คุ้มนางครวญ ตอนที่ 8
คุ้มหลวงในคุ้มเวียงแก้ว เช้านี้ บรรยากาศดูสดใสสดชื่น ที่บริเวณศาลากลางสวน สายใจ เฟื่องฟ้า และ ระริน มาคอยดูแล จัดอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ไว้บริการทีมงาน ราวกับเป็นห้องอาหารของโรงแรมหรูยังไงยังงั้น
มีการตั้งโต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่นเรียงราย ล้อมด้วยเบาะนั่งหนาให้แขกนั่งกินอาหาร ขณะนี้เป็นเวลาสาย โต๊ะทุกตัวว่าง เหลือเพียงโต๊ะเดียว มีแพท มาลาริน บีบี พิมพ์ดาว นั่งกินอาหารอยู่ใกล้เสร็จ
ตรีภพเดินหาวมา พิมพ์ดาวหันมาพอดี ทำหน้าเป็นเชิงบอกว่า น่าเกลียด ตรีภพรีบหุบปาก เดินเข้ามา
มาลารินทัก “ไฮ กู๊ดมอร์นิ่งค่ะ”
“สวัสดีตอนเช้าครับ”
“เช้าอะไร สี่โมงเช้าอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน เข้ามา สายใจถือหม้อกาแฟ เฟื่องฟ้าถือถาดอาหาร ระรินถือถาดเปล่าเพื่อมาเคลียร์โต๊ะใกล้ๆ สายใจ เฟื่องฟ้า เข้ามาเสิร์ฟ
“โบราณว่า นอนกินบ้านกินเมืองนะคะคุณตรี ฮิ ฮิ ฮิ” แพทเย้า
“ผมฝันร้ายน่ะฮะ”
สายใจเทกาแฟหก สบตากับเฟื่องฟ้า ระรินขยับมาฟัง
“ตกใจตื่น กว่าจะหลับได้ก็เกือบสว่าง”
แพทมองดูพิมพ์ดาว หน้าแหยลงนิดหน่อย เพราะนึกถึงลมประหลาดและสายหมอกที่ทางเดิน
“ฝันอะไรหรือคะ” มาลารินถาม
“ผมฝันเห็นผู้หญิงแต่งตัวแบบเจ้านาง”
ตรีภพพูดไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าเล่า พิมพ์ดาวมอง สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน ขยับถอยมองหน้ากัน
มาลารินตื่นเต้น “โอว์ แล้วยังไงคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็ฝันเพ้อเจ้อเรื่องนั้นเรื่องนี้ โอ.. ไส้กรอกนี่อร่อยจัง”
ตรีภพเฉไฉไปกินอาหาร พูดกลบเกลื่อน
“ดีนะคะ ทีแพทไม่ยักฝันอะไรเลย พี่พิมพ์ล่ะคะ”
“พี่เป็นคนไม่ค่อยเพ้อเจ้อน่ะค่ะ ก็เลยไม่ค่อยฝัน”
ตรีภพเกือบสำลักกาแฟ ตาเขียวใส่ พิมพ์ดาวยิ้มพราย มาลารินคอยเลื่อนซอส พริกไทย เอาใจตรีภพ ขณะที่ตรีภพออกอาการแปลกใจเมื่อมองดูไปรอบๆ เห็นแต่ตาทองกับคนงานในสนาม
“ทำไมเช้านี้ไม่มีใครเลยครับ”
บีบีแจ๋เข้ามา “อ๋อ เจ้าแก้วพาคุณฐากับทีมงานไปดูโลเคชั่นป่าค่ะ ส่วนพวกคนแก่ เอ๊ย นักแสดงอาวุโสไปซิตี้ทัวร์กัน นี่ เดี๋ยวบีบีกับลินซี่จะไปทำบุญขึ้นพระธาตุกัน คุณตรีไปไหมคะ
มาลารินคะยั้นคะยอ “ไปนะคะ ไปด้วยกัน”
แพทกับพิมพ์ดาวมองหน้ากันเป็นเชิงว่า ทีเราไม่ยักชวน
“ไม่ล่ะครับ ผมว่าจะทบทวนบท พรุ่งนี้ก็จะเปิดกล้องแล้ว”
“วุ้ย แค่บวงสรวงกับเปิดกล้อง เอาฤกษ์เอาชัยพอเป็นพิธี แค่นั้นเอง”
“ฮะ ผมรู้ แต่ผมอยากจำบทให้ขึ้นใจก่อนถ่าย”
พิมพ์ดาวมอง ตรีภพแกล้งพูด
“ผมยิ่งหัวช้า ความจำไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
“โอ ลินซี่ก็ยังจำบทไม่ได้ เดี๋ยวอยู่ต่อบทกับคุณตรีดีกว่า”
บีบีตาเขียว ตวาดแว้ด “ไม่ได้ย่ะ” พอรู้ตัว รีบฉีกยิ้ม “ว้าย ไม่ได้ค่ะลูกขา เราต้องไปทำบุญ จะได้ถ่ายรูปลงไอจีให้แฟนๆ ดู แล้วยังต้องไปดูเด็กกำพร้าอีก”
ทุกคนทำตาปริบๆ ดูกระบวนการสร้างภาพของนางเอก มาลารินหน้างอ แล้วรู้ตัว รีบทำแป๋วใหม่
ที่ระเบียงและชานเรือนในคุ้มที่เชื่อมเรือนต่างๆเข้าด้วยกัน พิมพ์ดาวกับตรีภพเดินมาด้วยกัน
“เจ้านางในฝันของคุณเป็นยังไงน่ะ”
“สวยมาก ตาคม จมูกสวย หน้าเรียว ไม่ค่อยดูเป็นสาวเหนือเท่าไหร่”
พิมพ์ดาวฟังนึกถึงยอดหล้าในความฝันเมื่อเดือนก่อน ใบหน้าสวยจู่ๆ เป็นใบหน้าอสูรร้ายยอดหล้าซึ่งอาฆาตแค้นดาราราย พิมพ์ดาวถอนใจ
“คุณถามผมทำไม อย่าบอกนะว่าหวงกระทั่งความฝัน”
“เอาเถอะๆ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามใจ”
พิมพ์ดาวขี้เกียจเถียง ตรีภพอมยิ้ม
“แล้วคุณล่ะ ฝันอะไรแปลกๆบ้างไหม”
พิมพ์ดาวหยุดเดิน นิ่งงันไปเฉยๆ ตรีภพมองอย่างสงสัย
“อะไรหรือคุณ”
“เมื่อคืนฉันฝัน ฝันว่าฉันเคยอยู่ที่คุ้มนี้มาก่อน แต่ว่าคุ้มนี่ยังไม่ใหญ่ขนาดนี้”
พิมพ์ดาวเอามือลูบคลำไม้แกะสลัก ตรีภพอึ้งไป
“พี่แก้วบอกผมว่า คุ้มนี้สร้างตั้งแต่สมัย ร.2 - ร.3 แล้วก็มีการสร้างต่อเติมมาเรื่อยๆ”
“ในความฝัน เหมือนเขาไม่ได้เรียกคุ้มแก่ เรียกว่าหอคำหลวง ทางเดินนี่จะนำไปสู่ด้านหลังเรือนหลวง”
พิมพ์ดาวมีแววจำได้ ดูมั่นใจ และอยากพิสูจน์ ชี้ไปยังทางแยกเล็กๆ
“ก็ลองไปดูซีครับ” ตรีภพบอก
สองคนหยุดตรงประตูเล็กเรือนหลวงท้องพระโรงซึ่งแง้มเปิดออก ในห้องมืดสลัว พิมพ์ดาวเดินนำตรีภพเข้ามา
“ตรงนี้จะมีฉากกั้น”
ตรงหน้ามีฉากกั้นไม้สลักสูงใหญ่
“ที่บรรดาผู้หญิงในหอคำ จะมาแอบดูการว่าราชการ” พิมพ์ดาวบอก
ตรีภพฉงน “ว่าราชการหรือครับ”
“เหมือนท้องพระโรงของพระราชวังไง”
“สวิตช์ไฟอยู่ไหนนะ อ้อ เจอแล้ว”
ตรีภพ พิมพ์ดาว คลำอยู่ในความมืด ตรีภพเปิดสวิต์ช์ไฟ ไฟในห้องสว่างขึ้นช้าๆ ตรีภพและพิมพ์ดาวมองไปแล้วตะลึง เห็นแท่นคำวิจิตรอลังการอยู่ตรงหน้า สะท้อนแสงแชนเดอเลียร์เบื้องบนระยิบระยับ ตรีภพอึ้ง เพราะว่าสิ่งที่พิมพ์ดาวพูดเป็นจริง แต่พิมพ์ดาวอึ้ง เพราะความรู้สึกเก่าๆท่วมท้นขึ้นมา
ภาพเจ้าหลวงแสงอินทร์นั่งรับราชทูตบนแท่นคำ มองลงมาอย่างปราณีผุดพรายในห้วงคิด พิมพ์ดาวน้ำตาเอ่อ ตื้นตัน
สองคนออกจากห้องมาที่ระเบียงแล้ว พิมพ์ดาวระงับสติอารมณ์และท่าที ตรีภพมองหน้า
“มันอาจเป็นแค่เดจาวูก็ได้” พิมพ์ดาวบอก
“ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจ ก็ตามใจเถอะฮะ”
พิมพ์ดาวตาเขียว
“แล้วคุณยังฝันอะไรอีก”
“ที่ฉันบอกว่าฉันเคยอยู่ที่นี่ ความจริงไม่ใช่หรอก ที่ฉันอยู่จริงๆเป็นอีกคุ้มนึง เล็กกว่านี้ เก่ากว่านี้”
ตรีภพชะงัก พิมพ์ดาวพูดเหมือนรำพึง
“คุ้มเล็กหรือฮะ”
“เป็นคุ้มริมแม่น้ำปิง เหมือนกับว่าสมัยที่ใช้แต่ทางน้ำ คุ้มนี้เป็นหอคำหลวง แต่พอเจริญขึ้น มีถนนกลางเวียง ก็มีการสร้างหอคำหลวงขึ้นใหม่ หอคำแก้วก็ถูกลดชั้นเป็นแค่คุ้มพวกลูกหลวง”
พิมพ์ดาวพูดเป็นตุเป็นตะ
ทั้งคู่อยู่ตรงระเบียงหน้าห้องพักของตรีภพแล้ว ตรีภพผายมือเชิญ
“เชิญ”
พิมพ์ดาวมองตาเขียว “จะให้ฉันเข้าห้องคุณทำไม”
“น่า ผมไม่ปล้ำคุณหรอกน่า โธ่ ยุคนี้แล้ว ไม่มีใครเค้าถือหรอก”
“ฉันไม่ถือหรอกย่ะ! แต่ฉันกลัวปากคน”
“ไม่มีใครเห็นหรอก”
พิมพ์ดาวเชิด เดินเข้าไป ตรีภพเดินตาม ปิดประตู
ที่มุมทางเดิน แพท มีมี่ และมูมู่ โผล่หน้าออกมา หูตาวาว
มีมี่ร้อง “ว้าย จูงนางเข้าห้องไปแล้ว”
มูมู่ตาถลน “เข้าไปทำอะไรน่ะ ฮิ ฮิ ฮิ”
แพทปรามๆ “นี่ อย่ามาพูดมากไปนะ เธอ 2 คน”
ตรีภพเดินนำพิมพ์ดาวไปยังระเบียงในห้องนอนของเขา พิมพ์ดาวจดๆจ้องๆ
“อ้าว คุณมานี่ซี”
ตรีภพเดินมาหยุดเกาะระเบียงทอดสายตามองไปลิบตา พิมพ์ดาวก้าวมา
“จะให้ฉันดูอะไร”
ตรีภพบุ้ยใบ้ชี้ไปไกล “นู่น.. แนวแม่น้ำปิง...คุณลองดูซี”
พิมพ์ดาวมองไปตามทิศที่ตรีภพชี้ เห็นแต่แนวต้นไม้เขียวครึ้ม บางส่วนก็มืดดำแน่นขนัด
“ให้ฉันดูอะไร”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
พิมพ์ดาวเขม้นมองแล้วชะงัก เมื่อเห็นยอดหอสังเกตการณ์ และหลังคาคุ้มร้างโผล่จากยอดแนวไม้
“คุ้มน้อย! มีคุ้มน้อยอยู่ริมน้ำปิงจริงๆ”
พิมพ์ดาวทั้งตื่นเต้น ระคนแปลกใจ หวั่นกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง
ตรีภพมองด้วยอาการฉงน
พิมพ์ดาว แพท และตรีภพ นั่งกินอาหารกลางวันกันที่จัดไว้ให้ในศาลากลางสวน พิมพ์ดาวยังคงครุ่นคิดวุ่นวาย ขณะที่ตรีภพอ่านบท แพทมองดูทั้งคู่แล้วอมยิ้ม
“ต่อบทกันถึงไหนแล้วคะ”
“พี่ยังไม่ได้อ่านซักตัว”
แพทอมยิ้ม ลดเสียงลงอีก
“แล้วที่เข้าไปต่อบทกันในห้องล่ะคะ”
ตรีภพสะดุ้ง พิมพ์ดาวชะงักพูดตามนิสัย ถ้าใครมากล่าวหาหล่อนจะประชด
“อ๋อ นั่นไม่ได้เข้าไปต่อบทค่ะ ไปทำอย่างอื่น”
ตรีภพสะดุ้งอีก มองหน้าพิมพ์ดาวซึ่งมองตอบตาขุ่น
“นี่คุณ ทำไมพูดอย่างงั้น”
“อุ๊ย คุณตรี พี่พิมพ์ แพทไม่พูดไปหรอกค่ะ”
แพททำท่ารูดซิปปาก สายใจซุบซิบกับตาทองอยู่ที่โต๊ะวางอาหาร ตาทองเข้ามาสมทบกลุ่มตรีภพ คุกเข่าลง
“อ้าว มีอะไรครับ คุณตา”
“พวกคุณยังไม่ได้นี่เลย คนอื่นๆ ได้กันหมดแล้ว”
พลางตาทองส่งสายสิญจน์ให้ ตรีภพรับมางงๆ
“เป็นธรรมเนียมต้อนรับของที่นี่น่ะครับ สวมไว้เป็นศิริมงคล”
“อ๋อ ครับ มิน่า ผมเห็นคนที่นี่กับทีมงานละครใส่กันหลายคน”
แพทท้วง “ไม่ใช่เพราะที่นี่มี...เอ้อ ผีนะคะ”
ตาทองทำหน้าเฉยเมยเย็นชาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครรู้แน่หรอกครับ”
ตาทองถอยไป แพทรีบคว้ามาคล้องคอก่อนเพื่อน ตรีภพส่งให้พิมพ์ดาว แต่พิมพ์ดาวสั่นหน้า
“ฉันไม่เอาดีกว่า”
“ลืมไปว่า คุณไม่เชื่อเรื่องพวกนี้”
“หนูเก็บไว้ให้เองค่ะ”
แพทรับไปแทน ตรีภพเอามาสวมบ้างเขามองพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวยังนั่งนิ่ง ยกมือแตะนอกเสื้อ คลำเขี้ยวเสือไฟ ในใจสับสนกับความฝันและสิ่งที่เจอเมื่อช่วงเช้า
รีสอร์ทหรูแนวรักธรรมชาติของพ่อเลี้ยงธาดา ตั้งอยู่ในเขตป่าเขา ฟร้อนท์ออฟฟิศในคลับเฮาส์และภัตตาคารด้านในตกแต่งอย่างทันสมัย ส่วนรอบบริเวณมีการลงไม้ดอกไม้ประดับอย่างมโหฬาร งดงามสะพรั่งไปหมด ด้านหลังเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน
ที่ลานจอดรถ มีรถสปอร์ตของแก้ว และรถตู้ของทีมงานฐาปกรณ์จอดอยู่
พ่อเลี้ยงธาดายิ้มย่องผ่องใสขณะพาแก้ว ฐาปกรณ์ ลูกกบ รัก เบิ้ม เดินทัวร์รอบๆ รักและเบิ้มถ่ายภาพนิ่งและถ่ายวิดีโอเก็บบรรยากาศไปด้วย
“ทางเรายินดีให้คณะละครของคุณมาถ่ายได้ครับ” ธาดาบอกในที่สุด
“ขอบพระคุณมากครับ พ่อเลี้ยง แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายนี่จะยังไงครับ” ฐาปกรณ์ถาม
“เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง แต่คุณแก้วพามาทั้งที ผมอาจจะไม่คิดค่าสถานที่ก็ได้นะครับ” ธาดาว่า
พ่อเลี้ยงดูแสนดีสุดๆ แก้วยิ้มเย็นชา ฐาปกรณ์ดีใจแทบกระโดด ลูกกบ เบิ้ม รัก พากันงง ไม่คิดว่ามีคนดีแบบนี้ในโลก
“งั้นผมก็ต้องขอบคุณล่วงหน้า”
“ผมต่างหาก ต้องขอขอบพระคุณพ่อเลี้ยง” ฐาปกรณ์ยิ้มย่อง
“ผมต่างหากต้องขอบคุณ เพราะเท่ากับได้โปรโมทรีสอร์ทของผมด้วย”
ธาดาพาทุกคนมาถึงทางแยก มีป้าย ผาน้ำตก บ่อน้ำพุร้อน
“ทางด้านหลังนี่มีบ่อน้ำพุร้อน บรรยากาศดีมากเชียวครับ...แล้วตามแนวลำธารนี้ไปราว 1 กิโลเมตร ก็มีผาน้ำตก รับรองว่าสวยไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน”
“แปลว่าที่นี่ที่เดียวมีทุกอย่างที่เราต้องการ ขอบพระคุณจริงๆ ครับ พ่อเลี้ยง”
“ยังไงก็ขอให้ผมได้ไปดูการถ่ายทำบ้างก็แล้วกันครับ” ธาดาว่า
“ได้ซะยิ่งกว่าได้ซะอีก ใช่ไหม...แก้ว” ฐาปกรณ์หันมาทางแก้ว
“ยินดีครับ พ่อเลี้ยง”
ธาดายิ้มแย้ม ยืนอยู่ในละอองน้ำพุ ดูมีราศีบุญล้อมตัว
ในสนามแข่งรถแห่งนั้น บรรยากาศน่าตื่นเต้น ระทึกใจ รถแข่งแล่นมาจอดที่มุมหนึ่ง ชายร่างสูงโปร่งบึกบึนในชุดแข่งเลื้อยออกมา พอถอดหมวกออกจึงพบว่าเขาคือราเชนทร์ มีโทรศัพท์เข้า
“ใครวะ ยุ่งจริง”
ราเชนทร์เห็นชื่อหน้าจอ ท่าทางเปลี่ยนเป็นคอหด รีบรับโทรศัพท์
“ครับ...พ่อเลี้ยง”
พ่อเลี้ยงธาดาอยู่ที่รีสอร์ทในเชียงใหม่ กำลังโทรศัพท์ สีหน้าเครียด
“เฮ้ย ไอ้เชน นายรู้จักกองละครที่มาถ่ายทำที่คุ้มเวียงแก้วไหม”
ราเชนทร์แปลกใจ
ที่กรุงเทพฯ มาดามสุแต่งตัวในชุดเดินทาง กางเกงฟิต เสื้อยืดคว้านอกตามเคย ที่ข้างโต๊ะมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มหึมาวางอยู่ มาดามสุกำลังโทรศัพท์วุ่น
“เออ พรุ่งนี้มีบวงสรวง แล้วก็เปิดกล้องเอาฤกษ์เอาชัย อีพวกนักข่าวที่ตกลงกันไว้ มันแคนเซิลกันกว่าครึ่ง เจ็บใจจริงๆ เออ หล่อนหาไปเพิ่มให้ได้นะยะ อ้อ เดี๋ยว”
มาดามสุรับโทรศัพท์อีกเครื่อง
“ฮัลโหล...หา อะไรนะ จากรายการคนค้นผี...จะเดินทางไปด้วย...เดี๋ยว เดี๋ยว ใครติดต่อ อ้าว ฮัลโหล อีเวร สายหลุด” สุชาดาหันไปพูดเครื่องแรก “นี่.. อ้าว วางหูไปแล้ว อีนี่ ฉันบอกให้รอ อีโลชก!”
มาดามสุอารมณ์เสีย หน้างอ ปาโทรศัพท์ลงโซฟาพลางร้องกรี๊ดๆ มีร่างสูงโปร่งเข้าประกบจากเบื้องหลัง เอามือกอดเอวมาดามสุไว้
“ฮัลโหล”
“ว้าย”
“ทายซิครับ ใครเอ่ย”
ที่แท้เป็นราเชนทร์ เขาก้มลงดมดอมซอกคอ มาดามสุสยิวกาย รู้ว่าใครแต่แกล้งพูด
“ว้าย ใครกันนี่ เจมส์จิ หรือแบรี่ หรือว่าน้องโอ้”
ราเชนทร์เซ็ง คลายมือออก มาดามสุหันมามองราเชนทร์ตาวาว
ราเชนทร์งอน “ฮึ จำผมไม่ได้ ผมน้อยใจนะ”
“โถ ทำไมฉันต้องจำได้ล่ะ”
สุชาดานั่งบนโต๊ะ ราเชนทร์ทำตาอ้อน
“หายหัวไปเดือนปี จู่ๆก็โผล่มา.. เธอจะเอาอะไรอีกล่ะ”
“โธ่ ผมก็มีเรื่องยุ่งๆของผมตลอดแหละ แต่ผมก็ยังคิดถึงพี่ตลอด”
“ฉันไม่เชื่อย่ะ”
ราเชนทร์เข้าตระกองกอดอีก มาดามสุหัวเราะระริกระรี้
“โธ่ ทำยังไงนะถึงจะเชื่อ”
ราเชนทร์ก้มลงซุกไซ้ซอกคอ แล้วต่ำลง มาดามสุผวา
“ว้าย ว้าย เชื่อแล้ว พี่เชื่อแล้ว”
“พี่สุ ผมอยากเล่นละคร พี่มีละครให้ผมลงไหม”
มาดามสุผลักราเชนทร์ล้มลงไปบนโซฟา
“ฮึ ฉันกะอยู่แล้วเชียว ไม่มี ฉันจะเลิกทำละครแล้ว”
“ผมไม่เชื่อพี่หรอก นี่แน่ะ”
ราเชนทร์ดึงร่างสุชาดาล้มทาบกันลงไปบนโซฟา จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักๆ พร้อมกับมีมือ เท้า โผล่ขึ้นมาจากพนักพิงโซฟาเป็นระยะๆ
ดูเหมือนราเชนทร์จะได้งานละครเรื่องใหม่แล้ว
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ค่ำวันเดียวกันนั้น รถตู้ของบริษัทแล่นเข้ามาในคุ้มหลวง ที่หน้าเรือนรับรองของคุ้ม รัก เบิ้ม มีมี่ มูมู่ บีบี มาลาริน เฟื่องฟ้า ระริน มารอรับ กลุ่มรักมาเพื่อเชลียร์ มาลารินมาสร้างภาพ ดึงบีบีที่ทำปั้นปึ่งมาด้วย ส่วนเฟื่องฟ้า ระริน มารอเผื่อมีดาราดังมารถคันนี้
มาลารินดี๊ด๊าเมื่อมองไปเห็นรถตู้แล่นมาใกล้แล้ว “มาดามมาแล้วค่ะ”
บีบีหมั่นไส้ “เชอะ ต๊าย มิน่า พวกเชลียร์มาตั้งแถวรับเชียว”
รัก เบิ้ม เชิดใส่ มูมู่ มีมี่ ประสานพลังค้อนบีบี
รถตู้แล่นมาจอดลง ลูกกบลงจากตอนหน้าไปเปิดประตูเลื่อน มาดามสุก้าวลงมา
“มาดามขา คิดทึ้ง คิดถึงค่ะ”
มาลารินตรงเข้าไปกอด จูบซ้ายขวา มาดามสุหน้าหงิกวูบหนึ่ง แล้วฉีกยิ้ม จูบซ้ายจูบขวาตอบ
“คิดถึงเหมือนกันค่ะ ไปเที่ยวไหนมาบ้างคะ”
“ไปขึ้นพระธาตุ แล้วก็ไปทัวร์วัดค่ะ ชิต!”
มาลารินมองไปแล้วหลุดบทร้องอุทาน เมื่อเห็นราเชนทร์ลงรถตู้มามองดูตนอย่างขบขัน และรู้เช่นเห็นชาติ มาลารินหน้าบึ้ง ผงะถอย
“แม่มึง ไอ้ห่านี่มาได้ยังไง” บีบีผวามาเคียงข้างมาลาริน
มาลารินได้สติ ทำแบ๊วตาโตเป็นการใหญ่ ราเชนทร์ก้าวมา มีเพื่อนมาด้วยอีกคน สวมชุดหนัง หน้าออกแนวโจรมากกว่าจะเป็นคนดี มาดามสุวางมาดผู้ใหญ่ใจดี
“มา จะแนะนำให้รู้จัก ลินซี่ นี่ราเชนทร์ค่ะ ราเชนทร์จะมาเล่นเป็นขุนกล้า เพื่อนสนิทหลวงเทพ แล้วนี่เอ็ดดี้...ผู้จัดการเชนมัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ราเชนทร์ยวน “ยินดีครับ โอ้โห คุณลินซี่สวยจัง”
มาลารินทำตาปริบๆ มาดามสุดุเอา
“นี่นายเชน อย่ามาทำเจ้าชู้กับน้องนะ น้องเขาเด็กดี”
“ครับผม”
“นายเชนนี่ พี่สุเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานค่ะ”
“เอ็นดูหรือดูเอ็น”
บีบีเปรยซะดัง ชวนให้ถูกดูดเสียง กลุ่มเชลียร์เข้ามายกข้าวของให้ ประคองพากันเข้าคุ้มไป
“มาดามขา...เดินทางเป็นไงบ้างคะ” บีบีปั้นหน้าถาม
“ตอนลงจอด ล้อหลุดไปล้อนึง” สุชาดากัดเอาคืน
มาลารินมองราเชนทร์ตาเขียว “ยูมาทำไม แดม”
“ไม่ได้มาแคร์เธอหรอกน่า ไปพี่…”
ราเชนทร์ชวนเอ็ดดี้เดินเข้าคุ้มไป มาลารินสบตาบีบี กังวลเล็กน้อย
ราเชนทร์เดินผ่านเฟื่องฟ้า กับระริน แล้วยักคิ้ว ทำตาเยิ้มใส่
“หวัดดีครับ แหม สาวเหนือนี่น่ารักแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าฮะ”
เฟื่องฟ้าคิกคักเอียงอาย ราเชนทร์กับเอ็ดดี้เข้าไป
“ต๊าย นังเฟื่อง นี่มันไอ้โจร ดาวร้ายนะยะ” ระรินเยาะ
เฟื่องฟ้าโต้ “ดาวร้าย โบราณ เดี๋ยวนี้เค้าเรียกแบดบอยย่ะ”
ฟากสองผัวเมียอยู่ในห้องพักด้วยกัน มาดามสุตื่นเต้นเบิกตาโพลงพอฟังฐาปกรณ์ที่อยู่ตรงหน้าเล่าจบ
“ไอ้แก้ว ให้เราถ่ายทำฟรีๆ”
“ที่พัก ทั้งนักแสดง ทั้งทีมงานก็ฟรี”
สุชาดาเป็นปลื้ม “น้องแก้วของพี่”
ฐาปกรณ์บอกอีก “น้ำ ไฟ อาหงอาหาร มันจัดแจงให้เราหมด”
“โอ๊ย ตายแล้ว รวยอะไรอย่างนี้ ป๋าจริงๆ สมแล้วที่เป็นเจ้าเป็นเชื้อ”
มาดามสุเอามือกุมอก นั่งลงบนโซฟา พลางดูรอบๆห้อง
“ต๊าย เซฟไปเป็นล้านๆเลยนะนี่ กำไร กำไรเข้ากระเป๋าเหนาะๆ”
ฐาปกรณ์นึกออก “เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมจู่ๆ คุณมาเปลี่ยนตัวขุนกล้าเป็นไอ้เชน”
“ฉันมาดูแล้ว บทนี่มีตั้งเยอะ ใช้เอ็กซ์ตร้าเล่นมันไม่น่าดู”
ฐาปกรณ์เยาะหยัน “ไอ้เชนนี่น่าดูตายล่ะ”
“มีคนชอบมันตั้งเยอะ” มาดามสุแถ
ฐาปกรณ์แดกดัน “ทีอย่างนี้ล่ะไม่กลัวเปลือง”
มาดามสุเชิดใส่ผัว คว้าเครื่องคิดเลขมาคำนวณตัวเลขที่จะเอาเข้าพกเข้าห่อ พลางยิ้ม
ศาลากลางสวนเป็นที่จัดเลี้ยงมื้อเย็น แม้ไม่ใช่ขันโตก แต่ก็มีการจัดสำรับเป็นวงๆ วงแรกมีตรีภพ มาลาริน บีบี ฐาปกรณ์ มาดามสุ และเว้นที่ไว้ให้แก้ว วงใกล้กันมีพิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์ เอ็ดดี้ มีมี่ มูมู่ ถัดไปเป็นวงของนักแสดงอาวุโสทั้ง 6-7 คน ถัดไปเป็นทีมงาน เช่น ลูกกบ รัก เก้ง และมีกลุ่มของเจ้าหน้าที่รถโอบี ช่างกล้อง ช่างเสียง สวิชเชอร์ มาเพิ่ม
บีบีสวมเครื่องเพชรวูบวาบ กำลังอวดแหวนที่ซื้อมาใหม่กับมาดามสุ ส่วนมาลารินก็ทำตาแป๋วกับตรีภพ จนตรีภพไม่แน่ใจว่าคืนวันรีดทรูคืออะไรกันแน่
“เพิ่งถอยมาเมื่อบ่ายนี้เองค่ะ”
“ต๊าย มีสตาร์ด้วย กินบ่เสี้ยงนะคะนี่ ร้านไหนคะ”
“แล้วจะพาไปค่ะ อุ๊ย ถ้าพูดดีๆ ได้ลดตั้งเป็นหมื่นแน่ะค่ะ”
ฐาปกรณ์แดกดันลอยๆ “เออ ทียังงี้ไม่กลัวสิ้นเปลือง”
“ทำไมคุณพิมพ์ไม่นั่งนี่ล่ะคะ” มาลารินตีหน้าแบ๊วถาม
“เขาคงอยากคุยกับเพื่อนใหม่มั้งครับ”
ตรีภพเสียงขุ่นเล็กน้อย พยักพเยิดไป มาลารินมองไปที่อีกวง เห็นราเชนทร์คุยกับพิมพ์ดาวอย่างถูกคอ ราเชนทร์พูดเล่น พิมพ์ดาวหัวเราะ ตรีภพหน้าบึ้ง มาลารินลอบยิ้มในสีหน้าแว้บหนึ่ง แล้วทำท่ากลัวๆ
“คุณราเชนทร์น่ะหรือคะ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันอีก
“โลกมันกลมเกินเหตุจริงๆ”
ตรีภพมองพิมพ์ดาวอย่างหมั่นไส้ พิมพ์ดาว และแพท คุย ยิ้ม หัวกับราเชนทร์ จนพิมพ์ดาวรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ จึงมองมามาเห็นสายตาตรีภพเข้าจังๆ ก็ขมวดคิ้ว ตรีภพทำหน้าไม่แยแส ราเชนทร์เอามือถือมาเปิดภาพให้พิมพ์ดาวกับแพทดู
“นี่รถผม…”
เป็นภาพรถบิ๊กฟุต บิ๊กไบค์ รถแข่ง รถสปอร์ตในมือถือมากมาย
พิมพ์ดาวกับแพทดู ชื่นชมตามมารยาท มีมี่ มูมู่ ชะโงกดูด้วย
ราเชนทร์เลื่อนรูปไปเรื่อยๆ จนเป็นรูปผู้หญิงเปลือยอุ้มแมวปิดของสงวนไว้ พิมพ์ดาวอึ้งเล็กน้อย แพทหัวเราะกิ๊ก มีมี่ มูมู่ ร้องวี้ด
ราเชนทร์แถไปน้ำขุ่นๆ “นี่แมวผม”
พิมพ์ดาวขำมุก หัวเราะร่วน แพทเอามือตีราเชนทร์ มีมี่ มูมู่ แขยง
ตรีภพมองดูพิมพ์ดาว เกิดอารมณ์เสีย มาลารินมองเห็น ลอบยิ้มในสีหน้าอีก
“คุณพิมพ์นี่เข้ากับคนง่ายนะคะ”
“คงงั้นมั้งครับ”
พิมพ์ดาวยังคงคุยสัพเพเหระกับราเชนทร์ต่อ ระหว่างนั้นเอ็ดดี้นั่งกินอาหารเงียบๆ ไม่คุย ไม่ดู ไม่ยิ้มแย้ม ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กะหน้าไหน มีมี่ มูมู่ ป้องปากนินทาทันที
“ผู้จัดการอะไรยะ”
“หน้าเหมือนโจรห้าร้อย”
เอ็ดดี้มองมีมี่ มูมู่ ดวงตามีแววฆ่าคนได้ มีมี่ มูมู่ สะดุ้งเฮือก หน้าซีด
แก้วเดินขึ้นมาบนศาลา มาดามสุร้องวี้ด
“น้องแก้ว น้องแก้ว น้องแก้วขา”
มาดามสุถลาลุกวิ่งไปกอดแก้ว จูบแก้มซ้ายย้ายขวา
“น้องแก้วของพี่”
ทุกคนมองดูอย่างสังเวชใจ แก้วดันร่างสุชาดาออก ยิ้มอย่างเย็นชา
“เรียกผมว่าคุณแก้วเถอะครับ”
แก้วเดินไปรวมกลุ่ม มาดามสุชะงัก อึ้งไป แล้วยักไหล่ ถลาไปเชลียร์คนรวยต่อ
เอ็ดดี้ และราเชนทร์ มองดูแก้ว แล้วหันมาสบตากัน
ห้องพักราเชนทร์ ถูกเปิดเพิ่มให้ใหม่ ราเชนทร์นั่งบนเตียง เอาโทรศัพท์มาเช็คดูไอจีตามประสา เอ็ดดี้เดินดูรอบๆ ห้อง พบว่าของในห้องทุกอย่างล้วนมีราคา เอ็ดดี้เอาแจกันลายครามมาพิศดู
“ของแท้ว่ะ”
“อะไรนะพี่”
เอ็ดดี้พูดเน้นๆ “กูบอกว่าแจกันนี่ของแท้ ดีไม่ดีราคาเป็นแสน”
“พวก ณ เวียงแก้วนี่ท่าทางรวยมาก...ดูอย่างคุ้มนี่ใหญ่อย่างกะโรงแรม”
เอ็ดดี้ทำตาปริบๆ กับคำเปรย
“พ่อเลี้ยงสั่งอะไรพี่มาบ้างล่ะ”
“ก็ให้เข้ามาดูลาดเลาแค่นั้น”
เอ็ดดี้เก็บอาการไม่ยอมบอกหมด
“พ่อเลี้ยงสงสัยว่าไอ้คุณแก้วอะไรนี่ ฮุบเงินกับยาของพ่อเลี้ยงไว้หรือ” ราเชนทร์ซัก
“เออ”
“เงินเท่าไหร่หรือพี่”
“พ่อเลี้ยงบอกว่าห้าสิบล้าน”
ราเชนทร์ลุกพรวดขึ้น ตาโต ด้วยความโลภ
“ห้าสิบล้าน”
“เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งพ่อเลี้ยงไม่ร่วงหรอกโว้ย แต่พ่อเลี้ยงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกอย่าง คนอย่างพ่อเลี้ยงไม่มีวันยอมให้ใครมาลูบคมหรอกโว้ย”
ราเชนทร์พยักหน้า
พิมพ์ดาวเดินคุยกันมากับแก้วตามทางเดินในคุ้ม
“บทละครเรื่องนี้ คุณแก้วเอาเรื่องมาจากไหนกันคะ” พิมพ์ดาวถามเรื่องคาใจ
แก้วฉงนนิดๆ “ทำไมหรือครับ”
“ก็แค่อยากรู้น่ะค่ะ”
แก้วยิ้มขื่นๆ
“เรื่องนี้ผมเขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของ...คนเก่าแก่น่ะครับ”
“คนเก่าแก่หรือคะ ก็แปลว่านี่เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา”
แก้วมองหน้าพิมพ์ดาว “ก็ทำนองนั้นล่ะครับ”
“ก็แปลว่าอาจจะมีเค้าความจริงอยู่”
“คนที่เล่าให้ผมฟัง ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง”
พิมพ์ดาวแย้งขำๆ “แหม ขนาดพงศาวดารกรุงศรีอยุธยายังมีตั้งไม่รู้กี่ต้นฉบับนะคะ หนังสือไทยรบพม่า กับ พม่ารบไทย ยังไม่ตรงกันเลย”
แก้วยิ้ม มองพิมพ์ดาวอย่างขมขื่น
“คุณสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือฮะ”
“น้องสาวฉันเมเจอร์ประวัติศาสตร์น่ะค่ะ ฉันก็เลยได้อ่านๆ มาบ้าง”
“ที่คุ้มนี้มีห้องสมุด มีหนังสือมากพอสมควร ถ้าคุณสนใจ เชิญได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ คุณแก้วใจดีจัง”
“อย่าเชื่อแค่สิ่งที่ตาเราเห็นเลยครับ” แก้วพูดเป็นนัยอีก
“แหม! คุณแก้ว”
พิมพ์ดาวหัวเราะ แก้วหัวเราะตาม ตรีภพเดินมามองดูทั้งคู่
“คุยอะไรกันอยู่”
พิมพ์ดาวย้อนเอา “แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย”
“อ้าว ก็เห็นหัวเราะกันอยู่ ไม่อยากจะแชร์บ้างหรือ”
“แค่กดไลค์ค่ะ แต่ไม่แชร์.. กู๊ดไนท์นะคะ คุณแก้ว”
พิมพ์ดาวเดินกลับห้องไป ตรีภพมองตามอย่างหมั่นไส้ แล้วหันมามองแก้ว
“ไงพี่ ตบะแตกแล้วหรือ”
“แกพูดอะไร”
“อ้าว ก็ตั้งแต่มา ผมเห็นพี่ทำหน้าเหมือนแบกโลก ถามคำตอบคำ อยู่ๆ ก็มาหัวเราะหัวใคร่กับยายพิมพ์นี่”
“คุณพิมพ์ดาวเป็นคนน่ารัก”
“โอ้โฮ เสน่ห์แรงจริงๆ ยายคนนี้”
แก้วมองดูตรีภพ แล้วก็คล้ายรู้สึกอัดอั้นบางอย่าง
“เปลี่ยนเรื่องพูดเถอะ”
“ก็ได้ เออ พี่แก้ว บทละครเรื่องนี้ พี่ไปเอาเรื่องมาจากไหนครับ”
แก้วชะงัก มองหน้าตรีภพ
คุ้มหลวงเวลาดึกมากแล้วตอนนี้ ไฟตามห้องต่างๆ เริ่มดับลง
ที่ห้องพักราเชนทร์ เอ็ดดี้แต่งชุดดำกลืนกับความมืด หยิบปืน 2 กระบอกมาเหน็บเอว ที่ข้อเท้ามีมีดพกเล่มใหญ่ ราเชนทร์ยืนกอดอกดู นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่ง
“ไปแล้วเหรอพี่”
“เออ!”
เอ็ดดี้เดินไปที่ประตู ออกไป ราเชนทร์มองตามแล้วยักไหล่ หมั่นไส้เป็นที่สุด
“ทำเป็นเข้ม ถุย”
ตรีภพนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง อากาศค่อนข้างหนาวกว่าคืนก่อน ตรีภพจึงสวมเสื้อมีปกปิดคอ
ส่วนพิมพ์ดาวนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง แพทนอนกุมสร้อยสายสิญจน์ที่คอหลับอยู่บนเตียงข้างๆ พิมพ์ดาวเอามือแตะสร้อยเขี้ยวเสือไฟ แล้วพยายามข่มตาให้หลับ
เวลานี้คุ้มร้างตั้งตระหง่านอยู่ในความมืดสลัว ทุกอย่างดูเก่าแก่ รกร้าง มืดทะมึน และน่าสะพรึงกลัว เอ็ดดี้ถือไฟฉายส่องเป็นลำแสงนำทาง ก้าวเดินมาอย่างไม่กลัวเกรง แล้วหยุดมองดูตัวคุ้ม ลมแรงพัดมาโดนตัวเอ็ดดี้วูบใหญ่
ฟากตรีภพยังคงนอนหลับ หายใจสม่ำเสมอ มีควันจางๆ ลอยเรี่ยพื้นมาจากระเบียง เลื่อนลอยไปถึงเตียงนอน ยอดหล้าในเครื่องทรงมลังเมลืองเป็นสีทองก้าวมา เกาะเสาเตียง มองดูตรีภพอย่างแสนรัก
ตรีภพขยับตัวลืมตาขึ้น เหลือบมาเห็นยอดหล้า ก็ลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียง ความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน
“คุณอีกแล้ว”
“ข้าเจ้าเองเจ้า พี่เทพ”
ตรีภพลุกขึ้นจากเตียง “คุณคือใครกันแน่”
“พี่ไยต้องถามสิ่งที่พี่รู้อยู่แล้วล่ะเจ้า”
“พี่แก้ว บอกว่าบทละครเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา”
ยอดหล้ายิ้ม
“ไม่ใช่หรอกเจ้าพี่เทพ เรื่องที่เล่าสู่กันมา ข้าเจ้าคือหญิงแพศยาสาธารณ์ ผู้นำความอับอายมาสู่คุ้มเวียงแก้ว”
ตรีภพงุนงง “แล้วเรื่องนี้...”
“คือความจริงไงเจ้า ความจริงที่ข้าเจ้าอยากให้โลกรู้”
ตรีภพงงหนัก “ความจริง”
“แต่ความจริงแท้ก็คือ ข้าเจ้ารักพี่ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้”
ยอดหล้าดูงดงามมลังเมลือง มองตรีภพด้วยนัยน์ตาฉ่ำรัก
ที่สุดพิมพ์ดาวนอนไม่หลับ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองหาขวดน้ำที่โต๊ะหัวเตียงไม่มี แต่กลับวางอยู่ที่ไซด์บอร์ดริมหน้าต่าง พิมพ์ดาวลุกขึ้นไปคว้าขวดน้ำมากรอกปากดื่ม ทอดดวงตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ตรงหน้าต่างมองเห็นระเบียงห้องตรีภพพอดี เห็นม่านบาง หลังม่านมีเงาตรีภพ และเงาที่จางกว่าของยอดหล้า ดูระเหิดระหงยืนอยู่ใกล้กัน
พิมพ์ดาวเขม้นตามองแล้วสำลักน้ำพรวด ลดขวดลงมองดูตาไม่กระพริบ
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ทางด้านเอ็ดดี้เดินอยู่ใต้ถุนคุ้มร้าง สาดลำไฟฉายกวาดหา
“ห้องใต้ดิน ห้องใต้ดิน”
เอ็ดดี้มองไปแล้วชะงัก เมื่อเห็นเงาร่าง 2 ร่างยืนอยู่ระหว่างหมู่เสา
“ใครวะ ออกมา”
เอ็ดดี้ชักปืนออกมาเล็งจ้อง ไฟฉายส่องดูหน้า พบร่างคล้ายคน 2 ร่างก้าวมาใกล้ เห็นว่าเป็นสมุน 1 สมุน 2 ของพ่อเลี้ยงธาดาที่มักคุ้นกัน นั่นเอง
“พวกมึงน่ะเอง พวกมึงยังอยู่”
สมุน 1สมุน 2 ก้าวมาใกล้ เห็นสภาพซูบ แก้มตอบ และคอที่มีแผลเหวอะ เอ็ดดี้ผงะ แต่ก็ตั้งสติสู้
“แต่ว่าพวกมึงตายแล้ว”
เอ็ดดี้ยิงปืนเข้าใส่ร่างสมุน 1 สมุน 2 มันไม่สะดุ้งสะเทือน เดินทื่อเข้ามา เอ็ดดี้เก็บปืน ดึงมีดใหญ่ออกมา สมุน 1 เดินมาถึง เอ็ดดี้ฟันเข้าที่ซอกคอ แล่งลงมาถึงอก แล้วชักมีดออก ร่างสมุน 1 ตัวเอียงเกือบขาดล้มไป สมุน 2 ก้าวมาถึง เอ็ดดี้ฟันมันคอขาดกระเด็น ร่างไร้หัวยืนทื่ออยู่
“กูไม่กลัวมึง”
เอ็ดดี้ถีบร่างมันล้มลง แล้วยืนผยอง แต่ก็ถูกล็อคตัว โดยผีดิบสมุน 3 สมุน 4 เข้ายึดตัวเอ็ดดี้ไว้ มีดหล่นกระเด็นไป เอ็ดดี้ดิ้นรน สมุน 3 จับร่างเอ็ดดี้เหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับแนวต้นไม้เถาที่รกเรื้อ รูดลง ไม้เถาแยกออก เห็นประตูห้องใต้ดิน สมุน 3,4 เดินเข้าหาเอ็ดดี้ เอ็ดดี้พลันแทรกตัวเข้าประตูห้องใต้ดิน วิ่งลงไป
ส่วนยอดหล้ามองตรีภพอย่างหลงใหล ดวงหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาเปี่ยมรัก ตรีภพเคลิบเคลิ้ม ยอดหล้าก้าวมาใกล้ เอามือโอบรอบคือตรีภพ ยอดหล้ายิ้มยวนยั่ว ตรีภพก้มลงจูบดูดดื่ม
พิมพ์ดาวอ้าปากค้าง มองดูตาไม่กระพริบ
ห้องใต้ดินคุ้มร้างมืดสนิท เอ็ดดี้ขีดไฟแช็ก เปลวไฟลุกสูง เอ็ดดี้ดึงแท่งเชื้อเพลิงแบบมัดไต้ออกมาจ่อจด กลายเป็นคบไฟชูไปรอบๆ ร่างสมุน 3 สมุน 4 เข้ามา
“มึงไม่กลัวปืน กลัวมีดใช่ไหม”
สมุน 3 สมุน 4 เดินทื่อมาอีก เอ็ดดี้เอาคบไฟจ่อตัวมัน เสื้อผ้าติดไฟ เอ็ดดี้หัวเราะ ร่างสมุน 3,4 ไฟเริ่มลาม ครู่เดียวก็ลุกท่วมตัว ล้มลง
เสียงนางผันดังก้องขึ้น “ไอ้ 4 ตัวนี้ ใช้การไม่ได้จริงๆ”
เอ็ดดี้สะดุ้ง เอาคบไฟส่องหา ก็ไม่เห็นใคร
นางเผื่อนส่งเสียงตามมา “ขอบใจเจ้า ที่ช่วยกำจัดมันให้”
เอ็ดดี้เริ่มแน่ใจว่าคือผี ตวาด
“มึงเป็นใคร ออกมา”
ทันใดนั้น ที่ความว่างเปล่าตรงหน้า นางผัน นางเผื่อน ปรากฏตัวขึ้นเป็นเงาเลือนราง แล้วชัดขึ้น เอ็ดดี้มองดู มีท่าทางตื่นเต้น เตรียมพร้อม แต่ไม่เกรงกลัว
“เจ้านี่ใจกล้านัก”
“คนหาญกล้าเช่นนี้ ข้าชอบนัก ฮิ ฮิ ฮิ” นางผันหัวเราะคิกคัก
ฝ่ายตรีภพเริ่มรู้ตัว ขยับถอยออก ยอดหล้าวาบหวาม
“พี่เทพ มีอันใดเจ้า”
“คุณไม่มีตัวตน”
ยอดหล้าค้อน ดวงตาวามวาว จับมือตรีภพมาโอบตัว
“ถ้าไม่มีตัวตน ไยท่านแตะต้องข้าได้”
“คุณเป็นแค่ความฝัน”
ยอดหล้ายิ่งก้าวเข้าไปใกล้จนแนบชิด
“ถ้าเช่นนั้น พี่ก็จงดื่มด่ำกับฝันนี้เถิด”
ยอดหล้าเขย่งตัว เอามือประคองหน้าตรีภพแล้วจูบ ตรีภพเคลิบเคลิ้มจูบตอบ
พิมพ์ดาวมองอยู่ ออกอาการหน้าแดงร้อง “ว้าย” เบาๆ
ส่วนเอ็ดดี้ยืนนิ่ง นางผัน นางเผื่อน กรายตัวมาเข้าหาเอ็ดดี้คนละด้าน
“อีผี กูไม่กลัวมึง”
“ว้าย พูดจาไม่มีน้ำใจไมตรีเลย”
“แต่ข้ากลับยิ่งชอบเจ้า”
นางผัน นางเผื่อน กรายตัววูบพลันเข้าประชิดจนตัวติดเอ็ดดี้ และเริ่มลูบไล้ ด้วยท่าทียวนยั่ว
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะใจกล้าแค่ไหน”
“เจ้าคงมีดี เหมือนกับที่ทำท่าไว้”
นางผัน นางเผื่อน เข้าคลอเคลียเอ็ดดี้ เอ็ดดี้ยืนนิ่ง
ตรีภพเหมือนรู้ตัวอีก ขยับตัวออก “ไม่...ไม่”
ยอดหล้ายิ้ม ดวงตาหยาดเยิ้มฉ่ำรัก
“จงรักข้าเจ้า ให้สมกับที่ข้าเจ้ารอคอยพี่มานานแสนนาน”
ตรีภพเหมือนตกอยู่ภวังค์ ตวัดอุ้มยอดหล้าขึ้น ยอดหล้าเอา 2 มือกอดคอตรีภพ
พิมพ์ดาวใจหาย หันหลังให้หน้าต่าง แล้วเม้มปากหันไปรูดหน้าต่างปิด แล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเตียง ในใจรู้สึกหวงแหนแปลกๆขึ้นมา
ฝ่ายนางผัน นางเผื่อน คลอเคลีย เสียดสี ถูไถ เอ็ดดี้ไปมา
“เจ้าชอบใครมากกว่า ข้า หรือนังนี่” นางผันถาม
“ต้องข้าอยู่แล้ว ฮิ ฮิ ฮิ” นางเผื่อนว่า
นางผัน นางเผื่อน ขยับถอยมายืนวางท่วงท่าตรงหน้า ผ้าคาดอกหมิ่นเหม่เหมือนจะหลุด ซิ่นที่ใส่ก็ชายพกต่ำจนเห็นสะดือ
“จงตอบมาซิ ว่าข้ากับนังนี่ ใครงามกว่ากัน” นางผันคาดคั้น
ขาดคำ นางผัน นางเผื่อน ก็สำแดงเดช กลายร่างเป็นอสูรกาย ปากแสยะ เห็นเขี้ยวเต็มปาก ดวงตากลายเป็นสีดำ ยื่นหน้าเข้าราวเสือจะเข้าฉีกเนื้อเหยื่อ
เอ็ดดี้พลันล้วงสิ่งหนึ่งออกจากคอ โยนไปเบื้องหน้า สิ่งนั้นคือสายสิญจน์เสก มันกลายเป็นเส้นแสง ขยายออกคล้องร่างนางผัน นางเผื่อน แล้วตวัดรัดขวับๆ ราวงูรัด จากคอลงไปถึงเท้า
นางผัน นางเผื่อน คืนร่างเป็นร่างธรรมดาแต่ซูบซีด ผมยุ่งเหยิง ผ้าเก่าขาดวิ่น ล้มกลิ้งครวญครางอยู่กับพื้น
เอ็ดดี้พนมมือ ร่ายคาถาสำทับ
ตรีภพวางยอดหล้าลงบนเตียง แล้วเสียหลักล้มไปนอนตะแคงข้าง ยอดหล้าพลิกร่างขึ้นเหนือตรีภพ แล้วปลดกระดุมเสื้อตรีภพ ดวงตาหยาดเยิ้ม
เสื้อเปิดแบะออก เผยให้เห็นสายสิญจน์ที่คอตรีภพ เรืองแสงจ้าขึ้น ยอดหล้าผงะ
ตรีภพงุนงง ยันกายขึ้น สร้อยสายสิญจน์แผ่แสงออกรอบตัวยอดหล้าถอยไปยืนกลางห้อง ดวงตาโกรธขึ้ง
“ด้ายอาคมของครูบาสรีอย่างนั้นหรือ ฮึ ข้าไม่กลัวหรอก”
ยอดหล้าเอื้อมมือไปยังสายสิญจน์ แต่ทันใดนั้นมีเสียง 2 นางข้าไท แว่วมา
“เจ้านางเจ้า ช่วยข้าเจ้าด้วย”
“ช่วยข้าเจ้าด้วย”
ยอดหล้าชะงัก แล้วหมุนกาย ร่างกลายเป็นเกลียวหมอกควัน พุ่งไปผ่านม่าน โคมไฟ ประตูระเบียงกระชากเปิดออก
ตรีภพตื่นตกใจในความเคลิบเคลิ้มกึ่งฝันกึ่งจริงนั้น มองดูโคมไฟที่แกว่งไกว และประตูที่อ้ากว้างอย่างงุนงง
เหตุการณ์ที่ห้องใต้ดินคุ้มร้าง เอ็ดดี้แสยะยิ้ม เดินเข้าหาท่าทีคุกคาม 2 ผี ข้าไท ที่เกลือกกลิ้งดิ้นรนอยู่บนพื้น
“อีผี มึง 2 ตัวน่าเกลียดเท่าๆกัน”
นางผัน นางเผื่อน หน้างอ ร้องกรี๊ดเจ็บใจยิ่งกว่าเจ็บกาย
“เจ้านางเจ้า ช่วยข้าเจ้าด้วย”
“ใครจะมาช่วยมึง”
เอ็ดดี้ตวาดพร้อมกับชูมีดขึ้น พบว่ามีดเล่มนั้นมีอักขระลงอยู่บนใบมีด นางผัน นางเผื่อน กระถดถอย เอ็ดดี้ก้าวไป ทันใดเกลียวควันก็พุ่งลงมาขวางไว้ กลายร่างเป็นยอดหล้า
เอ็ดดี้ผงะถอย เห็นสง่าราศีของยอดหล้าก็หมดความมั่นใจไปครึ่งหนึ่ง ยอดหล้ามองเอ็ดดี้อย่างจงชัง แล้วมองนางผัน นางเผื่อน สายสิญจน์จางแสงลง
“ด้ายอาคมอีกแล้วหรือ” ยอดหล้าเยาะ
เอ็ดดี้ล้วงสายสิญจน์อีกเส้นมา อ่านมนต์ขว้างไป
“ใช่ มีของเจ้าด้วย”
สายสิญจน์กลายเป็นเส้นแสง พุ่งขยายไปเข้าหายอดหล้า ยอดหล้าดวงตาเจิดจ้า ยื่นมือออก กำเส้นแสงไว้ เส้นแสงกลายเป็นแค่เส้นด้าย ยอดหล้ามองอย่างดูแคลน แล้วมองดูเอ็ดดี้ เอ็ดดี้ตกใจ
ยอดหล้าตวัดมือ ปาสายสิญจน์ไป สายสิญจน์ลุกไหม้เป็นไฟกลางอากาศ ตกลงเป็นผุยผง
ยอดหล้าหยัน “เจ้ายังมีดีอะไรอีก”
เอ็ดดี้ตวัดมีดอาคมชี้มาตรงหน้า
“มีดอาคมของครูบาสรีอีกแล้วหรือ”
เอ็ดดี้ฉงน “ครูบาสรีอะไร กูเป็นศิษย์มหาจรวย”
“ลูกหลานของครูบาชั่วนั่นซีนะ ดี ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าครูของเจ้า เป็นแค่ธุลีดินใต้เท้าข้า”
เอ็ดดี้ฟันมีดอาคมใส่ยอดหล้า แต่ยอดหล้ามองอย่างไม่สะทกสะท้าน มีดอาคมปะทะร่างยอดหล้า เกิดแสงจ้า แตกออกเป็นเส้นสาย ราวฟ้าผ่ากระจายไปทั่วทิศ
ร่างเอ็ดดี้กระเด็นหวือไปกระแทกผนังอิฐทะลายลง มีดอาคมหักเป็น 2 ท่อน ตกกระทบพื้นดังเปรื่อง
เอ็ดดี้ครางขยับตัว เท้าของยอดหล้าก้าวมาตรงหน้า นางผัน นางเผื่อน ยิ้มอาฆาตแค้นเข้ารายล้อม ร่างเอ็ดดี้ลอยขึ้นกลางอากาศ ยอดหล้า ผัน เผื่อน เข้ารุมล้อม เอ็ดดี้แผดร้องสุดเสียง
กลางดึกเวลาเดียวกันนั้น มหาจรวยนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เกิดภาพนิมิตเห็นมีดอาคมหักเป็นสองท่อน ตกลงบนพื้นผุดขึ้น มหาจรวยนั่งนิ่ง ยังคงคุมสติไว้ได้
นิมิตต่อมาเป็นร่างเอ็ดดี้ลอยขึ้น ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน เข้ารุมล้อม เอ็ดดี้แผดร้องเสียงหลง
มหาจรวยมีอาการสลด สังเวชใจ
ใบหน้ายอดหล้ามองมา แล้วกลายเป็นอสูรกายพุ่งมาเต็มหน้า มหาจรวยผงะ ตื่นจากสมาธิ แล้วถอนใจ
“ไอ้ทองดีเอ๊ย”
คุ้มหลวงในเวลาเช้า บรรยากาศคึกคัก รถโอบีมาประจำที่ รถตู้ขนนักข่าวสายบันเทิง และทีมงาน 2 ทีมมาจากสนามบิน รถบัสเล็กขนนักข่าวกระจอกก็มาถึง บรรดาไทยมุงก็มีเป็นโขยง ผู้คนดูวุ่นวายขายปลาสลิด
ที่ลานหน้าคุ้มหลวง มีการตั้งโต๊ะยาว ปูผ้าขาว มีเครื่องเซ่นสรวง สังเวยเทวดา พระคเณศ ปู่ฤๅษี เจ้าที่เจ้าทางไว้เต็มโต๊ะ มีบายศรีอลังการอยู่หลายบายศรี
บรรดานักแสดงทุกคนแต่งตัวเต็มที่ตามบทของแต่ละคน เก้ง มีมี่ มูมู่ วิ่งกันวุ่น จัดเสื้อผ้า ทำผม แต่งหน้ากันมือเป็นระวิง ฐาปกรณ์ มาดามสุ กำลังคุยอยู่กับ 2 อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมเหนือที่มาช่วย
ลูกกบ กับรัก ดูแลพราหมณ์วัยกลางคน ที่แต่งตัวชุดขาว มีครุยทับ
ตรีภพคุยอยู่กับมาลาริน พิมพ์ดาวมองดูแล้วเชิดใส่ ตรีภพงงเล็กน้อย ราเชนทร์คอยตามป้อยอพิมพ์ดาว และแพท ส่วนแก้วเดินมากับพ่อเลี้ยงธาดา พูดคุยกันสัพเพเหระ พ่อเลี้ยงธาดามองดูราเชนทร์
พ่อเลี้ยงธาดาซุบซิบกับราเชนทร์ครู่หนึ่ง แล้วมองดูแก้วตาขุ่น
แก้วเดินมาแหงนดูหน้าจั่วหนึ่งของคุ้ม แล้วเกิดสังหรณ์ประหลาด
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ใกล้เวลาอุดมฤกษ์ พราหมณ์ก้าวมายังโต๊ะสังเวยตรงลานหน้าคุ้มหลวง บรรดาทุกคนมาเข้าแถวกันเรียงราย ทันใดมีรถตู้ทีมงานเขียนตัวหนังสือว่า คน ค้น ผี เลี้ยวขวับมาจอด
ฐาปกรณ์ มาดามสุ ชะงัก ลูกกบ รัก ก้าวมาดูอย่างงงๆ เก้ง มีมี่ มูมู่ ก้าวมาสมทบ
ประตูรถตู้เปิดออก หญิงสาวในชุดเสื้อยืด กางเกงสีดำก้าวลงมา ท่าทางเปี่ยมพลังทิพย์
มีมี่อุทาน “จูน ญาณเทพ!”
จูน ญาณเทพ มองดูคุ้มตรงหน้านิ่ง บรรดานักแสดง นักข่าว ฮือฮากัน สายใจ เฟื่องฟ้า ระรินมีอาการเห่อ ตาทองกับคนงาน 2 คนมองดูเซ็งๆ ไม่นานก็มีอีกร่างก้าวลงมา เป็นชายหนุ่มท่าทางระเหิดระหง สวมเสื้อผ้าสีดำขาว
คราวนี้มูมู่อุทาน “เรียว สัมผัสที่ 6”
เรียวก้าวมาเคียงข้างจูน กวาดตางามมองดูรอบๆ ตัว บรรดานักข่าวถ่ายรูป 2 นักสืบผีกัน ฐาปกรณ์เริ่มมีอาการคล้ายจะเป็นบ้า สบตาเมีย
“อี 2 คนนี่มันมาทำไม ใครไปเชิญมันมา”
บีบีแหวกคนออกมาวิ่งถลาไปต้อนรับ
“ว้าย ลูกขา มาแล้วหรือคะ”
บีบีโผเข้ากอดทักทาย จูบแก้มซ้ายย้ายขวา จูนและเรียว แล้วพากันก้าวมาหาฐาปกรณ์ และมาดามสุ
“คงไม่ต้องแนะนำนะคะ คุณจูนกับคุณเรียว มาช่วยค่ะ” บีบีบอกอย่างภาคภูมิ
ฐาปกรณ์หมั่นไส้แกมฉุน “ช่วยบ้าอะไร”
“อู๊ย คุณจูนกับคุณเรียว มีญาณทิพย์ ติดต่อเบื้องบนได้ ก็มาช่วยทำพิธีบวงสรวงน่ะซีคะ”
“ช่วยทำไม ก็มีเจ้าพิธีอยู่แล้ว” ฐาปกรณ์บอก
พราหมณ์หน้าหงิก ยืนเชิด
บีบีไม่ลดรา “วุ๊ย คนเดียวหัวหายนะคะ”
“มันมากหมอมากความน่ะซี”
มาดามสุคิดคำนวณในใจ กระซิบบอกผัว
“ตามน้ำไปคุณ ดีซะอีก ได้รายการนี้มาโปรโมทให้” มาดามสุฉีกยิ้มหันไป “ยินดีค่ะ ยินดี เชิญเลยค่ะ”
ฐาปกรณ์ยังคงมีอาการใกล้บ้า พยายามระงับไว้ มาดามสุ บีบี เชิญจูน และเรียว ไปตรงโต๊ะบวงสรวง พราหมณ์เชิดใส่
“ตกลงยังไง ถ้ามีเจ้าพิธีแล้ว ฉันจะได้กลับ”
สุชาดาบอก “วุ๊ย แค่มาเสริมเท่านั้นล่ะค่ะ พ่อพราหมณ์”
พราหมณ์ฉุน “เสริมอะไร วุ่นวายน่ะไม่ว่า”
สุชาดากระซิบ “เดี๋ยวฉันเพิ่มเงินให้เท่านึง”
“งั้นได้”
พราหมณ์กลับคำทันที แต่ก็ยังเชิดใส่ ทั้ง จูน และ เรียว เข้ายืนพนมมือขนาบพราหมณ์ ควันธูปโขมง ลอยขึ้นสูง ผ่านหน้าจั่วเรือนยอด ราวจะขึ้นไปสรวงสวรรค์
พิธีบวงสรวงเสร็จสิ้นลง นักแสดงได้รับการเจิม มีการถ่ายทำภาพเก็บบรยากาศวุ่นวาย ทั้งจากสำนักข่าวบันเทิงต่างๆ ทีมคนค้นผี และของกองละครที่ถ่ายทำเบื้องหลัง
แก้ว พ่อเลี้ยงธาดา ยืนอยู่ด้วยกัน ราเชนทร์ยืนเยื้องไปข้างหลัง พ่อเลี้ยงหันไปสบตาราเชนทร์
มาลารินยืนแป๋วเกาะแขนตรีภพ พิมพ์ดาวอยู่กับแพท มองอย่างหมั่นไส้
“อยู่ด้วยกันทั้งคืนยังไม่พออีกหรือ”
แพทตาถลน “ว้าย หา! อะไรนะคะ”
ฐาปกรณ์ถอนใจที่พิธีจบสิ้นลงได้ มาดามสุวิ่งวุ่นเอาใจนักข่าว
พ่อเลี้ยงธาดาขยับมาหาราเชนทร์ “ไอ้เอ็ดดี้ล่ะ”
“ออกไปตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็หายไปเลยครับ”
พ่อเลี้ยงธาดานิ่งอึ้ง มาดามสุซับเหงื่อที่หน้าและนม กลับมายืนกับฐาปกรณ์ พราหมณ์เข้ามา
“บวงสรวงแล้วสวัสดีมีชัย.. ไม่มีอุปสรรคใดๆ คอนเฟิร์ม”
จูน ญาณเทพ พูดกับกล้องทีมงานคนค้นผี เรียวขยับมา กลัวตกซีน
“ตอนแรกดิฉันเห็นเงาดำมากมาย แต่พอทำพิธีแล้ว เงาดำก็หายไปหมด”
“เรียวได้คำนวณตัวเลขออกมาแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่เจ้าทาง พอใจมาก อนุญาตให้ถ่ายทำละครได้โดยสะดวก”
จู่ๆ มีเมฆมหึมาเคลื่อนมาบังเต็มฟ้า บรรยากาศมืดวูบลง ทุกคนแหงนมองดูท้องฟ้า เมฆมหึมาดำทะมึนเคลื่อนมา ฐาปกรณ์ มาดามสุ พราหมณ์ แหงนดู ต่างคนต่างอึ้ง
ตรีภพ พิมพ์ดาว ใจหายวาบ มาลารินยังคงตาแป๋วอยู่ ลูกกบ รัก เลิกลัก เบิ้มตาเหลือก มีมี่ มูมู่ กอดกันกลม เก้งหน้าซีด จูนกับเรียว มองหน้ากัน แล้วยิ้มแหยๆ
ธาดา ราเชนทร์ มองดูบรรยากาศ กลุ่มตาทอง สายใจ มีอาการกลัวจับใจ แก้วก้าวออกมา มีแววหวาดหวั่น
“เจ้านาง...ได้โปรดเถอะ อย่าให้มีอะไรเลย”
มีเสียงฟ้าคำราม ระคนเสียงหัวเราะของยอดหล้า
ในบรรดาผู้คน มีบางคนได้ยินเสียงนั้นก็ยิ่งตกใจ ไถ่ถามกัน แต่บางคนไม่ได้ยิน พราหมณ์ยิ้มแห้งๆ
“นั่นไง เทวาอารักษ์ ท่านรับรู้แล้ว”
จูนและเรียวฝืนยิ้ม พูดกับทีมงาน
“ไม่ใช่ลางร้ายค่ะ”
“อย่างนี้เรียกฤกษ์เย็น”
ตรีภพ พิมพ์ดาว แหงนดู เห็นร่างดำๆ ที่จั่วของเรือนยอดก็ชี้ดู
“นั่นอะไร”
ทุกคนมองตาม เห็นว่าเป็นร่างคน ก็ร้องวี้ดว้าย ปั่นป่วน รวนเรกัน เอ็ดดี้ยืนอยู่ที่บนจั่ว กำลังหวาดกลัวสุดขีด เท้าขยับก้าวไปข้างหน้าอย่างคนบังคับตัวเองไม่ได้
“อย่า”
แก้ว ธาดา ราเชนทร์ แหงนดู
ราเชนทร์จำได้ยิ่งตกใจ “เอ็ดดี้”
แก้มบอกอย่างขมขื่น “เจ้านาง ได้โปรด”
เอ็ดดี้ตาเหลือกลาน นางผัน นางเผื่อน ปรากฏร่างเลือนรางขนาบข้าง ยิ้มยั่ว แล้วกลายเป็นปิศาจ เอ็ดดี้ผวา
ทุกคนเบื้องล่างร้องลั่น
ร่างของเอ็ดดี้ตกจากยอดจั่ว ร่างลอยหวือลงมา ทุกคนกรีดร้อง แต่บางคนคว้ามือถือมาถ่าย นักข่าวทุกสำนักถ่ายภาพ
ร่างเอ็ดดี้ตกลงกระแทกโต๊ะบวงสรวง เลือดกระเซ็นไปรอบทิศ บายศรีล้มฟาด ร่างเอ็ดดี้แผ่อยู่ราวเป็นเครื่องสังเวย เลือดแผ่ไปบนผ้าขาว
มาดามสุเป็นลมล้มพับไป ฐาปกรณ์คว้าไว้ทัน ตาทองผงะทรุดลง สายใจเป็นลมไปเรียบร้อย
ธาดาและราเชนทร์ก้าวมาดู แล้วนิ่งอั้นกันไป มาลาริน บีบี ถูกเลือดกระเซ็นโดนตัวร้องกรี๊ดๆ มาลารินร้องไห้โฮ โผเข้ากอดตรีภพ พิมพ์ดาวกอดปลอบแพท แก้วขมขื่นใจเหลือเกิน มองดูท้องฟ้าเบื้องบนสีหน้าสลดหดหู่
“ทำไม ทำไม ต้องทำอย่างนี้”
พราหมณ์ทำตาปริบๆ แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ เลี่ยงไป จูนกับเรียวยืนกอดกัน แล้วหันมาพูดกับกล้อง
“เผ่นเถอะ อีเรียว”
“อีจูน ของเค้าแน่นอนจริงๆ กลับ!”
สภาพศพเอ็ดดี้ที่เห็นน่าอเนจอนาถเป็นที่สุด
พ่อเลี้ยงธาดาเหลือบมองดูท่าทีแก้ว เห็นแก้วเหม่อลอย ธาดาขบกราม สบตาราเชนทร์
บรรยากาศหน้าคุ้มหลวงในเวลาต่อมา ยิ่งมีรถมากกว่าเดิม ทั้งรถสำนักข่าว รถตำรวจ รถมูลนิธิมาเพิ่มอีก บรรดาคนงาน สาวใช้ นักข่าว ทีมงาน นักแสดง ไทยมุงที่หลุดเข้ามา บรรยากาศวุ่นวายขายประช่อนมากกว่าตอนเช้า
ตรงเติ๋นกลางคุ้ม ฐาปกรณ์นั่งอยู่บนโซฟากับมาดามสุ ตรีภพนั่งกับบีบีและมาลาริน มาลารินหน้าซีดเกาะตรีภพแจ พิมพ์ดาสนั่งอยู่กับแพทและราเชนทร์ แก้วยืนเกาะกรอบหน้าต่าง มองออกไป ห่างออกมา ลูกกบ รัก เก้ง มีมี่ มูมู่ โทรศัพท์กันวุ่นวาย
“ตำรวจสันนิษฐานว่ามันเมายา ถึงปีนไปบนยอดหลังคาคุ้มแบบนั้น ไอ้เชน.. ตกลงมันติดยาหรือเปล่า”
ราเชนทร์อยากจะบอกว่าไม่รู้ เพราะเพิ่งเจอกันที่สนามบินเมื่อคืน
“ผมก็ไม่รู้ซีครับ”
ฐาปกรณ์เง็ง “อ้าว แล้วมันมาเป็นผู้จัดการเอ็งได้ยังไง”
“แหม มันก็ไม่เชิงเป็นผู้จัดการ มันก็แค่ดูคิวให้ ขับรถให้บ้างเท่านั้น”
“แล้วเคยเล่นยากับมันบ้างหรือเปล่า”
ราเชนทร์สะดุ้ง “โธ่ ไม่มีนะครับ ตอนนี้ผมคลีน 100 เปอร์เซ็นต์”
พิมพ์ดาวกับแพทอมยิ้ม ตรีภพหมั่นไส้
“แปลว่า แต่ก่อนไม่คลีนหรือไงครับ”
“แหม พวกผมมันก๊วนเด็กนอก ตอนอยู่ที่โน่นก็มีบ้าง จริงไหมครับ คุณลินซี่”
มาลารินโดยโยนขี้ใส่ สะดุ้งจนนมกระเพื่อม รีบทำตาแป๋ว บีบีถลึงตามองราเชนทร์
“ไม่ทราบค่ะ ลินซี่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับ.. เอ่อ.. แวดวงแบบนั้น”
“ลินซี่อยู่แต่แถววัดไทยย่ะ” บีบีย้ำ
ราเชนทร์หัวเราะร่วนออกมา มาลารินเกาะแขนตรีภพ เริ่มปากสั่น น้ำตาเอ่อ เปลี่ยนเรื่องทันที
“แต่มันน่ากลัวจริงๆ นะคะ ตั้งแต่เกิดมา ลินซี่ไม่เคยเห็นคนตายเลย แต่นี่...ต่อหน้าต่อตา ฮือ”
“โธ่ ทำใจดีๆ ครับ”
พิมพ์ดาวมองดูแล้วขัดหูขัดตาพิกล
“อุ๊ย คุณลินซี่คะ”
“อะไรหรือคะ คุณพิมพ์”
“นั่นอะไรติดผมคุณลินซี่คะ”
“อะไรหรือคะ”
บีบีช่วย แหวกปอยผมดู
“ว้าย.. เลือด.. ว้าย นั่นอะไร.. หรือว่าสมอง ใช่แน่ค่ะ ลูกขา ล้างยังไม่หมดค่ะ”
มาลารินเลิกแบ๊วลุกพรวดขึ้น “ว้าย...”
มาลารินวิ่งออกไป บีบีถลาลุกตาม พิมพ์ดาวสะใจเล็กๆ ตรีภพมอง พิมพ์ดาวรีบทำปกติ
ที่โทรทัศน์จอแบนในบริเวณนั้น มีภาพข่าวเหตุการณ์ในคุ้มเวียงแก้ว ผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวด่วน
“เกิดเหตุสลดใจในพิธีบวงสรวงละคร ผู้ติดตามราเชนทร์ ดาราดาวร้ายปีนหลังคาคุ้มที่ใช้ในการถ่ายทำ และตกลงมาเสียชีวิตบนโต๊ะเครื่องสังเวย”
บีบีชะงักกึก ทุกคนมองดูโทรทัศน์ตาเป๋ง แก้วหันมาดูทีวี
ภาพในทีวี เป็นภาพจากทีมงานข่าวบันเทิง ที่ถ่ายตั้งแต่เอ็ดดี้ขึ้นไปยืนบนยอดหลังคาคุ้ม เซหัวทิ่ม แล้วตกลงมา จากนั้นก็เป็นภาพของศพ ทำโมเซอิกกันอุจาด แสดงถึงความมีจรรยาบรรณ
ฐาปกรณ์กุมขมับ สุชาดาปิดปากครุ่นคิด บีบีเดินกลับมารวมกลุ่ม
“เวร เวรแล้ว จะทำยังไงล่ะทีนี้ ออกทุกช่องเลย ซวย ซวย”
“มันจะซวยได้ยังไง มีข่าวแบบนี้ ก็คือได้โปรโมทฟรีตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้อง”
“โปรโมทแบบนี้น่ะนะ”
“ใช่ค่ะ ทีนี้เราก็ทำเรื่องอาถรรพ์ในกอง ออกข่าวเป็นซีรีส์ไปจนกระทั่งออนแอร์เลย” บีบีสาระแน
ตรีภพ พิมพ์ดาว แพท แม้กระทั่งราเชนทร์ อึ้ง แก้วมองดูสุชาดาและบีบีอย่างรังเกียจ
ฐาปกรณ์ย้อน “ยังไง”
“อู๊ย ก็ทำเป็นภาพถ่ายติดวิญญาณ กล้องเดินเองอะไรก็ได้”
ลูกกบ รัก มีมี่ มูมู่ เก้ง ขยับเข้ามาสมทบ
“พอหมดมุกก็ให้นังสองตัวนี่” บีบีชี้มีมี่ มูมู่ “ทำเป็นผีเข้าก็ได้”
มีมี่ร้องลั่น “ว้าย ไม่เอาค่ะ”
“แล้วหนูคิดว่าเรื่องอาถรรพ์ไม่ต้องเมคหรอกค่ะ ที่นี่คงจัดเต็มให้มากกว่า” มูมู่หลุดปาก
สุชาดาแปลกใจ “หมายความว่าอะไร”
ลูกกบตอบให้ “หนูว่าเพื่อนคุณเชนไม่ได้เมายาหรอกค่ะ หนูว่าโดนเจ้าที่เจ้าทางเล่นงานแน่ๆ”
“พอๆๆ เลิกพูดกันได้แล้ว ไม่มีอาถงอาถรรพ์อะไรทั้งนั้นแหละ”
ฐาปกรณ์ตัดบทท่าทีหงุดหงิดเต็มแก่ ตรีภพ และพิมพ์ดาว ยิ่งอึดอัดใจ
ด้วยความวุ่นวายตลอดทั้งวัน อาหารมื้อเย็นจึงเป็นอาหารแบบรีบกินรีบกลับห้อง ไม่มีใครพูดคุยสังสรรค์สรวลเสเฮฮา สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน หน้าหมอง มองดูรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง พิมพ์ดาวนั่งกินอาหารอยู่เงียบๆคนเดียว ตรีภพถือจานอาหารมานั่งลงด้วย พิมพ์ดาวเย็นชา
“คุณคิดว่ายังไง เรื่องอาถรรพ์อะไรนี่”
“โน คอมเมนท์ค่ะ”
“แต่ที่คุณจำคุ้มนี้ได้ ว่าเหมือนคุณอยู่ที่นี่มาก่อนล่ะ แล้วคุณรู้ว่ายังมีคุ้มน้อยอยู่ริมปิงด้วย”
“ฉันอาจจะเคยเห็นในสารคดีท่องเที่ยวมาก่อนก็ได้...ไม่เห็นต้องเป็นเรื่องอาถรรพ์อะไรเลย”
ตรีภพมองกลับไปยังคุ้ม แล้วถอนใจ “แต่ผมคิดว่าที่นี่ต้องมีอะไรบางอย่าง”
“อะไรของคุณ หมายถึงผีใช่ไหม”
บีบีเดินผ่านมา ถือถาดมา 1 ใบ วางอาหารเพียบ เฟื่องฟ้าถืออีกถาดตามมา
“ถือของคุณลินซี่ดีดีนะคะ ลูกขา”
บีบีมาหยุดยืนใกล้ 2 คน
“อ้าว คุณลินซี่ล่ะครับ” ตรีภพถาม
“ลินซี่ไข้ขึ้นค่ะ ลูกขา เลยให้พักอยู่ในห้อง”
“แล้วพรุ่งนี้จะถ่ายละครได้หรือครับ”
“ลินซี่มืออาชีพค่ะ เดี๋ยวให้กินยาหวัดกับยานอนหลับ ตื่นมาก็เฟรชแล้วล่ะค่ะ”
พิมพ์ดาวท้วง “ยานอนหลับ จะดีหรือคะ”
บีบีมองพิมพ์ดาวอย่างรำคาญชะนีชัดแจ้ง
“อู๊ย ไม่เป็นไรหรอก ฉันให้กินทุกคืน ถ้าไม่กินแล้วชอบคัน เอ๊ย ชอบออกไปเพ่นพ่าน”
ตรีภพคิดว่าตัวเองหูฝาด จู่ๆ พิมพ์ดาวยิ้มมีเลศนัยกับตรีภพ
“งั้นเมื่อคืนก็ไม่ได้กินยาซีคะ เพราะฉันเห็นคุณลินซี่ออกมาคัน เอ๊ย เพ่นพ่านอยู่”
“หา! ไม่จริงแล้วย่ะ หล่อนตาฝาดแล้ว ฉันวางยากับมือ หลับรวดเดียวไปตื่นเจ็ดโมงเลย”
เฟื่องฟ้าคิดแล้วตาเหลือก “หรือว่าคุณพิมพ์ดาวเห็นผีคะ”
ตรีภพสนใจ “ยังไงคุณ คุณเห็นแน่หรือ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพตาเขียว ปากพูดกับเฟื่องฟ้า “ถ้าเป็นผี ก็คงเป็นผีผ้าห่มแหละจ้ะ”
“แล้วทำไมคุณต้องมาทำหน้ามีเลศนัยกับผม”
พิมพ์ดาวเชิดใส่ ตรีภพยิ่งสงสัย
บริเวณระเบียงทางเดินอันเวิ้งว้างว่างเปล่า พิมพ์ดาวเดินมากับตรีภพสองคน
“แค่ทุ่มกว่าเอง ทุกคนก็เข้าห้องกันหมดแล้ว”
“เพิ่งเกิดเรื่องสดๆ ร้อนๆ คงยังหวาดๆ กันอยู่”
พิมพ์ดาวเอามือแตะสร้อยเขี้ยวเสือไฟ ตรีภพมองดูแล้วยิ้ม
“ถ้าคุณกลัว เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ห้องก็ได้”
“ใครบอกว่าฉันกลัว”
“ก็ผมบอกอยู่นี่ไง”
พิมพ์ดาวค้อน ตรีภพรื่นรมย์ใจนิดหน่อย ทั้งคู่มาถึงหน้าห้องมาลาริน
“ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก คุณเข้าไปเยี่ยมไข้ลินซี่เหอะ”
“ไม่เอาล่ะครับ เข้าไปในห้องส่วนตัวเขา น่าเกลียด”
พิมพ์ดาวโกรธขึ้นมาวูบหนึ่ง
“นี่! ไม่ต้องมาสร้างภาพกับฉัน ฉันรู้ว่าเมื่อคืนคุณปล้ำกับยายลินซี่”
ตรีภพอ้าปากค้าง “หา ใครบอก”
“ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง”
“งั้นเราต้องพูดกันให้รู้เรื่องแล้ว”
ตรีภพคว้าข้อมือพิมพ์ดาวหมับ ลากจนหล่อนหัวซุนกลับไปยังห้องพักของตน เปิดผลักประตูเข้าไป
อ่านต่อตอนที่ 9