็พอได้ แต่อรก็ต้องมีชีวิตส่วนตัวบ้างนะคะ ไปทัวร์ยุโรปบ้างไรบ้าง เออ นิต้า เดือนหน้าปารีส จะมีแฟชั่นวีค ไปกันไหม? สักสองอาทิตย์”
วนิตาพยักหน้าคล้อยตาม
“ก็ดีนะไปอัพเดทหน่อย หา inspiration คราวนี้ข้ามไปอิตาลีด้วยดีไหม”
อรทัยยอิ้มกว้าง” เริ่ด” พลางหยิบโทรศัพท์มาเปิดเสิร์ชหาภาพกระเป๋า “ นี่ ๆ ฉันอยากได้กระเป๋าใบนี้ ยังไม่มีในช็อปไทย ฉันต้องได้ถือเป็นคนแรก สวยป่ะๆ”
อัมพิกามองความไม่ใส่ใจของอรทัยแล้วก็ลอบถอนใจ รู้สึกตัวเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน จากนั้นก็เริ่มฉุกคิดถึงคำพูดของนภากับอาทิตย์
“พ่อทำไงต่อไปดี ดูท่าทางคุณอัมจะโกรธเรามากนะ แม่กลัวว่าถ้าเราสองคนมาอีกจะทำให้อาการคุณ
อัมแย่ลงแม่อยากจะช่วยให้ได้มากกว่านี้ อยากดูแลคุณอัมให้ดี ให้สมกับบุญคุณที่เจ้าสัวช่วยครอบครัวเราไว้ แต่คุณ
อัมคงไม่ยอม”
“งั้นเราก็คงต้องดูแลอยู่ห่างๆ กว่านี้ ไม่ให้คุณเขารู้สึกว่าเรามาวุ่นวาย เราต้องประมาณตน ช่วยดูแล
เขาทำเท่าที่ทำได้นะแม่ แต่ไม่ทำไม่ได้ เรารอโอกาสตอบแทนบุญคุณเจ้าสัวมานานแล้ว ไม่ได้ทำให้ท่าน ทำให้ลูกท่านก็
ยังดี”
อัมพิกาคิด แล้วก็มองอรทัยที่กำลังนั่งคุยเรื่องแฟชั่นอย่างสนุกปาก โดยไม่สนใจตัวเอง เริ่มคิดถึง
อนาคตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างนั่งรอเกนหลงอยู่ในร้านอาหารในโรงแรมที่พัก เอื้อหยิบหนีงสือพิมพ์มานั่งอ่านฆ่าเวลา ทว่าเมื่อเห็นข่าวซุบซิบเกี่ยวกับงานหมั้นของเขมชาติ และเกนหลง เอื้อก็รีบพับหนังสือพิมพ์ แล้ววางไว้บนโต๊ะตามเดิม
“เฮ้อ ข่าวเมาท์มันไปเร็วจริงๆ”
เอื้อหน้าเครียด เป็นห่วงทั้งเกนหลงและสุริยง
ครู่เดียวเกนหลง ก็เดินเข้ามาด้านหลังพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า
“พี่เอื้อคะ”
เอื้อหันมาตามเสียง
“พี่เอื้อพูดถูก เราต้องยอมรับความจริง เกนไม่อยากเป็นคนที่หนีปัญหา เกนจะกลับกับพี่เอื้อค่ะ”
เอื้อยิ้ม “เยี่ยม งั้นเกนรอพี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ไปเก็บกระเป๋าแล้วเรากลับกันเลย”
เอื้อเดินไป เกนหลงลงนั่งแทนที่ เอื้อเดินห่างออกมา พลันนึกได้รีบเดินกลับไปที่โต๊ะจะเก็บหนังสือพิมพ์แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นเกนหลงกำลังอ่านข่าวนั้นอยู่
“เกน”
เกนหลงเงยหน้ามองเอื้อ เจ็บแต่พยายามจะปลง
“มันเป็นความจริงที่เกนต้องยอมรับให้ได้ใช่ไหมคะ”
“ไหวไหม?” เอื้อถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่นี้น้อยไปสำหรับ คนที่คิดบวก” ทำท่าเครื่องหมายคำพูดล้อเลียนคืนเอื้อ “จนเกินไป
อย่างเกน”
เกนหลงยิ้มให้เอื้ออย่างคนที่เข้มแข็งขึ้นมาแล้วจริงๆ เอื้อก็พลอยยิ้มที่เห็นเกนหลงคนเดิมกลับมาแล้ว ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
เสียงอาเจียนของสุริยงดังออกมาจากห้องน้ำ ฮันนี่เดินมาหยุดที่หน้าประตู พลางตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง
“น้าสุคะ น้าสุ ฮันนี่เรียกคุณพ่อมาช่วยน้าสุแล้วนะคะ”
ในขณะที่ชนะกำลังเดินเข้ามา สีหน้าเป็นห่วงพอกัน สุริยงเดินออกมาจากห้องน้ำ ท่าทางอ่อนเพลีย
“คุณสุยังไม่หายเหรอครับ อาเจียนมา 2 วันแล้ว ผมว่าไปหาหมอเถอะครับ”
สุริยงฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะสุไม่เป็นอะไรมาก”
หากพูดได้แค่นั้น สุริยงก็คลื่นไส้ แล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำอีก ชนะกับฮันนี่มองหน้ากันห่วงมาก และเมื่อสุริยงเดินออกมาในสภาพที่อ่อนเพลีย จนแทบจะล้มเพราะหมดแรง ชนะจำต้องรีบเข้ามาประคองไปที่เตียง
“คุณสุครับ ถ้าคุณไม่ไปหาหมอก็ต้องมีคนดูแลนะครับ คุณสุไปพักที่บ้านผมมั้ยครับ อย่างน้อยก็มีผม
มีฮันนี่ แล้วยังมีแม่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง”
สุริยงรีบปฎิเสธอย่างสุภาพ
“อย่าเลยค่ะ พักอีกซักวันก็น่าจะดีขึ้น สุคงจะเครียดเกินไป”
“บางทีอาจเป็นเพราะย้ายชีวิตมาต่างถิ่นแบบกะทันหัน เอาเป็นว่าเรื่องงานผมจะดูให้เอง คุณกลับไป
พักที่บ้านที่กรุงเทพดีกว่า อยู่กับครอบครัว กับลูกๆ สักพักดีขึ้นค่อยกลับมา”
สุริยงมองหน้าชนะ
“แต่สุเพิ่งเริ่มงานไม่กี่วันเองนะคะ พักไปแบบนั้นจะน่าเกลียด”
“ถ้าคุณยังทำงานทั้งที่ยังมีอาการแบบนี้มันส่งผลกระทบ ต่อทั้งพนักงาน ลูกค้า ไม่มีประโยชน์หรอก
ครับ พักให้หายแล้วกลับมาทำงานด้วยความพร้อมนะครับ พรุ่งนี้ผมต้องเข้ากรุงเทพฯ ผมจะแวะไปส่งคุณสุที่บ้านนะ
ครับ”
“แต่ว่า” สุริยงอึกอัก
ชนะ รีบพูดอย่างหนักแน่น “ คุณสุ พักเถอะครับ ผมอนุญาตไม่ต้องเกรงใจ ผมเป็นห่วงสุขภาพคุณ
มากกว่าโรงแรมของผมนะครับ”
“เอ่อ”
ฮันนี่รีบยกมือสนับสนุน
“เชื่อคุณพ่อเถอะค่ะ คุณพ่อห่วงน้าสุจริงๆ นะคะ เมื่อกี๊คุณพ่อพูดดีมากเลยค่ะ อันนี้ฮันนี่ไม่ได้สอนนะ
คะ คุณพ่อพูดจากใจเลยค่ะ”
สุริยงกับชนะขำเบาๆ เอ็นดูในความช่างความฉอเลาะของฮันนี่
สุริยงมองชนะด้วยความเกรงใจ แต่ก็รู้ว่าอาการตัวเองไม่ไหวจริง ๆได้แต่นิ่งอย่างยอมรับ
เกนหลงเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับเอื้อ คนรับใช้ช่วยถือกระเป๋าตามเข้ามา และเมื่อเจอคุณพจน์ สองคนพ่อ-ลูก ก็โผเข้ากอดกันด้วยความคิดถึง
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อ”
คุณพจน์มองเอื้อ แล้วยิ้มชมเชย “ เก่งมาก ที่พากลับมาได้”
เอื้อยิ้มตอบ “คนที่เก่งคือคนนี้ครับ” พลางชี้ไปที่เกนหลง
คุณพจน์หันมาพูกับกับเกนหลง “ เข้มแข็งแล้วนะ”
“เกนขอโทษนะคะที่ทำให้ครอบครัวเราต้องเสียหาย”
“ลูกไม่ได้ทำความเสียหายอะไรเลย ตรงกันข้ามลูกสร้างความภูมิใจให้กับพ่อ พ่อภูมิใจในความเด็ดเดี่ยวของลูก ส่วนเรื่องความคิดของคนอื่นช่างมันเถอะลูก ไม่นานก็ผ่านไป ทุกข์ ถ้าทำให้ไม่มีสุขแล้วจะเก็บไว้ทำไม จริงไหม”
เกนหลงยิ้มรับ “ค่ะ”
เอื้อมองเกนหลงด้วยความชื่นชม แล้วก็พาลนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน นั่นก็คือ
สุริยง
“เฮ่อ เรียบร้อยไปหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็เหลืออีกหนึ่ง”
คุณพจน์กับเกนหลงหันมามองด้วยความสงสัย “อีกหนึ่งคืออะไร?”
“หนูเล็กไม่มีอะไรต้องเคลียร์ค่ะ “
สุริยงตอบเอื้อนิ่งๆ ในขณะที่ทั่งคู่นั่งคุยกันอยู่ตามลำพังในสวนหน้าบ้านสุริยง
“ความลับไม่มีในโลกนะหนูเล็ก ตอนนี้ทุกคนรู้ความจริงหมดแล้ว เรื่องอดีตระหว่างคุณกับเขมชาติ ทั้ง
ผม ทั้งเกนหลงรู้หมดแล้ว คุณจะเก็บมันไปถึงไหน”
สุริยงชะงักนิดๆ แต่ยังคุมอารมณ์อยู่
“หนูเล็กไม่คิดจะเก็บ เพียงแค่ไม่อยากพูดถึง มันไม่มีประโยชน์”
“ทำไมจะไม่มี” เอื้อย้อน “ ถ้าพูดออกมาบ้าง เกนหลงอาจจะไม่ต้องหมั้นกับเขมชาติ เหตุการณ์อาจจะ
ไม่เลวร้ายแบบนี้ จริงที่พูดไปไม่มีประโยชน์ แต่เก็บไว้ บางทีมันก็เป็นโทษมากกว่า”
สุริยงหันมา เสียงเข้มขึ้น
“แล้วจะให้หนูเล็กพูดว่าอะไร? คุณเกนคะ ฉันกับแฟนคุณ เคยเป็นแฟนเก่ากันตอนอยู่มหาวิทยาลัย
แต่ฉันต้องไปแต่งงานกับเพื่อใช้หนี้ให้ครอบครัว ฉันไม่คิดจะแย่งเขาคืนมา แค่ต้องการแจ้งให้ทราบ ถ้าพูดแล้ว มันจะทำ
ให้อะไรๆดีขึ้นจริงๆเหรอคะ?”
เอื้อสะอึก ก็จริงตามที่สุริยงพูด และในที่สุดก็ตัดสินใจถามตรงๆ
“ถ้าหนูเล็กไม่ต้องการได้เขมชาติกลับคืนมา แล้วกลับมาหาเขาทำไม?”
“จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มันเป็นความบังเอิญ บริษัทจัดหางานเป็นคนติดต่อมา ในตอนนั้นมันเป็นงาน
เดียวที่มี และเงินเดือนก็สูงพอที่จะดูแลคนทั้งบ้านได้ หนูเล็กคิดว่าเขาจะลืมเรื่องในอดีต และเราน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน
กันได้”
เอื้อสวน “แต่เขาไม่ลืม”
“หนูเล็กก็พยายามจะลาออก คุณเอื้อก็รู้ แต่มันไม่ง่าย มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น”
สุริยงเสียงเครียด เข้มขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เอื้อถามตรงๆ อีกครั้ง
“หนูเล็ก ยังรักเขมชาติหรือเปล่า?”
สุริยงสะอึก จุก แล้วก็ตัดสินใจเชิดหน้าตอบ
“เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้ว และไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่เขาทำมันเกินกว่าที่จะให้อภัย
หนูเล็กไม่มีคำว่า รักให้ผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว”
“เขมชาติทำอะไรเลวร้ายมากนักเหรอ หนูเล็กถึงให้อภัยเขาไม่ได้”
สุริยงหันมตอบหน้านิ่ง
“คุณเอื้อเชื่อเถอะค่ะ เรื่องบางเรื่อง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงมันจริงๆ มันเป็นได้ก็แค่เรื่องหนึ่งในอดีตที่
เราไม่อยากจะจดจำ”
จากนั้นก็ย้ำอย่างหนักแน่น
“การที่เขมชาติไม่ได้แต่งงานกับคุณเกนหลง ไม่ได้แปลว่าหนูเล็กกับเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้า
คุณเอื้ออยากให้หนูเล็กเคลียร์ เรื่องนี้เคลียร์ที่สุดแล้วค่ะ”
เอื้อได้แต่ยืนอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่แล้วจู่ๆ สุริยง ก็เกิดเวียนหัว วูบขึ้นมาเฉยๆ
“ถ้าคุณเอื้อไม่มีอะไรแล้ว หนูเล็กขอตัวก่อนนะคะ”
สุริยงหันจะเดินเข้าบ้าน แต่แล้วก็กลับวูบ เอื้อต้องรีบเข้ามาช่วย
“หนูเล็ก เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ” พลางพยายายันตัวขึ้น “ไม่เป็นอะไรมากขอบคุณที่แวะมานะคะ”
สุริยงเดินเลี่ยงเข้าบ้านไปเลย เอื้อมองตามไป ในใจนึกสงสัยแต่ไม่มากนัก แปลกใจกับคำตอบที่
ได้รับมากกว่า
สุริยงฝืนทำเข้มแข็ง เดินเข้าบ้าน แต่พอแน่ใจว่าพ้นสายตาเอื้อก็ทรุดลงนั่ง หน้ามืดๆ เวียนหัว จะ
อาเจียนอีกครั้ง
พลางคิดถึงสิ่งที่เอื้อบอกแล้วก็แอบกลุ้มใจ รู้สึกผิดที่รู้ว่าเกนหลงรู้เรื่องแล้ว สุริยงเครียดหน้าซีดๆ
อาการยิ่งทรุดหนักกว่าเดิม
จบตอนที่ 22