คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6
การรีดทรูช่วงสองใกล้จบสิ้นถึงฉากความตายของเจ้านางยอดหล้า ทุกคนยังคงนั่งบนเก้าอี้ล้อมวงกันอยู่ มาลาริน ตรีภพ และพิมพ์ดาว นั่งใกล้กัน มาดามสุ ฐาปกรณ์ บีบี รัก และลูกกบอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
แต่อีกด้านหนึ่ง มีมี่ มูมู่ เก้ง แม่บ้าน และพนักงานที่มาจัดการเรื่องเสื้อผ้าอีกมุมห้อง กลับมายืนดูกันสลอน มาลารินมองตรีภพ ยื่นมือลูบไล้หน้า เลิกก้มลงอ่านบท แสดงว่าเตรียมตัวมาอย่างดี
“ข้ามีบุญนัก ที่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนที่ความตายจะปิดดวงตาที่เหลือของข้า”
“เจ้านาง พี่ทำผิดต่อท่าน” ตรีภพว่าตามบท
มาลารินเล่นจากอินเนอร์สูงส่ง “คนผิดมิใช่พี่ แต่คือ.. ดาราราย”
พิมพ์ดาวมองดูสองคนนิ่งๆ กลุ่มมีมี่ มูมู่อินกันสุดๆ
“ไม่ใช่ แต่คือพี่ พี่ผิดเหลือเกิน เจ้านางให้พี่ทุกสิ่ง แต่พี่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเลย”
“ไม่จริงหรอก เพลงนี้ไงเจ้า พี่แต่งให้ข้า ข้าจะเล่นให้พี่ฟัง ฟังเพลงของเรา
“ใช่ เพลงของเรา”
มาลารินลดมือลง ทำท่าดีดซึง ตรีภพมองน้ำตาคลอ มาลารินมองตรีภพ
“พี่คือดวงตะวัน ข้าคือจันทรา”
มาลารินคลายมือ เอียงซบ แน่นิ่งไป ตรีภพผวาเยือก
“เจ้านาง”
ตรีภพก้มหน้าลง มาลารินยังคงตายแน่นิ่ง ฐาปกรณ์ มาดามสุ ปรบมือนำ บีบี รัก ลูกกบ พอใจ กลุ่มมีมี่ มูมู่ น้ำตาไหล พิมพ์ดาวปรบมือด้วย แต่ดวงตาครุ่นคิด
ฐาปกรณ์ มาดามสุ บีบี ลุกขึ้น กรายตัวยิ่งกว่ามหาเทวีเพราะอินบท
“ดี” ฐาปกรณ์ชม
บีบีสาระแนแทรก “ดีมากค่ะ ลูกขา น้องตรีด้วย อินเนอร์ดี การออกเสียงก็ดี อารมณ์ได้ แต่ว่าท่วงท่ามันยังน้อยไป”
ฐาปกรณ์ขยับปากจะด่าบีบี มาดามสุจิกแขนผัวไว้ทัน หันมาฉีกยิ้มกับบีบี
“วุ้ย คุณบี นี่แค่นั่งอ่านบท ยังไม่ต้องเว่อร์มหากาพย์หรอกค่ะ”
ตรีภพแตะมาลาริน มาลารินค่อยๆ ฟื้นคืน ลืมตาหน้าหมองเศร้า ตรีภพดึงลุกขึ้น พิมพ์ดาวลุก
กลุ่มมีมี่ มูมู่ เข้ามาพูดชม เก้งเชิดใส่ตามวิสัย แม่บ้านเช็ดน้ำตา
มีมี่ มูมู่ ประสานเสียง “ชอบค่ะชอบ” / “กดไลค์ กดเลิฟให้หมดเลย”
มาลารินนั่ง แล้วสะอื้นฮักๆ คนอื่นๆ สะดุ้ง มาลารินน้ำตาไหลปรี่
“ลินซี่ ลินซี่ ฮือ...”
มาลารินโผเข้ากอดซบอกตรีภพ ดูคล้ายลูกชะนีเกาะแม่ สะอื้น ตรีภพยืนอึ้ง พิมพ์ดาวตอนแรกตกใจ แล้วขำพูดเบาๆ แพทกลั้นหัวเราะ
“พี่เทพ ปลอบเจ้าพี่หน่อยสิเจ้า”
ตรีภพมองพิมพ์ดาวตาขวางดุ แล้วลูบผมมาลาริน มาลารินร้องอีกโฮ
“ลินซี่ ลินซี่ ใจดีๆ ไว้ครับ”
บรรดาหมู่มวล มีมี่ มูมู่ เก้ง ลูกกบ รัก ถอยมารวมกัน มีมี่ มูมู่ คว้ามือถือมาถ่ายไว้ บีบีน้ำตาซึมตาม ควักผ้าเช็ดหน้ามาซับหัวตาตัวเอง แล้วกางแขนเข้ากอดทั้งมาลารินและตรีภพ ร้องไห้รักกัน
“โถ ลูกขา ยังอินอยู่”
ฐาปกรณ์เซ็งเป็ดมองหน้าสุชาดา
“เออดี กองละครกู มีแต่ศิลปินห้าร้อยจำพวก”
กลุ่มมีมี่ ลูกกบ เปรย
“สนุกแน่แก กองนี้ บ้าตั้งแต่นางเอกกะผู้จัดการลงมาเลย” ลูกกบทำนาย
มีเสียงมาลารินร้องไห้มาอีกโฮใหญ่
ตกเย็นบรรดาทีมงานคนสำคัญ และนักแสดงหลักเข้ามาคุยงานต่อในห้องฐาปกรณ์ ตรีภพ พิมพ์ดาว มาลาริน บีบี ฐาปกรณ์ มาดามสุ มานั่งกินกาแฟ ขนม กันที่โต๊ะกาแฟหน้าทีวี มาลารินนั่งระทดระทวยดมยาดม รักเดินเสิร์ฟขนม
ฐาปกรณ์ถามมาลาริน “เป็นยังไงบ้างหนู”
“ยังเจ็บแปลบๆอยู่ข้างในอกอยู่เลยค่ะ”
มาลารินแอ่นอก เอามือลูบประกอบคำพูด รักชะงักกึกมองดู ฐาปกรณ์ถลึงตาใส่ รักยิ้มแห้งๆออกไป
พิมพ์ดาวจิบกาแฟ สีหน้าครุ่นคิด ตรีภพมองดูฉงน
“มีอะไรหรือคุณ”
พิมพ์ดาวรู้สึกตัว “คะ?”
“ผมรู้สึกเหมือนคุณมีอะไรอยู่ในใจ”
พิมพ์ดาวนิ่ง ฐาปกรณ์มอง บีบี และ มาดามสุ มองอย่างรำคาญ
ฐาปกรณ์บอก “พูดมาเถอะหนูพิมพ์”
“พิมพ์ไม่ได้เรื่องมากหรอกนะคะ แต่พิมพ์ว่าบทดารารายดูแปลกๆ”
บีบีพูดลอยลมมา
“อย่างนี้แหละเขาเรียกเรื่องมาก สตอรี่เยอะ”
พิมพ์ดาวไม่สนใจ
ฐาปกรณ์ซัก “ยังไงล่ะหนู”
“พิมพ์ว่าบทดารารายน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ค่ะ เช่น ความสัมพันธ์กับพี่สาว หรือกับตัวหลวงเทพ”
มาดามสุพยักหน้า พูดแขวะ
“อ๋อ กลัวบทจะน้อย”
“ไม่ใช่นะคะ หนูแค่กำลังงงๆ ว่าจะเล่นยังไง เป็นนางร้ายแบนๆ ที่อิจฉาพี่สาวมาตลอด แล้วลุกมาแย่งผู้ชายกัน ทุกอย่างเป็นการเสแสร้ง”
ตรีภพ ฐาปกรณ์ นิ่งฟัง มาลารินเอาตลับแป้งมาเช็คความงามตัวเอง
“หรือว่าเป็นคนธรรมดาที่มีคอนฟลิค แล้วก็มีกิลท์กับพี่สาวด้วย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าในบางฉาก บางไดอะล็อค ต้องมีอินเนอร์แบบอื่น”
บีบีร้องขึ้น “ต๊าย ไซโคอนาไลซิส นี่ ละครเรื่องนี้ช่องให้ปั้นนางเอกนะคะ ไม่ใช่ส่งเสริมการขายให้นางร้าย”
พิมพ์ดาวยิ้ม “แต่ถ้านางร้ายมีสีสัน นางเอกก็ยิ่งเด่นนะคะ”
ตรีภพเห็นด้วย “แต่ที่คุณพิมพ์พูดมาก็น่าสนใจนะครับ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพเป็นเชิงบอก...ไม่ต้องมาช่วยฉัน
ฐาปกรณ์ก็เห็นด้วย “อือม์ พี่ก็ว่าอย่างนั้น เอาอย่างนี้หนู ไว้พี่จะคุยกับคนเขียนบทอีกทีนึง”
พิมพ์ดาวผิดคาดที่ความค้างคาใจของหล่อนมีคนเห็นด้วย จึงยิ้มออก บีบี สุชาดาเชิดใส่ มาลารินลดตลับแป้งลง ปรายตามองตรีภพ
กว่าจะคุยกันเสร็จก็มืดค่ำมากแล้ว ตรีภพเดินตามพิมพ์ดาวมาที่ลานจอดรถ พิมพ์ดาวหันไปมองอย่างรำคาญแล้วหยุด ตรีภพก้าวมา
“นี่คุณ พรุ่งนี้ว่ายังไง”
“พรุ่งนี้อะไร ไปวัดน่ะหรือ วันนี้เหนื่อยจะตาย ฉันไม่ไปหรอก”
“ทำบุญทำทานก่อนเริ่มงานน่ะ งานจะได้ออกมาราบรื่นนะ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพ ยิ้มนิดหนึ่ง เชิดหน้าพูด
“ไม่เห็นเป็นไรเลย พอวันบวงสรวง ฉันก็ไปแย่งไข่ต้มยอดบายศรีมากิน อ้อ แล้วก็กินกล้วยด้วย”
ตรีภพหัวเราะเบาๆ
“คุณนี่”
ทั้งคู่เดินต่อไปถึงรถตรีภพ ซึ่งจอดอยู่ใกล้รถบีบี บีบี มาลาริน ยืนเคียงกันอยู่ มาลารินเซเกาะรถ
“ลูกขา แต่ยังไงคุณพี่ก็ต้องไปลูก”
“แต่ลินซี่ปวดศีรษะนี่คะ ไปส่งลินซี่ก่อนเถอะค่ะ”
บีบีดูนาฬิกา “ไม่ได้ค่ะ ลูกขา งานจ่อปลายลำไส้ใหญ่ขนาดนี้ หนูกลับแท็กซี่ก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ”
“แล้วก็อย่าไปหลับในแท็กซี่นะคะ เดี๋ยวมันพาหนูไปไหนต่อไหน”
มาลารินทำตาแป๋วไม่เข้าใจ
“ไปไหนต่อไหน คืออะไรคะ ลินซี่ไม่เข้าใจ”
พิมพ์ดาวแสดงความมีน้ำใจ “อุ๊ย คุณลินซี่ต้องเรียกแท็กซี่ทำไมคะ คุณตรีไปส่งลินซี่หน่อยซีคะ”
ลินซี่ทำตาโต บีบียิ้มร่า ตรีภพรู้ว่าพิมพ์ดาวแกล้ง
มาลารินทำเป็นเก้อเขิน “แหม จะดีหรือคะ รบกวนคุณตรี”
“ดีซีคะ ลูกขา คุณตรีอุตส่าห์มีน้ำใจ ฝากด้วยนะคะ ช่วงนี้ลินซี่กำลังป่วยด้วย”
“ครับ.. ได้เลยครับ”
“หมดเรื่องหมดราวแล้วนะคะ พิมพ์ไปล่ะ”
พิมพ์ดาวมองหน้าตรีภพ แล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไกลลิบเหมือนเดิม ตรีภพยิ้มกับมาลาริน
“เชิญครับ” ตรีภพหันไปไหว้ลาบีบี “สวัสดีครับ”
ตรีภพพามาลารินที่เดินเซอ่อนแรงไปขึ้นรถ ที่จอดห่างไปราว 3-4 ซอง บีบีรีบขึ้นรถ คว้ามือถือมา
ตรีภพเปิดประตูให้มาลารินขึ้นรถ มาลารินขึ้นรถ
บีบีถ่ายรูปรัวเป็นชุด แล้วลดมือถือลง ทำหน้าเสียดายของ
“จะเสร็จมันไหมหนอ เสียดายคุณตรี”
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6 (ต่อ)
พิมพ์ดาวเข้ามานั่งรถตัวเองแล้ว จัดกระเป๋า ขยับกองบทโทรทัศน์ และข้าวของประดามี แล้วติดเครื่องรถ มองไป เห็นรถตรีภพแล่นผ่านไป
ตรีภพอยู่ในรถมองมาเช่นกัน ขณะมาลารินซบพนัก ทำทีคอพับคออ่อนกับเบาะ พิมพ์ดาวเชิดใส่ ตรีภพชี้หน้า พิมพ์ดาวสะใจ
รถตรีภพแล่นผ่านไป รถบีบีแล่นตามรถตรีภพไป พิมพ์ดาวไม่ทันฉุกคิดอะไร
ไม่นานต่อมา รถตรีภพแล่นมาถึงคอนโดหรูระดับไฮเอนด์ แล้วเข้าจอดในลานจอดรถ เจอซองว่างก็ถอยรถเข้า
ตรีภพเหลือบดูเบาะข้าง เห็นมาลารินหลับซบพนักดูไร้เดียงสา ตรีภพมองต่ำลงแล้วสะดุ้ง เมื่อเห็นว่ากระโปรงสั้นไม่มากของมาลาริน บัดนี้ถลกขึ้นพันจนเห็นกางเกงใน
จู่ๆ รถตรีภพกระตุกไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมีชายหนุ่มคนหนึ่ง เปิดประตูรถผลัวะออกมา โดยไม่มองรถที่จ่อเข้าจอด ตรีภพเบรกเอี๊ยด
มาลารินหัวทิ่ม มีอาการสะดุ้งตื่น
“อะไรคะ”
“ไม่มีอะไรครับ”
ตรีภพบอกแล้วลงมาจากรถมาดู เห็นรถข้างๆ เป็นรถแต่งโหลด เพิ่มโน่นนี่พรึบพรับทั้งคัน ชายหนุ่มในแจ็กเกตหนังก้าวลงมาจากรถ ท่าทางเป็นแบดบอยสุดชีวิต ตรีภพจำได้ว่าเป็นดาราสมบทตัวสาม รับบทผู้ร้ายอยู่บ่อยๆ ชื่อราเชนทร์ นั่นเอง ราเชนทร์มองดูตรีภพแล้วยิ้มทัก
“อ้าว นึกว่าใคร คุณพระเอกนี่เอง”
ตรีภพตำหนิ “ทีหลังอย่าเปิดประตูโครมออกมาอย่างนี้ซีคุณ ดีนะที่ไม่โดน”
“นั่นดิ แล้วจะยังไง”
ราเชนทร์ตีฝีปากขณะมองไป เห็นมาลารินลงรถตรีภพมา นางเอกดาวรุ่งมองราเชนทร์ตาแป๋ว ราเชนทร์ชะงักนิดหนึ่ง เปลี่ยนท่าที
“โอเค มี แบด ผมผิดเอง”
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ได้ดูให้ดี”
“ฮะ คุณน่าจะดูให้ดีกว่านี้ โอเค้”
ราเชนทร์เดินกรายไปเฉียดมาลาริน มองด้วยแววตาเจ้าชู้ มาลารินตัวลีบ ขยับมาแอบหลังตรีภพ
“ใครน่ะคะ ดูเป็นบูลลี่จัง”
“คนในวงการนี่แหละครับ เด็กนอกไฮโซ ชอบรับบทผู้ร้ายแบดบอยอยู่บ่อยๆ คุณลินซี่ไม่รู้จักหรือครับ”
“ลินซี่เพิ่งมาเมืองไทย ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
“สงสัยอยู่คอนโดนี้เหมือนกัน เชิญครับ”
“ส่งลินซี่ แค่นี้ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ว้าย”
จู่ๆ มาลารินก็ซวนเซคล้ายเข่าอ่อนกะทันหัน ตรีภพยื่นแขนให้ มาลารินเกาะแขนไว้
“โธ่ คุณยังอาการไม่ดีเลย ผมไปส่งคุณให้ถึงที่ดีกว่า”
มาลารินทวนคำ “ค่ะ ถึงที่”
เหตุการณ์ที่ตรีภพพามาลารินเดินตรงไปยังคอนโด ภาพกลายเป็นภาพสแนป ช็อต ในกล้องมือถือที่ถ่ายห่างออกมาไม่ไกล จากในรถของบีบีมาจอดซุ่มในเงามืด บีบีใช้มือถือถ่ายรูประรัว แล้วลดมือถือลง ครุ่นคริด
“ส่งไปเจ้าไหนดีล่ะ”
ตรีภพกับมาลารินอยู่ในลิฟต์ลิฟต์เลิศหรู เพียงสองต่อสอง มาลารินทำตาแป๋ว ถามหยั่งเชิง
“เอ้อ คุณตรีมาส่งลินซี่แบบนี้ คุณพิมพ์ไม่ว่าจริงๆนะคะ”
ตรีภพรู้ว่ามาลารินเริ่มสืบความ จึงยังสวมบทคบหากับพิมพ์ดาวต่อ
“จะว่าได้ยังไงล่ะครับ เขาเป็นคนบอกให้ผมมาส่งเอง”
“แล้วไม่ใช่ไปโกรธกันทีหลังนะคะ”
“ไม่หรอกครับ พิมพ์เขาไม่งี่เง่า”
มาลารินมองอย่างยิ่งท้าทาย
“ดีจัง”
ต่อมาไม่นานมาลารินเดินนำเข้ามาในห้องโถงคอนโดหรู ตกแต่งสวยหวานโรแมนติก ตรีภพเดินตามเข้ามา
“เชิญซีคะ”
“ห้องคุณลินซี่สวยมาก” ตรีภพชม
มาลารินผายมือไปที่โซฟา
“เชิญนั่งก่อนซีคะ ดื่มอะไรซักหน่อยก่อน”
“ดีเหมือนกันครับ วันนี้เหนื่อยจริงๆนะครับ”
ตรีภพนั่งลงที่โซฟา มองดูรอบๆ มาลารินถือขวดเบียร์มาส่งให้
“ตามสบายนะคะ”
มาลารินเปิดทีวีจอกว้าง ส่งรีโมทให้ตรีภพ
“ขอตัวลินซี่เดี๋ยวนะคะ”
“เชิญครับ”
มาลารินเดินไป ตรีภพจิบเบียร์ เปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ ท่าทางเหนื่อยอ่อน
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง มือตรีภพถือขวดเบียร์เปล่าห้อยจากโซฟา ตรีภพเผลอหลับคอพับอยู่ ขวดเบียร์หล่นจากมือกระทบพรม ตรีภพสะดุ้งตื่นขึ้น มองดูรอบๆ ตัว
“เฮ้ย หลับไปได้ยังไงวะ”
ตรีภพมองดูรอบๆ ห้อง ก็ยิ่งแปลกใจที่ไม่เห็นมาลาริน ตรีภพลุกขึ้น
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่”
ตรีภพเดินตัดห้องโถง ไปยังส่วนห้องนอน
ตรีภพพาตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าห้องนอนมาลาริน เห็นประตูเปิดแง้มอยู่ มีเสียงเพลงเบาๆ ตรีภพลังเลแล้วที่สุดก็เคาะประตู
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่
ไม่มีเสียงตอบ ตรีภพลังเล นึกถึงคำพูดบีบี
“ฝากด้วยนะคะ ช่วงนี้ลินซี่กำลังป่วยด้วย”
ตรีภพตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
ตรีภพเข้าไปในห้องนอน ห้องนอนก็แต่งสวยหวาน แสงสีชมพูสาดไปทั้งห้อง ทำให้เกินงาม ตรีภพเข้าไป
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่”
ตรีภพคว้ารีโมทเครื่องเสียงปิดเพลง ทำให้ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ควันน้ำร้อนฟุ้งออกมาจากห้องน้ำ ตรีภพลังเล แต่อีกใจก็กลัวจะเป็นเรื่องร้าย จึงก้าวไป พบว่าประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่ ตรีภพลังเลอีกหนึ่งหน
“คุณลินซี่ครับ”
ตรีภพมองเข้าไปแล้วเบิกตากว้าง เมื่อพบว่า ภายในห้องน้ำ ท่ามกลางควันจากไอน้ำร้อน มาลารินเปลือยเปล่า ร่างเหมือนเป็นลมแล้วไถลเลื่อนจมลงในอ่าง
“เฮ้ย คุณลินซี่”
ตรีภพพรวดเข้าไป ตวัดผ้าเช็ดตัวมาคลุม อุ้มร่างมาลารินขึ้น
“คุณลินซี่”
มาลารินผวา แล้วสำลักกระอักกระไอ ตรีภพใจชื้นขึ้น อุ้มออกมายังด้านนอก
ตรีภพวางมาลารินลงบนเตียง น้ำหนักตัวทำให้ล้มลงเกือบจะทาบทับ มาลารินมองตาแป๋ว ปากเผยอ ไม่ได้มีอาการเฉียดตาย ตรีภพเองก็อึ้งไป รีบขยับลุกขึ้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
มาลารินเอามือจับผ้าเช็ดตัว ป้องกายไว้หมิ่นเหม่
“ลินซี่แช่น้ำ แล้วก็หน้ามืดจมน้ำค่ะ ดีนะคะที่คุณตรีมาช่วยลินซี่ไว้”
ตรีภพขยับถอยมา หันข้างให้
“เอ้อ คุณลินซี่แต่งตัวก่อนดีกว่าครับ”
มาลารินหน้าแดง กัดริมฝีปากตัวเอง ท่าทีขวยเขิน
“ลินซี่อายจังเลยค่ะ ไม่เคยอายอะไรอย่างนี้เลย”
มาลารินลุกขึ้น ตรีภพขยับหันข้างให้
“โธ่ อย่าคิดมากครับ ผมไม่ได้เห็นอะไรซักหน่อย”
มาลารินมองตรีภพ มือจับผ้าเช็ดตัว แล้วหันรีหันขวาง จากนั้นก็สะดุดขาตัวเอง
“ว้าย”
มาลารินล้มผวาเข้าในอ้อมอกตรีภพ ที่หันมารับไว้ทัน ผ้าเช็ดตัวหลุดลงกองกับพื้น ตรีภพมีมาลารินเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอก ตรีภพยิ่งกว่าอึ้ง มาลารินเงยหน้าดูตรีภพ มีแววขลาดอายแกมยวนยั่ว
ตรีภพมองตอบ เริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องหน้ามืด
“คุณตรี”
ตรีภพรวบรวมสติ และพยายามมองสูงเข้าไว้
“ผมไปก่อนดีกว่า”
ตรีภพแกะมือมาลารินออก หันขวับเดินออกไป มาลารินผิดหวังนิดหน่อย ยิ้มกับตัวเอง มองตามหลังตรีภพ
สักครู่หนึ่ง มาลารินสวมเสื้อคลุมบางเบาเดินออกมา เห็นร่างสูงยืนก้มหาของอยู่ในตู้เย็น มาลารินเข้าไปโอบกอดจากด้านหลัง เอาอกเบียด
“คุณตรี คุณช่วยชีวิตลินซี่ไว้ ขอบคุณมากนะคะ”
ตรีภพที่ลินซี่เรียกตัวแข็ง มาลารินยิ้มในสีหน้า หลับตาถูไถตัว จนเมื่อร่างนั้นหันมาและมาลารินแหงนเงย เผยอปาก ร่างนั้นหันมาจูบปากบดขยี้ มาลารินพอใจ
“คุณตรี คุณตรีขา” มาลารินเสียงกระเส่า
ที่แท้เป็นราเชนทร์ ที่คราง “อืมม์” ออกมา
มาลารินชะงัก ลืมตา พบว่าชายที่อยู่ในอ้อมกอดคือราเชนทร์ก็เบิกตากว้าง สบถ ขยับถอยออก
“โอ ชิท แดมน์”
มาลารินขยับถอย ท่าทางกลายเป็นนางร้าย แม้กระทั่งเสียงไร้เดียงสาก็หายไปหมด ราเชนทร์ยิ้ม มองอย่างขบขัน แล้วบีบเสียงล้อ
“คุณตรีขา คุณตรี คุณตรีของยู วิ่งหน้าซีดตาเหลือกลงลิฟต์ไปแล้ว ท่าทางเหมือนเห็นผี”
“ไม่ใช่ผีหรอก เห็นอย่างอื่น”
มาลารินคว้าขวดไวน์มารินดื่ม เดินไปนั่งไขว่ห้าง ชุดแหวกสูง ท่าทางนางร้ายเต็มสูบ
“นี่ยูหลอกมันมาปล้ำหรือ” ราเชนทร์ถามตรงๆ
“เปล๊า แค่ฉายทีเซอร์หนังตัวอย่างให้ดู แต่ถ้าได้ก็ดี”
ราเชนทร์มานั่งใกล้ เสื้อแจกเกตวางเอาไว้อยู่แล้ว แสดงว่าสองคนนี้คุ้นเคยกันอย่างดี
“ไอ้พระเอกนี่ มีแฟนแล้วนี่ เธอจะแย่งแฟนคนอื่นอีกหรือ”
“แย่งมาทำบ้าอะไร แค่ขอยืมชั่วคราว ซักเดือนสองเดือน”
“อ๋อ แค่แก้คัน”
มาลารินยิ้มรับเหมือนเป็นคำชม หันมาหาราเชนทร์ หูตาเริ่มพราวขึ้น
“วันนี้อ่านบท เหนื่อยเหมือนจะตาย นวดให้หน่อยซี”
ราเชนทร์เบื่อนิดหน่อย ขยับตัว มาลารินหันหลังให้ ราเชนทร์นวดต้นคอ ไหล่ มาลารินเริ่มคราง เลื่อนเสื้อให้ตกจากไหล่
มาลารินคราง “โอว์ อุ๊ว์”
“นี่ยูเมื่อยหรือว่าคันกันแน่”
มีร่างใครคนหนึ่งถือมือถือ ย่องดอดมาโผล่ตรงไชด์บอร์ด ถ่ายรูป และคลิปทั้งสองไว้ ใครคนนั้นมือไม้สั่น ราเชนทร์มองไปเห็นเข้า
“อ้าว อีเจ๊ ทำอะไร”
บีบีลืมตาโพลง ก้าวมาเท้าสะเอว อารมณ์หด
“ว้าย ไอ้เชน ทำไมเป็นแกยะ”
“นังนี่ทำไก่ตื่น วิ่งโร่หนีไปแล้ว” ราเชนทร์ว่า
“ตื่นเติ่นอะไร ยิ่งเล่นตัวซีดี ยิ่งสนุก” มาลารินลุกขึ้น “ไปเหอะ ไปนวดต่อในห้องดีกว่า”
มาลารินจูงราเชนทร์ไปยังห้องนอนเพื่อคลายเมื่อยกันต่อ บีบีมองตามแล้วเชิดใส่ โมโหปนหมั่นไส้ลูกสาวเด็กสร้างในสังกัด
“หวังฟันพระเอก ลงท้ายได้แค่ผู้ร้ายปลายแถว เชอะ อีปลวก”
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ที่วัดปฏิบัติธรรมแห่งนี้ สิ่งปลูกสร้างรอบบริเวณดูสมถะ บรรยากาศ เงียบสงบ และร่มรื่น
บนกุฏิเรือนไม้หลังเล็กๆ ดูโล่ง เรียบ สะอาด มีโต๊ะหมู่บูชาเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง และมีบรรดาหนังสือและซีดีธรรมะ เตรียมไว้แจกพุทธศาสนิกชนหลายตั้ง ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย
หลวงตาเจ้ากุฏิ ท่าทางสมถะ นั่งบนอาสนะแบนๆ มองมาอย่างปราณี ตรงหน้าท่านคือ จันทรา ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ที่ก้มลงกราบ แล้วเงยหน้าขึ้น ตรีภพเก็บมือเก็บเท้าเรียบร้อยเต็มที่ มีพิมพ์ดาวท่าทางกระโดกกระเดก มองตรีภพอย่างหมั่นไส้
พิมพ์ดาวบ่นบ้าเบาๆ “สร้างภาพ”
หลวงตาถามด้วยเพิ่งเคยเห็นตรีภพ “นี่ใครล่ะ โยมจันทรา ลูกชายหรือลูกเขย”
พิมพ์ดาวตาเหลือก ตรีภพสะใจ พิมพ์เดือนหัวเราะคิกคัก
“ไม่ใช่ค่ะ อาตมา เอ๊ย พระคุณเจ้า” พิมพ์ดาวตกใจจนพูดผิดพูดถูก
จันทราเซ็งลูกสาว
“เพื่อนของลูกสาวค่ะ หลวงพ่อ”
“แต่สนิทกันเหมือนลูกชาย หรือลูกเขยค่ะ หลวงตา”
พิมพ์เดือน ผู้สนิทสนมกับหลวงตาพูดเล่น หลวงตายิ้มนิดๆ พูดลึกล้ำ
“คนเราเวียนว่ายตายเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ท่านว่าไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็นญาติกัน”
พิมพ์ดาวย่นจมูกไม่เชื่อ หลวงตามองตรีภพ จันทรา
“อย่างคุณโยมกับหนุ่มนี่ อาจเกิดเป็นคู่แม่ลูกกันเมื่อชาติก่อน”
จันทรารับทันที “ก็ดีซีคะ”
หลวงตามองจันทรา เหมือนท่านรู้อะไรบางอย่าง
“ทุกสิ่งเกิดมาแต่เหตุ กฎแห่งกรรมมีเหตุและผลเสมอ แม้จะผูกพันกันเท่าใดก็ต้องรู้ว่าทุกสิ่งล้วนย่อมเปลี่ยนแปร ไม่มีสิ่งใดที่เราควรยึดมั่นถือมั่น”
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ปล่อยๆไปได้หลายอย่างแล้วค่ะ”
พิมพ์ดาวเริ่มยุกยิกตามประสา หลวงตามอง
“หนูท่าจะรำคาญเต็มทีแล้ว”
“ไม่ใช่นะคะ อาตมา เอ๊ย หนูแค่เป็นห่วงปลาค่ะ”
จันทรานึกได้ “อุ๊ยตาย ลืมไปเลย ไป รีบไปปล่อยก่อนลูก”
“ไปยายเดือน”
“ไม่ไปค่ะ แดดร้อน พี่พิมพ์ไปกับพี่ตรีเถอะค่ะ”
พิมพ์เดือนชงให้ พิมพ์ดาวมองตาดุ แค้นน้องสาว แต่ท่าทีกลับน่าขัน ตรีภพยิ้มกริ่ม พิมพ์ดาวถลึงตาใส่ แล้วเบือนหน้ามาเห็นหลวงตามองดูอยู่ก็หด รีบทำเสงี่ยม ตรีภพกลั้นหัวเราะ
ปลาดุก และ ปลาช่อน อย่างละ 10 กว่าตัวถูกเทจากถุงพลาสติกใหญ่ลงในน้ำ มันแหวกว่ายไปอย่างดีใจ พิมพ์ดาวกับตรีภพยืนขึ้นมองดู ปลาหลายตัวยังลอยตัวเหมือนมองดูทั้งคู่
“มองอะไร ไปได้แล้ว”
พิมพ์ดาวสุขใจจนใบหน้าเปล่งปลั่ง ตรีภพมองดู เห็นความงามสดใสนั้น อดเย้าไม่ได้
“โอโฮ ได้บุญทันตา ท่าทางคุณมีความสุขมาก”
“ไม่รู้ ฉันชอบปล่อยปลา ฉันชอบตอนมันมองหน้าขอบคุณแบบเมื่อกี้”
“ท่าทางคุณเป็นพวกชอบทำบุญกับสัตว์ คนพิการ เด็กกำพร้า แต่ไม่ชอบทำกับพระใช่ไหม”
พิมพ์ดาวชะงัก “แล้วทำไม”
“ไม่ทำไม แต่คนรุ่นใหม่เป็นอย่างงี้กันเยอะ บอกว่าข่าวแย่ๆของพระสมัยนี้ทำให้เสื่อมศรัทธา”
“ฉันไม่ได้เสื่อมศรัทธาอะไรหรอก แต่ฉันเห็นว่าคนทำบุญกับพระเยอะแล้ว พวกสัตว์พิการเด็กยากจนไม่ค่อยมีคนทำต่างหาก”
“ก็เขาเชื่อว่าทำบุญกับพระได้บุญมากกว่าไงครับ”
“ฉันว่าคนที่ทำบุญมัวแต่หวังได้กำไรให้เยอะที่สุดนี่ ถือว่าโลภ จัดว่าเป็นบาปเหมือนกัน”
“ไม่มีพระวัดไหนมาสอนแบบที่คุณว่าหรอกฮะ”
ตรีภพรู้สึกยิ่งใกล้ชิดผู้หญิงคนนี้ ก็ยิ่งรื่นรมย์ใจ พิมพ์ดาวเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่แล้วก็นึกได้ว่าชักสนิทเกิน
“นี่ไม่ต้องมาตีซี้กับฉันมาก กลับกันได้แล้ว”
“ผมมาตีซี้อะไรคุณ นี่ผมมาทำบุญต่างหาก”
พิมพ์ดาวเชิดใส่ เดินมาก่อน ตรีภพเดินตาม
ฟากจันทรายังอยู่บนกุฏิหลวงพ่อ หันไปหาพิมพ์เดือน
“หนูไปเอาน้ำมนต์ที่วิหารทีนะลูก”
“ได้ค่ะ”
พิมพ์เดือนออกไป หลวงตามองดูจันทราอย่างเมตตา จันทราขยับไปใกล้อีกนิด
“พูดมาเถอะโยม”
“หลวงตาเจ้าคะ ดิฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในสมาธิ เหมือนเป็นเจ้านางทางเหนือโบราณ ดิฉันสังหรณ์ว่า เขามีเรื่องเคียดแค้นยายพิมพ์ดาวอยู่” สีหน้าจันทราดูเป็นกังวลอย่างชัดแจ้ง
“จะอะไรเล่า ก็เรื่องผูกพยาบาทกันข้ามภพข้ามชาติ” หลวงตาบอก
“นี่ยายพิมพ์ก็จะต้องไปถ่ายละครทางเหนือ ดิฉันคิดว่า เขารอยายพิมพ์อยู่ที่นั่น
“โยมไม่อยากให้ลูกไปล่ะซี”
“ดิฉันสองจิตสองใจเจ้าค่ะ ใจหนึ่งก็อยากห้ามลูกไม่ให้ไป แต่แกจะเสียงาน แต่อีกใจก็คิดว่าอะไรจะเกิดมันก็เกิด.. เมื่อเวลาของมันมาถึง”
หลวงตายิ้มบางๆ พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่โยม ในโลกนี้ไม่มีอะไรขวางกฎแห่งกรรมได้”
ที่บริเวณลานวัด มีนกพิราบฝูงหนึ่ง ร้องเสียงดังจอแจ กินอาหารที่มีคนโปรยทานอยู่เต็มลาน ตรีภพกับพิมพ์ดาวเดินมาถึงจุดนี้
“ตาย เต็มไปหมดเลย”
“น่ารักดีนะคุณ เดี๋ยวไปซื้อข้าวโพดมาเลี้ยงดีกว่า”
พิมพ์ดาวเหลือบดูแวบหนึ่ง เห็นตรีภพท่าทางมีความสุข เดินไปหาคนขายอาหารนก พิมพ์ดาวมองอย่างประเมิน
“นายนี่สร้างภาพเนียนจริงๆ
ส่วนที่วิหารพิมพ์เดือนถือขวดพลาสติกใส่น้ำมนต์มา 2-3 ขวด มองไปอีกทางเห็นตรีภพถือถุงอาหารนกเดินกลับไปหาพิมพ์ดาว ก็เพ่งดูแล้วอมยิ้ม จับตามองสองคน
ตรีภพส่งอาหารนกให้พิมพ์ดาวถุงหนึ่ง ถือไว้เองถุงหนึ่ง
“อ้อ ฉันลืมไปเลย”
“อะไร”
“ที่คุณไปส่งคุณลินซี่เมื่อวานนี่ซี เป็นไงบ้าง”
ตรีภพเกือบสะดุ้ง หน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
“แล้วคุณจะถามทำไม”
“อ้าว ก็ฉันเห็นเขาไม่สบายอยู่ คุณไปส่งเขาถึงที่หรือเปล่า”
“ถึงที่เหรอ แค่เกือบๆ ไป”
พิมพ์ดาวฉงน “แปลว่าอะไร” ตรีภพยักไหล่ “แล้วเขาหายป่วยหรือยัง”
“เขาก็มีหน้ามืดบ้างเล็กน้อย”
“หน้ามืดเป็นลม หรือหน้ามืดปล้ำกัน”
พิมพ์ดาวพูดแซวเล่น แต่ตรีภพสะดุ้งสุดตัว
“เฮ้ย คุณพูดอะไรอย่างนั้น”
“แล้วทำไมคุณต้องสะดุ้งขนาดนั้น” พิมพ์ดาวจับอาการ
“ก็มันไม่น่าพูดนี่”
“ฉันมันนางร้าย ไม่ใช่นางเอก ฉันจะพูดอย่างนี้แหละ”
พิมพ์เดือนมองสองคนต่อไป พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นตรีภพเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง
“อ้อ ผมรู้แล้ว ที่คุณมาซักไซ้ไล่เลียงนี่ คุณเริ่มหึงใช่ไหม”
“หึงอะไร อย่ามาบ้านะ”
“อย่าห่วงไปเลยคุณ ผมบอกลินซี่แล้วว่าเราเข้าใจกันดี เขาไม่มีทางเข้ามาแทรกกลางได้หรอก”
ตรีภพพูดเอง แต่ก็ชักไม่แน่ใจกับเหตุการณ์เมื่อคืน
“คุณจะบ้าเหรอ คุณไปบอกอย่างนั้นทำไม”
พิมพ์ดาวเอาเรื่อง ตรีภพไม่แยแส เดินหนีไปโปรยอาหารนก พิมพ์ดาวหน้าคว่ำตามไปโปรยบ้าง บรรดานกพิราบกรูเกรียวมากิน
พิมพ์เดือนทำท่าเคลิ้ม ฟินสุดๆ “น่ารักสุดๆ คู่นี้”
จู่ๆ นกพิราบกลุ่มนั้นก็ฮือเข้าหาพิมพ์ดาว จิกหัวจิกไหล่ พิมพ์ดาวปัดป้องร้องกรี๊ด
ตรีภพตกใจ “เฮ้ย อะไรนี่”
พิมพ์ดาวร้อง “ว้าย”
พิมพ์เดือนตกใจเลิกเคลิ้มเป็นปลิดทิ้ง วิ่งตาเหลือกเข้ามาช่วยไล่นก ตรีภพบังพิมพ์ดาวไว้ นกบินกรูหนีไป พิมพ์ดาวผมยุ่ง มีรอยจากนกจิกข่วนนิดหน่อยให้เห็น
“อีกแล้วหรือคะ” พิมพ์เดือนตกใจ
พิมพ์ดาวบ่นบ้าตามประสา “ฉันไม่เคยทำเวรทำกรรมอะไรกับมันซักหน่อย นกบ้า”
“อ้าว คุณเคยมีเรื่องกับนกมาก่อนหรือ” ตรีภพแปลกใจ
“ก็ใช่น่ะซี แต่ไม่ถึงกับทุกครั้งหรอก”
“เออ พิลึกดี ตอนเด็กๆ คงชอบรังแกสัตว์น่ะซี”
พิมพ์ดาวตาเขียวใส่ เถียงปากไม่มีเสียง “ไม่เคยย่ะ”
ฟากหลวงตากับจันทราหันมาดู พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ตรีภพ เดินย่อตัวมานั่งกับพื้น
“มาลูก เดี๋ยวก็กลับกันได้แล้ว หลวงตาจะได้พักผ่อน”
หลวงตากวาดตามองทุกคน คล้ายล่วงรู้ว่า ต่างมีชะตากรรมรออยู่
“ทุกคนฟังไว้นะ ทางพุทธเรามีเรื่องกรรม ที่ก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด เกิดชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า”
พิมพ์ดาวฟังอย่างไม่เชื่อนัก
“คนเราทุกคนเคยก่อกรรมมาทั้งนั้น ไม่ว่าบุญหรือบาปล้วนส่งผลเสมอ ฉะนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้ตั้งรับมันอย่างมีสติ”
จันทรา และพิมพ์เดือนน้อมรับ “เจ้าค่ะ” / “ค่ะ” ตรีภพเองก็รับว่า “ครับ”
พิมพ์ดาวเป็นคนเดียวที่ไม่รับคำ หลวงตายิ้ม
“หนูพิมพ์ดาว เข้ามาซิ”
พิมพ์ดาวหน้าเหวอ เพราะห่างพระห่างเจ้า พิมพ์เดือนต้องเอามือดันก้น พิมพ์ดาวกระโดกกระเดกเข้าไป หลวงตามองอย่างปราณี
“แบมือ”
พิมพ์ดาวยังงงอยู่ แบมือ หลวงตาทิ้งของอย่างหนึ่งลงในฝ่ามือ มันเป็นเขี้ยวสัตว์ที่ลงอักขระอาคม มีทองเก่าถักเป็นร่างแหรัดไว้ มีห่วงของสร้อยคอครบถ้วน
จันทรา พิมพ์เดือน ตรีภพ ชะเง้อสนใจ
“อะไรคะเนี่ย เหมือนเขี้ยวสัตว์”
หลวงตาบอก “ของขลังจากต้นตระกูลอาตมาเอง เรียกว่าเขี้ยวเสือไฟ เชื่อว่าป้องกันอันตรายได้ชะงักนัก ไปต่างที่ต่างถิ่นก็ขอให้พกติดตัวไว้”
พิมพ์ดาวมองดูนิ่งๆ รู้สึกวูบวาบบางอย่างทั่วกาย
“ขอบคุณค่ะ”
จันทราซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ตระหนักรู้ว่าหลวงตาท่านช่วยลูกสาวนั่นเอง
“แต่ขอให้รู้ไว้ สิ่งคุ้มตัวเราที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าของขลังใดๆ ก็คือทาน ศีล และภาวนา”
พิมพ์ดาวปากไวตามประสา “ทาน ศีล ยังพอไหวค่ะ แต่ภาวนา”
หลวงตามองดู มีแววล่วงรู้อย่างอื่น
“ใครจะรู้ หนูอาจสร้างบารมี เคยภาวนามาหลายชาติหลายภพแล้ว”
พิมพ์ดาวยิ้มแหยๆ ไม่เชื่อ
หลวงตารู้ทัน “ยังไม่ต้องเชื่อ แต่ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ”
“ค่ะ”
“ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งการพ้นทุกข์ ทุกปัญหาล้วนมีทางแก้ ใช้ทาน ศีล ภาวนาคุ้มตัว ใช้สติคุ้มใจ”
จันทราถามแทรก “แล้วเวลาเจอคนที่เขาคิดแค้นเราล่ะคะ”
“อะไรก็ไม่ดีเท่าเมตตา อโหสิกรรมเป็นนิตย์ อธิษฐานจิตเป็นประจำ”
ด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้บรรยากาศในกุฏิเล็กๆ นั้นดูศักดิ์สิทธิ์ และเข้มขลัง พิมพ์ดาวก้มลงกราบหลวงตาอย่างงดงาม คนอื่นๆ ก็กราบลง
หน้าบริษัทผลิตละครของฐาปกรณ์เวลาเช้าวันนี้ มีรถตู้ของบริษัทจอดอยู่
ส่วนที่โต๊ะประชุมในห้องอเนกประสงค์ ฐาปกรณ์นั่งหัวโต๊ะ สุชาดานั่งถัดมา เบิ้ม รัก ลูกกบ มีมี่ มูมู่ เก้ง ประชุมครึ่งสุดท้ายก่อนเดินทางไปคุ้มเวียงแก้วเพื่อดูสถานที่จริง และเตรียมงานก่อนการถ่ายทำ
ฐาปกรณ์สั่ง “ไอ้เบิ้ม แกต้องไปดูโลเกชั่น ฉากป่า ฉากน้ำพุร้อน แล้วก็ฉากแม่ปิงเพิ่ม”
เบิ้มรับ “ครับ”
สุชาดาหันมาทางเก้ง “น้องเก้ง พอไปถึงก็ไปติดต่ออาจารย์นครเลยนะ แกเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ เราก็แค่ไป
เลือก แล้วก็จัดเซทไว้แค่นั้นเอง”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
ฐาปกรณ์มองมาที่รัก “เออ ไอ้รัก เรื่องต้องขออนุญาตอะไรเพิ่มเติมน่ะ จัดการให้เสร็จพรุ่งนี้เลยนะ”
“จะทันเหรอพี่”
“ทันซีวะ ถ้ามึงไม่ขี้เกียจอยู่”
เห็นช่างหน้าช่างผม มีมี่ กะ มูมู่ ยิ้มเยื้อนเจ๋ออยู่ในที่ประชุมด้วย ฐาปกรณ์มองฉงน
“เอ๊ะ แล้วนังสองคนนี่ แกมาประชุมทำไม แกต้องไปพร้อมนักแสดงไม่ใช่หรือ”
มีมี่บอก “ไปแรด เอ๊ย ไปช่วยพี่เก้งค่ะ”
มูมู่ว่า “เหมือนกันค่ะ เรื่องผมนี่เรื่องใหญ่นะคะ”
“เออ งั้นแค่นี้ ออกเสียแต่เช้า จะได้ถึงคุ้มไอ้แก้วก่อนเย็น”
สุชาดาแหวใส่ผัว “คุณแก้ว! อย่าเผลอไปเรียกไอ้นะ”
ลูกกบยกมือ “เดี๋ยวก่อนค่ะ แล้วอาร์ตไดกับศิลปกรรมล่ะคะ”
ฐาปกรณ์นึกได้ “เออใช่ ใครเป็นอาร์ตได คุณ”
“นี่ อาจารย์ที่เขามาช่วยเรื่องข้อมูลวัฒนธรรมน่ะ เขาทำได้ ให้เขาทำเลย”
ฐาปกรณ์อ้าปากค้าง รู้ว่าความงกของเมียเริ่มปรากฏอีกประการแล้ว
“อีกอย่างค่ะ ใครเป็นโปรดิวเซอร์” ลูกกบสงสัย
สุชาดาตอบอีก “ก็หล่อนไงยะ แม่ลูกกบ”
ลูกกบท้วง “หนูเป็นการเงิน เกิดมาไม่เคยโปรดิวซ์ค่ะ”
“จะยากอะไรยะ เดี๋ยวฉันสอนงานให้เอง”
“แล้วประสานงานล่ะคะ” ลูกกบยังซักต่อ
มาดามสุออกอาการหงุดหงิด “ก็เธอนั่นแหละ วุ้ย ละครมินิซีรีส์ ต้องมากเรื่องมากคนทำไม”
ลูกกบมีอาการอึ้งๆ ทุกคนมองสุชาดาเป็นตาเดียว มาดามสุทำเชิด ฐาปกรณ์อยากเอาปี๊บคลุมกบาลอายแทน
“อุ๊ยตาย อย่าบอกนะคะว่าให้หนูทำครัวกับสวัสดิการด้วย” ลูกกบเหน็บ
ฐาปกรณ์จ้องหน้าเมีย “ยังไงคุณ”
“วุ้ย จะยากอะไร แม่ครัวกับนังคนใช้ที่คุ้มอยู่ว่างๆ ก็ให้ทำไปซิ พวกบ้านนอกน่ะเห่อดาราจะตาย รับรองมาทำให้ฟรีๆ”
ฐาปกรณ์เซ็งสุดขีด พูดไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมา
“เออ ระวังจะเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”
“คนอย่างฉัน ไม่ยอมเสียอยู่แล้วย่ะ”
บรรดาลูกทีมทำตาปริบๆ
ฐาปกรณ์ตัดบท “ไป ไป พวกเอ็งออกเดินทางได้แล้ว แล้วไปเจอกันที่โน่น เออ คุณ เครื่องผมออกกี่โมง”
สุชาดาบอกหน้าเฉย “เครื่องอะไร ไม่มี”
“อ้าว แล้วยังไง”
“รถก็เอาไปอยู่แล้ว คุณจะมาบินไปทำไม ก็ไปกับเด็กๆ มัน”
ฐาปกรณ์เม้ง “นี่หลังผมอักเสบอยู่นะ จะขดไปในรถได้ยังไง”
“งั้นก็เดินไป.. ก็คุณบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าละครเรื่องนี้ต้องทุ่มทุนสร้าง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“คุณก็ยังบอกอีกว่า อะไรประหยัดได้ก็ไปประหยัดตรงนั้น”
ฐาปกรณ์ลุกพรวด สุชาดาเมินหน้าหนี บรรดาลูกน้องคอหด ดูท่าที ฐาปกรณ์ตวาด
“ไป.. ไปขึ้นรถ”
ทุกคนลุกขึ้น ลูกกบยิ้มพราย
“ค่ะ ขอเชิญมาร่วมทุกข์.. ร่วมสุขกันค่ะ”
รักกลั้นหัวเราะเต็มที่ มีมี่ มูมู่ปิดปากหัวเราะคิกคัก
ไม่นานต่อมา รถตู้ของทีมงานแล่นมาตามทางหลวง มุ่งตรงไปยังภาคเหนือ รถตู้พุ่งทะยานไปเรื่อยๆ ตรงเบื้องหน้าเริ่มเห็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนดูลึกลับ
ไม่มีใครสำเหนียกสักนิดว่า ต้องไปพบเจอกับอะไรหรือใครที่รออยู่
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6 (ต่อ)
รถตู้พาทักคนมาถึงคุ้มเสวียงแก้วในเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา รถตู้เลี้ยวเข้ามายังลานหน้าคุ้ม แล้วจอดลง คนงานชายไร้ชื่อทั้งสองวิ่งมา เห็นว่าทั้งคู่สวมสายสิญจน์ที่คอ
ประตูรถเปิดออก เบิ้มลงมาจากตอนหน้า ประตูรถเลื่อนออก ลูกกบ มีมี่ มูมู่ รัก เก้ง ลงมา มองดูคุ้มตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
ตัวคุ้มในเวลาเย็น แสงสีส้ม ฉาบทาด้านหนึ่งของคุ้ม ความสลับซับซ้อนของหมู่เรือนยอด หอคำ และหอสูงสังเกตการณ์ ทำให้เกิดมิติ และบรรยากาศเร้นลับบางอย่าง
เบิ้มทึ่ง “โอ้โฮ”
รักอุทานไม่เชื่อตา “แม่งใหญ่เป็นบ้า ไอ้แก้วโชคดีฉิบเลย
“อลังสุดๆ” ลูกกบบอก
มีมี่ มูมู่ และเก้ง ก็มองไปรอบๆ สองสาวมีอาการหอบจนนมกระเพื่อม
“โอ เอ็มจี” เก้งรำพึง
มีมี่บอก “เนื้อๆ เน้นๆ กล้ามคือกล้าม”
มูมู่ว่า “ซิกซ์แพคเห็นๆ”
สองคนงานชายนิรนามที่ใส่เสื้อไม่กลัดกระดุม แลเห็นแผงอกแกร่ง มายืนรับ มองดู 2 กะเทย กะ 1 เกย์ ท่าทีตื่นๆ เก้งระงับท่าที เดินไปรวมกลุ่ม เบิ้ม รัก ลูกกบ ส่วน มีมี่ มูมู่ ทำเอียงอายระคนร่านไปมา
มีมี่กรี๊ด “ต๊าย ป้อจายจาวเหนือนี่ผิวเนียนขนาด”
“ทั้งขาว ทั้งตึง เปรี๊ยะๆๆๆ ว้าย เหี่ยว”
2 นางชะนีหันไปเห็นตาทองยืนเหี่ยวอยู่ในระยะประชิด ก็ร้องกรี๊ดผงะหงาย ตาทองมองอย่างปลงๆ ลูกกบ รัก เบิ้ม ตรงเข้ามาไหว้ตาทอง
“หนูมาจากทีมละคร” ลูกกบแนะนำตัว
“ผมรู้แล้ว ขนกระเป๋าลงมาได้เลยหนู”
“ค่ะ คุณตา เอ๊ย คุณลุง”
ลูกกบ เบิ้ม รัก มีมี่ และมูมู่ หันกลับไปยังรถตู้
“เอ๊ะ พี่ฐาล่ะ” เบิ้มมองหา
“หรือว่าจะหลับไม่ตื่น ไหลตายไปแล้ว” รักว่า
เสียงฐาปกรณ์ด่าดังเข้ามา “ไอ้ห่ารัก กูยังไม่ตาย หลังกูกำเริบ มาช่วยกูก่อน”
ลูกกบตกใจ “ว้าย ตายแล้วพี่ฐา”
รักกับเบิ้ม เข้ารถไป ประคองฐาปกรณ์ในสภาพหน้านิ่วหลังแอ่นลงมา
“เฮ้อ สังขาร”
ฐาปกรณ์ตาเขียวใส่ ลูกกบทำไม่รู้ไม่ชี้ ฐาปกรณ์มองดูคุ้มตรงหน้าแล้วหายเจ็บหายปวด ตาทองก้าวมา
“เชิญข้างในคุ้มเลยครับ คุณ เอ้า เอ็งสองคนช่วยคุณๆ ขนของ”
2 คนงานชายเข้ามาช่วย มีมี่ มูมู่ หยิกทึ้งกันคิกคัก
ฐาปกรณ์ รัก เบิ้ม ลูกกบ เก้ง มีมี่ มูมู่ เดินเข้ามาตรงบริเวณเติ๊นกลางคุ้ม มองดูการตกแต่งรอบๆ ยิ่งตื่นตาตื่นใจ ช่างหน้าช่างผมวี้ดว้ายไม่เลิก
“ต๊าย อย่างกะวังเจ้า”
“อุ๊ย ก็วังน่ะซียะ นังฉลาดน้อย ทางเหนือเรียกว่าคุ้ม”
ระรินกับเฟื่องฟ้า แต่งตัวงดงาม ก้าวมาจากด้านใน ใบหน้ายิ้มระรื่น ชะเง้อชะแง
“ไหน ไหน พระเอก”
“ตรีภพล่ะ”
รักยักคิ้วให้สองสาวใช้ “มีแต่พระรองจ้ะ”
ระรินกับเฟื่องฟ้าเชิดใส่ หันไปซุบซิบ เม้าท์มอยกัน แต่เสียงไม่ค่อยดังนัก
“มีแต่พวกทีมงาน”
“ไม่งามเลยสักคน”
บรรดาทีมงานอึ้ง ทำตาปริบๆ ทันใดมีเสียงวี้ดดังลั่นเข้ามาจากมุมหนึ่ง
“ว้าย ดารา”
เป็นสายใจที่ก้าวออกมา ด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี ระริน เฟื่องฟ้า ยื้อยุดสายใจไว้
“มีที่ไหนละคะ”
สายใจไม่สนวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น ตรงเข้าหาฐาปกรณ์
“พี่ฐา!”
ฐาปกรณ์ อดีตพระเอกของวงการเมื่อนานมาแล้วสะดุ้ง มองดูสายใจงง ภาพอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนหวนคืนมา
“ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ยอมเล่นหนังเล่นละครบ้างเลยละคะ”
ฐาปกรณ์ยิ้มภูมิใจ สายใจยิ้มหลงใหล บรรดาคนอื่น รวมทั้งระรินเฟื่องฟ้าปลงๆ
ลูกกบแขวะ “อ๋อ สังขารน่ะค่ะ”
ฐาปกรณ์หุบยิ้ม ตาทองกับสองคนงานขนกระเป๋าเข้ามา ตาทองมองสายใจปรามๆ สายใจรีบระงับท่าที
“ไอ้ เอ๊ย คุณแก้วล่ะครับ” ฐาปกรณ์ถามตาทอง
“คุณแก้วทราบแล้วว่าพวกคุณมา เดี๋ยวก็คงออกมาครับ”
“เดี๋ยวก็คงตื่นค่ะ”
สายใจหลุดปาก ตาทองมองดุปรามในที ฐาปกรณ์ ลูกกบ และรัก มองหน้ากันงงๆ
มีเสียงนาฬิกาตีดัง บอกเวลา 6 โมงเย็น แสงจากภายนอกมืดลงวูบ สายใจและ 2 สาวใช้รีบเปิดไฟ ตามจุดที่จุดต่างๆ เพิ่มขึ้น ตาทองเชิญทุกคนให้นั่งที่ชุดรับแขก
ฐาปกรณ์ ลูกกบ รัก เบิ้ม เก้ง มีมี่ มูมู่ นั่งเรียงราย เบิ้มนั่งหันไปยังกรอบช่องประตู
ที่กรอบช่องประตู แก้วก้าวมาแล้วหยุดยืน เบิ้มมองไปแล้วตาเหลือก เห็นแก้วที่ยืนนิ่งอยู่ คล้ายมีเงาร่างอสูรกายของยอดหล้าทาบทับซ้อนอยู่
“เฮ้ย”
ทุกคนหันมามองตามสายตาเบิ้ม ภาพอสูรกายจางหายไป เหลือแก้วที่ดูหล่อเหลาขึ้น แต่ผิวขาวซีด และมีความเย็นชา แข็งกระด้างอยู่ แก้วก้าวเข้ามา ฐาปกรณ์กับพวกลุกขึ้น
“คุ้มเวียงแก้ว ยินดีต้อนรับทุกคน”
ฐาปกรณ์เข้าจับไม้จับมือแก้ว ดวงตาชื่นชม แกมละอายที่เคยด่าไว้มาก
“ขอบใจ ขอบคุณ เอ้อ อ้า ขอบพระคุณเอ็ง เอ๊ย ขอบพระคุณเจ้าจริงๆ”
“เรียกผมเหมือนเดิมเถอะครับ ยังไงผมก็คือไอ้แก้วคนเดิม”
แก้วพูดเหมือนถ่อมตัว แต่ก็มีแววจิกกัดด้วย บรรดาคนอื่นมารุมล้อม ยกเว้นเบิ้มที่จดๆจ้องๆ ลูกกบกระซิบกับรัก
ลูกกบกระซิบ “ถ้าให้เรียกเหมือนเดิม ก็ต้องเรียกไอ้ห่าแก้วสิ”
รักหัวเราะก๊าก แก้วหันมามอง
รักยิ้มแหยๆ “ผมรัก ผู้ช่วยครับ จำผมได้ใช่ไหมครับ”
“จำได้ซีครับ ผมจำได้ว่าทุกคนเคยทำ...ทำดีกับผมยังไงบ้าง”
แก้วยิ้มเยือกเย็น ฐาปกรณ์ยังเชลียร์ต่อ
“นายดูดีขึ้นเยอะเลย บุญพาวาสนาส่ง สง่าราศีมันจับ”
ลูกกบ รัก เก้ง มองดู มีมี่ มูมู่ กระซิบกัน
“ว้าย ทั้งซีด ทั้งซูบ ยังกะถูกเสน่ห์อีเป๋อ”
“หรือไม่ก็ถูกดูด” เก้งมองหน้า มู่มู่พูดต่อ “ดูดเลือดค่ะ พี่เก้ง”
เบิ้มยังคงมองแก้วอย่างไม่วางใจ แก้วมองตอบ เบิ้มยิ้มแห้งๆ
แก้วพาฐาปกรณ์และลูกทีมเดินทัวร์เรือนต่างๆ รักถ่ายรูป คนอื่นใช้มือถือถ่ายกันราวกับคณะทัวร์
“แค่ยกเอาของสมัยใหม่ออก ก็ใช้เป็นฉากได้ทุกห้อง ทุกเรือนเลย” ฐาปกรณ์ว่า
“ครับ”
แก้วพาทุกคนมาหน้าเรือนหลวงหลัง ที่มีประตูไม้แกะสลักบานใหญ่มหึมา 2 บาน
“เชิญครับ”
แก้วผายมือ
ฐาปกรณ์ รัก เบิ้ม เก้ง มีมี่ มูมู่ ก้าวเข้าไป แก้วหมุนปรับสวิชท์ไฟดิมเมอร์ให้แสงส่องสว่างขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นท้องพระโรงใหญ่โต ตระการตา มีแนวเสาเรียงราย ประดับด้วยไม้แกะปิดทอง ที่สุดทางเป็นยกพื้น ที่เหนือยกพื้น ตั้งแท่นคำอลังการ เป็นไม้แกะลวดลายละเอียดยิบ ปิดทองและผังอัญมณี
ฐาปกรณ์และลูกทีมตกตะลึงพรึงเพริด
“สวยจริงๆ สวยยิ่งกว่าในรูปที่นายเมล์มาอีก”
ฐาปกรณ์ เก้ง เข้าไปลูบๆคลำๆเสา แท่นคำ เริ่มมีการถ่ายรูป
“นี่คือท้องพระโรงหลวงแห่งคุ้มเวียงแก้ว ที่ที่เจ้าหลวงประกอบราชประเวณี และต้อนรับแขกเมือง”
“นี่ของเก่าหรือ แก้ว”
“ของทุกชิ้นเป็นของเก่าที่บูรณะขึ้น ยกเว้นโคมระย้าข้างบนกับระบบไฟ...แต่ผมเตรียมอัจกลับแก้วโบราณไว้เปลี่ยนให้แล้ว”
ฐาปกรณ์มองแก้วสุดทึ่ง พูดอย่างตื่นเต้น
“นี่นายทุ่มเทเพื่อละครเรื่องนี้ ขนาดนี้เชียวหรือ”
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” แก้วตอบหน้าตาเฉย
“ไม่เท่าไหร่ก็คือไม่กี่สิบล้านใช่ไหม”
“จะเป็นไรไปครับ.. เพราะละครเรื่องนี้คือละครเรื่องสุดท้ายของผม”
แก้วพูด ดวงตาฉายแววสะทกสะท้อนใจ ทว่าคนอื่นๆ ไม่เข้าใจความนัย
เรือนรับรองขนาดมหึมา มีลักษณะเป็นศาลากว้างราวศาลากลางเปรียญย่อมๆ อยู่ทางด้านหลังคุ้ม มีเสาใหญ่เป็นระยะ มีพื้นที่โล่งกว้าง ตรงกลางยกพื้นขึ้น และแนวระเบียงรอบๆ ที่ต่ำลงมา 3 ด้าน ทางด้านหนึ่งมีเรือนฝากั้นมิดชิด กับห้องน้ำ ห้องส้วม และยังมีม่านที่สามารถใช้กั้นเป็นสัดส่วนได้
ในขณะนั้นเป็นเวลาราวสี่ทุ่ม หลังจากแก้วเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ บรรดาทีมละครกำลังจับจองที่ บ้างก็รื้อเสื้อผ้าของส่วนตัวมาแขวน มาจัดไว้รอบที่นอนของตัวเอง ลูกกบแต่งชุดนอนเสื้อกางเกง รักอาบน้ำแล้วกำลังแต่งตัว เบิ้มยังไม่แต่งตัวใหม่ เก้งแต่งชุดนอนมีลายยี่ห้อดูหรู ลูกกบอยู่ทางซีกซ้ายของเรือนโดดเดี่ยว
“ตกลงตามนี้นะยะ ซีกขวาผู้ชาย ซีกซ้ายผู้หญิง” ลูกกบแจง
“เออ ไม่มีใครข้ามไปเล่นผีผ้าห่มกับแกหรอก” รักว่า
เก้งปรายตาค้อนเริดๆเชิดๆ เบิ้มมองรอบตัวอย่างหวาดหวั่นอยู่คนเดียวมีเสียงดังมาจากหลืบห้องน้ำ
มีมี่ถาม “แล้วหนูละคะ เจ๊”
มูมู่ซัก “จะให้หนูสองคนนอนซีกไหน”
“ถ้าแกอาบน้ำแต่งตัวเป็นชั่วโมงแบบนี้ ก็นอนมันในส้วมเถอะ” ลูกกบแดกดัน
“จะนอนอยู่แล้ว ทาครีมอะไรกันอยู่วะ” รักบ่น
“ใครบอกล่ะว่าอีสองตัวนี้จะนอน” เก้งพูดอย่างรู้ทัน
ทุกคนมองไป เห็น มีมี่ มูมู่ ก้าวมา สองนางแต่งซิ่น ห่มสไบ ผมปักดอกไม้คำร้อยดอก แต่งหน้าเนียน ทาตาสิบสี เบิ้มผู้ซึ่งกลัวผีจับจิตร้องอุทาน
“แหก!”
“ว้าย คนนะคะ ไม่ใช่ผี”
“เออ แกเป็นอะไร ไอ้เบิ้ม ฉันเห็นแกทำท่าตาแหกมาตั้งแต่เย็นแล้ว”
เบิ้มบอกท่าทีสยอง “ผมว่าที่นี่ต้องมีอะไรๆแน่เลย”
“ปูโธ่ กลัวอะไรวะ ผีอยู่ส่วนผี คนอยู่ส่วนคน” รักบอก
เบิ้มถอนใจเลิกพูด มีมี่ มูมู่ มานั่ง เอาตลับแป้งมากดแป้งพัฟเติมมิรู้แล้ว
“อ้อ ลืมไป แกสองคน แต่งผีเจ้านางทำไมยะ” ลูกกบแปลกใจ
มีมี่บอก “นัดกะเฟื่องฟ้ากะระริน วัดถัดไปมีงานปอยหมุยอะไรไม่รู้”
“เราก็เลยจะไปเป็นเกียรติให้งานซะหน่อย” มูมู่ยิ้มกระหยิ่ม
รักเซ็ง “เวร”
มีมี่บอกอีก “เมื่อกี้คุณแก้วเลี้ยงฉันยังไม่อิ่มดี ฉันจะไปหาอาหารเหนือกิน ฮิฮิ”
“ทั้งไส้อั่วเนื้อแน่นๆ กับน้ำพริกหนุ่ม”
ตาทองโผล่หน้ามาใกล้ 2 กะเทย มูมู่ตาเหลือก
“ว้าย น้ำพริกแก่”
ตาทองมองดูมีมี่ มูมู่ อย่างสยดสยองใจ แต่ไม่วิจารณ์
“มีอะไรหรือคะ คุณลุง” ลูกกบถาม
“พวกคุณเพิ่งมา ผมเอาสายสิญจน์นี่มาให้”
ทุกคนสบตากันงงงวย เบิ้มตาเหลือก ตาทองรีบแก้
“เป็นการรับขวัญพวกคุณ ใส่ไว้นะครับแล้วจะโชคดี”
“เป็นธรรมเนียมคุ้มหรือครับ เห็นใส่กันทุกคนเลย” เก้งถาม
“ครับ ใส่ไว้นะครับ ทุกคน”
ตาทองส่งให้ลูกกบ ลูกกบแจกต่อไปเรื่อยๆ ทุกคนรับมาคล้องคอ
เบิ้มอดไม่ได้ “ลุง...ที่นี่มีอะไรแบบนั้นหรือเปล่าครับ”
“อย่ากลัวไปเลยครับ เดี๋ยวพวกคุณก็จุดธูปไหว้อารักษ์ เจ้าที่เจ้าทางซะ ก็ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปล่ะ”
ตาทองตัดบทรีบไป
ลูกกบปรารภขึ้น “เขาว่าคนที่มีเซ้นส์เจอผีน่ะมี 3 พวก คือพวกนักเขียน พวกติสท์ แล้วก็...”
มีมี่ซัก “อะไรคะ”
“แล้วก็พวกตุ๊ด กะเทยไงยะ” ลูกกบบอก
มีมี่เถียง “ไม่จริงค่ะ หนูไม่มีเซ้นส์ เพราะหนูเป็นผู้หญิงคร่อมเพศ”
“หนูมีแต่เกย์ดาร์.. ผีเห็นผี”
มูมู่มองเหล่เบิ้ม เบิ้มเมิน เก้งถลึงตาใส่ ช่างหน้าช่างผม ดึงสายสิญจน์ออกจากคอ ส่งให้ลูกกบ
“ฝากไว้ก่อนนะเจ๊กบ ใส่แล้วไม่รับหน้าค่ะ”
“ไปดีกว่า เดี๋ยวตลาดวาย ผู้ชายหมด”
งานวัดเลิกแล้ว มันเป็นเวลาราวตีสอง มีมี่ มูมู่ หน้ามัน เครื่องสำอางลอยตัวคล้ายสังขยา เดินกระย่องกระแย่งมาตามทางข้างคุ้มเวียงแก้ว ส้นสูงกัดมา
“นังเฟื่องฟ้ากะระรินตอแหล บอกมีป้อจายละอ่อน ที่ไหนได้มีแต่พวกขี้เหล้าสักทั้งตัว ทั้งเกร็งทั้งดำ”
“แต่ดูๆไปก็เซ็กซี่นะ เตง”
“ต่ำ!”
สองกะเทยค้อนควักกันไปมา แล้วชะงักมองไปเบื้องหน้า ตาลุกวาว มองหน้ากัน
“ป้อจายมาเป็นหมู่คณะ”
สองชะนีคร่อมเพศเดินระทวยเข้าไป มีผู้ชาย 4 คนยืนอยู่ หันหลังให้
“คุณขา ขอความช่วยเหลือหน่อยค่ะ”
“เราสองคนหลงทางค่ะ”
ชายทั้ง 4 ยืนนิ่ง สองคนเข้าไปใกล้
มีมี่เล่นลิ้น “หลงทางรัก”
ชายทั้ง 4 หันร่างมาอย่างลำบาก พบว่าพวกมันคือร่างที่เป็นซากแห้งของสมุนโจรทั้ง 4 นั่นเอง มีมี่ มูมู่ ชะงัก มองดู เห็นที่คอทุกคนมีปลอกเหล็กกับโซ่
“ต๊าย โซ่แส้ กุญแจมือ”
สมุนโจรคนหนึ่งพลันคอพับ เห็นว่าคอเกือบขาด แต่มีเศษหนังรุ่งริ่งยึดไว้ มีมี่ มูมู่ ตาเหลือก
มีเสียงหัวเราะคิกคัก เสียงโซ่กรุ๊งกริ๊งดังมา มีมี่ มูมู่ ถอยกรูดออกไป เห็นว่าโซ่ 4 เส้นที่ล่ามจากคอซากศพ อยู่ในมือนางผัน นางเผื่อน ที่หน้าดูขาวซีด ท่อนล่างจางๆ ไม่ติดพื้น
“ซอมบี้”
“ผีชะนี”
มีมี่ มูมู่ วิ่งตะกายหนีไม่คิดชีวิต นางผัน นางเผื่อน งงงวย
“ผีชะนีคือกระไร”
“ข้าจะรู้ได้ยังไง อีวอก”
“นังสองคนนี้ร่านนัก ต้องหลอกมันให้เข็ด”
“ใช่ ร่านกว่าเจ้าสมัยก่อนอีก”
นางผันถลึงตาแล้วเลือนวูบไป นางเผื่อนวูบหายตาม
มีมี่ มูมู่ตาเหลือก หิ้วส้นสูงถลกซิ่นวิ่งมาไม่คิดชีวิตจนมาถึงสวนของคุ้ม มูมู่วิ่งนำ มีมี่วิ่งตาม มีมี่หกล้มคว้าซิ่นมูมู่ไว้ ซิ่นลุ่ยหลุด มูมู่คว้าไว้ทัน
“ว้าย อีบ้า”
“ฮือ รอเค้าด้วย เตง”
มีมี่ลุกขึ้นยืนเคียงมูมู่ ทันใดร่างเลือนรางของนางผัน นางเผื่อน ก็ลอยโผล่ขึ้นมาตรงหน้า หัวเราะหลอกหลอน ช่างหน้าช่างผม ช็อกตัวแข็งทื่อ
“ฮือ กลัวแล้วจ้า อย่าหลอกอย่าหลอนหนูเลย” มูมู่ว่า
มีมี่บอก “แล้วจะทำบุญไปให้”
ผันด่า “ข้าไม่อยากได้บุญเจ้า นังร่าน”
เผื่อนด่าตาม “แม่ญิงอันใด...จึงได้ร่านขนาดนี้”
นางผัน นางเผื่อน ยื่นมือมาดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มีมี่ มูมู่ตัวแข็ง มูมู่ซิ่นหลุดไปกองคาพื้น นางผัน นางเผื่อน ก้มมอง แล้วสะดุ้งสุดตัว ชี้นิ้วระริกระรัว
“ว้าย”
“นั่นกระไร”
มูมู่เกิดพุทธิปัญญา เมื่อเห็น 2 นางบริวาร ยกมือป้องตา
“อีมีมี่”
“อะไร”
“แก้ผ้าเร็ว”
มีมี่หัวไวแก้ผ้าซิ่นหลุดผลัวะมายืนเคียง นางผัน นางเผื่อน ถอยกรูดๆ มีมี่ มูมู่ สบตากัน ก้าวคุกคาม
2 นางบริวารที่ร้องกรี๊ดสุดเสียง ร่างหายวับไป มีมี่ มูมู่ หันมาไฮไฟว์กัน
ไฟสปอร์ตไลท์ในสวนสว่างขึ้น มีมี่ มูมู่ ยืนภูมิใจ ตาทอง 2 คนงานชาย สายใจ เฟื่องฟ้า และระริน วิ่งมาดู
ลูกกบ เก้ง เบิ้ม รัก มาหมด มองดูสองพธูเป็นตาเดียว สองนางช่างหน้าช่างผมมัวแต่ภูมิใจลืมดูสารรูปตัวเองไป
“ผีมันกลัว”
“ผีมันกลัวหนูค่ะ”
2 คนงานร้อง “เฮ้ย” ส่วน สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน เบือนหน้าหนีร้อง “ว้าย” ลูกกบทำหน้าขยะแขยง เก้งเชิดใส่ เบิ้มส่ายหัว
“ผีมันไม่ได้กลัวหนูหรอก มันกลัวจู๋ว่ะ” รักประชด
สองกะเทยรู้สึกตัว ร้องวี้ดสุดเสียง
ที่ห้องใต้ดินคุ้มร้าง ซากศพทั้ง 4 เดินอย่างยากลำบากมา เข้าไปในซอกโพรงอิฐ นางผัน นางเผื่อน ปรากฏกายวูบขึ้น ยังมีอาการสยดสยองอยู่
“ฮือ อีสองตัวนั่นไยมี...”
“มันไม่ใช่แม่ญิง กาลกิณี ขืดนัก”
ยอดหล้าเดินกรายร่างมา แก้วเดินตาม
“อะไรกัน พวกเจ้า”
“ไม่มีอะไรเจ้า เจ้านาง”
ยอดหล้าหยุดดู ซากศพทั้ง 4 ในโพรงอิฐ
“ซากพวกนี้ใช้การไม่ได้”
ผันสงสัย “มนต์ปลุกชีพไม่ได้ผลหรือเจ้า”
ยอดหล้าเอ็ด “อย่ามาสู่รู้ มนต์ปลุกชีพของข้าได้ผล มันจึงเคลื่อนไหว เดินเหินตามที่ข้าสั่งได้ แต่ซากของมันผุพังมากแล้ว ข้าไม่อยากเห็นของที่ไม่สวยไม่งาม”
เผื่อนเสนอ “งั้นก็หาซากใหม่ๆมาลองอาคมสิเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มเยือกเย็น “ข้าก็คิดไว้เช่นนั้น”
แก้วทักท้วง “ถ้ามีคนหายไปอีก คนก็จะยิ่งสงสัยนะครับ”
ยอดหล้ามองดูแก้วอย่างรำคาญ “แล้วทำไม”
“พวกแก๊งค้ายานั่นมันยังจะมากันอีก ถ้ามีคนหายคนตายอีก คนก็จะยิ่งสงสัย ยิ่งเข้ามาขุดคุ้ยความจริง”
“เจ้าก็รู้ว่าถ้ามันเข้ามา มันก็จะไม่มีทางรอดออกไป” ยอดหล้าบอกอย่างลำพอง
แก้วอดสูขมขื่นใจนัก มองยอดหล้าอย่างผิดหวัง
“แต่เจ้านาง”
ยอดหล้าขึ้นเสียง “หยุดพิรี้พิไรเถิด นี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า ว่าแต่งานของเจ้าเถิด”
“ครับ”
“เมื่อไหร่พี่เทพจักมายังเวียงแก้วเสียที”
“อีกสองวันเท่านั้นเจ้านาง”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย มองเลยไปอย่างเปี่ยมหวัง ก้าวกรายผ้าคลุมไหล่ลากระพื้น
“อีกสองวัน คุ้มเวียงแก้วจักได้ต้อนรับท่านเป็นครั้งที่สอง ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ การณ์ต้องไม่เหมือนเดิม คราวนี้ข้าจะสมหวัง ข้าจะสมรัก ข้าจะต้องชนะ”
แก้วมองยอดหล้า มีแววจงรักระคนเสียดาย เกิดขึ้น ยอดหล้าตาวาวหุบยิ้ม
“แต่นังดารารายต้องพินาศ ต้องเจ็บปวด ทรมานยิ่งกว่าที่ข้าเคยได้รับ”
ใบหน้างามของยอดหล้ากลับมากราดเกรี้ยว และกลายเป็นใบหน้าอสูรกายอันน่ากลัวทันควัน
อ่านต่อตอนที่ 7