xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 21 (จบตอน)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 21

เวลานั้นคุ้มหลวงตั้งตระหง่าน เบื้องบนเมฆฝนเคลื่อนมา ฟ้าแลบสว่างในก้อนเมฆ มีเส้นฟ้าผ่าจากเมฆสู่ดิน

ยอดหล้านั่งบนเตียง ซึงวางข้างกาย ข้อเท้ามีโซ่อาคมล่ามกับเสาเรือน
นางผัน นางเผื่อนคุกเข่าบอกความ ยอดหล้าเบิกตากว้าง
“นางอาการดีขึ้นแล้ว แต่พอเจ้านางสร้อยคำไปเยี่ยมก็ทรุดลงคืนเดียวก็สิ้นใจ”
“เจ้าแม่ เจ้าแม่ ลูกอกตัญญูนัก เจ้าพ่อใยท่านปล่อยให้แม่น้าฆ่าแม่ข้า”
ยอดหล้าร้องไห้ มีเสียงฟ้าคำรณฟังดูพิกล

เหนือคุ้มน้อย เกิดเมฆหมอกประหลาดเคลื่อนมาเต็มฟ้า บรรดาขุนหาญ 10 คน แหงนดูอย่างหวาดหวั่นพรั่งพรึง

ร่างเจ้านางหอมุกนอนนิ่งบนตั่ง มีผ้าคลุม จุดผางประทีปไว้ปลายเท้า เจ้านางสร้อยคำ นางข้าไทมากมายนั่งร้องไห้ บ้างก็ซับน้ำตา
เจ้าแสงอินทร์หน้าหมอง เศร้าโทษตัวเอง
“ข้าเอง...ข้าเอง...ข้าเป็นคนฆ่าเจ้า”
เจ้านางสร้อยคำลุกขึ้นมาคุกเข่าที่เท้า ยุดแขนไว้
“บาทเจ้า อย่าโทษตนเองเลยเจ้า เรื่องนี้มีเงื่อนงำพิกลนัก”
เจ้าแสงอินทร์ส่ายหน้า แสงในห้องมืดลง
“ไม่ว่าอย่างไร หอมุกก็ตายเพราะข้า ข้าผู้เป็นเจ้าชีวิต ต้องทรงธรรม ต้องเที่ยงธรรมกลับมาฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์ ฆ่าเมียตัวเอง”
เจ้าแสงอินทร์ดึงผ้าโพกศีรษะออก มวยผมลุ่ยลง ดูไร้ราศี
“ข้าผิด...ข้าไม่ควรเป็นเจ้าชีวิตใครอีกแล้ว”
เจ้านางสร้อยคำ แสนหลวง ข้าไทในที่นั้นตกตะลึง
ฟ้าคำรณเสียงครืนครืน
“บาทเจ้า มิควรพูดเช่นนี้เจ้า”
“ข้าไม่ควรเป็นเจ้าหลวงอีกต่อไป”
ฉับพลันนั้นเอง เจ้าแสงอินทร์คว้ามีดสรีกัญไชยมามองอย่างรวดร้าว ทันใดก็เกิดอาเพศ
มีสายฟ้าผ่าลงยังหลังคาเรือนหลวง อสนีบาตฟาดลงใกล้แท่น ฉัตรขาวขาดสะบั้น แรงนั้นกระเทือนถึงแสง
เจ้าแสงอินทร์กระเด็นหวือไป มีดสรีกัญไชยร่วงตกลงยังพื้น
คนทั้งมวลกรีดร้อง ตกใจแทบสิ้นสติ

ณ ภูผาสูงนอกเวียงแก้ว เมฆประหลาดเคลื่อนอยู่เบื้องบน
ครูบาสรีนั่งสมาธิอยู่บนแท่นหิน ทันใดก็เสียสมาธิอย่างรุนแรง กุมอกแล้วกระอักโลหิต
“เจ้าหลวง”
ครูบาสรีมองไปเห็นหมอกสีเขียวไหลมาตามพื้นถ้ำก็ยิ่งตกใจ คว้าไม้เท้ายืนกายจะขยับหนี แต่ทว่าไม่ทัน หมอกนั้นมาถึงเท้า ซึมวูบเข้า เท้าครูบาสรีพลันซีดเขียวคล้ำแล้วสูงขึ้นทุกที
ครูบาสรีพยายามระงับใจเป่าลมจากปาก ควันนั้นจึงม้วนตัวถอยหนีหายกลับไป ครูบาสรีนั่งลงสำรวมจิต ยกนิ้วชี้ไปยังน่อง สีเขียวคล้ำนั้นถูกไล่ออกไปยังหัวแม่เท้า เลือดพิษสีดำสนิทไหลออกจากหัวแม่เท้า
ครูบาสรีหน้าซีด ตบะณานลดลงไปมากมาย มีเสียงหัวเราะเยาะหยันแผ่วเบาดัง ครูบาสรีตกใจ
“เจ้าราชบุตร...เมื่อมาแล้ว ไยไม่ออกมา”
เถรกระอ่ำก้าวมา ดูหล่อเหลาเต็มไปด้วยราศี พัสตราภรณ์ขาวระยิบระยับ มองครูบาสรีอย่างจงชัง
“เจ้ารู้ได้เช่นใดว่าคือข้า”
“เพราะไม่มีผู้ใดมากเล่ห์เพทุบาย ลอบกัดผู้อื่นได้อย่างชั่วช้าเท่าท่านอีกแล้วท่านน้า”
เถรกระอ่ำหัวเราะร่า มองดูใบหน้าเหี่ยวย่นของครูบาสรี
“ไม่เจอกันเนิ่นนาน เจ้าแก่เฒ่าทรุดโทรมถึงปานนี้แล้ว”
“ผิดจากท่านที่ใช้โลหิตและชีวิตมนุษย์คงรูปโฉมไว้ ท่านน้า”
“เจ้าร่วมมือกับขุน ทรยศโค่นราชวงศ์ข้า สังหารพ่อข้า ขับไล่ข้าจากแท่นคำเวียงแก้ว ไปซ่อนกายในป่าเขตทุรกันดาร...อย่ากล้าดีมานับญาติกับข้า”
“บิดาท่านสามิภักดิ์ม่าน รีดนาทาเร้นชาวเมือง ส่วนท่านบ้าคลั่งไสยะ เข่นฆ่าไพร่ฟ้าของท่านเองเพื่อบูชายัญกาฬเทวะ ราชวงศ์ของท่านสมควรสิ้นบุญ”
เถรกระอ่ำยิ้มเยาะ
“ความผิดเดียวของพวกข้า คือปล่อยท่านให้รอดชีวิต”
“ความเมตตากรุณาของเจ้า ผลิดอกออกผลแล้ว เจ้าวางดาบ หันหน้าศึกษาพระธรรม แต่ไยเจ้าไม่บวชเป็นสงฆ์”
“เพราะข้ารู้ ว่าจะมีวันนี้”
“วันอันใด”
“วันที่ข้าต้องละเมินศีล เข่นฆ่าท่าน”
“ตอนนี้เจ้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะหยิบเข็มซักเล่ม...เจ้าคงต้องรอไปก่อน...”
ในทันทีทันใด เถรกระอ่ำพลันหยิบของสิ่งหนึ่งปาลงพื้นต่อหน้าครูบาสรี ของนั้นกระทบพื้นแล้วกลายเป็นน้ำไหลกระเพื่อมคล้ายปรอทท่วมขึ้นจากเท้าครูบาสรี พริบตาเดียวก็ท่วมพ้นศีรษะ แล้วแข็งกลายเป็นก้อนผลึก
น้ำแข็งประหลาดนั้น ขังครูบาสรีไว้ภายใน
“อีกซักร้อยปี...ข้าจะปล่อยให้เจ้าออกมาเข่นฆ่าข้า”
เถรกระอ่ำหัวเราะหมุนกายเดินไป ครูบาสรีแข็งขืนมีเพียงดวงตาที่ขยับไหวได้

บนหน้าผาสูงชัน เถรกระอ่ำก้าวขึ้นไป เมฆเบื้องบนยิ่งป่วนปั่น เถรกระอ่ำหยุดยั้งหันไปยังเวียงแก้ว ลมแรงพัดพัสตราภรณ์ขาวนั้นปลิวไสว ฟ้าแลบสว่างทาบบนกาย
“บริวารข้าจงไป ดูดกินเลือดเนื้อไพร่ฟ้าแห่งเวียงแก้ว ให้ความกลัวครอบครองเมือง”

ถนนหนทางในเวียง มีเรือนล้านนาของขาวเมืองเรียงรายเป็นระยะ หมอกควันสีเขียวไหลมาตามพื้น ในหมอกควัน มีจุดแสงดวงตาของผีขาเดียว 1 คู่ วาบขึ้น แล้วเพิ่มเป็น 3
ผีขาเดียวกระโจนวูบมาจากหมอกตัวแล้วตัวเล่า

เถรกระอ่ำยิ้มสมใจ ดวงตาวาววับชั่วร้าย อยู่หน้าผาที่เก่า “แลเมืองนั้น ชาวเมืองจักเรียกหาผู้ปราบทุกข์เข็ญนี้”

ควันสีเขียวลามไปทั่วเมือง มีเสียงกรีดร้อง เสียงต่อสู้ เสียงของแตกเปรื่องปร่าง ไฟในเรือนดับวูบไปจากเรือนแรก เรือนที่ 2-3

เวลานั้น เรือหางแมงป่องหลายลำผูกไว้กับท่าน้ำ 2 ฝั่งน้ำล้วนเป็นป่าเขา เป็นเรือที่ขึ้นมาจากนครสวรรค์สู่ล้านนา
ดารารายนอนหลับกระสับกระส่ายแล้วผวาตื่นลุกพรวดขึ้นมาในปะทุนเรือ
หลวงเทพพลอยตื่นลุกตามมา หลวงเทพแต่งกายแบบชาวบ้าน ดารารายก็แต่งเป็นชายรัดกุม
“แสงดาว...ฝันร้ายหรือ”
ดารารายพยักหน้า ทบทวนความฝัน
“ข้าเห็นผีขาเดียว บุกมาดูดเลือดคนในเวียงแก้ว ผู้คนในเวียงล้มตายนับสิบนับร้อย”
“ในเวียงมีทหาร มีผู้รู้วิชาอาคมมิใช่น้อย ย่อมต้านทานมันได้ ยิ่งเจ้าพ่อท่านยิ่งมีวิชากล้าแข็ง”
“ในฝัน...ข้าไม่เห็นเจ้าพ่อเลย แต่ข้าเห็นท่านตา”
“ท่านตา...ครูบาสรีน่ะหรือ”
“เจ้า ข้าเห็นท่านตาถูกจองจำในหินใสเหมือนแก้ว เรียกร้องให้ข้าไปช่วย”
หลวงเทพนิ่งงัน อัดอั้น
“ฝันนี้...มิใช่ฝันธรรมดาแน่”
“ท่านตามักเร้นกายไปบำเพ็ญตบะ ณ ถ้ำบนขุนเขาใหญ่นอกเวียง ข้ารู้ว่าถ้ำนั้นอยู่ที่ใด”
ดารารายกุมเขี้ยวเสือไฟที่คอ
เวลาเช้า น้ำในแม่น้ำปิงไหลเรื่อยรี่ ขบวนเรือหางแมงป่อง 6 ลำแล่นมา
ที่เรือลำหน้า พระยาพิชิตชัยยืนเด่นดูเปี่ยมด้วยตบะบารมี หลวงเทพ ดาราราย ยืนเยื้องมาเบื้องหลัง
“ความฝันของเจ้า ตรงกับที่พ่อสังหรณ์” พระยาพิชิตชัยเอ่ยขึ้น
“จู่ๆ พ่อก็กราบบังคมทูลลาว่าจะขึ้นมาเวียงแก้ว และยังพาทหารฝีมือดีมาถึง 50 คน พ่อสังหรณ์อะไรกันแน่”
พระยาพิชิตชัยครุ่นคิด
“เจ้าเคยเล่าให้พ่อฟัง เมื่อเจ้าหลงป่าไปกับดารา เจ้าเจอนักบวชประหลาดกำลังสร้างกองทัพผีขาเดียวขึ้น”
“ใช่ขอรับ”
“แล้วทำไมหรือเจ้า เจ้าคุณพ่อ”
“พ่อคิดว่ามันคือผู้เสี้ยมสอนเจ้านางยอดหล้า จนกลายเป็นผู้เรืองอาคม และมันต้องมีจุดหมายอื่นอีก”
“ลูกคิดว่า...จุดหมายนั้นคือเวียงแก้ว”
ดารารายบอกต่อ “และเจ้าพ่อของข้า”
ทันใดนั้น บรรยากาศกลับเปลี่ยนไป มีลมแรงพัดจนน้ำไหวเป็นระลอก บรรยากาศขมุกขมัวลง พระยาพิชิตชัยมองไปขมวดคิ้ว
“มิใช่ ลมสามัญ แต่นี่เป็นลมจากมนตรา”
“อีกไม่กี่เส้นก็เข้าเขตเวียงแก้วแล้ว นี่เกิดอันใดกันแน่”
“ดูนั่น”
หลวงเทพชี้ไป ดารารายและพระยาพิชิตชัยมอง มีจังหวะหนึ่งสายลมจางลง
อากาศสว่างขึ้นนิดหน่อย เผยให้เห็นว่า มีเมฆประหลาดหนาทึบ เคลื่อนขยับไหว มีสายฟ้าแปลบปลาบ อยู่เหนือเวียงแก้วทั้งเมือง
พระยาพิชิตชัย หลวงเทพ ดาราราย ตกตะลึงพรึงเพริด ทหารในเรือด้านหลังมาดู

ที่บริเวณป่าทึบนอกเวียง ดาราราย หลวงเทพใส่ชุดรัดกุม ขี่ม้าเคียงกันมาละแวกนั้น
ดารารายชี้มือนำทาง หลวงเทพเป็นผู้ตาม ในบริเวณนี้มีแสงอาทิตย์เป็นปรกติ เสียงพระยาพิชิตชัยดังก้อง
“เจ้าดารารายกับเจ้าจงไปช่วยครูบาสรี ส่วนพ่อกับทหารจักลอบเข้าไปดูลาดเลาในเวียงก่อน”
ม้าทั้ง 2 มาจนถึงเชิงเขาสูง ดารารายและหลวงเทพแหงนมอง

ทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน แต่ทั่วบริเวณเวียงแก้วมืดมิดราวกลางคืน มีขุนหาญเวียงแก้ว 5 คนถือคบเพลิง กุมอาวุธเดินมาอย่างระวังระไว ทันใดผีขาเดียว 3 ตัว กระโดดผึงมาตรงหน้า มันเข้าทุกคนตีด้วยมือกรงเล็บ
ขุนหาญ 3 คนตายคาที่ เหลือ 2 คนขวัญเสียแต่ยังสู้ขาดใจ ผีขาเดียว 3 ตัวเข้ารุมล้อม 2 ขุนหาญเอาหลังชนกัน ฟาดฟันดาบเข้าปะทะแต่ดาบไม่ระคายผิวผีขาเดียว 2 ขุนหาญล้มลง ผีขาเดียวยื่นปากมา
ทันใดนั้นเอง มีธนูยิงมาเสียบทะลุตาผีขาเดียว มันกระเด็นหงายไปดิ้นพราดๆ
พระยาพิชิตชัยถือคันธนูจับธนูดอกที่ 2 ขึ้นพาดสาย ยิงไปอีก ผีขาเดียวที่เหลือ 2 ตัว มองแล้วกระโดดวูบหนีไป
พระยาพิชิตชัยกับทหาร 10 คนกรูมาประคอง 2 ขุนหาญขึ้นถามไถ่กัน

ตรงปากถ้ำมีแสงสว่างส่องเข้ามาเป็นลำ ดารารายและหลวงเทพเดินมา มองซ้ายขวาอย่างระวังระไว
“แสงดาว เป็นถ้ำนี้แน่หรือ”
“ใช่แน่ๆ ข้าเคยมากับท่านตาตั้งครั้งนึง”
“แค่ครั้งเดียว แล้วเจ้ามั่นใจได้ยังไง”
“ข้าเป็นทายาทพรานไพร เจ้าก็รู้อยู่”
หลวงเทพหัวเราะที่ดารารายพูดถึงความหลัง
“เอาล่ะ ข้าไม่เถียงกับลูกหลานจอมพรานอย่างเจ้าแล้ว”
ทันใดมีเงาดำวูบมาถึงตัวมือกรงเล็บฟาดมา หลวงเทพหลบแต่ก็ยังโดนเฉี่ยวๆ เสื้อขาดกระจุยเลือดทะลัก ล้มม้วนตัวกับพื้น
ดารารายชักดาบเข้าฟันผีขาเดียว มันกระโดดวูบหลบ ดารารายตั้งหลักดึงหลวงเทพขึ้นยืนเคียงกัน
หลวงเทพเอาเชือกรัดแผลที่ต้นแขน ดารารายมองอย่างห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
ผีขาเดียว 2 ตัวยืนโยกตัว ตาแดงก่ำรอจังหวะ ดารารายกับหลวงเทพมอง
“ข้ารู้แล้ว”
“รู้อันใด”
“มันกลัวแสงแดด...เมื่อเราอยู่ในแสงมันเข้ามาไม่ได้”
“ใช่ ผีขาเดียวอาละวาดได้ตอนกลางคืนเท่านั้น”
“แล้วจะอย่างไรดี”
“มันไม่เข้ามา เราก็เป็นฝ่ายเข้าไปหามันเอง”
ดารารายปลดหน้าไม้มาประทับยิงไป

ในถ้ำลึก แสงยิ่งสลัวราง แท่งผลึกน้ำแข็งตั้งเด่นอยู่ ครูบาสรียืนหลับตาอยู่ในนั้น ผีขาเดียวตัวหนึ่งผงะหงายมีลูกดอกปัก 2 ตาล้มลงตาย อีกตัวหนึ่งคำราม
หลวงเทพกระโจนมาเอาคบเพลิงจ่อไล่ ดารารายปาน้ำมันราดรดพื้น หลวงเทพเอาคบเพลิงไฟจี้ไฟลุกพรึบ ดารารายยืนอึ้งดูแท่งผลึกน้ำแข็ง หลวงเทพก้าวมายืนเคียงดาราราย ทั้งคู่มองดูแท่งผลึกน้ำแข็ง ดารารายลองแตะดูแล้วสะบัดมือด้วยความหนาวเหน็บ
“นี่อะไร แข็งเย็นเหมือนก้อนลูกเห็บ”
“เหมือนเหมยขาบบนยอดเขา นี่ย่อมเกิดจากอาคมของเถรกระอ่ำ”
“เย็นเยือกขนาดนี้ ท่านครูบาจะเป็นอะไรหรือไม่”
“ท่านตาคงใช้เตโซกสิณคุ้มกายไว้”
“แล้วเราจะทำลายมัน ช่วยท่านครูบาออกมาได้อย่างไร”
หลวงเทพเอาด้ามดาบเคาะดู ผลึกนั้นไม่มีแม้รอย
“ท่านตาส่งจิตไปเรียกข้าให้มา...แปลว่าข้าต้องช่วยได้”
“น้ำนี้เย็นจนแข็ง...ต้องใช้ความร้อนเผามัน”
“ข้ารู้แล้ว สิ่งที่จะทำลายมันได้ย่อมเป็นไฟ”
“งั้นไปหาเชื้อไฟมา”
“ไม่ต้อง ไฟธรรมดาคงไม่ได้ผล”
หลวงเทพงง
“แต่เขี้ยวเสือไฟ น่าจะใช้การได้”
ดารารายพนมมือ ชูเขี้ยวเสือไฟขึ้น เกิดแสงเจิดจ้าเปล่งออกจากเขี้ยวเสือไฟ

อีกฟากหนึ่ง เรือนหลวงทั้งหลัง ดูเวิ้งว้างว่างเปล่า มีไฟจุดตามที่ต่างๆ ทั้งคบไฟ ทั้งผางประทีป ทั้งเชิงเทียน ราวจะให้แสงสว่างนั้นขับไล่ความมืดวิปริตไป ที่หน้าห้องบรรทม ขุนหาญ 4 นายเฝ้าอยู่

ณ ห้องบรรทมชั้นใน เจ้าหลวงแสงอินทร์นอนเอนบนเตียง ผมมวยรุ่ยร่าย หน้าซีดเผือด มีอาการบาดเจ็บ เจ้านางสร้อยคำมีผ้าตุ้มคลุมกาย แสดงว่าอากาศหนาวเหน็บกำลังเอาผ้าขนสัตว์ฟูมาคลุมห่มให้สวามี
ภายในห้องมีนางข้าไทคนสนิท นางหนึ่งจัดอาหาร อีกนางจัดยา ข้างในตามไฟไว้สว่าง
“นี่มืดค่ำแล้วหรือ”
เจ้านางสร้อยคำชะงักนิดหนึ่งแล้วยิ้ม
“เจ้า เจ้าพี่”
“เจ้าพูดปด...นี่เพิ่งเพลาบ่าย...แต่ฟ้ามืดยิ่งกว่าค่ำอีก”
เจ้านางสร้อยคำถอนใจ “นี่ย่อมเป็นเมฆอาถรรพ์ เกิดจากมนตราของเถรกระอ่ำ”
“กองทัพผีขาเดียวก็ย่อมเกิดจากฝีมือมัน”
“มันวางแผนให้ยอดหล้าแย่งชิงหลวงเทพจากดาราราย จนเกิดเรื่องร้ายมากมาย เมื่อเจ้าพี่เศร้าใจเสียใจ มนตราคุ้มกายคุ้มแท่นคำ คุ้มเวียงแก้วย่อมเสื่อมถอย เป็นโอกาสให้มันบุกเวียงแก้วได้”
เจ้าหลวงแสงอินทร์นิ่งฟัง พยักหน้า
“และที่เจ้าพี่หอมุกตาย ก็อาจเป็นเพราะฝีมือมัน”
เจ้าหลวงแสงอินทร์เบิกตากว้าง ใจหนึ่งเจ็บแค้นเสียใจ แต่อีกใจก็ชื้นขึ้นที่ตนไม่ใช่ฆาตกร
ทันใดนั้น มีมีเสียงหัวเราะเยาะ ดังมา
“เจ้านางจากเวียงผาครางชาญฉลาดนัก นางรู้ซึ้งราวกับนั่งอยู่ในใจข้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ผวา สร้อยคำลุกขึ้นคว้าดาบ แม้แต่นางข้าไททั้งสองก็คว้ามีดยาวขึ้นเตรียมพร้อม
“เจ้าราชบุตร...ปรากฏตัวออกมา”
เถรกระอ่ำก้าวมาจากอากาศธาตุกลางห้อง สร้อยคำ นางข้าไทขยับกายออกขวาง

ณ เรือนหลวงชั้นนอก ขุนหาญ 4 นายมองไปแล้วผงะ ผีขาเดียวกระโดดมาจากหนึ่งเป็นสองเป็นห้าเป็นสิบ จนเต็มชานเรือน 4 ขุนหาญข่มความกลัว คว้าคบไฟมาถือมือหนึ่งอีกมือหนึ่งถือดาบ หอก ก้าวมารอ

ฝ่ายเถรกระอ่ำก้าวช้าๆ สร้อยคำ นางข้าไทเบนอาวุธตาม ขวางเถรกระอ่ำกับแสงอินทร์ไว้
“เวียงแก้วมืดมิดไป 3 วัน 3 คืน ทำให้เจ้าเห็นแสงสว่างหรือยัง” เถรชั่วประชด “เจ้าหลวง”
“ข้าตาสว่างแล้ว ว่าปู่ข้าพ่อข้าทำผิดมากนัก”
“ที่ก่อกบฏ สังหารพ่อข้า ชิงแท่นคำเวียงแก้วไปเช่นนั้นหรือ”
“มิใช่...แต่ที่ตัดไผ่ไว้กอ ไว้ชีวิตท่านต่างหาก”
เถรกระอ่ำยิ้ม “วิเศษ วิเศษนัก ขอบใจที่บอกข้า เพราะเจ้าจักไม่ทำผิดเช่นเดียวกับปู่เจ้าพ่อเจ้าเด็ดขาด”
เจ้านางสร้อยคำสะอึกเข้าขวาง 2 นางข้าไทก้าวมาอยู่ข้างหน้า สร้อยคำ เถรกระอ่ำยิ้ม
“แม่ข้าเป็นเจ้านางเชียงรุ้ง นับแล้วข้าเป็นทวดเจ้านะ สร้อยคำ”
“ข้าไม่นับญาติกับคนที่ชั่วช้าสารเลวยิ่งกว่าสัตว์เช่นท่าน”
“น่าเสียดาย...เพราะข้าคิดจะมีไมตรี ไว้ชีวิตเจ้าอยู่พอดี”

มีเสียงต่อสู้ด้านนอก มีเสียงคำราม ขุนหาญแผดร้อง ประตูเปิดผางออก ขุนหาญ 2 คนคอเหวะหวะกุมคอเลือดพร่างพรูล้มเข้ามาในห้อง ผีขาเดียว 2 ตัวก้าวมาขวางประตู
เถรกระอ่ำยิ้ม ดวงตาอำมหิตโบกมือ มีดยาวในมือ 2 นางข้าไทปลิวหวือไป เถรกระอ่ำก้าวไป 2 นางข้าไทกระเด็นไป 2 ข้าง
เจ้านางสร้อยคำพุ่งดาบโจมตี เถรกระอ่ำสลับเท้าเคลื่อนหลบวูบเดียวก็ถึงตัวเจ้าแสงอินทร์ คว้าคอไว้ เจ้าแสงอินทร์ตัวแข็งทื่อ
“อย่า”
จู่ๆมีเสียงการต่อสู้ด้านนอกอีก ผีขาเดียว 2 ตัวหันไปคำรามแล้วกระโจนไปต่อสู้
“นี่เจ้ายังมีเขี้ยวเล็บอยู่หรือ”
ทันใดนั้น เพดานห้องก็ทะลายกระเบื้องไม้หล่นพรูลงมาพร้อมร่างหนึ่ง เถรกระอ่ำคำรามลากเจ้าหลวงแสงอินทร์มา เจ้าแสงอินทร์มีผ้าห่มติดมือดูทุกลักทุเล ร่างนั้นตกลงสู่พื้น ทรงกายขึ้นเห็นว่าเป็นพระยาพิชิตชัย
“เจ้ามาได้อย่างไร”
“เจ้าคงเป็นเถรกระอ่ำ ปล่อยเจ้าหลวงเดี๋ยวนี้”
“ข้าไยต้องฟังคำเจ้า”
พระยาพิชิตชัยใช้ดาบ 2 มือเข้าฟาดฟันเถรกระอ่ำ เถรกระอ่ำมือหนึ่งจับคอเจ้าแสงอินทร์ อีกมือนั้นแข็งปานเหล็กกล้าฟาดฟันกับดาบอย่างไม่สะทกสะท้าน พระยาพิชิตชัยถอย
“เจ้า”
“มีดของเจ้า ทำอันใดร่างคงกระพันของข้าไม่ได้หรอก”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ขยับตัววูบหนึ่ง เถรกระอ่ำผวา ตวัดมือผลักเจ้าหลวงลอยไป
เถรกระอ่ำก้มดูแผลที่เอว เลือดไหลปรี่มา ไม่สาหัสแต่ก็เสียขวัญ
“แต่มีดสรีกัญไชยทำได้”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ตวัดมีดสรีกัญไชยจากผ้าห่มที่ถือติดมือรุ่มร่าม
เถรกระอ่ำยื่นนิ้วไปห้ามเลือด เลือดพลันแข็งตัวปิดแผล ยืนดวงตาเจิดจ้า
“บริวารข้า ทั้งหมดจงมา”
ตรงลานหน้าคุ้มหลวง ผีขาเดียวกระโดดมาจากตัวเดียว เป็นสอง...เป็นห้า...เป็นสิบ และเต็มไปหมดในที่สุด
ขณะที่หน้าห้องบรรทม ทหารจากกรุงเทพราว 20 คน ถูกบีบล้อมด้วยผีขาเดียว ใช้โล่ป้องตน คบไฟและหอกยาว ถอยร่นมาหน้าประตู
เถรกระอ่ำยิ้มเยาะ ท่าทีมั่นใจผยองขึ้นมาใหม่
“ทหารไม่กี่สิบของเจ้า จะสู้กับผีขาเดียวนับพันได้หรือ”
พระยาพิชิตชัย เจ้าหลวงแสงอินทร์ เจ้านางสร้อยคำถอยมารวมกัน ทหารจากกรุงเทพฯแผดร้อง ล้มตายเพิ่มขึ้น เถรกระอ่ำยิ้มการุณย์

ส่วนในถ้ำลึก พลันเกิดเสียงระเบิดตูม แท่งผลึกน้ำแข็งระเบิดแยกออก ดาราราย หลวงเทพ กระเด็นล้ม ควันฟุ้งโขมง ทั้งคู่ประคองกันลุกขึ้น พอควันจางลง ครูบาสรีก้าวจากกลุ่มควัน
“ท่านตา หนาวมากหรือไม่”
“เจ้างุ่มง่ามนัก ยังจะมัวพูดเล่นอีก”

ครูบาสีก้าวสู่หน้าผาสูง ดาราราย หลวงเทพไต่ตาม
หลวงเทพเริ่มกุมปวดแผล ครูบาสรีมองไป บริเวณนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า มีหมู่เมฆบางสีขาวสะอาด ที่สุดตามีเมฆทะมึนพยับโพยม คลุมเวียงแก้วไว้
ครูบาสรีพลันพนมมือ สำรวมจิตชูไม้เท้าขึ้น แล้วผายมือ 2 ข้างออก หลวงเทพและดารารายมองอย่างตื่นเต้น เกิดลมพายุแรงกล้า พัดพาเมฆขาวเบื้องบนสลายตัวเป็นเส้นขาวพุ่งไป ลมพัดชายผ้าของทั้งสามปลิวไสว

เหนือคุ้มหลวง เมฆดำทะมึนเคลื่อนขยับ เบื้องล่างมืดมิด ลมพายุพัดมาถึง ผีขาเดียวเบื้องล่างกำลังขู่คำราม พลันชะงักแหงนดู
ลมพายุพัดมาถึงเรือนหลวงกระชากหน้าต่างด้านหลัง เจ้าแสงอินทร์และอีก 2 คนเปิดออก พายุกล้าโถมใส่เถรกระอ่ำ ที่ตกใจยกมือป้องตา

เมฆดำปั่นป่วนถูกพายุพัดสลายคลี่ตัวจางไป แสงอาทิตย์ยามบ่าย 2 แผดลงเบื้องล่าง
ผีขาเดียวกรีดร้องวิ่งวุ่น แสงอาทิตย์อาบร่างมัน พริบตาเดียวก็ระเบิดกลายเป็นผงร่วงพรูลง

จากความมืดมิด แสงแดดยามบ่ายส่องพรวดลงมา ผีขาเดียวที่ออแออัดเต็มชานเรือนพลันสลายเป็นผง

ห้องบรรทมสว่างวูบขึ้น ลมแรงสงบ เถรกระอ่ำลดมือลงทรงตัวรู้ว่า “ผิดท่า” แล้วแผดร้อง
“เจ้าหรือ ครูบาสรี”
“ย่อมเป็นข้าเอง ท่านน้า”
ลมแรงวูบมา ครูบาสรีก้าวมา ตามติดด้วยดารารายที่ประคองหลวงเทพอาการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น เถรกระอ่ำส่ายหน้าผิดหวัง ขยับก้าวถอยหลัง
เจ้าหลวงแสงอินทร์ก้าวมา ดารารายประคองพ่อ พระยาพิชิตชัยประคองหลวงเทพ
“ทำไม...ทำไม...”
“การฆ่า ย่อมนำมาซึ่งการฆ่าท่านน้า”
เถรกระอ่ำขยับตัวจะหนี เจ้าแสงอินทร์โยนมีดสรีกัญไชยไป ครูบาสรีลอยตัวขึ้นรับไว้ตวัดดาบพุ่งลง
ศีรษะเถรกระอ่ำขาดกระเด็นไป ร่างเถรกระอ่ำที่ไร้ศีรษะล้มฟาดลง
ดารารายประคองเจ้าแสงอินทร์ เจ้านางสร้ายคำเข้าช่วยมองดูลูกผัวด้วยความรัก
“เจ้าพ่อ”
“ข้าไม่เป็นไร”
หลวงเทพเข่าอ่อนทรุดลง พระยาพิชิตชัยดึงไว้ หลวงเทพสิ้นสติไป ดารารายหันมาประคองไว้
“พิษผีขาเดียว!”

ครูบาสรีก้าวมาตามทางในคุ้มหลวง ชูหัวเถรกระอ่ำขึ้น สีหน้าสงบสังเวชใจ

ยอดหล้าอยู่ในห้องนอน มองดูนางผัน นางเผื่อนอย่างคาดคั้น
“ท่านอาจารย์เถรกระอ่ำมาช่วยเจ้านาง ต่อสู้ด้วยอาคมกับครูบาสรี”
“ตอนนี้ถูกครูบาสรี สังหารแล้วเจ้า”
ยอดหล้าผงะหน้าขาวซีด

ยอดหล้ากรีดร้องโหยหวน ยกมือแตะหน้า เมื่อลดมือลงผมปอยใหญ่ก็หลุดติด เหลือผมกร่อนบาง
“ครูบาสรี เจ้าทำอะไรกับข้า”
ยอดหล้าเคืองแค้นสุดขีด ขุนหาญ 2 คนก้าวมา
ยอดหล้าดึงโซ่อาคมขาด ฟาดใส่ 2 ขุนหาญกระเด็นไปปะทะผนังและเสาสิ้นใจ นางผัน นางเผื่อนร้องกรี๊ด
ครูบาสรีก้าวมาพลางยกมือมาเบื้องหน้าร่ายเวทย์ เจ้าหลวงแสงอินทร์ เจ้านางสร้อยคำเข้ามา
ยอดหล้าถูกข่มด้วยมนต์ เจ้าแสงอินทร์โกรธจัด
“เจ้าจะฆ่าคนกี่คน จนป่านนี้เจ้ายังไม่สำนึกหรือ”
“ข้าไม่ใช่คนผิด”
“เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว โซ่อาคมกับเรือนนี้คงขังเจ้าไม่ได้”
เจ้านางสร้อยคำใจหาย “เจ้าพี่ เวทนาลูกเถิด”
ยอดหล้าแหวใส่ “ข้ามิใช่ลูกเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ตวาด “หุบปาก”
ยอดหล้าไม่หยุด “นังดาราราย ก็ไม่ใช่น้องข้า”
“ข้าบอกให้หุบปาก”
“แม้แต่ท่าน ท่านลำเอียง ใจร้าย เชื่อแต่ผู้อื่นมากกว่าลูกตัว”
เจ้าแสงอินทร์ผงะ ยอดหล้ามองอย่างไม่ลดละ
“ข้าก็ไม่ถือว่าท่านเป็นพ่อเช่นกัน”
“ผู้ที่ข้าให้กำเนิด กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู รักใคร่ใยดีกว่าใครๆกลับคิดคดทรยศขนาดนี้”
เจ้าหลวงแสงอินทร์โกรธแค้นแสนสาหัส เจ้านางสร้อยคำพูดไม่ออก ยอดหล้าเมินหน้า
“เมื่อเจ้ามืดบอดขนาดนี้ แสงเดือน แสงตะวัน คงไม่มีความหมายต่อเจ้า ข้าจักขังเจ้าไว้ในคุกใต้ดิน จนสิ้นใจตาย”
“ความตายจักปลดปล่อยข้าเป็นไท จากความอยุติธรรมของท่าน” ยอดหล้าต่อปากอีก
“แม้เจ้าตาย เจ้าคงเป็นวิญญาณพยาบาทชั่วช้า ไม่ ข้าจักจองจำเจ้าไว้ที่นี่ ให้วนเวียนมิรู้ผุด มิรู้เกิด จนกว่าเจ้าจะสำนึกผิด ในความเขลา ในความชั่ว ในความพินาศที่เจ้าก่อไว้”
“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันกลัวทัณฑ์ ทรมานของท่าน”

เย็นแล้ว ลานหลังคุ้มน้อย ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นหลากสีสัน ดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า
ยอดหล้าถูกผูกตรวนอาคมทั้ง 2 มือ 2 เท้า นางผัน นางเผื่อนเดินตาม ยอดหล้าถือผลไม้ในมือ
“เจ้าหลวงเมตตายิ่ง ให้ข้าได้มาล่ำลาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ม้าวายุก้าวมา ยอดหล้าลูบคอมัน มันเอาหัวซบแขนยอดหล้า
“ถึงเจ้าเป็นเพียงของขวัญ ที่ดารารายมอบให้เพื่อเยาะเย้ยข้า แต่เจ้าก็ดีกับข้านัก”
ยอดหล้าป้อนผลไม้ ดวงตาทั้งรักทั้งอาลัย ม้าวายุกินผลไม้มีความสุข
นางผัน นางเผื่อนก้าวมา ถือกระบุงเล็ก ยอดหล้ามองท้องฟ้า ตวัดผ้าให้คลุมปิดซีกอัปลักษณ์
“นกเอย นกน้อยๆของข้า”
บรรดานกพิราบ นกเขา นกกระจอก แม้แต่กาก็บินกรูเกรียวมา
ยอดหล้าโปรยข้าวไปทั่ว พวกมันลงกิน มีเพียงอีกาใหญ่ตัวเดียวที่มากินในมือ
“กินเถิด นี่เป็นมื้อสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้เลี้ยง ได้เห็น ได้รักเจ้า”
นางผันนางเผื่อนสะอื้นไห้

ยอดหล้าก้มหน้าลง แต่แล้วไหล่พลันยืดตรง เงยหน้าขึ้น ดวงตาพลันวิปริต เหี้ยมโหด
ม้าวายุแผดร้อง พยศ นางผัน นางเผื่อนร้องอุทาน
ฝูงนกคล้ายตื่นเสียงม้า บินขึ้น แต่แล้วทุกตัวร่วงพรูลงกระทบพื้นไม่ขาดสาย
นางผัน นางเผื่อนงุนงง แล้วเดาได้มองยอดหล้า
ม้าวายุล้มตะแคงลงกับพื้น เท้าเหยียดสั่นระริก น้ำลายฟูมปาก นกอีกฝูงหนึ่งตกพรูลง รอบกายทั้ง 3 มีฝูงนกเกลื่อนกลาด ยอดหล้ายิ้มน่าสะพรึงกลัว
“วิธีนี้...พวกเจ้าจะได้อยู่กับข้าในคุ้มน้อยนี้...ตลอดไป”
ยอดหล้าหมุนกายเดินไป นางผัน นางเผื่อนเดินตามอย่างหวั่นหวาด

ดวงอาทิตย์ลงแตะขอบฟ้า ความมืดโรยตัวมา ดารารายตวัดผ้าคลุมกายเดินมาหลังคุ้มน้อย ได้ยินเสียงม้าร้องแหลม
“วายุ...!”
ดารารายก้าวไปแล้วชะงักตกใจ ผวาวิ่งลงคุกเข่าข้างวายุ วายุเหลือบมอง ดวงตาม้าฝ้าฟางนั้นจำเจ้าของได้
“วายุ...เพื่อนยาก...นี่ข้าเอง”
ม้าวายุมองดู ดารารายกลั้นสะอื้น ตัวโยน น้ำตาหยดหยาด
ม้าวายุเกร็งกาย ดวงตาเจ็บปวด แล้วตัวอ่อนลง ดารารายเอื้อมมือไปปิดดวงตาให้
ดารารายมองไปยังคุ้มน้อย น้ำตาหยด เสียใจและแค้นพลุ่งขึ้น
“เจ้าพี่ แค้นเคืองใดจงลงที่ข้า...อย่าทำร้ายผู้อื่น”

ณ เรือนหลวง ถูกจัดเป็นเรือนดารารายแทนที่คุ้มน้อย
หลวงเทพนอนเปลือยอก มีผ้าพันแผลที่ต้นแขนพันเฉลียงไปถึงไหล่และอก ยังเห็นรอยช้ำสีม่วงที่ลามไปถึงไหล่และอกอยู่ หลวงเทพสีหน้าดีขึ้น หลังจากเจ็บมา 4-5 วัน
ดารารายเข้ามา น้ำตายังนองหน้า รีบเช็ดน้ำตาแล้วก้าวจากหลังม่านยิ้มแย้มให้สามี
“ตื่นขึ้นมาทำไม นอนพักก่อนเถิด”
“ข้าเบื่อเต็มทนแล้ว”
“เบื่อเช่นใดก็ต้องนอน”
ดารารายคลี่ผ้าห่มห่มให้หลวงเทพแล้วขยับหมอนให้ ทั้งคู่มองกันดวงตาแสนรัก แต่มีเสียงซึงดังแว่วมา
หลวงเทพชะงัก ดวงตาสลดไหวหวั่น สงสารเกิดขึ้น ดารารายเห็นท่าทีทั้งหมดก็ชะงัก
“เจ้านอนเถิด ข้าจะไปเรือนเจ้าแม่”
ดารารายออกไป มองดูหลวงเทพที่เศร้าซึมงับประตูปิดลง
หลวงเทพยันกายขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง ยังทิศทางของคุ้มน้อย เสียงซึงยังแว่วมา

เวลาผ่านไป ยอดหล้าแต่งกายงาม มีผ้าคลุมบางคลุมผมลงมาจนกรอมเท้า นั่งบนแคร่ไม่ไผ่ในกรงขังไม้
ส่วน นางผัน นางเผื่อนติดโรคร้ายอันเกิดจากมนต์ดำย้อนกลับ เนื้อตัวแตกระแหงพุพอง อยู่นอกกรง
ยอดหล้าดวงตาเย็นชา ส่งจอกน้ำออกมานอกกรง
“กินเสีย...ผัน เผื่อน แล้วเจ้าจะไม่เจ็บปวดอีก อาคมของครูบาชั่วจะทำอะไรเจ้ามิได้”
นางผัน นางเผื่อนสบตากันนึกรู้ นางผันยื่นมือสั่นระริกไปรับจอกน้ำมา
“เจ้านางเจ้า เจ้านางดีกับพวกข้ายิ่ง”
“ข้าจะขอตามเจ้านางไปทุกที่เจ้า”
นางเผื่อนพยักหน้าให้ นางผันดื่มน้ำครึ่งจอก เหลืออีกครึ่งให้นางเผื่อน รับมาดื่มต่อ
ยอดหล้าดวงตาขมขื่น วิกลจริต หันไปหยิบซึง นางผัน นางเผื่อน โลหิตไหลจากเจ็ดทวาร ทรุดลง ทอดกายแน่นิ่ง
ยอดหล้ามองอย่างว่างเปล่า เล่นซึงต่อ

คุ้มน้อยเวลากลางคืน มีเสียงซึงเพลงดวงดาวแว่วมา
หลวงเทพหายสนิทขี่ม้ามา ลงจากหลังม้าเดินไปยังตัวคุ้มน้อย

ยอดหล้าเงยหน้าขึ้นจากซึงมองดู เห็นหลวงเทพเกาะกรงไม้มองอย่างเวทนาและเจ็บช้ำ
“พี่เทพ ท่านมาอีกแล้ว ถึงเป็นเพียงภาพลวง แต่ข้าเบิกบานใจนักที่ท่านมา”
“นี่คือพี่จริงๆ เจ้านาง”
ยอดหล้าผวามา ผ้าคลุมเลื่อนตก เห็นโฉมอัปลักษณ์วิกล หลวงเทพผงะ
หลวงเทพยื่นมือมาให้ ยอดหล้าจับไว้ ยื่นมือเหี่ยวแห่งลูบคลำหน้าหลวงเทพ
“ข้ามีบุญนัก ที่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนที่ความตายจะปิดดวงตาที่เหลือของข้า”
“เจ้านาง พี่ทำผิดต่อท่าน”
“คนผิดไม่ใช่พี่ แต่คือดาราราย”
“ไม่ใช่ แค่คือพี่ พี่ผิดเหลือเกิน เจ้านางให้พี่ทุกสิ่ง แต่พี่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนท่านเลย”
“ไม่จริงหรอก เพลงนี้ไงเจ้า พี่แต่งให้ข้า ข้าจะเล่นให้พี่ฟัง ฟังเพลงของเรา”
หลวงเทพเวทนา ใจอยากบอกความจริง แต่ต้องโกหก
“ใช่...เพลงของเรา”
ยอดหล้าบรรเลงเพลงดวงดาว เสียงเพลงกลับทรงพลัง ไพเราะไม่ขาดห้วงราวทุ่มเทพลังที่เหลือทั้งหมด
หลวงเทพนิ่งฟังน้ำตาคลอ ยอดหล้ามองเปล่งวาจาหวานแว่ว
“พี่คือดวงตะวัน...ข้าเจ้าคือจันทรา...”
เพลงจบลงกลางคัน ซึงเคลื่อนตกจากตัก ยอดหล้าซบพิงกับกรง หลวงเทพผวากำเสากรงก้มหน้าลง

สักครู่หลวงเทพภักดีเงยหน้าขึ้นใหม่
“ในชาตินี้เพราะใจข้าแบ่งเป็นสอง จึงทำลายผู้คนได้ถึงขนาดนี้ เกิดชาติใหม่ ชาติใด ขอให้ข้ามีใจเดียว มีคู่ครองเพียงคนเดียว อย่าต้องทำร้ายใครอีกเลย”
มีแสงเป็นลำส่องมาอาบร่างหลวงเทพ ดวงหน้านั้นดูสว่าง ดวงตาเด็ดเดี่ยวมั่นคง

ตรีภพผวาลืมตาขึ้นช้าๆ ตฤณมองอย่างอึ้งๆ กับสิ่งที่รับรู้จากการสะกดจิตระลึกชาติ ตรีภพขยับนั่งมองไปไกล

ขณะเดียวกันแก้วเดินมายังไซด์บอร์ดเปิดกล่องหยิบซึงมา เดินไปนั่งลงบนเตียง มือลองดีดซึงเป็นเพลงดวงดาวเบาๆ แก้วน้ำตาเอ่อ
มองจากมุมสูงลงมา เห็นแก้วดีดซึงอยู่ภายใต้บรรยากาศอันแสนเศร้าสร้อย !!!

นิ้วมือแก้วดีดซึง เสียงซึงดังฟังดูเหมือนใจที่จะขาดรอน จู่ๆ สายซึงก็ขาดสะบั้น สายซึงบาดนิ้วแก้ว จนเห็นเลือดหยดลงบนซึง จู่ๆ ก็ซึมวาบหายลงในซึง เกิดกระแสประหลาดแสงสีเขียวเรืองปรากฏ
แก้วมองไปรอบกาย “จ...เจ้านาง”
เสียงยอดหล้าแว่วมา “ใช่...ข้าเอง...เจ้าแก้วของข้า เจ้าคงรู้ว่า...เจ้าต้องทำสิ่งใด...เพื่อข้า...”

สายวันใหม่ สองหนุ่มสาวนัดเจอกัน ตรีภพยืนคุยกับพิมพ์ดาวอยู่มุมหนึ่ง
“สิ่งที่ผมรับรู้เป็นไปตามที่เจ้ายอดหล้าพยามจะบอกกับผมจริงๆ แต่ว่าทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจผิด หลวงเทพรักดารารายด้วยใจจริง แต่กับเจ้านางนั้นมันเป็นเพียงความรักที่หลวงเทพมอบให้ตามหน้าที่”
“แล้วตอนที่คุณถูกสะกดจิต คุณไม่รู้สึกสงสารเจ้านางยอดหล้า อยากจะกลับไปรักเธอด้วยใจจริงในภพชาตินี้บ้างเหรอคะ”
“นี่คุณ…นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงหรือพูดเล่นกันนะคุณ” เขาเปลี่ยนเรื่อง “จริงสิ...แล้วในมิติที่คุณเห็น ผมหมายถึง...เวลาที่เจ้านางทำให้คุณเห็นสิ่งที่เธออยากให้เห็น คุณเห็นนักพรตหรือนักบวชอะไรซักอย่างที่ชื่อ...ชื่อเถรกระอ่ำบ้างมั้ย”
พิมพ์ดาวทวนชื่อ “เถรกระอ่ำ”
“ใช่ เถรกระอ่ำ นักพรตที่เป็นคนวางแผนทำลายล้างเวียงแก้ว ด้วยการหลอกให้เจ้านางยอดหล้าเชื่อว่า ดารารายแย่งคนรักไปจากเธอและเป็นคนวางยาฆ่าแม่ของเธอ จนเจ้าหลวงแสงอินทร์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นฝีมือเจ้านางยอดหล้า สั่งคุมขังจนเธอต้องจบชีวิตลงที่ห้องใต้ดินในคุ้มร้างนั่น”
พิมพ์ดาวตื่นตระหนกตกใจ “คุณกำลังจะพูดถึงอะไร”
“ผมกำลังคิดว่า การที่เจ้านางสามารถฟิ้นคืนกลับมาในภพชาตินี้ได้ และมีพลังแก่กล้ามากมายจนบุกมาถึงกรุงเทพฯ ได้ อาจจะไม่ใช่แค่ไอ้พี่แก้วคนเดียวที่ช่วยเธอ”
พิมพ์ดาวอึ้งอีก “คุณกำลังจะบอกว่า เถรกระอ่ำอาจจะตามมาอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดด้วยงั้นเหรอคะ”
“มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นแบบที่คุณเข้าใจจริงๆ คุณแก้วก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ได้นะคะ”
“ใช่ แล้วถ้าเป็นอย่างที่ผมเข้าใจจริงๆ ถ้าเราหาทางกำจัดเถรกระอ่ำได้ เราอาจจะเปลี่ยนความเชื่อของเจ้านางยอดหล้าทั้งหมดได้ด้วยเช่นกัน”
ตรีภพยังนิ่งคิด ก่อนจะบอกออกมาด้วยท่าทางมุ่งมั่นจริงจัง
“เราต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่น จะต้องจบลงที่นั่นด้วยเหมือนกัน”

ตรงทางเดินลับตาในคุ้มบ่ายนั้น
แก้วเดินลงมาจากห้องพักด้วยท่าทางร้อนใจ หมกมุ่นครุ่นคิด ตอนที่เถรกระอ่ำบอกว่า...เจ้านางต้องใช้หัวใจชายเบญจเพส และตอนที่ตาทองบอกว่า...ท่านมหาจรวยไปทำพิธีอะไรไว้ที่ห้องใต้ดินตนไม่รู้ได้
แก้วเห็นคนงานหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านไปพอดี แก้วรีบเรียกคนงานหนุ่มคนนั้นไว้
“เดี๋ยว”
คนงานหนุ่มหันมามีเสียงผลัวะ คนงานร้อง “โอ๊ย”
ด้วยมีของแข็งบางอย่างฟาดเข้าที่ใบหน้าของคนงานหนุ่ม จนสติดับวูบไป

บรรยากาศหน้าคุ้มร้างเวลาบ่ายคล้อยดูวังเวงเงียบสงัด
แก้วลากร่างของคนงานหนุ่มที่หมดสติลงไปยังห้องใต้ดิน ผ่านบันไดทีละขั้นๆ ดุ่มเดินไป

บ่ายเดียวกันนั้น ตรีภพจิบกาแฟอยู่ในห้องโถงคอนโด สีหน้าครุ่นคิดตริตรองอย่างหนัก ดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจ
“เฮ้ย...จะขึ้นไปเชียงใหม่ทั้งที ไม่คิดจะโทร.ไปบอกไอ้พี่แก้วมันหน่อยเหรอ”
คำพูดหมอตฤณ ทำเอาตรีภพคิดไม่ตกว่าโทร.หาแก้วหรือไม่

แก้วมองร่างของคนงานหนุ่มที่นอนอยู่ เหมือนกำลังตัดสินใจหนักหนาว่าจะทำดีหรือไม่ สุดท้ายแก้วจะยกมีดขึ้นเตรียมจ้วงแทง เพื่อควักหัวใจ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะขึ้น
แก้วเหมือนถูกเรียกให้สติกลับคืนมา รีบวางมีดแล้วเอามือตบๆที่กระเป๋าแล้วเอาโทรศัพท์ออกมาดู
หน้าจอขึ้นชื่อตรีภพ แก้วมองๆโทรศัพท์แล้วกดรับ
ตรีภพน้ำเสียงเสียงดีใจ “ฮัลโหล ไอ้พี่แก้ว”
“แกมีธุระอะไรวะ ไอ้ตรี”
ตรีภพโทร.จากคอนโด ในกรุงเทพฯ คุยโทรศัพท์กับแก้ว
“นี่พี่ยังจะมีหน้ามาถามผมอีกนะว่ามีธุระอะไร ก็พี่เล่นหนีกลับเชียงใหม่ไปแบบไม่บอกไม่กล่าวกันซักคำ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรด่วนหรอก ฉันแค่ขึ้นมาทำธุระนิดหน่อย”
แก้วคุยไปโดยไม่ทันเห็นว่าที่พื้น คนงานชายค่อยๆ ได้สติ ขณะที่แก้วยังคุยโทรศัพท์โดยไม่ทันมอง คนงานชายค่อยเอื้อมมือไปคว้าท่อนไม้มากำไว้ ในจังหวะที่คนงานชายจะลุกขึ้นฟาด แก้วก็หันควับมาปักมีดลงกลางอกของคนงานชาย
“อ๊ากกกก”
ตรีภพแปลกใจ “เสียงอะไรน่ะ พี่แก้ว”
แก้วบอกกับตรีภพเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“เปล่า...ไม่มีอะไร แค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องวางสายแล้ว พอดีมีธุระต้องทำ”
คนงานชายพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ขณะที่แก้วใช้มีดแทงอีกครั้งจนคนงานนิ่งสนิท

ฝ่ายตรีภพมองโทรศัพท์แล้วหันไปมองหน้าตฤณ
“อยู่ๆ ก็วางสายไปเฉยเลย”
“เอาน่า...อย่างน้อยเราก็รู้ว่าไอ้พี่แก้วมันยังมีชีวิตอยู่”
“แล้วก็กลับไปเชียงใหม่จริงๆ เหมือนอย่างที่เราคิด”
ตรีภพเหมือนจะเห็นด้วย แต่ก็ยังอดคิดแปลกใจสงสัยไม่ได้เรื่องเสียงร้องเมื่อครู่นี้

ซึงของเจ้านางยอดหล้าถูกวางอยู่บนตั่ง เหมือนกำลังเตรียมจะทำพิธี แก้วถือหัวใจของคนงานชายเดินเข้ามามองซึงนิ่ง ก่อนตัดสินใจเอาเลือดและหัวใจคนงานชายราดลดลงที่ซึงด้วยความหวัง แต่ทุกอย่างกลับนิ่งสนิทราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แก้วรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ร้องหายอดหล้าดังลั่นคุกใต้ดิน
“เจ้านาง...เจ้านางอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่ออกมา เจ้านาง นี่ไงหัวใจของชายเบญจเพศ นี่ไงเลือด เจ้านางต้องการมันไม่ใช่หรือ”
ทุกอย่างยังคงเงียบสงัด แก้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ตั่งที่วางซึง ค่อยๆ ประคองซึงที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมากอด

คุ้มร้างที่ตั้งอยู่ จากกลางวันกลับกลายเป็นมืดทะมึน มีละไอหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้น

จู่ๆ...เทียนทุกเล่มก็พลันสว่างขึ้น สภาพโดยรอบกลายเป็นงดงาม แก้วมองตื่นตาระคนแปลกใจ
ยอดหล้าปรากฎกาย พัสตราภรณ์ที่ใส่ดูเป็นสีแดงคล้ำ ดวงหน้างามกระด้างดวงตาดุดันโหดเหี้ยมกว่าเดิม
แก้วพลันยิ้มอย่างรักใคร่ผูกพัน ก้าวไปคุกเข่าลงต่อหน้ายอดหล้า
“เจ้านาง”
“ข้าขอบใจ...เจ้าแก้วผู้ซื่อสัตย์ของข้า”
แก้วมองยอดหล้าด้วยสายตาปลื้มปริ่ม
“นี่มิใช่เวลาเบิกบานใจ ยังมีสิ่งต้องทำอีกมากมายนัก เจ้ารู้หรือไม่ ท่านอาจารย์อยู่ที่ใด”
ขณะเดียวกันภายในห้องพักคนไข้ มหาจรวยผวาลุกนั่งจากฝันร้าย แล้วลังเลคิดว่าเป็นเพียงฝัน
“เป็นไปไม่ได้”

รุ่งเช้าจันทรา พิมพ์ดาว พิมพ์เดือนนั่งอยู่ที่โซฟา ส่วนที่พื้นใบเฟิร์นนั่งจ้องดูช่องบันเทิงที่เปิดเสียงไว้เบาๆ
“เรื่องที่คุณหมอสะกดจิตคุณตรีจนรู้เรื่องราวทั้งหมด ตรงกับที่ยัยเดือนค้นมาได้เลย”
“หนูค้นเจอก่อนอีตาหมอจิตตั้งหลายวัน”
พิมพ์ดาวทอดถอนใจกับเรื่องที่ตรีภพมาถ่ายทอด จนไม่สนใจน้องสาว
“เถรกระอ่ำใส่ร้ายหนู เป่าหูเจ้ายอดหล้า จนทำให้เกิดความพินาศได้ขนาดนี้เลยนะคะ”
“ความวุ่นวายในโลกนี้ที่เกิดจากการกระพือความเท็จ มันไม่มีวันสิ้นสุดหรอกลูก ไม่ว่าจะยุคเถรกระอ่ำ ยุคนี้ หรืออีกร้อยปีข้างหน้า”
“แต่หนูก็มีส่วนทำให้เจ้ายอดหล้า ต้องแค้นข้ามภพข้ามชาติแบบนี้”
ใบเฟิร์นเข้ามา ในมือมีหนังสือพิมพ์และจดหมายมาด้วย
“นิยายหรือละครพวกนี้เขาถึงต้องจบด้วยการขอโทษ ขออโหสิกรรมกันไงคะ บางเรื่องตอนสุดท้ายอโหสิกรรมกัน 5-6 คู่ ไม่ยอมจบซักที”
“แต่ทางพุทธเรา ไม่ได้เชื่อแค่ชาติก่อน ชาตินี้ชาติหน้านะลูก ทางพุทธถือว่าทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาจนนับไม่ถ้วนชาติ นับไม่ถ้วนภพ เรื่องของเจ้าดาราราย หลวงเทพและเจ้ายอดหล้า อาจมีต้นกำเนิดย้อนไปไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ทางพุทธถึงได้มีจุดหมายสูงสุดอยู่ที่นิพพานเพื่อหยุดยั้งสังสารวัฏ ไม่ต้องมาเกิดมารักมาแค้นกันอีกไงจ๊ะ”
“ตาย...งั้นไม่ชาติไหนชาตินึง หนูก็ต้องเคยเจอนายหมอจิตนี่มาก่อนซีคะ”
“แล้วชาตินี้ จะรักหรือจะแค้นล่ะจ๊ะ” จันทราสัพยอก
“แม่อ่ะ”
พิมพ์เดือนค้อนควักแม่ท่าทีน่าขัน

ภายในเรือนที่พักตาทอง เป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ เห็นมีเพียงเสื้อผ้าของตาทองไม่กี่ชุด กับเครื่องนอนสองสามชิ้นวางอยู่มุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่งเป็นโต๊ะหมู่บูชาชุดเล็กๆตั้งอยู่
บนโต๊ะหมู่มีพระพุทธรูปวางอยู่ไม่กี่องค์ ที่ด้านหน้าเห็นมีกล่องอาคมที่มหาจรวยสั่งให้ตาทองเก็บรักษาไว้
แก้วเปิดประตูเดินเข้ามายืนตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา ท่าทางเหมือนคนถูกสะกด เกิดมีแสงประหลาดปรากฏขึ้นที่กล่องอาคม เหมือนมีความเคลื่อนไหวภายใน

ตาทองกับสายใจเดินกลับเข้ามา ก่อนที่สายตาของตาทองจะเห็นแก้วกำลังลงจากเรือนของตัวเองชายชราพึมพำ
“คุณแก้ว...”
ตาทองกับสายใจรีบพากันหลบหลังพุ่มไม้ เห็นแก้วเดินถือกล่องอาคมผ่านทั้งสองคนไปเหมือนคนถูกสะกด
สายใจตกใจ “ตายแล้วพี่ทอง คุณแก้วรู้ได้ยังไงว่ากล่องของท่านมหาจรวยอยู่ที่นี่”
“จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ”
ตาทองพูดเสร็จก็ขยับเท้าจะเดินออกไป
“เดี๋ยว…แล้วนั่นพี่ทองจะไปไหน”
“ข้าจะรีบไปหาท่านมหาจรวย”
ตาทองพูดเสร็จก็รีบเดินจ้ำพรวดๆ ออกไป

ที่ห้องใต้ดิน ยอดหล้าก้าวออกมาดู อักขระรอบกล่องพลันเจิดจ้าขึ้นจนยอดหล้าผงะ
“ไม่น่าเชื่อ อาถรรพ์ของหีบอาคมใบนี้ แรงกล้ากว่าหีบใบก่อนมากนัก ตบะของทายาทครูบาชั่วนั้นร้ายกาจกว่าทวดของมันอีก”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” แก้วถาม
“ก็ทำให้เจ้าเห็นว่า ตบะของข้าร้ายกาจยิ่งกว่าของมัน”
ยอดหล้าหมุนกายกลับไปยังกล่องอาคม ดวงตาเจิดจ้า เส้นเลือดผุดขึ้นรอบดวงตาดูน่าสะพรึงกลัว ยอดหล้ายืนสองมือออก เกิดแสงเป็นเส้นฟ้าผ่า เปรี้ยง เข้าทะลวงหีบอาคม

ฝ่ายตาทองเดินจ้ำๆเข้ามาในโรงพยาบาล รีบเข้าไปกดลิฟท์ ถึงชั้นผู้ป่วย ตาทองออกจากลิฟท์ แล้วเดินรีบรุดไป

ครู่ต่อมา ตาทองเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของจรวย ปรากฏว่าเห็นท่านมหาจรวยนั่งสมาธิรออยู่บนเตียง ด้านหน้ามีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ มันเป็นกล่องกระดาษธรรมดาๆ
“ท่านมหาครับ”
ท่านมหาจรวยลืมตาขึ้นช้าๆ เหมือนว่ารออยู่แล้ว

เกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวที่ห้องใต้ดินคุ้มร้าง กล่องอาคมระเบิดเป็นดวงแสง พลังแรงเข้าปะทะยอดหล้า ร่างยอดหล้ากระเด็นหวือไปตกลงกระแทกพื้น ยอดหล้ากุมอกเจ็บปวด บาดเจ็บ แก้วตกใจสุดขีด

ตาทองรับกล่องกระดาษจากมหาจรวยมาถือไว้
“ผมจะทำตามท่านมหาสั่งครับ”
“ดี...งั้นตาทองรีบกลับไปได้แล้ว”
ตาทองเป็นห่วง “แต่...”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก รีบไป!! และทำตามที่ฉันสั่งไว้ให้ได้ก็พอ ไป”
ตาทองจำต้องเดินออกไปตามคำสั่ง มหาจรวยมองตามแล้วนิ่งคิด เหมือนกับรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

แก้วประคองยอดหล้าให้ลุกขึ้นยืน ยอดหล้ายังคงกุมอกเจ็บปวด มองไปตรงหน้า
เถรกระอ่ำยืนอยู่ หน้าซีกหนึ่งยังเป็นแผลไม้ แต่อีกซีกงดงามการุณย์ ดูวิกลยิ่ง
“ยอดหล้า...เจ้าต้องได้ทุกข์เพราะข้าแท้ๆ”
ยอดหล้ายิ้มดีใจ ไม่รู้ความนัยในถ้อยคำเถรชั่ว

เวลาดึกสงัด ตามทางเดินยาวในโรงพยาบาลว่างเปล่า มีรถเข็นจอดอยู่ เห็นชั้นเสียบโบรชัวร์ต่างๆ เรียงราย
จู่ๆ มีกระแสประหลาดพุ่งมาเป็นพลังแสงพร่าเลือนมาตามทางเดิน แสงนั้นชนรถเข็นขยับไหว
โบรชัวร์ปลิวกระจายจากที่เสียบ แล้วพุ่งไปผ่านเคาน์เตอร์ เอกสารที่พยาบาลกำลังจัดซ้อนกันปลิวกระจาย

จู่ๆ มหาจรวยอาการกำเริบ นอนเอนบนเตียง สีหน้าสงบปลงตก เกิดแสงพร่าที่ปลายเท้า เถรกระอ่ำปรากฎกายขึ้น มหาจรวยถอนใจ
“เจ้าดูไม่แปลกใจที่เห็นข้า”
“เพราะข้าว่าความชั่วร้ายนั้น ยากนักที่จะขุดรากถอนโคน”
“อาการเจ้าดูหนักหนา”
“แต่ท่านเองก็ไม่ดีนัก” มหาหยัน
“ไม่แน่หรอก สิ่งที่เจ้าเห็นอาจจะลวงตาเจ้า”
เถรกระอ่ำหันมองมหาจรวย ใบหน้าแผลไหม้นั้นหายไปแล้ว กลายเป็นใบหน้างดงามตามเดิม
มหาจรวยนึกรู้ “ท่านแสร้งเป็นบาดเจ็บ อย่างงั้นหรือ ทำไม”
เถรกระอ่ำยิ้ม “เรื่องนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ให้เจ้ารู้แค่ว่า ลมหายใจสุดท้ายของเจ้ามาถึงแล้ว”
ขาดคำเถรกระอ่ำกลายร่างเป็นอสูรกาย พุ่งเป็นเงาดำวูบเข้าหามหาจรวย
“อ๊ากกก”
มหาจรวยผวาร้องลั่น เงาดำชำแรกหายไปในกาย ทำให้ร่างกายมหาจรวยบิดเบี้ยว มหาจรวยลืมตา ดวงตานั้นดำสนิท ดวงหน้าดูเป็นปีศาจมีเส้นเลือดปูดขึ้นทั่วร่างกาย สุดท้ายก็แห้งหายกลายเป็นหนังหุ้มกระดูกแห้งตายคาเตียง
นางพยาบาล 2 คน ได้ยินเสียงร้องมหาจรวย ต่างพากันตกใจ วิ่งเข้ามาภายในห้อง เห็นร่างมหาจรวยนอนแน่นิ่งอยู่ในสภาพน่ากลัว สยดสยอง 2 นางพยาบาลกรีดร้องสุดเสียง
“แอร๊ยยย”

พิมพ์ดาวหันมามองตรีภพอย่างแปลกใจ
“คุณเนี่ยนะ จะมาชวนฉันกับยัยเดือนขึ้นไปเชียงใหม่”
“จะไปเที่ยวกันเหรอคะพี่ดาว”
พิมพ์ดาวมองหน้าตรีภพเหมือนต้องการคำตอบ
“โธ่คุณ...ก็ที่ผมโทรคุยกับคุณเมื่อวานไง เรื่องพี่แก้ว ผมเป็นห่วงไอ้พี่แก้วยังไงไม่รู้ ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไร บ่ายนี้มีไฟต์ไปเชียงใหม่”
พิมพ์ดาวนิ่งคิด ขณะที่พิมพ์เดือนยิ้มๆ เหมือนจะมีแผนอะไร
“งั้นก็ดีสิคะ พี่ดาว เราชวนคุณแม่ขึ้นไปเที่ยวพร้อมๆ กันด้วยดีมั้ยคะ” สาวแก่นหันมาพูดกับตรีภพ “นะคะ คุณแม่พึ่งลาพักร้อนได้เมื่อวาน หนูก็กำลังคิดๆอยู่ว่าจะชวนคุณแม่ไปพักผ่อนที่ไหนดี”

ตรีภพพิมพ์ดาวมองหน้ากันนิ่งนาน

อ่านต่อตอนที่ 22 (อวสาน)
กำลังโหลดความคิดเห็น