คุ้มนางครวญ ตอนที่ 16
ตอนกลางคืนในวันถัดมา ที่โลเคชั่นหมู่เรือนไทยภาคกลางแห่งนั้น เห็นรถโอบี รถตู้ของกองละครจอดอยู่เรียงราย
บริเวณชานเรือนกว้าง มีเรือนไทยขนาบอยู่ทั้ง 3 ทิศ ดูใหญ่โตมโหฬารเกินบ้านคนธรรมดาจะอยู่ ที่นี่กำลังมีการถ่ายทำละคร คุ้มนางครวญ เป็นฉากเรือนพระยาพิชิตชัย คณะนักแสดงและทีมงานอยู่กันอย่างแน่นขนัด เพื่อรอถ่ายทำฉากต่อไป
ตรีภพ พิมพ์ดาว มาลาริน และ แพท อยู่ในชุด หลวงเทพภักดี ดาราราย ยอดหล้า คุณเพ็ง บรรดานักแสดงอาวุโสที่เล่นเป็นพระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภา เจ้าหลวงแสงอินทร์ และนักแสดงสมทบที่เป็นนางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิม และบ่าวไพร่อื่นๆ เตรียมตัวรออยู่
มีมี่ มูมู่ กำลังทำผมแต่งหน้าให้มาลาริน มีบีบีมาคอยชี้จู้จี้จุกจิกตามเคย ตรีภพกับพิมพ์ดาวรอซับหน้าเติมหน้าอยู่ จึงเอาบทในมือมาทบทวน
ฐาปกรณ์กับรักกำลังดูความเรียบร้อยของฉาก ขณะที่สุชาดากำลังกระหน่ำโทร.มือถือตามจิกใครบางคน ลูกกบอยู่ข้างๆ
หน้าจอมือถือเป็นรูปราเชนทร์กำลังจุ๊บแก้มมาดามสุ
“ไม่รับ...ต๊าย เชนไปทำอะไรอยู่นะ”
ลูกกบสอด “กำลังไฮอยู่มังคะ”
สุชาดาค้อนควัก “มีคนเห็นเชนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ก็เช้าวานไงคะ เช้าวันไฟไหม้ จากนั้นก็พอแยกย้ายกันเข้าห้อง พอเย็นออกมากินข้าว...ก็ไม่เห็นแล้ว”
ฟังที่ลูกกบบอก มาดามสุกังวลเป็นห่วงเป็นพิเศษ
“วันนี้ต้องยกฉากเชนกับน้องตรีหมดเลย นี่เราต้องถ่ายอีเรือนไทยนี้อีกกี่วัน”
“อีก 2 วันค่ะ”
“งั้นจัดคิวเชนไปไว้วันสุดท้าย”
เสียงฐาปกรณ์แหลมเข้ามา “ไม่ต้องจัดแล้ว”
มาดามสุสะดุ้งไม่รู้ว่าผัวโผล่มาจากไหน
“ว้าย เรื่องอะไรคะ”
“ก็ตัดตัวมันเลยไง”
“ว้าย ได้ยังไง บทขุนกล้าน่ะเป็นคู่หูหลวงเทพนะ”
“เออ เดี๋ยวจะหาคู่หูใหม่ให้หลวงเทพเอง เขียนบทเติมว่ามันโดนผีฆ่าตายตั้งแต่อยู่เวียงแก้ว”
มาลารินชะงัก มีอาการผวานิดหนึ่ง มีมี่ มูมู่ เงี่ยหูฟังฐาปกรณ์ มาดามสุ
บีบีแปลกใจ “ลินซี่ลูกขา หนูรู้ไหมคะ ว่านายเชนมันหายหัวหายหอยไปไหน”
มาลารินทำเป็นมึนชา แล้วส่ายหน้า
“ลินซี่ ไม่ทราบซีคะ”
“อ้อ แล้วเมื่อคืนนี้ ลูกขาไปไหนคะ คุณพี่รอจนหลับ...หนูกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้”
มาลารินนึกแล้วส่ายหน้า บีบีค้อนพึมพำว่า “ไปพี้นะซี อีปลวก”
มีมี่ มูมู่ ซุบซิบกัน เก้งเข้ามาถือกำไลข้อมือมาด้วย
“คุณลินซี่ฮะ คอนตินิวต้องมีกำไลด้วยฮะ”
“ค่ะ พี่เก้ง”
เก้งใส่กำไล พลิกข้อมือมาลารินขึ้นเห็นแผลถูกกรีดข้อมือแต่แผลประสานกันแล้ว
“อุ๊ย แผลอะไรฮะเนี่ย”
บีบีร้องลั่น “ว้าย ตายแล้ว มีรอยแบบนี้อีกแล้ว ไหน อีกข้างล่ะ”
มาลารินงุนงงยกอีกข้อมือมาดู พบว่ามีแผลแบบเดียวกัน บีบีบ่นบ้า มีมี่ มูมู่ ขยับถอยไป
“ต๊าย ต้องไปเล่นยามาแน่เตง”
“ถึงขั้นกรีดข้อมือ แล้วจำอะไรไม่ได้แบบนี้”
พิมพ์ดาวนิ่งฟัง เดาได้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ หล่อนถอนใจวางบทลง แล้วเดินออกไปทางด้านหนึ่ง ตรีภพมองตาม
ที่สวนด้านล่างของเรือนไทย พิมพ์ดาวคลำสร้อยเขี้ยวเสือไฟของปลอมที่คออยู่บริเวณนั้น สีหน้าคิดหนัก ตรีภพก้าวมาข้างหลัง
“เจ้าราย”
ตรีภพชะงักเพิ่งรู้ตัวว่าเรียกผิด พิมพ์ดาวใจวูบหันมา ตรีภพยิ้ม
“คุณพิมพ์ ดูซี ท่องบทซะจนเรียกผิดเรียกถูก”
พิมพ์ดาวจิตใจสับสน หึงหวงเศร้าใจที่ตรีภพดูมีใจให้ “เจ้าแสงหล้า” ดีใจที่รู้ว่าลึกๆ หลวงเทพรักแต่ดาราราย กังวลใจเรื่องยอดหล้า และเรื่องแผลของมาลาริน
“ค่ะ มีอะไรคะ”
“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย”
“อ้อ แล้วมันเป็นความผิดของฉันหรือ”
“โอเค...ผมผิดเองก็ได้”
ตรีภพถือวิสาสะคว้าข้อมือพิมพ์ดาวดึงมานั่งที่โขดหินตกแต่งสวน พิมพ์ดาวหมั่นไส้อยากสะบัดมือแต่อีกใจก็อุ่นใจขึ้น ยอมให้ตรีภพพามานั่งลง
“คุณคิดว่ายังไง เรื่องนายเชนทร์หายไป กับเรื่องแผลที่ข้อมือลินซี่”
“ถ้าอยากให้ฉันตอบก็ปล่อยมือฉันก่อน”
ตรีภพยิ้มแหยๆ ปล่อยมือ พิมพ์ดาวดึงมือมาแล้วถอนใจ
“ว่าไงฮะ”
“ฉันก็ไม่รู้จะคิดยังไงเหมือนกัน”
“แล้วเรื่องเจ้าแสงหล้าละครับ คุณคิดยังไง”
ตรีภพถามเรียบๆ พิมพ์ดาวหมั่นไส้ตรีภพวูบขึ้น ตาเข้มหน้าเชิดนิดหนึ่งทำเสียงเย็น
“ฉันต่างหากคะ ที่ต้องถามคุณ”
“ทำไมคุณต้องพูดอย่างงั้นด้วย”
“ก็ตอนนี้คุณใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้ามาก ไม่ใช่หรือคะ”
“คุณคิดอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่ฉันหรอกค่ะ ทุกคนแถวนี้ถ้ามีตาก็คงคิดเหมือนฉันทุกคน อ้อ...ฉันต้องไปแต่งหน้าแล้ว”
พิมพ์ดาวอารมณ์เสียว่าตรีภพแกล้งทำซื่อ ลุกพรวดขึ้นจะสะบัดไป ตรีภพลุกตามคว้าข้อมือไว้ พิมพ์ดาวเซเข้ามาในอ้อมอก
“เดี๋ยวซีฮะ”
“อะไรอีก”
พิมพ์ดาวโกรธ งอน หึงหวง แต่อีกครึ่งก็พึงใจ
“ฟังผมก่อนนะฮะ”
“คุณจะแก้ตัวอะไรอีกล่ะ”
“ผมไม่รู้จะพูดยังไง นายตฤณบอกว่าผมไปพลอดรักกับเจ้าถึงขั้นจูบกัน”
พิมพ์ดาวตาวาวทุบอกตรีภพโครมแล้วถอยออก
“โอ๊ย”
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“ผมจะบอกคุณว่า ผมจำไม่ได้เลยว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
“คะ” พิมพ์ดาวฉงน
“ผมขอสาบานว่าผมไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพและเชื่อว่าตรีภพพูดจริง
ที่หน้าเรือนไทย รถคันใหม่ของคุ้มเวียงแก้วแล่นมาจอดลง แก้วลงมาจากตอนหน้ารถไปเปิดประตูหลังรถ ยอดหล้าในชุดกรุยกรายมีเครื่องเพชรแปลกตา ประดับที่คอหูและข้อมือก้าวลงมา
แก้วเองก็แต่งตัวแบบออกงานกลางคืนแต่ทิ้งสูทกับแบล็คไทด์ไว้ในรถ ยอดหล้าเงยหน้าขึ้นมองไปยังเรือน
ส่วนในสวน ตรีภพชะงักเบิกตากว้างสิ่งที่กำลังพูดขาดห้วงไป
“คุณพิมพ์ ผม...”
ตรีภพยิ้มเลื่อนลอยหันไป พิมพ์ดาวงงเป็นตาตาแตก
“เจ้ามาแล้ว”
ตรีภพเดินไปทันที พิมพ์ดาวฉงนฉงายขยับจะตาม
“คุณตรี”
พิมพ์ดาวชะงัก รู้ขึ้นมาทันทีว่าอะไรเป็นอะไร
มาลารินเบิกตากว้าง ปากคลี่ยิ้ม มีมี่กำลังลงสีปากทาเกินปากไป
“เจ้ามาแล้ว”
มาลารินลุกพรวดขึ้น มีมี่ถือพู่กันค้างร้องว้าย มูมู่กำลังเอาด้ามม้วนผมม้วนผมอยู่ติดไปด้วย มาลารินเดินไป มูมู่สะบัดด้ามม้วนผมหลุด บีบีฉีกยิ้มไม่ได้โดนมนตรีแต่บ้าเพชร
“ว๊าย วันนี้ประโคมขนเพชรมาหรือเปล่าไม่รู้”
บีบีถลาตามไป ฐาปกรณ์กับมาดามสุมองตาม
“เจ้ามาทำไมวะ...คุณ”
“ดีออกค่ะ ฉันจะได้คุยเรื่องขนเพชรเอ้ย เรื่องเพชรกับเจ้า”
พิมพ์ดาวค่อยๆ เดินขึ้นบันไดมา เมื่อมองไป เห็นแทบทั้งกองไปร่วมเป็นกระจุกรุมล้อม “เจ้าแสงหล้า”
ยอดหล้ายิ้มพรายเครื่องเพชรวูบวับ แก้วยืนอยู่เป็นบอดี้การ์ด ตรีภพอยู่ใกล้ๆ มองอย่างหลงใหล มาลารินยืนมองอย่างจงรักภักดี บีบี มาดามสุ ประจบประแจง พวกผู้ชายอื่นๆ เช่น รัก ช่างกล้อง สวิชเชอร์ก็มายิ้มพยักด้วย
“ไปทำงานกันได้แล้วมังคะ”
“ครับเจ้า”
“ค่ะ เจ้า”
ตรีภพ มาลาริน เดินไปยังเซ็ท บีบีกับมาดามสุมองเครื่องเพชรน้ำลายแทบหยด
“ว้าย เจ้าขา ไพลินเซทนี้ดูสวยแปลกจังนะคะ”
“ค่า ยังกะไม่ใช่ไพลิน”
“ก็ไม่ใช่น่ะซีคะ นี่คือเพชรสีน้ำเงินต่างหาก”
บีบีกับมาดามสุตาเหลือกเพราะรู้ว่าแพงกว่าไพลินนับสิบเท่า
“เจ้าขา เจ้ายังกะมีพระคลังมหาสมบัติ”
“แต่ก่อนคุ้มเวียงแก้ว รุ่งเรืองมากค่ะ ตั้งแต่ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าร่ำลือว่ามีเจ้านางองค์หนึ่งมีเพชรพลอยเต็มหีบใหญ่นับเป็นสิบหีบ เก็บซ่อนไว้ในคุ้ม”
ยอดหล้าเล่าเล่นๆ แต่บีบีกับมาดามสุโลภจริงๆ
“คุ้มหลวงนี่น่ะหรือคะ”
“ไม่ใช่คะ แต่คือคุ้มน้อยที่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างอยู่”
บีบีตาโตพยักพเยิดกับมาดามสุ
พิมพ์ดาวก้าวมาใกล้ ยอดหล้าหันมาตาเจิดจ้าแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม
“คุณพิมพ์ดาวเคยได้ยินเรื่องเล่าลือเก่าๆ นี่บ้างไหมคะ”
“บางทีเรื่องที่แล้วไปแล้ว เราควรปล่อยให้ปล่อยไป ไม่ควรไปรื้อฟื้นนะคะ”
ดวงตายอดหล้าเข้มขึ้น พิมพ์ดาวยิ้มเรื่อยๆ แก้วมองดู 2 หญิง ประคารมกัน
“เรื่องบางเรื่องมันยังไม่จบต่างหากคะ”
“ค่ะ แต่มันอาจจบในอีกไม่นานนี้ก็ได้”
พิมพ์ดาวมีอาการไม่ยอมแพ้ ยอดหล้าตาวาว แก้วรีบขัด
“เดี๋ยวจะเริ่มถ่ายต่อแล้วไม่ใช่หรือครับ”
สุชาดาแว้ดใส่ “ว้ายใช่ ไปซับเมือกซับมันเติมแป้งได้แล้วย่ะ แม่พิมพ์ดาว”
บีบีค้อนควักผสมโรง “ย่ะ ตอนนี้หน้าเป็นสังขยาฟักแม้วแล้ว”
ยอดหล้ายังคงโกรธแค้นเคียดขึ้งอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 16 (ต่อ)
โดยในฉากนี้เป็นเหตุการณ์ที่ดารารายมาเรือนยอดหล้า สองพี่น้องเกิดทุ่มเถียงทะเลาะตบตีกัน จนหลวงเทพซึ่งต้องมนต์มาตบดารารายซ้ำ
พิมพ์ดาวเชิดหน้า นักศึกษาที่เล่นเป็นนางทิพย์ นางทิมอยู่เบื้องหลัง มาลารินมองพิมพ์ดาวอย่างจงชัง มีนักศึกษา นางผัน นางเผื่อน ทำหน้าดูหมิ่นอยู่ข้างหลัง
“ข้าหรือเสแสร้ง ข้าเสแสร้งอะไร”
“อย่ากล้าดีมาทำใสซื่อไขสือ เจ้าแย่งพี่เทพไปได้เพราะใช้เสน่ห์ยาแฝด”
ที่หลังกล้อง ฐาปกรณ์ดูมอนิเตอร์ มาดามสุ บีบีประจบยอดหล้า แต่ยอดหล้าไม่สนใจมองดูภาพตรงหน้าเขม็ง
มีมี่ มูมู่ ลูกกบ รัก เก้ง ทีมงานไปจนถึงแม่ครัวกองถ่ายก็มามุงดูกันขนัดแน่น มีอาการอินจัดราวกับเป็นเมียน้อยเมียหลวงเสียเอง บางนางจ้องเขม็ง บางนางหอบเครียด บางนางทำปากขมิบพูดบท ฯลฯ
พิมพ์ดาวกับมาลารินอยู่ในบท
“ข้าน่ะหรือ ถ้าข้าใช้จริง ไยพี่เทพจึงอยู่กับท่าน”
“เพราะข้าถอนเสน่ห์เจ้าได้น่ะซี”
“อะไรนะ เจ้าพี่ทำอะไร”
พิมพ์ดาวคว้าข้อมือยอดหล้าบีบ ตรีภพยืนขบกรามตาวาว
“ปล่อยข้า”
“เจ้าพี่พูดมา ท่านทำอะไร”
ยอดหล้ามองดูการแสดงตาวาวเจิดจ้า แก้วเหลือบดูอย่างตกใจ คณะพลพรรคทีมงานอินกับการแสดงทั้งหมด
มาลารินมีอาการเหมือนถูกสิง ตาวาว ปากแสยะ สะบัดมือ
“ปล่อย!”
ตามบทปลายนิ้วจะโดนหน้าดาราราย แต่มาลารินตบพิมพ์ดาวเต็มหน้า พิมพ์ดาวชะงัก แต่ยังไม่หลุดบท
ที่หลังกล้อง แก้วตกใจ ยอดหล้ายิ้ม แพทร้องอุทานรีบเอามือปิดปาก ทีมงานอินกว่าเดิม พิมพ์ดาวก้าวตามไปตบมาลารินให้โดนแค่ปลายนิ้ว มาลารินล้มถลา
ตรีภพโกรธจัดก้าวตามไปตบหน้าพิมพ์ดาวเข้าเต็มหน้า
ยอดหล้ายิ้มสมใจ
พิมพ์ดาวตกใจ หน้าชา มองตรีภพอย่างแปลกใจว่าทำไมเล่นเกินบท ตรีภพหน้าถมึงทึงไม่เหมือนตรีภพหรือหลวงเทพ พิมพ์ดาวผงะถอยเท้าตกจากยกพื้นหงายหลังลงไปข้อเท้าพลิกศีรษะฟาดกับแง่กระถางต้นไม้
ทีมงานตกใจทุกคน ลุกพรวดวิ๊ดว๊าย อลหม่าน ฐาปกรณ์ร้องลั่น “คัทโว๊ย คัท”
พิมพ์ดาวเจ็บข้อเท้าและศีรษะ น้ำตาคลอ ดวงตาพร่าพราย เอียงหน้าตะแคงมองไป
ยอดหล้ามองมา ดวงตาสะใจ แก้วตะลึงงัน
พิมพ์ดาวหันมามองตรีภพ กับมาลาริน ที่ยืนนิ่งงัน ดวงตาดูว่างเปล่าไม่ได้ตกใจไม่ขอโทษ ไม่เข้ามาดู
แพทกับนักแสดง นางผัน นางเผื่อน ทิพย์ ทิม ร้องเซ็งแซ่ เข้ามารุมดูพิมพ์ดาว ฐาปกรณ์ รัก ลูกกบ เก้ง มีมี่ มูมู่ เข้ามารุมดู
พิมพ์ดาวมองตรีภพ มาลารินที่ถอยไปนั่งลงเงียบๆ แล้วมองยอดหล้าอีก ก่อนที่สติจะดับวูบลง
จันทรานั่งอยู่โต๊ะกินข้าว บนโต๊ะมีแจกัน 2 ใบ พร้อมดอกไม้กองใหญ่ ขณะกำลังจัดดอกไม้ จู่ๆ มือก็ปัดไปโดนแจกันใบหนึ่งเอียงล้มตกจากโต๊ะ แจกันตกกระแทกพื้นแตกกระจายออก ใบเฟิร์นกำลังยกถาดผลไม้มาร้องวี้ด จันทราหน้าซีดเผือดมองดูเศษแจกัน แรงสังหรณ์ในใจพลุ่งขึ้น
ห้องพักคนไข้ที่พิมพ์ดาวรักษาตัวอยู่ สภาพดูดี พิมพ์ดาวนอนอยู่บนเตียง ที่ข้อเท้ามีเฝือกอ่อน ศีรษะมีผ้าพันแผลดวงตาปิดสนิท พิมพ์เดือนและแพทดูแลอยู่ข้างเตียง มาดามสุหน้าหงิกยืนอยู่กลางห้องกับฐาปกรณ์
“เดี๋ยวนางเอก เดี๋ยวนางร้าย พาเหรดกันแอดมิท...เจ้าประคุณเอ้ย นี่ฉิบเอ๊ย เสียหายหลายล้านนะนี่”
“จะเป็นไรไปคุณ จะได้มีเรื่องทำข่าวไง” ฐาปกรณ์ประชด แต่มาดามสุตาถลน เก็ทไอเดีย
“ว้ายจริงด้วย ทำไมฉันลืมคิดไป ต๊าย ออกข่าวอาถรรพ์กองละครให้เป็นซีรี่ย์ ว้าย ดี ดี ต้องโทรไปบอกอีนักข่าว”
มาดามสุคว้าโทรศัพท์มือถือมากดเดินหาคลื่นออกไปนอกห้อง พิมพ์เดือนมองอย่างตำหนิ ฐาปกรณ์ยิ้มแห้งๆ ขอโทษ แล้วตามเมียออกไป
“นี่ขนาดต่อหน้านะคะ” พิมพ์เดือนบ่น
“ไม่งั้นก็ไม่ใช่มาดามสุซีคะ” แพทว่า
พิมพ์ดาวลืมตาขึ้นอิดโรยเล็กน้อย พิมพ์เดือนกับแพทตาโต
“พี่พิมพ์เป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เจ็บน่ะซีจ้ะ แต่ไม่เป็นไรมากหรอก”
“นี่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“พี่ไม่ได้หลับซักหน่อย แค่หลับตาไม่อยากเห็นหน้ายายมาดามต่างหาก”
พิมพ์เดือนกับแพทค่อยคลายใจหายวิตกทุกข์ร้อน มีโทรศัพท์เข้าที่มือถือพิมพ์เดือนพอดี พิมพ์เดือน เอามาดูแล้วตาโต
“แม่โทร.มาค่ะ” พิมพ์เดือนกดรับสาย “ฮัลโหล”
จันทราพูดโทรศัพท์ “พี่พิมพ์เป็นยังไงบ้างลูก”
พิมพ์เดือนตาแทบถลน “แม่รู้ได้ยังไงคะ ทางกองโทร.ไปบอกหรือ”
จันทราตกใจที่มีเรื่องร้ายดั่งสังหรณ์ แต่มีสติข่มไว้ไม่ให้ทุกข์มาก
“ไม่มีใครบอกลูก แค่แม่สังหรณ์ใจ ยังไงเกิดอะไรขึ้น พี่หนูเป็นยังไงบ้าง”
พิมพ์เดือนทำตาปริบๆ มองดู พิมพ์ดาว
พิมพ์เดือนร้องลั่น “ว้าย ตายแล้ว แม่หมอตัวจริง พี่พิมพ์หกล้มข้อเท้าแพลงค่ะ แต่ไม่เป็นไรมากนอนยิ้มอยู่นี่ แม่คุยกับพี่พิมพ์นะคะ”
พิมพ์เดือนส่งโทรศัพท์ให้พี่สาว พิมพ์ดาวรับมา น้ำตาเอ่อขึ้น
“แม่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ”
“เข้มแข็งไว้นะลูก หนูไม่เป็นไรหรอก จำที่หลวงตาสอนไว้ให้ดีนะลูก”
พิมพ์ดาวยิ้มพยักหน้ารับ
ค่ำนั้นตรีภพนั่งบนโซฟา มองดูทีวีจอแบนที่เปิดอยู่ แต่ปิดเสียงไว้ ดวงตาว่างเปล่า ตฤณถือกล่องอาหารแนวอุ่นไมโครเวฟเข้ามา
“ดูบอล ปิดเสียงจะไปมันอะไรวะ”
ตฤณว่างกล่องอาหารบนโต๊ะเตี้ย นั่งลงข้างตรีภพคว้ารีโมทปิดเสียงทีวี
“ฉันกลับมาคุ้มได้ยังไงวะ ฉันต้องอยู่ที่กองถ่ายที่เรือนไทยไม่ใช่หรือ”
ตฤณอึ้งปิดเสียงทีวีใหม่ มองหน้าตรีภพ “อะไรนะ”
“ฉันถามว่าฉันกลับมาจากกองตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นี่แกรู้ตัวครั้งสุดท้าย แกทำอะไรอยู่” ตฤณยิ่งงง
ตรีภพนั่งคิดวูบเดียว
“ฉันรอแต่งหน้าเข้าฉากกับคุณพิมพ์ กำลังคุยกับคุณพิมพ์อยู่ จู่ๆ ฉันก็มารู้สึกตัวในห้อง”
ตฤณฟังแล้วมีอาการตกใจพอสมควร
“นี่มันยิ่งกว่าละเมอเดินแล้วนะโว๊ย แกจำอะไรไม่ได้ตั้งแต่หัวค่ำ แต่ตอนนี้มันเที่ยงคืนแล้ว”
ตรีภพมีอาการอัดอั้น “แล้วตอนที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันทำอะไรบ้างวะ”
“ฉันไม่ได้อยู่ด้วยจะรู้ได้ยังไงวะ แต่ที่ฉันรู้ก็คือแกถ่ายฉากคุณลินซี่ตบกับคุณพิมพ์ แล้วแกตบคุณพิมพ์จนตกกะไดขาเคล็ด แอดมิทเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว”
“เฮ่ย”
ตรีภพร้องอุทาน ตกใจสุดขีด
พิมพ์ดาวนอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่ยกชันขึ้นบนตักมีแล็บทอป หน้าจอโทรทัศน์คุ้มนางครวญ พิมพ์ดาวอ่านอย่างครุ่นคิด พิมพ์เดือนถือยาและน้ำมามองดูอย่างแปลกใจ
“จะมาขยันอะไรตอนนี้คะ”
“เรื่องที่พี่ฝันไม่เหมือนกับเรื่องในบทเลย เป็นเพราะอะไรนะ ทำไมเจ้าพี่...เจ้านางยอดหล้าถึงไม่รู้ความจริง”
พิมพ์เดือนรู้เรื่องความฝันโดยละเอียดแล้ว แต่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่งยาให้พิมพ์ดาวพร้อมน้ำ พิมพ์ดาวกินยาส่งแก้วคืน พิมพ์เดือนนั่งลงบนเตียง
“เจ้านางดารารายคงไม่มีโอกาสบอกมั้งคะ”
พิมพ์ดาวเลื่อนดูบทต่อ แล้วชะงักนึกออก
“ใช่แล้ว เถรกระอ่ำเป็นคนบอกเจ้านางยอดหล้า เรื่องดารารายทำเสน่ห์หลวงเทพ ถ้าไม่ใช่ความจริง เถรกระอ่ำหลอกยอดหล้าทำไม”
“หือม์ แปลว่าเถรกระอ่ำก็ไม่ใช่พระอาจารย์แสนดีน่ะซีคะ”
“ในบทละครเถรกระอ่ำเป็นตัวดี ครูบาสรีเป็นตัวร้าย แต่ความจริงครูบาสรีเป็นคนดี...ส่วนเถรกระอ่ำอาจเป็นตัวร้ายที่สุดก็ได้” พิมพ์ดาวคิดเป็นตุเป็นตะ
“พี่พิมพ์เชื่อว่าพี่พิมพ์เองคือเจ้านางดารารายในชาติก่อน จริงๆ หรือคะ”
“พี่ไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรแล้วยายเดือน”
“ยังกะเรื่องละครระลึกชาติที่เขาทำๆ กันเลยนะคะ เวลาหนูละครแนวนี้เห็นมีฟอร์แมทเดียวเอง คือมีชาติก่อนกับชาตินี้ ตัวละครที่ถูกกระทำในชาติก่อนมาเอาคืนในชาตินี้”
พิมพ์ดาวเลิกคิ้ว “แล้วทำไมหรือ”
“ทางพุทธเราบอกว่าคนเราเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นล้านล้านล้านชาติน่ะซีคะ แต่ละครกี่เรื่องๆ ก็พูดเหมือนมีชาติที่แล้วกับชาตินี้”
พิมพ์ดาวมองน้องสาวตาปริบๆ “แล้วเธอจะเล่าทั้งล้านชาติไว้ในละครเรื่องเดียวได้ยังไงล่ะจ๊ะ”
พิมพ์เดือนค้อน “แหม..หนูก็แค่ตั้งข้อสังเกต”
พิมพ์ดาวเริ่มหาวตาปรือ “ทำไมถึงง่วงอย่างงี้นี่”
“ก็ที่กินเมื่อกี้คงมียานอนหลับด้วยซีคะ งั้นนอนเถอะค่ะ”
พิมพ์เดือนกดรีโมทลดหัวเตียงลง พิมพ์ดาวนอนแต่ยังคงหมกมุ่นครุ่นคิด
“เถรกระอ่ำ...เป็นตัวการ”
เวลานั้นคุ้มร้างตั้งอยู่ในความมืดดูทึบทะมึน เคลื่อนกล้องไปยังใต้ถุนคุ้มผ่านหมู่เสายังเถาไม้รกเรื้อที่คลุมประตูทางเข้าห้องใต้ดิน แล้วพุ่งพรวดเข้าไป
ที่ห้องใต้ดิน มีตามไฟจุดไว้เรืองรองเป็นจุดๆ
เถรกระอ่ำยืนอยู่หน้ากระถางไฟ แขนสองข้างกางออก จีบนิ้วมือด้วยท่ามุทรา ดวงตาปิดอยู่ ปากสาธยายมนตรารัวเร็ว แล้วลืมตาขึ้น ดวงตาเถรกระอ่ำแข็งกล้า ชั่วร้าย โหดเหี้ยม
“จงตื่น ทาสแห่งข้า”
ตรงหน้าเถรชั่ว ร่างราเชนทร์นอนอยู่อกเป็นโพรงทะลุ ราเชนทร์ลืมตาขึ้น ดวงตาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดมากมายในดวงตาขาว
พิมพ์เดือนเดินมาตามทางเดินที่ทอดยาวหน้าห้องคนไข้ แล้วเลี้ยวมุมตึก เกือบชนกับร่างหนึ่ง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ตรงหน้ามหาจรวยยืนอยู่ ท่าทางยังไม่หายดีแต่อาการดีขึ้นมากแล้ว มหาจรวยมองดูที่คอพิมพ์เดือน เห็นสร้อยคอพญานกเหยี่ยวสะท้อนแสงวาววับ
“คอพญานกเหยี่ยวอย่างนั้นหรือ”
พิมพ์เดือนทำตาโต พิจารณาดูมหาจรวยเห็นท่าทางน่าจะวางใจได้
“ค่ะ คุณน้ารู้จักด้วยหรือคะ”
“ผมชื่อจรวย เป็นคนเคยศึกษาเรื่องพวกนี้มาบ้าง”
“คดนี่ คุณแม่หนูให้มาป้องกันตัวค่ะ แม่เป็นคนมีเซ้นส์บอกว่าที่ที่หนูมามีวิญญาณอาฆาตแค้นรอคอยอยู่”
มหาจรวยมองมายังพิมพ์เดือน “คงไม่ใช่คุ้มเวียงแก้วนะ”
พิมพ์เดือนตาเบิกกว้าง “ว้าย คุณน้า”
ยอดหล้าในชุดราตรี เครื่องเพชรวูบวับก้าวมาที่ล็อบบี้โรงพยาบาล ด้วยเป็นเวลาดึก มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และคนไข้ไม่มากนัก แต่ทุกคนก็มองยอดหล้าอย่างอ้าปากค้าง
ยอดหล้าก้าวไปยังลิฟท์ มองดูปุ่มกด ปุ่มนั้นก็เรืองขึ้น ประตูเปิดยอดหล้าก้าวเข้าไป ประตูลิฟท์ปิดลง
ฟากมหาจรวยและพิม์เดือนนั่งคุยกันที่ม้านั่งริมทางเดินชั้นบน
“ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แต่ผมคิดว่าวิญญาณอาฆาตนั่นเกี่ยวข้องกับคุณตรีภพและพี่สาวของหนู”
พิมพ์เดือนครุ่นคิด “สองคนนั่นคือ ตัวละครที่ตัวเองเล่นหรือคะ”
มหาจรวยพยักหน้า
ประตูลิฟท์เปิดออก ยอดหล้าก้าวออกมาเดินตรงไปตามทางเดินสู่ห้องคนไข้
มหาจรวยยังคงนั่งคุยกับพิมพ์เดือน
“แล้วหนูกับพี่พิมพ์จะทำยังไงดีคะ”
มหาจรวยจะตอบทันใดมีลมพัดมา พร้อมเสียงวู่หวิวของรัก ยม
“พ่อจ๋า อันตราย อันตราย”
มหาจรวยตกใจ มองไปยังปลายทางเดิน
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ที่สุดทางเดินเวลานั้น เห็นร่างยอดหล้าเลี้ยวมุมตึกมา แล้วเดินผ่านมายังเก้าอี้ที่พิมพ์เดือนและมหาจรวยนั่งสนทนากันเมื่อครู่ แต่บัดนี้เก้าอี้นั้นว่างเปล่า ยอดหล้าปรายตามองเก้าอี้นั้นแวบหนึ่ง แต่ไม่ใส่ใจเดินต่อไป
ตรงหลังกระถางต้นไม้ค่อนข้างใหญ่ มหาจรวยและพิมพ์เดือนแอบอยู่ มหาจรวยตกใจแทบช็อค พิมพ์เดือนงงกับท่าทีดังกล่าว ด้วยคิดว่าเจ้าแสงหล้าแค่มาเยี่ยมพี่สาว
ยอดหล้ามาหยุดหน้าประตูห้องพักคนไข้ ประตูพลันเปิดออกเอง ยอดหล้าเหยียดยิ้มแล้วก้าวเข้าไป ประตูปิดลง
มหาจรวยเอามือเท้าฝาผนังช่วยยันตัวไว้รำพึงออกมา “เจ้านางยอดหล้า”
“คุณน้าพูดเหมือนพี่พิมพ์เลย ไม่ใช่หรอกค่ะ เธอชื่อเจ้าแสงหล้าเป็นคนธรรมดาแค่นั้นเอง เธอคงมาเยี่ยมพี่พิมพ์ ขอตัวนะคะ”
พิมพ์เดือนจะเดินไป มหาจรวยยื่นแขนออกขวาง
“จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่เรามองเห็น...อาจไม่ใช่ความจริงก็ได้”
มหาจรวยมีท่าทางจริงจัง พิมพ์เดือนเริ่มลังเล
ที่ห้องพักฟื้นคนไข้ สภาพพิมพ์ดาวตอนนี้ ใบหน้ายังซีดเซียวรอยนิ้วมือบนหน้ายังเห็นได้ชัด หล่อนนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียงคนไข้ แล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้น
ตรงหน้ายอดหล้าในชุดราตรียืนอยู่ มองมาอย่างหยามหยันสมใจ พิมพ์ดาวแทบผงะ ด้วยฤทธิ์ยานอนหลับ ทำให้พิมพ์ดาวรู้สึกเป็นดารารายครึ่งหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง พิมพ์ดาว”
พิมพ์ดาวเม้มปาก มีอาการโกรธและสู้ตาย “นี่ถามฉันในฐานะไหนคะ”
ยอดหล้าแปลกใจ
“ฐานะเจ้าแสงหล้าสามัญชนคนหนึ่ง หรือในฐานะราชธิดาองค์โตแห่งเวียงแก้ว”
“เจ้ายังคงเก่งกล้าสามารถนัก ดาราราย”
“ท่านชมข้าเกินไปแล้ว เจ้าพี่”
ยอดหล้ายิ้มเยาะกรายตัว
“เสียดายที่เจ้ากลับใช้ความเก่งกล้าของเจ้า ในการหลอกลวงคิดคด ทรยศข้า”
“แต่ทำไมคำที่เล่าสืบมา ถึงเรียกท่านว่าคือคนทรยศแห่งเวียงแก้วเล่า”
พิมพ์ดาวยิ้มเยาะบ้าง ยอดหล้าโกรธตาวาว
“เพราะเจ้ากับลิ้นอสรพิษของเจ้า ที่แต่งเรื่องเท็จใส่ความข้า”
พิมพ์ดาวย้อน “เรื่องใดจริง...เรื่องใดเท็จกันแน่”
“ข้าจะไม่ต่อปากต่อความกับเจ้า”
“แต่เจ้าพี่ควรฟังความจากฝ่ายข้าบ้าง”
“ฟังความลวงอันใดจากเจ้าอีก”
“มิใช่จากข้า ข้าคิดว่าผู้ที่ลวงท่าน คือ เถรกระอ่ำ ต่างหาก”
พิมพ์ดาวตัดสินใจพูดสิ่งที่สงสัย ยอดหล้าโกรธตาวาว
“โอหังบังอาจ เจ้ากล้าลบหลู่ใส่ร้ายแม้กระทั่งท่านอาจารย์หรือ”
ยอดหล้ายื่นมือมาเบื้องหน้าแล้วบีบ พิมพ์ดาวรู้สึกเหมือนถูกบีบ กลั้นใจคว้าสร้อยเขี้ยวเสือไฟยื่นมาขวาง ยอดหล้าเลิกคิ้ว
“ช่างน่ากลัวจริง เขี้ยวเสือไฟปลอมๆ ของเจ้า”
ยอดหล้ากวักนิ้ว เขี้ยวเสือไฟปลอมปลิวมาในมือ แล้วยื่นให้พิมพ์ดาวดู พิมพ์ดาวตกใจ
ในมือยอดหล้า ทองพลันละลาย เขี้ยวสัตว์กร่อนหายไป
“เจ้าพี่ ได้โปรดฟังข้า เรื่องในการณ์ก่อน ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า...เจ้าจงกลับไปดูว่าเจ้าทำชั่วร้ายอันใดไว้บ้าง ไป”
ไฟในห้องคล้ายสลัวลง ยอดหล้าดวงตาเรืองแสงเจิดจ้าขึ้น พิมพ์ดาวตกตะลึง
แสงจากดวงตายอดหล้า แผ่สว่างออกไปทางด้านข้าง ห้องยิ่งมืดลงเท่าใด แสงนั้นยิ่งเจิดจ้าขึ้นเท่านั้น
พิมพ์ดาวเข้าสู่ภวังค์ฝัน ขณะแสงทาบมาบนหน้าเจิดจ้าจนท่วมท้นห้องนั้น ภาพเหตุการณ์ครั้งอดีตชาติพร่างพรายและเด่นชัดขึ้นเป็นลำดับด้วยฤทธิ์เดชยอดหล้า
เมื่อ 200 ปี ก่อน ที่หน้าคันฉ่องในห้องเจ้าดาราราย ตอนกลางวัน ดารารายแต่งชุดขาวจากการถือศีล นั่งสีหน้าสับสนอลหม่านอยู่ตรงนั้น ประตูเรือนเปิดออก นางทิพย์ นางทิมโผล่มา
“เจ้านางน้อย เจ้า”
“นางสองตัวนี่”
นางผัน นางเผื่อนถือพานคลุมผ้า ก้าวพรวดเข้ามากระแทกนางทิพย์ นางทิมจนเซ
“เจ้านางเจ้า เจ้าพี่ท่านให้นำนี่มาให้”
“เพื่อใช้ในงานแต่งที่เจ้านางน้อยชิงไป”
นางผัน นางเผื่อน ดึงผ้าออก พานหนึ่งมีพัสตรา อีกพานหนึ่งเป็นอาภรณ์ เครื่องคำ 2 นางข้าไทมองอย่างดูแคลน ดารารายสะอึกอึ้งยื่นมือจับผ้าปักประณีตมาดู แล้วมองดูนางผัน นางเผื่อน เข้าใจ และเสียใจนักที่ยอดหล้าประชด แต่โกรธท่าทีที่สองนางข้าไทมากกว่าจึงเยื้อนยิ้มบอก
“ผ้าปัก เครื่องคำ เครื่องแก้วนี้งามนัก ไปบอกเจ้าพี่ว่าข้าขอบใจ”
นางผัน นางเผื่อน โกรธตาวาว นางทิพย์ นางทิม ตาขวาง ดารารายยิ้มเย็นใจ ทว่าสีหน้าร้าวราน
ทางฝ่ายยอดหล้าหน้าซีดขาวราวกระดาษนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกตรงเบื้องล่าง บรรดาข้าทั้งชายหญิงกำลังตระเตรียมงาน ทุกคนรู้เรื่องดารารายถูกเปลี่ยนตัวเป็นเจ้าสาวแทน จึงไม่สนุกสนานครึกครื้นเท่าที่ควร มีบ้างซุบซิบ วิพากษ์ คาดคะเนไปต่างๆ มีบางคนแหงนมาดูหน้าต่างเรือน พอเห็นยอดหล้าก็สะกิดชี้ชวนกันดู
ยอดหล้าเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น แล้วมองดูผู้คนข้างล่าง เห็นคนเหล่านั้นรีบก้มหน้าหลบตาก็รู้สึกอับอายหันกลับ
นางผัน นางเผื่อน ก้าวมา มองลงไป
“อ้าย อี พวกนี้ บานใจกันนักนะ” นางผันด่า
“จงไปบานแปดกลีบสิบสองกลีบที่เรือนโน้น อย่ามาอื้ออึงแถวนี้ ไป๊” นางเผื่อนตะเพิด
นางผัน นางเผื่อน ปิดหน้าต่าง หันมามองยอดหล้าอย่างสงสาร มีเสียงหอมุกดังขึ้นทางเบื้องบน
“หลวงเทพรักลูกข้าดังดวงตา แต่กลับแปรใจไปในคืนเดียว หากมิใช้ลูกเจ้าทำเสน่ห์เล่ห์กล”
ยอดหล้าหน้าเผือดลงอีก
ตรงชานเรือนคุ้มน้อยที่ทอดเชื่อมไปยังตัวเรือนต่างๆ รวมทั้งเรือนยอดหล้า และเรือนดาราราย เจ้านางหอมุก พร้อมนางคนสนิท 2 นาง ยืนประจันหน้า เจ้านางสร้อยคำ และนางข้าไทผู้ติดตามอีก 3-4 คน
“แล้วจักเป็นอันใด”
“แม้นบอกว่าลูกข้ากับหลวงเทพรักกันจริงใจ เจ้าพี่คงไม่เชื่อ”
“เจ้าสองคนแม่ลูกนั้นเหมือนกัน วันๆ คิดแต่จะแย่งชิงของรัก”
ยอดหล้าอยู่ในเรือนตนยิ่งขมขื่น สร้อยคำตาวาวยิ้มยั่วเมียแต่งก่อน
“หากเจ้าพี่พึงใจคิดเช่นนั้น ก็สุดแต่เจ้าพี่เถิดเจ้า”
“ยอมรับแล้วซีนะ ว่าลูกเจ้าทำเสน่ห์”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคงเป็นคนพาดารารายไปหาเจ้าน้าครูบาสรีให้ฝังรูปฝังรอยเองซีนะ”
สร้อยคำยิ้มยั่ว หอมุกชี้หน้าเต้นเร่าๆ
“นั่นปะไร ครูบาน้าเจ้าช่างไร้ศีลไร้สัตย์นัก”
ข้างในเรือนตอนนั้น ยอดหล้านิ่งฟัง แม้นไม่เชื่อทั้งหมดแต่ใจก็เอียงไป นางผัน นางเผื่อนพยักเพยิดรีบใส่ไฟต่อ
“โธ่เอ๋ย เจ้านาง เจ้านางเหมือนเลี้ยงงูพิษไว้ข้างกาย”
“งูพิษแค่ฉกกัด แต่นังงูพิษนั่นฉกชิงคู่คนอื่น”
“เจ้าสองคน หุบปาก อย่าพูดอันใดอีก”
ยอดหล้าดวงตาเจ็บช้ำ พูดเสียงสั่นพร่า
คุ้มหลวงราตรีนี้ มีงานเลี้ยงฉลองก่อนส่งตัว เสียงดื่มกิน สรวลเส เสียงดนตรีดังประสานกัน
ตรงบริเวณศาลากว้างใหญ่ริมปิง ตามผางประทีปไว้สว่างไสวสะท้อนแสงระยิบระยับลงบนพื้นน้ำ บนศาลานั้นตกแต่งด้วยม่านปัก ม่านบาง พวงมาลัย เครื่องแขวนต่างๆ
ทางด้านหนึ่ง เป็นวงขันโตกนับสิบหลายสิบวง ที่วงบ่าวสาว หลวงเทพและดารารายแต่งกายงดงาม เจ้าหลวงแสงอินทร์ เจ้านางสร้อยคำ พระยาพิชิตชัย นั่งอยู่ด้วย วงอื่นๆ ได้แก่ พระญาติใกล้ชิด ขุนนาง แสนหลวง คณะทูต นางทิพย์ นางทิม ขุนกล้า อยู่ใกล้ๆ ทุกคนสนุกสนานรื่นเริง แต่ไม่เต็มที่นัก
ทางมุมหนึ่งมีวงดนตรีบรรเลง มีนางรำช่างฟ้อนถือผางประทีปในมือรำร่ายส่ายฟ้อนอยู่อย่างงดงาม
หลวงเทพภักดีสุขกายสุขใจ มองดูช่างฟ้อนเบื้องหน้า แต่ดารารายกึ่งสุขกึ่งเศร้ากึ่งอึดอัดใจ
“นางรำพวกนี้ชำนาญนัก”
ดารารายขมขื่นเล็กน้อย ขณะพูดบอกเสียงเรียบๆ “เจ้าพี่ข้าเป็นคนฝึกซ้อมให้พวกนาง”
หลวงเทพชะงักไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มปลอบใจ
“ดาราราย จงอย่ากังวลใจไปเลย เจ้าพี่ท่านจะต้องเข้าใจ”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”
เพลงจบลง นางช่างฟ้อนกรายตัวก้าวไปยังหลังม่านบาง มีเสียงซึงดังขึ้นแผ่วเบา ดารารายจำได้ทันทีมองเขม็งไป นางทิพย์ นางทิมสะกิดกัน
พระยาพิชิตชัยจิบเหล้ารำพึง “เพลงกล่อมหออย่างนั้นหรือ”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ถอนใจ สบตาเจ้านางสร้อยคำ จำได้ดีว่าเป็นเพลงของผู้ใด
ที่หน้าม่านบางมีนางช่างขับนั่งอยู่ แต่หลังม่านมีเงาร่างระเหิดระหงนั่งอยู่บนตั่ง บนตักมีซึง นางนั้นกำลังเล่นอย่างชำนาญ
ดารารายหน้าซีดเผือด หลวงเทพมองดูดารารายแล้วมองตามสายตาเห็นนางช่างขับก่อน แล้วจึงเห็นเงาร่างยอดหล้า
“เจ้านางยอดหล้า”
“เจ้าพี่”
จากช่วงเกริ่นนำ เสียงซึงดังขึ้นฟังดูระยิบระยับพริ้วไหว นางช่างขับร้องเพลง
“เจ็บช้ำนักเก็บรักไว้ในอก”
บรรดาแขกในงานคนอื่น มีที่ฟังอย่างเคลิบเคลิ้มกับบางคนที่จำได้ว่าคือยอดหล้าก็ซุบซิบกัน ขุนกล้าสบตานางทิพย์ นางทิม
หลังม่านบาง ยอดหล้าเล่นซึง ดวงตาโศกทอดต่ำ
“ใจเจ้าเอยเพ้อพกช่างเหน็บหนาว”
หลวงเทพอึ้งเล็กน้อย ดารารายเวทนาพี่สาว
“รอเวลาเมื่อไรหนาเจ้าดวงดาว”
หลวงเทพกุมมือดารารายอย่างปลอบใจ ดารารายฝืนยิ้ม ทั้งคู่มองไปยังม่านบางลมพัดจนม่านบางพลิ้วไหว
ยอดหล้าเล่นเพลง ดวงตาช้อนขึ้นมองผ่านม่าน เห็นดารารายและหลวงเทพ
ดารารายเอามืออีกข้างมากุมทับมือหลวงเทพเป็นเชิงว่า ‘ข้าไม่เป็นไร’
“จะหวนคืนส่องสกาว ณ กลางใจ”
ยอดหล้ามองดารารายและหลวงเทพอย่างขมขื่น
ลมแรงพัดมาม่านบางตลบเปิด เห็นยอดหล้าที่ดูเผือดซีด ปากดูแดงสด ชุดสีม่วงเข้มดูคล้ายสีดำ มองมาอย่างเจ็บปวด
ยอดหล้าสบตาหลวงเทพอย่างตัดพ้อ ดารารายมองขออภัยแต่ยอดหล้าไม่ได้มองตอบเลย
พระยาพิชิตชัยอึ้ง สร้อยคำอดเวทนาลูกเลี้ยงไม่ได้
เจ้าหลวงถอนใจยาว “ช่างเป็นเพลงกล่อมหอที่ไพเราะนัก”
“ทั้งไพเราะ ทั้งโศกเศร้า”
ลมหยุดโบก ม่านไหวปิดลง ผางประทีปหลังม่านดับวูบ ไม่เห็นเงาร่างยอดหล้าอีกต่อไป
ที่หลังม่าน ยอดหล้ากรีดนิ้วทอดเสียงซึงเพราะพริ้ง ดวงตากล้ำกลืน มือตกลงซึงเลื่อนจากตักคว่ำลง นางผัน นางเผื่อนเข้ามารับซึงไว้ นางเผื่อนคุกเข่ามองยอดหล้า ทันใดยอดหล้าก็กระอักเลือด เลือดนั้นไหลตกลงบนซึง นางผัน นางเผื่อนยกมือปิดปาก ยอดหล้าล้มสิ้นสมปะดีไป นางเผื่อนรับไว้ทัน
ยอดหล้าแน่นิ่ง ดวงหน้าเผือดขาว ดวงตาปิดสนิท เลือดไหลเป็นทางจากมุมปาก
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 16 (ต่อ)
เวลานั้น ที่ศาลาท่าน้ำของคุ้มน้อย ขบวนเรือของพระยาพิชิตชัยที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ หลายลำ จอดรออยู่ มีพวกนางข้าไท ขนหีบลงเรือกัน นางทิพย์ นางทิม วิ่งวุ่นคอยจัดการความเรียบร้อย
หลวงเทพแต่งกายรัดกุมในชุดเดินทาง ดารารายแต่งกายงดงามเช่นเจ้านางแต่แทบไม่มีเครื่องประดับ กำลังเขียนจดหมายอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“จวนได้เวลาแล้ว เจ้าทำอะไรอยู่”
“ข้าเขียนหนังสือลาเจ้าพี่ แลบอกต้นสายปลายเหตุทั้งหมด”
หลวงเทพถอนใจ “กี่ครั้งแล้วที่เจ้าไปหานาง แต่นางไม่ให้พบ”
“เจ้าพี่คงต้องใช้เวลาทำใจ แต่เจ้าพี่ข้าจิตใจงดงามมีเหตุผลนางจะต้องยินดีรับฟังข้า”
ดารารายมั่นใจ หลวงเทพมองอย่างเอ็นดูรักใคร่
ที่หลังคุ้ม นางผัน นางเผื่อนชะเง้อดูการขนของลงเรือแล้วทำหน้าแสยะแล้วหันมาค้อนควักกันเอง ทั้งคู่มองไปเห็นดารารายจูงม้าวายุมา ก็ทำปั้นปึง ดารารายก้าวมาใกล้มองทั้งคู่อย่างเอาเรื่อง นางผัน นางเผื่อนคุกเข่าลง
“เจ้าพี่เป็นเช่นใดบ้าง”
“อุ้ย เจ้านางน้อยอุตส่าห์เป็นห่วง ไข้กายน่ะหายแล้วเจ้า”
“แต่ไข้ใจ ข้าเจ้าไม่ทราบได้เจ้า”
ดารารายพยักหน้าลูบแผงคอม้าวายุ
“ข้าต้องไปอยู่เมืองใต้...วายุไปกับข้ามิได้ วายุดื้อดึงนัก เว้นจากข้ามีแต่เจ้าพี่เท่านั้นที่จะกำราบมันได้”
นางผัน นางเผื่อนสบตากัน
“ข้าจะยกวายุให้เจ้าพี่ดูแล”
นางผันเยาะ “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนหรือเจ้า”
นางเผื่อนปากดีใส่ “วายุเป็นของรักของแพงของเจ้านางน้อย ส่วนหลวงเทพ...”
ดารารายตาวาว
“อย่ากล้ามาปากดีกับข้า เจ้าพี่นั้นดีแสนดี แต่ใยมีคนอย่างเจ้าสองคนอยู่ข้างกาย”
ดารารายส่งม้วนกระดาษสาให้ นางผัน นางเผื่อน
“จงเอาหนังสือข้าไปให้เจ้าพี่ ให้นางอ่านให้ได้ เมื่ออ่านแล้วเจ้าพี่จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง”
นางผัน นางเผื่อนทำปั้นปึ่งเย็นชาใส่ ดารารายมองดุๆ จึงยอมรับมา
ที่ท่าน้ำ เรือใหญ่ทั้ง 3 ลำเทียบท่ารออยู่ พระยาพิชิตชัย หลวงเทพ ขุนกล้า และคณะ ทูตเตรียมลงเรือ มีทหารไปด้วยราว 10 นาย เป็นทหารม้าส่วนหนึ่งกับขบวนพ่อค้า เจ้าหลวงแสงอินทร์สร้อยคำล่ำลาดาราราย ดารารายน้ำตาคลอ ทรุดลงกราบกับพื้น นางทิพย์ นางทิม น้ำตาไหลเช็ดน้ำตาป้อยๆ
ในห้องนอนบนเรือนยอดหล้ามีหน้าต่างหนึ่งเปิดสู่ท่าน้ำ ลมพัดม่านไหวปั่นป่วน ยอดหล้าลอบดูอยู่ นางผัน นางเผื่อนชะเง้ออยู่ด้านหลัง
หลวงเทพก้าวมาคุกเข่าลงประคองดารายขึ้น ดารารายเซต้องเกาะแขนอิงแอบหลวงเทพไว้
ยอดหล้ามองดู เห็นเป็นดารารายออดอ้อนออเซาะหลวงเทพก็เม้มปากดวงตาเย็นชา หน้าเชิดขึ้น นางผัน นางเผื่อนใส่ไฟ
พระยาพิชิตชัย คณะทูตลงเรือไป หลวงเทพแตะแขนดารารายพาเดิน ดารารายชะงักหันมามองเรือนยอดหล้า หลวงเทพชะงักฝีเท้ามองตาม
ยอดหล้ายืนยิ่งอยู่หลังม่านที่สะบัดไหว ดวงใจยิ่งปวดร้าวทรมาน
จังหวะนี้หลวงเทพและดารารายเหลียวมอง ไปที่หน้าต่างห้องนอนยอดหล้ามีเพียงม่านไหวสะบัดอยู่
ดารารายยิ้มลาเศร้าๆ “เจ้าพี่ ข้าลาก่อน ยกโทษให้ข้าด้วย”
ยอดหล้ามองดูเห็นเป็นดารารายเยาะเย้ย
หลวงเทพพาดารารายลงเรือ ขุนกล้า ทิพย์ ทิม ตามไป เจ้าหลวงแสงอินทร์สร้อยคำ นางข้าไท แสงหลวง ขุนหาญ ก้าวไปส่งบนศาลา
เรือนั้นลอยเลื่อนไป ดารารายโบกมือลาเจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าหลวงข่มความรู้สึกอาลัย สร้อยคำเชิดหน้าปาดน้ำตาทิ้ง เพราะเป็นคนไม่ฟูมฟาย
ยอดหล้าชะเง้อดู เห็นเรือหลวงเทพ และดาราราย ยิ่งลอยเลื่อนห่างไป
ที่สุดยอดหล้าทรุดกายลงอย่างโรยแรง นางผัน นางเผื่อนประคองไว้
ยอดหล้านอนซมหน้าเผือดซีดบนเตียงในห้องบนเรือน นางผันป้อนยา นางเผื่อนพัดวี แต่ปากก็ใส่ไฟเช่นเคย
“เจ้านางน้อยเรียกข้าสองคนไป บอกยกม้าวายุให้เจ้านาง” นางเผื่อนบอก
นางผันใส่ไคล้ “ราวบอกว่านางยกของรักของหวงให้เจ้านาง แลกกับหลวงเทพ”
ยอดหล้าคิดว่าดารารายพูดเช่นนั้นจริง เอามือผลักถ้วยยาออก และยิ่งขมขื่นโกรธแค้น
“ดารารายกล้าพูดเช่นนั้นกับข้าเชียวหรือ”
นางผัน นางเผื่อน สบตากันและพยักหน้า
“เจ้า อ้อ แล้วนางยังเขียนหนังสือถึงเจ้านาง”
“ในนั้นคงเขียนเยาะเย้ยเจ้านางแน่ๆ เจ้า” นางเผื่อนเสริม
ยอดหล้านั่งตัวตรง
“ข้าอยากเห็น หนังสือนั่นอยู่ที่ใด”
นางผัน นางเผื่อนมองหา เพราะป้ำเป๋อไม่รู้แล้วว่าวางไว้ที่ใด
ทันใดมีลมปั่นป่วนพัดมา หน้าต่างเรือนทุกบานถูกกระชากเปิด ม่านปลิวไสวด้วยแรงลม ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนยกมือป้องหน้า
ที่ตั่งเตี้ยใกล้หน้าต่างหนึ่ง วางม้วนกระดาษสาหนังสือดารารายไว้ แรงลมประหลาดนั้นกระแทกจนเชือกที่รัดไว้หลุดออก กระดาษสาคลี่ขยายแรงลมนั้นช้อนกระดาษนั้นปลิวออกไปนอกหน้าต่างลอยวูบขึ้นไปบนฟ้า
ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนลดมือลงพบว่าทุกอย่างสงบแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าลมมนตรานั้นหอบจดหมายไป
“มิเคยพบเคยเห็น”
“นี่ลมภูติลมผีตนใด”
จดหมายกระดาษสา ปลิวอยู่บนฟ้า แล้วร่วงต่ำลงยังผาน้ำตกเบื้องล่าง มือขาวเรียวแข็งแรงยื่นมากลางอากาศแล้วแบออก
กระดาษใบนั้นตกลงในมือ เจ้าของใบหน้ายิ้มละไม แต่ดวงตากลับชั่วร้ายยิ่งของเถรกระอ่ำ
ณ กรุงเทพมหานคร ในสมัยราชกาลที่ 2 สภาพบ้านเรือนสงบร่มเย็น ริมคลองบางหลวง มีเรือแพสัญจรคับคั่ง หมู่เรือนไทยของพระยาพิชิตชัย ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางต้นใม้ใหญ่รายรอบ น้ำในคลองบางหลวงเปี่ยมล้นฝั่ง บ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง
ตรงระเบียงเรือนตอนกลางวัน ดารารายนั่งอยู่กับคุณเพ็งน้องสามี ตรงหน้ามีเตาและกะทะขนมเบื้อง นางทิพย์ นางทิม นั่งอยู่ใกล้ นวลต้นห้องของคุณเพ็งนั่งอยู่ด้วย มีหม้อดินที่ใส่แป้ง และชามมีฝาใส่หน้ากุ้ง หน้าฝอยทอง วางราย
คุณเพ็งยิ้มแย้มแจ่มใส ละเลงขนมเบื้องเป็นวงอย่างชำนาญ แป้งเนียนบางสม่ำเสมอรูปทรงงดงาม
“ลองดูซีคะ พี่ดารา”
“เจ้า”
ดารารายหยอดแป้งมีอาการไม่มั่นใจนัก บางจังหวะกลายเป็นละเลง จนแป้งนั้นหนา แหว่งเว้าไม่เป็นวง นางทิพย์ นางทิม โคลงหัว นวลปิดปากหัวเราะ คุณเพ็งยิ้มปลอบใจ
ดารารายทำตาปริบๆ “ทำไมมันไม่ยอมเป็นวงละเจ้า”
คุณเพ็งปลอบ “พี่ดาราก็ใจเย็นๆ ซีคะ”
พระยาพิชิตชัยเดินมา ตามมาด้วยหลวงเทพที่จับมือคุณหญิงอำภาเดินคลอเคลียมา แสดงว่าเป็นลูกรัก มีนางนิ่มต้นห้อง และทนายหน้าหอของพระยาพิชิตชัยตามมาด้วย
ดารารายตาโตรีบแซะแป้งซึ่งแห้งแข็งขึ้นวางในถาด คุณเพ็งทำขนมต่อใส่หน้าแซะขึ้น
“แม่เพ็งทำอะไร ขนมเบื้องหรือ”
“เจ้าค่ะ เจ้าคุณพ่อ”
“เจ้าดาราน่ะอยากลองทำค่ะ เลยให้แม่เพ็งเป็นคนสอน”
พระยาพิชิตชัยกับคุณหญิงนั่งห้อยขาบนยกพื้น แต่หลวงเทพนั่งขัดสมาธิข้างถาด
“ดูก็รู้ชิ้นไหนของแม่เพ็ง ชิ้นไหนของเจ้านาง”
ดารารายค้อนสามี “ข้าเพิ่งหัดทำก็ต้องเบี้ยวๆ บูดๆ บ้างซีเจ้า”
หลวงเทพหยิบเอาแป้งหนา แหว่งวิ่นนั้นใส่ปาก
“นั่นชิ้นที่ข้าทำเสีย เตรียมทิ้ง เอาไปกินทำไมเจ้า”
“ทิ้งขว้างอะไร แป้งหนาเหมือนแป้งจี่ ทั้งกรอบทั้งอร่อย”
“ค่ะ ของน้องสู้ไม่ได้เลยค่ะ พี่เทพ”
ดารารายค้อนตีคุณเพ็งเบาๆ “คุณเพ็งน่ะ จะพูดให้พี่อับอายไปถึงไหน”
พระยาพิชิตชัยหัวเราะ คุณหญิงอำภายิ้มเอ็นดู สะใภ้
“เจ้าดาราคุ้นกับดาบกับหน้าไม้จะให้มาจับจวักตักแกงอะไร”
“ไม่นะคะ เจ้าคุณพี่ เจ้าดารานั้นหัวไวนักเจ้า น้องสอยอะไร หัดเดี๋ยวเดียวก็ทำให้หมด” คุณหญิงว่า
“แต่คงมิใช่ขนมเบื้องนี่” หลวงเทพแกล้งเย้า ดารารายค้อน
“อย่าเพิ่งประมาทไป เจ้าดารานั้นมีสมาธิยิ่งกว่าเจ้า ไหนลองดูใหม่ซิลูก”
ดารารายลังเลนิดหนึ่งแล้วมีแววมั่นใจรับคำ
“เจ้า”
ดารารายสำรวมจิตค่อยๆ ตักแป้งหยอด ทุกคนมองดู ดารารายละเลงแป้งอย่างแผ่วเบาใจเย็น สำเร็จเป็นแป้งที่บางเนียนงดงาม
หลวงเทพชื่นชมภรรยา ท่านพระยาหัวเราะ คุณหญิงยิ้ม คุณเพ็งตบมือ
ดารารายละเลงเพิ่มอีก 2 วง ต่อเนื่อง ใบหน้ายิ้มละไม หลวงเทพมองอย่างสุดรัก มีบ่าวผู้หนึ่งเข้ามายอบตัวลง
“มีหนังสือมาถึงท่านเจ้าคุณขอรับ”
พระยาพิชิตชัยรับจดหมายมาคลี่อ่าน
“มีอะไรหรือคะ คุณพี่”
“หนังสือจากเจ้าหลวงแสงอินทร์”
ดารารายกำลังหยอดหน้าขนมเบื้อง เงยหน้าดูอย่างดีใจ
“เจ้าหลวงมาร่วมงานพระราชพิธี”
“อย่างนี้ต้องมาพักที่บ้านเรา เจ้าดาราจะได้คุยให้หายคิดถึง”
“เจ้าแม่ข้าเจ้าจะมาด้วยหรือเปล่าเจ้า”
“มิได้บอกไว้ คงจะไม่มา แต่ผู้ที่จะเดินทางมากับเจ้าหลวงคือ เจ้านางยอดหล้า”
ดารารายตกใจ หลวงเทพอึ้ง ทั้งคู่สบตากัน
ดารารายแต่งกายงดงามเป็นพิเศษแต่สวมเครื่องประดับน้อยชิ้น มองออกไปนอกหน้าต่างสู่ท่าน้ำ หลวงเทพแต่งตัวอย่างจะเข้าวัง ก้าวมาด้านหลังโอบกอดไว้
“เจ้าราย คิดอะไรอยู่”
“เจ้าพ่อจวนจะมาถึงแล้วนะ เจ้าภักดิ์”
ทั้งสองเมื่ออยู่ลำพัง บางครั้งก็จะเรียกกันด้วยชื่อเมื่อแรกรู้จัก
“เจ้ามิได้กังวลเรื่องเจ้าพ่อ พี่รู้”
“เจ้าพี่ข้า...นางจะให้อภัยข้าหรือไม่นะ”
หลวงเทพโอบไว้ ดารารายเอาศีรษะเอียงซบไหล่สามี
เรือลำใหญ่ของเจ้าหลวงและบริวารแล่นมาในคลอง ยอดหล้าก้าวจากประทุนเรือ มองตรงไปดวงตาแข็งกร้าว
ส่วนหลวงเทพ ดาราราย ก้าวจากเรือนสู่ชาน นางทิพย์ นางทิมเดินตาม
เวลาเดียวกัน เถรกระอ่ำยืนบนผาน้ำตก โอมอ่านอาคม เหนือขึ้นไป เมฆฝนเคลื่อนขยับไหว ฟ้าแลบแปลบปลาบ เถรกระอ่ำแบมือในมือนั้นมี เศษกระดูกสีขาวเถรกระอ่ำเป่าพรวดลงในมือ เศษกระดูกนั้นแปรสภาพเป็นเข็มกระดูกแหลมคม 9 เล่ม เถรกระอ่ำยกมือขึ้นตรงปากแล้วเป่าไป เกิดเป็นลมแรงกล้าพาเข็มกระดูก อาถรรพ์พุ่งไปในอากาศ เถรกระอ่ำยิ้ม ดวงตาชั่วร้ายยิ่ง
หลวงเทพ ดาราราย นางทิพย์ นางทิม ยืนอยู่ที่ชานเรือน ทันใดนั้นเองชานเรือนพลันมืดลง ทั้ง 4 ประหลาดใจยิ่งแหวนดูฟ้า เห็นกลุ่มวัตถุพุ่งมา ดารารายเบิกตากว้าง
“อย่าเอ่ย...” ดารารายจะห้ามทัก
“นั่นอะไรกัน” หลวงเทพไม่รู้ทักเข้าก่อน
เกิดแสงจ้าวูบ เข็มกระดูกพุ่งลง เข้าตัวหลวงเทพทั้ง 9 จุด หลวงเทพเซซวนล้มลง ดารารายประคองไว้
“ลมเพลมพัด ผู้มีอาคมปล่อยคุณไสยมา”
หลวงเทพนอนแบบอยู่บนเตียง หน้าดูมืดคล้ำ ดารารายอยู่ข้างเตียง คุณหลวงแพทย์โกศลเพื่อนบ้านเรือนติดกันดูอย่างงุนงง นางทิพย์ นางทิมรออยู่
“อาการพิกลจริง กระผมจะลองให้ยาลมก่อน”
“ดีเจ้า”
คุณหลวงหมอป้อนยาลมละลายน้ำ แล้วจับหลวงเทพนอนลง
“เชิญ คุณหลวงหมอ ข้างนอกก่อนนะเจ้า” ดารารายถอดเขี้ยวเสือไฟจากคอ พนมไว้ในมือแล้วสวมคอหลวงเทพภักดี หลวงเทพพลันสะอึกลุกพรวดกุมคอแล้วอาเจียนออกเป็นโลหิตสดๆ เลือดนั้นกองบนผ้าเห็นเข็มกระดูกทั้ง 9 ที่ค่อยๆ กลายเป็นกระดูกผี ดาราราย นางทิพย์ นางทิม นิ่งอึ้งตะลึงงัน
เจ้าหลวงแสงอินทร์ ยอดหล้า พระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง นั่งอยู่บนชานเรือนใหญ่ นางนิ่ม นางนวล ทนายหน้าหอ บ่าวคนสนิทนั่งเรียงรายตามที่ทางของตน
นางผัน นางเผื่อน ลอบดูบ่าวไพร่ชายแล้วสะกิดสะเกากันตาวาว
ยอดหล้ามองไป เห็นนางทิพย์ นางทิมเดินมาแล้วหมอบลง เผยให้เห็นดารารายยืนเด่นอยู่ข้างหลัง
ยอดหล้าทั้งรักทั้งแค้นแสลงใจใหญ่หลวง ดารารายมองตอบ มีแววลงให้ และขออภัยอยู่ในที
อ่านต่อตอนที่ 17