คุ้มนางครวญ ตอนที่ 11
ตกตอนกลางคืน แก้วซึ่งใบหน้าดูเคร่งเครียดหนัก เดินเข้ามาบริเวณเติ๋นเรือนร้าง ทุกอย่างดูรกเรื้อ แก้วชูตะเกียงแบตเตอรี่ขึ้น
“เจ้านาง เจ้านางครับ”
ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ แก้วหันรีหันขวาง
“เจ้านาง!”
เกิดจุดแสงสว่างสีทองแล้วแผ่ออกมาคลุมทับความรกเรื้อ เผยให้เห็นยอดหล้าถือซึงนั่งอยู่บนตั่ง นางผัน นางเผื่อน อยู่ที่พื้น
“เจ้ามีอะไรอีก”
“เจ้านาง มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้านางต้องทำร้ายนายตรีกับคุณลินซี่ถึงขนาดนั้น”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรพี่เทพ นอกจากทำให้ลืมเลือนคืนที่ผ่านมา”
“แล้วคุณลินซี่ล่ะ เธอเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว”
“นั่นถือว่าข้าปราณีแล้ว ที่จริงมันควรต้องตาย”
นางผัน นางเผื่อน สอดขึ้น
“นังแพศยานั่นเข้าหาหลวงเทพซ้ำแล้วซ้ำอีกเจ้า”
“เมื่อคืนมันถึงกับตามหลวงเทพมาถึงที่นี่เจ้า”
แก้วหน้าบึ้งใส่นางผัน นางเผื่อน แล้วก็ถอนใจ
“เจ้านาง แค่สะกดให้คุณลินซี่ลืมก็ได้นี่ครับ”
“ให้มันหวาดกลัวเหมือนคนบ้าเช่นนั้นแหละสาสมแล้ว”
“แต่ถ้าคุณลินซี่ยังป่วยอยู่ ละครถ่ายทำต่อไม่ได้...พวกกองละครอาจจะต้องกลับกรุงเทพฯไปนะครับ”
ยอดหล้ามองแก้วอย่างรู้ทันว่าเขาขู่อยู่ในที
“เจ้ากำลังจะขู่ข้าว่า ถ้าพวกละครต้องกลับไป ข้าจะไม่ได้เจอพี่เทพอีกอย่างนั้นหรือ”
แก้วอึ้ง ยอดหล้าลุกขึ้น ก้าวมาใกล้แก้ว พูดอย่างหมั่นไส้
“พวกมันกลับไปก็ยิ่งดี ข้ารกหูรกตาเต็มทีแล้ว”
“แต่นายตรี...”
“ถ้าข้าอยากให้พี่เทพอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าพี่เทพจะไปไหนได้หรือ”
ยอดหล้ากลับไปที่ตั่ง มองแก้ว
“อย่ากล้าดีมาปั่นหัว บงการข้าอีก”
ยอดหล้านั่งลง นางผัน นางเผื่อนมองแก้วแล้วพากันคิกคัก
“เจ้านางปรีชาสามารถขนาดนี้ ใครจะมาบงการเจ้านางได้”
“เจ้าไม่ต้องมาประชดประชันข้า...ตอนนี้ ข้ามีงานให้เจ้าทำ”
ที่หน้าเรือนมหาจรวย รถจากคุ้มเวียงแก้วแล่นมาจอด คนงานชายชื่อศักดิ์ เป็นคนขับลงมาพร้อมตาทอง
“นี่หรือตา เรือนมหาจรวย”
“เออ”
ตาทองเดินนำเข้าไป ศักดิ์ยังคงมองดูรอบๆ
เรือนมหาจรวยโล่งกว่าเคย เพราะข้าวของแตกหักเสียหายไปเมื่อสองคืนก่อน โต๊ะหมู่บูชาถูกจัดใหม่ รูปภาพแขวนผนังหายไป หีบไม้ลงอาคมยังวางอยู่ที่เดิม
มหาจรวยเอาน้ำมาให้ตาทองและศักดิ์ ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆทรงกลม แล้วนั่งลงตรงข้าม
“ไม่ได้ผลเลยหรือ”
“ครับ ท่านมหา ทั้งด้ายอาคม ทั้งน้ำมนต์ ไม่ได้ผลทั้งนั้น ตอนนี้คุณนางเอกยังอาการหนักอยู่”
“เจ้านางมีพลังแรงกล้ามาก”
ศักดิ์กระซิบถาม “ใครหรือตา”
“เอ็งอยู่เฉยๆ น่ะ”
มหาจรวยมองดูศักดิ์แวบหนึ่ง ศักดิ์ยิ้มเรี่ยราด มหาจรวยมองอย่างปราณี
“ไอ้ศักดิ์ครับ หูตาผมมันเต็มที มันก็เลยอาสาขับรถให้”
“ดีจริง เป็นห่วงพ่ออุ๊ยพ่อเฒ่า”
ศักดิ์ยิ้มเขินๆ
“นี่คุณแก้วท่าจะหมดหนทาง ให้ผมมารับท่านมหาไปดูนางเอกที่โรงพยาบาลหน่อย” ตาทองบอก
“อย่างงั้นหรือ”
“ท่านมหาว่างหรือเปล่าครับ”
มหาจรวยนิ่งนิดหนึ่งแล้วพยักหน้า ศักดิ์มองดูกล่องไม้ลงอาคมนิ่ง
ที่โรงพยาบาลเอกชนตอนกลางวัน มาลารินยังคงถูกมัดมือมัดเท้าตรึงกับเตียงคนไข้ ตรีภพ แก้ว พิมพ์ดาว บีบี ราเชนทร์ ตาทอง ยืนดูอยู่ทางหนึ่ง มหาจรวยก้าวมาทางปลายเท้า มองดูมาลารินอย่างปราณี
มาลารินมองมหาจรวยแล้วผงะ กรีดร้อง พร้อมกับดิ้นรน สุดแรงเกิดตัวแอ่นขึ้นจากเตียง
“โธ่เอ๊ย” ตรีภพสงสาร
บีบีตกใจระคนสงสาร “ว้าย ลูกแม่ ลูกขา”
ราเชนทร์ตะลึง “มายก็อด ยังกะเอ็กซอซิสท์”
พิมพ์ดาวเม้มปาก เอามือจับสร้อยเขี้ยวเสือไฟแน่น แก้วขยับถอย เลี่ยงออกจากห้องไป
คนงานทั้ง 2 คนของคุ้มเวียงแก้ว หนึ่งคือศักดิ์และอีกคนชื่อธัน ทั้งคู่นั่งรีๆ รอๆ ท่าทางกระสับกระส่ายอยู่ พอแก้วเดินมา 2 คนงานลุกขึ้น แก้วพยักหน้าให้
ประตูเรือนมหาจรวยลั่นกุญแจดอกเล็กๆ ไว้อันเดียว เหมือนไม่กลัวขโมยขโจร 2 คนงานซึ่งแก้วให้มาขโมยกล่องอาคม อยู่หน้าประตูนั้น ศักดิ์มีพวงกุญแจพวงใหญ่ กำลังลองไขไปเรื่อยๆ
“ออกแล้วว่ะ” ศักดิ์บอก
แม่กุญแจหลุดออก 2 คนงานมองหน้ากัน มีอาการมือสมัครเล่น แล้วเปิดประตูเข้าไป
บนเรือนมหาจรวยปิดหน้าต่างหมดทุกบาน แต่ก็ไม่มืดนัก บนชั้นมีแสงส่องมาจับที่กล่องอาคม 2 คนงานเข้าไปมองดู
ธันมองไปยังกล่องแล้วถาม “นี่น่ะหรือวะ”
“ที่คุณแก้วบอกมาน่าจะใช่ว่ะ” ศักดิ์
ธันคว้ากล่องขึ้น ศักดิ์เอากระเป๋าใหญ่มาเปิดกางออก ทันใดมีเสียงเด็กหัวเราะคิกคักประสานกัน
“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ”
2 คนงานหน้าซีดเผือด มองหน้ากันแล้วมองรอบตัวลอกแลก
“เสียงเด็ก”
“ผีเด็ก”
ฉับพลับทันใดมีร่างจางๆ ของเด็กหัวจุก 2 คน นั่งอยู่บนชั้นที่เคยวางกล่อง
“ลักเขาขโมยเขา...” กุมารรักว่า
กุมารยมบอกต่อ “ระวังตกนรกน้า”
2 คนงานล้มหงายก้นกระแทกพื้นเรือน
“ผี!”
“ไปโว้ย”
ธันคว้ากล่อง ศักดิ์คว้ากระเป๋าวิ่งแน่บออกจากเรือน กุมารมองหน้ากันแล้วเลือนหาย ที่ประตูเรือนพลันปิดงับเข้ามาเอง กุญแจคล้องกดล็อคฉับด้วยมือที่มองไม่เห็น
แก้วถือกล่องอาคมเดินมาอย่างภูมิใจ ยอดหล้าอยู่บนตั่งมองมาอย่างเฉยชา นางผัน นางเผื่อนมีอาการกลัว แต่เปลี่ยนเป็นแปลกใจ
“เจ้านาง” แก้วร้องเรียก
ยอดหล้ามอง เกิดพลังประหลาดดูดดึงกล่องนั้นจากมือแก้ว ลอยไปหยุดนิ่งกลางอากาศต่อหน้ายอดหล้า
“หีบอันนี้ใช่ไหมครับ เจ้านาง”
“เจ้าว่าอย่างไร ผัน เผื่อน”
นางผัน นางเผื่อน เกาหัวแกรก
“หีบนี้มีแต่ลวดลาย”
“แต่ไม่มีอาคมอันใดเลยเจ้า”
ยอดหล้าตวัดสายตา กล่องพลันลอยหวือไปกระแทกเสากลางเรือนดังสนั่น และแตกแยกออก มีหินขนาดย่อมๆ กลิ้งมาทับเท้าแก้ว
ยอดหล้าแค่นยิ้มอย่างเจ็บใจ แก้วหยิบหินขึ้นมางงๆ
“ทำไมหรือครับ”
“เจ้าหมอผีนั่น ชั่วร้ายมากเล่ห์เพทุบายเหมือนปู่ทวดมัน”
“แปลว่า...”
“หีบนี้ไม่ใช่หีบอาคมอันจริง”
แก้วเม้มปากผิดหวัง
“มันทำเช่นนี้เพื่อเยาะเย้ยข้า แต่มันกลับยิ่งทำให้ข้ามั่นใจว่าในหีบนั้นต้องมีของสำคัญยิ่ง”
ยอดหล้าดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า แข็งกร้าว
ฟากมหาจรวยหยิบกล่องอาคมใบจริงขึ้นมาจากช่องลับที่พื้นเติ๋น อันเป็นยกพื้น มีเสียงดังวู่หวิวมา
“พ่อจ๋า จะยังไงดี จะทำยังไงดี” เป็นเสียงประสานของกุมารทองรักยม
มหาจรวยหนักอก ทอดถอนใจ ร่างรักยมปรากฏขึ้นจางๆ
“เอาไว้แบบนี้คงไม่ปลอดภัยแน่”
ตรงทางเดินในโรงพยาบาลเวิ้งว้างว่างเปล่า พิมพ์ดาวเดินมาด้วยกันกับแพท
“คุณลินซี่ไม่ดีขึ้นเลยหรือคะ”
“ไม่ใช่แค่ไม่ดีขึ้น อาการยังหนักขึ้นกว่าเดิมด้วย”
“เมื่อวานมีหมอผีมาดูไม่ใช่หรือคะ”
“ไม่ใช่หมอผีหรอกจ้ะ มหาจรวยที่ไปที่คุ้มเมื่อวันนั้นไง”
“แล้วคุณมหาช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือคะ”
“แกก็มาทำพิธี แต่ไม่เห็นพูดอะไรเลย”
“ถ้าคุณลินซี่เป็นอะไรไป ละครไม่พังหรือคะนี่”
พิมพ์ดาวถอนใจ
ส่วนที่ศาลาน้ำอันรกร้าง มีเสียงซึงดังแว่วหวานขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นเป็นเพลงดวงดาว คล้ายมีลมพัดมา ศาลานั้นเรืองรองมลังเมลืองกลายเป็นเหมือนในอดีตเมื่อ 200 ปีก่อน แต่งดงามกว่า ลมพัดม่านบางปลิว ดอกไม้เครื่องแขวนส่งกลิ่นรำเพย
ยอดหล้านั่งอยู่บนตั่ง บนตักมีซึง นิ้วดีดซึงอย่างคล่องแคล่ว นางผัน นางเผื่อน ร้อยดอกไม้หอมอยู่แทบเท้า ยอดหล้ายิ้มพราย ดวงตาเปี่ยมรัก
เวลานั้นตรีภพนอนหลับอยู่บนเตียง ประตูระเบียงเปิดออก ลมพัดกรูเกรียว พาเสียงซึงดังมา ตรีภพลืมตาลุกขึ้นจากเตียง มายืนกลางห้อง ดวงตาเลื่อนลอย
กลางดึก มาลารินนอนหลับอยู่ในห้องคนไข้ มือเท้าถูกมัด มีท่ออาหาร สายน้ำเกลือระโยงรยางค์
มาลารินหน้าซีดเป็นกระดาษ ดวงตาเป็นวงคล้ำ ปากแตกระแหง
พิมพ์ดาวก้าวไปที่ปลายเตียง มองดูอย่างเวทนา
มาลารินผวาตื่น แล้วร้องวี้ด ดิ้นรนไปมา “กลัวแล้ว กลัวแล้ว”
พิมพ์ดาวมีอาการคล้ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ฝ่ายยอดหล้าบรรเลงเพลงซึง เสียงซึงดังถี่ ฟังดูเหมือนดาวระยิบระยับส่องแสงหลอกล้อ
ตรีภพเดินมาในสวน ดวงตาเลื่อนลอยจ้องไปเบื้องหน้า
ส่วนพิมพ์ดาวยกสองมือจับสร้อยเขี้ยวเสือไฟ นึกถึงคำที่แม่พูดกำชับ
“ยังไงก็ หนูอย่าให้เขี้ยวเสือไฟห่างตัวนะลูก”
พิมพ์ดาวลังเลนิดหนึ่ง มาลารินตาเหลือกลานดิ้นรน
พิมพ์ดาวตัดสินใจถอดสร้อยออก คล้องคอให้มาลารินหมับ มาลารินร้องวี้ดสุดเสียง
ที่ศาลาท่าน้ำในคุ้มร้าง จู่ๆ สายซึงขาดสะบั้น ยอดหล้าผงะเงยหน้าขึ้นเห็นบางอย่างในนิมิต นางผัน นางเผื่อนตกใจ
เป็นภาพพิมพ์ดาวที่มองดูอาการมาลารินที่สงบลงในห้องคนไข้ ยอดหล้าเบิกตากว้างมองภาพนั้นเขม็ง เห็นพิมพ์ดาวพอใจ ยิ้มกับตัวเอง ใบหน้าทรงผมกลายเป็นดารารายเมื่อครั้งอดีต
ยอดหล้าลุกพรวดขึ้น ดวงตาวาวโรจน์คั่งแค้น ซึงกระเด็นไป
“นังน้องทรยศ เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดอย่างนั้นหรือ”
ยอดหล้ากาง 2 แขนร้องกรี๊ดเสียงดังโหยหวน
ภาพศาลางดงามมลังเมลืองหายไปเป็นศาลาเก่าแก่ทรุดโทรมรกร้าง ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน ดูน่าสะพรึงกลัว
ยอดหล้าจ้องภาพดารารายที่ปรากฏตรงหน้า ขณะที่พิมพ์ดาวตระหนักชัด รับรู้ว่าเรื่องร้ายกำลังมาเยือนเรือนชีวิต!
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
จู่ๆ ท้องฟ้าเหนือโรงพยาบาลในเวลานั้น ก็เกิดเมฆขนาดใหญ่เคลื่อนตัวมาบดบังดวงจันทร์
ภายในห้องพักฟื้นมาลารินซึ่งบัดนี้หน้าตากลับเป็นปรกตินอนสงบอยู่บนเตียง ไม่มีสายให้เลือดให้น้ำเกลือและไม่ถูกมัดมือมัดเท้าแล้ว พิมพ์ดาว แพท และราเชนทร์ยืนดูอยู่ ทางด้านหนึ่ง บีบี กับสุชาดา คุยเรื่องความคืบหน้ากับหมอ
“ของขลังของพี่พิมพ์นี่ศักดิ์สิทธิ์จัง” แพทว่าขณะสามคนมองจ้องสร้อยเขี้ยวเสือไฟที่คอมาลาริน
พิมพ์ดาวยักไหล่ “พี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แค่ลองดูแค่นั้น”
ราเชนทร์ไม่ค่อยเชื่อนัก “แต่ก็แปลกจริงๆ นะฮะ ยังกะมิแรเคิล”
บีบีกับมาดามสุผละจากหมอ
“วุ้ย มิราคง มิราเคิ่นอะไร ฉันถามหมอแล้ว หมอเขาลองเปลี่ยนยาให้ ยาตัวใหม่ดู อาการก็เลยดีขึ้น”
“อ๋อ เหรอค่ะ ดีค่ะ หนูจะได้เอาสร้อยกลับ”
พิมพ์ดาวทำท่าจะไปเอาสร้อยคืน มาดามสุกดมือไว้
“วุ้ย คุณบีบีไม่เชื่ออย่าลบหลู่ นี่พิมพ์ดาวให้ลินซี่ใส่ไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ”
ทุกคนมองดูมาลารินที่ยังหลับดูบริสุทธิ์สดใส ไม่มีใครรู้ตัวว่ามีเงาของยอดหล้าขนาดมหึมาทาบทับไปทั้งห้อง
รถโฟร์วีลให้เช่าคันนั้นแล่นมาตามถนนสองเลน สองข้างทางเป็นเขาและหุบเหว ราเชนทร์เป็นคนขับ พิมพ์ดาวนั่งคู่ แพทนั่งอยู่คนเดียวข้างหลัง
“ของขลังอะไรน่ะครับ” ราเชนทร์ชวนคุย
“ของคุณแม่ให้ฉันมาน่ะค่ะ เรียกว่าเขี้ยวเสือไฟ”
“เสือไฟคืออะไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“แล้วทำไมคุณถึงรู้ว่า ถ้าใส่ให้ลินซี่แล้วอาการจะดีขึ้น”
พิมพ์ดาวอึ้ง ไม่รู้จะตอบยังไง
แพทเองก็คาใจ “นั่นซีคะ”
“ก็แค่ลองดูนั่นแหละค่ะ ฉันเห็นอาการคุณลินซี่แย่มาก คิดว่าลองดูก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
แพทว่า “แต่ได้ผลจริงๆ ด้วย”
ราเชนทร์เหลือบมองพิมพ์ดาวยิ้มๆ พลางพูดสัพยอก
“คุณพิมพ์นี่ใจดีจริงๆ แต่คงไม่ใช่ทำบุญกับงูเห่านะครับ”
พิมพ์ดาวมองขมวดคิ้ว แพทตีไหล่
“คุณเชนพูดอะไร”
“โธ่ ผมปากหมาแต่จริงใจนะครับ”
ถนนสายที่รถแล่นมา ดูมืดทะมึนไม่มีรถสวน บรรยากาศวังเวง ราเชนทร์ขับรถอย่างสบายๆ พิมพ์ดาวหลับ แพทนั่งโผล่หน้าระหว่างเบาะหน้ามองไป
ห่างไปตรงหน้าราว 50 เมตร มีร่าง 2 ร่างยืนทะมึนอยู่ข้างทาง นุ่งซิ่นมีผ้าคาดอกผมเกล้าสูง แพทมองอย่างแปลกใจ
รถแล่นมาจนใกล้ผ่าน 2 ร่างไป แพทยังไม่รู้สึกอะไรมาก รถโฟร์วีลแล่นฝ่าความมืดต่อไป แพทมองตรงไป
ข้างหน้า พบว่ามีร่าง 2 ร่างยืนอยู่ข้างทางเหมือนเดิม แพทเริ่มรู้แล้วว่าผิดปรกติ
รถแล่นมาใกล้ผ่าน 2 ร่างไป แพทหันขวับมองตาม ตำแหน่งที่ 2 ร่างยืนอยู่ ไม่มีใครแล้ว แพทหันขวับหน้าซีด รู้ว่าโดนเข้าแล้ว
“ฮือ คุณเชน เห็นอะไรหรือเปล่า”
“อะไรครับ”
“มีผู้หญิง 2 คนอยู่ข้างทาง ท่าทางแปลกๆ”
“ผมไม่เห็นอะไรเลย”
แพทหน้าซีด ดวงตาลอกแล่กมองซ้าย มองขวา ถนนเบื้องหน้าว่างเปล่าไม่มีอะไรผิดปรกติ แพทไม่วางใจยังคงมองซ้ายมองขวาแล้วมองหน้ารถใหม่
นางผัน นางเผื่อนยืนอยู่กลางถนน รถพุ่งเข้าใกล้ 2 ร่างอย่างรวดเร็ว แพทตาเหลือกพูดไม่ออก ร้องไม่ออก
แต่รถยังคงแล่นฝ่าความมืดต่อไป
ราเชนทร์ยังคงขับรถอย่างสบายใจ พิมพ์ดาวหลับอยู่ แพทดูเงียบไป ราเชนทร์มองกระจกส่องหลัง เห็นมีภาพนางผัน นางเผื่อน ดูน่าสะพึงกลัวนั่งอยู่
“เฮ้ย...” ราเชนทร์แผดร้องสุดเสียง รถพุ่งพรวดไปข้างหน้า
รถโฟร์วีลชนราวกั้นขาดกระจุย ตรงทางเลี้ยวสู่ขอบเหว นางผัน นางเผือนยิ้มแสยะ
ราเชนทร์แผดร้อง หักพวงมาลัยกลับ พิมพ์ดาวสะดุ้งตื่นด้วยแรงกระแทก แพทร้องวี้ด
รถไถลล้อข้างหนึ่งตกขอบเหว รถเอียงกะเท่เร่ ผี นางผัน นางเผื่อนยิ้มสะใจ
พิมพ์ดาวตาเบิกกว้าง ราเชนทร์ร้องลั่นบังคับรถสุดกำลัง ส่วนแพทวี้ดๆ ตื่นตกในสุดขีด
ขณะเดียวกันใบหน้ายอดหล้า ดวงตาเจิดจ้า มองดูเหตุการณ์
จู่ๆ รถที่ไถลเอียงพุ่งพรวดกลับขึ้นสู่ไหล่ถนนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ราเชนทร์ถอนใจเฮือก
“คุณพิมพ์ คุณแพทไม่เป็นไรนะครับ”
แพทโมโห “ฮือ คุณเชนขับรถยังไง”
“เกิดอะไรขึ้นคะ” พิมพ์ดาวแปลกใจมาก
“ผม...ผมเห็น ผู้หญิงแต่งตัวแบบนางข้าไทในรถ”
พิมพ์ดาวอึ้ง “นางผัน นางเผื่อนหรือคะ”
ราเชนทร์กลืนน้ำลาย แพทกลัวสุดขีด พิมพ์ดาวหน้าซีด
เจ้านางยอดหล้าอยู่ในคุ้มร้าง นัยน์ตาเปล่งประกายวาวโรจน์
“เจ้าสองคนทำอันใด”
ยอดหล้าเงื้อมือขึ้นสูงตบนางผัน นางเผื่อนกระเด็นไป นางผัน นางเผื่อนกุมแก้มร้องหวีด น้ำตาไหลพราก
“ข้าจะฆ่าเจ้านางน้อยเจ้า”
“ฆ่าเพื่อล้างแค้นให้เจ้านางเจ้า”
ยอดหล้าตามไปจิกหัวนางเผื่อนๆ แหงนเงยเจ็บปวด
“สู่รู้นัก”
นางผันร้องไห้ยอดหล้าเหวี่ยงนางเผื่อนไปชน นางผันล้มไปด้วยกัน
“ข้าจะไม่ให้นังน้องทรยศตายตอนนี้”
ยอดหล้ายืดกายขึ้นมองไป ดวงตาวาวเจิดจ้า
“ข้าจะทำให้มันจำทุกอย่างได้ ให้มันสำนึกเสียใจ ให้มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนต้องร้องขอความตายจากข้า”
กลางดึกคืนนั้น แพทหลับสนิทมีสร้อยสายสิญจน์เต็มคอรวมทั้งพระเครื่อง
ส่วนพิมพ์ดาวเข้าสู่ฝันร้าย
ในความมืดมิด ใบหน้างดงามสคราญโฉมของยอดหล้ามองมา
“ข้าตามหาเจ้ามานานนัก ดาราราย”
พิมพ์ดาวกระสับกระส่าย ยอดหล้ายิ้มเยาะ
“บัดนี้ ข้าเจอเจ้าแล้ว น้องรัก ผู้เป็นเหมือนอสรพิษที่ข้าเลี้ยงไว้ข้างกาย”
พิมพ์ดาวส่ายหน้า ยอดหล้ายิ้มแสยะ
“ตอนนี้สิ่งวิเศษใดๆ ก็คุ้มครองเจ้ามิได้แล้ว”
พิมพ์ดาวพยายามถอยหนี
ใบหน้ายอดหล้าเยื้อนยิ้มดูสคราญโฉม พลันกลายเป็นใบหน้าอสูรร้าย แสยะเขี้ยว พุ่งพรวดมา พิมพ์ดาวผวาลุกขึ้นนั่งบนเตียง มือกุมสายสิญจน์ที่คอ
ในสวนยามเช้า คนงานทั้ง 2 ดูแลกวาดใบไม้อยู่ ตรีภพเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาบริเวณนั้น
“ไอ้หมอ แกจะมาได้เมื่อไหร่”
บนเตียงนอนในห้องตรีภพที่กรุงเทพฯ หมอตฤณหน้ายู่ยี่พูดโทรศัพท์ยังงัวเงีย
“ไปไหนวะ”
“อ้าว ก็คุ้มไอ้แก้วไง”
“ชักไม่อยากไปแล้วว่ะ มีน้องๆ เขาจัดทริปไปกระบี่ อยากให้ฉันไปด้วย”
“โถ ไอ้หอก น้องๆ มันหลอกแกไปเป็นสปอนเซอร์น่ะซี สู้มานี่ไม่ได้ไม่ต้องจ่ายซักแดง”
ตฤณลังเล “เฮ่ย ไปเป็นป๋าอาจจะคุ้มก็ได้นะเว้ย”
ตรีภพเสียงแข็ง
“ไอ้ตีน เลิกกวนส้นได้แล้ว แกมานี่เลย อาการฉันชักแย่ใหญ่แล้ว”
ตฤณชอบใจ เลิกแกล้งยั่วเพื่อนเล่น ควานหาแว่นมาสวม
“อะไรวะ แกละเมอเดินอีกแล้วหรือ”
“ก็เออน่ะซี”
“เออก็ได้ งั้นไปวันศุกร์นี้ ฉันขับรถแกขึ้นไปเลยดีไหม”
“ไม่เอา ทางไกลสงสารรถ แกขึ้นเครื่องมาน่ะดีแล้ว”
ตฤณด่า “ไอ้งก”
ในเวลาเดียวกันบรรดานักแสดงและทีมงานมากินอาหารเช้า พิมพ์ดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งกำลังคุยโทรศัพท์กับน้องสาว
“ยายเดือน เธอเอาข้อมูลที่เธอค้นได้มาด้วยนะ”
พิมพ์เดือนซึ่งยังคงนอนอยู่บนเตียง หาวยืดยาว
“ค่ะ แต่หนูว่าที่ มช. ต้องมีข้อมูลเยอะกว่าที่หนูมีแน่ๆ”
“เอาเถอะ เอาเท่าที่มีก่อน เธอจะมาได้วันไหน”
“วันเสาร์ดีไหมคะ”
“เธอมาวันศุกร์ดีกว่า เผื่อเสาร์อาทิตย์จะได้ไปไหนบ้าง”
“ค่ะ”
“โอเค แค่นี้ก็แล้วกัน หวัดดีจ้ะ”
พิมพ์ดาววางหูโทรศัพท์ ตรีภพมานั่งแปะลงข้างๆ พิมพ์ดาวชักสีหน้า
“เป็นไงบ้างคุณ เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมตายังกะหมีแพนด้าในสวนสัตว์เชียงใหม่ อ้อ หรือว่าเมื่อคืนไปเที่ยวกะนายเชนจนดึก”
พิมพ์ดาวยิ้มพริ้มพราย “เรื่องของฉัน”
“ระวังนะคุณ”
“ระวังอะไร”
“เรื่องนายเชนน่ะ ผมรู้ว่าคุณรอบจัด ผมไม่ห่วงคุณหรอก”
พิมพ์ดาวตาเขียว ตรีภพยั่วต่อ
“ตอนนี้กล้องมันเป็นเอชดีแล้วนะคุณ ถ้าเหี่ยวถ้าโทรมขึ้นมาแต่งหน้ากลบไม่มิดแล้วนะ ดูแลตัวเองหน่อย ว้า มีอะไรกินบ้างก็ไม่รู้...ผมไปล่ะ”
ตรีภพลุกไป พิมพ์ดาวรีบคว้ามือถือมากดกล้องดูหนังหน้าตัวเอง
“ไม่โทรมซักหน่อย สวยจะตายไป อีตาบ้า”
พิมพ์ดาวค้อนลมแล้วไล่หลังไป
ตกตอนกลางคืน ยอดหล้าลุกจากตั่งบริเวณเติ๋นอันงดงาม ก้าวมาหาแก้วอย่างคุกคาม นางผัน นางเผื่อนชะเง้อคอมอง
“ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า เรื่องดาราราย”
“คุณพิมพ์คือเจ้านางดารารายหรือ ไม่น่าเชื่อเลย”
แก้วงุนงง ยอดหล้ายิ้มเยาะ
“มันเองก็คงตั้งจิตอธิษฐานขอติดตามพี่เทพไปทุกชาติ ทุกภพ ดี! เพราะคราวนี้มันจะต้องเป็นคนพ่ายแพ้บ้าง”
แก้วรู้สึกห่วงใยพิมพ์ดาวขึ้นมาครามครัน
“ข้ามัวแต่ระวังแต่นางแพศยานั่น ไม่รู้เลยว่านังน้องทรยศอยู่ใกล้ข้าแค่นี้เอง บอกข้ามาซิว่ามันกับพี่เทพเป็นเช่นใดบ้าง”
แก้วมองยอดหล้าแล้วตัดสินใจพูด
“ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ คุณพิมพ์ไม่ได้สนใจอะไรนายตรีนักแต่นายตรีต่างหากที่เป็นคนคอยตามตอแยคุณพิมพ์”
“เจ้าคงลืมไปแล้วว่าดารารายเสแสร้งเจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดไหน มันเล่นละครหลอกเจ้าน่ะซี”
“ผมอาจมองคุณผิดไป...หรือไม่ก็...”
“ทำไม”
“เจ้านางอาจจะมองเจ้านางดารารายผิดไป”
ยอดหล้าตาเบิกกว้าง ยื่นมือออกไปเกิดแสงราวฟ้าผ่าเป็นเส้นสว่างจากมือ ร่างแก้วผงะหงายล้มไปกับพื้น ไถลไปไกล
“เจ้ากล้าดี โอหังบังอาจขึ้นทุกวัน”
นางผัน นางเผื่อนพยักพเยิดกัน แก้วยันตัวขึ้น ดวงตาเจ็บปวด
“ขออภัยเจ้านาง”
ยอดหล้าสะบัดกลับไปที่ตั่ง นั่งลง
“ข้ายกโทษให้...ไป ไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว”
นางผัน นางเผื่อนหัวเราะคิกคัก แก้วถอนใจเดินจากไป
เมื่อถึงวันศุกร์ ตอนบ่ายๆ ใบเฟิร์นลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มา พิมพ์เดือนถือกระเป๋าใบย่อมลงบันไดตามมา จันทรากลับมาจากมหาวิทยาลัยพอดี เดินเข้ามาจากหน้าบ้าน
“อ้าว แม่กลับมาพอดี”
“ก็ใช่น่ะซีจ๊ะ กะจะมาส่งหนู”
“ไม่ใช่มั้งคะ แม่กะมาสั่งเสียหนูเรื่องพี่พิมพ์มากกว่า”
จันทราถอนใจสีหน้ามีกังวล นั่งลงที่โซฟา วางกระเป๋าถือลง พิมพ์เดือนนั่งลงด้วย
“นี่แม่กลับจากมหา’ลัย ก็แวะไปกราบหลวงตามา”
“หลวงตาว่ายังไงบ้างล่ะคะ”
“แม่ถามเรื่องยายพิมพ์ ท่านก็บอกไม่เป็นไร แต่แม่ก็ยังกลัว แม่บอกว่าหนูจะขึ้นไปดูพี่เขา ท่านก็บอกว่าดี แล้วให้นี่แม่มา”
จันทราเปิดกระเป๋าถือหยิบตลับกลมมาเปิดออกเห็นสำลี เมื่อแกะสำลีออกก็เห็นหินรูปไข่นก ขนาดราว 1 นิ้ว สีดำแต่มีประกายเลื่อมพราย มีตาข่ายทองหุ้มและตะขอ
“บอกให้เอาให้หนู เอ้า”
พิมพ์เดือนรับมา “ก้อนหินหรือคะ สวยดี”
“เขาเรียกคดลูก คดพญานก”
พิมพ์เดือนงวยงง “ใช้ทำอะไรคะ”
“ก็คุ้มครองตัวกันอันตราย เมตตามหานิยม”
พิมพ์เดือนยิ้มขำ
“ตาย มีเสน่ห์ยาแฝดด้วยไหมคะ”
จันทราค้อน “ย่ะ ใส่ไว้แล้วจะไม่ขึ้นคานแน่”
จันทราค้อนลูกสาว พิมพ์เดือนหัวเราะคิกๆ ใบเฟิร์นสอดตามประสา
“ยังมีอีกก้อนไหมคะคุณ หนูอยากได้”
“อย่างเธอน่ะไม่ต้องหรอก วินมอเตอร์ไซค์ปากซอยน่ะแฟนคลับเธอทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”
ใบเฟิร์นค้อนประหลับประเหลือก
“แหม คุณขา ให้หนูหวังสูงบ้างเถอะค่ะ”
“ไปดูซิ แท็กซี่มาหรือยัง”
ใบเฟิร์นรับคำออกไป จันทรามองดูพิมพ์เดือน
“ใส่ติดตัวไว้นะลูก แล้วดูแลยายพิมพ์ให้ดี”
“ค่ะ แม่อย่าห่วงเลยค่ะ หนูไปละค่ะ”
“พระคุ้มครองนะลูก”
พิมพ์เดือนกราบที่อกจันทรากอดไว้ สีหน้าทั้งห่วงใยและกังวล
บริเวณทางเดินในอาคารผู้โดยสารของสนามบินดอนเมือง พิมพ์เดือนเดินลากกระเป๋ามหึมามาตามทาง แถมสะพายกระเป๋าใบใหญ่มาอีกใบ เช่นเดียวกับหมอตฤณที่มีเป้สะพายหลังใบเล็กเดินสวนมา
พิมพ์เดือนมองไปแล้วเบิกตากว้าง ตฤณเดินสวนมายังไม่เห็นพิมพ์เดือน
ตฤณเดินมาหยุดหาบูธของสายการบิน พิมพ์เดือนยืนหันหลังเกาะราวกั้นอยู่ ตฤณก้าวไปใกล้
“เอ ตรงไหนวะ”
ตฤณมองดูพิมพ์เดือนเขม็ง แต่พิมพ์เดือนหันมาโดยสวมหน้ากากอนามัย ตฤณมองจ้องดวงตา
พิมพ์เดือนรีบเอาแว่นกันแดดมาสวม ตฤณยังมองไม่ละสายตา พิมพ์เดือนรีบไอโขลกๆ ราวเป็นวัณโรคเรื้อรัง
ตฤณออกอาการอี๋รีบเดินหนีไป
พอขึ้นมาบนเครื่องบิน พิมพ์เดือนยังคงใส่หน้ากากมองหาที่นั่ง ตรงที่นั่งติดหน้าต่างมีคนนั่งอยู่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาอ่อน พิมพ์เดือนเข้าไปแล้วเอากระเป๋าใบใหญ่ยัดเข้าช่องเก็บแต่ไม่เข้า พิมพ์เดือนยักแย่ยักยันอยู่
คนที่นั่งลดหนังสือพิมพ์กีฬาลงมองอย่างรำคาญแล้วลุกขึ้นพบว่าเขาคือตฤณนั่นเอง
“ผมเองครับ”
พิมพ์เดือนอึ้งยืนเก้กังอยู่
“หลีกหน่อยซีครับ ผมจะช่วยดันให้เข้าช่อง”
พิมพ์เดือนไม่แน่ใจว่าแฝงความลามกหรือเปล่า ขยับถอย ตฤณดันกระเป๋าโครม มีเสียงคล้ายของแตกหัก
“ว้าย” พิมพ์เดือนตกใจ
ตฤณปัดมืออย่างภูมิใจ “เรียบร้อยแล้ว เชิญครับ”
ตฤณเข้าไปนั่งลงก่อน พิมพ์เดือนอึกอักแล้วนั่งลงข้างๆ ตฤณพับหนังสือพิมพ์แล้วหาวยืดยาว พิมพ์เดือนเชิดทำท่าถือตัว
เครื่องบินของสายการบินโลว์คอสท์บินลอยลำอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ
ตฤณเอาหน้าซบหน้าต่างเครื่อง พิมพ์เดือนเหลือบดูแล้วปลดหน้ากากออกด้านหนึ่ง ยกขวดน้ำดื่มอย่างกระหาย ทันใดก็มีเสียง
“แน่! คุณ”
พิมพ์เดือนใจหายวาบ ค่อยๆ หันไปดูเห็นตฤณยังคงหลับอยู่
“อีตาจิต ละเมอเหรอ”
พิมพ์เดือนเชิดใส่อีก ฉับพลันทันใดนั้นเองตฤณก็ขยับตัวมาซบไหล่พิมพ์เดือน พิมพ์เดือนตาโต หันไปเอามือผลักสุดแรงเกิด ตฤณเอียงไปกระแทกกระจกหน้าต่างดังโครม
“โอ๊ย”
ตฤณกุมหัวตื่น พิมพ์เดือนสมน้ำหน้า ตฤณขยับตัวตรงมองมา พิมพ์เดือนรีบคาดหน้ากากอนามัยใหม่ทันควัน
เวลาต่อมาที่หน้าท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีบรรดาแท็กซี่ รถตู้ที่มารอรับลูกค้าพิมพ์เดือนยังคงใส่หน้ากากอนามัย ลากกระเป๋า สะพายอีกใบเดินเซแซดๆ มา พิมพ์เดือนมองซ้าย มองขวาแล้วปลดหน้ากากออก โทรศัพท์
“ฮัลโหล พี่พิมพ์รถที่มารับละคะ ว้าย มาดามสุไม่ให้...ให้หนูไปเอง...ไปยังไงคะ...ค่ะ...ค่ะ...ค่ะ”
พิมพ์เดือนวางสายหน้างอ
“ฮึ ไม่ดูแล น้องนุ่งเลย ให้ไปเอง ถ้าเจอไอ้โรคจิตจะทำยังไง”
พิมพ์เดือนหันมาเจอตฤณในระยะประชิด ตฤณมองอย่างเอาเรื่อง
“ว้าย แม่”
“ไงคุณ แหม นึกว่าใคร ทำเป็นปิดหน้าปิดตา”
พิมพ์เดือนปรับจิต รีบแอ๊บกายใจเข้าสู่โหมดสาวซื่อ
“คะ คุณพูดกับฉันหรือคะ”
“นี่ไม่ต้องมาเนียนเลย แหมทำเป็นจำผมไม่ได้”
“แต่ฉันจำไม่ได้จริงๆ นี่คะ”
“นี่คุณ คุณขับรถตัดหน้าจนผมชนท้าย”
พิมพ์เดือนทำตาโต ยกมือปิดปาก พูดเสียงดังขึ้น
“ฉันรู้แล้ว นี่คุณมาแกล้งพูดเพื่อจะทำความรู้จักฉัน”
บรรดาคนขับรถตู้เริ่มขยับมาดู
“เฮ้ย ทำไมคุณร้ายกาจอย่างนี้”
พิมพ์เดือนจัดเต็มเริ่มร้องไห้
“อ้าว เฮ้ย คุณ”
คนขับรถตู้ 3-4 คน เข้ามาขวาง
“เฮ้ย แกทำอะไรน้องเขา”
“พวกโรคจิต ลวนลามใช่ไหมวะ”
ตฤณปฏิเสธพัลวัน “ไม่ใช่ ยายตัวแสบนี่ต่างหากก่อเรื่อง”
รปภ. อีก 2 คนก้าวมาหน้าตาเอาเรื่อง
“มีอะไรครับ มีอะไรกัน” รปภ.1 ถาม
คนขับรถตู้ 1 ฟ้อง “ไอ้โรคจิตมันลวนลามน้องผู้หญิงครับ”
รปภ. 2 ร้องบอก “เฮ้ย ล็อกตัวไว้”
2 รปภ. ล็อกตัวตฤณ พิมพ์เดือนขยับมาหารถตู้3 ส่งกระดาษจดที่อยู่ให้
“พี่คะ ช่วยพาหนูไปที่ คุ้มเวียงแก้วทีค่ะ”
คนขับรถตู้อ่านดูรับคำพาพิมพ์เดือนไป
พิมพ์เดือนหันมามองตฤณที่โดนล็อกตัวแล้วทำหน้าใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
หมอตฤณติดแหงกอยู่ที่ท่าอากาศยานด้วยผลงานของพิมพ์เดือน จนตรีภพต้องออกมารับในตอนเย็น สองหนุ่มเดินออกมายังลานจอดรถด้วยกัน ตรีภพเดินนำตฤณที่สะพายเป้มายังรถเช่า ตฤณหน้างอหงิกโมโหพิมพ์เดือนไม่หาย
“ไอ้หมอจิต แกไปลวนลามเขาจริงหรือเปล่าวะ”
“ไอ้บ้า ยัยตัวแสบนั่นมันใส่ร้ายฉันโว้ย” ตฤณฉุน
“แกแน่ใจว่าแกไม่ได้ไปทำหื่นใส่เขานะ”
“ไม่มี!”
“แต่แกน่ะมันหื่นจนเข้าเนื้อแล้ว แกอาจจะลวนลามเขาโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
ตรีภพแกล้งพูดล้อ ตฤณมองหน้า
“ก็ยังดีกว่าแก ละเมอเดินไปเข้าห้องใครบ้างแล้วก็ไม่รู้”
ตรีภพอึ้ง “เออ หายกันว่ะ”
ทั้งคู่มาถึงรถเช่าแล้วขึ้นไป ตรีภพออกรถ รถเคลื่อนไป
ที่คุ้มเวียงแก้ว ทุกคนรวมกันอยู่ตรงศาลากลางสวนของคุ้ม กำลังทานอาหารมื้อเย็น พิมพ์เดือน พิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์อยู่ที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง ห่างออกไปฐาปกรณ์ สุชาดา กับดาราอาวุโสที่รับบท พระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภาอยู่ที่โต๊ะอีกตัว มาดามสุมองค้อนพิมพ์ดาวที่มีญาติมากินนอนในกองถ่าย
“ต๊าย แห่ขนสังคญาติมาอยู่ฟรี กินฟรี”
พระยาพิชิตชัยและคุณหญิงอำภาชะงักกึก
“อ้าว ก็ไหนบอกให้ผมพาเมียมาได้” พิชิตชัย 2 ถาม
“ถ้ารู้พี่จะได้ไม่พาผัวมา” อำภา 2 ถามตาม
มาดามสุสะดุ้งยิ้มเรี่ยราด ฐาปกรณ์สมน้ำหน้าเมีย
“สม”
“วุ้ย ของคุณพี่ 2 คนไม่เป็นไรค่ะ เพราะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่แม่นี่แค่ตัวอิจฉาไม่ควรมีผู้ติดตามค่ะ”
มาดามสุค้อนอีกที
พิมพ์เดือนทำท่าเรียบร้อยสุดชีวิต ราเชนทร์ตักอาหารให้พลางทำตาหวาน
“ลองนี่ซีครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
พิมพ์ดาวมองดูท่าทีดาวร้ายของเรื่อง ราเชนทร์รู้สึกตัวรีบตักอาหารให้พิมพ์ดาวบ้าง
“คุณพิมพ์ นี่อร่อยจริงๆ ฮะ”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันตักเองค่ะ”
แพทค้อนเอา “แล้วไม่ตักอาหารให้แพทบ้างหรือคะ”
“จานอยู่ตรงหน้า ตักเองซีเจ๊”
แพทมองดูพิมพ์เดือนอย่างชื่นชม “น้องเดือนนี่เรียบร้อยจัง”
“ขอบคุณค่ะ”
พิมพ์ดาวแขวะ “ยังไม่คุ้นน่ะซีคะ นี่สร้างภาพค่ะ”
พิมพ์เดือนยิ้ม พูดหวานสุดขั้ว “พี่พิมพ์น่ะ หนูเพิ่งโดนคนโรคจิต เอ้อ ตอแยมา”
จังหวะนี้ตรีภพพาตฤณเดินตัดสนาม ตรงมายังศาลา
“หิวยังวะ ตอนนี้ได้เวลากินพอดี”
“ไม่หิวโว้ย ยังแค้นยายตัวแสบนั่นอยู่ ถ้าเจออีกทีนะ”
ที่โต๊ะพิมพ์ดาว พิมพ์เดือนยังคงสนิมสร้อย เล่าเรื่องไอ้โรคจิตให้ทั้งโต๊ะฟัง
“หนูก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย”
พิมพ์เดือนจิบน้ำมองไป แล้วแทบสำลัก เมื่อเห็นตรีภพกับตฤณยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าเช่นกัน
“ว้าย แม่”
“คุณ!”
พิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์งง พิมพ์ดาวถาม
“ใครเหรอ ยายเดือน”
ตรีภพงง ถามตฤณ
“อะไร นี่พิมพ์เดือนน้องคุณพิมพ์”
พิมพ์เดือนบอกพี่สาว “นายโรคจิตค่ะ”
ตฤณบอกตรีภพ “นี่แหละยายตัวแสบ”
ตฤณก้าวไปมองกินอย่างเลือดกินเนื้อ พิมพ์เดือนลุกพรวดขึ้นเชิด พิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์ลุกตาม ตรีภพรีบก้าวไปยืนข้างตฤณ
“นายโรคจิตนี่แหละค่ะ ที่มาลวนลามหนู”
“คุณมาลวนลามน้องสาวฉันเหรอ” พิมพ์ดาวเอาเรื่อง
ตฤณโมโห “ผมไปลวนลามอะไรคุณ”
พิมพ์เดือนย้อน “คุณเอาเซ็กซ์ทอย เอาตุ๊กตายางมาเป่าลมให้ฉันดู”
“นั่นมันของคนไข้ผม”
พิมพ์ดาวฉงน “คนไข้”
ตรีภพแนะนำ “นี่ เพื่อนผมเป็นจิตแพทย์ชื่อ ตฤณ”
พิมพ์ดาว และแพท รู้สึกว่าตฤณดูดีขึ้นมากระทันหัน
“ใช่ ผมเป็นคนรักษา ไม่ได้เป็นคนไข้”
พิมพ์เดือนทำไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันไม่รู้นี่”
พิมพ์ดาวงงอยู่ “นี่มันอะไรกันคะ”
ตฤณนึกปราดเดียวประติดประต่อเรื่องราวแล้วจำได้ เขายิ้มร่า “ผมนึกออกแล้ว”
พิมพ์เดือนเองก็นึกออก ร้องเสียงหลง “อย่านะ”
“คุณพิมพ์ดาวครับเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ที่หน้าร้านเจ๊เล้ง คุณพิมพ์เดือนขับรถคุณปาดหน้าผม ผมเบรกไม่ทันเลยเสยท้ายเข้า”
พิมพ์ดาวหันขวับมามองน้องสาว “ยายเดือน”
ตฤณเล่าต่อ “ผมให้มาตกลงกัน น้องสาวของคุณขอให้ผมไม่เอาเรื่อง ไม่ให้รู้ถึงคุณ พอได้จังหวะ ก็ขับรถหนีผมไป”
พิมพ์ดาวตาเขียวหยิกพิมพ์เดือนหมับ พิมพ์ดาวปัดป้อง ตฤณยิ้มสะใจ
ขณะที่แก้วยืนเกาะกรอบหน้าต่างของห้องสมุด มองไปยังคุ้มร้าง ด้วยแววตาขมขื่น สับสนอลหม่านไปหมด ประตูห้องเปิดออก ตรีภพและตฤณเข้ามา
ตรีภพทัก “พี่แก้ว ไอ้ตฤณมาแล้ว”
แก้วหันมา แววตาดูว่างเปล่า ตฤณซึ่งยิ้มร่ากางมือเข้ามาชะงักกึก แก้วยิ้มนิดๆ
“มาแล้วหรือ”
“ก็มาแล้วซีพี่”
“ที่นี่ยินดีต้อนรับ ทำตัวตามสบาย”
“ไม่กล้าอ่ะ ที่นี่ยังกะวังเจ้า” ตฤณว่า
“ก็เจ้าน่ะซี แต่ไอ้พี่แก้วไม่ยอมให้เรียกเท่านั้น” ตรีภพบอก
ตฤณเองรับรู้ถึงความห่างเหินบางอย่าง แต่ไม่ใช่อาการถือตัว
“ทำไมครับ บุญหล่นทับทั้งที”
“มันอาจไม่ได้บุญก็ได้ ไหนกระเป๋าแกล่ะ”
“มีแค่เป้ใบเดียวนี่แหละ”
“พวกแกไปห้องก่อนก็แล้วกัน...ฉันมีอะไรต้องทำก่อน”
“ดีว่ะ อยากอาบน้ำเต็มทีแล้ว”
ตรีภพพาตฤณออกไป แก้วนั่งลงที่โต๊ะทำงาน แล้วเหม่อลอยใหม่
สองหนุ่มอยู่ที่ห้องพักตรีภพแล้ว ตฤนนอนเอกเขนกดูทีวี ตรีภพเอาเสื้อผ้าในเป้ออกแขวนใส่ตู้เสื้อผ้าให้เพราะรำคาญ
“นี่น่ะหรือที่แกบอกให้ฉันมาดูเอง”
“แกคิดว่าไง”
“ไอ้พี่แก้วดูแปลกไปจริงๆ แต่ไม่ใช่อาการสามล้อถูกหวยว่ะ มันมีอะไรบางอย่างดูเศร้าๆ แล้วก็ดูสับสนด้วย”
ตรีภพมองหน้าตฤณ “จริงเหรอวะ”
“ฉันเป็นจิตแพทย์นะโว้ย ถูกฝึกมาให้ดูอาการคนโดยเฉพาะ”
“แล้วมันเศร้าเรื่องอะไร”
“ไม่รู้วะ มันอาจไปหลงรักสาวที่ไหน แต่เขาไปรักคนอื่นก็ได้”
ตฤณพูดเพ้อเจ้อตามนิสัย
“ไม่เห็นมันมีสาวที่ไหนซักคน”
ตฤณเปลี่ยนเรื่อง “เออ แล้วแกกับคุณพิมพ์ดาวนี่ยังไงกันแน่”
“ไม่เห็นยังไงนี่”
“อย่ามาสะตอ เห็นแวบเดียวก็ดูออกว่าแกชอบเขา ไม่ใช่แค่ข่าวลือแล้ว”
ตรีภพทำตาปริบๆ แล้วยักไหล่
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี..แหมเห็นแวบเดียว..แล้วเขาล่ะคิดยังไงกับฉัน”
“ไม่มีวี่แววเลยว่ะว่าเขาจะชอบแก”
ตฤณแกล้งยั่วล้อ ตรีภพอารมณ์เสียเล็กน้อยนั่งลงบนเตียง
“เฮ้ยเลิกพูดเถอะ ฉันให้แกมาดูฉันเรื่องละเมอเดิน ไม่ใช่ให้มาหาคู่ให้”
“มิน่าแกถึงได้ละเมอเดินอยู่เรื่อย ที่จริงแกอยากละเมอไปเข้าห้องคุณพิมพ์มากกว่า ถ้าละเมอก็ดูให้ดีล่ะ เดี๋ยวไปเจอยายตัวแสบนั่นเข้า”
ตฤณพูดเองก็สะใจเอง ตรีภพบรรจงยกเท้าถีบ ตฤณถลาตกเตียงไป
ห้องพักพิมพ์ดาวและแพท มีการเลื่อนเตียงพิมพ์ดาวกับแพทมาติดกันเพื่อให้นอนได้ 3 คน แพทเตรียมเอาสายสิญจน์กับพระเครื่องคล้องคอ ที่โต๊ะเครื่องแป้งพิมพ์ดาวยังคงซักไซ้น้องสาว
“แล้วนี่ซ่อมรถเสร็จหรือยัง”
“แหมกันชนบุบนิดเดียวแค่นั้นเอง เสร็จแล้วค่ะ”
“ฮึ รู้งี้ฉันไม่ให้แกใช้ก็ดี”
“ดีค่ะ จอดไว้เฉยๆ เดือนนึงให้แบตหมด”
“เออ แล้วนี่ยังไง”
“หนูให้แม่ใบเฟิร์นสตาร์ททุกวันค่ะ ฮึ คนอะไร รักรถมากกว่าน้อง”
พิมพ์เดือนค้อนพี่สาวปะหลับปะเหลือก พิมพ์ดาวหมั่นไส้ แพทยิ้มขำ 2 พี่น้อง
“ทำไม เธอเป็นอะไร”
“ก็ตอนที่หนูโดนอีหมอโรคจิตชนท้ายน่ะ มันกระเทือนไปถึงตับเลยนะคะ”
“นี่เธออย่ามาเว่อร์ แล้วนี่ยังที่เธอไปใส่ร้ายคุณหมอนั่นอีก”
“หนูไม่ได้ใส่ร้าย อีหมอนี่ต้องเป็นหมอลามกแน่ๆ ค่ะ อย่าหลงเชื่อหน้าซื่อๆ เนิร์ดๆ นะคะ”
“ก็เหมือนเธอนั่นแหละย่ะ เธอน่ะไม่แพ้ยายลินซี่หรอก”
แพทหัวเราะคิกออกมา ขยับมาส่งสายสิญจน์ให้พิมพ์เดือน 1 เส้น
“แหม น้องเดือนไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เอ้า นี่ค่ะ”
พิมพ์เดือนคอหดรับมา “แหม ที่นี่เฮี้ยนขนาดนั้นเลยหรือค่ะ”
“อย่าให้พูดเลย อื้อยย” แพททำท่าสยอง
“นี่แม่เป็นห่วงมากเลยนะคะ ให้ของขลังหนูมา แล้วก็ให้กำชับพี่พิมพ์ว่า อย่าให้สร้อยเขี้ยวเสือไปห่างตัวเด็ดขาด”
พิมพ์ดาวอึ้ง แพทร้องอุทาน
“ว้าย ตายแล้ว พี่พิมพ์”
พิมพ์เดือนงง “ทำไมหรือคะ”
พิมพ์ดาวตัดบท “แค่วันสองวันไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
พิมพ์เดือนซักไซ้ไล่เลียงพี่สาวต่อ แพทขยับตัวเตรียมนอน
คุ้มร้างตั้งทะมึนอยู่ในความมืด เคลื่อนกล้องตรงไปยังหอสูงสังเกตการณ์กลางคุ้มที่สูงราวตึก 4 ชั้น
ที่ยอดหอสูง ยอดหล้าอยู่บนตั่งในมือมีซึง นางผัน นางเผื่อนยืนอยู่ด้านหลังห่างออกไป
“จงนอนเถิด ดาราราย น้องสาวสุดที่รักของข้า ข้าจะเล่นซึงขับกล่อมเจ้าเอง”
ยอดหล้าแย้มหวาน สีหน้าเหี้ยมเกรียม แล้วกรีดลงบนสายซึง
เสียงซึงดังแว่วหวานสะท้อนสะท้านไปทั่วบริเวณ
พริบตานั้นที่คุ้มหลวงคล้ายมีคลื่นเสียงพุ่งมา คลื่นนั้นพุ่งตรงไปยังห้องหนึ่งในเรือนหลังซึ่งพิมพ์ดาวพักอยู่ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือนและแพทหลับสนิท ยอดหล้ายิ้มพรายอยู่บนหอสูง มองจ้องพิมพ์ดาวเขม็ง
“จงหวนกลับ...หวนกลับไปสู่กาลก่อนเมื่อ 200 ปีล่วงมา”
พิมพ์ดาวคิ้วขมวดมุ่น
ยอดหล้าดวงตาเจิดจ้า ลุกเรืองแผ่ออกไป 2 ด้านของใบหน้า
“ว่าเจ้าทรยศตระบัดสัตย์ ทวนคำมั่นสัญญาของเจ้าเช่นใดบ้าง”
พิมพ์ดาวผวาลุกขึ้น
เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงเวลานี้
พร้อมๆ กับภาพพิมพ์ดาวเลือนหายไป กลายเป็นเจ้านางดารารายในเสื้อผ้าของบุรุษฐานะพ่อค้า ลุกพรวดขึ้น ศีรษะกระแทกเข้ากับน้ำเต้าที่แขวนไว้กับหลังคาเรือประทุนลำใหญ่
“โอ๊ย”
ประทุนเรือนั้นกว้างใหญ่ ตกแต่งเป็นที่นอนมีหมอนผ้าแพรพรรณ เครื่องใช้ครบถ้วนดูมีราคาแต่ไม่หรูหรา นางทิพย์ นางทิม 2 นางข้าไทในเครื่องแต่งกายแบบชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ
“ว้าย เจ้านางเจ้า”
“ขอข้าเจ้าดูหัวเจ้า หัวปูดหรือไม่เจ้า”
นางทิพย์ นางทิม เข้ารุมล้อม ดารารายเอามือคลึงหน้าผากจนหน้าเบี้ยว
“ข้าไม่เป็นไรหรอก...แต่เจ็บ”
มีเสียงไก่ขันดังแว่วมา
“รุ่งสางแล้วหรือ นี่ถึงที่ใดแล้ว พี่ทิพย์ พี่ทิม”
“เข้าเขตเวียงแก้วแล้วเจ้า เจ้านางน้อย”
ดารารายทำตาโต หันไปตลบผ้าม่านประทุนเรือลง
“ถึงแล้วจริงๆ ด้วย เฮ้อ”
ดารารายถอนใจอีกเฮือก
“อันใดกันเจ้า วันก่อนยังบอกคิดถึงบ้านคิดถึงเรือนอยู่” นางทิมว่า
“แล้วมาทอดถอนใจเฮือกๆ อันใดเจ้า” นางทิพย์ถาม
“ข้าคิดถึงบ้าน...แต่ข้าไม่อยากกลับหอคำนี่”
กองขบวนเรือพ่อค้า เป็นเรือประทุนหลายลำ บางลำเป็นเรือบรรทุกสินค้าจนเพียบล่องมาตามแม่น้ำปิง แสงยามเช้าเรื่อเรืองขึ้นเป็นแนวต้นไม้ริมฝั่งขนัดแน่น บ้านเรือนริมน้ำชาวบ้านเริ่มทำกิจกรรมยามเช้า ไกลออกไปเห็นยอดเรือน หอสูงหลังคาคุ้มยอดเจดีย์โผล่ขึ้นจากแนวไม้
ที่ศาลาท่าน้ำคุ้มน้อย เจ้าหลวงแสงอินทร์ยืนหน้าเคร่งอยู่กับเจ้านางสร้อยคำ ทางด้านหลังมีขุนหาญคนสนิท และนางข้าไทคนสนิทนั่งคุกเข่าอยู่ ที่กลางศาลาดารารายนั่งคุกเข่าพนมมือท่าทางเกรงกลัวแต่ดวงตายังสนุกสนาน ในขณะที่นางทิพย์ นางทิมมีอาการหวาดหวั่นเจียนตาย
“เจ้ากล้าดีนักดาราราย เจ้าเป็นเจ้านางสูงศักดิ์แห่งเวียงแก้วแต่กลับลอบหนีไปเที่ยวลำพังถึงเชียงรุ่ง บังอาจยิ่งนัก”
“ข้าเจ้ามิได้ไปลำพังเจ้า เจ้าพ่อ พี่ทิพย์ พี่ทิมก็ไปด้วย” ดารารายเถียง
นางทิพย์ นางทิมหมอบต่ำลงไปอีก เจ้าแสงอินทร์ มองตาขุ่น
“ว่าอันใด นังสองคน ใยเจ้ารู้เห็นเป็นใจกับลูกข้า”
“ฮือ เจ้านางน้อย บอกข้าบาทสองคนว่า ได้ขอประทานอนุญาตแล้วเจ้า” นางทิพย์บอก
นางทิมว่า “ฮือ จริงเจ้า”
ดารารายบอก “ก็ข้าเจ้าขอแล้วจริงๆ นี่เจ้า”
แสงอินทร์เสียงขุ่น “เจ้าขอผู้ใด”
“ขอเจ้าแม่เจ้า เจ้าแม่ก็อนุญาตแล้ว
เจ้านางสร้อยคำค้อนลูกตาคว่ำ
“เจ้าขอข้าอันใด วันนั้นเจ้ามาหาข้าพูดงุบงิบๆ ว่าขอไปหาท่านตา”
“ข้าเจ้าบอกว่าเจ้าตาต่างหาก”
เจ้าหลวงแสงอินทร์เข้าใจในความเจ้าเล่ห์ของลูกสาว ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นขบขัน สร้อยคำเต้น
“เจ้าบอกว่าท่านตาข้าก็คิดว่า เจ้าหมายถึงท่านตาครูบาสรีที่อาศรมกลางเวียง ใครจะรู้ว่าเจ้าแอบแร่หนีไปหาเจ้าพ่อข้าถึงเชียงรุ่ง”
“เจ้าตาฝากของมาถวายเจ้าพ่อเจ้าแม่ด้วยเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์กลั้นยิ้มไว้ แล้วทำดุ
“เจ้าไม่ต้องเอาข้าวของมาบังหน้า เจ้ามันมากเล่ห์เพทุบายนัก”
“มิใช่นะเจ้า เจ้าแม่ฟังไม่ดีเองเจ้า”
“งั้นหรือ นี่แน่ะ”
สร้อยคำก้าวไปหยิกต้นแขนลูกสาว ดารารายทำโอดโอย
เสียงเจ้านางหอมุกดังนำเข้ามาก่อนตัว “อ้อ กลับมาแล้วหรือ”
สร้อยคำ ดาราราย ชะงัก หันไปเห็น เจ้านางหอมุก นางข้าไทคนสนิท ก้าวมากับยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนตามหลัง
สร้อยคำยิ้มแกมเชิดเล็กน้อย ยืนอยู่หลังลูกสาว ดารารายก้มกราบ หอมุกกับยอดหล้า หอมุกยิ้มเยาะ ยอดหล้าเม้มปาก นางผัน นางเผื่อนสะใจ นางทิพย์ นางทิม กราบแล้วถลึงตาใส่นางผัน นางเผื่อน
“กลับมาแล้วเจ้า เจ้าพี่ กำลังสอบสวนทวนความอยู่ เรื่องรกหูรกตาเช่นนี้ เจ้าพี่อย่าสนใจเลยเจ้า” สร้อยคำว่า
เจ้านางหอมุกจับหางเสียงได้ ก็เชิดหน้าบ้าง
“นี่เจ้าว่าข้าแส่อย่างนั้นหรือ สร้อยคำ”
“เจ้าพี่ ผู้ใดจะหาญกล้าว่าเจ้าพี่เช่นนั้นเจ้า”
“ว่าได้หรือ”
ยอดหล้าบีบแขนแม่ ส่ายหน้าขอร้อง
“เจ้าแม่เจ้า”
เจ้านางหอมุกเชิดหน้าก้าวไปยืนเคียงข้างเจ้าแสงอินทร เจ้าหลวงมีอาการอึดอัด
“อย่างใดเจ้า ลูกสาวคนโปรดของเจ้าพี่หนีไปเที่ยวที่ใด”
เจ้าหลวงยังไม่ทันตอบ ดารารายก็สอด
“ผิดแล้วเจ้า แม่เจ้า”
หอมุกฉงน “ผิดอันใด”
“เจ้าพี่ต่างหากที่เป็นคนโปรด มิใช่ข้าเจ้าเจ้า”
ดารารายลอยหน้ามีอาการไม่ลงรอยกับพี่สาว หอมุกถลึงตา สร้อยคำจับแขนลูกสาวเหมือนปลอบใจ เจ้าหลวงแสงอินทร์มีอาการปวดเศียรเวียนเกล้า
“พอ พอได้แล้ว เลิกต่อคำต่อความกันเสียที ข้าปวดหัวเต็มทนแล้ว ไป ไปให้พ้นหน้าข้า”
“อันใดกันเจ้า ดารารายทำผิด เจ้าพี่จะปล่อยให้ลอยนวลหรือเจ้า” หอมุกบอก
เจ้าหลวงชะงัก สร้อยคำโกรธ ประชดส่ง
“ใช่แล้วเจ้า เจ้าพี่หอมุกทรงธรรมสมเป็นแม่เมือง ลูกข้าทำผิดต้องลงโทษให้หลาบจำเจ้า”
ดารารายเม้มปากเชิดหน้า นางทิพย์ นางทิมยิ่งหน้าเสีย
“จะลงโทษสถานใด ข้ายินดีเจ้า”
หอมุกหมั่นไส้ “ดู๊”
“เจ้ามิต้องท้าทายข้า ดาราราย” เจ้าหลวงโมโหท่าทีธิดา
ยอดหล้าก้าวมา
“เจ้าพ่อเจ้า”
“อันใดหรือลูก ยอดหล้า”
“ข้าเจ้า ขอเป็นคนลงโทษดารารายเองเจ้า”
ดารารายตาขวางมองยอดหล้า ยอดหล้าเมิน
“ฮึ ให้เจ้าลงโทษ จะมีอันใดอย่างมากก็ตี 2-3 แปะ แล้วก็ให้ปักผ้าเย็บตอง” หอมุกฉุน
“ไม่เอานะ อย่างนี้เอาข้าไปโยงมือเฆี่ยนดีกว่าเจ้า”
ดารารายพรั่นพรึง ยอดหล้ายิ้มเยาะ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอยกดารารายให้เจ้าลงโทษ ยอดหล้า”
สร้อยคำสงสารลูกแต่ก็เบาใจ หอมุกสะใจ นางทิพย์ นางทิมจับแขนขาดารารายปลอบ นางผัน นางเผื่อนสะใจ
บนเรือนเจ้านางยอดหล้า นางผันเอาไม้เรียวใหญ่มา 3-4 อัน นางเผื่อนรีบมาตวัดดังเฟี้ยวฟ้าว แล้วดูมองดารารายที่คุกเข่าอยู่กลางเรือน ยอดหล้ายืนเด่น
“ต้องอันนี้เจ้า ฮิ ฮิ ฮิ”
นางเผื่อนเข้ามาคุกเข่าส่งไม้เรียวให้ยอดหล้า ยอดหล้ารับมา ดารารายมองแล้วเชิดหน้า
“ดาราราย ข้ามิได้อยากทำเช่นนี้”
“เจ้า เพราะรังแต่จะทำให้มือเจ้าพี่หยาบกร้านเสียเปล่าๆ”
“ปากคอเจ้าเราะร้ายนัก”
“อยากเฆี่ยนข้าก็เฆี่ยน มิต้องพูดมากหรอก”
นางผันหมั่นไส้ “ดู๊”
“ว้าย อย่างนี้ต้องเอาให้หนักนะเจ้า”
ยอดหล้ามองมายัง 2 นางข้าไท
“เจ้าสองคนออกไป ข้าจะตีน้อง”
“แต่ ข้าเจ้าอยากดูเจ้า” นางผันเสนอหน้า
ยอดหล้าดุ “มีอันใดน่าดู ออกไป”
นางผัน นางเผื่อนอิดๆ เอื้อนๆ ออกไป ยอดหล้าเดินไปลั่นดาน แล้วหันมา
“ลุกขึ้น”
ดารารายลุกขึ้น ยอดหล้าหน้าเคร่งเดินมาใกล้ สองพี่น้องสบตากันมีแววท้าทายไม่ลดละ จากนั้นดารารายก็ดวงตาพราวหัวเราะกิ๊ก ยอดหล้ายิ้มดวงตาวาวโผเข้าสวมกอดกัน
“จุ๊ๆๆ อย่าดังนัก”
ฟากนางทิพย์ นางทิมนั่งคุกเข่าปริวิตกอยู่ที่ชานระเบียง โดยมีนางผัน นางเผื่อน เงี่ยหูฟังอยู่หน้าประตู มีเสียงเฆี่ยนดังขวับๆ
“โอ๊ย เจ้าพี่ โอ๊ย โอ๊ย”
นางทิพย์ นางทิมสะดุ้งเอามือกุมกัน นางผัน นางเผื่อน มองเยาะเย้ยอย่างสะใจ นางทิพย์นางทิม ถลึงตาใส่
ไม้เรียวที่ทุกคนได้ยินกระทบหมอนที่ยอดหล้าเอามาพิงหัวเตียง ดารารายตีหมอนพลางร้องพลาง
“โอ๊ย ข้าเจ้าเข็ดแล้ว เจ้าพี่ เจ้าพี่”
ยอดหล้ามองดารารายอย่างเอ็นดูระคนหมั่นไส้
“พอเถิด...เดี๋ยวใครจะว่าว่าข้าใจร้ายกับเจ้า”
ดารารายชะงักมือ หันมายิ้ม “แต่แม่เจ้าจะโปรดนะเจ้าพี่ เจ้าพี่”
“เจ้าแม่ข้ามิได้ชังเจ้า แต่เจ้าชอบยั่วโทสะนางต่างหาก”
ดารารายหันไปตีหมอนอีก 2-3 ที
“พอ! เดี๋ยวแม่น้าโกรธข้าตาย”
“ใครว่า เจ้าแม่ข้าชื่นชมเจ้าพี่จะตายเจ้า”
ดารารายโยนไม้เรียวทิ้ง หันมานั่งข้างๆ ยอดหล้าพิศดูน้องสาวต่างมารดาด้วยความรัก
“ดูเจ้าแต่งตัวเข้า”
“ข้าดูเป็นบ่าวน้อยรูปงามไหมเจ้า”
ดารารายฉอเลาะวางท่าผู้ชายเต็มที่ ยอดหล้าส่ายหน้า
“เจ้าจะหลอกใครได้ บ่าวน้อยอันใดจะมีหน้าอก หน้าใจเช่นเจ้า”
ดารารายเอาสองมือตะครุบอก หน้าแดง “เจ้าพี่”
“หรือมิจริง”
“ตอนอยู่ข้างนอก ข้าก็เอาผ้ารัดไว้ซีเจ้า”
“ต่อให้รัดไว้ ผู้ใดก็ดูออก บ่าวอันใดจักงดงามถึงปานนี้”
ดารารายลุกขึ้นยืดกายตรง
“ใช่แล้วเจ้า ทั้งแผ่นดินนี้ มิมีผู้ใดงามเหนือข้า”
ยอดหล้าหมั่นไส้น้อง ดารารายพลันมานั่งเคียงยอดหล้ากอดไว้อย่างรักใคร่ พูดประจบเอาใจพี่สาว
“เว้นแต่เจ้าพี่เท่านั้นเจ้า”
ดารารายลงนอนหนุนตักยอดหล้า
“เลิกเพ้อเจ้อ จงเล่ามาเชียงรุ่งเป็นเช่นใด แล้วเจ้าเอาสิ่งใดมาฝากข้าบ้าง”
ยอดหล้าปลดผ้าโพกหัวน้องให้พลางจูบจัดปอยผม ดารารายหนุนตักพี่พลางเล่าเจื้อยแจ้ว
คืนนั้นเจ้านางสร้อยคำสีหน้าห่วงใยมองดูดารารายที่นั่งดูคันฉ่อง นางทิพย์ นางทิมคุกเข่าอยู่ที่พื้นในมืออับยาพวกไพล ขมิ้นรอให้อยู่ ดารารายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชิ้นและผ้าคาดอกมีผ้าคลุมไหล่ ชุดดูเรียบร้อยและแทบไม่ใส่เครื่องประดับๆ
“เจ็บไหมลูก ทิพย์กับทิมบอกแม่ว่า ยอดหล้าตีเจ้าไม่รู้กี่สำรับ”
นางทิพย์ นางทิม พยักพเยิดประสานเสียง
“จริงเจ้า เจ้านางยอดหล้าร้ายนักเจ้า”
“ฮื้อ เจ้าพี่ตีข้าไม่กี่แปะ ไม่เจ็บหรอกเจ้า”
“แล้วมีแผลเลือดตก ยางออกบ้างหรือไม่”
ดารารายทำท่าเก่งกล้า
“ข้าเรียนอาคม อาบว่านยาของท่านตา จะเลือดตกได้อย่างไรเจ้า”
“หมั่นไส้นัก...เอาไปเก็บ”
นางทิพย์ นางทิมเอายาไปเก็บ สร้อยคำค้อนลูกแต่ก็เอาดอกไม้คำ 2-3 ดอกเสียบมวยผมให้
“ระวังให้ดีเล่า อย่าไปเที่ยวเล่นถลากถลำจนตกหายอีก”
“เจ้า เจ้าแม่เจ้า ทำไมเจ้าแม่หอมุกถึงชังข้านักเจ้า”
“ใครว่านางชังเจ้า นางชังข้าต่างหาก”
นางทิพย์ นางทิมมาฟังเจ้านางสร้อยฟ้าเล่าตาแป๋ว
“นางรักใคร่หมั่นหมายกับเจ้าพ่อเจ้าตั้งแต่เด็ก เมื่อตกแต่งก็หมายใจว่าจักเป็นเมียเอกเมียเดียว แต่เกิดศึกเมืองกอง ข้าต้องแต่งกับเจ้าพ่อเจ้าเพื่อเชื่อมไมตรี”
“เชื่อมไมตรีหรือคานอำนาจกันแน่”
“ช่างรู้มากนัก ข้าเลยกลายเป็นเมียเอกอีกเมียหนึ่ง นางจึงชังน้ำหน้าข้า”
“ทำไมผู้ชายต้องมีหลายเมียด้วยนะ แล้วต้องมาหึงหวงแก่งแย่งตบตีกัน น่าชังจริงๆ”
“อู๊ย แม่คุณแม่ทูนหัว เจ้าเองก็ระวังให้จงดีเถิด”
“เจ้านางน้อย คำเก่าเล่าไว้เจ้า” นางทิพย์เอ่ยนำ
นางทิมเสริมต่อ “ว่าเกลียดอันใด จะได้อันนั้นเจ้า”
นางทิพย์ นางทิมหัวเราะกันคิกคัก ดารารายค้อนแม่และ 2 นางพี่เลี้ยง
ที่ศาลาริมน้ำคุ้มน้อยเวลานั้น ม่านบางถูกเอาลงโดยรอบศาลา นางทิพย์ นางทิม นางผัน นางเผื่อน ทำงานเด็ดดดอกไม้ตัดใบตองอยู่นอกม่าน มือทำงาน ปากก็แขวะกัน
“ต๊าย อีเผื่อน นั่นเจ้าร้อยกระแตหรืออีเห็น”
ในมือนางเผื่อนมีกระแตดอกไม้ดูงดงาม แต่ในมือนางทิพย์ นางทิพย์มีกระแตตัวใหญ่อีกทั้งยังดำเพราะขี้มือ นางทิพย์ นางทิมชะชัก นางเผื่อนเหลือบดูแล้วรับมุก
“อู๊ย อีผัน ฝีมือข้าชั่วช้านัก กระแตข้าเลยทั้งอ้วนทั้งดำ ฮิ ฮิ ฮิ” นางเผื่อนหัวเราะเยาะ
นางทิพย์ นางทิมสบตากัน
“อีทิพย์ ร้อยดอกไม้กับฝึกอาวุธ เจ้าชอบอันใดมากกว่ากัน”
“ย่อมเป็นฝึกอาวุธ แต่ฝึกอาวุธก็ยังไม่บานใจเท่าตบคน”
นางทิพย์ยกมือตบลมดังพรึบพรับ นางผัน นางเผื่อนคอหด
บนศาลา ยอดหล้าแต่งกายงามมีซึงในมือ ดารารายปอกฝานผลไม้ป้อนให้พี่สาว
“อื๋อ เจ้าล้างมือหรือเปล่าดาราราย”
“ข้าล้างแล้วเจ้าพี่ ล้างตั้งแต่เมื่อรุ่งแล้ว”
ยอดหล้ารู้ว่าดารารายแกล้ง
“เจ้านี่ ไหนเจ้าลองทำทำนองเพลงของเชียงรุ่งอีกทีซิ”
“เพลงนี้เขาร้องกันตั้งแต่เมืองฮีถึงฮำเลยเจ้า เจ้าพี่”
ดารารายฮัมเพลง ยอดหล้าฟังอย่างตั้งใจ ดารารายฮัมจบลง
“ใช่อย่างนี้หรือไม่”
ยอดหล้ากรีดนิ้วลงบนซึง เล่นเพลงที่ได้ยินเพียงฮัมออกมา ไม่ผิดเพี้ยนแต่ยิ่งไพเราะ ดารารายตาโตปรบมือ
“ใช่เลยเจ้าพี่ เจ้าพี่เก่งนักเจ้า”
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องบอกหรอก”
ดารารายค้อนพี่สาวแล้วร้องเพลงพร้อมกับยอดหล้าเล่นซึง
“เดินทางผู้เดียวในไพรกว้าง...ไร้คนเคียงข้างน่าพรึงพรั่นหากมีคนรู้ใจไปด้วยกัน ไพรสัณห์จักกลายเป็นเมืองบน”
สองราชธิดาร้องและบรรเลงเพลงรักประสานกันอย่างชื่นมื่น นางหนึ่งงามสคราญบาดจิตบาดใจ อีกนางซุกซนสดใสมีชีวิตชีวา
สองพี่น้องรักใคร่ผูกผันเหมือนไม่มีสิ่งใดจะทำลายความสัมพันธ์นั้นได้
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 11 (ต่อ)
เรือนไม้หลังไม่ใหญ่โตนักตั้งตระหง่านอยู่ เป็นเรือนสีดำสนิททำให้ดูเข้มขลัง บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้าน บรรยากาศเงียบสงัดคล้ายมีตบะบางอย่างเคลือบอยู่ ด้วยว่านี่คือเรือนของ ครูบาสรี
ที่หลังเรือนมีต้นไทรใหญ่ ทิ้งรากอากาศมากมายลงสู่พื้น ครูบาสรี วัยราว 60 ปี แก่เฒ่าสมวัย ผิวคล้ำดำ มีหนวดเคราสีเทา นุ่งห่มผ้าสีคล้ำจนเกือบดำ ครูบาชรานั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาอยู่บนแท่นหินใต้ร่มไทร บนแท่นหินตรงหน้า
ดารารายสวมชุดบุรุษนั่งขัดสมาธิ หลับตา แต่สักพักก็เริ่มยุกยิกๆ ถัดออกไปอีกนิด นางทิพย์ นางทิม นั่งสวดมนต์พลางชะเง้อดูนายสาวจอมแก่น ครูบาสรีพลันลืมตาขึ้น ดวงตานั้นสดใสราวคนหนุ่ม มีพลังอำนาจเจิดจ้า
“เจ้ายุกยิกๆ อันใด”
ดารารายลืมตาขึ้น “ท่านตา...ข้าเจ้าเจ็บเจียนตายแล้วเจ้า”
“งั้นหรือ ให้มันตายไป”
ดารารายกระเง้ากระงอด “ท่านตา”
“มิมีผู้ใดตายเพราะนั่งสมาธิหรอก”
“ข้าเจ้านี่แหละจะเป็นคนแรกเจ้า”
“สมาธิเป็นบาทฐานของทุกสิ่งทุกการทุกงาน เชิงอาวุธ เชิงดาบ เชิงปืน ต้องใช้สมาธิทั้งนั้น”
“ข้าเจ้าฝึกปืนผาหน้าไม้ เกี่ยวอันใดกับนั่งหลับตาเจ้า” ดารารายบ่นไม่เลิก
ครูบาสรีเหนื่อยใจ หน้าดุเคร่ง ดวงตาปราณี
“งั้นจงลุกขึ้น และเดินกำหนดรู้ไป”
ดารารายรับคำ รีบลุกปุบปับ เดินเขยกๆ ไปกลับ ครูบาสรีหลับตาลง ดารารายเดินกำหนดซ้ายขวามายังพุ่มไม้หนึ่ง พุ่มไม้แหวกออก ดารารายมองดูแล้วตาโต
“เจ้าพี่”
ดารารายรู้ตัวรีบเอามือตะครุบปาก ในพุ่มไม้ ยอดหล้าโผล่หน้ามา
ยอดหล้าฉงน “เจ้าฝึกอันใดอยู่ เมื่อใดจึงจะแล้ว”
“ยังมิได้ฝึกอันใด...จนเย็นก็มิรู้จะแล้วหรือเปล่าเจ้า นี่เจ้าพี่จะไปที่ใดเจ้า”
“ข้าจะไปผาน้ำตก กะมาชวนเจ้าไปด้วยกัน”
“เจ้าพี่รอข้าก่อน ข้าไปด้วยเจ้า”
เสียงครูบาสรีดังมาก่อน “นั่นผู้ใด ออกมาหาข้าที่นี่ซิ”
ครูบาสรีพูดโดยไม่ลืมตา เสียงนั้นเข้มดุ ยอดหล้าเบิกตากว้าง ลังเล
ครู่ต่อมายอดหล้านั่งราบลงกราบครูบาสรี ดารารายนั่งเยื้องไปข้างหลัง ครูบาสรีลืมตาขึ้น ทักทาย
“เจ้าเองรึ ยอดหล้า”
“เจ้า”
“เจ้าจะมาฝึกสมาธิเหมือนกับน้องเจ้าหรือ”
ยอดหล้าอึกอัก “ข้ามีธุระอื่นที่ต้องทำน่ะเจ้า ครูบาท่าน”
“รู้หรือไม่ว่าเจ้ามีพลังสมาธิสูงส่งยิ่ง”
ดารารายฉงน “อย่างไรหรือเจ้า ท่านตา”
“เจ้าจงดูพี่สาวเจ้ายามเล่นดนตรี นางมีสมาธิแน่วแน่เหนือผู้คนทั่วไป”
ยอดหล้าอึดอัด ไม่สนใจนัก
“จริงเจ้า เจ้าพี่นั่งเล่นซึงอยู่ท่าเดียวตั้งแต่ยามต้นจนดึกดื่น เป็นข้าคงตายไปแล้วเจ้า” ดารารายเสริม
ครูบาสรีมองยอดหล้า แล้วกลับขมวดคิ้ว ราวเห็นนิมิตบางอย่าง
“เจ้ามิควรฝักใฝ่อยู่เพียงดนตรี แต่ควรศึกษาธรรมะบ้าง ธรรมะจักกล่อมเกลาจิตใจเจ้า มิให้คิดผิด หลงผิด เดินทางผิดได้”
ยอดหล้ามองครูบาสรีอย่างไม่เข้าใจ แต่ฝืนยิ้มข่มความไม่พอใจไว้
“เจ้า ครูบาเจ้า”
“ท่านตาพูดอันใดเจ้า เจ้าพี่จิตใจงดงามดั่งนางฟ้า จะหลงผิดอันใดกันเจ้า”
ครูบาสรีนิ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ
“ข้ามีกิจต้องทำ วันนี้พอเท่านี้เถิด...เจ้าสองคนไปได้แล้ว”
บริเวณแนวป่าแห่งนั้นเชียวชอุ่ม ลำธารคดเคี้ยว น้ำไหลแรง โขดหินริมธารใหญ่สลับซับซ้อน ที่ทางเดินแคบ ดารารายยังคงแต่งกายเช่นบุรุษ จูงม้าเทศวายุตัวใหญ่มหึมา ยอดหล้านุ่งซิ่นนั่งไขว้บนหลังวายุ วายุมีท่าทางไม่คุ้น หงุดหงิด ดารารายต้องลูบคอลูบไหล่มันให้สงบ
ห่างออกไป นางทิพย์ นางทิม นางผัน นางเผื่อน กางจ้องเดินตาม นางทิพย์ นางทิมแคล่วคล่องกว่า ในมือถืออาวุธมาด้วย ส่วนนางผัน นางเผื่อนเดินกระย่องกระแย่ง มีอาการเท้าระบม
ยอดหล้านิ่วหน้า “ม้าของเจ้า ดูร้าย พยศเหลือเกิน”
“วายุ ยังไม่คุ้นเจ้าพี่น่ะซีเจ้า หรือไม่ก็มันไม่คุ้น ที่มีคนนั่งไพล่บนหลังมันเช่นนี้”
ดารารายขยับหน้าไม้ไปข้างหลัง วายุพยศเล็กน้อย ยอดหล้าตกใจโน้มตัวลง
“ดูซิ เกือบทำข้าตกแน่ะ”
“วายุ หากเจ้าแกล้งเจ้าพี่ ข้าจะตีเจ้า เจ้าพี่ลองนั่งคร่อมไหมเจ้า เผื่อจะดีขึ้น”
ยอดหล้าหน้าแดง “ข้านุ่งซิ่นเช่นนี้ จะนั่งคร่อมได้อย่างไร”
ยอดหล้าโน้มตัวลง ลูบคอม้า พูดอ่อนหวานมีเมตตา
“วายุ เจ้าตัวเก่ง เจ้าตัวดี...อย่าหงุดหงิด อย่าขึ้งอย่าเคียดข้าเลย”
ม้าวายุร้องฮี้ แล้วเดินต่อไปอย่างเรียบร้อย ยอดหล้ายิ้มออก ลูบคอมัน ดารารายจับหน้ามัน มันสะบัดหน้าชนมือดาราราย ยอดหล้ายิ้ม ดารารายท้าวสะเอวบ่นบ้า
“ดูมัน เจ้าม้าเจ้าชู้ ดูซิ มันนอกใจข้าแล้ว”
“ก็เจ้าดุร้าย ยิงนกตกปลาเช่นนี้ วายุย่อมสัมผัสได้”
“ฮึ ข้ายิง ข้าตก ก็เอามากิน มิได้ยิงเล่นทิ้งขว้างเสียหน่อยเจ้า”
“เจ้าเป็นราชธิดาเวียงแก้ว ของกินมีเหลือล้น อย่ามาอ้างเลย”
ขบวนมาใกล้ผาน้ำตก แลเห็นน้ำตกเป็นสายจากผาสูงลิบ ดารารายช่วยยอดหล้าลงจากหลังม้า
“เจ้าพี่ใจดีอย่างนี้ น่าไปบวชเป็นแม่ขาวในอาศรมท่านตา”
ยอดหล้านิ่วหน้า “อย่าพูดอย่างนี้ ท่านตาเจ้าน่ากลัวยิ่งนัก”
“ท่านตาแก่เฒ่าย่อมไม่สวยไม่งาม แต่ท่านใจดีนักนะเจ้า”
“ใจดีกับเจ้าน่ะซี...แต่กับข้า...”
มีเสียงนกร้องแก๊กมาในอากาศ ยอดหล้าชะงักหันไปแหงนมอง ดารารายตวัดหน้าไม้มา
“นั่นเหยี่ยวรุ้ง มันเคยไล่จิกข้า”
บนฟ้ามีนกใหญ่บินมา ดารารายประทับหน้าไม้เล็ง
“อย่านะ อย่าทำมัน”
ยอดหล้าห้ามแต่ไม่ทัน ลูกดอกพุ่งไปในอากาศ
อีกาตัวหนึ่งถูกลูกดอกปักปีกตกวูบลง ด้วยน้ำหนักมากเอาการมันเสียบลงกับยอดแหลมหลังคายอดเรือน
เวลานั้นเจ้านางหอมุก นางข้าไทคนสนิทกางจ้องกันแดดให้เดินมาที่สวนคุ้มหลวง เห็นนางผัน นางเผื่อนชี้นิ้วไปที่ยอดเรือนยอด
“เอ้า นังสองตัว มีอันใด”
นางผัน นางเผื่อน ซึ่งมิได้ตกใจอะไร มีอาการนึกออกว่าควรตอกไข่ พลันมีอาการตกใจตาเหลือก ตีอกชกตัว แล้วคุกเข่าลง
“แม่เจ้า.. เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้า” นางผันว่านำ
นางเผื่อนว่าเสริมตาม “เป็นขืด เป็นอัปมงคล เวียงแก้วต้องแย่แน่เจ้า”
เจ้านางหอมุกขมวดคิ้ว “ขืดอันใด อัปมงคลอันใด”
“เจ้านางน้อยเจ้า เจ้านางน้อยยิงอีกาเจ้า”
“มันตกลงเสียบเรือนยอดหอคำ เลือดตกนองหลังคา น่ากลัวนักเจ้า”
เจ้านางหอมุกแหงนดูแล้วตบอกผาง “ว้าย ตายแล้ว”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ยืนเด่น หน้าดุแต่ดวงตาอ่อนใจ เจ้านางหอมุก ยอดหล้า นั่งอยู่บนตั่ง ที่พื้นตรงหน้า ดารารายในชุดผู้ชายคุกเข่าอยู่กับสร้อยคำ รอบๆมีนางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิม แสนหลวงต่างใจ นางข้าไทคนสนิทอื่นๆหมอบเฝ้าอยู่
“รู้ไหมว่า เป็นขืด เป็นกาลกิณีนัก”
“นั่นก็ขืด นี่ก็กาลกิณี ข้อห้ามมากมายนัก ข้าเข้าจำมิได้หรอกเจ้า” ดารารายย้อนบิดา
“ว้าย”
เจ้านางหอมุกตบอกผาง ยอดหล้าหน้าเสีย บุ้ยบ้ายให้ดารารายอย่าเถียง เจ้าหลวงแสงอินทร์ตวาด แต่ดวงตาขบขัน
“นังลูกคนนี้ ดูๆ ปากคอเจ้า”
เจ้านางสร้อยคำอ่อนใจ “ดาราราย เจ้าจะยั่วให้เจ้าพ่ออกแตกหรือ”
“เจ้าพ่อไม่อกแตกดอกเจ้า เพราะเดี๋ยวจะเป็นขืดอีก”
เจ้านางหอมุกร้อง “ว้าย”
เจ้าหลวงกระทืบเท้าชี้นิ้ว แต่ดวงตายังขบขันอยู่อย่างนั้น
“เจ้ายังไม่หุบปากอีก ลูกอะไรอย่างนี้ ทำไมเจ้าไม่เอาอย่างยอดหล้า พี่สาวเจ้า วันๆ มีแต่ทำเรื่องเจริญตา เจริญใจ”
เจ้านางหอมุกได้ที “ใช่เจ้า”
“เจ้าแม่”
ยอดหล้าปรามมารดา ดารารายจะเถียงอีก สร้อยคำหยิกลูกหมับ
ในเวลาต่อมาบนเรือนเจ้านางหอมุก เจ้าหลวงแสงอินทร์นั่งอยู่บนตั่งกับเจ้านาง มียอดหล้าและดารารายอยู่ตรงหน้า เจ้าหลวงยังแสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยวธิดาคนเล็กต่อไป เจ้านางหอมุกสะใจ ยอดหล้าเป็นห่วงน้อง ดารารายเสียใจ แต่ทำไม่แยแส
“ยอดหล้า ข้าจะให้เจ้าเป็นคนอบรมบ่มนิสัยดาราราย”
“เจ้า”
“ขนาบให้จงหนัก...อย่าให้ก่อเรื่องก่อราวอีก” เจ้าหลวงย้ำ
ดารารายลอยหน้า เจ้านางหอมุกถลึงตาใส่
“อ้อ ก่อนอื่นก็ต้องจับอาบน้ำ สระหัว แต่งตัวเสียใหม่”
“เจ้า” ยอดหล้าน้อมรับ
“ไป พาดารารายไปได้แล้ว”
ยอดหล้าพยักหน้าให้ดาราราย สองราชธิดากราบลง แล้วออกไป ดารารายทำมีดสั้นตกลงพื้น เมื่อลูกสาวลับตัว เจ้านางหอมุกก็ลุกขึ้นค้อนสามีตาคว่ำ
“อันใดอีกเล่า”
“คิดว่าจะลงโทษอันใด มีแค่ให้ยอดหล้าอบรมบ่มนิสัย ยอดหล้าใจอ่อนดังนุ่นจะทำอันใดได้”
“ดารารายจักได้ซึมซับนิสัยยอดหล้าไว้บ้างไง”
“ลูกสาวสองคน เจ้าพี่รักใครมากกว่ากันเจ้า”
ดารารายเดินกลับมา ชะงัก แอบหลังฉากกั้นห้อง
“ลูกคนใดได้ดั่งใจข้า ข้าย่อมรักคนนั้นมากกว่า”
ดารารายนิ่งงันไป
เจ้านางหอมุกได้ฟังก็พอใจ เจ้าหลวงแสงอินทร์โอบกอดเจ้านางไว้จากเบื้องหลัง พลางจูบเรือนผมละมุนละไม
“แล้วเมียสองคน เจ้าพี่รักใครมากกว่ากันเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามนี้ เพราะถูกถามมาเป็นพันๆครั้งแล้ว
“เจ้าคือรักแรกของข้า ย่อมล้ำลึกฝังอยู่กลางใจ”
ดารารายเชิด หันตัวกลับไป
นางข้าไทคนสนิทเปิดประตูออก เจ้าหลวงแสงอินทร์ถือมีดพกดารารายเข้ามาบนเรือน เจ้านางสร้อยคำอยู่บนเตียง ค้อนสามีขวับ นางข้าไทออกไป แสงอินทร์ก้าวไปหาสร้อยคำ
“ถ้าจะมาเฆี่ยนตีลูกล่ะก็ ไม่ทันแล้วเจ้า ดารารายไปเรือนยอดหล้าแล้ว”
“ดารารายลืมมีดพกเอาไว้ที่เรือนโน้น ข้าเอามาคืนเจ้า”
“มีดของลูกก็เอาไปคืนลูกซีเจ้า เอามาให้ข้าเจ้าทำไม”
เจ้าหลวงนั่งลงชิดเจ้านางสร้อยคำ
“เพราะมีดนี้เคยเป็นของเจ้า มีดที่เคยช่วยชีวิตข้า ณ ครั้งศึกเมืองกอง”
สร้อยคำค้อน ดวงตาฉ่ำ
“ตอนนั้นเจ้าพี่ชังข้านักมิใช่หรือ ที่ต้องหมั้นหมายกับข้าเจ้า”
“ข้าแค่โกรธที่ถูกบังคับ แต่เมื่อได้ร่วมเป็นร่วมตาย หัวใจข้าก็รักเจ้าโดยไม่รู้ตัว”
“หัวใจที่มีเจ้าพี่หอมุกครอบครองอยู่แล้วน่ะซีเจ้า”
“ถึงเจ้ามิใช่รักแรก แต่ก็รักมั่นผูกพันยิ่งนัก”
เจ้านางสร้อยคำขยับถอย ลุกขึ้น
“แบ่งใจไปรักลูกดารารายบ้างเถอะเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ลุกตาม พลางยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ
“ลูกคนนี้เก่งกล้าสามารถ ฉลาดเฉลียว ปากคอเราะร้าย คล้ายเจ้ายิ่งนัก”
สร้อยคำค้อนขวับ “ฮึ”
“ที่ดารารายบอกว่าจำไม่ได้ เพราะนั่นก็ขืด นี่ก็กาลกิณี ข้าเกือบหัวเราะออกมาแล้ว เฮ้อ บ้านเราเมืองเราช่างเชื่องมงายสมดังลูกว่า”
เจ้านางสร้อยคำค้อนอีก
“แล้วไยต้องเกรี้ยวกราดลงโทษลูกนักล่ะเจ้า”
“ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ทำผิด ให้ท้ายได้อย่างไร ดีเสียอีกให้ยอดหล้าอบรม เผื่อจักเรียบร้อยขึ้นบ้าง”
ฝ่ายยอดหล้าจับดารารายมานั่งหน้าคันฉ่อง จับดารารายแต่งตัว แต่งหน้า แต่งผมจนงามสะคราญ
นางผัน นางเผื่อน นั่งอยู่แทบเท้าแอบค้อนควักดาราราย ดารารายหันมาเถียงยอดหล้าอยู่
“เจ้าเป็นเจ้านางน้อยแห่งเวียงแก้วต่างหาก” จับน้องสาวหันไปดูกระจก “ดูซิว่าเจ้างามแค่ไหน”
ดารารายมองดูตัวเอง พอใจกับความงามที่เห็น แต่ก็ทำปากยื่น
“งามอันใด ข้าคือดาวส่งแสงริบหรี่ แต่เจ้าพี่คือจันทราทรงกลด ทอแสงเต็มฟ้า”
นางผัน นางเผื่อน สอด
“จริงเจ้า”
“ให้แต่งเท่าใดก็ไม่งามเท่าเจ้า”
ดารารายไม่ยี่หระ แถมแลบลิ้นหลอก 2 พี่เลี้ยงทรงโต แต่ยอดหล้าโกรธตาวาว หันขวับมาเอาเรื่อง
“ผัน เผื่อน หุบปากของเจ้า แล้วออกไปให้พ้นหน้าข้า”
นางผัน นางเผื่อนหน้าเสีย ลนลานขยับถอย ยอดหล้าหันมาหาดารารายที่ยังยิ้มอยู่
“อย่าว่านังสองคนเลยเจ้า มันพูดคำจริง ทำเช่นใดข้าก็ไม่เทียบทันเจ้าพี่”
“พูดอันใด ใครต่อใครก็รักเอ็นดูเจ้า”
“แต่มิใช่เจ้าพ่อ เจ้าพ่อคงชังน้ำหน้าข้านักเจ้า”
สีหน้าดารารายหมองลงไปถนัดตา ยอดหล้าจับไหล่ ปลุกปลอบ
“เจ้าก็อย่าขัดใจ ทุ่มเถียงเจ้าพ่อนักซี”
ดารารายเศร้าวูบเดียว ก็ลอยหน้ายิ้มเป็นเชิงว่า ทำไม่ได้ ยอดหล้ามองอย่างอ่อนใจ หันไปจัดดอกไม้คำต่อ
ขณะเดียวกันที่เรือนครูบาสรีดูบรรยากาศมืดทะมึน บนท้องฟ้า เมฆมากมายเคลื่อนมาจนดูดำมืด มีฟ้าแลบสว่างที่ปลายฟ้า
บนเรือนครูบาสรีนั่งอยู่บนอาสนะ ตรงหน้ามีกระถางกำยานลุกไหม้ส่งควันกรุ่น รอบๆ จุดเทียนพราวพราย ครูบาสรีหลับตานิ่งอยู่
ตรงหน้าครูบาสรี เป็นเจ้านางหอมุก และเจ้านางสร้อยคำนั่งพนมมือ ด้านหลังมีนางข้าไทต่างใจคนสนิทหมอบอยู่ ครูบาลืมตาขึ้นช้าๆ
“เจ้าสองคนอยากรู้อันใด”
“ก็อยากรู้โชคชะตาราศีทั่วๆไปแหละเจ้า ครูบาเจ้า”
เจ้านางสร้อยคำเย้า “มิใช่เท่านั้นมังเจ้า เจ้าพี่”
เจ้านางหอมุกค้อนเจ้านางสร้อยคำขวับ
“แล้วก็อยากรู้เรื่องคู่ครองของยอดหล้าด้วยเจ้า”
“ข้าเจ้า.. ก็อยากรู้เรื่องคู่ครองของดารารายเจ้า”
ครูบาสรีนิ่งงันไปชั่วขณะ รู้สึกอัดอั้นตันทรวง มีแววหนักใจในสิ่งที่จะต้องตอบ
คืนนั้น วิหารหลังเล็กแต่งงดงามด้วยศิลปะตั้งอยู่ ถัดไปมีเจดีย์ยอดเป็นทองคำ เมฆฝนบนฟ้าดำทะมึน มีฟ้าแลบในก้อนเมฆ ตามด้วยเสียงฟ้าคำราม
องค์พระปฏิมาตั้งตระหง่านภายในวิหารที่ระยิบระยับด้วยแสงเทียน ควันธูปตลบอบอวน ยอดหล้าและดารารายใน ภูษา พัสตราภรณ์ วูบวับอยู่หน้าพระ ห่างออกไป นางทิพย์ นางทิม นางผัน นางเผื่อน นั่งอยู่
“วันก่อน เจ้าพ่อให้ครูบาสรีทำนายโชคชะตาราศีเราสองคน ครูบาทำนายว่า เจ้ากับข้า จัก...” ยอดหล้าค้างคำ
“จักอันใด”
“จักแย่งชิงผู้ชายคนเดียวกัน และจักกลายเป็นศัตรูกัน”
ฟ้าแลบสว่างเข้ามา ดารารายทำปากยื่นไม่เชื่อ
“ฮึ หมอดูคู่กับหมอเดา ข้าไม่เชื่อดอก”
“ข้าก็ไม่เชื่อ”
ยอดหล้ามีท่าทางพรั่นพรึง ฟ้าแลบอีก แล้วมีเสียงฟ้าคำรามครืนครั่น
“เจ้าพี่ไม่เชื่อ แต่ทำไมถึงได้หวาดกลัวนัก เอาเถอะ ข้าขอให้คำมั่นต่อหน้าพระปฏิมา ว่าข้าจะไม่มีวันแย่งชิงชายคนรักของเจ้าพี่เป็นอันขาด”
ยอดหล้ายิ้ม นางผัน นางเผื่อน เบ้หน้าว่าอย่าไปเชื่อ นางทิพย์ นางทิม เชิดใส่
“หากแม้นวันใด ข้าคิดคด ตระบัดสัจจะวาจานี้ ขอให้ข้าจงตายด้วยทัณฑ์ทรมาน ตายแล้วก็จงอย่าได้ผุดได้เกิด ให้…”
ดารารายสาบานไม่ทันหมดความ ยอดหล้าหน้าเสีย ยุดมือดารารายไว้ให้หยุดพูด
“พอเถอะพอ ข้าเชื่อเจ้าแล้ว”
ดารารายยิ้มกับยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน เปรย
นางผันเหน็บ “วุ้ย สาบานหนักไปจะเป็นไรไปเจ้า”
นางเผื่อนพลอยพยัก “เพราะเจ้านางน้อยคงไม่สามารถแย่งชิงอันใดได้ดอกเจ้า”
ดารารายชะงัก มองนางผัน นางเผื่อน ขณะ นางทิพย์ นางทิม ตาวาวอ้าปากจะด่า
“เจ้าสองคนหุบปากนะ” ยอดหล้าเสียงดังใส่ 2 นางข้าไท
นางทิพย์เอ่ยขึ้น “แต่เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเจ้า”
“เจ้านางใยให้เจ้านางน้อยสาบานอยู่ฝ่ายเดียวเจ้า” นางทิมว่า
“พี่ทิพย์ พี่ทิม พูดอันใด”
นางผันฉุน “ต๊าย นังสองคน...บังอาจนัก”
ยอดหล้ายิ้ม จับแขนดาราราย
“ไม่เป็นไรหรอก ดาราราย ข้าเองก็จะให้คำมั่นเช่นกัน” ยอดหล้าพนมมือ “ว่าข้าจักไม่มีวันแย่งชิงชายคนรักของเจ้าเป็นอันขาด หากแม้นวันใดข้าคิดคด ตระบัดสัจจะวาจานี้ ขอให้ข้าจงตายด้วยทัณฑ์ทรมาน ตายแล้วจงอย่าได้ผุดได้เกิด ให้ทนทุกข์มิรู้จบรู้สิ้นด้วยเถิด”
ฟ้าแลบสว่างวาบ ตามด้วยฟ้าคำรามดังกึกก้อง แสงฟ้าทาบลงบนร่างยอดหล้าและดาราราย ควันธูปตลบลอยขึ้นสู่เบื้องบนราวนำคำสาบานนั้นไปสู่เมืองฟ้า
ดวงตะวันทอแสงเจิดจ้าอยู่กลางฟ้าสดใส ต่ำลงมาเป็นขุนเขาสูงใหญ่ราวกำแพงยักษ์ สูงจนยอดหายไปในเมฆหมอก ป่าเบื้องล่างเป็นป่าดงดิบเขียวขจี มีแนวถนนคดเคี้ยวไปตามราวป่า บนถนนนั้นมีกองเกวียนพ่อค้าขบวนใหญ่กำลังเดินทางมา
เกวียนเล่มหนึ่งซึ่งมีผ้าหนาหนักคลุมเป็นปะทุนทางด้านท้าย จู่ๆ มีมือขาวแหวกผ้าออกเหน็บกับ 2 ข้าง เห็นว่าคือมือนางทิพย์ นางทิม ในชุดบุรุษ
“เจ้านางน้อยเจ้า ใกล้เขตเวียงไชยแล้วเจ้า”
“ขัวดำอยู่เบื้องหน้านี่แล้วเจ้า”
ดารารายในชุดบุรุษสามัญชนอย่างพ่อค้าโผล่หน้ามา มีผ้าโพกศีรษะซ่อนผมยาวเหยียดไว้ ทรวงอกถูกรัดจนแบน ใบหน้าเอาแป้งเจือสีจนคล้ำทาไว้
“ยังอีกตั้งครึ่งค่อนวันกว่าจะถึง”
“เจ้านางเจ้า”
“พี่ทิพย์ พี่ทิม ข้าบอกพี่กี่หนแล้ว ว่าให้เรียกข้าว่าเจ้าราย”
นางทิพย์ นางทิม พากันอ่อนใจ
“ข้าไปดูเกวียนนำดีกว่า”
ดารารายคว้าหน้าไม้ ปีนเกวียนกระโจนผลุบลงดินไป
บนเกวียนนำขบวน ลุง นายกองเกวียนนั่งสูบกล้องยาวอยู่ ดารารายโผล่พรวดขึ้นเกวียนมานั่งคู่
“เจ้านางน้อย! ข้าตกใจหมด”
“ท่านลุง อย่าเรียกข้าเจ้านางซี”
นายกองอ่อนใจ ดารารายยืดตัวแล้วขยับผ้ารัดอกยุกยิก นายกองเกวียนต้องเมินหน้าหนี
“ท่านลุง ขอข้าขับเกวียนบ้าง”
นายกองเกวียนส่งแส้หนังให้ ดารารายตวัดแส้ตีอากาศ
“เร่งเท้าเข้าอีก เจ้าเผือก เจ้าแหง่”
กองคาราวานเกวียนเดินทางต่อไป ดารารายบันเทิงใจเป็นที่ยิ่ง
แม่น้ำเล็กๆ ไม่กว้างนัก แต่ด้วยเพิ่งสิ้นหน้าฝน น้ำไหลเชี่ยวกราก มีสะพานไม้สีดำแข็งแรงทอดข้าม ดารารายขับเกวียนตระบึงขึ้นขัวดำอย่างรื่นรมย์ใจ
“ฮึ่ย ฮึ่ย”
ดารารายยิ้มย่องมองไปเบื้องหน้า แล้วชะงักเมื่อพบว่าตรงหน้ามีขบวนม้า 2 แถว แถวละ 5 ตัว อยู่ที่ปลายสะพานอีกด้านกำลังสวนมา ต่อจากม้าก็เป็นขบวนเกวียนพ่อค้าเช่นกัน อยู่ที่พื้นดินเชิงสะพาน ยาวไปตามถนน
นายกองเกวียนสะกิดบอกดาราราย
“ถอยก่อนเถิด เจ้านาง”
“เรื่องอันใด ไป”
ดารารายขับเกวียนต่อไป ไม่แยแส เกวียนเล่มต่อๆมาตามเป็นพรวน เกวียนของดารารายเข้าประจันหน้ากับขบวนม้ากลางสะพาน
ดารารายเชิดใส่ นายกองเหนื่อยใจ
ม้าขบวนนั้น นำหน้าด้วย หัวหน้าพ่อค้าวัยกลางคน หน้าตาบอกว่าเป็นชาวใต้ ผิวคล้ำเกรียมแดด แต่คนบนหลังม้าอีกคน เป็นชายหนุ่มแต่งตัวปอนๆ แต่ผิวขาวจัด ดูสำอางองค์ มองดูดารารายกับกองเกวียน
หัวหน้าบอก “พวกเจ้าหยุดก่อน”
ดารารายย้อน “ทำไมต้องหยุด”
“กองเกวียนของพวกข้าขึ้นสะพานก่อน พวกเจ้ามาภายหลัง”
“กองเกวียนของพวกเจ้าต่างหากที่มาภายหลัง”
หัวหน้ากองเกวียนอารมณ์เสีย ชายหนุ่มชื่อ ขุนกล้า ยกมือให้สงบก่อน ชายบนม้าตัวที่สามกระตุ้นม้ามาสมทบ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่ดูกะล่อนและไม่สำอางเท่า
“ยังไงกัน คุณห.. เอ้อ เจ้าภักดิ์”
“กำลังเจรจากัน” ชายชื่อภักดิ์ว่า
“ไม่เห็นต้องเจรจา พวกเรามาก่อนแน่แท้”
“ไอ้กล้า เงียบน่ะ ข้าพูดเอง”
ที่แท้บุรุษผู้นี้คือ หลวงเทพภักดีในคราบพ่อค้าจากโยธิยา เขามองดูดารารายอย่างสำรวจ ดารารายเชิดหน้า
“ตามหลักแล้ว กองเกวียนของผู้ใดมาก่อน ผู้มาหลังต้องถอยให้ ใช่หรือไม่” หลวงเทพถาม
“ใช่ ตกลงตามนั้น” ดารารายว่า
“ขบวนของพวกข้ามาก่อน เจ้าก็รู้อยู่”
“ใช่ ขบวนของพวกเจ้ามาก่อน”
หลวงเทพภักดี ขุนกล้า หัวหน้าพ่อค้า เริ่มงง ไม่รู้ดารารายจะมาไม้ไหน
นายกองหน้ายุ่ง พยายามจะเกลี้ยกล่อมดาราราย ดารารายโบกมือให้เงียบ
“แล้วอย่างไร” หลวงเทพถาม
“จงฟังข้าให้ดี ขบวนของเจ้ามาก่อน แต่กองเกวียนของเจ้ายังอยู่ปลายสะพานโน้น ส่วนของเกวียนของข้าอยู่กลางสะพานแล้ว”
หลวงเทพภักดีเข้าใจทันที ขุนกล้านึกตามครู่หนึ่งก็รู้ว่าดารารายเล่นลิ้น หัวหน้าพ่อค้าโกรธหนวดกระดิก นายกองเกวียนกลัวแทนดาราราย แต่ดารารายเชิดหน้ายิ้มกริ่ม
“เจ้า!” หลวงเทพฉุน
ดารารายย้อนถาม “ว่า อย่างไร”
“มันเล่นลิ้น เล่นคำ คิดคดโกงพวกเรา” กล้าว่า
หลวงเทพภักดีโบกมือห้ามขุนกล้า แล้วหัวเราะออกมา ดารารายผิดคาด
“เจ้าหนุ่มน้อย...เจ้าชนะ พวกข้าจะถอยให้”
หลวงเทพโบกมือ ขุนกล้าฮึดฮัดแต่ก็ยอมตาม ม้าทั้ง 5 ชักม้าเดินกลับ ดารารายยิ้มกริ่ม ตวัดแส้ฟาดอากาศ วัวเทียมลากเกวียนไป หลวงเทพชักม้ากลับ เดินขนาบไปกับเกวียน ดารารายเหลือบมองเขา หลวงเทพมองตอบ ดารารายลืมตัวว่าอยู่ในคราบบุรุษแลบลิ้นหลอก หลวงเทพภักดีอึ้งไป
คืนนั้นกองเกวียนที่ดารารายมาด้วยหยุดยั้งลง ตั้งกองพักผ่อนที่ชายป่าใกล้แม่น้ำ ตรงนั้นเป็นโค้งคุ้งน้ำ น้ำไหลแรงเชี่ยว กองเกวียนจัดเกวียนล้อมรวมกันเป็นวงกลม ก่อกองไฟใหญ่ตรงกลาง บรรดาวัวถูกแยกไปในคอกที่กั้นอย่างง่ายๆ มีกองไฟย่อยๆหลายกองจุดล้อม คอกวัวและกองเกวียนเพื่อกันยุง สัตว์เลื้อยคลาน แม้แต่สัตว์ใหญ่
บรรดาพ่อค้านายกองออกมาล้อมวงกินอาหาร ดื่มเหล้า มีการเล่นดนตรี ร้องเพลง สรวลเฮฮา
ส่วนที่ประทุนเกวียนของดาราราย ดารารายเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ประแป้งหน้าลายพร้อย นางทิพย์ นางทิม จัดข้าวปลาอาหารให้กินในประทุนเกวียน
“เจ้านางน้อย ของกินเรียบร้อยแล้วเจ้า” นางทิพย์บอก
“ข้าไม่กิน ข้าจะไปกินกับพี่ๆ พ่อค้า”
นางทิพย์ตกใจ “ไม่ได้นะเจ้า พวกนั้นกินเหล้าเมายา”
“เหล้าข้าก็กินเป็น ไม่เห็นเป็นไรเลย” ดารารายรั้นตามเคย
“มิใช่เท่านั้นเจ้า แต่พ่อค้าเหล่านั้นเป็นคนหยาบกร้าน” นางทิมยกเหตุผลด้วยเป็นห่วง
“พวกนั้นชอบเล่าเรื่องสัปดี้สีประดน เพลงที่ร้องก็สองแง่สองง่าม”
ดารารายยิ้มแป้น “ดีออก ข้าชอบฟัง”
นางทิพย์ นางทิม ตบอกผาง ช่วยกันทัดทาน
“มิได้เจ้า ยังไงก็มิได้ ข้าเจ้าห้ามเด็ดขาด”
“ถ้าเจ้านางไม่กิน ข้าเจ้าสองคนก็จะไม่กินเหมือนกัน”
นางทิพย์ นางทิม ยื่นคำขาด ดารารายค้อน แล้วคว้าข้าวเหนียวมาจิ้มเข้าปาก อาการกระแทกกระทั้น
ที่แนวป่าริมน้ำฝั่งตรงข้ามกัน หลวงเทพภักดและขุนกล้าขี่ม้าพ่วงพี 2 ตัว เหยาะย่างมาคล้ายลาดตระเวน มีเสียงเพลง เสียงเฮฮาดังแว่วมา ทั้งสองมองไปที่ริมน้ำฝั่งโน้น มีแนวต้นไม้ แสงไฟสว่างจากหลังแนวไม้
“พวกมันพักเกวียนตรงโน้น ยิ่งนึกข้ายิ่งชังไอ้หนุ่มนั่น”
“ไม่หนุ่มหรอก ยังเด็กน้อยอยู่เลย แต่ฉลาดแกมโกง แก่แดดแก่ลมนัก”
หลวงเทพนึกขบขัน
ตกดึก เสียงสรวลเสเริ่มหาย บรรดาพ่อค้าที่ล้อมวงกินเหล้ารอบกองไฟใหญ่ ล้วนมึนเมา บ้างหลับ บ้างร้องหงุงหงิงอยู่ในคอ บ้างกอดคอเพื่อนร้องไห้กระซิก นายกองเกวียนหน้าตึง ยังไม่เมามาก ดารารายย่องมาดู
นายกองเห็น “อ้าว เจ้านาง”
“ข้าชื่อเจ้าราย”
ดารารายนั่งลงด้วย นายกองทำท่านอบน้อม ดารารายมองดูรอบๆ
“โอ้โฮ เมากลิ้งเลย”
“พวกมันอดอยากมาหลายวัน พอใกล้ถึงเวียงไชยก็เลยเบาใจ กินกันเต็มคราบ” นายกองว่า
ดารารายหยิบขาไก่มาแทะ นายกองทำตาปริบๆ
“อื้อฮือ ไก่นี่รสดีจริง”
มีเสียงนกดังแว่วมา ดารารายนิ่งฟัง เสียงดังกาฮังก้อง
“เสียงนกอันใด ท่านลุง”
นายกองเงี่ยหูฟัง “อ๋อ เสียงนกกาฮัง เจ้านาง”
“อือ นกกาฮังนี่ออกหากินกลางคืนด้วยหรือ ท่านลุง”
นายกองคิดนิดหนึ่งก็ตาเหลือก “ผิดท่าแล้ว”
ดารารายรู้ทันที คว้าดาบของคนเมาใกล้ตัวขึ้น “พวกโจรหรือ ท่านลุง”
ลุงนายกองลุกพรวดขึ้นเตะ คนเมาหลัง 2 สองใกล้ตัว แล้วไปยังเกราะที่แขวนอยู่ คว้าไม้จะเคาะ ทันใดก็ชะงัก ล้มหงายลง ที่คอมีธนูปัก ดารารายตกใจสุดขีด รอบด้านพลันอื้ออึง คนเมางัวเงียลุก มีธนูมาปักอกล้มผาง ดารารายกลิ้งตัวหลบเลียดพื้น ทันใดนั้นก็มีธนูเพลิงปลิวมาติดยังเกวียนหนึ่ง ไฟลุกโพลงขึ้น
หลวงเทพและขุนกล้ากำลังชักม้าเหยาะย่าง เห็นไฟลุกโพลงขึ้นหลังแนวไม้บริเวณค่ายพักกองเกวียนของดาราราย ก็มองอย่างแปลกใจ ทันใดก็มีเสียงระเบิดตูม ลูกไฟพุ่งขึ้นเป็นลำ แสดงว่ามีเชื้อเพลิงติดไฟ
“เกิดเรื่องแล้ว มีโจรปล้นกองเกวียน”
“เอาอย่างไร คุณหลวง”
“ไอ้กล้า เอ็งไปค่ายเรา ตามทหารมาช่วย ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน”
ขุนกล้าลังเลนิดหนึ่ง แต่รู้ว่าทัดทานหลวงเทพไม่ได้แน่
“ได้...คุณหลวง.. ระวังตัวด้วย”
หลวงเทพกระตุ้นมาตรงไปยังขัวดำ
จากการระดมยิงด้วยหน้าไม้ของโจรป่า พวกพ่อค้าล้มตายไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือคว้าอาวุธ ถือโล่ หรือเข้าที่กำบังป้องตน บรรดาโจรท่าทางโหดเหี้ยมชั่วร้ายถือดาบบุกเข้ามา พวกมันเปลือยอกที่มีรอยสักดำพรืด ตัวมีมัดกล้ามมันเลื่อม ไว้หนวดเครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวหัวหน้า ถือขวานใหญ่ 2 มือ หนวดเครารุงรัง
บรรดาพ่อค้าที่เหลือราว 10 คน คว้าอาวุธเข้าประมือพวกโจรที่มีราว 15 คน ฝีมือนั้นทัดเทียม แต่ด้วยความเมาทำให้ถูกพวกโจรฟาดฟัน บาดเจ็บ ล้มตาย คนแล้วคนเล่า ดารารายคว้าดาบฟันโจรคนหนึ่งล้มไป แล้ววิ่งตรงไปยังเกวียน เพราะห่วงนางทิพย์ นางทิม
นางทิพย์ นางทิม ถือดาบสองมือ กระโจนลงจากเกวียนฟาดฟันพวกโจรอย่างใจกล้า นางทิพย์ นางทิม มองไปมุมหนึ่งเห็นดาราราย
“ไม่เป็นไรนะเจ้า”
“ไม่เป็นไร พี่ระวังให้ดี”
นางทิพย์ นางทิม ฟาดฟันพวกโจรฝีมือก้ำกึ่ง ดารารายเข้าฟันโจรคนหนึ่งล้มคว่ำไป
ฟากหลวงเทพขี่ม้าตระบึงมา แสงไฟจากค่ายถูกปล้นสว่างมาถึงตัว ได้ยินเสียงอาวุธการต่อสู้ เสียงวัวตื่น ดังปนกัน
นางทิพย์ตะโกน
“เจ้านางเจ้า”
ดารารายหันมา นางทิพย์พลันโยนหน้าไม้ไปให้ ดารารายรับไว้ นางทิมโยนกระบอกลูกดอกตามไป ดารารายรับไว้ แล้วปีนขึ้นหลังคาประทุนเกวียน หมอบลาบลงพลางเล็งหน้าไม้ลงไปเบื้องล่าง
ทางด้านล่าง บรรดาพ่อค้าเหลือเพียง 5 คนที่ยังต่อสู้ได้ ในขณะที่พวกโจรเหลือเป็นสิบ ดารารายเล็งหน้าไม้ยิงไปต่อเนื่อง ถูกพวกโจรล้มไป 3 คน
หัวหน้าโจรมองไป เห็นดาราราย มันคำรามแล้วคว้าไม้ฟืนติดไฟ ปาไป ไฟไหม้ประทุนเกวียน นางทิพย์ นางทิม หวีดร้อง
ไฟติดพึ่บขึ้นใกล้ตัว ดารารายกลิ้งตัวหนี ตกพลั่กลงมายังพื้น นางทิพย์ นางทิมหวีดร้อง ขยับจะมาช่วย แต่พวกโจรเข้าขวางต่อสู้ผูกพันอยู่
ดารารายจุกแอ๊ก หน้าไม้ กระบอกลูกดอกกลิ้งอยู่ห่างตัว ดารารายตะกายไป แต่หัวหน้าโจรก้าวมาขวาง
“ไอ้หนู มึงตาย”
หัวหน้าโจรฟาดขวานลงซ้ายขวา ดารารายกลิ้งหลบอย่างทุลักทุเล นางทิพย์ นางทิมร้องหวีด เสียจังหวะ ถูกโจรฟันบาดเจ็บ
หัวหน้าโจรฟาดขวานลงซ้ายขวา ดารารายกลิ้งหลบไปเจอโจรบาดเจ็บคนหนึ่งที่นอนกลิ้งอยู่ มันเอาแขนล็อกคอดารารายไว้ ดารารายตาเหลือกดิ้นรน
“ปล่อยข้า ไอ้โจรชั่ว”
หัวหน้าโจรหัวเราะก๊าก มองดารารายตาวาว
“ไอ้หนุ่มน้อย เจ้างามนัก มาเป็นเมียข้าเถิด”
สมุนโจรอึ้งไป “หัวหน้า มันเป็นผู้ชายนะ”
หัวหน้าโจรยิ้มแสยะ “แล้วอย่างไร ข้าไม่เกี่ยง”
สมุนโจรยิ้มแหย ดารารายขยะแขยงสุดขีด
“ไอ้โจรชั่ว วิปริต”
หัวหน้าโจรกวัดแกว่งขวางอย่างข่มขวัญ คมขวานฟาดผ่านหน้าดาราราย ทันใดนั้นก็มีม้าพุ่งมาถึงตัว คมดาบฟันลง หัวหน้าโจรฝีมือไม่ใช่ย่อย เบี่ยงหลบทัน คมดาบโดนไหล่ ขวานหลุดมือไปด้ามหนึ่ง
หลวงเทพภักดีชูดาบ วกม้ากลับมา หัวหน้าโจรหันขวับไปขว้างขวานอีกด้ามไป ขวานหมุนคว้างเข้าใส่หลวงเทพ หลวงเทพใจหายวาบ เอียงตัวหลบตกจากหลังม้า ขวานพุ่งเฉียดร่างไป
ดารารายเอาศอกกระแทกท้องสมุนโจร มันร้องปล่อยแขนที่ล็อคคอ ดารารายพุ่งมาที่ขวานที่ตก คว้าขึ้น หันไปเอาสันขวานฟาดผลัวะเข้าเต็มหน้า สมุนโจรหงายหลังสิ้นสติไป ดารารายทิ้งขวานไป
หลวงเทพตกถึงพื้นก็ม้วนตัวแล้วดีดตัวขึ้นยืน ชักดาบอีกเล่มข้างหลังมาเป็นดาบ 2 มือ
ดารารายตะกายไปคว้าหน้าไม้และกระบอกลูกดอก หัวหน้าโจรก้าวไป สมุนโจรอีก 5-6 คนก้าวมา คนหนึ่งเอาขวานมาให้ ดารารายก้าวไปหาหลวงเทพ
“เอ้านี่”
หลวงเทพโยนดาบในมือให้เล่มหนึ่ง ดารารายรับมาแล้วขยับดู สมุนและหัวหน้าโจรกระจายออกล้อม ดารารายขยับเอาหลังชนกับหลวงเทพ ทั้งคู่ขยับอย่างเป็นกระบวน กลุ่มโจรก็ขยับบีบวงล้อมเข้า หัวหน้าโจรเขม้นดูหลวงเทพ
“เจ้านี่ก็รูปงาม ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ดี ดี ดี”
หลวงเทพทำตาปริบๆ “ดีอย่างไร”
ดารารายบอก “มันจะจับเจ้าไว้เป็นเมียมัน”
หลวงเทพโมโห “เรื่องอะไร ไอ้คนลักเพศ”
หัวหน้าโจรหัวเราะร่าราวได้คำชม “ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ดี มาเป็นเมียข้าทั้งคู่”
หัวหน้าโจรโบกมือ สมุนโจรทั้ง 5-6 คนก้าวขยับเป็นวง จดจ้องหาจังหวะ ดารารายและหลวงเทพก็ขยับหมุนตาม
“จัดการ”
สมุนโจรลงมือ ก้าวเข้ามาฟาดฟัน ดารารายและหลวงเทพตั้งรับ พลางขยับถอยไปด้วย
ดารารายและหลวงเทพขยับถอยมาถึงท่าน้ำ บรรดาสมุนโจรยังคงผลัดกันเข้าโจมตี ฟาดฟัน ใครเสียจังหวะก็กลิ้งตัวออก คนใหม่ก็สะอึกเข้าไปแทนที่
หลวงเทพมองไป เห็นที่ท่าน้ำมีไม้ไผ่ผูกกันไว้เป็นแพหนา เพื่อใช้เป็นท่าตักน้ำ ผูกไว้กับตลิ่งด้วยเชือกเส้นใหญ่ กำลังไหวโยกด้วยแรงคลื่น
หลวงเทพเกิดความคิด ร้องบอกดาราราย
“ไปที่แพนั่น”
ดารารายเข้าใจทันที สมุนโจรผู้หนึ่งคุกเข่าลง ดารารายพลันเหยียบบ่ามันถีบตัวลอยขึ้นม้วนตัวกลางอากาศ แล้วทิ้งร่างลงบนแพ ในจังหวะใกล้กัน หลวงเทพพุ่งร่างขึ้นตามมา ดารารายฟันเชือกที่ล่ามแพไว้ขาด แพพลันไหลไปตามน้ำเชี่ยว ดารารายยิ้มร่า
“เรารอดแล้ว”
หลวงเทพยิ้มรับ
จู่ๆ มีร่างทะมึนพุ่งมาในอากาศแล้วทิ้งตัวลง แพกระเทือนแทบถล่ม ดารารายและหลวงเทพเสียหลักล้ม มองไป เห็นหัวหน้าโจรถือขวานเล่มหนึ่ง
“เมียจ๋า จะหนีข้าไปไหน”
ดารารายกับหลวงเทพตะกายลุกหนีท่าทีขยะแขยง
“ไอ้ชั่ว”
“ผู้ใดเป็นเมียเจ้า”
ดารารายและหลวงเทพพุ่งเข้าใส่ ด้วยอะไรบางอย่าง ทั้งคู่ประสานเพลงดาบเข้ากันโดยอัศจรรย์
หัวหน้าโจรพริบตาเดียวก็กลายเป็นฝ่ายลนลาน โดนดาบกรีดต้นแขน แผงอก เลือดซึมออกมา หัวหน้าโจรโกรธคำราม ฟันขวานใส่อย่างรุนแรง หลวงเทพกลิ้งหลบ คมขวานฟันแพไม้ไผ่แตกกระจาย ดารารายกรีดตวัดดาบ คมดาบกรีดหน้าหัวหน้าโจร บางเลียงลง เลือดไหลปรี่
“นี่แน่ะ”
หัวหน้าโจรร้องหวีด โกรธสุดขีด “เจ้าทำข้าเสียโฉม”
“เจ้าเคยมีโฉมด้วยหรือ ไอ้อัปลักษณ์”
หัวหน้าโจรร้องลั่นโถมเข้าฟันจนดาบดารารายหักคามือ หงายหลัง หัวหน้าโจรฟันอีก ดารารายกลิ้งหลบ คมขวานโดนแพไม้ไผ่อีก มีคมดาบวูบขึ้น หลวงเทพกรีดดาบใส่หลังหัวหน้าโจร มันหันขวับมาอย่างโกรธแค้น ฟันขวานใส่ หลวงเทพเบี่ยงหลบ มันเสียหลักพุ่งไป หลวงเทพถีบส่ง หัวหน้าโจรตกตูมลงในน้ำ ดารารายลุกขึ้นมายืนเคียงข้างหลวงเทพ เห็นหัวหน้าโจรตะเกียกตะกายในน้ำ
“เรารอดแล้ว”
หลวงเทพมองดูรอบๆ หน้าเสียไปนิดหนึ่ง แต่ข่มไว้
“แล้วเราจะขึ้นฝั่งได้อย่างไร”
“นี่เจ้ากลัวอันใด”
“ข้ามิได้กลัวซักหน่อย”
ขาดคำแพก็ไหว เชือกกรองแพโดนคมขวานฟันขาดแยก แพเริ่มทะลายไม้ไผ่ แตกกระจายไปทีเดียวครึ่งแพ หลวงเทพหน้าซีดร้องสุดเสียง กระโจนมากลางแพที่เหลือครึ่งหนึ่ง ดารารายตกใจน้อยกว่า รีบคุกเข่าลงข้างหลวงเทพที่ลงคลาน
“แย่แล้ว”
“ไม่เห็นเป็นไร ข้างหน้าน้ำก็ไหลเบาแล้ว นี่เจ้ากลัวอันใด”
“เปล่านี่ เหวอ...”
แพทะลายหายไปอีกครึ่ง เหลือใหญ่กว่าตัวคนนิดเดียว หลวงเทพพยายามกอดกดให้ไม้ไผ่รวมตัว ดารารายเองก็หมอบลงช่วย มองดูหลวงเทพ
“เจ้าเป็นอันใดกันแน่”
“ข้า ข้า ข้า”
ดารารายมองหน้า หลวงเทพอ้อมแอ้มแล้วตะโกน
“ข้าว่ายน้ำไม่เป็น”
ดารารายตาโต “ฉิบหายแล้ว”
ขาดคำแพก็สลายตัว ไม้ไผ่ทะลายแตกจนหมด ดาราราย หลวงเทพตกลงในน้ำ ไหลไปตามน้ำเชี่ยว ดารารายคว้าหลวงเทพไว้ หลวงเทพจะกอดดาราราย ดารารายยันไว้
“ปล่อยข้า เดี๋ยวตายทั้งคู่”
หลวงเทพได้สติ ระงับความกลัว ผลุบโผล่ในน้ำ มือคว้าเสื้อดารารายลุ่ยหลุด
“แล้วยังไง”
“เจ้านอนหงาย ปล่อยแขนขา ข้าจะจับเจ้าเอง” ดารารายบอก
หลวงเทพทำตามโดยดี ดารารายลอยตัว หลวงเทพเกาะไว้ ร่างทั้งสองลอยหวือไปตามลำน้ำอันเชี่ยวกรากสายนั้น
อ่านต่อตอนที่ 12