คุ้มนางครวญ ตอนที่ 15
ในฟลอร์เวลานั้น ยอดหล้าในคราบแสงหล้าเต้นรำไป มองตรีภพอย่างดื่มด่ำลึกล้ำไม่วางตา ตรีภพยิ้มตอบ ยอดหล้าปรารภขึ้น
“บางครั้งคนเราไม่ต้องมีพี่น้อง มีญาติ มีเพื่อนก็คงดีมั้งคะ”
“ไม่ได้มั้งครับเจ้า คนเราเป็นสัตว์สังคมนะครับ”
“ได้ซีคะ แค่เรามีเพื่อนคู่ใจที่รัก เข้าใจ และอยู่เคียงคู่เราตลอดไปจริงๆ”
“โธ่ นั่นยิ่งหายากที่สุดเลยนะครับเจ้า”
“ใครจะรู้คะ คนคนนั้นอาจจะอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วนี้เองก็ได้”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย ตรีภพอึ้งไปนิด เมื่อรู้ว่ายอดหล้าหมายถึงตน
เพลงใหม่ขึ้นพอดีกับที่แก้วพาพิมพ์ดาวมาใกล้สองคน ขอแลกคู่กัน ตรีภพยิ้มก้มหัวขออนุญาตยอดหล้า ยอดหล้าขัดใจเล็กน้อยแต่ข่มไว้
พิมพ์ดาวยิ้มให้ยอดหล้า ยอดหล้ายิ้มตอบแต่ตาวาววับ แก้วเต้นรำกับยอดหล้าตรีภพจับคู่กับพิมพ์ดาว
“นี่เจ้า ทำอะไร” ยอดหล้าไม่พอใจ
“ไม่มีอะไรครับ แค่มารยาทสังคม เจ้านางบอกว่าอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไม่ใช่หรือ”
ยอดหล้าขมวดคิ้ว อำนาจที่ลดลงทำให้ไม่รู้ว่าแก้วคิดอะไร
ตรงซุ้มดอกไม้อีกซุ้มหนึ่งในห้องจัดเลี้ยง พิมพ์เดือนยืนเฉยชาอยู่ ตฤณเดินขยับเสื้อสูทมานัยว่าเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำ ดอกไม้ที่กลัดกระดุมเสื้อหล่นลงพื้น ตฤณหยุดก้มลงหยิบใกล้ซุ้มดอกไม้มองไป พบว่าเท้าของพิมพ์เดือนที่มีซุ้มดอกไม้บัง มีการขยับขาอย่างเมามันตามจังหวะ
ตฤณยืดตัวขึ้นกลัดดอกไม้แล้วก้าวไปหา ยิ้มมุมปาก
“ไงคุณ ไม่เต้นรำหรือ”
“ฉันไม่ชอบ”
“ว้า แย่จัง ผมว่าจะชวนคุณไปเต้นอยู่พอดี”
พิมพ์เดือนแทบถลาออกมาจากซุ้มแต่ระงับท่าทีไว้ที่สุดความสามารถ
“คุณอยากเต้นละซี ก็ได้...นี่เพราะเห็นแก่คุณหรอกนะ”
ตฤณส่ายหน้าส่งมือให้ พิมพ์เดือนวางมือลง ก้าวไปยังฟลอร์
ตรีภพเต้นรำกับพิมพ์ดาว อำนาจมนต์เสน่หายาใจจากยอดหล้าจางไปครึ่งหนึ่ง ตรีภพยิ้มกริ่ม พิมพ์ดาวหมั่นไส้
“นี่คุณเป็นคนบอกพี่แก้ว ให้มาแลกคู่ใช่ไหม”
พิมพ์ดาวแดกดัน “ค่ะ ฉันหึงคุณจนทนไม่ไหวที่เห็นคุณไปเต้นกอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าแสงหล้าขนาดนั้น”
พิมพ์ดาวพูดหน้าตาเฉย ตรีภพเซ็งโคลงหัว
“ผมไม่ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยงซักหน่อย”
“คุณคิดว่าเจ้าแสงหล้าเป็นยังไงบ้าง”
“จะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งมั้ง”
“แต่ฉันคิดว่า...เธอสมบูรณ์แบบจนเกินไป”
ยอดหล้าเต้นรำกับแก้วอยู่ แก้วนั้นหัวใจพองโต พยายามข่มอาการหลงใหลไว้ ยอดหล้ามองไปทางคู่ตรีภพกับพิมพ์ดาวแล้วยิ้มเยาะ
“ดารารายหึงหวงข้าซีนะ”
“ผมไม่เห็นว่าคุณพิมพ์ดาวจะมีท่าทีอะไร เธอดูตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม” แก้วแก้ต่าง
“ข้าก็เคยได้ยินเหมือนเจ้า จนชีวิตข้าถูกทำลายหมดสิ้น ทุกสิ่งที่ข้าเห็น ข้าเชื่อกลับกลายเป็นสิ่งลวง”
เห็นยอดหล้าตาวาว แก้วไม่กล้าพูดต่อ
ตฤณพาพิมพ์เดือนเต้นอย่างประดักประเดิด
“เฮ้ย อย่าเหยียบเท้าผมซี”
“คุณนั่นแหละ ก้าวเท้าผิด”
พิมพ์ดาวมองดูตรีภพ
“ทำไมเจ้าแสงหล้าถึงเหมือนกับเจ้ายอดหล้าในความฝันของฉันและของคุณขนาดนี้”
พิมพ์ดาวไม่กล้าพูดว่า ปีศาจเจ้ายอดหล้าและฝันระลึกอดีต
“นายตฤณบอกว่าความทรงจำของเราอาจจะเล่นตลกกับเราก็ได้ ยิ่งความฝันยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ใหญ่”
พิมพ์ดาวไม่เชื่อแต่ก็ไม่รู้คิดยังไง เพราะตนเองก็เชื่อว่า แสงหล้าคือมนุษย์
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
ทางฝ่ายยอดหล้ายังคงเคียดขึ้ง มองดูพิมพ์ดาวตรีภพตาวาววับ
“ดารารายหลอกเจ้าได้ แต่หลอกข้าไม่ได้ ข้ารู้ว่ามันรักพี่เทพหมดหัวใจ ยิ่งมันรักเท่าใดก็จะยิ่งเจ็บปวดเท่านั้น เมื่อพี่เทพทิ้งมันมาหาข้า”
แก้วมองยอดหล้านิ่ง
“ก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่หรือ เพราะนายตรีก็ดู...ลุ่มหลงเจ้านางไม่ใช่น้อยๆ”
“แต่ก็ยังไม่มากเท่าที่ข้าต้องการหรอก”
ยอดหล้ามีแวววางแผนขั้นต่อไป
คู่ตฤณและพิมพ์เดือน มีการเต้นผิดพลาดอีก พิมพ์เดือนกับตฤณก้าวมาข้างหน้าพร้อมกัน อกกระแทกกันดังปึ้ก พิมพ์เดือนตาเขียว
“นี่คุณตั้งใจใช่ไหม”
“ตั้งใจบ้าอะไร โอ๊ย นี่คุณเอาอะไรยัดยกทรง ทิ่มอกผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
พิมพ์เดือนตาเหลือก ยกมือเฉียงตบลง ตฤณคว้าไว้ยักคิ้วให้พลางยิ้มยั่ว ทันใดก็ตีเข่าเข้าหว่างขา ตฤณตาเหลือก พิมพ์เดือนสะบัดหมุนไปก้าวจากฟลอร์
ตฤณเซหน้าเขียวมาที่โต๊ะริมฟลอร์ มีมือมาดึง ตฤณเข่าอ่อนลงนั่งตักคนๆ หนึ่ง
บีบีร้อง “ว้าย”
ตฤณหันไปจะขอโทษ และพบว่าเจ้าของตักคือกะเทยถึกผิวหมึก บีบีพลันยก 2 มือโอบตฤณไว้ พลางชม้อยชม้ายชายตา ตฤณอยากจะร้องไห้
พอตกดึกดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงร็อค คนในฟลอร์ครึ่งหนึ่งยอมแพ้สังขาร ถอยออกมีมาดามสุกับผัว ดาราอาวุโส ยังเต้นเร่าๆ สู้ตายอยู่ แก้วพายอดหล้าออกจากฟลอร์ ตรีภพพาพิมพ์ดาวตรงมาสบทบ ยอดหล้ายิ้มให้พิมพ์ดาว สองสาวประคารามกัน
“คุณพิมพ์ดาวดูมีความสุขจัง”
“งานนี้เป็นงานของเจ้าต่างหากคะ”
“แต่คุณเหมือนดาวที่เจิดจรัส”
“จะสู้จันทร์ส่องแสงสว่างหล้าได้ยังไงคะ”
แก้วกับตรีภพรู้สึกพิลึกๆ กับคำต่อปากของสองสาว ตรีภพไม่ความรู้นัย แต่แก้วรู้ดี พิมพ์ดาวมองยอดหล้า
“งั้นใครจะเป็นดวงอาทิตย์ละคะ”
“คงเป็นคุณตรีภพมังคะ”
ตรีภพหน้าเหรอ เอานิ้วชี้อกตัวเอง พิมพ์ดาวพูดต่อ
“เหมือนอย่างที่คุณแก้วเคยเขียนไว้ในบทละคร ที่เจ้ายอดหล้ารำพันว่า พี่คือดวงตะวัน ข้าเจ้าคือจันทรา”
ยอดหล้าสีหน้าเปลี่ยน ดวงตาฉายแววไม่พอใจพิมพ์ดาวยิ่งสงสัย ตรีภพพูดสัพยอกแก้สถานการณ์
“แต่ผมเป็นดวงตะวันไม่ไหวหรอกครับ ผมขี้ร้อน”
ยอดหล้ายิ้มพรายออกมองตรีภพอย่างลึกซึ้ง
“สำหรับคุณ ฉันแน่ใจว่าถ้าคุณอยากเป็นอะไร คุณจะเป็นทุกอย่างที่คุณต้องการ และเป็นได้ดีที่สุดด้วย”
ยอดหล้าแตะแขนตรีภพ กุมแขนไว้
“งั้นผมขอเล่นละครให้ดีก่อนก็พอครับ”
มาลารินกับบีบีก้าวมา มีบริกรถือถาดวางแก้วไวน์มา 6 แก้ว
“พักดื่มไวน์ก่อนนะคะ อู้ย เจ้าขายิ่งดูเซททับทิมล้อมเพชรใกล้ๆ ก็ยิ่งรักค่ะ ลูกขา”
มาลารินยิ้มตาแป๋ว หยิบแก้วไวน์มา 2 แก้ว
“เชิญค่ะเจ้า ดูซิคะ ไวน์สีสวยจัง แดงยังกะเลือดสดๆ”
มาลารินก้าวไปใกล้แล้วสะดุดขาตัวเองอย่างแนบเนียน เซไปหายอดหล้าเทไวน์ทั้งสองแก้วใส่ยอดหล้า
“ว้าย”
“แม่มึงหก”
ตรีภพ แก้ว พิมพ์ดาวตกใจ ยอดหล้าเบิกตากว้าง ไวน์ราดรด หน้าอกลงไปชุ่มชุดราตรี
ทุกคนร้องอุทาน มาลารินลอบยิ้มสะใจ แพท มาดามสุ ฐาปกรณ์ เดินมายอดหล้ายื่นมือปัด มาลารินโดนปลายนิ้ว ร่างลอยขึ้นหงายหลังกระเด็นไปชนซุ้มดอกไม้ถล่มลง
ยอดหล้ายืนนิ่ง ดวงตาวาว แก้วแตะแขนยอดหล้าให้สงบ
บีบี ร้อง “ลูกขา” เข้าแหวกดอกไม้คล้ายปอเต็กตึ๊งเก็บศพใต้ตึกถล่ม
ตรีภพก้าวไปดูยอดหล้า พิมพ์ดาวยิ่งสงสัยมากขึ้นสบตากับพิมพ์เดือนที่ก้าวมา
ที่สวรรค์ม่านรูด ราเชนทร์ปรือตาขึ้นแล้วยิ้มอ่อนแรง อยู่บนเตียงกลม ยอดหล้านั่งคร่อมบนตัวยิ้มยั่ว
“เจ้า...”
จู่ๆ ยอดกล้าก็ผงะ พูดเสียงนางผัน “เจ้านางเจ้า”
ยอดหล้าลุกพรวดร่างกลายเป็นนางผัน ราเชนทร์ผวาร้องเฮ้ย
ทันใดนั้นนางผันก็หมุนตัวกลายเป็นหมอกควันสีดำพุ่งหายไป ราเชนทร์อึ้งไปนิดหนึ่งแล้วแผดร้องสุดเสียง
ฟากธาดาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำกอดยอดหล้าที่สวมชุดราตรีอยู่หน้ากระจก
“เจ้า เจ้าเหมือนฝันที่เป็นจริง”
ยอดหล้าชม้อยชม้ายแล้วสะดุ้ง ร้องอุทานเสียงนางเผื่อน
“ว้าย เจ้านางเจ้า”
ยอดหล้าหันรีหันขวาง ธาดากระเด็นหงายหลัง ชายเสื้อคลุมแหวกอุจาดตา
“เจ้า เกิดอะไรขึ้น”
ยอดหล้ากลายเป็นร่างนางเผื่อนต่อหน้าธาดา ธาดาขยี้ตา ตะกายลุกคว้าแขน
“เฮ้ย อะไรกันนี่ เจ้า เธอ แกเป็นใคร”
นางเผื่อนยืดคอยาว หน้ากลายเป็นปิศาจ แสยะเขี้ยวจ่อกับหน้าธาดาจังๆ ธาดากระเด้งออกหงายหลังหัวฟาดขอบเตียง สลบไป นางเผื่อนกลายเป็นควันพุ่งหายไป
ณ ห้องนอนยอดหล้า มีควันสีดำ 2 ลำพุ่งมารวมตัวลงพื้นกลายเป็นนางผัน นางเผื่อน มองดูยอดหล้าที่ยืนหันหลังให้
“เจ้านางเจ้า” 2 นางผีข้าไทร่านสวาทประสานเสียง
ยอดหล้าหันมา เห็นเสื้อเปื้อนไวน์ดูน่าเกลียด ดวงตาวาววับ นางผัน นางเผื่อนสะดุ้ง
“เจ้านางเจ้า เกิดอันใดขึ้นเจ้า”
“อ้าย อี ตัวใด กลั่นแกล้งเจ้านางเจ้า”
“จะมีใคร ถ้าไม่ใช่นางดาราแพศยานั่น”
“ข้าเจ้าจะไปสั่งสอนมัน” นางเผื่อนว่า
นางผันบอก “เอาให้มันหันโกร๋น ระเริงร่านมิได้อีก”
ยอดหล้าด่าเหน็บ “อย่ามาทำเป็นพูดดี ประจบประแจงเอาใจข้า คนที่มัวแต่ระเริงร่านจนลืม
นาย คือเจ้าสองคน”
นางผัน นางเผื่อนยิ้มแหยๆ สบตากันแล้วค้อนขวับ ยอดหล้ามองดูเงาสะท้อนตัวเองในกระจก
“ดูซี ในร่างมนุษย์นี้ ข้าช่างอ่อนแอนัก ขนาดนังแพศยานั่นยังกลั่นแกล้งข้าได้”
“แล้วเจ้านางจะทำเช่นใดเจ้า” นางผันถาม
“ข้าเลือกแล้วว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์ผู้นี้ ข้าก็ได้แต่ต้องอดทน” ยอดหล้าพูดปลงๆ
นางเผื่อนสาระแน “ให้ข้าสองคน สั่งสอนนางแพศยานั่นเถอะเจ้า"
“ไม่ต้อง เพราะมันถูกข้าสั่งสอนพอแล้ว”
จริงดังว่า มาลารินนอนแบบอยู่บนเตียงหน้าบวมช้ำ แก้มโย้ไปข้าง บีบียืนเท้าสะเอวอยู่
“วุ้ย อีนังลิน ทำไมแกถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ ดู๊...เดินยังไงถึงได้หงายท้องขนาดนั้น”
“ลินไม่ได้หกล้ม อีนังเจ้านางผีนั่นต่างหากมันผลักลิน”
“ผลักอะไรยะ อยู่ห่างแกตั้งฟุต”
“ก็มันเป็นผี มันจะทำอะไรก็ได้”
บีบีระอา “ว้าย ไร้สาระ ผีอะไร ถึงได้ขนเพชรสะพรึบสะพรั่งขนาดนั้นถ้าจริง ฉันก็อยากเป็นผีบ้าง”
มีเสียงเคาะประตู บีบีไปเปิดแล้วแปลกใจ
“ว้าย แก ใครน่ะ อ๋อ อีโลเคชั่นใช่ไหม”
มาลารินรีบขยับตัว ทำแบ๊วใหม่ “พี่เบิ้มขา เชิญเลยค่ะ”
เบิ้มเข้ามายืนยิ้มแห้งๆ อยู่กลางห้อง มาลารินลุกขึ้นต้อนรับขับสู้ บีบีมองตาขวางเพราะเกลียดอีแอบ
“ลูกขา ลินซี่ หนูไปตามอี เอ้ย เจ้านี่มาทำไมเหรอคะ ลูกขา”
“พี่เบิ้มเป็นคนมีเซ้นส์ค่ะ”
บีบีแขวะ “อ๋อ ผีเห็นผี”
เบิ้มเซ็งเป็ด
“พี่เบิ้มเล่าซีคะ ว่าตอนที่พี่มองดูนังเจ้านางแสนสวยนั่นพี่เห็นอะไร”
เบิ้มกลืนน้ำลาย แล้วเริ่มต้นเล่า มาลารินฟังตาวาว ส่วนบีบียิ่งฟังยิ่งไม่เชื่อ
รุ่งเช้าพิมพ์ดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ สายตาจ้องจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่เปิดอยู่ ทางด้านหลัง แพทและพิมพ์เดือนยังหลับอุตุอยู่บนเตียง
จอโน้ตบุ๊คเปิดบทละครคุ้มนางครวญอยู่ เป็นฉากที่ ดารารายกับยอดหล้าสนทนากัน
ดาราราย : “เจ้าพี่ เจ้า เจ้าพี่รู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว ใช่ไหมเจ้า”
ยอดหล้ามองน้องสาว ดวงตาแข็งกร้าวอย่างชิงชังแต่ริมฝีปากยิ้มอ่อนโยน
ยอดหล้า : “ใช่ ข้ารู้หมดแล้ว ว่าเจ้าจะกระทำสิ่งใดไปบ้าง”
พิมพ์ดาวทอดถอนใจ รำพึงออกมาคล้ายมีความรู้สึกของดารารายครอบงำ
“แต่เจ้าพี่ ทำไมเจ้าพี่...ถึงไม่รู้ความจริง”
มีสัญญาณดังว่ามีคนสไกป์มา พิมพ์ดาวคลิกเปิดหน้าจอ ใบหน้าจันทราปรากฏขึ้น
จันทรานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องโถงบ้าน สีหน้าเป็นกังวล ใบเฟิร์นชะเง้อคอ ป้วนเปี้ยนปัดขี้ฝุ่นอยู่ใกล้ๆ
พิมพ์ดาวทักมารดา “แม่ขา คิดถึงแม่จัง”
จันทราทักตอบ ตัดพ้อลูกสาวนิดๆ “คิดถึง แต่ไม่โทร.มานะจ๊ะ ไลน์ไปก็ส่งแต่ตัวการ์ตูนมา”
“ช่วงนี้มีอะไรให้ทำจนดึกดื่นค่อนคืนทุกวันเลยค่ะ แล้วรู้ว่าแม่ต้องตรวจข้อสอบก็เลยไม่อยากกวนแม่”
จันทรามองมา ด้วยแววตาห่วงใยลูกสาวมากๆ พิมพ์ดาวซาบซึ้ง แต่ก็จับได้ว่าห่วงเกินปรกติ
“แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แม่ฝันลูก แม่เห็นวิญญาณเจ้านางแสนสวยคนนั้น”
พิมพ์ดาวรู้มาบ้างจากพิมพ์เดือนเรื่องจันทราเห็นยอดหล้าในสมาธิ เบิกตากว้าง
“ยังไงคะ”
“แม่เห็นเธออยู่ใกล้ลูกมากๆ และเคียดแค้นลูกยิ่งกว่าเดิมอีก”
พิมพ์ดาวถอนใจ เอามือแตะเขี้ยวเสือไฟ จันทรามองดู
“แม่ไม่อยากเป็นแผ่นเสียงตกร่อง เขี้ยวเสือไฟอย่าให้ห่างตัวนะลูก”
พิมพ์ดาวยิ้ม ปลอบใจแม่และปลอบใจตัวเองด้วย หล่อนแตะสร้อยเขี้ยวเสือไฟที่คอ ไม่รู้ว่าเป็นของปลอม
สายแล้ว มาลารินอยู่หน้ากระจกเงาลูบคลำเขี้ยวเสือไฟที่อาร์ต อาร์ตไดฯ นำมาให้ สีหน้าครุ่นคิดวางแผนบางอย่าง บีบีลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง แล้วมองดูนาฬิกา
“ว้าย เก้าโมงแล้ว ลงไปกองเร็วซียะ อีลิน รักษาภาพ”
“ลงไปตอกฉากหรือคะ วันนี้มีแต่คิวกลางคืนค่ะ”
“เออจริง วุ๊ย แสงเพชรเจ้าแสงหล้าเข้าตาจนฉันสมองเบลอไปหมด”
ได้ยินชื่อแสงหล้า มาลารินมีสีหน้าโกรธแค้น ชิงชัง ขยะแขยง และหวาดหวั่นปะปนกัน
“เจ้าแสงหล้าอะไรกัน มันเป็นผี...ผีนังเจ้านางยอดหล้า”
“ว้าย ยังเพ้ออยู่อีก นี่หล่อนฟังนะยะ ฟิสิกส์ของผีก็คือ มีแต่ร่างเป็นเงาไม่มีตัวตนจริง แต่เจ้าแสงหล้าน่ะ ผิวมีเลือดมีฝาด เนื้องี้เด้ง ชิศกว่าชมอีก”
มาลารินไม่คล้อยตาม “มันมีฤทธิ์มีเดชกว่าผีเมดิออคเครอน่ะซีคะ”
บีบีทำตาปริบๆ เพราะอ่อนด้อยเรื่องภาษา
“แล้วไม่เห็นหรือคะว่ามันมาเสนอหน้าได้แค่ตอนกลางคืน ตอนกลางวันน่ะมันปิดห้อง ปิดม่านเงียบ ดีไม่ดีมันอาจจะนอนในโลงก็ได้”
มาลารินขุ่นเคืองเอามาก มุ่งมั่นวางแผนแล้วแกะเขี้ยวเสือไฟจากทองที่หุ้ม บีบีเซ็งจิตค้อนเด็กในคาถา
ด้านราเชนทร์นั่งหน้าเหรออยู่บนโซฟามองดูพ่อเลี้ยงธาดาที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่บนเตียง ธาดาหน้าซีด ตาลอกแลกเล็กน้อยมีอาการระแวง
“พ่อเลี้ยงอยู่กับเจ้าทั้งคืนจริงๆ หรือครับ”
“ก็ใช่ซีวะ พอแกเอาเจ้ามาส่งที่นี่แล้วไปไหน”
ราเชนทร์โกหก “ก็...อยู่แถวๆ นี้แหละครับ”
“แล้ว...แล้ว...แล้ว ทำไมเจ้ากลายเป็นคนอื่นไป”
ราเชนทร์พูดไม่ออก เพราะว่าโดนมาเหมือนกัน
“คนอื่นน่ะ คนแน่นอนหรือครับ”
ธาดาอึ้งไปนิดหนึ่ง คว้าแก้วเหล้าเพียวๆ ข้างเตียงมาดื่ม
“ก็คนซีวะ ผู้หญิงแต่งตัวโบราณ แล้วก็..ก็หนีไป”
“หนีไป ไม่ใช่กลายร่างเป็นควันพุ่งไปนะครับ”
ธาดาสะดุ้งที่ดาวร้ายรู้ลึกรู้ดีปานนี้ มองราเชนทร์อย่างสงสัย
“แกพูดอะไร ควันดำอะไร ผีไม่มีในโลก ที่เห็นอะไรแปลกๆ ก็เพราะกินเหล้าเยอะไปก็เท่านั้น”
ประโยคท้ายพ่อเลี้ยงธาดาเหมือนให้เหตุผลปลอบใจตัวเอง
“แต่เมื่อคืนผมแทบไม่ได้แตะเลยนะครับ พ่อเลี้ยง”
“พวกเด็กๆ บอกว่าเห็นเจ้าอยู่ในงานตลอดเวลา...แล้ว...แล้วเมื่อคืนมันอะไรกันแน่...”
ธาดายิ่งคิดยิ่งปวดหัว ราเชนทร์ขยับจะพูด ธาดาชี้หน้า
“มึงอย่าพูดนะ ว่า เมื่อคืนกูขึ้นเตียงกับผี”
ราเชนทร์ทำหน้าปั้นยาก กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
ราเชนทร์เดินกระปลกกระเปลี้ยมาตามทางเดินในคุ้ม จนมาถึงหน้าห้องพัก จึงเปิดประตูเข้าไป
ราเชนทร์ก้าวเข้ามาในห้องปิดม่านไว้มือมิด มองไปเห็นร่างหนึ่งยืนเป็นเงาดำอยู่ ราเชนทร์ร้องเหวอออกมา ร่างนั้นร้องกรี๊ดตกใจเช่นกัน
“ว้าย แอสโฮล ยูแหกปากร้องทำไม ไอเลยตกใจไปด้วย”
ที่แท้เป็นมาลารินหันไปรูดม่านให้แสงในห้องสว่างขึ้น ราเชนทร์ทรุดนั่งลงบนเตียง
“ไอคิดว่ายูเป็นผีน่ะซี”
มาลารินก้าวมาใกล้จับสังเกต “ทำไมยูลุกไลก์เฮลขนาดนี้
ราเชนทร์ไม่ตอบ แต่ถามขึ้น “ยูบอกว่าเจ้าแสงหล้าไม่ใช่คนใช่ไหม”
“ใช่ มันต้องเป็นผีของนางเจ้านางที่ไอเล่นเป็นมัน แล้วผีนังข้าไทที่ยูเคยเห็นเป็นบริวารมัน”
ราเชนทร์ยิ่งพูดไม่ออก แต่ก็ตัดสินใจเล่าในที่สุด
“ไม่ใช่แค่เห็น...ไอเพิ่งโดนมันปล้ำมันเมื่อคืน”
มาลารินเหวอ อ้าปากค้าง
ทีมงานละครถ่ายทำฉากกลางคืน กันอยู่ ที่ศาลากลางสวน ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นฉากศาลาท่าน้ำ มีการประโคมผ้าม่าน ผางประทีป พานดอกไม้ ทางด้านหนึ่งมีการขึงผ้าสีเขียวกรีนสกรีนเพื่อซ้อนภาพแม่ปิงยามราตรีทีหลัง
ตรีภพอยู่ในชุดหลวงเทพ พิมพ์ดาวในชุดดาราราย มาลารินในชุดยอดหล้า รวมทั้งนักศึกษาตัวประกอบในบทนางผัน นางเผื่อน เข้าฉากด้วยกัน
ซึ่งตามบท ฉากนี้คือฉากยอดหล้าเล่นซึงให้หลวงเทพภักดีฟัง ดารารายมาพบเข้าและเกิดหลงรักหลวงเทพ ตามบทละครของเทพ มาลาริน ตรีภพ นางผัน นางเผื่อน เข้าประจำที่ในฉาก
ฐาปกรณ์ มาดามสุ ทีมงานอันมี ลูกกบ รัก มิมี่ เก้ง เบิ้ม กำลังซ้อมการแสดงและซ้อมมุมกล้อง ราเชนทร์ แพท มาดูการถ่ายทำด้วย
มาลารินมีซึงวางบนตักกำลังดีดเก้ๆ กังๆ เสียงดังตีต๊ะติดตึงอยู่ ตรีภพมองดูตาปริบๆ
“อ้าว ให้ไปเรียนตั้งสิบหน เล่นได้แค่นี้เองหรือ”
ฐาปกรณ์เซ็ง หน้าหงิก มาดามสุยิ้มเยาะ มาลารินตาแป๋ว ทำเป็นเสียใจ
“แหม มันยากนะคะ”
มาลารินลองดีดซ้ำเป็นเพลงดวงใจราว 10 โน้ต ฟังดูพอใช้ได้
บีบีเอ่ยขึ้นเสียงดัง “วู้ย ลินซี่กำลังเล่นพอดี เชิญค่ะเจ้า”
ทุกคนชะงักหันไป เห็นบีบีพายอดหล้าในชุดแมกซีนอยู่บ้าน กับแก้วเดินมา แก้วถือกล่องยาวไว้ในมือ มาลารินชะงัก
“อุ้ย หยุดเล่นทำไมคะ ลูกขา คุณพี่อุตส่าห์เชิญเจ้ามาฟัง”
มาลารินหวาดหวั่นพยายามข่มใจ ตรีภพยิ้มให้ยอดหล้า
พิมพ์ดาวอยู่ที่หน้ากระจกกับเก้ง มีมี่ มูมู่ และเบิ้ม มองดู
ยอดหล้ายิ้มนิดๆ มีแววดูแคลน ฐาปกรณ์หน่ายกระซิบกับเมีย
“อีนี่ มันไปเชิญเจ้ามาทำซากอะไร”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
มาดามสุหน้าหงิก กระชากเสียงตอบ แล้วรีบปั้นหน้าหันไปยิ้มระรื่นขณะเดินไปหายอดหล้าและแก้ว
“ว้ายเจ้าขา คุณแก้ว มาดูถ่ายทำหรือคะ”
ยอดหล้ายิ้มบางๆ ปรายตาดูมาลาริน “ฉากสำคัญ ก็ต้องมาดูหน่อยซีคะ”
ตรีภพ มาลาริน พิมพ์ดาวลุกมาต้อนรับ ทุกคนวางสีหน้ากลบเกลื่อนความในใจ
“เชิญเลยค่ะ เจ้า”
กลุ่มมีมี่ มูมู่ รัก ช่วยกันยกเก้าอี้มาให้ยอดหล้าและแก้ว นั่งใกล้ๆ ฐาปกรณ์และมอนิเตอร์
“อีกอย่างนึง ฉันมีของสำคัญมาให้เข้าฉากด้วยค่ะ”
ยอดหล้าพยักหน้า แก้วก้าวมา เจ้านางเปิดกล่องหยิบซึงประจำตัวออกมา ดูเป็นสีทองเรืองรอง มาดามสุตาลุก
“ว้าย ขอบคุณมากค่ะ เจ้าขา”
“ง่า ขอบคุณครับ” ฐาปกรณ์ลังเลกลัวละครโดด
ยอดหล้าบอก “คุณมาลาริน ลองเล่นดูซีคะ”
มาลารินยิ้มหวาน ยอดหล้าส่งซึงให้ มาลารินรับมาแล้วตัวงอเพราะหนัก
“จะไหวหรือคะ นี่” ยอดหล้าเย้าหยอก
“ลินซี่เป็นนางเอกเรื่องนี้ ต้องทุ่มสุดตัวอยู่แล้วค่ะ”
มาลารินทำเป็นเซ จนตรีภพมาช่วยรับซึงมา มาลารินสบโอกาสจับแขนตรีภพกอดไว้
“อุ๊ย คุณตรี ขอบคุณค่ะ”
ยอดหล้าโกรธ เม้มปากแล้วฝืนยิ้ม พิมพ์ดาวมองอยู่
ฐาปกรณ์ มาดามสุเชิญให้ยอดหล้าและแก้วนั่ง
ห่างออกมาหนึ่ง ราเชนทร์จดสายตาจ้องมองดูยอดหล้าอย่างสับสน ยังคงไม่อยากเชื่อคำพูดมาลารินนัก
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 15 (ต่อ)
เมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริง มาลารินนั่งดีดซึงตามบท ตรีภพอยู่ตรงข้าม นางผัน นางเผื่อน ที่ดูแรดร่านน้อยกว่าตัวจริงหมอบโชว์เนินอกอยู่ มาลารินมือดีดซึงของยอดหล้า พลางชม้อยชม้ายชายตาให้ตรีภพ เสียงซึงดังติงๆ ตึงๆ แบบโด่ขึ้นมาเป็นโน้ตๆ ฐาปกรณ์อารมณ์เสีย มาดามสุมาตรฐานต่ำยิ้มแป้น บีบีชื่นชมเด็กในคาถา
ยอดหล้าขมวดคิ้วมุ่น ฐาปกรณ์แผดเสียงลั่นกอง
“คัท!”
“คะ” มาลารินชะงักเสียงซึงเพี้ยนดังสนั่น หันมามองฐาปกรณ์ ตรีภพ นางผัน นางเผื่อน เลิกเข้าบท
ฐาปกรณ์ลุกขึ้น ทำท่าเหมือนจะทึ้งผมตัวเอง
“อะไรวะ เมื่อกี้ยังเล่นได้ พอถ่ายจริง ทำไมเล่นเป็นเด็กอนุบาลวัดลิงขบ”
มาลารินมาจากนอกจึงไม่เก็ท “แปลว่าอะไรคะ”
ฐาปกรณ์บอกตรงๆ “แปลว่าฉันด่าเธอ”
มาลารินทำท่าจะร้องไห้ ตรีภพแตะแขนปลอบ มาลารินเลยผวาตัวเข้ากอดตรีภพ ยอดหล้าตาวาว
พิมพ์ดาวมองดูอย่างกังวลใจ
บีบีกับมาดามสุผวามาปกป้องมาลาริน
“นี่คุณฐา ตอนลงเสียงจริงก็มีครูซึงมาเล่นไม่ใช่หรือคะ ทำไมต้องเคี่ยวเข็ญลูกขา ขนาดนี้”
“ก็ใช่...แต่มันต้องซิงค์กัน”
“วุ้ย ก็ไปตัดช่วยได้ไม่ใช่เหรอ ขลิบๆ เอา”
“ขลิบอะไร ไม่ใช่หนังหุ้มปลาย”
บีบีสะดุ้งเฮือก เกือบเอามือกุมเป้าหมับ
“ยังไงก็ต้องเล่นได้ระดับหนึ่ง โว๊ย”
มาดามสุเกิดไอเดียบรรเจิด “ว้าย ชั้นนึกออกแล้ว”
ฐาปกรณ์แหวใส่ “นึกอะไร”
“เพลงนี้เจ้าแสงหล้าต้องเล่นได้ ก็ให้เจ้าเล่นรับเชิญ ถ่ายด้านหลังกับมือ แล้วไปตัดต่อกับหน้าอี เอ๊ย หน้าลินซี่”
มาลารินได้ฟัง หน้าตึงเปรี๊ยะ
“จะดีหรือคะ เจ้าจะลดเกียรติมาเล่นเชียวหรือคะ”
ตรีภพสบตาพิมพ์ดาว
“ไม่ใช่ลดเกียรติ...ให้เกียรติต่างหาก..ว่าไงคะเจ้าขา”
แก้วลังเลมองดูยอดหล้า “ผมว่าอย่าดีกว่า”
ยอดหล้าโบกมือห้ามแก้ว “สนุกดีออก ตกลงค่ะ ดิฉันจะเล่นให้”
มาลารินยักไหล่พรืด
“ตกลงค่ะ ใครจะรู้ ว่าเจ้าอาจเล่นเป็นเจ้ายอดหล้าได้ดีกว่าใครทั้งนั้น”
ยอดหล้ายิ้มไม่แยแส พิมพ์ดาวหวาดหวั่น ใจหายแทนมาลาริน
คอสตูมจับยอดหล้าแต่งชุดแบบเดียวกับมาลาริน แทบจะทุกประการยืนอยู่ มีมิ่ มูมู่ คุกเข่าจัดชายผ้าให้ มาลารินก้าวมาพร้อมกับเก้ง เก้งถือดอกไม้คำดอกใหญ่มา
“เจ้าฮะเจ้า”
ยอดหล้าหันมา
“ต้องปักดอกไม้คำเพิ่มอีกนะครับจะได้เหมือนกัน”
เก้งทำท่าจะเข้าไปปักดอกไม้ให้ที่มวยผม แต่แล้วก็ชะงักส่งให้
“เจ้าปักองดีกว่าครับ”
ยอดหล้ารับปักดอกไม้คำมาพิศดู มาลารินมองตาเป๋ง
“ทำไมหนักจริง เหมือนมีอะไรอยู่ข้างใน”
มาลารินเมิน ยอดหล้ามองมาลารินแล้วยิ้มขบขัน ปักดอกไม้คำบนมวยผม
เก้งระรื่นชม “เป๊ะมากฮะเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย มาลารินผิดคาด ขยับถอยมา ราเชนทร์ก้าวมาใกล้ๆ
“ไหนยูบอกว่าโดนของขลังจะต้องชักดิ้นชักงอไง”
“ยังไง ไอก็ไม่เชื่อว่านังนี่เป็นคน”
มาราลินขัดใจ นัยน์ตาวาววับ
การถ่ายทำดำเนินไป ยอดหล้านั่งในศาลา ตรีภพอยู่ตรงข้าม นางผัน นางเผื่อน ตัวประกอบหมอบกับพื้น ยอดหล้าเล่นซึงอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
โดยที่หลังกล้อง ฐาปกรณ์ มาดามสุ ทีมงานดูอย่างพอใจมาก พิมพ์ดาวอยู่ห่างออกมาเพราะต้องการอินกับบท แก้วก้าวมาใกล้ๆ พิมพ์ดาวยิ้มให้
มาลารินนั่งหน้าบึ้งอยู่กับบีบีที่ชื่นชม เจ้าแสงหล้า ออกนอกหน้า บีบียิ้มกว้างหันมาก็ชะงัก
“ว้าย เลอค่าอมตะ อ้าว นังลิน ทำหน้าดีๆ ซียะ เจ้าน่ะอุตส่าห์มาช่วยหล่อน ไม่ได้มาสตีลซีนหรอกย่ะ”
มาลารินแขวะ “แต่ลินว่า เธออยากสตีลคุณตรีมากว่า”
ยอดหล้าบรรเลงเพลงซึง พลางทอดสายตามองตรีภพลึกซึ้ง ตรีภพมองดูอย่างเคลิบเคลิ้มรักใคร่
ตามบทครึ่งหนึ่ง แต่อีกหนึ่งคือโดนมนตรา
มีการใช้กล้องดอลลี่ เคลื่อนตามรางเป็นวงกลม เมื่อจะเห็นหน้ายอดหล้าก็เป็นจังหวะที่ม่านหรืออุบะดอกไม้บัง
มนตราเสน่หาแผ่ออกมาโดยรอบ บรรดาผู้ชายทุกคนมีอาการเคลิบเคลิ้มชื่นชมกันถ้วนทั่ว ขนาดบีบีเองก็ไหลหลง จนมาลารินแปลกใจ
แก้วมองดูยอดหล้าอย่างหลงใหลได้ปลื้ม พิมพ์ดาวเหลือบดูแก้ว มองดูผู้ชายในกอง แล้วละสายตามองดูตรีภพ
ลูกกบก้าวมาให้คิวพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวถือขันในมือก้าวเข้าไปที่ศาลาตามบท หยุดยืน ตรีภพเหลือบมาดูอย่างเลื่อนลอยไม่ใส่ใจนัก
ยอดหล้ามองดูตรีภพแล้วพูดบทเอง เสียงซึงชะงัก
“นั่นใคร”
ยอดหล้าหันมาใบหน้าดูเข้มเคร่ง ดวงตาเจิดจ้าน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
พิมพ์ดาวรู้สึกถึงความชิงชังอย่างรุนแรงพุ่งมาปะทะ จนโงนเงนขันหลุดจากมือตกพื้นดังเคล้ง ฐาปกรณ์และทีมงานสะดุ้งจากภวังค์
พิมพ์ดาวเป็นลมทรุดฮวบลง แก้วพรวดเข้ามาประคองขึ้น บรรดาทีมงานตกใจวี้ดว้ายกันลั่น มาลารินลุกขึ้นเข้ามาดู
ตรีภพยังคงเลื่อนลอย มองดูพิมพ์ดาวด้วยสายตาอันว่างเปล่า ยอดหล้าลุกขึ้นมองพิมพ์ดาวแล้วยิ้มเยาะ
แก้วประคองพิมพ์ดาวไว้สบตายอดหล้าจังๆ เป็นเชิงต่อว่า แต่ยอดหล้าไม่แยแส
ทีมงานพักกอง ทุกคนมาสุมหันกันอยู่ที่ห้องอเนกประสงค์ของคุ้มในเวลาต่อมา มาดามสุเท้าสะเอว หน้างอหงิก บ่นบ้าอย่างหงุดหงิด
“เดี๋ยวอีคนนี้ป่วย เดี๋ยวอีคนนั้นเป็นลม ต่อไปจะเป็นอะไรอีก”
“อ๋อ ไม่ตายก็คงเป็นบ้า”
ฐาปกรณ์อยู่ข้างเมีย ตอบหน้าตาเฉย มาดามสุสะดุ้ง
“แล้วจะทำยังไงล่ะคืนนี้”
“เฮ่ย พิมพ์ดาวแค่เป็นลม เดี๋ยวก็หาย ตอนนี้ก็ถ่ายซีน ยอดหล้าหลวงเทพเดี่ยวๆ ไปก่อน”
สุชาดาพยักหน้า “นี่ แล้วคืนนี้จะได้ 20 ฉาก ไหมคุณ”
ฐาปกรณ์มองเมียเซ็งๆ
ที่ด้านในของห้อง พิมพ์ดาวนอนหน้าซีดอยู่บนโซฟาเบด พิมพ์เดือนอยู่ข้างๆ ตฤณจับชีพจรพิมพ์ดาว แพท มีมิ่ มูมู่ เก้ง พากันมาชะเง้อดู
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ช่วงนี้นอนน้อยไปหน่อย”
“ฮะ ผมก็ว่าอย่างงั้น”
พิมพ์เดือนขยับมาดูพี่สาวอย่างเป็นห่วง
“แล้วคุณไม่ฉีดยา ให้ยาอะไรพี่พิมพ์บ้างเหรอ”
“นี่คุณ ผมมาพักร้อนนะครับ ไม่ได้เปิดคลินิก”
ตฤณหันไปหยิบยาหอมผสมน้ำมา
“ไม่เชื่อย่าลบหลู่นะครับ ยาหอมนี่แหละเวิร์กที่สุด”
“ขอบคุณค่ะ” พิมพ์ดาวรับยาหอมมาดื่ม
“คุณนอนพักซักเดี๋ยวนึง น่าจะอาการดีขึ้น” ตฤณบอก
พิมพ์ดาวพยักหน้าขยับตัวจะนอน มองเลยไปราวกับอยากให้มีใครอีกคน มาดูแล
ในสวนสวยมีซุ้มดอกไม้งดงาม กำลังออกดอกระย้าย้อย ยอดหล้าอยู่กับตรีภพตรงนั้น ยอดหล้ามีความสุขเหลือแสน ส่วนตรีภพครึ่งหนึ่งรู้ตัว อีกครึ่งตกอยู่ในสิเน่หามนตรา
“เจ้าเหมือนเจ้ายอดหล้าในความฝันของผมจริงๆ”
“ถ้านั่นไม่ใช่ความฝันละคะ”
“แล้ว...” ตรีภพฉงน
“ถ้านั่นคือฉันจริงๆ”
ตรีภพขมวดคิ้วครึ่งหนึ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกครึ่งเชื่อตามนั้น
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ”
“ดวงจิตของมนุษย์มีพลังมากมายเกินกว่าที่ใครจะคำนวณได้ ยิ่งใจที่เปี่ยมรัก ยิ่งมีพลานุภาพแรงกล้า”
ยอดหล้าดวงตาวามวาว ตรีภพเคลิบเคลิ้ม
“พลังนั้นนำพาเราให้ได้มาพบกันอีก” ยอดหล้าบอก
“ผมคือหลวงเทพภักดีอย่างนั้นหรือ”
“ใจของคุณตอบว่าอย่างไรล่ะคะ”
“ถ้าผมคือหลวงเทพกลับชาติมาเกิด...แล้วเจ้าละครับ เจ้าคือเจ้ายอดหล้า...ที่มาเกิดใหม่หรือ”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย บ่ายเบี่ยงตอบไม่ตรงคำถาม “นั่นคือคำตอบที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือคะ”
ตรีภพอึ้ง นิ่งงันไป
ด้านมาลารินทร์อยู่กับราเชนทร์บริเวณทางเดินในเรือน
“จะตีห้าแล้วยังไม่เลิกอีกหรือ” ราเชนทร์ถาม
“อีกซีนนึง คงเสร็จเช้าพอดีแหละ”
“ซีนไหน”
“ก็ซีนที่ถ่ายค้างไว้ เพราะพิมพ์ดาวเป็นลมนั่นแหละ นี่หายแล้วนี่”
ราเชนทร์พยักหน้า “อือม์”
“เดี๋ยวพอใกล้เช้า นังเจ้านั่นต้องวิ่งแจ้นกลับเข้าโลงแน่ๆ” มาลารินมั่นอกมั่นใจ
“ยูแน่ใจเหลือเกินนะว่าเจ้าเป็นผี”
“ถ้ามันโดนแดดจะเป็นยังไงนะ ไออยากรู้จัง”
มาลารินหน้าตาดุดันแข็งกร้าวสวมวิญญาณนางร้ายเต็มสูบ
พิมพ์ดาวฟื้นแล้ว ถือบทในมือเดินมาตามทางในสวนกับพิมพ์เดือน
“พี่พิมพ์ไหวจริงๆ นะคะ”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวจ้ะ ฉากนี้เซ็ทใหม่ไม่ไหวแล้ว”
“เดี๋ยวหนูไปฉี่ก่อน”
“ไปซี พี่อยากอยู่คนเดียวจะได้ทวนบทด้วย”
“โอเคค่ะ ว้าย จะราดแล้ว”
พิมพ์เดือนหนีบขาวิ่งจู๊ดไป พิมพ์ดาวทำตาปริบๆ มองหาที่นั่งที่มีแสงสว่าง แล้วนั่งลง
ขณะเดียวกันตรงซุ้มไม้แสงสลัว ตรีภพยังคงเคลิบเคลิ้มด้วยมนตราเสน่หา ยอดหล้าขยับตัวเข้าใกล้
“ทำไม ทำไมผมถึงยังจำทุกอย่างไม่ได้”
“ชาติภพทำให้คุณลืมเลือนน่ะซีคะ”
“แต่ทำไม เจ้าถึงจำได้”
ยอดหล้ายิ้มทั้งขมขื่นทั้งสุขใจ “เพราะมันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวานนี้เองไงคะ”
“ผมอยากจำทุกอย่างได้บ้าง”
“บทละครนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตไงคะ”
ตรีภพพยักหน้า แล้วเกิดอาการคล้ายลังเล
“แต่ทำไมบางครั้ง ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
ยอดหล้าแปลกใจในคำพูดนั้น รีบย้ำคำ “แต่นั่นคือความจริงค่ะ”
จู่ๆ ตรีภพก็รำพึงออกมา “แล้วดารารายล่ะ”
“ตอนนี้อย่าพูดถึงใครอื่นเลยค่ะ”
“ดารารายไม่ใช่ใครอื่น แล้วคุณพิมพ์...”
ยอดหล้าชะงัก ตาวาววับ ช้อนตามองตรีภพ
“ทำไมคะ”
“คุณพิมพ์เป็นลม...ผมเป็นห่วงเธอ”
ยอดหล้าขัดใจนัก แต่ต้องข่มไว้ เพิ่มพลังสะกด
“คุณ...พิมพ์ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เชื่อฉันเถอะ”
ตรีภพต้องมนตราอีก ได้แต่พยักหน้า พึมพำเลื่อนลอย “คุณพิมพ์ไม่เป็นไร”
“ที่นี่มีแค่เราสองคน อย่าพูดถึงใครอื่นเลยค่ะ”
“ครับเราสองคน”
“คุณจะจำได้ว่าเราสองคนรักกันมากมายยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้”
“เจ้ายอดหล้ากับหลวงเทพ”
“ความรักของเรามีอุปสรรคมากมาย ถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า ลงท้าย..เราก็ถูกพรากจากกัน ต้องขมขื่น ต้องทนทุกข์ ต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหน”
ยอดหล้าขมขื่นเจ็บแค้น น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาเต็มตาแล้วหยดรินรดแก้มนวล
“เจ้า”
“แต่ตอนนี้ เราได้กลับมาพบกันอีก อุปสรรคใดๆ ไม่มีอีกแล้ว”
ตรีภพเอานิ้วปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนละมุนละไม ยอดหล้ายิ้ม
“ต่อให้มีอุปสรรค เราก็จะฝ่าฟันไปด้วยกัน”
“ความรักของเราจะชนะทุกสิ่ง”
“รักแท้จะชนะทุกสิ่ง”
ตรีภพประคองใบหน้ายอดหล้า แล้วก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปาก ยอดหล้าระทวยอ่อนสุขสม
ที่หลังต้นไม้ พิมพ์ดาวยืนมองดูด้วยความขมขื่นระ อยากคืนคนรักให้ เพื่อไถ่โทษพี่สาว แต่อีกซีกใจกลับหึงหวง ยามนี้หล่อนสับสนอลหม่านไปหมด
ยอดหล้ายิ้มพราย บอกตัวเองในใจอย่างหมายมั่น
“ข้าชนะเจ้า...เจ้าคือผู้แพ้ ดาราราย”
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 15 (ต่อ)
ทีมงานพร้อมหน้าอยู่ตรงศาลากลางสวนที่ถูกเซ็ทเป็นฉากศาลาท่าน้ำ แต่ไม่ใหญ่โตเว่อร์วังอลังการเหมือนครั้งก่อนนัก ตากล้องต้องใช้มุมกล้องแคบๆ ถ่าย ตรีภพ มาลาริน พิมพ์ดาว เข้าฉาก นางผัน นางเผื่อน 2 ตัวประกอบ หมอบอยู่
โดยในฉากนี้บทสนทนาเหมือนฉากอดีตที่เป็นความจริง แต่บทกลับเป็นอีกบทบาทหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น อินเนอร์ของนักแสดงในฉากนี้ยังไปคนละทางสองทางกับที่บทละครต้องการ มาลารินในบทเจ้ายอดหล้ายิ้มพริ้มพราย
“พี่เทพเจ้า นี่น้องสางข้าเจ้า ชื่อดาราราย”
ตรีภพมองมาลารินอย่างหลงใหล แล้วเบือนสายตามามองพิมพ์ดาวอย่างว่างเปล่า
พิมพ์ดาวนั่งลง รู้สึกน้อยใจ ตรีภพพูดแบบพูดไปอย่างนั้น
“ดาราราย แปลว่า แสงดาวพราวฟ้า ใช่หรือไม่”
พิมพ์ดาวใจกระตุกสั่น ยิ้มเศร้า เมื่อนึกว่าตรีภพไม่อาจจำอดีตชาติได้ มาลารินมองพิมพ์ดาว ปากแย้มยิ้มรักสุดชีวิต ดวงตาหมั่นไส้
“แปลอย่างนั้นก็คงได้มั้งเจ้า”
“แล้วจะเรียกสั้นๆ ว่ากระไรดี เจ้านางรายหรือ”
ตรีภพเหลือบมองมานอกฉาก พิมพ์ดาวเหลือบตาม
ที่จอมอนิเตอร์ ฐาปกรณ์เริ่มทะแม่งๆ กับการแสดง ยอดหล้าและแก้วนั่งข้างๆ
ในเซ็ท ตรีภพสบตายอดหล้าอย่างหลงใหล พิมพ์ดาวยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่เจ้า บางครั้งเจ้าพ่อก็เรียกว่าเจ้าดารา แต่ข้าชอบเรียกน้อง เต็มยศ เต็มศักดิ์เสมอ”
มาลารินผินหน้ามองมายังยอดหล้า
ยอดหล้ามองดูภาพตรงหน้า มีอาการเจ็บแค้นกับความหลัง แก้วเหลือบดู
“แล้วท่านเล่าหลวงเทพภักดี เรียกสั้นๆ ว่ากระไร”
น้ำเสียงพิมพ์ดาวที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความน้อยใจ
ฐาปกรณ์ลุกพรวดขึ้น “คัท!”
มาดามสุกับบีบีสะดุ้งเฮือก ทั้งคู่ค้อนฐาปกรณ์พลางบ่นบ้าตามประสา ตรีภพ พิมพ์ดาว มาลารินชะงัก
ยอดหล้าชายตามองดูแก้วเป็นเชิงถาม แก้วมองฐาปกรณ์ที่ลุกพรวดไปหานักแสดงทั้ง 3
มาลารินโกรธ ฐาปกรณ์ แต่พริบตา ก็ยิ้มทำหวานใส่ได้
“ผิดอีกแล้วหรือคะ”
ฐาปกรณ์กระแทกเสียงใส่ “เออ! ประหลาดเล่นยังไงเล่นผิดทุกคน ฉากนี้ยอดหล้าต้องรักน้องเอ็นดูน้อง แล้วก็พราวดี้พรีเซ้นต์ว่าที่ผัว แต่ทำไมเธอเล่นเหมือนน้องมาแย่งผัวไปแล้ว”
มาลารินเม้มปาก บีบีมาดูใกล้ใหล้ๆ ตบอก “ต๊าย หยาบ”
“ไอ้ตรี ฉากนี้เอ็งต้องรักยอดหล้า แล้วต้องเอ็นดูน้องเมีย แต่ไม่ได้คิดรักใคร่อะไร นี่ทำไมเอ็งเล่นเหมือนโดนเสน่ห์ แล้วก็ดูถูกดาราราย”
ตรีภพพยักหน้า พิมพ์ดาวนิ่งอั้น
ฐาปกรณ์จ้องหน้าพิมพ์ดาว “หนูพิมพ์ ฉากนี้เธอเห็นคู่หมั้นพี่เป็นครั้งแรกแล้วหลงรัก”
พิมพ์ดาวส่ายหน้า อยากจะบอกว่าเรื่องจริง ไม่ใช่ดังนี้ ยอดหล้าเขม้นมอง
ฐาปกรณ์ใส่ต่อ “แต่ทำไมเธอเล่นเหมือนผิดหวัง ขมขื่นอะไรไม่รู้”
มีเสียงไก่ตื่นก่อนเพื่อนขันแว่วมาในจังหวะนี้
ยอดหล้าหันไปทางเสียง จู่ๆ ตรีภพเหมือนตื่นจากภวงค์
ฐาปกรณ์เซ็งอีก “ตายห่า จะเช้าแล้ว เร็ว เริ่มใหม่อีกที”
“ได้ครับ พร้อมไหมคุณพิมพ์ ลินซี่”
มาลารินยิ้มพยัก พิมพ์ดาวใจชื้นขึ้น ฐาปกรณ์กลับมาที่ ยอดหล้ายังคงมีท่าทีสงบ
ที่ขอบฟ้าไกล มีแสงรำไรทอเป็นประกายเรื่อเรือง พร้อมๆ กับเสียงไก่ขันกระชั้นขึ้น
กองถ่ายเลิกกองในตอนเช้าตรู่ บรรดาทีมงานเหน็ดเหนื่อยแทบสิ้นชีพ ทำการเก็บของกันจ้าละหวั่น
ฐาปกรณ์นั่งซบหน้ากับฝ่ามือเอาแรง มาดามสุหาวเห็นเครื่องใน บีบีซับมันหน้าสังขยา ฯลฯ พวกนักแสดงมาให้คอนตินิวถ่ายรูปก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า
เก้งกำลังช่วยมาลารินปลดเครื่องประดับ ยอดหล้าเดินมาดึง ดอกไม้คำจากผม
“เดี๋ยวนะฮะเจ้า”
ยอดหล้าเอาดอกไม้คำมาดู “ตายจริง ใครเอาเขี้ยวอะไรมาใส่ไว้นี่”
ยอดหล้ามีอาการคล้ายกลัว แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นแววขบขันในดวงตา เก้งรับมางงๆ
“อุ้ย ไม่ทราบเหมือนกันฮะ”
มาลารินทำไม่รู้ไม่ชี้ เหลือบดูพิมพ์ดาวที่สาวะวนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่กับ มีมี่ แล้วหันมาทางยอดหล้า
“อาจเป็นเครื่องรางของขลังไว้ขับไล่ภูตผีก็ได้มังคะ”
“สำหรับภูติผี คนบางประเภท อาจจะน่ากลัวกว่าของขลังอีกค่ะ”
มาลารินยิ้มทำไก๋ ยอดหล้ายิ้มเยาะ
แสงเริ่มสว่างมากขึ้น แก้วเดินนำยอดหล้ามายังคุ้ม ตรีภพ มาลาริน พิมพ์ดาว บีบี ฐาปกรณ์ มาดามสุแพท พิมพ์เดือน ตฤณ มิมี่ มูมู่ เดินมาเป็นพรวน
“เชิญครับเจ้า”
แก้วหันไปมองท้องฟ้า แลเห็นแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า มาลารินมองดูท่าทางแก้วแล้วยิ้มเยาะ
“วู๊ย จะได้พักเสียที โอ๊ย วันนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาด”
มีมี่ มูมู่ ค้อนบีบีคนละขวับ เพราะไม่เห็นว่า “อีนี่ทำงานอะไร”
ทั้งคณะมาถึงหน้าประตูห้อง แก้วแตะศอกยอดหล้า
“เชิญครับ”
ทันใดมีเสียงสัญญาณบางอย่างดังขึ้น ทุกคนชะงัก สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน เลิกลักอยู่ที่โถง
สายใจร้องลั่น “ว้าย อะไร”
ตาทองโผล่มาอีกคน “สัญญาณไฟไหม้หรือ”
ทุกคนตกใจ มาลารินมองไปแล้วชี้ “ดูนั่นค่ะ”
ทุกคนมองตาม เริ่มมีควันสีดำและเทาพุ่งมาในโถงทางเข้าคุ้ม
กลุ่มสายใจร้องกรี๊ดชี้นิ้วระล่ำละลัก คนงานชาย 2 คนวิ่งมาจากสนาม ยอดหล้าตกใจ แก้วหันรีหันขวาง
“ถอยมาก่อนเถอะครับ”
“เจ้าครับ” แก้วตกใจ
พิมพ์ดาวบอก “โทร.ตามดับเพลิงเร็วค่ะ”
ตรีภพไม่ฟังเสียงพายอดหล้าถอยมา แก้วเป็นห่วงยอดหล้า
บีบีร้องวี้ดห่วงสมบัติ มาดามสุทำท่าจะวิ่งเข้า ฐาปกรณ์ดึงไว้ แต่ละคนมีปฏิกิริยาต่างๆ กันไป ตามจริตแต่ละคน
กลุ่มนายและสาวใช้ถอยออกมากลางสนาม ตาทองกับสองคนงานเอาผ้าปิดปากถือถังดับเพลิงเข้าไปในบ้าน
มาลารินตกใจ ตาแป๋ว เหลียวมองไปทางหนึ่ง ที่หลังพุ่มไม้ ราเชนทร์ยืนอยู่สองคนสบตาพยักหน้าอย่างรู้กัน ราเชนทร์ดูจังหวะแล้วรีบเข้ามาสมทบ
แก้วหันไปมองท้องฟ้าแล้วมองยอดหล้า
“เจ้าครับ ยังไงดี”
ยอดหล้ามีอาการหวาดหวั่นอย่างชัดแจ้ง แต่ไม่มีใครเห็น
ดวงอาทิตย์โผล่จากกลีบเมฆยามเช้า แสงจ้าสว่างวูบขึ้น
แสงที่หน้าคุ้มพลันสว่างขึ้น ทาบลงบนกลุ่มนายและบ่าว
ยอดหล้าเหลียวขวับดูดวงอาทิตย์ยกมือจับชายผ้าป้องหน้า แก้วขยับบังให้ ตรีภพไม่ทันสังเกต พิมพ์ดาวเพิ่งรู้สึกว่าทั้งคู่ดูผิดปรกติ
ราเชนทร์จ้องยอดหล้าเป๋ง มาลารินยิ้มสะใจ
ดวงอาทิตย์เคลื่อนพ้นจากเมฆมาทั้งดวง ลอยสูงขึ้นอีกส่องแสงจ้าไปทั่วอาณาบริเวณ นักแสดงและทีมงานอยู่กันพร้อมหน้า จู่ๆ กะเทยผิวหมึกแหงนหน้ามองแดด แล้วเกิดดัดจริตมีอาการกลัวหน้าดำ
“ว้ายแดด เดี๋ยวหน้าไหม้”
มีมี่ มูมู่ ทำหน้าขยะแขยงว่า ไม่เดี๋ยวก็ดำอยู่แล้ว
“ลินซี่ ลูกขา หลบแดดเร็ว”
มาลารินดึงผ้าคล้องคอมาป้องหน้า “เจ้าคะ หาที่หลบแดดเถอะค่ะ เดี๋ยวผิวจะเสีย”
ยอดหล้าตาวาว เพิ่งรู้ว่านี่ต้องเป็นแผนของมาลารินแน่
พิมพ์ดาวและแก้วก็รู้เช่นกัน มาลารินยิ้มสะใจ
ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นอีก ทอแสงเจิดจ้า
ยอดหล้าเซถอยหลังแก้วประคอง มาลารินยิ้มตาแป๋ว พิมพ์ดาวมองกลับรู้สึกเป็นห่วง ยอดหล้าทรงตัวยืดตรง แล้วลดผ้าที่ยกบังไว้ลง
มาลารินทร์ กับ ราเชนทร์อ้าปากค้าง
ยอดหล้ายิ้มพราย แดดยามเช้าจับใบหน้ายิ่งงดงามกระจ่าง
“ไม่ต้องมังคะ แดดยามเช้า มีประโยชน์จะตายไป”
แก้วอึ้งไปนิดหน่อย ตรีภพยิ้ม “จริงด้วยครับ”
พิมพ์ดาวโล่งอกโดยประหลาด แม้ลึกๆ ในใจก็ยังแน่ใจว่าแสงหล้าไม่ใช่มนุษย์ พิมพ์เดือนและแพทต่างโล่งใจที่เจ้าแสงหล้าเป็นมนุษย์ธรรมดา
ยอดหล้ากรายตัวยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่กลางแดด คุยกับตรีภพ แก้วหันไปดูตัวคุ้ม พบว่าควันเริ่มจาง
ดวงอาทิตย์ลอยตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสงแรงร้อนเป็นทวี
ยอดหล้ายิ้มแย้มคุยกับตรีภพเบาๆ แต่เมื่อเพ่งมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นความแข็งขืน ดวงตาไหวระริก เหมือนกำลังต่อสู้กับพลังบางอย่าง ยอดหล้าแตะแขนตรีภพพูดคุยเบาๆ เรื่องคุ้ม พิมพ์ดาวมองแล้วเมินหน้าหนี พิมพ์เดือนมองดูแล้วสบตาแพท
ฝ่ายมาลาริน หน้าบึ้งนั่งอยู่ในศาลากับบีบีที่กระพือพัดไล่ควันเว่อร์ๆ ราเชนทร์อยู่ห่างออกมา ตาทองกับสายใจเข้ามาหาแก้ว
“ไม่มีอะไรแล้วครับ ไฟไหม้ห้องเก็บกวาด คงขวดทินเนอร์ล้มนะครับ”
“เสียหายแค่ไหน” แก้วถาม
“ก็ไหม้ทั้งห้องนะครับ เครื่องดูดฝุ่น 2 เครื่องไหม้หมด ที่ควันเยอะก็เป็นเพราะไหม้ถุงดำน่ะครับ”
แก้วกับยอดหล้านั่งฟัง มาลารินกับราเชนทร์ทำไม่รู้ไม่ชี้
“นี่กำลังไล่ควัน ดับกลิ่นกันอยู่ค่ะ” สายใจบอก
แก้วหันมาหายอดหล้า “ไม่มีอะไรแล้ว เข้าข้างในกันเถอะครับ”
ยอดหล้าบอกกับตรีภพ “ขอตัวก่อนนะคะ”
แก้วส่งแขนให้ ยอดหล้าจับแขนแก้ว แรงกดของนิ้วทำให้แก้วแทบแผดร้อง กัดกรามแน่น
“เจ้า”
“พาข้าเข้าไปเร็ว”
แก้วรีบพายอดหล้าเข้าไป ตรีภพหันมาหาพิมพ์ดาว
“คุณจะเข้านอนเลย หรือจะไปกินอะไรก่อนเป็นเพื่อนผม”
พิมพ์ดาวมองมาด้วยท่าทีปั้นปึ่ง ด้วยยังหึงหวงและน้อยใจไม่คลาย
“ไม่ค่ะ ฉันขอตัวก่อน”
พิมพ์ดาวพนักหน้าให้พิมพ์เดือนแพทตามไป พิมพ์เดือน แพท ขอตัวตามไป ตรีภพมองตามตฤณขยับมา
“อะไรวะ อยู่ดีๆ ก็มาเชิดใส่ฉัน”
ตฤณแขวะเอา “หน้าอย่างแกน่ะนะอยู่ดีๆ”
“ทำไมวะ” ตรีภพฉงน
“ก็ฉันเห็นแกแวบไปจู๋จี๋กับเจ้าแสงหล้าในซุ้มไม้ แถมจูบกันด้วย”
ตรีภพงง “แกพูดอะไรวะ”
“อย่ามาสะตอ ฉันเห็นเต็มตาว่าแกจูบเจ้า คุณพิมพ์ก็เห็น”
ตรีภพอึ้ง ตกใจมากขึ้น “อะไรนะ”
ตรงบริเวณทางเดินในคุ้ม ทางซีกฝั่งคุ้มที่พักของเจ้าแสงหล้า แก้วประคองให้ยอดหล้าเกาะแขนเดินมาอย่างรีบเร่ง ยอดหล้ามีอาการเจ็บปวด มือกำแขนแก้วแน่น แก้วเจ็บแขนแต่ขบกรามอดทนไว้
ประตูห้องพักเปิดออกโดยแก้ว ยอดหล้าถลาไปทรุดลงกลางห้อง แก้วละล้าละลังจะนั่งลง ยอดหล้าก้มหน้าปอยผมตกระหน้า ชี้นิ้วไปยังม่านหน้าต่างที่แสงแดดส่อง
“ปิด!”
แก้วไปปิดม่านห้องมืดลง แก้วเดินไปเปิดไฟ ไฟในห้องสว่างขึ้นตามจุดต่างๆ แก้วเดินมาหายอดหล้า
“เจ้าครับ”
ยอดหล้าเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นรูปหน้าที่ซีดเผือด แก้วจะคุกเข่าลงประคอง แต่ยอดหล้าโบกมือยันร่างขึ้นยืนหน้ากระจกเงาบานยาว พลางมองดูเงาตัวเอง
ทันใดนั้นเองที่ไหล่เปลือยพลันเกิดแผลยาวราว 3 นิ้ว เนื้อปริแตกจนเลือดซึมออก ยอดหล้าร้องวี้ด แก้วตกตะลึง
ต่อจากนั้นก็เกิดแผลที่เนินอกวูบขึ้น เนื้อปริแยก ยอดหล้าก้มดู ยกสองแขนขึ้น ต้นแขนซ้ายพลันเกิดแผลแยกก่อน จากนั้นก็เป็นที่มือใกล้ข้อมือขวา
แก้วมองอย่างสงสาร
ยอดหล้าเงยหน้าขึ้นมองดูตัวเองในกระจก ทันใดที่โหนกแก้มก็เกิดแผลแยกปริขึ้นข้างหนึ่ง
แก้วผวาเข้าไป ยอดหล้าทั้งโกรธทั้งอาย ตวาด
“เจ้า”
“ถอยไป!”
แก้วชะงักมีอาการอึ้ง แต่เข้าใจมากกว่าน้อยใจ นางผัน นางเผื่อนปรากฏร่างขึ้น ร้องระงม
“เจ้านางเจ้า”
“นังแพศยากับชู้มัน วางแผนจุดไฟ เพื่อให้เจ้านางโดนแดดเจ้า” นางเผื่อนบอก
ยอดหล้าตาวาว “ไม่ต้องมาบอกในสิ่งที่ข้ารู้แล้ว”
“ข้าสองคนจะขัดขวางมันแต่เช้าแล้ว อำนาจของข้าลดลงเจ้า” นางผันว่า
ยอดหล้าตวัดผ้าคลุมไหล่ปิดกาย ก้าวไปหน้ากระจก
“ท่านอาจารย์เจ้า”
พริบตานั้นเองเงาร่างของยอดหล้าพร่าเลือน กลายเป็นเถรกระอ่ำยืนอยู่แทนที่ และมองมาอย่างปราณี
“ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วยเจ้า”
“เจ้านางน้อย อย่าได้ร้อนใจไป เจ้าจะไม่เป็นไร”
ยอดหล้ายิ้มออก “เจ้า..ข้าต้องทำเช่นใดเจ้า”
เถรกระอ่ำยิ้ม “จงหาเหยื่อบูชายัญมาให้ข้า”
ยอดหล้าเข้าใจ นางผัน นางเผื่อนยิ้มพยักพเยิดกัน แก้วยืนอึ้ง นิ่งงันไป
แก้วเดินเข้ามาที่เตียงนั่งลงอย่างอ่อนแรง แล้วรู้สึกเจ็บที่แขนจึงยกขึ้นมาดู เห็นรอยแดงขึ้นมาเป็นรอยนิ้วชัดเจน แก้วมองดูรอยนิ้วนั้น แล้วสีหน้ากลายเป็นสงสารเห็นใจ ปากมีรอยยิ้มนิดๆ แก้วนอนหงายลงบนเตียงวางแขนที่มีรอยช้ำแนบกับอกด้านซ้าย
ด้านมาลารินเอาเขี้ยวเสือไฟใส่ในร่างแหดักแล้วเอาห้อยคอไว้สีหน้าทั้งกลัวทั้งแค้น ขยับให้สร้อยนั้นซ่อนลึกในอกเสื้อ แล้วมองดูเงาสะท้อนตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มองเห็นบีบีนอนหลับครอกอยู่บนเตียง
มาลารินทำหน้ารังเกียจ มองดูนาฬิกาบอกเวลา 16.30 นาฬิกา
ไม่นานต่อมา มาลารินแต่งชุดลำลองอยู่บ้านเดินมาบริเวณห้องโถง เห็นห้องนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ก็ไม่แปลกนักเพราะรู้ว่าจากการถ่ายทำจนเช้า ทำให้ทุกคนยังคงพักผ่อนในห้อง มีเสียงลมพัดอื้ออึง ม่านปลิวไสว จู่ๆ คล้ายมีเมฆฝนบังท้องฟ้าในห้องโถงกลับมืดลงทันที
มาลารินเดินมาในสวนแหงนหน้าดูท้องฟ้า แลเห็นเมฆฝนหนาทึบเกลื่อนบัง ทำให้ในสวนยามนั้นมืดราวใกล้ค่ำ ไม่มีผู้คน ไม่ว่าทีมละคร สาวใช้หรือคนงานคุ้ม ลมแรงพัดเกรียวใหญ่จนชุดมาลารินปลิว มาลารินยกมือป้องหน้าเมื่อลดมือลงก็ชะงัก เมื่อเห็นราเชนทร์เดินตัวแข็งทื่อตรงไปข้างหน้า
“เฮ้ ยู เฮ้ เชน จะไปไหนน่ะ”
ราเชนทร์เดินลับแนวต้นไม้ไป มาลารินวิ่งตามไม่ลดละ
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 15 (ต่อ)
สองข้างทางถนนข้างคุ้มยามนี้มืดสลัวด้วยเมฆฝน มาลารินเดินมาตามแนวต้นไม้ใหญ่บ่นบ้ายกใหญ่
“ไอ้บ้าเชนยูจะไปไหน”
มีเสียงม้าร้องดังก้องอยู่ไม่ห่าง ตามด้วยเสียงฝีเท้าม้า และเสียงล้อรถบดถนน มาลารินเบิกตากว้างรู้ทันทีว่าคือเสียงอะไร
มาลารินถลันออกออกไปจากแนวต้นไม้ใหญ่ แต่แล้วต้องผงะ แสงสีส้มเหลืองทาบมาบนกาย ตรงหน้าม้าปิศาจลากรถม้าจอดอยู่ ราเชนทร์ยืนรอ ประตูรถม้าเปิดออก
มาลารินร้องวี้ด “เชน ยู อย่าขึ้นไปนะ”
ราเชนทร์หันมองมาลาริน ดวงตาว่างเปล่า แล้วหันกลับก้าวขึ้นรถม้าไป ประตูปิดฉับลง ม้าปิศาจวกกลับ ลากรถกลับไปสู่ทิศทางคุ้มร้าง
มาลารินก้าวมามองท่าทีลังเล กุมสร้อยคอผวาตาม
ยามเย็น คุ้มร้างตั้งอยู่ในแสงสลัว บนฟ้าเมฆฝนขนาดมหึมาขยับไหวพยับโพยม มีแสงแลบในก้อนเมฆ มาลารินก้าวมามองดูคุ้มร้างตรงหน้า
มาลารินทั้งกลัวทั้งกล้ากุมสร้อยเขี้ยวเสือไฟไว้แน่น โผล่ออกมาจากเสามองไปยังบริเวณเติ๋น
ที่ยอดหล้านั่งอยู่บนตั่งหลับตาเหมือนเข้าสมาธิ และยังคงสวมชุดเจ้านาง แต่เอาผ้าคลุมไหล่ คลุมผม ไหล่และแขนไว้
มาลารินมองอย่างจงชังก้าวไปตรงหน้า ยอดหล้าลืมตาขึ้น มีแววตระหนกนิดหนึ่ง
“นี่...เธอมาทำอะไรที่นี่”
“ประโยคนี้ ฉันน่าจะเป็นคนพูดมากกว่านะคะ เพราะที่นี่...” มาลารินมองไปรอบๆ อย่างขยะแขยง “มันเป็นที่ต้องคำสาป เต็มไปด้วยความชั่วร้าย”
ยอดหล้าโกรธลุกขึ้น
“ความชั่วร้ายไม่ได้อยู่แค่สถานที่หรอก แต่อยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจของเธอ”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์สะอาดอย่างนั้นหรือ”
ยอดหล้านิ่งไปนิดหนึ่งและยิ้มเยาะ “ข้าไม่ยอมถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียวหรอก”
“ยอมรับแล้วหรือว่าเธอไม่ใช่เจ้าแสงหล้า นี่แนะ”
มาลารินกระชากผ้าคลุม ยอดหล้าร้องวี้ดเอามือป้องหน้า เห็นตรงแขนและไหล่ที่มีแผลปริแยก มาลารินตาโต
“ฉันกะอยู่แล้วเชียว แกโดนแสงอาทิตย์ไม่ได้ แกมันไม่ใช่คน”
ยอดหล้าลดมือลง เผยให้เห็นแผลที่โหนกแก้มที่ปริลามมากกว่าเดิม
“ข้าเป็นคน ข้าต้องเป็นคนให้ได้”
“แกมันเป็นนังผีร้าย ผีอีข้าไทของแกอยู่ที่ไหนล่ะ”
เกิดร่างพร่าเลือนขึ้นขนาบข้างมาลาริน ก่อนจกลายเป็นนางผัน นางเผื่อน มาลารินร้องกรี๊ด คว้าเขี้ยวเสือไฟมาชูยื่นไปข้างหน้า
“ฉันไม่กลัวแก...ถอยไปนะ”
นางผัน นางเผื่อนวี้ดว้าย
“ว้าย น่ากลัวจัง”
“เขี้ยวอะไรกันนะ”
ขาดคำ นางเผื่อนก็ยื่นมือยาวมาคว้าสร้อยเขี้ยวเสือไฟไปแตะดู นางผันหยิบเขี้ยวชู
“ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็คือ...”
“เขี้ยวหมา ฮิ ฮิ ฮิ” นางเผื่อนบอกขำสุดขีด
มาลารินตาเบิกกว้าง รู้ในบัดนั้นว่าถูก อาร์ต อาร์ตไดฯ หลอก หล่อนถอยดรูดๆ ไป ยอดหล้าตวัดผ้าคลุมไหล่
“นังหน้าโง่ ของที่เจ้าขโมยมา ถูกขมายไปอีกทอดตั้งแต่แรกแล้ว”
ยอดหล้าก้าวมา นางผัน นางเผื่อนก้าวตามอย่างคุกคาม มาลารินถอยกรูดๆ
“อย่านะ”
มาลารินชนโครมเข้ากับร่างหนา พอหันไปจึงเห็นว่าคือเป็นแก้วที่มีสีหน้าเย็นชา แต่ดวงตาขมขื่น ปนสงสาร
“คุณแก้ว ช่วยลินซี่ด้วยค่ะ”
แก้วคว้าข้อมือมาลารินล็อกตัวไว้ มาลารินรู้ว่าอะไรเป็นอะไรร้องกรี๊ดๆ ดิ้นรนเต็มกำลัง
“ฮือ คุณเป็นพวกมัน แอร๊ยย... ปล่อยนะ”
ยอดหล้ายิ้มสะใจ
บนหอสังเกตการณ์มีแสงเรืองรองลอดออกจากช่องหน้าต่าง เมฆเบื้องบนท้องฟ้าขยับไหว
มาลารินถูกเหวี่ยงมาล้มลงกับพื้นใกล้ตั่ง ก่อนจะเกาะตั่งทรงกายขึ้น และพบว่าบนตั่งราเชนทร์นอนลืมตาโพลงอยู่ มาลารินเบิกตาโพลง ตกใจหนัก เขย่าเรียก
“ไอ้เชน ยูตื่นซี”
ราเชนทร์กระพริบตา มองเห็นมาลารินแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง มาลารินเกาะไว้ มีเสียงโซ่ตรวนดัง ทั้งคู่ก้มดูจึงเห็นว่าราเชนทร์ถูกล่ามมือเท้าด้วยโซ่เหล็กตรึงกับตั่ง
“นี่อะไร ไอมาอยู่นี่ได้ยังไง”
ราเชนทร์มองไปเห็นแก้ว ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนยืนนิ่งอยู่ก็ตกใจ พอมองเลยไปเห็นแท่นและกองเพลิงที่มีไฟลุกเป็นลำสูงราว 1 เมตร มีผางประทิปอื่นๆ ตั้งไว้รอบๆ
“เจ้า คุณแก้ว นี่มันอะไร” ราเชนทร์ถามเสียงขุ่น
ยอดหล้ากรายตัวมายิ้มเยาะ แผลที่ปริดูน่าสยดสยอง
“เจ้าชอบเล่นกับไฟนักไม่ใช่หรือเดี๋ยวเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของไฟบูชายัญ”
มาลารินเกาะราเชนทร์ไว้แน่น มองหาทางหนีทีไล่ หล่อนเห็นมุมมืดหนึ่งมีการเคลื่อนไหว ก่อนจะมีร่างหนึ่งก้าวจากเงามืดออกมาสู่แสงสว่าง มันคือเถรกระอ่ำในชุดขาวสะอ้าน ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาเปี่ยมการุณย์
“นี่ตัวอะไรอีก” ราเชนทร์ฉงน
เถรกระอ่ำไม่รู้สึกอะไรบอกยอดหล้า “เจ้านางน้อย ได้เวลาแล้ว”
ยอดหล้าก้มศีรษะรับ หันไปหาราเชนทร์ มาลารินกระถดตัวถอยกรูดอย่างหวาดผวา
“เวลาอะไร”
นางผัน นางเผื่อน ขยับกายวูบเดียวถึงตัวมาลารินดึงไปข้างฝาจับ 2 ข้อมือตรึงไว้ มาลารินกลัวจนไม่กล้าดิ้นได้แต่มองภาพตรงหน้าอาการลุ้นระทึก ยอดหล้าเข้ามาใกล้ มองดูราเชนทร์
“เจ้าจะทำอะไรผม”
“เจ้าเคยหลงรักข้านัก ใช่ไหม”
ราเชนทร์พยักหน้า
“เจ้าเคยอยากได้หัวใจของข้า ใช่หรือไม่”
ราเชนทร์พยักหน้าอีก
“ตอนนี้...ข้าเองก็อยากได้หัวใจของเจ้า”
ราเชนทร์ตาเหลือกจะร้อง ดวงตายอดหล้าเปล่งประกายเจิดจ้า ราเชนทร์ตาเบิกค้าง เอนนอนลง มาลารินหวีดร้อง ยอดหล้าหันมาหาแก้ว แก้วมีท่าทีขมขื่นอดสูขณะส่งมีดให้ ยอดหล้าสบตาแก้วมีแววไม่พอใจ รับมีดมา แล้วหันไปหาเถรกระอ่ำ
“ท่านอาจารย์”
เถรกระอ่ำรับมีดมา ก้าวเดินช้าๆ ไปยังตั่ง ราเชนทร์เบิกตากว้างมองดูอย่างหวาดผวา มีดในมือเถรกระอ่ำสะท้อนแสงวูบวาบ มาลารินตาเหลือกมองดู
เถรกระอ่ำยิ้มเปี่ยมการุณย์ ชูมีดขึ้นแล้วจ้วงลงเต็มแรง เลือดกระเซ็นมาเปื้อนหน้าอกมาลาริน นางร้ายในชีวิตจริงตกใจสุดขีด
แก้วเบือนหน้าหนี ยอดหล้ามองอย่างสมใจ เถรกระอ่ำพลันยื่นมือไปในอกราเชนทร์ดึงหัวใจขึ้นชู
มาลารินตาเหลือก เข่าอ่อน สิ้นสติ นางผัน นางเผื่อน ปล่อยให้ร่วงไปกองที่พื้น
เถรกระอ่ำวางหัวใจราเชนทร์ลงในกระถางไฟ เปลวเพลิงลุกเป็นลำสูง ยอดหล้าก้าวสู่เปลวไฟไฟนั้นเรืองรองสว่างวูบวับ พัสตราภรณ์ที่สวมใส่ไหม้วูบไป เห็นเนินอกสล้างขึ้นมา
น่าอัศจรรย์นัก แผลปริแยกสมานคืนทีละแผล ยอดหล้าลูบไล้เนื้อตัวราวอาบน้ำ แผลที่โหนกแก้มหายไปเป็นจุดสุดท้าย
ยอดหล้ายิ้มสมใจ ใบหน้ากระทั่งรูปโฉมโนมพรรณ ดูงดงามเปล่งปลั่งยิ่งกว่าเดิม
อ่านต่อตอนที่ 16