xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13

ตกตอนค่ำ ทั่วทั้งคุ้มน้อยบริเวณส่วนเรือนของเจ้านางดารารายตกอยู่ในความมืด มีแสงประทีปส่องจากหน้าต่างห้องนอนดาราราย

บนเตียงนอนสี่เสา ยอดหล้าประคองดารารายไว้ เจ้านางสร้อยคำส่งชามยาให้ ยอดหล้าป้อนยาให้น้องสาว ดารารายกลืนแล้วไอออกมานิดหน่อย
“เจ้าพี่”
“อย่าเพิ่งพูดอันใดเลย เจ้านอนก่อนเถิด”
สร้อยคำและยอดหล้าช่วยกันประคองดารารายให้นอน โดยที่พื้นในห้องนางข้าไทคนสนิทของสร้อยคำ นางทิพย์ นางทิม คุกเข่าชะเง้ออย่างเป็นห่วง
“ไข้ลดแล้วเจ้า แม่น้ำ แต่ตัวยังรุมๆอยู่ ไม่ร้อนเป็นไฟเหมือนเมื่อตอนเจอเจ้า”
“ขอบใจเจ้า ยอดหล้า” สร้อยคำบอก
“แม่น้าไม่ได้นอนทั้งคืน พักผ่อนก่อนเถิดเจ้า ข้าจะดูแลน้องเอง”
เจ้านางสร้อยคำพยักหน้าแล้วถอยออกมา ยอดหล้าเอามือจัดผมดารารายให้เข้าที่ มองน้องอย่างเปี่ยมรัก

วันต่อมา ที่เรือนรับรองสำหรับแขกเมืองทั่วไปในคุ้มเวียงแก้ว เป็นเรือนทรงล้านนาขนาดใหญ่ หมู่เรือนไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่งดงาม ใช้เป็นที่พักอย่างไม่เป็นทางการของบรรดาแขกเมือง หรือพ่อค้าใหญ่จากต่างเมือง

หลวงเทพภักดีแต่งตัวในชุดลำลองแบบพ่อค้าเช่นเคย กำลังย่องผ่านเติ๋นเพื่อจะไปยังบันไดที่ขุนกล้ายืนรออยู่ แต่ประตูเรือนด้านในเปิดออก พระยาพิชิตชัยก้าวออกมา พระยาพิชิตชัยวัยสี่สิบปลาย หน้าตามีเค้าหล่อเหลาแบบเดียวกับหลวงเทพ ใบหน้าเคร่งดูมีอำนาจราชศักดิ์

“ไอ้เทพ...นั่นจะไปไหน”
หลวงเทพก้าวเท้าค้าง ส่วนขุนหาญกล้าคนสนิทคอหด
“นัดแนะกับไอ้กล้าซีนั่น”
ขุนกล้ายิ้มแหยยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วหดตัวหายไป พระยาพิชิตชัยมานั่งบนตั่งตรงยกพื้นหลวงเทพหันไปหาพ่อ พลางยิ้มประจบ
“โธ่ พ่อ กระผมแค่จะไปเที่ยวกาดกลางเวียง”
“นี่ยังเที่ยวไม่พออีกหรือ ชะ ให้มาเรือพร้อมกับพ่อก็ไม่ยอมอยากไปเดินป่ากับกองเกวียนพ่อค้า แล้วเป็นอย่างไรเล่า เจอพวกโจรทั้งยังโดนงูกัดเจียนตาย”
“โธ่ พ่อ แต่กระผมก็เอาตัวรอดมาได้”
“ดูซิข้ามาถึงเวียงแก้วได้ 6 วันแล้วแต่กลับมิได้เฝ้าเจ้าหลวงเพราะมัวรอแต่เอ็ง เสียมารยาทมากนัก”
“โธ่ แล้วทำไมต้องรอกระผมด้วยเล่า”
“ชะ ยังจะมาถาม เพราะเอ็งมันตัวสำคัญน่ะซีเล่า อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เราต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวง ถ้าเอ็งมัวตาเที่ยวเพลินจนต้องเลื่อนเฝ้าอีก ข้าจะเอาเลือดหัวเอ็งออก”
หลวงเทพคอหด

ตรงบริเวณชานเวียงแก้ว มีเรือนไม้ไผ่ตองตึงของชาวบ้านเป็นระยะ สาวชาวบ้านเปลือยอกมีแค่ผ้าคล้องคอเดินสวนมา หลวงเทพ ขุนกล้า และขุนทง แสนหลวงของเวียงแก้วที่มาคอยอำนวยความสะดวก ขี่ม้าสวนมา หลวงเทพไม่กล้ามองต้องเมิน แต่ขุนกล้ามีอาการตาค้าง ขุนทงมองอย่างเป็นเรื่องสามัญ
“คุณหลวงรู้อันใดอีกเกี่ยวกับนางผู้นั้น”
หลวงเทพถอนใจ
“สี่ห้าวันนั้นข้าสนิทสนมกับนางมากมายนัก แต่ที่แท้แล้วข้ากลับแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย”
“โธ่เอ๋ย คุณหลวงไม่รู้แม้แต่ชื่อ แล้วจะไปหาเจอได้อย่างไร” ขุนกล้าว่า
“เอาเถอะเราไปถามบ้านพรานก่อน พวกพรานน่าจะรู้จักพวกพรานด้วยกันดี”

เวลานั้นขุนหาญ 2 คนเดินนำ ยอดหล้าซึ่งแต่งตัวเรียบๆ อยู่บนหลังม้ามีร่มกั้นบังแดด นางผันกางร่ม นางเผื่อนถือซึง มีขุนหาญอีก 2 ปิดขบวน ขบวนเดินมายังลำธารเล็กๆ ถัดมาจากน้ำตกน้อยๆ
“ตรงนี้ดีไหมเจ้า เจ้านาง” นางผันถาม
“ก็ได้”
นางผันช่วยยอดหล้าลงจากหลังม้า ขุนหาญจูงม้าให้ นางผันหันไปสั่งขุนหาญ
“พวกเจ้าถอยไปให้ห่าง เจ้านางกับพวกข้าจะเล่นน้ำ”
ยอดหล้าเดินลุยน้ำตื้น กรวดขาวสะอาดพลิกอยู่ใต้เท้า มองดูดอกกล้วยไม้บนคาคบ
“เจ้าไปเก็บดอกกล้วยไม้ ข้าจะเอาไปฝากดาราราย วันๆ นอนซมอยู่ในเรือน ได้เห็นดอกไม้จักได้เบิกบานใจขึ้น”
นางผันนางเผื่อนแอบทำหน้าเบื่อไม่อยากทำให้

บริเวณชายป่าถัดมาจากหมู่บ้านพราน ลำธารเล็กๆ น้ำไหลริน หลวงเทพ ขุนกล้า ขุนทง
พาม้ามากินน้ำ หลวงเทพมีอาการผิดหวังอย่างมาก ขุนกล้าสัพยอก
“ถึงจะมิใช่ แต่ลูกสาวพรานก็อวบอัดไม่หยอกนะ คุณหลวง”
“นั่นมิใช่อวบอัด นั่นอีกนิดก็เท่าช้างแล้ว”
หลวงเทพตาเขียว ขุนกล้าไม่กลัวเกรง ขุนทงอ่อนใจ
มีเสียงซึงไพเราะดังมา ดังเป็นระลอกคล้ายเสียงธารน้ำไหล หลวงเทพชะงักหันมองตามเสียง

ที่แนวไม้พุ่มมีดอกไม้ออกดอกพราว ยอดหล้าแย้มยิ้มเด็ดดอกไม้ช่อใหญ่มา เห็นหลวงเทพอยู่หลังกอดอกไม้ นางผัน นางเผื่อนร้องวี้ด ยอดหล้าขยับถอยกรูดแล้วเซล้ม
ยอดหล้าตกใจร้อง “ว้าย”
หลวงเทพพรวดออกมาประคองยอดหล้าขึ้น นางผัน นางเผื่อนเข้าดึงยอดหล้าออก
“เจ้าคนชั่ว”
“กล้าดียังไง มาแอบดูพวกข้าอาบน้ำ”
พอหลวงเทพยืดกายตรง นางผัน นางเผื่อนตะลึง ยอดหล้ามองดูแล้วใจวูบวับ ส่วนหลวงเทพก็อึ้งไปเมื่อเห็นความงามบาดจิตของยอดหล้า

ในเวลาต่อมา ดารารายยังคงขาวซีด นอนอยู่บนเตียง ริมฝีปากขยับพูดแผ่วเบา
“เจ้าภักดิ์”
ยอดหล้าอยู่ใกล้ๆ กำลังเอาดอกกล้วยไม้ที่เก็บมาวางลงในพานซ้อนเกยกันอย่างงดงามหันมา นางทิพย์นางทิมกำลังจัดสำรับอาหารอยู่ห่างออกมา
“เจ้าว่าอันใดนะดาราราย เจ้าพักอันใด”
ดารารายรู้สึกตัวเต็มที่ นางทิพย์ นางทิมผู้รู้ความคร่าวๆ สบตากัน ดารารายขยับตัวพิงหัวเอียง
“มิมีอันใด ข้าเจ้าบอกให้เจ้าพี่พักบ้างเถิดเจ้า”
“เจ้าจะกินข้างแลงหรือยัง จะให้ข้าป้อนเจ้าไหม”
“เจ้าพี่ข้าแค่ป่วยไข้ มิได้ง่อยเปลี้ยเสียขานะเจ้า”
ยอดหล้าค้อนน้องสาว ดวงตาวาววับเป็นประกายสุกใสด้วยความสุขภายในใจ
“เจ้าอย่ามาพูดดี...วันก่อนข้ายังหยอดกล้วยบดเข้าปากเจ้าอยู่เลยเหมือนอันใดรู้ไหม”
“เหมือนอันใดเจ้า”
“เหมือนตอนข้าพยาบาลกาใหญ่ที่เจ้ายิงมันบาดเจ็บน่ะซี”
ดารารายมิได้ขบขันด้วย ใจนึกถึงแต่ว่าเป็นบาปกรรม
“บาปกรรมนัก ข้ายิงนกตกปลามาเป็นร้อยเป็นพัน พรากคู่ผัวคู่เมียมาเท่าใดไม่รู้ บัดนี้กรรมสนองข้าแล้วเจ้า เจ้าพี่”
ยอดหล้าไม่รู้ความนัยของความโศกของดาราราย จึงยิ้มเสียบดอกกล้วยไม้ให้ที่ผมน้อง
“เจ้าคิดได้ดังนี้ก็ดีแล้ว เลิกพูดเรื่องเวรเรื่องกรรมเถิด วันนี้ข้าไปที่ธารแก้ว เก็บดอกไม้มาฝากเจ้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเจอผู้ใดข้า”
“ผู้ใดกันเจ้า ชายในฝันของเจ้าพี่หรือ”
ยอดหล้าหน้าแดงวูบ ดวงตาวามวาว
“เจ้านี่..ข้าเลยมิรู้จะพูดต่ออย่างไรเลย วันนี้ข้าเจอหลวงเทพภักดี”
“หลวงเทพภักดี คู่หมายของเจ้าพี่น่ะหรือเจ้า อย่างไรเจ้าเล่ามาให้หมด”
“เจ้ากินข้าวก่อน ข้าจึงจะเล่าให้ฟัง”
ดารารายค้อน ยอดหล้าให้นางทิพย์ นางทิมเอาขันโตกเข้ามา ดารารายล้างมือ
“วันพรุ่ง เจ้าพ่อให้คณะทูตเข้าเฝ้า เจ้าจะไปลอบดูกับข้าไหม”
“ไม่เอาเจ้า ข้าเป็นนางแก้ว มิพึงทำเยี่ยงนั้นเจ้า”

ยอดหล้ายิ้มอย่างหมั่นไส้ ตีดารารายไปแปะหนึ่ง

ภายในท้องพระโรงหอคำหลวง อันงดงามอลังการ แท่นคำสูงตระหง่าน แสงอัจกลับแก้วทำให้ห้องมลังเมลือง เจ้าหลวงแสนอินทร์ประทับบนแท่นคำ แวดล้อมด้วยแสนหลวง นางใน ด้านหนึ่งเป็นวงมโหรีหลวงบรรเลงเพลงขับกล่อม

พวกข้าหลวงเฝ้านั่งเรียงรายเป็น 2 แถว ตรงกลาง พระยาพิชิตชัย หลวงเทพ ขุนกล้าและคณะทูตอีก 4-5 คนเข้าเฝ้า พระยาพิชิตชัยคุกเข่าชูพานพระราชสาส์นสูงเหนือศีรษะ คลานเข่าเข้าไปยังแท่นคำ เจ้าหลวงแสงอินทรโน้มกายมารับสาส์นแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะแสดงความเคารพ พระยาพิชิตชัยถอยกลับเข้าที่ สาส์นถูกวางบนพานสูง เจ้าหลวงแสงอินทรมองดูหลวงเทพอย่างพอใจ หลวงเทพรู้ว่าตนเป็นเป้าสายตาก็พยายามนิ่งไว้
ที่ฉากฉลุฉลักด้านข้างที่บรรดานางในสามารถมาแอบดูความเป็นไปในโรงหลวงได้ เจ้านางหอมุก ยอดหล้า นางหลานหลวง นางผัน นางเผื่อนข้าไทคนสนิท และนางอื่นๆ อีก 4-5 นางมองดูหลวงเทพและคณะทูตพลางคิกคัก บางนางชอบขุนกล้า บางนางไพล่ไปชอบพระยาพิชิตชัย
ยอดหล้ามองดูหลวงเทพ ดวงตาวามวาว หลวงเทพเหลือบมองไปที่ฉากฉลุโดยบังเอิญแต่ยอดหล้ากลับรู้สึกเหมือนหลวงเทพมองตอบก็หลบตามองดูเจ้านางหอมุก เจ้านางหอมุกปลาบปลื้ม

ค่ำคืนนั้น บริเวณเรือนรับรองทางปีกหนึ่งของหอคำหลวงหรือคุ้มใหญ่ เป็นที่รับรองพระญาติจากต่างเมือง ตอนนี้ได้จัดเป็นที่พักให้คณะของพระยาพิชิตชัย
บนระเบียงเรือนรับรอง มีตู้ตั่งฉากกั้นห้องภาพเขียนจีน ฯลฯ ทุกอย่างดูงดงามประณีต พระยาพิชิตชัยกับหลวงเทพนั่งอยู่บนยกพื้น ที่ชานเรือนมีขุนกล้านั่งอยู่
“เอ็งเคยพบเจ้านางยอดหล้าแล้ว”
“เมื่อวานนี้เองขอรับ”
“แล้วยังไง สมดังคำร่ำลือไหม”
หลวงเทพยิ้มนิดหนึ่ง มีแววชื่นชม ยกย่อง แต่กลับปราศจากความพิศวาส
“เป็นครั้งแรกขอรับเจ้าคุณพ่อ ที่คำร่ำลือนั้นน้อยกว่าความจริง”
พระยาพิชิตชัยตบเข่าฉาดใหญ่ มีอาการดีใจโล่งใจ
“ดี...ดี ทีนี้เอ็งคงเลิกอิดออด ถ่วงเวลาเสียที”
หลวงเทพกลับถอนใจ
“เจ้านางยอดหล้างามเหมือนนางฟ้า แต่กลับไม่จับจิตจับใจ กระผมเหมือนแสงดาว”
“นางชาวป่าผู้นั้นน่ะหรือ”
“นางชาวป่าผู้นั้นช่วยชีวิตกระผมไว้สามครั้งสามครานะขอรับเจ้าคุณพ่อ”
พระยาพิชิตชัยเข้าใจ
“แต่เอ็งก็ตามหาไม่เจอเสียที”
“ให้ต้องพลิกแผ่นดิน กระผมก็ต้องหาแสงดาวให้เจอจนได้”
“เจ้าเทพ ไม่ว่าอย่างไร หน้าที่ของเอ็งก็ต้องมาก่อน เอ็งต้องแต่งกับเจ้านางยอดหล้า เพื่อเชื่อมสัมพันธ์สยามกับเวียงแก้ว”
“ขอรับ แต่แสงดาวเล่า”
“จะเป็นไรไป ผู้ชายเรามิเห็นต้องมีเมียเดียว เอ็งแต่งกับยอดหล้าเป็นเมียเอก แล้วจะแต่งใครเป็นน้อยอีกกี่คนก็ได้”
หลวงเทพยิ้มนิดหนึ่ง
“ถ้าจริงเช่นนั้น ทำไมเจ้าคุณพ่อจึงมีคุณหญิงเพียงผู้เดียวเล่า”
พระยาพิชิตชัยฉุนลูกชาย
“ก็แม่เอ็งดุเหมือนหนึ่งเสือ แลมีอะไรก็วิ่งไปฟ้องตาเอ็งให้เล่นงานข้า ข้าไม่หาเหาใส่หัวหรอก”
“แล้วทำไม เจ้าคุณพ่อจึงให้ผมหาเหาใส่หัวล่ะขอรับ”
“เพราะเจ้านางยอดหล้าคงไม่ดุร้ายเหมือนแม่เอ็งน่ะซี”
หลวงเทพยิ้มนิดหนึ่ง แหงนหน้ามองไปนอกชานเรือนเห็นดาวทอแสงอยู่บนฟ้า

เวลาเดียวกันนั้น ดาวทอแสงอยู่บนฟ้า ดารารายนั่งอยู่ใกล้หน้าต่างมองดูดาวยังคงป่วยไข้ มือกุมสร้อยเขี้ยวเสือไฟไว้ นางทิพย์ นางทิมอยู่ที่พื้น
ประตูเรือนเปิดออก ยอดหล้าเข้ามา นางผัน นางเผื่อนถือหีบทองแกะสลักตามมายอบตัวลง พลางค้อนควัก นางทิพย์ นางทิม นางทิมก็ถลึงตาใส่ ยอดหล้าเห็นเข้า
“นี่...พวกเจ้าทำอันใด”
“ข้าเจ้า 2 คนเปล่าเจ้า”
ยอดหล้ามองนางทิพย์ นางทิม ทั้ง 2 คอหด
“พวกเจ้าเล่า”
“ข้าเจ้าก็มิมีอันใดเจ้า” นางทิพย์ว่า
4 นางข้าไทพลันขยับตัวเข้าใกล้ ปากฉีกยิ้มใส่กัน แต่ดวงตาเหมือนจะฆ่ากัน ดารารายเบื่อนางพี่เลี้ยงแล้วไอค่อกแค่ก ยอดหล้าเขาไปปลดผ้าคลุมไหล่ตัวเองออก ห่มให้น้อง
“ดูเจ้าซี ผ้าผ่อนก็มิห่ม จึงได้มิหายเสียที แล้วยิ่งมานั่งใกล้หน้าต่างให้ลมโกรกอีก นี่เจ้ามานั่งดูอันใด”
ดารารายสมใจ “ข้ามาชะเง้อดู เผื่อเห็นหลวงเทพเจ้า”
ยอดหล้าหน้าแดง
“จักเห็นได้อันใด หลวงเทพอยู่หอคำหลวง ไม่มารุ่มร่ามแถวนี้ดอก”
“แต่ทำไมข้าได้ยินว่า หลวงเทพผู้นั้นมาคุยเล่นกับเจ้าพี่ที่ศาลาท่าน้ำทุกวันล่ะเจ้า”
“ใครบอกเจ้า มิได้มาทุกวันดอก เพราะบางคราก็มาตอนค่ำมืด”
ยอดหล้าเล่นคำกับน้องสาว ดารารายหัวเราะคิก
“เจ้าพี่เล่นลิ้น เล่นคำเช่นนี้ คงฝึกมาจากหลวงเทพเป็นแน่”
“ใครว่า ข้าฝึกจากเจ้าต่างหาก”
“แล้วนั่นหีบอันใดเจ้า”
“ผัน เผื่อน เอามาซิ”
ยอดหล้าโบกมือ นางผัน นางเผื่อนเอาหีบมาส่งให้ ยอดหล้ารับมาเปิดให้น้องดู ดารารายตาโต ในหีบทั้งสองมีเครื่องประดับ สำรับใหญ่ ล้วนเป็นทับทิมล้อมเพชรมีสร้อยคอ กำไล ต่างหู สร้อยตัว หัวปั้นเหน่ง เป็นต้น
“ของหมั้นหมายหรือเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มพยักหน้าดวงตาวามวาว แล้วเอาสร้อยมาทาบคอดาราราย พิศดู
“งามไหม”
นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิมชะงัก
นางผันห้าม “อุ้ย ไม่ได้นะเจ้า”
ดารารายเองก็รู้ รีบดันมือยอดหล้าออกเบาๆ
“อันใด”
“หลวงเทพหมั้นหมายเจ้าพี่ มาให้ข้าใส่ไม่ได้นะเจ้า” ดารารายบอก
“ถือสาอันใด คร่ำครึจริง”
ยอดหล้าเอาสร้อยมาพิศดู เห็นความประณีตบรรจงก็ยิ้ม ดวงตาเปี่ยมรัก ดารารายอมยิ้มมองดูพี่สาว
“เครื่องแก้วเครื่องคำมิเหมาะกับข้าดอกเจ้า ข้าใส่เขี้ยวเสือไฟอันเดียวก็เพียงพอแล้ว”
ยอดหล้าค้อนน้องสาว

คืนนั้นดารารายหายไข้สนิท หน้าตาสดใส ถือขันน้ำในมือเดินมาตามระเบียงเรือน ได้ยินเสียงซึงเป็นเพลงดวงใจ ที่ยังไม่มีเนื้อร้อง ดารารายยิ้มพราย
“เจ้าพี่แต่งเพลงใหม่อีกแล้ว”

ดารารายถือขันน้ำก้าวมาจากซุ้มไม้ที่ออกดอกแพรวพราว เสียงเพลง ดวงใจ ยิ่งชัดเจนขึ้น
ดารารายมองไป เห็นบนศาลาตกแต่งงดงามด้วยม่านบาง เครื่องแขวน ยอดหล้านั่งเล่นซึงหันหลังให้ มีนางผัน นางเผื่อนอยู่แทบเท้า พลางคิกคัก
ม่านบางสะบัดไหลลู่ด้วยแรงลม เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดของราชสำนักสยาม ก้มหน้ามองดูมือที่ดีดซึงของยอดหล้าอยู่ ดารารายมองดูพลางรำพึงเบาๆ
“นี่ละหรือ หลวงเทพอันใดนั่น”
เหมือนมีกระแสจิตส่งถึงกัน ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเป็นใบหน้าหล่อเหลาของ เจ้าภักดิ์ นั่นเอง
ดารารายอ้าปากค้างตกตะลึงพรึงเพริด ด้วยคาดไม่ถึง
หลวงเทพเบือนสายตามาเห็นเข้าก็ตกตะลึงเช่นกัน ดารารายใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ
หลวงเทพสะอึกอึ้ง ขยับตัวทำท่าราวจะผุดลุกขึ้นยืน

ดารารายทั้งดีใจ ตกใจ เศร้าใจ งุนงง หวาดหวั่นระคนปนเปกันไปหมด ส่วนหลวงเทพภักดีนั้นเล่าข้างในใจเขายิ่งวิตกหนักอึ้งมิมากน้อยไปกว่ากัน

อ่านต่อหน้า 2

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ที่ศาลาริมน้ำยามนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด ดารารายตกตะลึงจังงัง จิตใจสับสนอย่างรุนแรง ดีใจ แปลกใจ โกรธ เสียใจ เจ็บใจ ระคนปนเป หลวงเทพภักดีเองกลับดูสับสนยิ่งกว่า ยอดหล้ามองดูกิริยาหลวงเทพ มือที่ดีดซึงชะงัก

“อันใดหรือเจ้า พี่เทพ”
หลวงเทพไม่ตอบยังคงมองดาราราย ยอดหล้าหันขวับตามสายตาหลวงเทพ
“นั่นใคร”
ดารารายยืดตัว ดวงตามองหลวงเทพ แล้วเบือนหน้ามองยอดหล้า
“ข้าเอง เจ้าพี่”
หลวงเทพตาสว่างวาบ กัดริมฝีปากตนเอง
“คิดว่าใคร เจ้านั่นเองดาราราย เข้ามาซี” ยอดหล้ายิ้มทัก
ดารารายก้าวมาในศาลา ทุกก้าวย่างหนักอึ้ง แล้วมานั่งลงใกล้ยอดหล้า
“พี่เทพเจ้า นี่น้องข้าเจ้า ดาราราย”
หลวงเทพมองจ้อง “ดาราราย แปลว่าแสงดาวพราวฟ้าใช่หรือไม่”
ดารารายเชิดหน้าไม่ตอบ ยอดหล้ายิ้ม “แปลเช่นนั้นก็คงได้มั้งเจ้า”
หลวงเทพจงใจพูดกับดาราราย “แล้วจะเรียกสั้นๆ ว่ากระไรดี เจ้านางรายหรือ”
ดารารายตาวาว นัยน์ตาหลวงเทพมีแววยวนยั่ว แสนรัก เจ็บใจ กังวล ปนกันไปหมด
“ไม่ใช่เจ้า บางครั้งเจ้าพ่อก็เรียกเจ้าดารา แต่ข้าชอบเรียกน้องเต็มยศเต็มศักดิ์เสมอ”
“แล้วท่านเล่าหลวงพี่เทพภักดี เรียกสั้นๆ ว่ากระไร เรียกภักดิ์ได้หรือไม่”
หลวงเทพชะงัก ยอดหล้ามองดาราราย
“ใครต่อใครเรียกกันว่าหลวงเทพ เจ้าก็เรียกพี่เทพเหมือนข้าซี”
“มิได้หรอกเจ้า ชื่อนี้คุณหลวงอาจอยากให้เจ้าพี่เรียกเพียงผู้เดียวก็ได้เจ้า”

ดารารายเยื้อนยิ้ม ดวงตาวาววับ หลวงเทพก็ยิ้มราวยอมรับ ทั้งที่ในใจคุกรุ่น ยอดหล้าไม่รู้ความนัย นางผัน นางเผือนมองดูดารารายและหลวงเทพ มิได้ผิดสังเกต แต่ใจกลับคิดถึงคำทำนายสบตาค้อนควักกัน

หลวงเทพกลับมายังเรือนรับ ยืนกลุ้มอยู่ตรงเติ๋นไม่มีผู้คนอื่น นอกจากขุนกล้าคู่ใจที่อ้าปากค้างอยู่พอได้ฟังจบ
“แสงดาวคือเจ้านางดาราราย น้องสาวเจ้านางยอดหล้า...ตายละวา”
หลวงเทพยืนอยู่ตรงหน้าขุนกล้า ท่าทางสับสนวุ่นวาย จนแม้จะนั่งก็นั่งไม่ติด
“ข้าจะทำอย่างไรดี ไอ้กล้า”
“ถ้าแต่งทั้งพี่ทั้งน้องจะได้หรือไม่”
หลวงเทพตาเขียว “อย่าพูดบ้าๆ ต่อให้ทำได้ข้าก็ไม่อยากทำอย่างนั้น”
“แล้วคุณหลวงอยากทำอย่างไร จะถอนหมั้นเจ้านางยอดหล้าหรือ”
หลวงเทพถอนใจไม่อยากตอบว่าใช่
“เรื่องการหมั้นของคุณหลวงกับเจ้านางยอดหล้าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังยืนยันไปยังพระนครแล้ว เจ้าหลวงเองก็เป็นเจ้านคร เรื่องนี้ย่อมพูดยากอย่างยิ่ง”
“แต่เรื่องที่ข้าห่วงที่สุด มิใช่เรื่องเหล่านั้น”
“แล้วคุณหลวงห่วงอะไร”
“ข้าห่วงเจ้านางยอดหล้า”
ขุนกล้าเห็นด้วย “ใช่ เท่าที่ข้าเห็น นางทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจให้คุณหลวง หากมีอะไรเกิดขึ้น
นางต้องเจ็บปวดเจียนตายแน่”
หลวงเทพทรุดนั่งลงช้าๆ ควักมีดสั้นดารารายมามองดู สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ดารารายเองก็หน้าซีดเผือด กำมือแน่นอยู่หน้าคันฉ่อง นางทิพย์ นางทิม รู้เรื่องแล้ว ตาเบิกกว้างอยู่ข้างหลัง
“คุณพระ คุณเจ้าช่วย แล้วจะทำอย่างไรดี”
“คำทำนาย คำทำนายของครูบาสรีแม่นยำนัก” นางทิมว่า
ดารารายสะท้านขึ้นทั้งตัว หันมา “ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้คำนายนั้นเป็นจริง”
นางทิพย์ นางทิม มองดารารายอย่างเป็นห่วง

“ข้ารักเจ้าพี่ เจ้าพี่ก็รักข้ายิ่งนัก ข้ากับเจ้าพี่จักไม่แก่งแย่งสิ่งใดกันทั้งนั้น”
“แต่เจ้านางกับหลวงเทพเล่า หลวงเทพรักเจ้านางยิ่งนัก”
“เจ้านางเองก็มอบใจให้หลวงเทพแล้ว”
“คนที่ข้ารักคือเจ้าภักดิ์ พ่อค้าจากโยธิยา มิใช่หลวงเทพภักดี”
ดารารายเชิดหน้า นางทิพย์ นางทิมมองอย่างห่วงใย สบตากัน นางทิพย์ ทิมขยับเข้าใกล้
“เจ้านางหลอกข้าสองคนยังไม่ได้” นางทิพย์บอก
“แล้วจะหลอกตัวเองได้อย่างใด” นางทิมว่า
ดารารายสะอึกอึ้ง
“ใจข้าเป็นเช่นใดช่างเถิด แต่ใจเจ้าพี่ได้มอบให้หลวงเทพหมดสิ้น ส่วนใจหลวงเทพนั้นใครจะรู้ได้”
ดารารายขยับกายทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงบนฟ้า
“ใจเขาอาจเหมือนฟ้าคืนนี้ ที่มีแต่จันทร์กระจ่างฟ้า...ไม่มีแสงดาวแม้แต่ดวงเดียว”
สองนางพี่เลี้ยงถอนใจ ดารารายยิ้มขื่นกำมือแน่นจนเจ็บแปลบต้องคลายมือออก เขี้ยวเสือไฟอยู่ในมือเรียวงามนั้น

มองจากเบื้องบนฟ้า ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงเจิดจ้า กลางฟ้าราตรี ต่ำลงมาเห็นคุ้มหลวง ประดับไฟงดงามมีเสียงดนตรี เสียงขับเพลง เสียงภาชนะ เสียงสรวลเสเฮฮาดัง

ด้วยที่ศาลาหลวงมีการจัดเลี้ยง เจ้าหลวงแสงอินทร์ หอมุก สร้อยคำ พระยาพิชิตชัย นั่งด้วยกัน ถัดมาคือหลวงเทพ นั่งขนาบข้างด้วยดารารายและยอดหล้า ดารารายจงใจนั่งให้ห่างออกมา นอกนั้นคือขุนกล้า คณะทูตและบรรดาพระญาติใกล้ชิด แสนหลวง นางข้าไท คนสนิท นางทิพย์ นางทิม นางผัน นางเผือนอยู่ใกล้ชิด
มุมหนึ่งมีวงดนตรีบรรเลงอยู่ มีนางขับร้อง ที่ตรงหน้ามีช่างฟ้อนแต่งกายงดงามกำลังถือดอกไม้ในมือฟ้อนรำอยู่
ขณะนี้อาหารได้ถูกเลื่อนลง มีแต่สุรากับแกล้ม ขนมและผลไม้ ทุกคนพูดคุยและดูการแสดงตรงหน้า
เจ้าหลวงแสงอินทร์ พูดคุยถูกคอสนิทสนมกับพระยาพิชิตชัย หอมุกหมั่นไส้สวามีแล้วหันไปปลื้มลูกสาวและว่าที่ลูกเขย สร้อยคำพูดคุยด้วยพอเป็นพิธี หอมุกแขวะกลับสร้อยคำยิ้มจิกกัดตอบ
ยอดหล้าดูงดงามสดใส คอยดูแลรินเหล้าให้หลวงเทพแต่ตนเองไม่กิน หลวงเทพยิ้มซ่อนความอึดอัดร้อนรนใจไว้ ดารารายยิ้มแย้มดูการละเล่น ไม่แยแส ดื่มเหล้า
ขุนกล้า นางทิพย์ นางทิมรู้ความนัย คอยลอบสังเกต นางผัน นางเผื่อนดูขุนกล้าตาเป็นมัน ยอดหล้าเติมเหล้าให้หลวงเทพ เสร็จก็ดูดาราราย
“เหล้าเจ้าหมดหรือยัง ดาราราย”
ดารารายยังไม่ทันได้ตอบ หลวงเทพชิงพูด
“เจ้านางน้อยดื่มไม่หยุดขนาดนี้ น่าจะหมดแล้ว”
ดารารายเม้มปาก มองหลวงเทพอย่างไม่พอใจ ยอดหล้าขยับรินเหล้าแล้วไม่ถึง
“เจ้าไยนั่งห่างไกลถึงเพียงนั้น กระเถิบมานิดซี”
“ใช่ ตัวข้าไม่เหม็นสาบหรอก” หลวงเทพประชด
ดารารายตาวาวขยับมาใกล้อีกนิด เลื่อนจอกเหล้าให้ ยอดหล้าเติมให้

การฟ้อนจบลงบรรดานางรำช่างฟ้อนแยกเป็น 2 แถวกรายตัวไป เจ้าหลวงแสงอินทร์มองมาทางยอดหล้า
“ยอดหล้า”
ยอดหล้ายิ้มรับ “เจ้า”
“เห็นว่าเจ้าแต่งเพลงใหม่หรือ”
“เจ้า...แต่ข้าบาทแต่งเพียงทำนอง เนื้อเพลงนั้นหลวงเทพเป็นคนแต่งเจ้า”
ดารารายเหลือบมองหลวงเทพ มีแววขมขื่นฉายโชนในดวงตา หลวงเทพยิ้มนิดๆ เจ้านางหอมุกตาโต
“ไม่ยักรู้ว่าหลวงเทพ เก่งกาจเรื่องกาพย์กลอนด้วย”
หลวงเทพออกตัว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ”
พระยาพิชิตชัยหัวร่อร่าเฮฮา ยกมือบังคมเหนือเกล้า
“เมื่อแผ่นดินที่แล้ว ผู้ใดชำนาญศึกก็จะทรงโปรด มาแผ่นดินนี้ทรงชอบกาพย์กลอน ผู้ใดเป็นกวีก็จะทรงโปรดปราน”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน” เจ้าหลวงแสงอินทร์ว่า
หลวงเทพยิ้มถ่อมตน ยอดหล้าภาคภูมิ ดารารายอดเย้าไม่ได้
“นี่เคล็ดลับความก้าวหน้าของหลวงเทพ”
หลวงเทพชะงัก ตาวาบขึ้นอย่างยินดีที่โดนแขวะ ยอดหล้าตกใจ หอมุกตบอกผาง
“นี่เจ้าพูดอะไร”
“ดารารายแค่พูดเล่นน่ะเจ้า แม่น้า”
เจ้าหลวงรีบเปลี่ยนประเด็น

“เอาล่ะ ข้าอยากฟังเพลงใหม่ของเจ้าแล้ว”

งานเลี้ยงดำเนินไป ยอดหล้ามีซึงบนตักนั่งอยู่ด้านหน้าวงดนตรี ดูงดงามพิลาสพิไล ยอดหล้าแย้มยิ้มแล้วดีดซึงเป็นเพลงดวงดาว มีนางช่างขับร้องเพลงคลอไป

พระยาพิชิตชัย เจ้าหลวงแสงอินทร์ หอมุก สร้อยคำฟังอย่างสนใจ หลวงเทพยิ้มมองดูยอดหล้า ดารารายมองหลวงเทพแวบหนึ่งก็เบนหน้าไปทางอื่น
ยอดหล้าบรรเลงเพลงซึง นางช่างขับร้องเพลง วงดนตรีเล่นรับเกิดเสียงสูงๆ ต่ำๆ ราวแสงดาวพราวระยิบระยับ
“น้ำใจนางดุจดาวบนท้องฟ้า ในบางครั้งดาษตาพร่างเวหน”
ดารารายชะงักหันมามองยอดหล้า
ยอดหล้ามองแต่หลวงเทพ ยิ้มแย้ม สุขใจ ภูมิใจ นิ้วยาวเรียวขยับไหวพลิ้ว
“พอจันทร์ฉายหายลับกลับเมืองบน ทอดทิ้งข้าหมองหม่นตามหาดาว”
ดารารายสะอึกอึ้ง รู้ในทันทีว่าหลวงเทพกำลังพูดกับตนโดยเฉพาะ ดารารายเหลือบมองหลวงเทพ หลวงเทพเหลือบมองดาราราย คนอื่นๆ ฟังเพลงชื่นชมเคลิบเคลิ้ม
ขุนกล้าผู้รู้ความนัยโคลงศีรษะ นางทิพย์ นางทิม เม้มปากสบตากัน น้ำตาเอ่อจนต้องกรีดทิ้ง
ยอดหล้ายังคงแย้มยิ้มบรรเลงซึง นางช่างขับร้องท่อนที่ 2 พร้อมกันหลวงเทพก็พูดคำกลอน หลวงเทพก็พูดคำกลอนเบาๆ คลอไป มีเพียงดารารายที่ได้ยิน
“เจ็บช้ำนักเก็บรักไว้ในอก ใจเจ้าเอยเพ้อพกช่างเหน็บหนาว”
ดวงตาหลวงเทพมองยอดหล้าเขม็ง ยอดหล้ามองตอบ แล้วแย้มยิ้มหน้าแดง ดารารายมองตรงไปเห็นยอดหล้าสุขสมใจก็ยิ่งสะเทือนใจทบทวี

“รอเวลาเมื่อไหร่หนาเจ้าดวงดาว จะหวนคืนส่องสกาว ณ กลางใจ”
หลวงเทพเบือนหน้ามามองดาราราย ดารารายเหลือบตามองแล้วมองตรง หลวงเทพถอนใจเบือนหน้ากลับมามองยอดหล้า ยอดหล้ายิ้มให้หลวงเทพ
ดารารายมองไปที่ยอดหล้าแล้วน้ำตาเอ่อขึ้น จนภาพทุกอย่างพร่าเลือน
ขุนกล้าถอนใจไปด้วย นางทิพย์ นางทิม ขยับตัวแตะข้อเท้าดารารายไว้
เจ้าหลวงแสงอินทร์ เจ้านาง หอมุก ปลาบปลื้มลูกสาว แต่เจ้านางสร้อยคำมองดารารายแล้วรู้สึกว่าลูกสาวผิดปรกติ
ยอดหล้ากรีดนิ้วหลุบตาลงมองซึง ทอดเสียงเพลงท่อนจบ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาหลวงเทพ พลางยิ้มสดใส
หลวงเทพมีความในใจจนยิ้มแทบไม่ออก ดารารายเมินหน้าไป

วันต่อมา ดารารายนั่งมองไปนอกหน้าต่าง เจ้านางสร้อยคำยืนอยู่กลางเรือน นางทิพย์ นางทิมอยู่ที่พื้น
“อันใดนะ เจ้าจะไปเชียงรุ่ง จะไปได้อย่างไร อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงงานแต่งเจ้าพี่เจ้าแล้ว”
“ข้ารีบไปแล้วรีบกลับมาให้ทันงานก็ได้นี่ เจ้าแม่”
“ไม่ได้ เจ้าเองเพิ่งเกิดเรื่องใหญ่โต นี่เพิ่งจะคืนดีมาได้ไม่กี่วัน จะหาเรื่องใส่ตัวอันใดอีก”
ดารารายร้อนรนใจ นางทิพย์ นางทิมก็กังวลไปด้วย
“อีกอย่างหนึ่ง งานแต่งเจ้าพี่ เจ้าควรอยู่ใกล้ชิด คอยช่วยเป็นเพื่อนคอยช่วยเตรียมงาน รู้หรือไม่ จะมาคิดเรื่องเที่ยวเล่นอันใดตอนนี้”
“เจ้าแม่”
เจ้านางสร้อยคำแปลกใจมากขึ้น “หรือว่ามีเรื่องอันใด ที่เจ้าไม่บอกข้า”
“ไม่มี ไม่มีนะเจ้า” ดารารายปด
เจ้านางสร้อยคำหันมาหาสองนางพี่เลี้ยง ดารารายมองสองพี่น้องเขม็ง
“ทิพย์ ทิม มีอันใด บอกข้ามานะ”
“ไม่มีอันใดเจ้า” นางทิมบอก
เจ้านางสร้อยคำขุ่นใจ

ที่ด้านนอกห้อง บริเวณเติ๋นระเบียงเรือน มีการปั่นฝ้ายทำเป็นเส้นด้ายของนางข้าไทวุ่นวายส่วนบนยกพื้น ยอดหล้าหน้าตาเปล่งปลั่งกำลังปักผ้าอยู่ นางผัน นางเผื่อนก็นั่งขีดเครื่องคำ เครื่องเงินกันวุ่น เจ้านางหอมุกเดินยิ้มระรื่นมา มีนางข้าไท 2 นางเดินตามยอดหล้าหันมายิ้ม หอมุกนั่งลงใกล้ลูกสาวจับชายผ้าปักมาดู
“งามจริงลูก”
“อันใดเจ้า ผ้าปักหรือว่า ข้าเจ้า”
เจ้านางหอมุกหัวเราะคิก
“เจ้านั้นงามอยู่ทุกเมื่อ แม่มิทักหรอก ดูรึ ลับฝีปากกับคู่หมั้นจนมาต่อปากกับแม่กับเชื้อ”
ยอดหล้าหน้าแดง บรรดาข้าไทคิกคักพลอยพยัก
“ไม่จริงเจ้า”
“จริงแท้แน่นอนเจ้า” นางผันว่า
ยอดหล้ามีสีหน้าสดใส เจ้านางหอมุกเอาผ้ามาพิศดูอีก
“ผ้าผืนนี้จะใช้ตอนไหนหรือ”
“ใช้ห่มในงานแต่งซีเจ้า”
“อ้าว วันก่อนให้แม่ดู มิใช่ผืนนี้นี่ ผืนนี้ไม่ใช่”
เจ้านางหอมุกหยิบผ้าอีกผืนข้างๆ มาดู
“ถูกแล้วเจ้าผืนนั้นของข้าเจ้า ส่วนผืนนี้ข้าปักให้ดาราราย”
เจ้านางหอมุกทำหน้าคล้ายได้กลิ่นเหม็น รีบปัดผ้าที่จะให้ดารารายบนตักทิ้ง นางข้าไทพลอยพยักทำรังเกียจตาม
“วุ้ย ไปปักให้มันทำไม ข้าไทเรือนนั้นยุ่บยั่บราวหนอนทำไมไม่ให้มันทำเอง”
“แต่ข้าเจ้าอยากทำให้น้องนี่เจ้า อีกไม่กี่วัน ข้าเจ้าก็ต้องตามพี่เทพไปยังพระนคร ไม่ได้ทำอันใดให้น้องอีกแล้ว”
เจ้านางหอมุกฟังลูกสาวว่า แล้วหมั่นไส้ “เจ้าดีกับมันนัก มิเห็นมันดีกับเจ้า ในคุ้ม ในหอคำ ผู้คนเตรียมงานกันวุ่นวาย ไม่เห็นมันมาช่วยซักนิด หายหัวไปไหนก็มิรู้ได้”
“จะอันใดละเจ้า ถ้ามิใช่อิจฉาริษยาเจ้านาง” นางผันบอก
นางเผื่อนเสริม “หลวงเทพรูปงามราวแดนอินทรีจะได้ครองคู่กับเจ้านางยอดหล้าคงบาด
ตาบาดใจเจ้านางน้อยนักเจ้า”

หอมุกตบอกผาง ยอดหล้าถลึงตาใส่นางผัน นางเผื่อน
“มิน่าเล่า ใช่ ใช่ แล้วยังจะคำทำนายของครูบาสรีอีก นี่ยอดหล้าลูกต้องระวัง หลวงเทพไว้นะลูก อย่าให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมได้เชียว”
ยอดหล้าตัดบท “เจ้าแม่พอเถิดเจ้าอย่าพูดเช่นนี้อีก พี่เทพกับดารารายวันๆ มิเคยพบหน้า
แม้นพบกันก็พูดจานับคำได้ ไม่มีเรื่องพิศวาสอันใดแน่ แล้วที่ดารารายหายไป ก็เพราะน้องไปเป็นแม่งาน เตรียมของกินในงานเลี้ยงต่างหากเจ้า”
ยอดหล้าแม้นพูดด้วยน้ำคำอ่อนหวานแต่เสียงนั้นเข้มเด็ดขาด เจ้านางหอมุกอึ้งไป นางผัน นางเผื่อน นางข้าไทพลอยพยักคอหด

เวลาเดียวกัน ณ บริเวณป่าไม่ห่างไกลจากเวียงแก้ว มีการตั้งค่ายพักเล็กๆ ของบรรดาขุนหาญ พรานป่า เพื่อล่าสัตว์ และหาของป่าอื่นๆ เช่น น้ำผึ้ง ดอกไม้ป่า มีบรรดาหญิงชาวบ้านมาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อแปรรูปอาหารบางอย่าง เช่น ทำเนื้อส้ม ทำเค็ม เป็นต้น
ดารารายแต่งกายเป็นชายมาดทะมัดทะแมง พร้อมกับนางทิพย์ นางทิม ทั้งสามอยู่บนหลังม้าในมือดารารายมีกระดาษสา จดรายชื่อบัญชีของต่างๆ อยู่ในมือ
“น้ำผึ้งเพิ่งได้นิดเดียวเอง”
“นี่มิใช่ฤดูมัน ได้เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้วเจ้า” นางทิมว่า
มีพราน 2 คน หามหัวหามท้ายเก้งตัวหนึ่งผ่านไป ดารารายหน้าเสีย เมินไป
นางทิพย์เอ่ยขึ้น “เจ้านางเจ้า ไม่เป็นไรดอกเจ้า เจ้านางมิได้ล่า มิได้สั่ง แค่มาทำบัญน้ำ
บัญชีเท่านั้นเอง”
“ข้ารู้ แต่ก็ไม่สบายใจอยู่นั่นเอง...เมื่อนึกว่าแต่ก่อนนี้ ข้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามากมายแค่ไหน”
นางทิพย์ นางทิม ยิ้มปลอบ
“สิ่งที่แล้วไปแล้ว คิดถึงไปใย”
“แต่ตอนนี้เจ้านางละเลิกเด็ดขาดเป็นกุศลยิ่งเจ้า”
“แต่ผลกรรมก็ยังคงอยู่ นี่ข้าเคยพรากคู่พรากเมีย มากี่คู่กันแล้วก็ไม่รู้”
นางทิพย์ นางทิมร้อง “โธ่เจ้านาง” พร้อมกัน ส่วนดารารายยิ้มขื่นๆ กระตุ้นม้าควบไปทางหนึ่ง นางทิพย์ นางทิมร้องอุทานขับม้าตามไป

ดารารายขี่ม้าอย่างรวดเร็วมาตามทางในป่า ทางด้านหนึ่งเป็นลำธารน้อย น้ำไหลแรงป่วนปั่น

ลำธารกว้างใหญ่ขึ้นทุกที กลายเป็นแอ่งน้ำตก สูงขึ้นไปเป็นน้ำตกสูงลิบดูเป็นผืนสีขาวสะอาด ดารารายลงจากหลังม้าวายุ ตบคอมันเบาๆ
“อยู่แถวนี้ ข้าจะไม่ล่ามเจ้านะ”
ม้าวายุโยกคอร้องฮี้ๆ ราวรับคำ ดารารายยิ้มหันไปยังน้ำตก
ดารารายนั่งบนโขดหินกลมเกลี้ยง เอาเท้าแช่น้ำในมือมีดอกไม้ป่ากำใหญ่แล้วแหงนดูน้ำตกสูงลิบนั้น
น้ำตกที่ทิ้งตัวลงมาในแอ่งน้ำ ทำให้เกิดเสียงครืนครั่น น้ำนั้นป่วนปั่น ดารารายมองดู ดันเห็นภาพตอน ดารารายประคองหลวงเทพตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำเชี่ยวขึ้นมา
ดารารายยิ้มเศร้า ภาพเหตุการณ์ตอน ดารารายและหลวงเทพนอนแผ่บนลานหิน หลวงเทพทักเรื่องผ้ารัดอก ดารารายตะครุบเสื้อปิด มีเสียงฝีเท้าม้ามาเพิ่ม เสียงวายุร้องคล้ายทักทาย ดารารายตื่นจากภวังค์ บ่นโดยไม่หันมาดู
“พี่ทิพย์ พี่ทิมให้ข้าอยู่ลำพังบ้างเถอะ”
มีร่างสูงใหญ่โดดมาที่โขดหินใกล้ๆ เงาร่างบังแสงอาทิตย์ ดารารายหันไปแล้วเบิกตากว้าง
“น้ำตกแห่งนี้สูงใหญ่งดงาม ใยเจ้านางจะยึดไว้ชื่นชมเพียงผู้เดียว”
“เจ้าภักดิ์”

ดารารายหลุดปากอุทานอย่างคุ้นชิน

อ่านต่อหน้า 3

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13 (ต่อ)

หลวงเทพมองมาด้วยแววตาแสนอ่อนโยนผูกผัน ดารารายได้สติ พลันเชิดหน้า พูดประชดออกไป

“ขออภัยเถิด ข้าเรียกท่านผิดไป ข้าควรจะเรียกท่านว่า...พี่เขยต่างหาก”
“เจ้า!” หลวงเทพนึกฉุน ขัดใจจนพาลโกรธ เรียกด้วยสรรพนามเก่า
“ยังหรอก เพราะข้ายังไม่ได้เข้าพิธีกับเจ้าพี่ของท่าน”
“ท่านคงนับวันรอซีนะ ไม่นานหรอก แค่วันมะรืนก็ถึงแล้ว”
“ผู้ใดกันแน่ที่เฝ้านับวัน งานแต่งนี้เป็นเพียงหน้าที่ จะเป็นเมื่อใดข้าไม่เคยใส่ใจ”
ดารารายเชิด หลวงเทพขยับใกล้
“จะมีก็เพียง อยากให้เลื่อนเวลาไปให้นานที่สุดเท่านั้น”
ดารารายลังเลใจ “ไม่ได้นะ”
“แสงดาว! เจ้านาง รู้ไหมตั้งแต่ข้าแยกจากท่าน ข้าก็เฝ้าตามหาท่านมิได้เว้นเลยแม้แต่วันเดียว แต่เท่าไหร่ก็ไม่พานพบ”
ดารารายอึ้ง
“ข้ายินยอมหมั้นหมาย แต่ใจข้ามีแต่ท่าน”
ดารารายตั้งสติได้ ยักไหล่ทำไม่เชื่อ
“แปลกจริง เมื่อเจ้าพี่เล่าเรื่องคู้หมั้นให้ข้าฟัง ดูเหมือนคู่หมั้นของนางก็ลุ่มหลงรักนางมากนัก”
หลวงเทพอึ้งไป ดารารายยิ้มเยาะหันหลังให้
“เมื่อข้าหาท่านไม่พบ ข้าก็ได้แต่ทำหน้าที่ ข้าพยายามใกล้ชิดทำความรู้จักเจ้าพี่ท่าน ก็ด้วยหวังใจว่า ข้าอาจจะรักนางได้ในสักวันหนึ่ง ซักครึ่งที่รักท่านก็ยังดี”
ดารารายนิ่งฟัง ใจสะท้านไหว
“แต่บัดนี้ข้าเจอท่านแล้วข้ายิ่งแน่ใจว่าข้ารักเพียงแต่ท่าน และไม่สามารถที่จะรักเจ้าพี่ท่านได้”
ดารารายสะอึก
“ข้าจักบอกพ่อให้กราบทูลเจ้าหลวง ขอถอนหมั้นกับเจ้าพี่ท่านมาแต่งกับท่านแทน”
ดารารายตกใจร้องห้าม “ไม่ได้นะ ไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะเจ้าพี่รักท่านมากนัก ความดีงามของนางจักทำให้ใจท่านอ่อนโยนจนรักนางได้หมดใจ”
“ข้าไม่สนใจใจผู้ใด ข้าอยากรู้แต่เพียงใจท่าน...ว่าคิดอย่างไรกันแน่”
ดารารายชะงัก ดวงตาขมขื่นแล้วยิ้มนิดๆ สบตาเล่นละคร
“ข้ากับท่านร่วมเป็นร่วมตายมา ข้าซาบซึ้งนัก แต่ท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้านั้นเหมือนเด็กผู้ชาย ข้าเห็นท่านเป็นเพียงเพื่อนผู้หนึ่งมิได้รักท่านในแบบที่ท่านคิด”
หลวงเทพสะเทือนใจ ดารารายหลบตาวูบ หลวงเทพเลยแน่ใจ
“ท่านโกหกอีกแล้ว ข้าไม่เชื่อท่าน...พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก ข้าจะพูดจนกระทั่งเจ้า..เจ้านางเปลี่ยนใจ”
หลวงเทพมองแล้วเดินจากไป ดารารายยืนนิ่งขึงแล้วหันมามองตาม น้ำตาหยดไหล แต่รีบปาดทิ้งอย่างแรง

ค่ำคืนนั้นขุนกล้าเดินรื่นเริงขึ้นบันไดมาแล้วหยุดมองดูหลวงเทพภักดีที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่เติ๋นในมือมีมีดสั้นของดาราราย ภาพดารารายนั่งเหลาไม้ทำเป็นลูกดอกของหน้าไม้ผุดขึ้นมาแว้บหนึ่ง
หลวงเทพถอนใจยืดยาว ขุนกล้าเข้ามานั่งลงห่างออกมา
“วันมะรืนนี้แล้วนะ คุณหลวง”
“ข้ายังมีวันพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง”
ขุนกล้ามองหลวงเทพอย่างเห็นใจ
“แต่แสงดาวใจแข็งยิ่งนัก”
“คุณหลวงเคยได้ยินคำทำนายหรือไม่”
“คำทำนายอะไร” หลวงเทพฉงน
“ข้าได้ยินนางข้าไทซุบซิบกัน ว่าเคยมีคำทำนายว่าเจ้านางยอดหล้าและดารารายจักแย่งชิงผู้ชายคนเดียวกัน และจะกลายเป็นศัตรูกัน”
หลวงเทพนิ่งงันไป
“ถึงขั้นที่ว่าเจ้านางดารารายได้สาบานไว้หนักแน่นว่าจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเป็นอันขาด”
หลวงเทพสะท้อนในอก ยิ่งเข้าใจดารารายและความทุกข์ทนในใจนาง

อีกวันหนึ่ง สายน้ำตกเบื้องหน้ายังคงไหลอยู่ไม่ขาดสาย ดารารายยืนนิ่งขึงมองดูสายน้ำ หลวงเทพยืนมองเบื้องหลังดาราราย
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ต่อให้ไม่มีคำทำนาย ต่อให้ไม่มีคำสาบานข้าก็ยังยืนยันเช่นเดิม”
“ว่าเจ้านางไม่เคยรักข้า”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้านางก็จงรู้ไว้ ว่าถึงมีคำทำนาย ถึงมีคำสาบานแต่ข้าขอยืนยัน ว่าเจ้านางย่อมมิใช่ผู้แย่งชิง เพราะใจข้าได้มอบให้เจ้านางจนหมดสิ้นแล้ว”
ดารารายตัวสั่นใบหน้าเปลี่ยน ดวงตาเจ็บช้ำแล้วระงับท่าทีไว้ หันมามองอย่างรำคาญ
“ข้าเคยได้ยินมาว่าใจคนแปรเปลี่ยนได้ตลอด”
“แต่มิใช่ใจข้า”
“ข้าฟังท่านพิรี้พิไรมามากพอ ตอนนี้ท่านจงกลับไปได้แล้ว เพราะวันพรุ่ง...ท่านมีเรื่องต้องทำอีกมาก”
หลวงเทพยิ้มอย่างขมขื่น ดารารายใจหล่นวูบ
“ใช่ วันพรุ่งนี้สำคัญยิ่ง เพราะคือวันที่ท่านส่งข้าไปจองจำตลอดชีวิต”
“จงไปเสีย”
ดารารายพูดเสียงเขียวแล้วหันขวับ หลวงเทพมองดูแผ่นหลังดารารายแล้วเดินไป ดารารายสะท้านเยือก ใจร้าวราน น้ำตาร่วง มันชาแทบไม่รู้กาลเวลา มีเสียงก้าวมาใกล้
“ไยยังไม่ไปอีก” ดารารายนึกว่าเป็นหลวงเทพ
เสียงยอดหล้าดังขึ้น “ข้าเพิ่งมาถึงจะให้ข้าไปไหนหรือ”
ดารารายชะงัก ตัวชารีบเช็ดน้ำตาหันมา เห็นยอดหล้ายืนอยู่งดงามสะคราญ นางผันนางเผื่อนกางจ้องยืนคิกคักอยู่
“เจ้าขับผู้ใดกัน ใยดุร้ายถึงเพียงนี้”
ดารารายปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม
“ข้าขับพี่ทิพย์พี่ทิมน่ะซีเจ้า สองคนนั้นตามติดข้าแจ นี่เจ้าพี่มานี่ทำไมเจ้า ไยไม่บ่มผิวอยู่แต่ในเรือน”
“บ่มผิวอันใด เจ้านี่ดีแต่พูดเล่น ข้ามานี่ก็มาตามเจ้ากลับคุ้มนะซี”
ดารารายแปลกใจ “ทำไมเจ้า ข้ายังจักแจงเรื่องที่นี่มิเสร็จเลย ข้ากะว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปแต่เช้ามืด”
“งานเช่นนี้มิใช่งานของเจ้านาง ให้ผู้อื่นทำ เจ้ามีงานอื่นต้องทำ”
“งานอันใดเจ้า”
“เป็นเพื่อนเจ้าสาว แสนสวยให้ข้าไง ไป ไปเดี๋ยวนี้กลับไปกับข้า”
ดารารายอึกอัก ยอดหล้าคว้าแขนคล้องพาออกเดิน นางผัน นางเผื่อนค้อนดารารายเป็นเชิงตำหนิต่อว่า ทำให้ต้องเปลืองแรงมาตาม

ดารารายไม่มีเวลาใส่ใจกิริยาสามหาวของ 2 นาง ข้าไท สีหน้าเครียดหนักกับเรื่องรักที่คับอกในยามนี้

ทั่วทั้งคุ้มน้อยตกอยู่ในความมืดในเวลากลางคืน ยอดหล้าในอาภรณ์ไม่มีเครื่องประดับเพราะจวนเข้านอนเดินผ่านมากับนางผัน นางเผื่อน มองไปยังท่าน้ำแล้วชะงัก เห็นหลวงเทพภักดีนั่งกอดเข่าเจ่าจุกดูสายน้ำที่ไหลเรื่อยไป ยอดหล้าก้าวไปใกล้

“พี่เทพเจ้า”
“อ้อ เจ้านาง”
หลวงเทพลุกขึ้นยืน ฝืนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม นางผัน นางเผื่อนกิ๊กกั๊กตามเคย
“ค่ำแล้ว มาทำอันใดอยู่ตรงนี้เจ้า”
“น้ำปิงเปี่ยมฝั่งไหลระเรื่อยสะท้อนแสงจันทร์ ช่วยให้ใจสงบลงได้บ้าง”
ยอดหล้าคิดแต่ว่า หลวงเทพร้อนใจเพราะรักก็หน้าแดง
“พี่เทพร้อนใจอันใดเจ้า”
“จักเร่งวันเร่งคืนไปใยเจ้า” นางผันสาระแน
“วันพรุ่งก็เพียงแค่อีกไม่กี่ชั่วยามเจ้า” นางเผื่อนเย้า
หลวงเทพยิ้มนิดๆ มีแววเศร้า

ครู่ต่อมายอดหล้าและหลวงเทพมานั่งลงบนศาลาริมน้ำ ยอดหล้ามีซึงวางข้างตัว หลวงเทพอยู่ตรงข้าม นางผัน นางเผื่อนคุกเข่าที่พื้น
“เดือนคืนนี้มีเพียงครึ่งดวง ยังมิงามเท่าใดนัก”
หลวงเทพมองดูยอดหล้าที่เปล่งปลั่งเรืองรอง แล้วพูดอย่างชื่นชมแต่ไม่ได้หลงใหล
“แต่ตรงหน้าข้า มีเดือนเต็มดวงทอแสงเย็นตาเย็นใจทดแทนแล้ว”
ยอดหล้ายิ้มข่มความอายไว้ แต่นางผัน นางเผื่อน สยิวกายระริกระรี้
“เมื่อข้าเจ้าเกิด เจ้าแม่จะตั้งชื่อข้าว่าจันทราเหมือนกันเจ้า พี่เทพ”
สีหน้าหลวงเทพหม่นไปนิด ใจคิดถึงแสงดาวอันสว่างริบหรี่วูบวับอยู่
“แล้วอย่างไรหรือเจ้านาง”
“เจ้าพ่อว่าชื่อนี้ซ้ำซากไป แต่จันทร์นั้นเป็นปิ่นของหล้า จึงจะตั้งชื่อข้าว่าปิ่นหล้าเจ้า แต่งเจ้าแม่แย้งว่าปิ่นนั้นเล็กน้อยด้อยค่า จึงมาลงเอยที่ชื่อยอดหล้าเจ้า”
“ชื่อนี้สมกับเจ้านางยิ่งแล้ว”
หลวงเทพเหม่อมองดูท้องฟ้า
“ฟ้าคืนนี้เดือนครึ่งดวงใจดีนัก เปิดทางให้ดาวได้ส่องแสงระยิบระยับบ้าง”
ยอดหล้าไม่รู้ถึงความนัยใดๆ
“เมื่อผ่านพ้นคืนนี้ ดวงตะวันส่องแสงทาบทอฟ้าจักเป็นวันใหม่”
“ทิ้งวันเก่าไว้เบื้องหลัง วันใหม่ ชีวิตใหม่” หลวงเทพพูดอย่างเลื่อนลอย

“ในชีวิตใหม่ของข้าเจ้า...จะมีท่านเป็นดวงตะวันส่องนำทาง พี่คือดวงตะวัน ข้าเจ้าเป็นจันทรา”
ยอดหล้ามีสีหน้าสดใส มองอย่างเปี่ยมรัก หลวงเทพซาบซึ้งกุมมือไว้เบาๆ
“สักวันหนึ่ง แสงนั้นจะส่องสว่างกลางใจข้า”
หลวงเทพหวังเช่นนั้นจริงๆ ยอดหล้าเต็มตื้นอิ่มเอมใจ ไม่สนใจกับคำว่า “จะ”
“เจ้า พี่เทพ”
“นี่ใกล้สิ้นยามหนึ่งแล้ว แต่ผู้คนยังคึกคักอยู่”
“คืนนี้ผู้คนตระเตรียมงานกัน คงดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะนอน ข้าจะเล่นเพลงขอบใจคนพวกนี้”
“เจ้านางใจดีนัก”
“และเล่นเพลงกล่อมพี่เทพให้เข้านอนด้วย”
หลวงเทพยิ้มมองดูยอดหล้า “ข้ายินดีอย่างยิ่งเจ้านาง”
“แต่ดารารายคงค่อนว่า ว่าหนวกหูยิ่งนัก”
ยอดหล้ามีน้องอยู่ในใจตลอดจึงพูดออกมา มิรู้ว่าคำนั้นคือชนวนของอีกหลายสิ่ง
หลวงเทพชะงัก
“เจ้านางน้อยยังอยู่ชายป่ามิใช่หรือ”
“ข้าเพิ่งไปรับนางกลับเรือน เมื่อบ่ายนี้เอง”
หลวงเทพนิ่งงัน อัดอั้น ฟ้าแลบสว่างทาบมาบนหน้า

เรือนครูบาสรีเวลานี้ ดูมืดทะมึน ฟ้าเบื้องบนมีเมฆฝน ฟ้าแลบแปลบปลาบ บนเรือนเรียบโล่งสมถะ ครูบาสรีนั่งบนอาสนะผ้าคลุมสีมืดทะมึน หน้าตาเครียดเคร่งหลับตาอยู่ดูดุร้าย ดารารายสีหน้าทนทุกข์จนซ่อนไม่ได้ สร้อยคำนั่งเคียง นางทิพย์ นางทิม นางข้าไททั้ง 2 ของสร้อยคำนั่งข้างหลัง ครูบาสรีกล่าวทั้งหลับตา
“พวกเจ้าถอยไป ข้าจะคุยกับดารารายลำพัง”
สร้อยคำแปลกใจแต่ก็กราบลงถอยมา ถอยไปอยู่ที่นอกประตูพร้อมนางข้าไททุกคน ยังเห็นความเป็นไปแต่ไม่ได้ยิน
“ท่านตา”
ครูบาสรีลืมตาขึ้น ดวงตานั้นแจ่มใส เปี่ยมด้วยเมตตา และเข้าใจ

“คืนนี้ผ่านพ้น วันพรุ่งเป็นวันแต่ง..จากนั้นข้าจะไม่ต้องเจอเจ้าพี่และ...หลวงเทพอีก คำทำนายจะไม่เป็นจริงใช่ไหมเจ้า”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”
“ข้าหวังเช่นนั้นเจ้า”
“หลานเอ๋ย ในโลกนี้มิมีสิ่งใดทรงอำนาจเท่ากฎแก่งกรรม ทำเช่นใดก็ต้องได้เช่นนั้น”
“ถ้าข้าเคยทำบาปมาแต่อดีต แต่ปางก่อนเล่า”
“จงอย่าก่อเวรใหม่ ทำแต่ความดี บุญนั้นจักเจือจางบาปกรรมเก่าได้”
“แค่เจือจางหรือเจ้า แล้วมีสิ่งใดที่ตัดรอนกรรมเก่าให้หมดสิ้นได้”
“มีซิ แต่น้อยคนจักทำได้”
“ยากเท่าใดข้าก็จะพยายาม ท่านตา”
ดารารายมุ่งมั่น พนมมือ น้ำตาคลอ ครูบาสรีมองดูมีแววล่วงรู้บางอย่าง
“อย่าหม่นเศร้าไปเลย สิ่งใดที่จะเกิดก็ต้องเกิด แต่เจ้าต้องเผชิญมันด้วยสติ และสู้กับมันด้วยความดี”
ครูบาสรีหยิบขวดแก้วใสใหญ่พอควร ข้างในเป็นน้ำใสสะอาด
“จงนำน้ำเทพมนต์นี้ไปรดเกศรดเกล้าเจ้า แต่งสิ่งที่สำคัญกว่าล้างกายก็คือล้างใจ จำไว้นะ หลานข้า”
ดารารายรับขวดน้ำมนต์มา

อา... สิ่งที่เจ้านางยอดหล้ารับฟังในเวลาต่อมา กลับกลายเป็นว่า ดารารายมารับน้ำมันว่านยาทำเสน่ห์จากครูบาสรี

ที่ชานเรือนดาราราย ขณะนี้ใกล้ 2 ยาม อากาศหนาวเหน็บ ดารารายนุ่งผ้าขาว ห่มสไบขาวนั่งบนตั่งเกลี้ยง รอบด้านขึงผ้าขาวสี่ด้านเพื่อกันลม นางทิพย์ นางทิมอยู่ในม่าน เตรียมน้ำอุ่นไว้มากมาย มีขันใหญ่ใส่ส้มป่อย ส่วนทางด้านนอก มีนางข้าไท 4-5 นางดูอย่างไม่เข้าใจซุบซิบกัน
ดารารายพนมมือสงบใจ นางทิพย์เทน้ำเทพมนต์ลงบนผมดาราราย

เสียงซึงบรรเลงเพลง ดวงใจ แว่วหวานมาเบาๆ ดารารายขมวดคิ้วด้วยความร้าวราน และพยายามสงบใจใหม่

ยอดหล้าบรรเลงซึง เพลงดวงใจ อย่างไพเราะเสนาะโสต ดวงหน้าเปล่งปลั่งนึกถึงคนแต่งเนื้อเพลง มิได้สำเหนียกว่าเขาไม่ได้แต่งให้ตน

อ่านต่อหน้า 4

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13 (ต่อ)

ในห้องพักบนเรือนรับรอง จัดเตียงใหญ่ไว้ 2 มุม พระยาพิชิตชัยหลับสนิทบนเตียงหนึ่ง ส่วนหลวงเทพนอนหลับตาบนเตียงหนึ่ง

เสียงเพลงดวงใจแว่วแผ่วเบาลอยมาตามลม หลวงเทพลืมตาขึ้นอย่างร้าวราน แล้วลุกขึ้นนั่ง บนตั่งข้างเตียง มีมีดพกสั้นของดารารายวางอยู่บนพาน

ดวงจันทร์ครึ่งดวงดูดเมฆเคลื่อนเข้าบัง ดาวบนฟ้ามีไม่มากนักกระพริบวิบวับส่องแสง
หลวงเทพก้าวมาด้านหลังเรือนดาราราย เงาต้นไม้ พุ่มไม้ ทาบลงบนตัววูบวาบ
เวลาเดียวกันที่ลานกว้างหลังคุ้ม นางผัน นางเผื่อนเดินระริกระรี้กันมา
“ข้าเห็นนะว่าเจ้าปั้นจับมือถือถันเจ้า”
“ข้าก็เห็นเจ้าจูบเจ้าอินเสียลิ้นปลิ้น”
สองนางข้าไทค้อนควักกันแล้วมองไป เมฆเคลื่อนจากดวงจันทร์แสงจางส่องมา

หลวงเทพลัดเลาะจากเงามืดใต้เรือนเหยียบอ่างบัวใหญ่ แล้วลอยตัวเข้าหน้าต่างดาราราย นางผัน นางเผื่อนไม่รู้ว่าเป็นใคร ตาโตเท่าไข่ห่าน

หลวงเทพลอยตัวกระโดดผ่านหน้าต่างทิ้งตัวลงที่พื้นแผ่วเบา แล้วยืดกายขึ้นมองไป เห็นเตียงสี่เสามีมุ้งบางเบา ดารารายแต่งซิ่นขาว ผ้าสไบขาว บนมวยผมปักดอกเอื้องขาวดูแปลกตาหลับใหลอยู่ หลวงเทพก้าวเข้าไปแหวกมุ้งเปิดออกมองดูนารีเบื้องหน้าอย่างแสนรักแสนผูกผัน
ในห้องนั้นมีผางประทีปเล็กๆ วางไว้ที่ตั่งเตี้ยข้างเตียง เงาของหลวงเทพทาบทับบนตัวดาราราย
พลันนั้นเอง ดารารายพลันสอดมือไปใต้หมอนตวัดมากลายเป็นดาบสั้น 2 มือ จ่อใส่หลวงเทพๆ พลันหมุนตัวหลบ ดารารายพุ่งกายตาม ฟันบน ฟันล่าง หลวงเทพสลับเท้าหลีกหลบ จังหวะหนึ่งดารารายเข้ามาในวงแขนหลวงเทพรัดไว้แล้วสูดดม ดอกไม้บนมวยผม
“หอมเหลือเกิน”
ดารารายเบิกตากว้างเพิ่งรู้ว่าเป็นใคร แล้วงอศอกกระทุ้ง หลวงเทพขยับถอย
ดารารายตวัดดาบสั้นทั้ง 2 ไขว้กันราวกรรไกรยื่นมาระดับคอ หลวงเทพหยุดนิ่งให้คมดาบจ่อคอ มองดารารายนิ่ง ถ่ายทอดความรักไปให้เต็มดวงตา ดารารายอึ้ง
“เจ้า นี่ เจ้าทำอันใด”
มีเสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียง 2 นางพี่เลี้ยง
“เจ้านาง เจ้านางเจ้า” นางทิพย์เรียก
นางทิมร้องถาม “มีอันใดหรือเปล่าเจ้า”
ดารารายกัดริมฝีปาก ยังคงจ่อมีดที่คอหลวงเทพ
“ไม่มีอันใด มีค้างคาวสกปรกบินเข้ามาในห้อง เจ้าไปนอนเถอะ”
“ค้างคาวสกปรกหรือ” นางทิมร้องถามอีก
“ใช่ ไล่เท่าใดก็ไม่ยอมไป”
ดารารายบอกแล้วลดดาบลงจากคอหลวงเทพถอยไปมองอย่างทุกข์ใจ หลวงเทพทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
“นี่ เจ้ากล้าดียังไง เจ้าทำเช่นนี้ผิดผี ผิดประเพณียิ่งนัก”
“ข้ารู้ เช่นนี้ก็เสียผี แลต้องผูกข้อมือตกแต่งชดใช้”
“หยุดพูดบ้าๆ เสียที เจ้าต้องแต่งกับเจ้าพี่เท่านั้น”
หลวงเทพแกล้งถาม “เพราะเจ้า มิได้รักข้า...”
“ใช่ และไม่มีวันรักด้วย”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าใยใส่เขี้ยวเสือไฟของข้าแม้แต่ตอนนอนด้วยเล่า”
ดารารายอึ้งเอามือกุมเขี้ยวเสือไฟที่คอ หลวงเทพก้าวมาใกล้มองลึกลงในดวงตา

บนเรือนหลวงที่ประทับ เจ้าหลวงแสงอินทร์อยู่ที่เติ๋น มีแสนหลวงคนสนิท 2 คนและนางข้าไทคอยพัดวีกับบีบนวด
นางผัน นางเผื่อนมาทำลับๆ ล่อๆ นางข้าไทมองดูพลางถลึงตา นางผัน นางเผื่อนถลึงตาตอบ
“อันใดกัน อีสองคนเข้ามาซิ” เจ้าหลวงถาม
นางผัน นางเผื่อนเข้ามาหมอบกราบ
“ยอดหล้า มีอันใดหรือเปล่า”
“เจ้านางยอดหล้ามิมีอันใดดอกเจ้า แต่ที่มีอันใดคือเจ้านางน้อย”
คำพูดนางผัน ทำเอาเจ้าหลวงแสงอินทร์ชะงัก ขยับตัวนั่งตรง
“ดาราราย ทำไม เกิดอันใดขึ้น”
“มีเรื่องไม่งามเกิดขึ้นเจ้า” นางผันบอก
“ความมิควรกราบทูลให้ทราบเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ตบพื้นโครม นางผัน นางเผื่อนสะดุ้งสุดตัว
“ถ้ายังกระบิดกระบวนอีก ข้าจะเอาหวายทวนหลังเจ้า พูดมาเดี๋ยวนี้ ดารารายทำอันใด”
“เจ้านางน้อยนัดป้อจายให้เข้าหา” นางผันบอกอย่างสะใจ
นางเผื่อนพลอยพยัก “พร่ำพรอดกันถึงในเรือนนอนเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ตัวชา

ด้านดารารายยังคงกำเขี้ยวเสือไฟ หลวงเทพขยับมาใกล้
“เขี้ยวเสือไฟเป็นของเพื่อนตัวจ้อย มิใช่ของเจ้า”
“เจ้ามิได้เก็บไว้ เพราะคำนึงถึงข้า”
หลวงเทพสืบเท้าก้าวไปข้างหน้า ดารารายมองตา เท้าขยับถอย
“ใช่”
“ผิดกับข้า...ที่เก็บมีดสั้นคู่มือของเจ้าไว้ในอกเสื้อ ให้แนบหัวใจมิให้ห่าง”
หลวงเทพดึงมีดมา ดารารายมองดูใจสะทกสะท้าน
“นั่นมันเรื่องของเจ้า มิมีอันใดเกี่ยวกับข้า”
หลวงเทพก้าวไปอีก ดารารายถอยไปติดเตียง หลวงเทพขยับใกล้จ้อง
“เพราะเจ้ามิได้รักข้า มีแต่ข้าเพ้อพกไปฝ่ายเดียว”
“เมื่อรู้ซึ้งก็กลับไปได้แล้ว วันพรุ่งใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”
“แต่วันนี้ยังไม่จบสิ้น ข้ายังเป็นไทแก่ตัว ยังรักเจ้าได้หมดใจ”
ดารารายสะท้านฝืนเล่นละครบทไม่แยแส
“ตามใจเจ้าซี แต่ตั้งแต่ย่ำรุ่งของพรุ่งนี้ ใจเจ้าควรมีแต่เจ้าพี่เท่านั้น เพราะข้ามิได้รักเจ้า”
หลวงเทพขมขื่นจนเห็นได้ชัด ขยับมาใกล้ มองจ้องไปในดวงตาดารารายค้นความจริง
“ถ้าเช่นนั้นจงมองตาข้า แล้วพูดอีกครั้ง ว่าเจ้ามิได้รักข้า”
ดารารายมอง ดวงตาทั้งสองประสานกัน หลวงเทพวิงวอน ดารารายน้ำตาเอ่อ
“ข้า...ข้า”
“แต่จงรู้ไว้ ว่าข้ารักเจ้ายิ่งกว่าชีวิต กว่าจิตใจกว่าทุกสิ่งในชีวิตข้า”
หลวงเทพประคองหน้าดารารายจ้องมองตา ดารารายพยักหน้ายอมรับน้ำตาร่วงพรู หลวงเทพประคองหน้าดารารายพานั่งลงบนเตียง
“ข้าก็รักเจ้า...เจ้าภักดิ์”
ดารารายผวากอดหลวงเทพ หลวงเทพรัดนางไว้แน่น

ที่หน้าประตูห้องนอนดารารายเวลานี้ นางทิพย์ นางทิม นางข้าไทในเรือนอีก 2-3 นางถูกกุมตัวไว้และห้ามส่งเสียง เจ้าหลวงแสงอินทร์โกรธเกรี้ยวดวงตาวาวโรจน์ เจ้านางสร้อยคำหน้าซีดเผือดอยู่ข้างหลัง ถัดไปมีขุนหาญและแสนหลวงถือดาบและคบเพลิงวูบวาบ แต่ทุกคนไม่พูดจา เคลื่อนไหวเงียบกริบ เจ้าหลวงก้าวไป ประนมมือเป่าพรวดที่ประตู

กลอนประตูพลันเลื่อนขยับไม่มีสุ้มเสียง เจ้าหลวงแสงอินทร์และเจ้านางสร้อยคำก้าวเข้าไปอย่างเงียบกริบ ขุนหาญอื่นๆ หยุดยั้งรออยู่
เจ้าหลวงและสร้อยคำก้าวไปหลังฉากกั้น มองไป
บนเตียงหลวงเทพนั่งอิงแอบโอบดารารายไว้ ดารารายเอียงศีรษะซบไหล่หลวงเทพ ทั้งสองเสื้อผ้าเรียบร้อย เจ้าหลวงและชายาคลายใจลงบ้าง
“เจ้ากลับไปได้แล้ว กลับไปทำสิ่งที่ถูกต้อง”
“ถ้าถูกต้องจริง ทำไมได้เจ็บปวดถึงปานนี้”
“จงรักถนอมเจ้าพี่ข้า...อย่าให้นางเสียใจ”
“แล้วใจเจ้าเล่า”
“ใจข้ายอมทานทนได้...แต่ข้าจะไม่ยอมให้พี่ข้าต้องเจ็บปวด”
เจ้าหลวงกับสร้อยคำตกตะลึง เมื่อรู้ว่าชายผู้นั้นคือหลวงเทพ แต่สิ่งที่ทั้งสองพูดกันกลับแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ยอมเสียสละ
“คำทำนายนั้นจะต้องไม่เป็นจริง” ดารารายย้ำคำ
เสียงทรงอำนาจของเจ้าหลวงแสงอินทร์ดังขึ้น “คำทำนายอันใดกัน”
ดารารายผงะ หลวงเทพตกใจขยับลุกขึ้นยืน เจ้าแสงอินทร์หน้าเครียดก้าวมา สร้อยคำรีบก้าวตาม
“เจ้าพ่อ”
ดารารายรีบยอบตัวลงกราบ หลวงเทพก็คุกเข่าลงเก้ๆ กังๆ เจ้าหลวงแสงอินทร์หันไปทางประตูโบกมือ แสนหลวงดึงประตูปิดลง แล้วนั่งลงบนเตียง ดึงสร้อยคำให้นั่งลงด้วย

“เรื่องนี้มีต้นมีปลายเช่นใด...จงเล่ามาให้ข้าฟังทั้งหมด”

ฟากยอดหล้าออกอาการโกรธกริ้วพอฟังสองนางข้าไท รายงานจบ

“เหลวไหล ดารารายไม่มีวันทำเช่นนั้น”
“ฮึ ข้าเจ้าสองคนพูดคำจริงนะเจ้า มิได้โป้ปดมดเท็จ”
“นี่เจ้าหลวงคงไปกุมตัวเจ้าแมวขโมยนั้นได้เจ้า ถึงได้เกิดอื้ออึงขนาดนี้”
“ดารารายซุกซนราวเด็กผู้ชาย นางจะนัดแนะชายใดได้ เจ้าหาความน้องข้า”
“ถ้าจริง ชายใดกันที่โอหังบังอาจขนาดนี้” เจ้านางหอมุกที่อยู่ด้วยกันว่า
เจ้าหลวงแสงอินทร์ก้าวมามองอย่างเวทนาสงสาร
“จะใครอีกเล่า ถ้ามิใช่หลวงเทพภักดี”
ยอดหล้าตัวชามองเจ้าพ่อลุกขึ้นช้าๆ เจ้านางหอมุกถลาไปหาแสงอินทร์ นางผัน นางเผื่อนร้องอุทาน
ยอดหล้าทุกอย่างพร่าเลือน ดวงตาเบิกกว้าง เสียงเจ้าหลวงดังกึกก้องสะท้อนไปมา
“หลวงเทพจะเข้าพิธีกับดารารายแทนเจ้า”
ดวงตายอดหล้าเบิกกว้าง ตกใจถึงขีดสุด

เมื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ตอนนี้ ดวงตางามของยอดหล้ากลายเป็นดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยสายเลือด ร่างยอดหล้าแปรสภาพเป็นปิศาจ

“เสน่ห์เล่ห์กลมนตราของครูบาชั่วนั่น เจ้าจึงชิงพี่เทพไปได้”
พิมพ์ดาวอยู่ในห้อง เบิกตากว้างผวาลุก พิมพ์เดือนกับแพทคงหลับอุตุ พิมพ์ดาวยังคงครึ่งหลับครึ่งตื่น พูดเหมือนละเมอ
“ไม่มีเสน่ห์เล่ห์กล”
ยอดหล้ายิ่งโกรธ
“จนป่านนี้ยังมิยอมรับ เจ้ารู้หรือไม่ว่าใจข้าเจ็บปวดเช่นใด”
“เจ้าพี่”
“งั้นจงรู้เสีย”
ยอดหล้าโบกมือเบาๆ ร่างพิมพ์ดาวผวาตัวลอยขึ้น ยอดหล้ายิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วกำมือ
พิมพ์ดาวกุมอกดิ้นเท้าไกวอยู่ในอากาศ
ยอดหล้าบีบมือเข้า แพท และพิมพ์เดือน ผวาตื่นตกตะลึง พิมพ์ดาวจับสายสิญจน์ ตั้งสติ พยายามสวดมนต์ ยอดหล้ายิ้มร้าย ดวงตาวาบเป็นไฟ พลันสายสิญจน์ขาดผึงจากคอพิมพ์ดาว ปลิวขึ้นสูง ลุกเป็นไฟวูบไปกลางอากาศ

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้าไกล สาดแสงเรื่อเรืองเข้ามาในห้อง
พิมพ์เดือน แพท ลุกพรวดไปดึงร่างพิมพ์ดาวลงมา พิมพ์ดาวดิ้น แสงในห้องสว่างจางๆ
ดวงอาทิตย์ส่องรัศมีจ้าขึ้น
ยอดหล้าชะงัก ยิ้มสมใจแล้วลดมือลง จากนั้นหมุนกายร่างเลือนหายไป
พิมพ์ดาวหยุดดิ้นรู้สึกตัวเต็มที่ พิมพ์เดือนกับแพทน้ำตาเอ่อระล่ำระลักถามพิมพ์ดาวไม่ตอบ ดวงตาสับสนอลหม่าน

ตอนเช้า พิมพ์ดาวในสภาพอิดโรย ครุ่นคิดถึงแต่ฝันเมื่อคืนนี้ แต่ด้วยพื้นฐานจิตใจอันเข้มแข็งทำให้ยังคงทำตัวเป็นปรกติ พิมพ์ดาวเดินมายังสวนบริเวณคุ้มมองไปแล้วชะงัก ตรงหน้ามีน้ำตกจำลองเล็กๆ พร้อมสระขนาดใหญ่ ตรีภพยืนเหม่อมองน้ำตก
พิมพ์ดาวมอง ภาพตรีภพเลือนไปกลายเป็นร่างหลวงเทพแทนที่
พิมพ์ดาวเขม้นมอง ภาพคำสารภาพรักก่อนตื่นเอ่อท้น ล้นขึ้นมาถึงดวงตา ใบหน้าอ่อนโยน ริมฝีปากคลี่ยิ้ม ดวงตาฉายแววรักเปี่ยมล้น
ด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้ตรีภพหันมา เมื่อเห็นสายตานั้นก็อึ้ง แล้วยิ้มตอบแต่ก็แปลกใจก้าวมาช้าๆ
พิมพ์ดาวยังคงอ่อนโยน ตรีภพก้าวมาหยุดตรงหน้า
“คุณเป็นอะไร”
“คะ”
“ทำไม ทำยิ้มๆ เคลิ้มๆ ...เหมือนเมายา”
พิมพ์ดาวหุบยิ้มหมดอารมณ์ซึ้ง “ถ้าพูดแบบนี้ก็ไปห่างๆ มือฉันเลย”
ตรีภพขยับทำท่าปัดป้องตัวเอง “ทำไม คุณจะมาคว้าอะไรผม”
“อีตาบ้า ฉันไม่ใช่แฟนคลับโรคจิตของคุณ ทุเรศ”
พิมพ์ดาวสะบัดพรืดเดินกระทืบเท้าไป ตรีภพวิ่งตาม
“เดี๋ยวซีคุณ จะไปไหน”
พิมพ์ดาวงอนเดินหนีไป แต่ยิ้มพอใจ ตรีภพเดินตามติด

ที่ศาลากลางสวน นักแสดงและทีมงานมากินอาหารเช้า แล้วแยกย้ายกันไป เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ที่โต๊ะหนึ่ง พิมพ์เดือน แพทกำลังกระจายข่าว มิมี่ มูมู่ เก้ง รัก ลูกกบ นั่งฟังอ้าปากค้าง ตฤณอยู่อีกโต๊ะใกล้กันแต่หูผึ่งเป็นเรดาร์
“เหมือนผีมันบีบหน้าอกพี่พิมพ์ค่ะ” แพทว่า
ตฤณทำตาปริบๆ มีมี่ มูมู่ ตะครุบนมตัวเอง
พิมพ์เดือนขำ “ไม่ใช่หน้าอกค่ะ เหมือนบีบหัวใจ”
“ทั้งๆ ที่ พี่พิมพ์ใส่สายสิญจน์อยู่นะคะ” แพทเล่าต่อ
“จู่ๆ สายสิญจน์ก็ขาดลุกพรึ่บเป็นไฟ ไปต่อหน้าต่อตาเราสองคนเลยค่ะ”
สิ้นคำพิมพ์เดือน มีมี่ มูมู่ ร้องวี้ดจับสายสิญจน์ที่คอตัวเอง
“ว้าย ไม่ช่วยเลยหรือคะ”
“ไหนบอกว่าป้องกันได้ไงคะ”
รักอึ้ง “เออ ยังไง”
ตฤณส่ายหัวเซ็งเป็ด แพทครุ่นคิดแล้วสันนิษฐาน
“สงสัยว่าป้องกันได้แค่ ผีตัวลูก ผีเด็กๆ ผีฝึกหัดค่ะ แต่เมื่อคืนคงเป็นตัวแม่”
บรรดาสมาชิกร้องเซ็งแซ่เห็นด้วยพยักพเยิด
“เออใช่ แบบที่คุณลินซี่โดนไง” ลูกกบว่า
มาดามสุก้าวมาบนศาลา เท้าสะเอว แผดเสียงร้องแปร๋นมา
“เอ้า ยังไงกันยะ มัวแต่สุมหัวกัน”
เก้งบอก “อุ้ย มาแล้ว ผีตัวแม่”
สมาชิกพรรคคิกคักกัน สุชาดาเท้าสะเอวตาลุกโพลง
“อีหน้าไหนจะไปดูผ้ากับฉัน...รถจะออกแล้วนะยะ”
สมาชิกพรรคขอตัวล่ำลาลุกพรวดไป

ตฤณพูดลอยลมมาในจังหวะนี้ “ผีเผออะไร ไร้สาระ”
พิมพ์เดือนหันไปดู แพทค้อน
“แหม คุณหมอขา แพทเห็นมากับตานะคะ”
“มันเป็นอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ทำไมต้องสรุปว่าเป็นเรื่องผีอย่างเดียว” หมอตฤณแย้ง
“ตาย นี่คุณหมอคงเป็นสมาชิกห้องหว้ากอใช่ไหมใช่คะ”
“ใช่ แล้วทำไม”
“ก็ห้องนั้นมีแต่นักวิทยาศาสตร์หัวห้าวหน้า ไม่เชื่อเรื่องผีเด็ดขาดน่ะซีคะ”
“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละคุณ ที่เชื่ออะไรง่ายๆ”
ตฤณตาพูดไม่แยแส พิมพ์เดือนยิ้ม
“แต่คนที่ไม่ยอมเชื่อไปทุกอย่าง ถึงแม้จะมีหลักฐานอยู่ก็คือคนโง่อีกประเภทนึงค่ะ”
ตฤณฉุนกึก “นี่”
“ดีไม่ดี อาจจะโง่กว่าด้วยซ้ำไปนะคะ”
ตฤณตาเขียวขยับมา พิมพ์ดาวยิ้มเยาะ ตรีภพ พิมพ์ดาวมาถึงพอดี
“อ้าว อะไรกันอีก ไอ้ตฤณ” ตรีภพถามเพื่อน
พิมพ์ดาวจ้องหน้าน้อง “อะไรกัน ยายเดือน”
“อย่าให้หนูพูดถึงเลยค่ะ”
“คุณหมอว่าพวกเราเพ้อ มโนไปเองเรื่องผีค่ะ ทั้งๆ ที่พี่พิมพ์แทบจะโดนผีเจ้านางยอดหล้าฆ่าตายเมื่อคืน”
ฟังที่แพทบอก พิมพ์ดาวอึ้ง ตรีภพตกใจ
“อะไรนะ เกิดเรื่องขนาดนี้เลยหรือ ทำไมคุณไม่เล่าให้ผมฟัง”
พิมพ์ดาวพูดไม่ออก

เจ้านางยอดหล้านั่งเอนบนตั่งในคุ้มร้าง ซึ่งยามนี้ทุกอย่างมลั่งเมลืองวูบวับ นางผัน นางเผื่อน อยู่แทบเท้า คุกเข่าชะเง้อตัวเป่าหู
“เจ้านางอยากทรมาน เจ้านางน้อย” นางผันเริ่ม
นางเผื่อนเสริม “ยังปล่อยให้ลอยหน้าเสนอนวลอยู่”
“ข้าอยากให้มันรับผิด...ในสิ่งที่มันทำกับข้า” ยอดหล้าคิดแค้น
“ขนาดเจ้านางทำให้ เจ้านางน้อยระลึกความหลังได้”
“แต่นางก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับไม่ใช่หรือเจ้า”
ยอดหล้าขุ่นมัวยิ่งขยับกายขึ้นนั่งตัวตรง ดวงตาวาววับ
“มันปากแข็งต่อไปได้อีกไม่นานดอก”
นางผันยุ “ยิ่งเจ้านางใจดี ปล่อยเจ้านางน้อยไว้ ก็ยิ่งทำให้เจ้านางน้อยใกล้ชิดหลวงเทพมากขึ้น”
นางเผื่อนเสริม “อย่าลืมนะเจ้าว่าปางก่อน เจ้านางน้อยใช้เสน่ห์เล่ห์กลชิงหลวงเทพไปได้”
ยอดหล้ายิ่งแค้นใจ สองผีนางข้าไทยิ่งพูดให้เพลิงแค้นระอุ
“แต่ตอนนี้ถึงเจ้านางน้อยไม่มีเสน่ห์เล่ห์กลแต่นางมีตัวตนมีเนื้อหนังมังสานะเจ้า”
“ส่วนเจ้านางเป็นแค่หมอกควัน เป็นเงา เป็นมายาในสายตาหลวงเทพ
ยอดหล้าลุกขึ้นยืน ผมและชายผ้าสะบัดไหวแผ่ออก ดวงตาเรืองแสง
“ข้าจักไม่เป็นแค่มายา ข้าจะไม่พ่ายแพ้ดารารายอีก แก้ว....จงฟังข้า”

ด้านมหาจรวยเตรียมรับมือเจ้านางยอดหล้า โดยเช้าวันนี้มหาเอากล่องอาคมใส่กระเป๋าเสื้อผ้าหูหิ้วขนาดใหญ่พอควร มีเสียงรักยมดังวู่หวิวจากพาน
“พ่อจ๋า จะไปไหน”
“พ่อจะเอาหีบนี่ไปไว้ที่อื่น”
“ข้าไปด้วย ข้าไปด้วย” รักยมประสานเสียง
“ไม่ต้อง เจ้าอยู่เฝ้าบ้านเถิด”
มหาจรวยถือกระเป๋าเดินไป เงารางๆ ของ 2 กุมาร มองตามแล้วกลายเป็นควันลอยวนเวียนในเรือน

รถกระบะรับจ้างสีแดงคันนั้นแล่นมาตามถนน ในรถตอนหน้า มหาจรวยเอากระเป๋าวางบนตัก นั่งคู่คนขับ มีท่าทีกังวล ระแวดระวัง
รถรับจ้างแล่นต่อไป มหามองตรงไป เห็นพ้นแนวต้นไม้หนาทึบ มียอดเจดีย์สีทองของวัดเก่าๆ โผล่ขึ้นมา มหาจรวยค่อยคลายความกังวลในใจลง
รถวิ่งมาถึงตรงทางแยกหนึ่งจอดรอเตรียมเลี้ยวขวา คนขับและมหาจรวยหันไปมองขวา ทางด้านนอกรถผ่านกระจกซ้าย ฉับพลันนั้น มีรถโฟร์วีลใหญ่สีดำคันหนึ่งพุ่งมาเข้าชน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

รถเอียงตะแคงอยู่ที่ร่องน้ำเต็มไปเต็มหญ้ารกข้างถนน คนขับบาดเจ็บหมดสติอยู่ในรถ กระจกหน้ารถแตกละเอียด ร่างมหาจรวยเหมือนทะลุจากหน้ากระจกรถ นอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่บนพื้นหญ้า กระเป๋าหล่นอยู่ข้างๆ
จังหวะนี้มีชายชุดดำใส่แว่นหมวกปิดบังใบหน้าก้าวมา คนแรกก้าวไปดูมหาจรวย คนที่ 2 เข้าไปหยิบกระเป๋าแล้วหันมาส่งให้ชายคนที่สาม ซึ่งคือ แก้ว นั่นเอง แก้วรับกระเป๋ามามองดูมหาจรวยอย่างอัดอั้นแล้วถอนใจขณะหันตัวกลับ เดินจากไป

ตกกลางคืนคืนแก้วถือกล่องในมือเดินตรงมาในคุ้มร้างทรุดโทรม แต่ที่เติ๋นนั้นมลังเมลือง ยอดหล้าและผัน เผื่อน รออยู่
แก้วคุกเข่าลงต่อหน้ายอดหล้า ดวงตาลุ่มหลงภักดี แล้วส่งกล่องให้ ยอดหล้าผงะไปนิดหนึ่ง ยื่นมือทั้งสองคล้ายประคองไว้ กล่องนั้นลอยอยู่กลางอากาศ นางผัน นางเผื่อนชะเง้อ
ทันใดนั้นเอง ตามรอยอักขระเกิดแสงเรืองเรื่อสีทอง แสงนั้นเจิดจ้า นางผัน นางเผื่อนหวีดร้อง ผงะกระเด็นไป แสงนั้นปะทะยอดหล้า คล้ายพายุโหม ยอดหล้าผมและชายผ้าปลิวสยายแล้วยิ้ม ดวงตาเจิดจ้า เกิดรอยแตกมากมายบนหีบ แล้วกร่อนสลายลง แก้วมองอย่างตื่นตะลึง นางผัน นางเผื่อน อยู่ที่ริมฝา ชะเง้อดู
ยอดหล้ายิ้มสมใจ หีบนั้นสลายลงเป็นผล สิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือกะโหลกสีขาวลอยอยู่กลางอากาศ ยอดหล้ายืนสองมือประคองกะโหลกนั้นอย่างรักใคร่ทะนุถนอม
“ท่านอาจารย์...จงตื่นขึ้นเถิดเจ้า”
มีดวงตาแดงก่ำลืมขึ้นในเบ้าตา ยอดหล้าขยับถอย กะโหลกนั้นลอยอยู่แล้วเกิดเส้นเลือด กล้ามเนื้อเส้นเอ็น พอกพูนขยับไหวขึ้น ยอดหล้าแย้มยิ้ม นางผัน นางเผื่อนตาเบิกโพลง แก้วตกตะลึงแกมหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เนื้อเต็มบนกะโหลกนั้น แต่กลับไม่มีผิวหนังมีแต่กล้ามเนื้อสีแดงเป็นริ้วของมัดกล้ามเนื้อหนาดูน่าสะพรึงกลัว
แก้วรู้สึกสยดสยองจนเบือนหน้าหนี นางผัน นางเผื่อน เบ้หน้าซุบซิบกัน มีเพียงยอดหล้าที่ยิ้มละไม
“ท่านอาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว ยังคงสง่างาม องอาจยิ่งนัก”
แก้ว กับนางผัน นางเผื่อน มองอย่างพิศวง

ยอดหล้าเอาพานทองลาดผ้าขาวดิ้นเงินทองระยิบระยับรองศีรษะมาร ในสายตาเจ้านางศีรษะเถรกระอ่ำ มีเนื้อเต็มงดงาม ดวงตาเต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์ดังเดิม
 
อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น