คุ้มนางครวญ ตอนที่ 22 อวสาน
บ่ายนั้น แลเห็นเครื่องบินทะยานขึ้นจากรันเวย์ของสนามบินดอนเมือง
เวลาผ่านไป ไม่นานนัก รถตู้ของคุ้มเวียงแก้งมารับคณะจากกรุงเทพที่สนามบิน ขับผ่านถนนเส้นต่างๆในเชียงใหม่
รถตู้ของคุ้มแล่นมาจอดที่ลานหน้าคุ้ม มีตาทอง สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน แต่งชุดดำยืนรออยู่แล้ว ตรีภพ ตฤณ ก้าวลงมาเปิดประตู พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน และจันทราลงมาจากรถ
พิมพ์เดือนท่าทางมีความสุขล้นกับการมาเที่ยวในครั้งนี้ ก่อนที่ทุกคนจะแปลกใจเมื่อเห็นตาทอง สายใจอยู่ในชุดสีดำ ตรีภพมองตาทองที่ดูมีท่าทีแปลกๆ
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับตา” ตรีภพฉงน
“นั่นสิคะ ทำไมทุกคนถึงต้องใส่ชุดดำ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“มหาจรวยค่ะคุณ ท่านมหาจรวย” สายใจบอกแทน
ตาทองหันไปปรามสายใจด้วยสายตา
“ผมว่าเชิญคุณๆ เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะครับ คุณแก้วรอพวกคุณอยู่”
ระรินกับเฟื่องฟ้ามาช่วยกันยกกระเป๋าออกไป
ตาทอง สายใจ เดินนำตรีภพ ตฤณ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน และจันทราเดินตามไป
บ่ายแก่ๆ แก้วใส่ชุดสีดำยืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นตรีภพกับตฤณ ก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจเหมือนแต่ก่อน แก้วดูมีแววเหินห่าง รู้สึกผิด ยอกแสลงใจปนกันไปหมด
“ไงวะพี่แก้ว สบายดี” ตรีภพทัก
“มีงานศพแบบนี้ ไม่มีใครสบายดีหรอก”
ตรีภพกับตฤณมองหน้ากันนิ่งๆ
“เกิดเรื่องแบบนี้ ทำไมไม่โทร.บอกพวกเรา ผมสองคนจะได้รีบมาช่วยงาน”
“ไอ้ตฤณ ไอ้พี่แก้วมันอาจจะยุ่งๆอยู่จนไม่ทันคิดก็ได้” ตรีภพหันมาทางแก้ว “เออ...พี่แก้ว เดี๋ยวไปรู้จักกับคุณแม่ของคุณพิมพ์ดาวหน่อยสิ พอดีฉันชวนแม่คุณดาวมาด้วย”
แก้วแปลกนิดๆ ที่ครั้งนี้ตรีภพกับตฤณพาคนอื่นมาด้วย
ด้านสามแม่ลูก พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน นั่งอยู่บนเตียงใหญ่ มีโซฟาเบดเป็นเตียงสำรองอยู่อีกที่ จันทรากำลังเอาเสื้อผ้าและของใช้ออกจากกระเป๋าเดินทาง ทั้งสามยังคงอยู่ในชุดเดินทาง
“หนูต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ ได้หยุดทั้งทีแทนที่จะได้เที่ยว กลับต้องมาเป็นเจ้าภาพงานศพไปซะงั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ว่าแต่…ท่านมหาจรวยที่พึ่งเสียชีวิตไปนั่น เขาเป็นใคร” จันทรานิ่งคิด เริ่มสงสัย “แล้ว…มีอะไรเกี่ยวข้อง กับเรื่องของเจ้านางยอดหล้าด้วยหรือเปล่า”
พิมพ์ดาวนิ่งคิดไปซักพัก
“นั่นสิพี่ดาว แปลกนะคะ ตอนที่เรามาถ่ายละครท่านมหาก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย ไม่น่าจะ ต้องมาเสียชีวิตเร็วแบบนี้”
พิมพ์ดาวผินหน้าไปทางหนึ่ง คิดอะไรบางอย่าง
เย็นแล้ว บริเวณห้องอาหารคุ้มหลวง ตรีภพ ตฤณ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนอยู่ในชุดเตรียมตัวไปงานศพมหาจรวย สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน ลำเลียงอาหารมาวาง เป็นอาหารว่างเพื่อรองท้องมากกว่าเป็นอาหารเย็น
โดยมีตาทองคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ดูมีท่าทีแปลกๆ ตรีภพเองก็เริ่มสังเกตเห็นจึงพยายามชวนคุย
“คราวก่อน ตอนที่พวกเรามาถ่ายละครกัน คุณมหาก็ยังดูแข็งแรงดีไม่ใช่เหรอครับตา แล้วนี่อยู่ๆ เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงได้เป็นโรคติดเชื้อเสียชีวิตไปได้”
สายใจรินน้ำอยู่ถึงกับเผลอทำน้ำหก หันมามองหน้าสบตากับตาทองอย่างมีพิรุธ
ตาทองหันมองรอบๆแล้วพูด
“จริงๆแล้วท่านมหา...”
ตาทองชะงักไม่กล้าพูดอะไรต่อ เมื่อเห็นว่าแก้วเดินมาหยุดมองหน้าตาทองอยู่ด้านหลังตรีภพ
“จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้หมอก็บอกว่าท่านมหาไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“แล้วทำไม...” ตรีภพคาใจ
“คุณมหาร่างกายอ่อนแอ พอมีเรื่องติดเชื้อในกระแสเลือดขึ้นมาอีกอย่าง กว่าหมอจะผิดสังเกตก็สายไปแล้ว”
แก้วพูดหน้าตาเฉย อินเนอร์สูงเหมือนฝึกมาอย่างดี
สายใจ กะ ตาทอง มีอาการสะอึกอึ้ง แล้วก็ต้องข่มเอาไว้ ทำตัวให้เป็นปรกติที่สุด
“เออว่ะ บางทีคนไข้ก็ติดเชื้อจากโรงพยาบาลเองนั่นแหละ”
ตฤณพูดเสร็จก็หันไปตักอาหารกินต่อ
ตรีภพแอบเมียงมองอาการของตาทองที่เริ่มมองแก้วแปลกๆ และดูเกรงกลัวแก้วกว่าแต่ก่อน
พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน จันทราแต่งชุดดำดูเป็นทางการเข้ามา 3 ชายลุกขึ้นให้ แล้วนั่งลงพร้อมกัน
“ขอโทษที่ช้านะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ทานอะไรรองท้องก่อนเถอะครับ จะได้ไม่ไปหิวที่งาน”
จันทราบอก “นี่จะทุ่มแล้ว ไปกันเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
แก้วมองทั้งสามแม่ลูก ก่อนจะพูดยิ้มๆ กับจันทรา
“วัดอยู่ใกล้แค่นี้เองครับ ยังไงก็ไปทันเวลาแน่นอน ถ้าขาดเหลืออะไร” เขาหันมาพูดกับพิมพ์ดาว “คุณดาวบอกสายใจกับตาทองได้เลยนะครับ คุ้มเวียงแก้วยินดีรับใช้ครับ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณแก้ว”
“ดิฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณแก้วด้วยนะคะ ที่คอยดูแลพวกเราเป็นอย่างดี”
แก้วยิ้มเยือกเย็นให้กับจันทรา
พิมพ์ดาวกับตรีภพมองอาการของแก้ว แล้วมองหน้ากันนิ่งๆ
ภาพที่ทุกคนที่นั่งกินอาหาร เกิดสั่นไหวเป็นคลื่นน้ำ
เหตุการณ์ในห้องอาหารกลายเป็นภาพในขันสาคร ยอดหล้านั่งบนตั่ง มองดูภาพความเป็นไปในน้ำ ระหว่างตรีภพพูดคุยกับพิมพ์ดาว
ยอดหล้ายิ้มเยาะ ความรัก ความแค้น ความชังพุ่งขึ้น จนน้ำนั้นกระเพื่อมจนน้ำพุ่งกระจายขึ้นภาพหายไป
ยอดหล้าโบกมือแต่ภาพไม่กลับมา ยอดหล้าผุดลุกขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น”
เถรกระอ่ำก้าวมา ใบหน้ายังคงไหม้ซีกหนึ่ง
“เจ้านางน้อย จิตที่มีราคะ โทสะกล้า...สมาธิย่อมไม่บังกิด”
ยอดหล้าทอดถอนใจ “นับแต่วันที่ข้าทำลายหีบอาคม พลังของข้าก็เสื่อมลงเจ้า”
เถรกระอ่ำมีแววประหลาดใจวูบหนึ่ง
“วิชาครูบาสรี แม้ผ่านมาเนิ่นนานก็ยังคงร้ายกาจนัก”
ยอดหล้าแค้น “โดยเฉพาะวิชาลอบกัด เล่นงานเราเมื่อเผลอตัว”
ยอดหล้ายังคงโกรธเกลียด เคียดแค้นไม่คลาย
เถรกระอ่ำยิ้มคล้ายเอ็นดูศิษย์
“เมื่อกำลังน้อยกว่า ย่อมต้องใช้กลอุบาย”
“ท่านอาจารย์ใจกว้างนัก ชื่นชมได้แม้ศัตรู”
“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ย่อมชนะร้อยครั้ง”
“วิชาของครูบาชั่วนี้...ดูๆ ไปกลับคล้ายคลึงกับอาคมของท่าน”
เถรชั่วเลิกคิ้ว “เจ้านางน้อย ตาเจ้าแหลมคมนัก”
เถรกระอ่ำก้าวเดินผินหน้าไป หลังให้ยอดหล้า
“ข้าเป็นศิษย์รุ่นหลังของครูบาสรี...แต่ครูบาสรีเดินทางผิด ก้าวสู่ไสยศาสตร์อันมืดมนชั่วร้าย ทรยศต่อครูอาจารย์จนถูกขับไล่ มันจึงได้เกลียดชังข้านัก”
ยอดหล้ายิ่งเกลียด “ครูบาผู้นี้ชั่วช้าจริงๆ”
“เจ้านางน้อย เจ้าพักผ่อนเถอะ ให้วิชาอาคมของเจ้ากลับคืนมา”
“เจ้า...ท่านเคยบอกว่า ให้ข้ารอเวลา”
“ใช่...รอเวลาให้เหมาะสม แล้วค่อยลงมือ”
“เจ้า...ท่านอาจารย์”
ยอดหล้ามุ่งมั่น จึงไม่เห็นดวงตาชั่วร้ายของเถรกระอ่ำ
ปีกหนึ่งของคุ้มหลวง อันเป็นห้องพักของพิมพ์ดาว ตกอยู่ในความมืด
พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน นั่งอยู่บนเตียงใหญ่ มีโซฟาเบดเป็นเตียงสำรองอยู่อีกที่
จันทรานั่งละเลงครีมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง สามแม่ลูกแต่งชุดนอน
“แหม แม่ได้หยุดทั้งที แทนที่จะได้เที่ยว กลับต้องมาเป็นเจ้าภาพงานศพ” พิมพ์เดือนเย้า
“เป็นไรไปจ๊ะ ฝรั่งว่า เรามีเวลาพักผ่อนมากมายในหลุมศพ”
พิมพ์ดาวท้วง “แม่พูดอะไรน่ะ”
พิมพ์เดือนหน้าหมองลง “ใช่ค่ะ พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ”
“แม่ก็พูดให้ปลงน่ะซีจ๊ะ เขาเรียก...มรณะสติ”
พิมพ์เดือนตัดบท “ไม่เอาละค่ะ...หนูยังไม่ถึงวัย อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
โทรศัพท์พิมพ์ดาวมีข้อความเข้าดัง พิมพ์ดาวลุกไปรับ เห็นข้อความจากตรีภพ
ข้อความในไลน์เขียนว่า "ขอพบสักครู่นะครับ...น่า...นะ"
จันทรากับพิมพ์เดือน ลอบมองอาการพิมพ์ดาว
“พี่ตรีแน่ๆ”
“จะออกไปพบคุณตรีก็ไปเถอะจ้ะ”
พิมพ์ดาวยิ้มเขินให้กับความรู้ทันของแม่กับน้อง
พิมพ์ดาวก้าวมาตรงจุดนัด ขณะที่ตรีภพรออยู่ที่มุมสวยงาม
“มีอะไรหรือคะ”
ตรีภพอ้อน โอด “ทำไมต้องมีอะไรด้วยล่ะโธ่ ตั้งแต่มาถึง แทบไม่ได้อยู่กันตามลำพังเลย ยิ่งคุณแม่มาด้วย ผมยิ่งไม่กล้า”
“แหม...ไม่กล้าอะไรคะ คุณน่ะมันลูกรักของแม่ฉันยิ่งกว่าฉันอีก”
ตรีภพยิ้ม ถูกใจ
“เรื่องชาติภพนี่มันมหัศจรรย์จังเลย แล้วยังโชคชะตาที่กำหนดให้เราต้องมาเจอกันอีก”
“ใครว่าโชคชะตาล่ะคะ มันคือกรรมต่างหาก”
“พูดว่าโชคชะตามันโรแมนติกกว่านี่นา”
“แต่พูดว่ากรรม มันเรียลิสติกกว่านี่คะ”
ทั้งสองต่อปากต่อคำกันมาไม่รู้กี่ชาติภพ
มีร่างหนึ่งดูเป็นเงาดำก้าวมา พิมพ์ดาวหันมาเห็นเข้า ตกใจ
“อุ๊ย”
“ใครน่ะ”
ร่างนั้นก้าวมาสู่แสงสว่างเห็นว่าคือ ตาทอง ที่มีท่าทางกังวลใจเต็มทน
“ตาน่ะเอง มีอะไรหรือครับ”
ทุกคนอยู่ในห้องพักตรีภพ ทั้งตรีภพ ตฤณ พิมพ์ดาว ตะลึงไปเมื่อได้ฟัง ตาทองยืนอยู่ต่อหน้า
“ผมเป็นคนไปรับศพคุณมหาด้วยตัวเอง สภาพศพฟ้องว่า คุณมหาไม่ได้ป่วยตายครับ แต่...เหมือนถูกบางสิ่งทำให้ตาย คุณแก้วสั่งให้ปิดทุกคน”
ตรีภพฉงน “บางสิ่ง...คืออะไรหรือ ?
“ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ผมคิดว่าคุณแก้วน่าจะทราบเรื่องนี้ เพียงแต่คุณแก้วไม่บอกใคร”
“เพราะอะไรหรือคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ แต่คืนที่ท่านมหารวยตาย มีคนงานชายที่นี่ถูกฆ่าควักหัวใจ เสียชีวิตไปคล้ายๆ กับพวกในกองละครฯของพวกคุณตายน่ะครับ”
ตรีภพกับพิมพ์ดาวมองหน้ากัน
พิมพ์ดาวบอก “เจ้ายอดหล้ายังอยู่”
ตฤณเริ่มอินกับเรื่องลี้ลับ “และไอ้พี่แก้วก็กลายเป็นบริวารปีศาจเหมือนเดิมอีก”
อีกฟากหนึ่ง ที่ห้องใต้คุ้มร้าง ยอดหล้าในภูษาสีแดงคล้ำดูหม่นหมอง ดวงหน้างามดูขุ่นแค้นอยู่ตลอด แก้วยืนมองอยู่ มีแววเคลิ้มฝัน
“อีกไม่นาน...เจ้านางก็จะคืนร่างมนุษย์ได้อีกครั้ง”
ยอดหล้าบอกเย็นชา “เพื่ออันใด”
“เพื่อ...กลับไปยังคุ้มหลวง ปกครองเวียงแก้ว และ...เพื่อผมได้เป็นข้ารองบาท ตอบแทนบุญคุณของเจ้า”
“ข้าไม่ได้มีบุญใดกับเจ้า เจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนการของข้าเท่านั้น”
“แต่เท่านั้น ก็เป็นบุญคุณยิ่งแล้ว”
ยอดหล้ามองแก้วด้วยดวงตากระด้าง
เถรกระอ่ำก้าวออกมาจากมุมมืด มองเห็นอาการของแก้วที่มีต่อยอดหล้า
“ดูเจ้าช่างจงรักภักดิ์ดีต่อเจ้านางมิใช่น้อย”
“มันเป็นสิ่งที่ข้าพึงกระทำมิใช่หรือครับท่าน...อาจารย์”
“ถ้าเช่นนั้น ถ้าเจ้ามีโอกาสที่จะทำให้ข้ากับเจ้านางเป็นอมตะ เพื่ออยู่ให้เจ้าได้คอยรับใช้ไปตลอดกาลได้ เจ้าก็พร้อมที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่”
แก้วดีใจ “ขอเพียงท่านบอกมา”
“ท่านอาจารย์ ท่านกับข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าจะเป็นอมตะเพื่ออยู่ครองรักกับพี่เทพได้เช่นไร ท่านอาจารย์”
เถรกระอ่ำลอบยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปมองเจ้านางยอดหล้า
“ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดสมหวังไปเสียทุกอย่างได้หรอกเจ้านาง แต่สิ่งที่จะทำให้เจ้ากับข้าเป็นอมตะได้นั้น หนึ่งนั้น...คือหัวใจของหลวงเทพ และสองก็คือเลือดของเจ้านางดาราราย”
เจ้านางยอดหล้ากับแก้วได้ยินดังนั้น ก็มีอาการตกใจพอๆกัน
ยอดหล้าพึมพำ “ดวงใจของพี่เทพ...กับเลือดสดๆของน้องข้า ดารารายงั้นรึ”
“ใช่...และตอนนี้ทั้งสองสิ่งนั้นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” เถรชั่วหันมาทางแก้ว “ไป เจ้าจงรีบไปนำทั้งสองสิ่งนั้นกลับมาให้ข้า หากเจ้าจงรักภักดิ์ดีต่อเจ้านางยอดหล้าอย่างที่ปากว่าจริง”
เถรกระอ่ำหัวเราะอย่างทรงอำนาจ เปี่ยมพลัง
แก้วน้ำตารื้น ค่อยๆ เดินกลับออกไป ภายในใจรู้แล้วว่ากระอ่ำกำลังจะเอาชีวิตตรีภพกับพิมพ์ดาว
“พี่เทพ...ยอดดวงใจของข้า” ยอดหล้าครวญคร่ำ ยืนนิ่ง มองเหม่อตามแก้วออกไปตามดวงตาอ่อนลง
เถรกระอ่ำก้าวมามองตามแก้วไป ด้วยดวงตามาดหมาย
ขณะเดียวกัน ตาทองโบกมือ รถตู้แล่นมาจอดลงหน้าคุ้มหลวง คนงานลงมาจากหน้ารถ
“อะไรกันตา พวกคุณๆ เขาเพิ่งจะมาถึงกันไม่ใช่เหรอ จะให้ฉันไปส่งในเมืองทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
คนงานคอหด
ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ตฤณ จันทราแต่งตัวอย่างเดินทาง ถือกระเป๋าลงมา
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน ช่วยถือของด้วย ตรีภพพยายามจะอธิบายให้จันทรากับพิมพ์เดือนฟัง
“ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าไอ้พี่แก้วกับเจ้านางยอดหล้ามีแผนที่จะทำอะไร แต่เพื่อความปลอดภัย คุณน้ากับน้องเดือนไปพักอยู่ในเมืองก่อนจะดีกว่า”
พิมพ์ดาวอ้อนวอนขอร้อง “นะคะ คุณแม่”
“แล้วลูกล่ะดาว เจ้านางยอดหล้านั่นต้องการจะทำร้ายลูกนะ” จันทรากังวล
“ก็แม่เคยสอนหนูเองไม่ใช่หรือคะ ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าชาติที่แล้วหนูเคยก่อกรรมทำเข็ญไว้กับเจ้านางยอดหล้าจริงๆ แล้วหนูไม่ได้ชดใช้ในชาตินี้ ในชาติอื่นๆหนูก็ต้องตามไปชดใช้ให้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าทุกอย่างมันจบได้ในชาตินี้ก็จะดีไม่น้อยค่ะ”
ตรีภพเสริม “มันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ครับ คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลคุณดาวให้ดีที่สุดครับ”
ตฤณหันไปมองรอบๆ ท่าทางกังวล หันมาบอกกับพิมพ์เดือน
“ผมว่าคุณ กับคุณแม่รีบๆไปจากที่นี่ก่อนเถอะ นะครับ”
พิมพ์เดือนมองตฤณด้วยความรู้สึกดีอย่างจริงใจ
พิมพ์เดือนบอก “นายเองก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
แก้วส่งเสียงขุ่นเขียวออกมา “จะไปไหนกัน”
ทุกคนสะดุ้งหันมอง แก้วก้าวมาจากมุมหนึ่ง ตอนนี้ถูกสะกดเรียบร้อย มองดูทุกคนอย่างเย็นชา
พิมพ์ดาวเหมือนจะตั้งสติได้ก่อน พยามจะทำใจดีสู้เสือ
“เอ่อ...คุณแก้วคะ พอดีคุณแม่ของดิฉันมีธุระด่วนที่กรุงเทพฯ พวกเราก็เลยจะให้ตาทองเอารถไปส่งที่สนามบินในเมือง”
แก้วบอกเสียงกร้าว “คืนนี้ จะไม่มีแขกคนไหนของ “คุ้มเวียงแก้ว” ออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น”
ตรีภพงง “พี่หมายความว่ายังไง”
“นี่พี่แก้วรู้ตัวหรือเปล่า ว่าพี่กำลังตกเป็นทาสความรักของเจ้านางยอดหล้า” ตฤณสุดทน
แก้วสะอึกไป คล้ายมีความละอาย ลังเลเกิดขึ้น “ฉัน...ฉัน...”
“พี่เป็นเพื่อนผม ผมรู้ว่าพี่หลงรักเจ้านาง ยอมทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านาง แต่พี่อย่าลืมสิว่าเจ้านางอยู่คนละโลกกับเราแล้ว พี่ต้องสู้กับอำนาจของเจ้านางยอดหล้าให้ได้สิพี่”
แก้วเริ่มลังเล เหมือนสติฟื้นคืนกลับมาชั่วครู่
“ไม่ได้ แกไปไม่ได้”
แก้วหยิบปืนขึ้นมาจ้องตรีภพ ทุกคนตกใจ พิมพ์ดาวก้าวมาขวางไว้
“คุณแก้ว อย่านะคะ”
“คุณก็อีกคน คุณทำร้ายเจ้าขนาดนั้นได้ยังไง”
ตรีภพดึงพิมพ์ดาวมาข้างหลัง ตฤณกับจันทราดึงพิมพ์เดือนมาข้างหลัง
“ฉันไม่ได้ทำร้ายเจ้านาง ทั้งฉันและคุณตรีเกิดใหม่ เป็นคนใหม่แล้ว ยังจะมาไขว่คว้ายึดติดอะไรอีก”
ตรีภพพยายามกล่อม “พี่เป็นเพื่อนผม พี่แก้วจริงๆ ยังอยู่ในนั้น พี่สู้กับอำนาจเจ้ายอดหล้าให้ได้ซิ”
แก้วชะงักฟัง ปืนที่จ้องอยู่นั้นค่อยๆลดลงเหมือนจะต่อสู้อยู่ภายใน มือเริ่มสั่นระริก ปืนใกล้จะหลุดจากมือ
ทุกคนจ้องมองที่แก้วซึ่งเริ่มจะสำนึกได้ แต่แล้วจู่ๆ แก้วก็แข็งกร้าวขึ้นอีกครั้งอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“ไม่ ! ไม่มีทาง” เขาจ้องปืนไปที่ตรีภพ “แกตามฉันมา ตรีภพ”
ตฤณห้าม “พี่แก้ว อย่าทำยังงี้นะ”
“แกไม่เกี่ยว ทุกคนไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ ไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
แก้วบังคับให้ตรีภพหมุนตัว เดินกลับไปอีกทาง
พิมพ์ดาวที่จับจ้องมองเหตุการณ์อยู่ ถอดเขี้ยวเสือไฟจากคอตัวเอง พร้อมกับปรี่เข้าไปคล้องที่คอแก้วทันที
ปรากฎแสงสีเขียววาบไหวออกจากร่างของแก้วในบัดดล
ขณะเดียวกันนั้นยอดหล้าลืมตาโพลง พลันตกใจในภาพที่เห็นในมโนนึก เถรกระอ่ำมองมาที่ยอดหล้า ทำนองว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ตรีภพกับตฤณประคองแก้วที่ยังคงสวมเขี้ยวเสือไฟอยู่ แก้วค่อยๆ รู้สึกตัว
“ไอ้ตรี...”
“พี่แก้ว...เรารีบไปจากที่นี่ด้วยกันเถอะ”
แก้วยังคงมึนงง ตรีภพ ตฤณประคองแก้ว ขยับลุก
ฉับพลันทันใดนั้น บรรยากาศรอบกายก็เริ่มวูบไหว มีเสียงหัวเราะเย็นชา ทั้งรักทั้งแค้น
ทุกคนจ้องมองตาไม่กระพริบ ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน จันทรา และตฤณใจหายวาบ
ตรีภพรู้ทันที “เจ้า...”
“เจ้าพี่...”
พิมพ์เดือนกับตฤณต่างหวาดกลัว
“มันมาแล้ว ไปกันเถอะค่ะพี่ดาว พวกเรารีบหนีกันเถอะค่ะ”
“ไปเร็ว”
พิมพ์เดือนกับตฤณ รีบเกณฑ์ตรีภพ พิมพ์ดาว และจันทราออกไปจากที่นั้น
ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ตฤณและจันทรา กรูถอยมารวมกัน มองกลับไปในทิศทางที่มาอย่างสยดสยอง
มีหมู่พลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นยอดหล้า พัสตราดูแดงคล้ำ ดวงตาเจิดจ้า
ยอดหล้าปรากฎร่างขึ้นอีกทางหนึ่ง ทุกคนตะลึงงัน
“เหมือนวันคืนได้หวนคืนย้อนมาจริงๆ ข้าไม่เพียงได้เจอพี่กับดาราราย” ยอดหล้าปรายตามองยิ้มเยาะ”แต่ข้ายังได้เจอคุณเพ็ง และคุณหญิงอำภาอีกครั้ง”
ภาพอดีตตอนยอดหล้าประคารมกับคุณเพ็ง และคุณหญิงอำภาผุดขึ้นมา
พิมพ์เดือนขนลุกเกรียวแอบหลังจันทรา ส่วนจันทราถอนใจ พิมพ์ดาวก้าวมาบังแม่อย่างอาจหาญ
“เจ้าพี่...ถ้าท่านแค้นข้า ท่านก็ลงมือกับข้า อย่าได้เกี่ยวข้องกับผู้ใด ตอนนี้ข้าเองก็มิได้มีอะไรคุ้มกันตัวแล้ว ท่านอยากฆ่าข้าท่านก็ลงมือเลยสิ แต่ได้โปรดอย่าทำร้ายคนอื่นเลย”
“ผู้อื่นงั้นรึ...ผู้อื่นอันใดกัน คนกันเองทั้งสิ้น ทั้งคุณเพ็ง ทั้งคุณหญิง ต่างก็เคยทำกับข้าไว้แสนสาหัสนัก”
ยอดหล้าชี้นิ้วมายังพิมพ์เดือนและจันทรา จันทราก้าวมาออกมา
“เจ้านาง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ชาติภพนั้นจบแล้ว ดิฉันกับยายเดือนจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
ยอดหล้าหยัน “ผิดกับข้า ที่จดจำความอยุติธรรมของคุณหญิงกับลูกไว้ได้ไม่ลืมเลือน”
ตรีภพตัดความ “พอเถอะเจ้านาง เรื่องนี้ตัวต้นเหตุคือผม ผมขอรับความผิดนั้นไว้เอง”
พิมพ์ดาวไม่ยอม “ไม่ใช่เจ้าพี่...ข้าต่างหากเป็นผู้ผิด ถ้าจะลงมือ ก็จัดการกับข้า”
“ไม่นะครับ คุณดาว”
ยอดหล้าโมโห “แย่งกันออกรับผิดเชียวหรือ ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก ข้าเคยวางแผนการสำหรับเจ้าเอาไว้มากมายยิ่งนัก ข้าอยากให้เจ้าต้องเจ็บปวดเจียนตาย เมื่อทำให้พี่เทพทอดทิ้งเจ้ามารักข้าให้เจ้าต้องทนดูข้าในร่างมนุษย์ครองคู่อยู่กับพี่เทพ แต่ตอนนี้...ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ยอดหล้าเงื้อมือมา เกิดแสงและสายฟ้าที่มือขวา
“ข้าจะทำให้เจ้าลิ้มรสแห่งการสูญเสียคนที่เจ้ารัก ข้าจะพรากแม่ของเจ้าไปจากเจ้าเดี๋ยวนี้”
ขาดคำทันใด ยอดหล้าก็เพ่งไปที่ม่านซึ่งกางกั้นคนทั้งสี่เอาไว้ ม่านนั้นสลายกลายเป็นแสงกำลังจะพุ้งเข้าใส่จันทรา
แต่ทว่าตรีภพกลับพุ่งไปผลักจันทราออก ร่างของตรีภพถูกห่อหุ้มด้วยพลังของยอดหล้าแทน
หมู่มวลมหาประชาชนพากันตื่นตกใจในภาพที่เห็น ตาทอง สายใจ เฟื่องฟ้า ระรินโผล่มาทางประตู มองดูทุกอย่างท่าทีตื่นตะลึง
พิมพ์ดาวตกใจสุดขีด หวีดร้องเมื่อเห็นภาพตรีภพ พลังของยอดหล้าแผ่กระจายเต็มที่ แต่แล้วอาคม อาถรรพ์
อาฆาตนั้น ก็ถูกทำลายด้วยของบางสิ่ง...สิ่งนั้นคือ เขี้ยวเสือไฟ !
ร่างของตรีภพกระเด็นตกฟาดลงกับพื้นแน่นิ่งไปทาง ส่วนยอดหล้าก็กระเด็นไปอีกทาง
เขี้ยวเสือไฟตกลงพื้น สว่างวาบ
ร่างยอดหล้าสลายกลายเป็นกลุ่มควันเขียวเข้มข้น พุ่งเข้าม้วนตัวหายไปทางคุ้มร้าง
พิมพ์ดาวก้าวเข้ามาหยิบเขี้ยวเสือไฟ แล้วเดินมามองตรีภพ ทรุดตัวลงใกล้ ท่าทางอ่อนแรง
โรงพยาบาลเอกชนในเชียงใหม่ ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน แต่ท้องฟ้ากลับมืดหม่น ทางเดินยาวในโรงพยาบาล ดูเวิ้งว้างว่างเปล่า
ตรีภพอยู่ในห้องไอซียูมีอุปกรณ์ช่วยชีวิต สัญญาณชีพดูแผ่วเบา คล้ายตรีภพจะสิ้นใจได้ทุกขณะ
พิมพ์ดาวยืนอยู่ในสวนสวยสงบ ยกมือขึ้นสัมผัสเขี้ยวเสือไฟที่คอ พิมพ์ดาวครุ่นคิดบางอย่างเมื่อไม่นานมานี้
เวลานั้น พิมพ์ดาวตัดสินใจไปหาหลวงตาในโบสถ์ ในวัดที่แม่เคยพาไปทำบุญ หลวงตาเองก็เหมือนจะรออยู่แล้ว
“หนูอยากรู้ว่าเขี้ยวเสือไฟที่หนูใส่อยู่ เป็นของเก่าแก่กว่า 200 ปีแล้วใช่ไหมคะหลวงตา? แล้วในอดีต ก็เคยใช้ป้องกันภัยจากภูตผีด้วย”
“สิ่งที่โยมรู้มาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แล้วโยมยังจะอยากรู้อะไรอีก”
“หนูอยากรู้เกี่ยวกับตัวเองค่ะ ที่ผ่านมาถ้าหนูไม่เจอกับตัวเอง หนูคงไม่เชื่อเรื่องชาติภพ จนได้ไปพบกับวิญญาณของเจ้านางยอดหล้า หนูอยากรู้ว่าเขี้ยวเสือไฟสามารถทำอะไรได้มากกว่าเป็นแค่เครื่องรางของคลังไว้ป้องกันตัวหรือเปล่าคะ เช่นใช้เป็นอาวุธ”
“ไม่มีอาวุธใด จะทำร้ายตัวเราได้เท่ากับจิตใจของเราเองหรอก”
“หนูไม่เข้าใจค่ะ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าหนูจะใช้เขี้ยวเสือไฟนี้ ไปสู้กับใครหรือกับอะไร ถ้าใช้สู้กับจิตใจของตัวเอง โยมก็แค่มีสติ ตั้งมั่นอยู่ใน ศีล สมาธิ หมั่นสำรวจจิตใจตัวเอง ทำได้เพียงเท่านี้ “เขี้ยวเสือไฟ” ก็ไม่ต่างอะไรจากเครื่องประดับธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“แต่หนูไม่ได้ต้องการจะใช้กับตัวเอง”
“ถ้าหนูจะใช้สู้กับความอาฆาตแค้นของผู้อื่น หนูต้องรู้ให้ได้ว่าเขาผู้นั้น โกรธแค้น หรืออาฆาตหนูด้วยเรื่องอันใด ทุกข์...ดับได้ด้วยเหตุที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ เราเคยแย่งของรักเขามา เขาก็ต้องการได้ของรักเขาคืน หนูพร้อมที่จะสละทุกสิ่งให้กับเขาได้หรือไม่ล่ะ”
พิมพ์ดาวอึ้ง นิ่งคิดแล้วตัดสินใจตอบ
“ได้ค่ะ หนูพร้อมที่จะสละทุกสิ่งแม้ชีวิต หากมันจะทำให้ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่จบลง”
หลวงตายิ้มเปี่ยมเมตตา มองพิมพ์เดือนที่ดูท่าทางจริงจังกว่าแต่ก่อน
แก้วนอนหลับอยู่ในห้องพักฟื้น โรงพยาบาลเดียวกัน ท่าทีอ่อนเพลีย ที่แขนมีสายน้ำเกลือ และที่คอมีสายสิญจน์คล้องอยู่
แก้วค่อยๆ รู้สึกตัวและลืมตาขึ้น แก้วพยายามกลอกดวงตามองไปรอบๆ รู้ว่าตนอยู่ที่โรงพยาบาลและพยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน
จำได้ว่าตอนนั้นทุกคนพยายามหนี
ตรีภพบอกว่า แก้วก็ไม่ต่างจากเจ้านางยอดหล้า หลงรักเจ้านางยอดหล้าจนตกเป็นทาส
แก้วรู้สึกเสียใจ ดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลุกลงไปจากเตียง
พิมพ์ดาวกลับเข้ามา เกาะกระจกมองดูตรีภพในห้องซียู ดวงตารักใคร่ผูกพันห่วงใย หมอเจ้าของไข้เอาชาร์ตมาดูกับตฤณอยู่อีกมุมหนึ่ง มีอาการหนักใจ ตฤณมองดูพิมพ์ดาวอย่างเห็นใจ
“อาการคงที่แล้ว แต่ยังอันตรายอยู่”
ร่างตรีภพยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ
ณ คุ้มต่างมิติ อันไร้กาลเวลา
มีร่างตรีภพนอนนิ่งอยู่ แต่ชุดกลายเป็นเสื้อผ้าเรียบๆ เตียงคนไข้กลายเป็นตั่งทอง
ตรีภพอยู่บนตั่ง ยอดหล้านั่งอยู่บนตั่งมองดูความรักและแค้น เถรกระอ่ำยืนอยู่ห่างออกมา
คุ้มน้อยนี้ไม่ใช่คุ้มร้างอีกต่อไปแล้ว แต่คือคุ้มในอีกมิติหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นด้วยความผูกติดความปรารถนาอย่างแรงกล้าของยอดหล้า เรือนนั้นดูโล่งกว้างใหญ่ไพศาล แทบไม่มีเครื่องเรือนใดๆ มีแต่ม่านบางงามขึงอยู่ตามด้านต่างๆ แต่พ้นไปกลายเป็นหมอกควันที่เคลื่อนบิดตัวราวงูใหญ่
ยอดหล้ายิ้มแย้ม ดวงตากระด้าง เถรกระอ่ำมองดูทุกคน
“พี่เทพ...ตื่นเถิดเจ้า”
ตรีภพกระพริบตาลืมตาขึ้นช้าๆ มีอาการมึนงง คล้ายคนความจำเสื่อม
“เจ้านาง...”
ส่วนที่ห้องไอซียูในโรงพยาบาล ตรีภพยังคงแน่นิ่ง สัญญาณชีพแปรเปลี่ยนนิดหนึ่ง แล้วก็สม่ำเสมอเหมือนเดิม
“พี่ดาวขา...พี่ตรีเป็นยังไงบ้าง”
พิมพ์ดาวบอก “โคมาโทส...”
“เพราะแม่คนเดียวแท้ๆ ถ้าคุณตรีไม่เสี่ยงชีวิตช่วยแม่ คุณตรีก็คงไม่เป็นแบบนี้”
พิมพ์ดาวทั้งโศกเศร้าทั้งแค้น พิมพ์เดือนและจันทราเดินมากับตาทอง
“คุณพิมพ์ดาวครับ ก่อนมหาจรวยจะตาย แกสั่งเสียผมให้เอาของในกล่องใบนี้ให้คุณ”
ตาทองส่งกล่องให้ พิมพ์ดาวรับมามองกล่องในมือ อย่างงุนงง
มุมหนึ่งในโรงพยาบาล พิมพ์ดาวเปิดกล่องเป็นพับกระดาษสาเก่าแก่ หยิบจดหมายในกล่องมาคลี่อ่าน มีเสียงจรวยดังขึ้นคล้ายมาอ่านให้ฟังเอง
“ตั้งแต่ผมรู้ความ พ่อของผมบอกว่า ผมมีหน้าที่สำคัญที่สืบทอดมา นั่นคือ หนึ่งให้ดูแลหีบสะกดวิญญาณเถรกระอ่ำ กับตรวจตราอาถรรพ์ที่ปกป้องคุ้ม”
มหาจรวยเอาหีบอาคมออกจากที่ซ่อน
เสียงมหาจรวยดังขึ้นอีก “และอีกหน้าที่หนึ่งคือ...ให้พิทักษ์รักษาคัมภีร์ของครูบาสรี และส่งมอบมันให้แก่เจ้าดาราราย ศิษย์เอกของครูบา ผมใช้เวลาเนิ่นนานกว่าผมจะรู้ว่า ใครคือเจ้าดารารายในคำสั่งเสียนั้น”
พิมพ์ดาวเงยหน้าขึ้นจากจดหมายรีบหยิบพับกระดาษสาดู พบว่ามันเก่าแก่โบราณ เขียนด้วยอักษรโบราณ
“อักษรเหนือหรือ”
“เขาเรียกอักษรตัวธรรมค่ะ ภาษาเขียนของล้านนาโบราณ หนูอ่านออก หนูเคยเรียนมา”
พิมพ์ดาวส่งให้ พิมพ์เดือนรับพับกระดาษสามา คลี่ดูเอานิ้วไล่ทีละตัว
“เป็นไงบ้างคุณ ในตำราเขาว่ายังไงบ้าง” ตฤณถาม
“ฉันอ่านไม่ออกซักตัว”
“อ้าว ก็ไหนคุณบอกว่า...”
พิมพ์เดือนรีบสวน “ฉันคิดว่าเป็นคัมภีร์ที่ครูบาสรีเขียน อักษรธรรมสมัย 200 ปีก่อนนะฉันอ่านออก แต่นี่มันเก่ากว่านั้นอีก ดีไม่ดีก็อาจจะ 4-500 ปีมาแล้ว อ้อ...หนูจะติดต่ออาจารย์สุรัสวดี อาจารย์คงแนะนำผู้เชี่ยวชาญอักษรโบราณให้เราได้”
พิมพ์ดาวบอก “ไม่ต้องรบกวนดีกว่า พี่รู้...ว่าใครที่จะอ่านตำรานี่ได้”
“ใครหรือคะ พี่ดาว”
“ก็...เจ้านางดารารายไงคะ”
ตฤณกับพิมพ์เดือนต่างงงงัน
ฟากแก้วเปิดประตูเข้ามา แล้วก้าวเดินมาที่เตียงซึ่งมีตรีภพนอนอยู่ ก่อนที่แก้วจะเห็นสภาพตรีภพแล้วร้องไห้ออกมา
ณ คุ้มต่างมิติ ยอดหล้าสีหน้าสดใส มีซึงวางบนตักพลางบรรเลงเป็นเพลงแผ่วเบา
ตรีภพอยู่ตรงข้ามมองยอดหล้าอย่างหลงใหล ฟังเพลงอย่างเพลิดเพลิน
“พี่เทพ...ท่านว่าที่นี่เป็นเช่นใดบ้างเจ้า”
“ที่นี่มีแต่ความสุข ความเพลิดเพลิน และ...ความงาม”
ยอดหล้มยิ้มพริ้มพราย “ถ้าเช่นนั้น จงอยู่กับข้าที่นี่ตลอดไปเถิดเจ้า พี่เทพ”
ร่างตรีภพยังคงนอนแน่นิ่งบนเตียงในห้องไอซียู แต่จู่ๆ สัญญาณชีพก็หายไป สัญญาณเตือนดัง นางพยาบาลและหมอวิ่งมาดู แล้วเริ่มการปั๊มหัวใจ
พิมพ์ดาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่งรอหน้าห้องไอซียูอย่างร้อนใจ พิมพ์เดือนกุมมือไว้ ตฤณก้าวมา
“น่าแปลก...ตอนแรกคุณหมอบอกว่าไอ้ตรีปลอดภัยแล้ว แต่อยู่ๆก็มีอาการช็อกขึ้นมาอีก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า อาการนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร”
“เจ้าพี่คงไม่รออีกต่อไปแล้ว ฉันเองก็รอไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
ค่ำคืนนั้น พิมพ์ดาวพาตัวเองก้าวมาอย่างช้าๆ ที่บริเวณเติ๋นอันรกร้างว่างเปล่า ทุกอย่างดูเวิ้งว้างวังเวง เขี้ยวเสือไฟที่คอพิมพ์ดาวจะเรืองแสงวาบ
“เจ้าพี่...ข้าต้องการพบท่าน ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับท่าน”
ยอดหล้าคิดแค้นในใจ “ฮึ...ดาราราย เจ้านี่ร้อนรน เอาแต่ใจนัก”
ขาดคำเกิดควันสีเขียวหมุนวนกลางอากาศ เกิดเป็นอุโมงค์ล้ำลึก เหมือนเชื่อมอีกโลกหนึ่ง
“ข้าจะให้เจ้าเข้ามา ด้วยเงื่อนไขเดียว”
“อะไร...เจ้าพี่”
“ทิ้งเขี้ยวเสือไฟไว้ภายนอกโน่น”
พิมพ์ดาวลังเลชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจปลดสร้อยเขี้ยวเสือไฟจากคอ แขวนไว้กับกิ่งไม้
พิมพ์ดาวก้าวไปสู่อุโมงค์แสงนั้น เกิดแสงเจิดจ้าทั่วอุโมงค์ พอแสงดับวับ ร่างพิมพ์ดาวหายไป
พิมพ์ดาวก้าวไปมองดูรอบกายอย่างพิศวง ตรงหน้าเป็นยกพื้นสูง มีแท่นคำบัลลังก์ทอง ยอดหล้าในพัสตาภรณ์เต็มที่ยืนอยู่ มองมาอย่างสาสมใจ พิมพ์ดาวกวาดตามอง
“เจ้ามองหาผู้ใดหรือ”
“คุ้มนี้กว้างใหญ่ไพศาล เจ้าพี่คงมิได้อยู่เพียงผู้เดียว”
“ใช่แล้ว...ท่านอาจารย์ย่อมอยู่กับข้าที่นี่ด้วย”
เถรกระอ่ำก้าวมาจากหลังแท่นคำ ยืนเอามือวางลงบนลวดลายบนแท่นคำ มองพิมพ์ดาวอย่างเฉยชา
“ท่านคงมิได้อยู่เพียงสองคนเท่านั้นกระมัง”
“เจ้าถามอ้อมโลกอยู่เนิ่นนาน เอาเถิดเจ้าจะได้พบพี่เทพอีกซักครั้ง”
ยอดหล้าโบกมือ ม่านด้านหนึ่งเปิดออก ยอดหล้าก้าวไปยังหลังม่านนั้น พิมพ์ดาวขยับตามที่หลังม่าน
ณ คุ้มต่างมิติ อันไร้กาลเวลา แห่งนั้น ตรงหลังม่านมีเตียงทองขึงม่านบางรายรอบ บนเตียงนั้นตรีภพนั่งอยู่ข้างๆ วางซึงของยอดหล้า
“พี่เทพ...”
ตรีภพคล้ายเงยหน้าขึ้นยิ้มกับยอดหล้า แล้วมองเลยมาเห็นพิมพ์ดาว ตรีภพขมวดคิ้ว
“แสงดาว...เจ้ามาได้อย่างไร” ตรีภพเอ่ยทักขึ้น
พิมพ์ดาวเรียกตรีภพว่า “เจ้าภักดิ์”
ตรีภพคล้ายความทรงจำยังไม่คืนมา แต่กลับจำได้ พิมพ์ดาวดีใจ ความรู้สึกของดารารายท่วมท้น
“เจ้ากับพี่เทพเรียกกันด้วยชื่ออันใด”
ตรีภพงุนงง พิมพ์ดาวตาวาว ยิ้มเยาะ
“นี่ย่อมเป็นชื่อข้ากับหลวงเทพเมื่อข้ากับเขาพบกัน เผชิญภัยด้วยกันและรักกัน ก่อนที่หลวงเทพมาเจอท่าน”
ยอดหล้าใจหายวูบ “อะไรนะ”
“ความจริงเหล่านี้ ข้าเคยเขียนหนังสือ เล่าให้ท่านฟังทั้งหมดแต่ท่านกลับมิได้อ่าน”
พิมพ์ดาวปรายตามอง เถรกระอ่ำยืนนิ่ง หน้ามีรอยยิ้ม ซีกหน้าไหม้บิดเบี้ยว
“มีผู้จงใจแต่งเรื่อง ใส่ความข้า...เพื่อให้ท่านกลายเป็นพวก”
“พี่เทพ...” ยอดหล้าหันมาหา ดวงตาเป็นคำถาม
“เพลงดวงใจ พี่แต่งให้ดารารายเพื่อบอกความในใจ มิได้แต่งให้เจ้านาง”
ยอดหล้ายิ่งสับสน ตรีภพลุกขึ้นมายืนใกล้พิมพ์ดาว มองตรีภพ
พิมพ์ดาวยิ้มเยาะสมใจ
ยอดหล้าพลันขยับตัววูบ คว้าข้อมือพิมพ์ดาวข้างหนึ่ง มืออีกข้างคว้าข้อมือตรีภพ
เหตุการณ์ครั้งอดีตชาติพรั่งพรูออกมามราวสายน้ำไหล ตั้งแต่ตอนหลวงเทพและดารารายเจอกันที่ขัวดำ
/ หลวงเทพและดารารายช่วยกันสู้ผีขาเดียว / หลวงเทพบาดเจ็บ ดารารายพยาบาล / หลวงเทพพบดารารายอีกครั้ง
/ หลวงเทพบุกเข้าหาในห้องนอน ดารารายถือดาบคู่ขู่
ยอดหล้าเบิกตากว้าง
ตรีภพมองอย่างสงสาร พิมพ์ดาวมองอย่างสาสมใจ
“จงดูต่อไปเจ้าพี่...ว่าที่จริงแล้วเกิดอันใด”
ยอดหล้าสับสนอลหม่าน
ภาพอดีตผุดพรายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เถรกระอ่ำเสกเมฆอาถรรพ์ / ส่งผีขาเดียวเข้าเวียงแก้ว / ผีขาเดียวบุกเรือนหลวง / เถรกระอ่ำเผชิญหน้าเจ้าแสงอินทร ถูกสร้อยคำแฉแผนการ
ยอดหล้าผงะ
เถรกระอ่ำยืนยิ้มราวไม่หวาดหวั่น ยอดหล้ามองเถรกระอ่ำเหมือนยังไม่อยากเชื่อ
พิมพ์ดาวตาวาว
“และดูว่า ผู้ใดฆ่าแม่เจ้าหอมุก คือเจ้าแม่ของข้าใช่หรือไม่”
ยอดหล้ายิ่งตกใจ
ภาพอดีตปราหฏขึ้นมา เห็นนางข้าไทกำลังให้ยาพิษ หอมุกกินแล้ว รู้ว่าถูกวางยา ร่างนางข้าไทกลายเป็นเถรกระอ่ำ
ยอดหล้าหันขวับมาหาเถรกระอ่ำ
พิมพ์ดาวก้าวมาจงใจเยาะเย้ย
“ท่านรู้แล้วหรือยัง ว่าทำไมท่านจึงเป็นคนทรยศเวียงแก้ว ทำไมเจ้าพ่อถึงได้ลงทัณฑ์ร้ายแรงต่อท่านนัก ทำไมเรื่องของท่านจึงถูกลบจากพงศาวดาร”
ยอดหล้าตัวสั่นเทา มองเถรกระอ่ำอย่างจงชัง พิมพ์ดาวพูดเยาะต่อ
“ผู้ใดกันแน่ที่ทำเสน่ห์เล่ห์กล ผู้ใดกันแน่ที่แย่งชิงคนรักผู้อื่น และผู้ใดกันแน่ที่ผิดคำสัตย์สาบานอย่างสาหัสที่สุด”
ยอดหล้าแค้นสุดจะประมาณชี้มือมายังเถรกระอ่ำ “เจ้า...เจ้านักบวชชั่ว...เจ้า”
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วเจ้านางน้อย ว่าให้รอคอย จนทุกอย่างสุกงอมแล้วจึงค่อยลงมือ”
“เจ้ายังมีแผนชั่วรออยู่อีกหรือ เจ้ารออันใด”
“รอให้เจ้าปลดปล่อยข้า ทำลายหีบอาคม จนบาดเจ็บสาหัส”
เถรกระอ่ำยิ้ม ยืดกาย ใบหน้าไหม้คืนสภาพเป็นหล่อเหลา ดูราวเปล่งแสงจากกายได้
พิมพ์ดาวกับตรีภพมองตะลึง
“ข้าใช้เจ้าทำลายเวียงแก้วมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่บรรลุผล มาครั้งนี้ข้าใช้เจ้าเพื่อกลับมาครอบครองเวียงแก้ว จงคิดดูเถิด ณ ยุคนี้สมัยนี้ ผู้ที่มีทรัพย์สินเงินตรามหาศาล และมีมนตราหนุนหลัง จะยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงไหน”
เถรกระอ่ำมองยอดหล้าอย่างยิ้มเยาะ
“ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว แต่เจ้ากลับเป็นอุปสรรค”
เถรกระอ่ำพลันปาของสิ่งหนึ่งตกแทบเท้ายอดหล้า มันระเบิดตูมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!!
ยอดหล้าตะลึงเมื่อของนั้นกลายเป็นคลื่นน้ำคล้ายปรอทท่วมท้นขึ้นเป็นลำ พริบตาเดียวก็ท่วมศีรษะ แล้วพลันแข็งเป็นผนึกน้ำแข็งขังยอดหล้าไว้ภายใน
ยอดหล้าตาเบิกกว้างแข็งนิ่ง เถรกระอ่ำยิ้มเยาะ
“ข้าถ่ายทอดวิชาให้ จนเจ้ากล้าแข็งเกินไป เก่งกาจเกินไปต่อไปย่อมเป็นภัยกับข้า วิชานี้เป็นวิชาเดียวที่ยังไม่ถ่ายทอดให้เจ้า”
เถรกระอ่ำมองดูแท่นคำ เอาแขนเท้า แล้วมองดูตรีภพกับพิมพ์ดาว
“เจ้าพี่...เลี้ยงงูพิษไว้ข้างกายจริงๆ”
“ข้าจะทำอันใดกับเจ้าสองคนดี มันจึงจะเหมาะกับแผนการของข้า”
พิมพ์ดาวฉงน “แผนการอะไร”
“ข้าจักเข้ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน ครอบครองคุ้มเวียงแก้ว และต่อไปข้าจักเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้”
พิมพ์ดาวโต้ “แผนการของเจ้าไม่สำเร็จหรอก”
“ทำไม”
“ครูบาสรี ย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้น”
เถรกระอ่ำหัวเราะขำๆ ขยับเท้าวูบเดียวร่างก็มาอยู่หน้าพิมพ์ดาวและตรีภพ
“อาจารย์เจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านไปเกือบ 200 ปีแล้ว”
“แต่ทายาทของท่านยังอยู่”
เถรกระอ่ำชะงักงง
“ข้านี่ไง”
เถรกระอ่ำมอง เห็นพิมพ์ดาวบริกรรมอาคมจากตำราที่ครูบาสรีมอบให้ก่อนตาย
เถรชั่วตะลึงพรึงเพริดว่าพิมพ์ดาวมีวิชาอาคมได้อย่างไร เกิดระเบิดเปรี้ยงเถรกระอ่ำกระเด็นลอยไปตกลงที่หน้าแท่นคำ มองพิมพ์ดาวอย่างตื่นตะลึง
“จ...เจ้า! เจ้าแกล้งซ่อนเร้นวิชาตัวเอง”
“ข้าแค่เลียนแบบเจ้า เสแสร้งเป็นอ่อนแอ” พิมพ์ดาวบอก
ทันใดนั้นเอง ผลึกแก้วที่ขังยอดหล้าก็ระเบิดแยกออกเกิดแสงเจิดจ้า แรงนั้นกระแทกเถรกระอ่ำล้มกลิ้งไปตามพื้น
ร่างเถรกระอ่ำอยู่กับพื้น มองไปอย่างตื่นตะลึง
ยอดหล้าเป็นอิสระ ยืนอยู่เหนือผลึกที่แตกทะลาย ดวงตาเคียดแค้นเจิดจ้าลอยมาช้าๆ เถรกระอ่ำกระถดถอย เกาะแท่นคำยืนขึ้น
“เจ้า...เจ้าทำได้อย่างไร”
“ท่านอาจารย์เคยบอกข้าเองมิใช่หรือ ว่าถ้าข้าฝึกฝนต่อไป แม้แต่ท่าน ก็ไม่ใช่คู่มือของข้า”
ขาดคำ ดวงตายอดหล้ากลายเป็นดวงตาทึบสีแดงจ้า เส้นเลือดผุดขึ้นรอบตา เกิดควันและพลังปะทุจากผิว
ยอดหล้ายิ้มเหี้ยม พลันยื่นสองมือไป เกิดแสงฟ้าผ่ามากกว่าที่เคยเป็นหลายเท่า แสงนั้นเข้าชำแรกร่างเถรกระอ่ำ
จนเถรชั่วแผดร้องเจ็บปวด ดิ้นรน
พิมพ์ดาวร่ายอาคมอีกครั้ง แสงจากเขี้ยวเสือไฟพุ่งไปยังร่างของเถรกระอ่ำ
เถรกระอ่ำตัวเรืองแสงแล้วระเบิดแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกิดแสงจ้าไปทั้งบริเวณ
ตรีภพยกมือป้องตา แล้วลดลง
“เจ้าพี่” พิมพ์ดาวร้องเรียก
ยอดหล้าค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์
“บัดนี้ ท่านเข้าใจทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ท่านคิดเช่นใด”
ยอดหล้ามีสีหน้าเปลี่ยนไป ขมขื่น เสียใจ สำนึกผิด แค้น และดื้อดึง พาลพาโล น้ำตาไหลจากตาเป็นหยดเลือด
“คิดหรือ...ข้า...ไม่รู้จะคิดเช่นใด”
ใบหน้ายอดหล้าบิดเบี้ยว น้ำตาไหลมาอีก จนเป็นเลือดโทรมหน้า
“เจ้านาง ไม่ว่าอย่างไร ผมก็เป็นคนผิด” ตรีภพเอ่ยขึ้น
ยอดหล้ายิ้มขมขื่น เลือดไหลมาอาบหน้า ดูน่าสะพรึงกลัว
“ใช่...ใช่...”
ยอดหล้าพลันดวงตาแดงฉาน พลังแผ่จากตัว ยื่นสองมือมาเกิดแสงสายฟ้าโถมเข้าใส่พิมพ์ดาวกับตรีภพ
“เจ้าพี่”
พิมพ์ดาวตั้งสติวนมือ เกิดเกราะล่องหนป้องตรีภพและตนไว้
ยอดหล้ายิ้มแสยะ เพิ่มพลังแสงสายฟ้าแทบท่วมท้นทั้งบริเวณ ม่านบางติดไฟ แท่นคำฉัตรปลิวกระจาย
“เจ้านาง...”
แก้วหนีกลับมาที่คุ้มร้าง เหมือนกำลังพยายามตัดใจจากเจ้านางยอดหล้าอย่างหนักหน่วง ยกซึงขึ้นมากอดลาเป็นครั้งสุดท้าย
“เจ้านาง เรามายุติเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเสียทีเถอะครับ”
ที่คุ้มร้างต่างมิติ ยอดหล้ากลายเป็นอสูรร้าย แสงสายฟ้าจ้าขึ้น โล่ล่องหนต้านทานแทบไม่อยู่
“เจ้าภักดิ์...ข้าจะทานทนไม่ไหวแล้ว”
“แสงดาว...”
แก้วคว้าซึงยอดหล้าขึ้นเงื้อสุดแขน แล้วทุบกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ซึงนั้นแตกกระจาย เสียงเส้นซึงดังหึ่งกังวานสะท้อนสะท้านไปทั่วบริเวณ
ยอดหล้าชะงัก ลำแสงหดกลับ ร่างอสูรกายหายไปกลายเป็นร่างยอดหล้าที่โศกเศร้า อ่อนแรง
พิมพ์ดาวก้าวจากตรีภพ มองยอดหล้าอย่างไม่หายแค้น
“เจ้าพี่...ท่านมันเกินเยียวยาแล้ว”
พิมพ์ดาวพลันตวัดมือปาไป เกิดระเบิดผลึกน้ำแข็งก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ขังยอดหล้าไว้ภายใน
ยอดหล้านิ่งงันเบิกตากว้าง แท่งผลึกน้ำแข็งแข็งตัว ยอดหล้าดูงดงามยกมือค้างราววิงวอน
“ท่านตาสอนข้าทุกวิชาไม่เคยเก็บงำไว้”
ทันใด คุ้มเนรมิตก็พร่าไหว คล้ายทุกอย่างจะสลายลงไป
ไม่นานนั้นเอง พิมพ์ดาวก้าวออกมาจากคุ้มร้าง ท่ามกลางหมอกควันคละคลุ้ง ร่างพิมพ์ดาวทรุดล้มลง หมดแรง มองไปที่กิ่งไม้ที่ตนเองแขวนเขี้ยวเสือไฟ พิมพ์ดาวฝืนทนลุกขึ้น มือของพิมพ์ดาวหยิบเขี้ยวเสือไฟออกไป
รุ่งเช้า พิมพ์ดาวค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นแล้วหันมองไปรอบๆ เห็นพิมพ์เดือน จันทรา และตฤณนั่งมองเธออยู่
“พี่ดาว สำเร็จใช่ไหมคะ”
พิมพ์ดาวหันมองทุกๆ คนแล้วเหมือนจะจดจำรำลึกอะไรบางอย่างได้
“หลวงเทพ…คุณตรี คุณตรีภพ”
ตรีภพลืมตาขึ้น
“แสงดาว...”
เขานอนอยู่บนเตียงคนไข้ หน้าตาสดใสขึ้นเหมือนไม่ได้ป่วยไข้ใดๆ
ตรีภพขยับลุกขึ้นนั่งมองงงๆ เห็นพยายามบาลที่กำลังเช็กอาการและจะเขียนข้อมูลลงชาร์ตหันมาเห็นก็แปลกใจ
“คุณ”
“นี่...ผมอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ...คุณ…”
ไม่ทันที่พยาบาลจะตอบ พิมพ์ดาวก็เปิดประตูพรวดเข้ามา ตรีภพรีบยื่นมือไปหา พิมพ์ดาวรีบเข้ามาเกาะกุมกับมือตรีภพเอาไว้
พิมพ์เดือน จันทรา และตฤณต่างทยอยตามกันเข้ามา
“คุณดาว”
“ค่ะ ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ชาติภพนั้นมันจบไปแล้วค่ะ ไม่มีแสงดาว ไม่มีดาราราย ไม่มีเจ้าราย”
“แล้วก็ไม่มีหลวงเทพอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ ต่อไปนี้จะมีแค่ผมกับคุณเท่านั้น”
ตรีภพรั้งดึงพิมพ์ดาวเข้ามาสวมกอดเต็มรัก
พิมพ์เดือน จันทรา และตฤณ ต่างมองตรีภพกับพิมพ์ดาวอย่างปิติ
พิมพ์ดาวยิ้มตอบ แต่ดวงตาคู่งามกลับแข็งกระด้างด้วยความแค้นไม่จางหาย
ด้านแก้วนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ มองสภาพซึงที่แตกกระจายอยู่ ดูไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แก้วนั่งร้องไห้ปานจะขาดใจตาย โดดเดี่ยว กลางสถานที่อันเวิ้งว้าง
จันทราและลูกๆ กลับบ้านที่กรุงเทพฯแล้ว เวลานี้กำลังนั่งสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ที่จุดธูปเทียนไว้เรืองรอง
ที่โลกผลึกน้ำแข็ง อันไร้กาลเวลา
รอบด้านเป็นผลึกน้ำแข็งเหมือนถ้ำอันเวิ้งว้าง ขณะนี้ยอดหล้าจมอยู่กับการสำนึกผิด หม่นเศร้า เหมือนกระแสความพยาบาทแผ่มาถึง ผลึกน้ำแข็งสะเทือน แสงสีแดงแผ่มาจากเบื้องบน เข้ากระแทกใจยอดหล้าผวา แหงนมอง
“ดาราราย ข้าผิดยิ่งนัก เจ้าพ่อเจ้าแม่อภัยให้ข้าด้วย คุณหญิง พี่เทพ...ข้าขออโหสิกรรม” ยอดหล้าปาดน้ำตา ถอนสะอื้น “ดาราราย...ดารารายอภัยในข้า”
จันทราลืมตาขึ้นช้าๆ ถอนใจ ก้มกราบพระ
คืนนั้นจันทราหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่มุมหนึ่งของบ้าน พิมพ์ดาวก้าวเข้ามาหา
“คิดอะไรอยู่คะแม่
“ถ้าแม่บอกว่าในอดีตชาตินับร้อยนับพันชาติ แม่กับเจ้ายอดหล้า เคยฆ่าฟันกันมาจนนับไม่ถ้วนชาติแล้วล่ะ แม่เคยฆ่าเจ้ายอดหล้ามากครั้งกว่าที่เจ้ายอดหล้าฆ่าแม่เสียอีก คนเราไม่ได้มีแค่ชาติก่อนนะลูก แต่มันเป็นอนันตชาติ”
พิมพ์ดาวแปลกใจ “อนันตชาติ”
“แม้แต่หนู คุณตรีกับเจ้ายอดหล้า เรื่องมันไม่ได้เริ่มต้นเมื่อ 200 ปี ก่อน แต่มันมีชาติก่อนหน้านั้นมานับไม่ถ้วนชาติ และที่สำคัญก็คือ ในชาติแรกของวงจรรักสามเส้านี้ ลูกคือคนแย่งชิงและทำร้ายเจ้ายอดหล้าอย่างแสนสาหัส”
พิมพ์ดาวตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่รับรู้จากมารดา
อดีตกาลตามคำบอกเล่าของจันทรา
ในชาติภพนี้ พิมพ์ดาวแอบมอง ยอดหล้าและตรีภพนั่งพลอดรักกัน พิมพ์ดาวมองอย่างริษยา
อีกเหตุการณ์ พิมพ์ดาวนั่งคุยกับยอดหล้า ตรีภพมองดูทั้งคู่ พิมพ์ดาวหันมาสบตาตรีภพ ตรีภพเห็นนัยในดาวตาจึงชะงักไป แล้วมองตอบ
พิมพ์ดาวหยดน้ำยาลงแก้ว ดวงตาชั่วร้าย แล้วหันมายิ้มแย้มแจ่มใสส่งแก้วให้ยอดหล้า
พิมพ์ดาวอยู่บนเตียงกับตรีภพ ยอดหล้าเข้ามายืนตะลึงมอง ยอดหล้ากุมอกทรุดลงสิ้นใจตายทันที
ศพยอดหล้านอนนิ่งบนแท่น ตรีภพคุกเข่ากุมมือไว้สำนึกผิด พิมพ์ดาวยืนยิ้มพรายอยู่หลังตรีภพ
พิมพ์ดาวตกตะลึงจังงัง จันทรายิ้มปลอบใจ
“การไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางและอโหสิกรรมคือเส้นทางแรกๆ สู่ความหลุดพ้นนั้น แม่รู้ว่าหนูรู้ว่าจะทำอย่างไร”
พิมพ์ดาวพยักหน้า ยกมือกุมเขี้ยวเสือไฟ
ยอดหล้าหนาวเหน็บ ว่างเปล่าเดียวดายในโลกผลึกน้ำแข็ง แต่ความระทมทุกข์จางลงบ้าง จู่ๆ เกิดแสงอบอุ่นแผ่มา ยอดหล้าหันไปมอง
“เจ้าพี่...”
ยอดหล้าดีใจ “ดาราราย”
คุ้มในโลกต่างมิติยังอยู่ แท่งผลึกน้ำแข็งตั้งตระหง่านมัวหม่นจนไม่เห็นยอดหล้า
พิมพ์ดาวยืนอยู่ตรงหน้า เอามือลูบดูบริเวณตรงหน้า แท่งน้ำแข็งชัดขึ้นเห็นหน้ายอดหล้าที่ตรึงแข็ง แต่ทว่าดวงตาตื่นเต้นดีใจ
“เจ้าพี่...ข้าขอโทษ”
พิมพ์ดาวเงื้อสร้อยเขี้ยวเสือไปฟาดลง เกิดแสงเจิดจ้า น้ำแข็งละลายวูบลดลง
พิมพ์ดาวขยับถอย น้ำแข็งละลายหมด เหลือยอดหล้าในชุดขาวยืนอยู่
“ดาราราย”
“เจ้าพี่”
ยอดหล้ากางสองแขนออก พิมพ์ดาววิ่งเข้าสวมกอดกัน น้ำตาแห่งความรู้สึกทั้งมวลหลั่งไหลถั่งโถมสู่กันและกัน
ยอดหล้ามองดูพิมพ์ดาวอย่างรักใคร่ขออภัย พิมพ์ดาวมองตอบอย่างให้อภัยและเสียใจ
ยอดหล้าเช็ดน้ำตาให้พิมพ์ดาว พิมพ์ดาวเช็ดน้ำตาให้ยอดหล้า ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างไม่ติดข้องอะไรอีกต่อไป
พิมพ์ดาวนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา บนฝ่ามือพิมพ์ดาวที่จรดกัน มีเขี้ยวเสือไฟวางอยู่ พิมพ์ดาวลืมตาขึ้น
ตรีภพนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องนอน ยอดหล้าในชุดขาวปรากฏขึ้นมองดูอย่างรักใคร่แล้วเลือนไป
“เจ้านาง” ตรีภพมองดูรอบๆ แล้วถอนใจ พูดกับอากาศ
“เจ้านาง...หากชาติใดเราได้พบกันอีก ขอให้ผมจงมีเจ้านางเพียงคนเดียว รักเจ้านางเพียงผู้เดียว ได้ตอบแทนความรักที่เจ้านางให้มาได้หมดสิ้น นี่คือคำมั่นสัญญา
เหมือนมีเสียงซึงแผ่วเบาแว่วหวานมา ตรีภพถอนใจยิ้มนิดๆ
ฟากแก้วมีสีหน้าสงบ ปลงตก ก้าวมามองดูคุ้มร้าง แก้วเดินเรื่อยๆ มาหยุดดูบริเวณเติ๋น ทุกอย่างรกร้างว่างเปล่า แก้วมองไปแล้วเห็นอะไรอย่างหนึ่ง จึงก้าวเข้าไปหา มันคือซึงที่ถูกทำลายหักครึ่ง สายซึงขาดชี้เด่
แก้วหยิบซึงขึ้นมากอดอย่างทะนุถนอม กลับเข้าห้องนอน
แก้ววางซึงที่ซ่อมแซมแล้วเสร็จ จนดูงามเรืองรอง วางลงบนไซด์บอร์ดถอยออกมามองดูอย่างรักใคร่ผูกพัน
แต่ปลงตกและไม่ทุกข์ทนแล้ว
เสียงซึงดังแว่วมาจากไกลโพ้น แก้วชะงักแล้วเยื้อนยิ้มอย่างสุขใจ
ณ ที่อันไร้ซึ่งกาลเวลา ท่ามกลางหมอกควันลอยอ้อยอิ่ง ยอดหล้าในพัสตราภรณ์ขาว เครื่องศิราภรณ์ เครื่องคำดูมลังเมลือง กำลังเล่นซึงอย่างทุ่มเท ดวงหน้านั้นหลุดพ้น พิสุทธิ์ สดใส
แหละเสียงซึงไพเราะกังวานหวาน มิได้ครวญคร่ำรำพันอีกต่อไปแล้ว
จบบริบูรณ์
ขออภัยในความไม่ต่อเนื่อง โปรดติดตาม "เล่ห์นางฟ้า" เร็วๆ นี้