xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 14

ปีกอีกด้านหนึ่งของคุ้มหลวงที่ปิดไว้ ถูกเปิดออกทำความสะอาดขนานใหญ่ เรือนส่วนนี้มีขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตกแต่งแบบล้านนาประยุกต์ ดูหรูหราและร่วมสมัยไปพร้อมๆ กัน เฟื่องฟ้าและระรินกำลังดูดฝุ่น และขัดเช็ดเฟอร์นิเจอร์ชนิดไม่ให้มีรอยราคี แล้วหยุดพักปาดเหงื่อ

ระรินร้อง “โอ๊ย เหนื่อย”
“แค่พวกละครก็วุ่นจะตายแล้ว นี่ไม่รู้พวกพระญาติที่ไหนจะมาอีก” เฟื่องฟ้าบ่น
“อ้าว ไหนตอนแรกปลื้มนักปลื้มหนาไงยะ ได้ใกล้ชิดดารารา” ระรินแขวะ
“ก็ตอนนั้นงานมันยังไม่หนักนี่ยะ นี่ทางโรงครัวก็ขู่จะยกยวงออกนะเธอถ้าอีนังมาดามนั่นมาจู้จี้จะกินนั่นกินนี่อีก”
สายใจกับตาทองโผล่มาพอดี เฟื่องฟ้ากะระรินสะดุ้ง
สายใจเอ็ด “นังสองคน ทำงานด้วยมือซีจ้ะ อย่ามัวทำด้วยปาก เดี๋ยวคุณแก้วได้ยินเข้าละก็”
เฟื่องฟ้าบ่นไม่เลิก “ก็มันเหนื่อยจริงๆ นี่ป้า”
สายใจตัดบท “เอาเถอะๆ แล้วจะหาคนมาเพิ่ม”
“คงมีหรอกป้า ให้เงินดีแค่ไหน แต่พอรู้ว่าต้องมาทำงานที่คุ้มนี่ก็กลัวหัวหด โบกมือลากันหมด”
ฟังเฟื่องฟ้าว่า ตาทองส่ายหน้า
เฟื่องฟ้านึกได้ “เออ...ป้าไหนทีแรกบอกคุณแก้วเป็นทายาทคนเดียวไง แล้วนี่มีเจ้าอะไรโผล่มาอีก”
สายใจบอก “ฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน พี่ทอง พี่เคยได้ยินมาก่อนบ้างไหม”
“ข้าก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน คุณแก้วบอกว่าเป็นเจ้าทางไทยใหญ่นู่น ลี้ภัยการเมืองไปอยู่เมืองฝรั่งเศส...เพิ่งจะติดต่อคุณแก้วมา”
“ชื่ออะไรหรือตา”
“คุณแก้วบอกว่า ชื่ออะไรหล้าๆ นี่ละ”
ที่ประตูแก้วแวะมาดูความเรียบร้อย เขาชะงักฝีเท้านิ่งฟัง ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาขมขื่น

ตกกลางคืน บนถนนสายเปลี่ยวซึ่งสองข้างทางเป็นต้นไม้และหญ้ารก มีรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน แล่นมาไม่เร็วนัก คันหนึ่งมีคนซ้อน อีกคันขับมาคนเดียว ทั้งสามเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน
อาการ ทั้ง 3 คนบ่งบอกชัดว่าไปฉลองกันมา ใบหน้าแดง เสียงเริ่มอ้อแอ้ รถก็ส่ายเป็นงูเลื้อย แถมยังหิ้วเหล้าโซดา น้ำแข็งมาด้วย เพื่อจะไปฉลองต่อที่บ้าน
“คืนนี้เอาให้เต็มที่โว้ย พรุ่งนี้กูต้องไปอยู่วัดแล้ว” ชาย1 ว่า
ชาย 2 หมั่นไส้เพื่อน “อย่างมึงนี่นะจะบวช ถุย”
ชาย 1 ย้ำ “กูบวชเพื่อแม่โว้ย”
ชาย 3 คนซ้อนบอก “อย่าไปเชื่อมัน แม่มันไปดูหมอ หมอบอกว่ามันเบญจเพส ดวงแตกเชี่ย
อะไรก็ไม่รู้ มาขอให้มันบวช มันก็ไม่ยอม แม่นั้นเลยต้องจ้างมันบวชตั้งสามหมื่น”
ชาย 2 ด่า “โถ ไอ้ลูกกตัญญู กูกับไอ้ชัยก็อายุเท่ามึง ทำไมแม่กูไม่จ้างบวงบ้างวะ
“แม่มึงรู้น่ะซี ว่าถ้ามึงบวชก็คงไปแดกเหล้าในวัด” ชาย 1 ย้อน
“โถ ไอ้หน้าหม้อ พอมึงบวชต้องมีข่าวกะสีกาแน่ๆ” ชาย 2 ว่า
ชาย1 คุย “กูยิ่งสกินเฮด...ก็ยิ่งหล่อโว้ย”
3 ชายเฮฮาแล้วมองไปเห็นปลายถนนกลับมีหมอกลงปิดทางไว้ จึงชะงักเบรกรถเอาเท้ายันพื้น
“ไรวะ”
ชาย 2 มองไป พบว่ามีจุดแสงสีแดงวาบๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าม้า เสียงล้อรถและเสียงร้องฟังแปลกประหลาด
3 ชายตะลึงมอง จากกลุ่มควันม้าวายุแผงคอลุกเป็นไฟลากรถม้าออกมา
ชาย1 ร้องลั่น “เฮ้ย”
ม้าวายุเข้ามาใกล้แผงคอเพลิงกลายเป็นม้าปรกติ 3ชายคิดว่าตาฝาด รถม้าจอดลงประตูรถม้าเปิดออก ชายทั้งสามมองไปแล้วอ้าปากค้าง
ในประทุนรถ นางผัน นางเผื่อนนอนระทวย ซิ่นแหวกไปถึงขาอ่อน นอนขาก่ายกันราวนู้ดเลสเบี้ยน
3 ชายมองหน้ากัน มีอาการหื่นไม่ได้สนใจว่าทุกอย่างดูผิดประหลาด
นางผัน นางเผื่อน ใส่จริตคล้ายเพิ่งรู้ตัว ขยับลุกขึ้น เห็นว่า นางผัน นางเผื่อนมีเพียงผ้าผันอกผืนจิ๋ว แต่หลุดลุ่ย แค่เอามือกดไว้
“อุ๊ย”
นางเผื่อนขยับลุก ผินหลังให้ เอาสองมือปิดทรวงเห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า เอี้ยวหน้ามา แสร้งร้อง
“ว้าย”
3 ชายตาแทบถลนออกจากเบ้า ลืมเลือนทุกอย่าง
นางผัน นางเผื่อนประสานเสียงอ้อล้อ “อ้ายมอเตอร์ไซค์ ไปไหนมาเจ้า”
อ้ายมอเตอร์ไซค์ทั้งสามก้าวจากรถ ทิ้งรถให้ล้มตะแคงลงไม่ใส่ใจ อีกคนก็ทิ้งขวดเหล้า โซดา ลงกับพื้น เดินเข้าไปในประทุนรถราวถูกสะกด นางผัน นางเผื่อนเยื้อนยิ้มทำอาการกระถดถอยไปกอดกัน 3 ชาย ตาลุกวาวเข้าไปไขว่คว้า
ประตูประทุนรถบิดปัง ม้าวายุตาเรืองแสง ขนแผงคอพลันลุกเป็นเปลว ชู 2 ขาหน้าพยศแล้วหมุนตัว ลากรถหายไปในหมอกควัน

มันเป็นเวลาดึกพอควร ที่ห้องสันทนการเหลือไม่มีคนแล้ว ตรีภพ พิมพ์ดาว ตฤณ พิมพ์เดือนมาเคลียร์เรื่องเมื่อคืนก่อนอยู่ที่โซฟา ตรีภพ พิมพ์ดาว นั่งอยู่ พิมพ์เดือนกับตฤณเชิดใส่กัน
“อาการของคุณก็คือ กินยามอมแนวดอมิคุ่มเข้าไป” ตฤณ เปิดประเด็น
พิมพ์เดือนโต้ “แล้วใครจะมียาล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกหมอ”
“นี่คุณ เดี๋ยวนี้เขาซื้อทางเน็ตกันทั้งนั้น” ตฤณท้วง
“แล้วเมื่อคืน เธอกินอะไรเข้าไปบ้าง” พิมดาวถาม
พิมพ์เดือนกัดริมฝีปาก ครุ่นคิด
“เมื่อวานหนูกลับจาก มช. ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง หิวซ่กเลย กลับมาก็มากินข้าวที่นี่แหละค่ะ”
ตรีภพซัก “แล้วตอนนั้นมีใครอยู่กับน้องเดือนบ้าง”
“ไม่มีใครเลยค่ะ มีแต่คุณเชนตีสนุ้กเล่นอยู่คนเดียว”
ตรีภพมองหน้าตฤณ พิมพ์ดาวกับพิมพ์เดือนยังไม่เชื่อ
“แต่ตอนกินข้าว คุณเชนก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับหนูนะคะ”
“แล้วนายราเชนทร์เอาอะไรให้คุณกินหรือเปล่า”
พิมพ์เดือนนึกอีก “เปล่าค่ะ แต่ตอนที่มาถึงมีพั้นซ์วางอยู่ 2 แก้ว หนูก็หยิบกินเอง”
“งั้นก็ชัดแล้ว” ตฤณบอก
พิมพ์ดาวท้วง “พั้นซ์นั้น ฉันกับแพทก็กิน..ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“ยาอาจจะถูกเติมทีหลังก็ได้นี่ครับ” ตรีภพว่า
พิมพ์เดือนส่ายหน้ายังไม่เชื่อ
“แล้วน้องเดือนไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนไหน” ตรีภพถาม
“พอหนูกินข้าวเสร็จก็มานั่งดูทีวีตรงนั้น คุณเชนก็ยังตีสนุ้กอยู่แล้ว แล้วหนูก็เบลอ ไปรู้ตัวอีกทีก็...”
“ตอนไปขึ้นเตียงลวนลามผม”
พิมพ์เดือนถลึงตา ตฤณเชิดใส่
“ผมว่าต้องเป็นนายเชนแน่” ตรีภพว่า
“ถ้าเป็นคุณเชนจริงแล้ว คุณเชนหายไปไหนละคะ” พิมพ์เดือนฉงน
ทุกคนก็งงเหมือนกัน ตรีภพสันนิษฐาน
“เป้าหมายจริงๆ อาจไม่ใช่คุณเดือนก็ได้ แค่คุณเดือนมารับเคราะห์”
ตรีภพไม่พูดว่าเป้าหมายคือพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตฤณยิ้มสะใจ
“หรือไม่ก็พอคุณไม่รู้ตัวเข้าจริงๆ คนวางยาก็หมดมู้ด ปล้ำไม่ลง”
พิมพ์เดือนแทบเต้น “ไม่จริง ฉันออกจะน่าปล...เอ้ย ออกจะดูดี”
ทุกคนทำตาปริบๆ

ครู่ต่อมาตรีภพและพิมพ์ดาวเดินมาด้วยกัน พิมพ์ดาวอ่อนโยนผูกผันกว่าที่เคยเป็นมา ภาพหลวงเทพภักดีและดารารายเดินป่าด้วยกันผุดขึ้นมาแว้บๆ
“คุณยังไม่เล่าให้ฟังเลย ว่าคืนที่คุณโดนเล่นงาน...เป็นยังไงบ้าง”
พิมพ์ดาวตื่นจากภวังค์ เห็นตรีภพมองมาอย่างห่วงใย ก็ยิ้มนิดๆ
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่ฝันเห็นเรื่องราวในอดีต เห็นหลวงเทพ”
ตรีภพมองจ้องนรอฟัง
“เห็นเจ้ายอดหล้า เห็นดาราราย แต่มีเรื่องราวที่ต่างไปจากบทละคร” ดารารายว่า
“ต่างยังไงครับ”
“เรื่องมันยาวค่ะ เอาไว้วันหลังฉันค่อยเล่าดีกว่า”
“โอเค. แล้วสองสามวันมานี่ คุณยังฝันอะไรแปลก อีกไหม”
“ตั้งแต่วันนั้น ก็ไม่มีอะไรอีกเลยค่ะ”
“ส่วนผมก็ไม่มีเรื่องฝัน...เรื่องละเมอเดินมาหลายวันแล้ว”
พิมพ์ดาวแกะสร้อยเขี้ยวเสือไฟที่คอ โดยไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอม
“อาจเป็นเพราะ ฉันได้สร้อยเขี้ยวเสือไฟคืนมาก็ได้ค่ะ”
“แล้วผมล่ะ...ผมน่ะไม่มีของขลังอะไรติดตัวซักอย่าง”
พิมพ์ดาวค้อนนิดๆ
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เจ้านางยอดหล้าไม่มีวันทำร้ายคุณหรอก”
“แต่ก็แปลกนะ จู่ๆ ทุกอย่างก็สงบ เหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรมาก่อน”

“เจ้านางยอดหล้า อาจมีงานอื่นที่ต้องทำ ละมังคะ”

สิ่งที่พิมพ์พูดเล่นๆ เป็นเชิงสัพยอกตรีภพนั้น หล่อนไม่รู้ว่ามันกลายเป็นความจริง!

กลางดึกคืนนั้นเอง โดยไม่เค้าลางใดๆ เมฆฝนเคลื่อนตัวมาเหนือคุ้มราง มีฟ้าแลบแปลบปลาบในก้อนเมฆ

ที่หอสังเกตการณ์ดูผิดแปลกกว่าทุกวัน ตรงกลางห้องมีแท่นหินกลมแบนซ้อนกันลดหลั่นเป็น 3 ชั้นคล้ายขั้นบันได บนชั้นสูงสุดคล้ายเป็นบ่อเพลิงลึกลงไป ละม้ายคล้ายกับถ้ำสุสานผีขาเดียว ในสี่ทิศมีกระถางไฟจุดสว่าง ที่บ่อเพลิงมีไฟลุกวอมแวม รอบด้านมีม่านขาวขึงไว้
เถรกระอ่ำยืนอยู่ร่ายเวทมนต์อยู่หน้าบ่อเพลิง ยอดหล้ายืนอยู่ใกล้ๆ ห่างออกมาบนแท่นมีร่าง ชาย 3 คน นอนเรียงราย นางผัน นางเผื่อน ยืนคุมเชิงอยู่ แก้วอยู่ห่างออกมา ร่างของเถรกระอ่ำ ยอดหล้า ผัน เผื่อนนั้นดูขาวซีดโพลงต่างจากแก้วชัดเจน
ฟ้าแลบสว่าง เสียงฟ้าร้องคำราม ผสานกับเสียงอ่านมนต์ ฟังดูน่าสะพรึงกลัว ชายทั้งสามขยับตัว พูดร้องไม่ได้ แต่รู้สึกตัวตาเหลือกลาน เถรกระอ่ำลืมตาขึ้น
“ได้เวลาแล้ว”
เถรกระอ่ำตวัดมีดคมปลาบขึ้นก้าวมายังเหยื่อทั้งสาม ที่ตาเหลือกลานดิ้นรนสุดชีวิต
แก้วมองอย่างหวาดหวั่น ลึกๆ เสียใจ นางผัน นางเผื่อนมองอย่างกระหายเลือด ยอดหล้ายืนหลับตานิ่ง เถรกระอ่ำยิ้มชูมีดขึ้นแล้วจ้วงลง ภาพเงาที่ข้างฝาเห็นเถรกระอ่ำล้วงมือในทรวงอกกระชากหัวใจขึ้นมาชู

ภายนอกคุ้มร้างบังเกิดพายุป่วนปั่น รุนแรงมากขึ้นๆ ลมกรรโชกเข้าใส่หอสังเกตการณ์ ฟ้าแลบสว่าง
ที่หอสังเกตการณ์ เถรกระอ่ำหันกลับ 2 มือกอบหัวใจ 3 ดวงไว้ก้าวมายังบ่อเพลิง ผ่านยอดหล้าที่ยังหลับตานิ่ง ฟ้าแลบเข้ามาอีกระลอก แก้ว นางผัน นางเผื่อนมองดู
เถรกระอ่ำโยนหัวใจ 3 ดวงลงในบ่อเพลิง ทันใดนั้นเองไฟในบ่อเพลิงพลันลุกเป็นลำสูงไปราว 2 เมตร เถรกระอ่ำมองตามยิ้มแย้ม แก้ว นางผัน นางเผื่อนตกตะลึง
“ยอดหล้า จงก้าวสู่เปลวไฟ”
ยอดหล้าลืมตาขึ้นเดินช้าๆ ก้าวไป ทุกคนมองตาม ยอดหล้าก้าวลงในบ่อเพลิง ไฟลุกอยู่รอบตัว
ทุกคนพิศวงกับภาพตรงหน้า ทันใดเกิดพายุกรรโชกมา ม่านโดยรอบกระพือขึ้น

ลมพายุกรรโชกใส่หอสังเกตการณ์ หลังคาทะลาย ปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลมกล้า
หลังคาหอสังเกตการณ์ถูกดูดหายวับไป เบื้องบนกลายเป็นเมฆและฟ้าแลบพยับโพยม เถรกระอ่ำยืนนิ่ง พัสตราภรณ์ปลิวไสว
นางผัน นางเผื่อน ยกมือป้องหน้ายืนชิดฝาผนัง แก้วเกาะเสาเอาไว้ตัวแทบปลิวตามลม
ทันใดนั้นเอง เปลวไฟในบ่อเพลิงพลันรุ่งโรจน์โชตนา เจิดจ้าสว่างขึ้นทั้งเฟรม

มองจากจากระยะไกล แลเห็นคุ้มร้างทั้งคุ้ม มีลำเปลวไฟพุ่งจากยอดหอสังเกตการณ์สูงขึ้นถึงเมฆพายุเบื้องบน
ยอดหล้าอยู่กลางลำไฟ ยกสองมือขึ้นระดับอก พลิกดู เกิดความรู้สึกประหลาดทั่วร่างมวยผมยอดหล้าคลายหลุดออกผมยาวปลิวไปตามแรงเพลิง ยอดหล้าแหงนหน้าเอาสองมือลูบไล้ผิวหน้า ตามแขน ตัว คล้ายอาบเปลวไฟ เถรกระอ่ำยิ้มอย่างภาคภูมิ
นางผัน นางเผื่อนชี้ให้ดู พยักพเยิดอย่างตื่นเต้น แก้วทั้งอัศจรรย์ ทั้งหลงใหล ทั้งเกิดอาการใฝ่ฝันบางอย่าง ลำไฟพลันลดตัวลง

ลำไฟสูงลิบนั้นหดตัววูบกลับลงสู่ยอดหอสังเกตการณ์ พลันลดระดับลงแล้วดับวูบไป เหลือเพียงร่างงามของยอดหล้ายืนเปลือยเปล่ามีเส้นผมยาว คลุมปิดทรวงลงมาถึงเท้า
แก้วกราดไปถึงตัวคลี่ผ้าขาวขลิบทองออกคลุมตัว ยอดหล้าตวัดกระชับกาย หน้าตาสดใส เกาะแขนแก้วเดินลงจากบ่อเพลิง แก้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิดีใจไปด้วย ยอดหล้ามิได้เผือดซีดเรืองรอง แต่กลับดูมีเลือดเนื้อ เปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวา
เถรกระอ่ำก้าวไปนั่งบนแท่น มองดูผลงานตัวเองอย่างภูมิใจ ยอดหล้าพยักหน้าให้แก้ว แล้วปล่อยมือขยับออก ยอดหล้ายิ้มสมใจ

เวลาเดียวกัน ท้องฟ้าเบื้องบนเหนือโรงพยาบาลเอกชน มีเมฆฝน ฟ้าแลบแปลบปลาบ
มหาจรวยลืมตาขึ้น บนเตียงคนไข้ ยังมีรอยฟกช้ำบนใบหน้า มหาจรวยขยับลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เมื่อทรงตัวได้ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเมฆมากมาย ฟ้าแลบสว่าง
มหาจรวยเข้ากสิณ ดวงจิตเห็นใบหน้าเถรกระอ่ำ ยิ้มย่องภาคภูมิ มหาจรวยหลับตาอยู่ กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุก คราวนี้เห็นใบหน้าเจ้านางยอดหล้า ยิ้มสาสมใจ
มหาจรวยผงะ ดวงตาเบิกกว้างตกใจสุดขีด

เย็นวันศุกร์การถ่ายทำวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ ตรงมุมสันทนาการจึงคึกคักราวมีปาร์ตี้ย่อยเพราะเป็นการพักผ่อนด้วย และเป็นการเลี้ยงส่งนักแสดงที่หมดตัวด้วย บรรดาทีมงาน นักแสดงขนัดแน่นไปทั้งห้อง กิน ดื่ม เล่น ร้องเพลง ตามอัธยาศัย
ที่มุมหนึ่ง ฐาปกรณ์ มาดามสุ บีบี อยู่ด้วยกัน มาดามสุค้อนควักไปทางหน้าต่าง ที่ฝนตกหนัก
“ตกได้ตกดี ตกอยู่ได้ทุกวัน พอฉันหยุด ฝนก็ดันหยุดด้วย
“ดีแล้วน่า นี่อาทิตย์นี้ได้งานเต็มสูบ อาทิตย์หน้าก็ไม่มีอะไรวุ่นวายแล้ว”
บีบีตาถลน
“ว้าย จริงหรือคะ งั้นอัดคิวลินซี่ลงวันเดียวให้จบๆ เลยได้ไหมคะ จะได้กลับกรุงเทพฯ ไปทำมาหากินบ้าง”
มาดามสุถลึงตาใส่ผัว แล้วหันมาฉีกยิ้ม
“ไม่ได้หรอกค่ะ มันหลายเซทติ้ง หลายโลเคชั่น ยังไงก็ต้องกระจายๆ คิวไป”
บีบีเชิดใส่

อีกมุมหนึ่ง ตฤณตีสนุ้กอยู่กับตรีภพ หมอหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ฉันอยู่ดูแกมาวีคนึงแล้ว ไม่เห็นมีอะไร เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว ฉันกลับดีกว่า”
“จะรีบกลับไปไหนวะ ไหนแกบอกมาคราวนี้ ไม่ได้ควงดาราก็ยังไม่กลับไง”
“ดูๆ แล้วไม่มีหวังโว้ย เอิ๊บ”
จู่ๆ มีมือมาทาบบนมือตฤณ ตฤณชะงักกึก ตรีภพมองมาเกือบไม้คิวหลุดมือ บีบีประกบด้านหลังตฤณ ทำท่าเป็นปรมาจารย์สนุ้ก
“คุณหมอขา ไม่ใช่ค่ะ ต้องจับไม้อย่างนี้นะคะ”
ตฤณจะร้องไห้ กะเทยถึกผิวหมึกจับก้นตฤณหมับ
“ก้นต้องโก่งอีกนิดค่ะ อย่ากลัวค่ะ ก้นของเราเอง”

อีกมุมหนึ่ง สองสาวพี่น้องนั่งอยู่ด้วยกัน พิมพ์ดาวพลิกอ่านปึกเอกสารซีร็อกซ์
“อาจารย์เขายืนยันค่ะ ว่าเรื่องการแต่งงานเพื่อเจริญสัมธไมตรีกับสยามเป็นเรื่องจริง”
พิมพ์ดาวพยักหน้า เหลือบมองตรีภพแวบหนึ่ง
“เจ้าหลวงแสงอินทร์ส่งราชธิดาองค์หนึ่งไปกรุงเทพฯจริง”
“แต่ไม่มีบันทึกเรื่องชื่อของเจ้านางองค์นี้ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้วเรื่องเจ้ายอดหล้าล่ะ”
“ไม่มีการระบุชื่อค่ะ แต่มีบางบันทึกบอกว่าราชธิดาองค์โตของเจ้าหลวงแสงอินทร์ ได้ทำผิดประเพณีถึงขั้นกบฏต่อบ้านเมืองประวัติศาสตร์ส่วนนี้จึงถูกลบไป”
พิมพ์ดาวฉงน “กบฏเชียวหรือ ไม่น่าเชื่อ แค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นเอง”
พิมพ์เดือนท้วง “ในบทละคร...ไม่มีเรื่องพวกนี้เลยนะคะ”
พิมพ์ดาวถอนใจ
“ยังมีเหตุการณ์มากมายที่ไม่อยู่ในบทละคร...เหตุการณ์ที่พลิกเรื่องราวไปทางนึงเลย”
พิมพ์เดือนไม่เข้าใจ เพราะพิมพ์ดาวไม่กล้าเล่าฝันประหลาดนั้นให้ใครฟัง

อีกมุมหนึ่ง แพทนั่งดูหนังสือแฟชั่นอยู่กับมาลาริน ราเชนทร์ถือถาดเล็กวางแก้วมา3 ใบนั่งลง แล้วแจกจ่าย
“ลองดูซีครับ”
แพทยกมาจิบหัวเราะคิกคัก พลางพูดแซวเล่นๆ ขำๆ “ใส่ยาหรือเปล่าคะ”
“โธ่ อย่าเชื่อข่าวลือซีครับ ดูหน้าผมซี หน้าผม...”
แพทพูดต่อให้ “ขี้โกงจะตาย อุ้ย ขอตัวนะคะ”
ที่ก๊วนคาราโอเกะ มีมี่ มูมู่ ลูกกบ เก้ง โบกมือเรียกแพทว่าถึงเพลงที่บุ๊คไว้แล้ว แพทลุกถลาไป
มาลารินยักไหล่ มองราเชนทร์อย่างฉุนเฉียว
“ขนาดแค่ยายแพท...ก็ไม่สำเร็จเหรอ”
“ฝีมือตกอ่ะ ตัวอิจฉา ตัวประกอบ หลุดมือไปหมด...” มาลารินเชิดใส่ ราเชนทร์ฝอยต่อ “ได้แต่นางเอกแอ๊บแบ๊วแค่นั้นเอง”
มาลารินเบิกตากว้าง มองราเชนทร์ตาเขียว
“ยูหุบปาก เดี๋ยวนี้นะ เชอะ ดีแต่พูด จัสท์ทอล์กิ้ง ไม่เห็นทำได้จริง เจิร์ก”
“แล้วยูล่ะ ขึ้นมาจะครบเดือนแล้ว..ไม่เห็นจัดการไอ้ตรีได้ซะที”
“พนันกันไหมล่ะ ว่าใครจะจัดการได้ก่อน”
“โอเค”
มาลารินมองไปเห็นแก้วก้าวมาก็ชะงัก แล้วทำตาแป๋วลุกขึ้น เดินไปหา
“คุณแก้ว”
มาลารินคล้องแขนแก้ว แก้วยิ้มขรึมๆ
“หมู่นี้ ไม่ค่อยเห็นคุณแก้วเลยนะคะ”
“ผมเพิ่งเจอคุณมาไม่กี่วันนี้เอง แต่คุณ...ไม่เห็นผม”
มาลารินงงแต่ก็ยิ้ม แก้วก้าวมากลางห้อง ตรีภพกับตฤณขยับมา บีบียังคงนัวเนียตฤณ
“พี่แก้ว ไอ้ตฤณมันว่าจะกลับแล้ว”
แก้วมองดูตรีภพ มีแววชังขึ้นมาวูบหนึ่ง ตฤณกระซิบ
“ไม่กลับ มีหวังเสร็จว่ะ”
บีบีฉีกยิ้ม “อย่าเพิ่งเลย อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”
แก้วหยิบแก้วขึ้นมาเอาช้อนเคาะ ดังกังวาน ทุกคนหันมาดู
“ทุกคนครับฟังทางนี้หน่อย ผมมีเรื่องจะประกาศ”
ทุกคนมองแก้วเป็นตาเดียว
“พรุ่งนี้ญาติของผมคนหนึ่งจะเดินทางมาเป็นแขกที่คุ้มเวียงแก้ว ผมจะจัดงานปาร์ตี้ต้อนรับ...ขอเชิญทุกคนด้วยครับ”
คนอื่นๆ ฮือฮาพอเป็นพิธี มาลารินปรบมือออกนอกหน้า
“เวลคัม พาร์ที่หรือคะ น่าสนุกจัง”
ตฤณฉงน “ญาติคนไหนของพี่แก้วอีก เป็นเจ้าตั้งใหม่เหมือนพี่หรือเปล่า”
“เป็นเจ้านางสูงศักดิ์ สูงส่งกว่าฉันมากนัก” แก้วว่า
ตรีภพสนใจ “เจ้านางหรือ”
“ใช่เป็นเจ้านาง เจ้านางแสงหล้า” แก้วบอก
ตรีภพพึมพำ “เจ้านางแสงหล้า”
แก้วพยักหน้ามีแววภาคภูมิ ตรีภพรู้สึกหวั่นไหวบางอย่าง พิมพ์ดาวมองหน้าพิมพ์เดือน ทวนชื่อนั้นเบาๆ ในใจเกิดสังหรณ์วูบขึ้น

“เจ้านางแสงหล้า”

อ่านต่อหน้า 2

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 14 (ต่อ)

ตกตอนเย็น ตาทอง สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน คนงานชายทั้ง 2 รวมกับพวกสาวใช้อื่นๆ ของคุ้มมาตั้งแถวรับที่ด้านหน้าคุ้มหลวง ส่วนบรรดาทีมละครทั้งนักแสดงและทีมงานมาชะเง้อดูกัน ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวลับลงหลังคุ้ม ทั้งบริเวณพลันมืดมิดลงทันที จนต้องเปิดไฟ

“มาแล้ว” สายใจร้องขึ้น
รถสปอร์ตของแก้วแล่นมาจากประตูรั้ว เข้าใกล้ตัวคุ้ม แล่นมายังบรรดาคนใช้ที่ตั้งแถวรอรับสลอน ทั้งคนใช้ ทั้งทีมละครชะเง้อดู รถสปอร์ตคันนั้นติดฟิล์มมืดจนมองไม่เห็น
จู่ๆ รถสปอร์ตก็เร่งความเร็ว ขับเลยไปยังอีกปีกหนึ่งของคุ้ม แล้วเลี้ยวหายไปหลังแนวกระถางต้นไม้ที่แน่นทึบ
บรรดาคนใช้งุนงง ทีมงานพยักพเยิดวิจารณ์กันแซด

คุ้มใหญ่ตอนกลางคืนเปิดไฟสว่างไสว ต้นไม้รอบๆ มีการประดับไฟมากกว่าปรกติ ที่ถนนหน้าคุ้ม รถยุโรปสีขาวคันมหึมาแล่นมาจอดลง ตาทองคอยยืนต้อนรับ เข้าไปเปิดประตูตอนหลัง พ่อเลี้ยงธาดาในสูทขาวลงมา ท่าทางใจดีและเปี่ยมบุญ ธาดามองดูตัวคุ้ม แล้วมองเลยไปยังแนวต้นไม้รกทึบ ที่ตั้งของคุ้มร้าง ดวงตาขุ่น
ราเชนทร์ก้าวมารับอีกคน ทักทายกันอย่างแสนดี พากันเข้าในตัวคุ้ม

อีกด้านหนึ่งของคุ้มหลวง ภายนอกเป็นอาคารไทยล้านนา แต่ด้านในตกแต่งสไตล์ยุโรปประยุกต์ เป็นโถงกว้างหน้าบันไดสูงใหญ่ เบื้องบนแขวนโคมระย้ามหึมา ส่วนด้านล่างประดับประดาของตกแต่งมีค่าทั้งสไตล์ยุโรปคลาสสิกและอลังการแบบล้านนา
งานเลี้ยงต้อนรับจัดขึ้นบริเวณโถงหน้าบันได เป็นค็อกเทลปาร์ตี้เพื่อให้มีการสังสรรค์กันทั่วถึง บรรดาแขกในงานแต่งกายสากลเป็นสูทและเดรสยาวแต่ไม่หรูหรานัก พวกพนักงานแต่งชุดพื้นเมือง
แก้ว ตรีภพ ตฤณ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน และแพท รวมกันอยู่กลุ่มหนึ่ง อีกด้านหนึ่งคือ มาดามสุ ฐาปกรณ์ บีบี และมาลาริน กำลังเชลียร์ธาดา มีราเชนทร์ดูอยู่ห่างๆ
ส่วนบรรดาดาราอาวุโสก็สังสรรค์กันอยู่ ทีมงานได้แก่ลูกกบ เก้ง รัก มีมี่ มูมู่ และเบิ้มก็มาร่วมเม้าท์มอย และกินไม่หยุดปาก
ทางหนึ่งมีเปียโนบรรเลงอยู่ รวมทั้งมีนักร้องสาวร้องเพลงแนวอิซี่ลิสเซ่นนิ่ง กล่อมคนในงาน บรรยากาศ รื่นเริง
แก้วพูดน้อยคอยมองไปดูทางบันได ตรีภพมองดูพิมพ์ดาวพูดเบาๆ
“คืนนี้ คุณสวยจัง”
“ฉันก็สวยอยู่ทุกวันแหละ ทำไมเพิ่งมาชม”
พิมพ์ดาวตอบหน้าตาเฉย ตรีภพทำท่าเซ็ง แต่ตาพราวมีความสุขได้ต่อปากต่อคำกับหล่อน
“ก็ปากอย่างงี้แหละ ถึงได้ไม่มีคนชม”
ตฤณมองพิมพ์เดือน พิมพ์เดือนตาเขียว ขยับผ้าคลุมไหล่มาปิด
“มองอะไร”
“มองชุดคุณ” พิมพ์เดือนตาขวาง “คุณไปเอาชุดใครมาใส่”
“ชุดพี่พิมพ์ ทำไม”
“มิน่า” ตฤณว่า พิมพ์เดือนรอฟัง “ปลิ้นเชียว”
พิมพ์เดือนกระทืบเท้า แต่มีคนมองมาเลยต้องทำหวานแสนดีใหม่
ตรีภพมองดูแก้ว
“ทำไมญาติพี่ไม่ลงมาซักที ผมอยากแว่บแล้วนะ”
แก้วขึ้นเสียง “ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงแกก็ต้องอยู่”

มาดามสุขยับอกเสื้อแล้วค้อนควักไปทางบันไดให้ต่างหูแชนเดอเลียร์แกว่งไกว วูบวับ
“หมั่นไส้ ยังไม่เปิดตัวซักที”
บีบีมองแล้วกรีดนิ้วมือให้เห็นกำไลฝังเพชรกับแหวนทั้ง 4 นิ้ว ขึ้นมาระดับหน้ามาดามสุ
“นั่นสิคะ รอจนแห้งแล้ว”
ฐาปกรณ์มองดูว่าอะไรแห้ง อย่างหมั่นไส้ บีบีเชิดไม่แคร์ มาลารินขยับตัวเข้าใกล้ธาดา
“พ่อเลี้ยงเบื่อหรือยังคะ”
“อยู่ใกล้ๆ คุณมาลาริน ใครเบื่อก็บ้าแล้วครับ”
มาลารินทำปากห่อ ตาแป๋ว เอามือทาบอก หัวเราะระริก ราเชนทร์ส่ายหัว
“อีนี่ คันอีกแล้ว”
ทันใดเปียโนก็เปลี่ยนเป็นเพลงดวงใจ ไฟในห้องโถงหรี่ลงแต่โคมระย้าเหนือบันไดพลันสว่างขึ้นอีก
แก้วตอนนี้ยืนอยู่ตรงกลางบันไดสีหน้าภาคภูมิ หลงใหล
“ทุกท่านครับ”
ทุกคนในงานเลิกพูด เลิกกินหันไป
“เจ้านางแสงหล้า ณ เวียงแก้ว”
พิมพ์ดาวขยับมาใกล้ตรีภพมองไป แก้วผายมือ
ที่เหนือบันได ยอดหล้าในร่างมนุษย์ก้าวมายืนเด่นใส่ชุดราตรี เปิดไหล่และเนินอก ชุดนั้นเป็นทองระยิบระยับ เป็นผ้าทอโบราณจากคลังผ้าของเจ้าเก็จถวา ที่คอ หู ข้อมือและนิ้วแพรวพรายไปด้วย เครื่องประดับเพชรเม็ดมหึมา
ตรีภพมองแล้วตกตะลึง เพราะเหมือนยอดหล้าในความฝัน “เจ้ายอดหล้า”
พิมพ์ดาวตาเบิกกว้างเซไปจนพิมพ์เดือนคว้าตัวไว้ “เจ้าพี่”
มาลารินจำได้แม่น ตาเบิกโพลงขนลุกเกรียว “อีผีเจ้านาง”

แก้วก้าวขึ้นบันไดไปส่งมือให้ ยอดหล้าวางมือลงในมือแก้ว แก้วพายอดหล้าเดินลงบันไดมา บรรดาหญิงอื่นๆ ทั้งงานทึ่งในความงามของยอดหล้า แต่บรรดาผู้ชายมีอาการพิศวงระคนลุ่มหลง ราเชนทร์และธาดามีอาการออกนอกหน้าที่สุด
“นี่ผมยังไฮอยู่ใช่ไหมนี่”
ธาดารำพึง “สวย สวยเหมือนนางพญา”
สองชายสองวัยมองหน้ากัน
ยอดหล้าเยื้อนยิ้มนิดๆ กวาดตาไปทั่วงาน บรรดาเก้ง กวางในงานเบิกตาโพลง มีมี่ มูมู่ ปลาบปลื้ม
“ว้าย ล้านนาซุปเปอร์โมเดล”
“โอ เอ็ม จี ว้าย มาย ดีว่า”
มาดามสุกับบีบีตาถลน
“ว้าย โครตเพชร”
“ขนเพชร ขนเพชรมาจากไหนกันนี่ เต็มเนื้อเต็มตัวไปหมด”
แก้วแสนภาคภูมิ ที่เห็นทุกคนชื่นชมยอดหล้า ลืมเลือนเรื่องหมองใจสิ้น มองยอดหล้าในคราบแสงหล้าอย่างภักดี แต่ยอดหล้าจดสายตาคู่งามมองนิ่งแต่ตรีภพ ด้วยอะไรบางอย่างตรีภพยิ้มรับเคลิบเคลิ้ม
แก้วพายอดหล้ามาถึงด้านล่าง ยอดหล้าก้าวมาตรงหน้าตรีภพและตฤณ แก้วมีอาการสะดุดไปนิดหนึ่ง แล้วพูดเรียบๆ
“เจ้าครับ ผมขอแนะนำ”
ยอดหล้าชิงพูด “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันรู้จักดี ว่าคุณ...ตรีภพเป็นใคร”
ตรีภพยิ้มรับ พิมพ์ดาวนิ่งงัน อัดอั้นมองดูเหตุการณ์
“สวีสดีครับเจ้า ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“แต่ไม่มีใครยินดีเท่าฉันหรอกค่ะ ที่ได้พบคุณ”
ตฤณกระซิบสะกิดตรีภพยิกๆ “แนะนำ แนะนำ”
“นี่เพื่อนผมครับ ชื่อตฤณ เป็นจิตแพทย์ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มพยักหน้าให้นิดๆ แล้วเบือนสายตามาที่พิมพ์ดาว และพิมพ์เดือน ดวงตายอดหล้ามีความเคียดแค้นวูบหนึ่งแล้วหายไป พิมพ์ดาวมองดูยอดหล้าอย่างลังเล แก้วแนะนำพิมพ์ดาว
“นี่คุณพิมพ์ดาวครับ คุณพิมพ์ดาวเป็นนักแสดงคนหนึ่งของละคร”
ยอดหล้าถาม เนื้อเสียงหยามหยัน “เป็นนางเอกหรือคะ”
“เป็นแค่ตัวเอกค่ะ ไม่ใช่นางเอก”
พิมพ์ดาวมอง ยอดหล้าเลิกคิ้ว
“ทำไมถึงมองฉันอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ฉันเหมือนเคยพบคุณมาก่อน”
“หรือคะ”
แก้วรีบปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เจ้าแสงหล้าเพิ่งจะกลับมาเมืองไทยแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“ค่ะ คงไม่ใช่หรอกค่ะ คงแค่คล้ายกับคนที่ฉันรู้จักแค่นั้นเอง”
“ค่ะ”
ตรีภพมายืนใกล้พิมพ์เดือน ยอดหล้าในคราบแสงหล้าเพิ่งเห็นพิมพ์เดือนชัดๆ ถึงชะงักไป
“นี่คงเป็นน้องสาวคุณ”
“ไม่ใช่ครับ นี่คุณพิมพ์เดือน น้องสาวคุณพิมพ์ดาวครับ”
พิมพ์เดือนไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ยอดหล้าพยักหน้าอีก “ค่ะ”
มาลารินก้าวมาหาตรีภพอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว ดึงบีบีมาด้วย
“แนะนำฉันหน่อยซีคะ”
“เจ้าครับ นี่คุณมาลาริน นางเอกเรื่องนี้” ตรีภพแนะนำ
มาลารินยิ่งลังเล ยอดหล้ามองมีแววดูถูกกลายๆ
“หรือคะ ไม่น่าเชื่อเลย”
มาลารินฉงน “ทำไมหรือคะ”
“ก็คุณดูไม่เหมาะกับบทนางเอกเรื่องนี้น่ะซีคะ”
มาลารินตาวาววูบหนึ่งแล้วยิ้ม บีบีตาเขียว แก้วกู้สถานการณ์
“เจ้าหมายความว่า คุณลินซี่ดูเป็นสาวทันสมัยกว่าบทที่เล่นเยอะนะครับ”
บีบียิ้มออกเห็นเครื่องเพชรก็รีบเชลียร์
“อู๊ย จริงค่ะ เจ้าขา ลินซี่น่ะดูเกาหลี้ เกาหลี เจ้าตาแหลมนะคะ”
สุชาดาลากผัวมาเสนอหน้าทันที “เจ้าแก้วขา แนะนำหน่อยค่ะ”
“นี่ พี่ฐาปกรณ์ ผู้กำกับ แล้วก็มาดามสุผู้จัดละครเรื่องนี้ครับ”
ยอดหล้ายิ้มไว้ตัว มาดาสุรีบทำเนียนตีซี้
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เจ้าขา”
ฐาปกรณ์บอก “ถ้าได้พบเจ้าเร็วกว่านี้ ผมคงต้องขอให้เจ้ามารับเจ้ายอดหล้านางเอกเรื่องนี้แน่ๆ”
ยอดหล้าเลิกคิ้วแล้วยิ้ม พิมพ์ดาวอึ้งไป มาลารินก็ตาวาว
“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
“จริงซีคะ เจ้าขา”
“แต่ฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคนที่แสดงได้ คงต้องเป็นคนที่เสแสร้งเก่งๆ ถึงจะแสดงได้แนบเนียน
ยอดหล้าพูดยิ้มๆ มองทั้งพิมพ์ดาวและมาลาริน
“ว้า คงไม่ถึงขนาดนั้นมังครับ”
ตรีภพพูดยิ้มๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แก้วรีบแก้ให้อีก
“เจ้าหมายความถึงทักษะในการสวมบทบาทนะครับ”
บีบีฉีกยิ้ม “วุ้ย เจ้าเพิ่งมาจากเมืองนอกก็เลยภาษาไทยไม่แข็งแรงเท่านั้นเอง”
มาลารินตาวาวมองยอดหล้าไม่วางตา ยอดหล้าเมินไป พ่อเลี้ยงกับราเชนทร์ก้าวเข้ามา
“อ้อ เจ้าครับ นี่พ่อเลี้ยงธาดาครับ ผู้กว้างขวางของเมืองนี้”
“อ้อ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าครับ ดีเหลือเกินที่เจ้ากลับมา วงสังคมที่นี่จะได้มีชีวิตชีวาขึ้น”
“ส่วนผมชื่อราเชนทร์ครับ เป็นนักแสดงคนนึงของเรื่องนี้ ถ้าเจ้ามีธุระอะไร ผมยินดีรับใช้ครับ”
ยอดหล้ามองราเชนทร์นิ่งๆ ราเชนทร์ทำตาเจ้าชู้ใส่
“ขอบคุณค่ะ”
ยอดหล้าหันไปพูดเป็นทางการกับทุกคน
“ฉันจากที่นี่ไปนานเหลือเกินไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีกด้วยซ้ำ ขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น”

ยอดหล้าเยื้อนยิ้มให้ตรีภพ ตรีภพยิ้มตอบ ส่วนพิมพ์ดาวมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสับสนไปหมด

นักเปียโนบรรเลงเพลง ดวงใจ ใหม่ ท่วงทำนองหวานพลิ้วกว่าการบรรเลงเมื่อครู่ นักร้องสาวร้องเพลงด้วยน้ำเสียงอันไพเราะหวานซึ้งและดูเย้ายวนกว่าทุกครั้ง

ตรีภพยังคงอยู่กับตฤณ แพท พิมพ์เดือน มองอย่างเคลิบเคลิ้มในสายตาตรีภพ แสงในงานเหมือนจะดิมลงรอบด้าบเบลอพร่าเลือน มีเพียงแสงสว่างจุดเดียวที่ยอดหล้าในรูปลักษณ์ของเจ้าแสงหล้า ยอดหล้ามองมาที่ตรีภพมีแววโหยหา ท้าทาย ตรีภพก้าวไปหายอดหล้าโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ตฤณกำลังคุยชะงัก แพท พิมพ์เดือนงง
“ไอ้ตรี...”
ตรีภพเดินผ่านหน้าพิมพ์ดาวที่ยังคงครุ่นคิดไม่สบายใจมองตามตรีภพ ตรีภพเดินผ่าน มาลารินที่กำลังคุยกับแก้ว มาลารินชะงักมองตามดวงตางุนงงไม่ผิดพิมพ์ดาวระคนความแค้นหึงหวง แก้วเองก็คอแข็งดวงตาริษยา
ตรีภพก้าวมาถึงยอดหล้า ยอดหล้ามองตรีภพ
“แปลกจัง ทำไมเพลงนี้ถึงได้เพราะกว่าทุกครั้ง”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันเคยฟังที่เพราะกว่านี้” ยอดหล้าว่า
ตรีภพแม้เคลิบเคลิ้มแต่ก็ยังแปลกใจ “เจ้าเคยฟังเพลงนี้มาก่อนหรือครับ”
“ค่ะ”
“งั้นเพลงนี้ก็เป็นเพลงเก่าจริงๆ”
“ค่ะ เพลงนี้สาปสูญไปเกือบ 200 ปี เป็นเพลงที่เจ้านางผู้หนึ่งแต่งให้ชายคนรัก...และชายคนรักก็เขียนเนื้อเพลงนี้ให้เธอ”
“เจ้านางยอดหล้า กับหลวงเทพ...มีตัวจริงใช่ไหมครับ”
“ค่ะ เจ้านางยอดหล้ากับหลวงเทพภักดี มีตัวตนจริง เหมือนฉันกับคุณ ณ ที่ตรงนี้”
ตรีภพมองดูนักร้องสาว
“ช่างเป็นเรื่องรักที่จบเศร้าจริงๆ”
“เรื่องนี้ยังไม่จบหรอกค่ะ ฉันหวังว่าเรื่องนี้อาจจะมีตอนจบที่งดงามก็ได้”
ตรีภพไม่เข้าใจแต่ก็เคลิ้มคล้อย ยอดหล้ายิ้มให้ พิมพ์ดาวมองอย่างสับสน
มาลารินมองตาขวาง มีพนักงานเสิร์ฟถือเหล้ามา มาลารินเรียกแล้วคว้ามาดื่มรวดเดียวหมดแล้วคว้าอีกแก้ว บีบีกระโดดพรวดมาห้าม รักษาภาพ ราเชนทร์หัวเราะ
พิมพ์ดาววางแก้วลงแล้วออกไปจากงาน

พิมพ์ดาวกลับเข้าห้องนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ครุ่นคิดวุ่นวาย ประตูเปิดออก พิมพ์เดือนและแพทเข้ามา
“คิดว่าหายไปไหนซะอีก”
“ทำไมรีบขึ้นมาละคะ ไม่สนุกหรือ”
พิมพ์ดาวหันมาฝืนยิ้มทำปรกติ พิมพ์เดือน และแพทมานั่งสะบัดส้นสูงออก พิมพ์เดือนนั่งนวดเท้า
“ค่ะ แต่ห้ามบอกเจ้าภาพนะคะ” พิมพ์ดาวบอก
“ก็งานไม่มีอะไรจริงๆ นี่คะ มีไฮไลท์อยู่อย่างเดียวคือเจ้าแสงหล้าเท่านั้นเอง”
“แต่เธอสวยจริงๆ นะคะ สวยเป๊ะไปหมด ยังกะไม่ใช่คน”
แพทพูดแล้วก็หัวเราะคิดคัก แต่พิมพ์ดาวยิ่งหน้าซีด พิมพ์เดือนรู้สึกผิดปรกติ
“น้องแพทว่าอย่างงั้นหรือคะ”
“ไม่รู้ว่าสวยด้วยแพทย์หรือเปล่านะคะ”
พิมพ์เดือนซัก “พี่พิมพ์มีอะไรหรือคะ หนูเห็นพี่พิมพ์มีอาการตั้งแต่ในงานแล้ว”
พิมพ์ดาวลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูด
“พี่จะไม่มีอาการได้ยังไง เมื่อเจ้าแสงหล้า...เหมือนกันเจ้านางยอดหล้าที่พี่ฝันเห็นเป็นพิมพ์เดียวกันเลย”
แพทเลิกคิกคัก พิมพ์เดือนอ้าปากค้าง

ฟากสองหนุ่มอยู่ในห้อง ตฤณร้องอุทาน
“อะไรนะ เจ้าแสงหล้าเหมือนกับผีเจ้านางในฝันแกทุกอย่าง”
ตรีภพยืนมองไปนอกระเบียง ตฤณนั่งบนเตียง ตรีภพหันมา
“ใช่ ฉันฝันเห็นเจ้านางยอดหล้าตั้งแต่อยู่กรุงเทพ พอมาถึงนี่ก็ยิ่งฝันถี่ขึ้น”
“แล้วก็ทำให้แกมีอาการละเมอเดินด้วยหรือเปล่า”
“ไม่รู้ว่ะ แต่อาจจะเกี่ยวกัน แล้วแกว่ายังไง”
ตฤณลุกขึ้นมองหน้าตรีภพ พูดจริงจังขึ้น
“ความทรงจำของคนเราน่ะ จริงๆ แล้วเอาแน่เอานอนอะไรกับมันไม่ได้ บางทีผู้หญิงที่แกฝันถึงอาจจะไม่ได้เหมือนเจ้าแสงหล้าเลยก็ได้ แต่สมองสร้างความทรงจำที่ไม่จริงขึ้น”
“แต่ฉันขอยืนยันว่า เจ้าแสงหล้า เหมือนเจ้านางยอดหล้าในความฝันของฉันจริง”
ตรีภพยืนยัน ตฤณยักไหล่
“แกยืนยันยังงี้ ฉันก็โนคอมเมนท์โว้ย”

ส่วนบีบีหิ้วปีกมาลารินเข้ามาทิ้งลงที่เตียง มาลารินเมาปลิ้นนอนแผ่อยู่บนเตียง บีบีเท้าสะเอวดูอย่างทุเรศ
“ต้าย ฉันห้ามก็ไม่ฟัง กระดกเอากระดกเอา หล่อนน่ะเป็นนางเอกแล้วนะยะต้องระวังตัว ถึงจะเป็นงานภายใน แต่ตอนนี้มนุษย์ทุกคนในโลกมีกล้องติดตัวนะยะ ระวังเถอะเดี๋ยวจะมีรูปหล่อนเมาอ๊วกอยู่ในเน็ต”
มาลารินฟาดแขนฟาดขา “หุบปากไปเลยนะ ฟังฉัน”
“อะไรอีกยะ”
“นังเจ้านางแสงหล้าไม่ใช่คน”
“ก็ใช่ซียะ เขาไม่ใช่คนทั่วๆ ไป แต่เป็นเจ้าหญิงถึงได้สวยขนาดนั้น แล้วหล่อนเห็นเครื่องเพชรไหม ว้าย เพชรใหญ่เท่าหัวแมว”
มาลารินลุกพรวดขึ้นตาขวาง
“นี่เงียบเลยนะ ฟังฉัน อีเจ้าแสงหล้ามันเป็นผี มันคืออีผีเจ้านางที่เล่นงานฉันจนเกือบตาย”
บีบีเซ็ง “อ๋อเหรอ”
“มันเป็นผี..มันเป็นผีปลอมตัวมา”
มาลารินหงายไป หลับตาพูดเพ้อไม่ขาดปาก บีบีเซ็ง
“เออ ดี จะนอนทั้งเมคอัพหรือยะ เดี๋ยวก็สิวขึ้น เดือดร้อนอีก”

ส่วนฐาปกรณ์ใส่ชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นมาดามสุนอนทั้งชุดราตรี หน้าเริ่มเป็นสังขยา ฐาปกรณ์โคลงหัวท่าทีเซ็งเมีย แล้วหันไปเช็ดผมให้แห้ง
“ผ้าทอด้วยแล่งทอง อูย ผืนละกี่แสนกี่ล้าน”
ฐาปกรณ์หันมาเห็นว่า มาดามสุละเมอ ไม่ได้ตื่น
“แล้วยังโครตเพชรอีก อือ”
ฐาปกรณ์ลงนอนห่างเมียพอสมควร มาดามสุพลันพลิกตัวมาก่าย ฐาปกรณ์มีอาการยี้
“น้องเชนของพี่”
ฐาปกรณ์ชะงักดันเมียหงายเงิบไป มาดามสุไม่มีท่าทีจะตื่น แถมหัวเราะคิกคัก ฐาปกรณ์ยันตัวดูน้ำหน้า
“น้องตรีขา...ถอดเสื้อค่ะ มีดี เราก็ต้องโชว์ นโยบายนายค่ะ”
ฐาปกรณ์มีอาการคลายใจลงบ้าง

ตรงทางเดินในเรือนนำไปสู่ปีกคุ้มของเจ้าแสงหล้า นางผัน นางเผื่อน เดินมาอย่างเชื่องช้า ผมเผ้าชายผ้าดูเลือนลาง เห็นหมอกควันอ้อยอิ่งเป็นทาง
นางผัน นางเผื่อน ทะลุประตูห้องเข้ามา พบแก้วยืนอยู่ใกล้ประตู ยอดหล้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แก้วยังคงใส่สูทแต่ปลดไทด์แล้ว ยอดหล้าอยู่ในชุดนอนยาวกรุยกรายทับด้วยเสื้อคลุมปักระยิบระยับ มีกล่องเซทเครื่องเพชรหลายกล่องตรงหน้า
แก้วเกือบสะดุ้ง นางผัน นางเผื่อน หัวเราะคิกคัก กรายร่างไปนั่งลงกับพื้นแทบเท้ายอดหล้า
“เจ้านางเจ้า”
“งานเลี้ยงเป็นเช่นใดบ้างเจ้า”
ยอดหล้าปิดกล่องเครื่องเพชรลง หันมามองแก้ว
“ไม่รู้ซี เจ้าเล่า ว่าเป็นเช่นใดบ้าง”
“ผมว่างานเปิดตัวเจ้าแสงหล้า ประสบความสำเร็จมากครับ”
ยอดหล้ายิ้มภาคภูมิ นางผัน นางเผื่อน ยิ้มประจบ
“เจ้านางเจ้า เจ้านางมีเลือด มีเนื้อ เปล่งปลั่ง ผุดผาดยิ่งเจ้า”
“งดงามกว่าครั้งเก่าก่อนอีกเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มหยันหันกลับไปมองเงาสะท้อนในกระจก ยกมือสูงลูบไล้ แตะผิวหน้า
“ใช่ เพราะครั้งเก่าก่อนนั้น ข้ามัวแต่อ่อนแอ ขลาดเขลาอยู่ แต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว”
ยอดหล้าลุกขึ้นกรายร่างมายังกระจกเงาบานยาว สะบัดเสื้อคลุมไปด้านหลังพิศดูตัวเอง
“พี่เทพจักกลับมาเป็นของข้า ส่วนดารารายจักต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล”
ยอดหล้าประกาศกับเงาในกระจก แก้วถอนใจ นางผัน นางเผื่อนพยักพเยิดกัน

เสียงเถรกระอ่ำดังขึ้น “ยอดหล้า ยอดหล้า”
ยอดหล้าผวานิดหนึ่งหันรีหันขวางหา นางผัน นางเผื่อนชะเง้อหาด้วย
“ท่านอาจารย์”
แก้วชี้มือไปที่กระจกบานใหญ่ “เจ้านาง”
ยอดหล้าหันไป ภาพสะท้อนในกระจกพร่าไหว เหลือเพียงยอดหล้าแต่ภาพพื้นหลังกลับเป็นหมอกควันเคลื่อนขยับไหวอยู่ แล้วเงาสะท้อนยอดหล้ากลับเลือนหายกลายเป็นเถรกระอ่ำยืนอยู่ดูสูงสง่า
“ท่านอาจารย์ มีอันใดหรือเจ้า”
“เจ้านางน้อย อย่าเพิ่งลำพองใจไป ถึงเจ้าจะมีเลือดเนื้อเช่นมนุษย์ แต่เจ้าก็ยังมิใช่มนุษย์”
“ข้ารู้แก่ใจดี ท่านอาจารย์”
เถรกระอ่ำมองอย่างเมตตา “ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจที่เจ้าเคยมีก็ลดน้อยถอยลงไปมากมาย”
ยอดหล้านิ่งอั้นมีแววหวั่นไหว “ข้ารู้แล้วท่านอาจารย์ แต่ข้าก็เลือกแล้วที่จะเป็นเช่นนี้”
ยอดหล้าเปลี่ยนท่าทีเป็นแน่วแน่
“ข้าจะแข่งขันกับดาราราย...อย่างเท่าเทียม และยุติธรรมที่สุด”
แก้วมองดูดวงตามีแววขมขื่น เถรกระอ่ำเหมือนมองเลยมายังแก้ว ยิ้มนิดๆ แล้วมองดูยอดหล้าพลางผงกศีรษะ
“ดี...ดี เจ้านางน้อย จงอย่ากังวลใดๆ ในเมื่อเจ้ายังมีข้าปกป้องอยู่”
นางผัน นางเผื่อน รีบสอด “ข้าสองคนด้วยเจ้า”
“มิมีผู้ใด หวังดีกับข้าเท่าท่านอาจารย์อีกแล้วเจ้า”
เถรกระอ่ำยิ้มพยักแล้วเลือนหายไป ภาพยอดหล้าปรากฏขึ้นแทนที่ในกระจก ยอดหล้าหันมาหาแก้ว

“วันพรุ่งนี้ เจ้าเตรียมการ เช่นใดไว้บ้าง”

อ่านต่อหน้า 3

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 14 (ต่อ)

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์และปาร์ตี้ดึกดื่นในคืนก่อน มีการจัดอาหารมื้อสายแทนที่ศาลากลางสวน บรรดานักแสดงและทีมงานยังมีอาการตื่นไม่เต็มที่ บางคนก็แฮงค์ทำให้บรรยากาศซึมๆ

ตรีภพ มาลาริน บีบี ตฤณ อยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ราเชนทร์ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน แพทอยู่โต๊ะใกล้ๆ ฐาปกรณ์ มาดามสุ นักแสดง อาวุโส 2-3 คนอยู่อีกโต๊ะ ส่วนลูกกบ รัก มีมี่ มูมู่ เก้ง อยู่อีกโต๊ะ
เบิ้มฝ่ายโลเคชั่น หิ้วกระเป๋าเข้ามายกมือไหว้กราดไปทั่ว ออกอาการเขินเล็กน้อย
“ผมมาแล้วครับ”
มีการทักทายรีบไหว้เซ็งๆ มีมี่ มูมู่ แสยะปากใส่
“มาแล้วอีผีเห็นผี”
เบิ้มย่อตัวลงที่โต๊ะฐาปกรณ์ ส่งแฟ้มให้ “โลเคชั่นเพิ่มเติมครับ”
ฐาปกรณ์บอก “เออ เอ็งไปกินข้าวไป”
เบิ้มคลานเข่าไปรวมกลุ่ม รัก ลูกกบ มีมี่ มูมู่ ทักทายอ่อนหวาน

การสนทนาต่อมายังคงเป็นเรื่องงานต้อนรับเปิดตัวเจ้าแสงหล้าเมื่อคืนนี้ ที่โต๊ะตรีภพ มาลารินใส่แว่นดำอำพรางอาการแฮงค์ คอยเลื่อนอาหารเอาใจตรีภพ ส่วนบีบีก็คอยเอาใจตฤณแถมเอาส้อมจิ้มไส้กรอกยักษ์มาเลียซอสให้ดู ตฤณสยองใจยิ่ง
“แหม เจ้าแสงหล้าน่าจะลงมาซักทีนะคะ อู๊ยไม่รู้ขนเพชรมาจากไหนยุบยั่บไปหมด” บีบีว่า
ตฤณต้องแก้คำให้ “น่าจะพรึ่บพรั่บมากว่านะครับ”
“กลางวันอาจจะไม่มีตัวตนก็ได้ค่ะ”
มาลารินหมั่นไส้หลุดร้ายออกมา ตรีภพชะงัก พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน แพทก็หันมาฟัง
“ว้าย ลูกขา ลินซี่ คนนะคะ ไม่ใช่ผี”

แก้วก้าวขึ้นมาบนศาลา ทันได้ยินท้ายๆ ประโยค แต่ทำหน้าเฉย
“อ้าว พี่แก้ว นั่งด้วยกันไหม” ตรีภพทัก
“ยังไม่หิวเลย มาดูความเรียบร้อยน่ะ”
“อู๊ย ไม่ต้องดูหรอกค่ะ บริการห้าดาวเหมือนเดิม” บีบีประจบ
“เชิญค่ะ เจ้า”
มาลารินขยับที่ให้แก้วนั่งข้างตน
“เจ้าแสงหล้า ไม่ลงมากินอะไรกับเราหรือครับ” ตรีภพถาม
“เมื่อคืน เจ้านอนเกือบเช้าน่ะครับ”
แก้วตอบกับทุกคนมากกว่าตรีภพ มาลารินพูดคล้ายพูดเล่น
“ตายจริง นอนกลางวัน ตื่นกลางคืน เป็นแวมไพร์เชียว”
“ว้าย ลูกขา” บีบีรีบแก้กับทุกคน “ลินซี่ พูดเล่นน่ะค่ะ”
แก้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอบเรียบๆ
“ไม่หรอกครับ นี่เจ้าตื่นแล้ว แต่บอกว่าอยากพักผ่อนอยู่ในห้อง”

ที่โต๊ะพิมพ์ดาว เสียงคุยจากโต๊ะตรีภพดังมาถึง พิมพ์ดาว กับ พิมพ์เดือนสบตากัน
“ว้า เสียดาย เจ้าน่าจะลงมากินข้าวกับเรา” ราเชนทร์เอ่ยขึ้น
แพทแซว “ทำไมคะ จะอวดรูปแมวในมือถือให้เจ้าดูหรือ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ เขาเรียก พุซซี... แคท”
พิมพ์เดือนตั้งข้อสังเกต “แปลว่าเจ้าแสงหล้าเป็นเจ้าแท้ๆ เลยนะคะ”
ราเชนทร์ฉงน “ยังไงครับ”
“เจ้าหลายพระองค์จะทรงงานกลางคืนค่ะ บางครั้งเสวยตอนตีสองตีสามแล้วเข้านอนตอนเช้า ตื่นตอนบ่ายสาม เป็นอย่างนี้กันเยอะเลยค่ะ”
“แหม...ถ้าวันไหนไม่มีคิวถ่าย ผมก็เป็นเจ้าเหมือนกันนะซีครับ”
“อย่างคุณเชน ถ้าเป็นเจ้า ก็ เจ้ามือป็อกเด้งแหล่ะค่ะ” แพทเย้า
พิมพ์ดาวไม่พูดยังคงครุ่นคิด

พิมพ์เดือนและพิมพ์ดาวมาเดินเล่นในสวนหลังอาหารเช้า
“คุณแก้วบอกว่าเจ้าแสงหล้าก็สืบเชื้อสายจากเจ้าแสงอินทร์ค่ะ เป็นสายที่ไปแต่งกับเจ้าไทยใหญ่ พอพม่ามีเรื่องวุ่นๆ ก็ต้องอพยพไปอยู่ฝรั่งเศส”
พิมพ์ดาวงง “พี่รู้แล้ว แต่ที่เธอพูดเพื่อ?”
“หนูแค่จะบอกว่าที่เธอหน้าเหมือนเจ้านางยอดหล้าในความฝันของพี่พิมพ์ ก็เพราะเธอเป็นเหลนเป็นโหลนของเจ้ายอดหล้าไงคะ”
“ดีเอ็นเอ อยู่บนหน้าหรือ”
พิมพ์เดือนหัวเราะ “แหม พี่พิมพ์”
“แต่ก็ไม่น่าจะเหมือนทุกระเบียดนิ้วอย่างนี้นี่”
“หรือไม่เธอก็เป็นเจ้ายอดหล้ากลับชาติมาเกิด” พิมพ์เดือนพูดเล่น
“เธอจะบ้าหรือ เจ้ายอดหล้าหลอกพี่หัวแทบโกร๋นอยู่เมื่อไม่กี่วันนี้เอง จะกลับชาติเกิดอะไรได้เล่า”
“ก็เป็นร่างอวตารไงคะ”
“ฉันเลิกพูดกับเธอแล้ว”

พิมพ์ดาวเดินมาเลี้ยวพุ่มไม้ชนโครมเข้ากับตรีภพ
พิมพ์ดาวร้อง “ว้าย”
“อ้าว เดินดีๆ คุณ”
“ฉันเดินดีๆ อยู่แล้ว คุณน่ะซีเดินไม่ดี”
ตรีภพส่ายหัวอ่อนใจ แต่ดวงตาสนุกสนาน “เดินชนกันแล้วทะเลาะกันนี่ มันละครน้ำเน่านะคุณ”
พิมพ์ดาวหลุดยิ้มแล้วทำหน้าบึ้งต่อ “คุณน่ะแหละเน่า”
“แต่ก็ยังไม่เท่าชนกันแล้วหกล้มเอาหน้าจ่อกัน แล้วมองตากันปิ๊งๆๆ”
พิมพ์ดาวหัวเราะออกมา
“รู้ไหม ผมเล่นละครมาแล้ว 3 เรื่องมีฉากหกล้มมองตาทั้งสามเรื่องเลย”
“ไม่รู้ ฉันเป็นนางร้าย ไม่เคยเล่นบทแบบนั้น”
“อ๋อใช่...อย่างคุณมีแต่บทมอมยากับมอมเหล้าพระเอก”
“ใช่ ฉันเจอมาเจ็ดแปดเรื่องแล้ว”
พิมพ์ดาวทำปั้นปึ่ง ตรีภพหัวเราะก๊าก พิมพ์ดาวยิ้ม
“แต่ถึงขั้นลงอ่าง อาบว่านยาทำเสน่ห์ เรื่องนี้เรื่องแรกใช่ไหมฮะ”
พิมพ์ดาวอึ้งไป มองหน้าตรีภพ มีอาการซีเรียสขึ้นเห็นถนัด
ตรีภพฉงน “ทำไมหรือคุณ”
“แล้วถ้าความจริง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นละคร”
ทั้งคู่ยังคงเดินคุย พูดจากันต่อไป

ที่ชั้นสองของคุ้มตอนนี้ แลเห็นหน้าต่างบานใหญ่มีม่านบังถูกเปิดแง้มอยู่ เป็นยอดหล้าสวมชุดยาวกรุยกราย แง้มม่านหน้าต่างมองลงไป เห็นตรีภพแตะแขนพิมพ์ดาวไป คุยกันต่อที่ม้าหินใต้ซุ้มไม้
ยอดหล้ามองอย่างจงชัง หึงหวง “เจ้าไม่ยอมให้เสียเวลาเลยนะ ดาราราย”

ยอดหล้าขัดใจรูดม่านปิดอย่างแรงหันตัวกลับมาในห้อง ยืดกายตรง ดวงตานางวาววับ ใบหน้าอสูรกาย ซ้อนขึ้นบนใบหน้างามเลอลักษณ์นั้น

บริเวณมุมสันทนการคุ้มเวียงแก้วในตอนกลางวัน ทุกคนชุมนุมกันอยู่ตรงนั้น สุชาดานอนเอนอยู่บนโซฟาตาเบิกโพลง เมื่อได้ฟังฐาปกรณ์พูดจบลง ร้องถามดังลั่น

“ว้าย เพิ่งเลี้ยงไปเมื่อคืน เลี้ยงอะไรอีกแล้ว”
ฐาปกรณ์ยืนค้ำหัวเมียอยู่ โดยมีบีบีและมาลารินนั่งอยู่ใกล้ๆ
“คราวนี้พ่อเลี้ยงธาดาเป็นเจ้าภาพ จัดที่คอมเพล็กซ์ เห็นว่าปิดผับเลี้ยงเลย”
“ต๊าย ลูกขา พวกไฮโซจะมีอะไรคะ นอกจากจะมาอวดรวยแข่งกัน ไม่รู้จัก ลด ละ เลิก”
บีบี พูดเชิงธรรมะด้วยสีหน้าปล่อยปลง มาลารินเลื่อมใส
“ค่ะ คุณพี่ ลินซี่เองก็เบื่อความแชลโลว์แบบนี้จัง”
บีบีลุกพรวด “ไปเร็วค่ะ ลูกขา ไปซื้อชุดใหม่ คุณพี่จะเอาเครื่องเพชรไปขัดด้วย คืนนี้ขนเพชรประชันค่ะ”
สองคนกระวีกระวาดเดินไป ฐาปกรณ์กับเมียมองตามแล้วมองตากัน
“ต๊าย อีปลงตก ไปคุณ”
ฐาปกรณ์ฉงน “ไปไหน”
“ก็ไปช็อปซีคะ จะได้ประชันขนเพชรกับมัน”

ด้านแก้วเดินมาตามทางสู่เรือนเจ้าแสงหล้า ด้วยสีหน้าสับสน แต่มีความหลงใหลใฝ่ฝันเจือปนในนั้น แก้วมาถึงหน้าประตูจะเคาะ แต่ประตูเปิดออกเอง
พร้อมเสียงยอดหล้าดังขึ้น “เข้ามา”

ภายในห้องพัก มีโทรทัศน์จอใหญ่ 2 จอ เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ บนจอสปลิดสกรีนเป็น 8 จอ ทุกจอล้วนเป็นสารคดี ความรู้ข้อมูล เช่น ช่องสนทนาภาษาฝรั่งเศส ช่องวิทยาศาสตร์ ช่องสถานที่ท่องเที่ยว ช่องแฟชั่น ช่องภาพยนตร์ ช่องมิวสิกวิดีโอ ยอดหล้านั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูง สวมชุดอยู่บ้านแต่เป็นแมกซี่ยาว มองดูจอเหล่านั้น ในห้องปิดม่านไว้ มีเพียงแสงจากจอโทรทัศน์ดูแปลกตา
แก้วเข้ามา ยอดหล้า ยกนิ้วขึ้น ประตูพลันปิดล็อกเอง แก้วก้าวมาหา
“เจ้านาง”
“พ่อเลี้ยงธาดาคนนี้ เป็นใครกัน” ยอดหล้าถาม
“เป็นนักธุรกิจใหญ่ของที่นี่แหละครับ ทำเรื่องที่ดินจนร่ำรวย แล้วก็มาทำสถานบันเทิงใหญ่โต เป็นคนใจบุญสุนทาน บริจาคการกุศลเป็นสิบๆ ล้าน”
ยอดหล้ายิ้มหยัน ไม่เชื่อถือ
“อย่างนั้นหรือ แต่ตอนที่เจอมันข้ากลับรู้สึกได้ แต่ความมืดในจิตใจมัน”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เขาว่ากันว่า พ่อเลี้ยงคนนี้ทำธุรกิจสีดำอยู่หลายอย่าง”
“มันมาตีสนิทเจ้า เพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้ากับนายซีนะ”
“ครับ แต่ที่เขาจัดงานต้อนรับเจ้านาง เพราะหลงเสน่ห์เจ้าแสงหล้ามากกว่า”
แก้วพูดเสียงเรียบๆ ดวงตามีแววยิ้มชื่นชม ยอดหล้าปรายตามองยิ้มนิดๆ แล้วกลายเป็นยิ้มดูแคลนธาดา แต่ไม่พูดอะไร
“เจ้านาง ถ้าเจ้านางไปงานนี้ ยิ่งห่างคุ้มมากขึ้น อำนาจของเจ้านางก็จะยิ่งลดลงอีก” แก้วนึกเป็นห่วง
“จะเป็นไรไป ในเมื่อข้าเลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ ได้สุขได้รัก เยี่ยงมนุษย์”
แก้วขมขื่นเล็กน้อย พอยอดหล้ามองมาแก้วรีบทำปรกติ
“ครับ”
“เจ้ามาก็ดีแล้ว เจ้าต้องช่วยสอนข้าเรื่องนึง”
แก้วแปลกใจ

ต่อมาไม่นาน ภาพในจอโทรทัศน์ทั้ง 8 จอ เป็นภาพการเต้นรำบอลรูม จากภาพยนตร์8 เรื่อง เหมือนเป็นทั้งข้อมูลและแรงบันดาลใจ
ส่วนที่กลางห้อง แก้วยืนตัวตรง มือหนึ่งจับมือ อีกมือแตะหลังยอดหล้า ในท่าตั้งต้นเต้นรำ ยอดหล้าตั้งอกตั้งใจ แต่แก้วยิ่งเคลิบเคลิ้ม เสียงเพลงวอลซ์ดังขึ้น แก้วพายอดหล้าก้าวตามจังหวะ จากเก้งก้างเพียงเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นคล่องแคล่ว ยอดหล้ามีอาการสนุก รวมทั้งการวาดหวังถึงการได้เต้นรำกับตรีภพ แก้วพาเต้นอย่างมีความสุข แก้วมองยอดหล้าอย่างหลงใหล ยอดหล้าไม่เห็นสายตานั้น ท่าเต้นเริ่มยากและซับซ้อน แต่ยอดหล้าก็ทำได้ ยิ้มแย้มพอใจ แก้วยิ้มปลื้ม
“เจ้านางมีพรสวรรค์จริงๆ”
“อาจไม่ใช่พรจากสวรรค์ก็ได้”
ยอดหล้าพูดยิ้มๆ แล้วเห็นสายตาแก้วเข้า ยอดหล้าขมวดคิ้ว หยุดเต้น โบกมือไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ เข็มถูกเลื่อนควาก เพลงชะงักลง ยอดหล้าขยับออกห่าง
“เจ้าทำอะไร”
แก้วทั้งงงและตกใจ แล้วเปลี่ยนเป็นน้อยใจ เสียใจ
“ผมทำอะไร”
“สายตาของเจ้า”
ยอดหล้าพูดเท่านั้นก็หยุด ยืดตัวตรง แก้วเสียใจแต่ข่มไว้
“สายตาของผม ยกย่อง ชื่นชมเจ้านาง...นี่เป็นความผิดด้วยหรือ”
ยอดหล้าเดินห่างมา “เจ้าเป็นเหลนของเหลนข้า อย่าทำเช่นนี้อีก”
“แต่ตอนนี้เจ้านางคือเจ้าน้องของผม”
ยอดหล้าใจอ่อนลงนิดหนึ่ง มองแก้วสายตาอ่อนลง
“ข้าเกิดก่อนเจ้า เกือบสองร้อยปี”
“แต่ตอนนี้ เจ้านางก็ยังเยาว์วัยอยู่” แก้วทักท้วงยกยอ
ยอดหล้าพอใจกับคำยกยอนั้น ก้าวไปมองดูภาพสะท้อนในกระจก
“เจ้าไปเถิด เตรียมตัวสำหรับคืนนี้ ข้าเองก็ต้องเตรียมตัวเช่นกัน”
แก้วก้มศีรษะให้แล้วเดินออกไป ยอดหล้าหันกลับไปนั่งที่ มองดูภาพการเต้นรำต่อ

ตกตอนค่ำ ที่บริเวณหน้าคุ้มหลวง มีรถตู้ของกอง 2 คันมาจอดรอ คณะนักแสดงและทีมงานสำคัญเท่านั้น บรรดาสาวใช้คนงานในคุ้มก็มารอดูบารมีด้วย
ตรีภพ ตฤณ ราเชนทร์ ฐาปกรณ์ นักแสดงอาวุโสใส่สูทแบล็คไทด์หรูหรา พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน แพท ใส่ชุดราตรีเรียบๆ
บรรดาทีมงานที่ไม่ได้รับเชิญ เช่นลูกกบ มีมี่ มูมู่ เบิ้ม รัก เก้งกับกลุ่มสาวใช้เช่น เฟื่องฟ้า ระริน ตาทอง สายใจ 2 คนงานชายก็ชะเง้อดูด้วย
“พร้อมหรือยังครับ นี่เราเลทมา 20 นาทีแล้ว” ตรีภพเอ่ยขึ้น
“ยัง”
ฐาปกรณ์ทำหน้าเหม็นเบื่อ พูดแทบเป็นตวาด ตรีภพสะดุ้ง พิมพ์ดาวสะกิด
“ขาดคนสำคัญจะไปได้ยังไงคะ”
สักครู่ต่อมา มาลารินกับบีบีเดินนวยนาดมา มาลารินเป็นแนวฟูฟ่องเปลือยไหล่หลังมีเครื่องเพชรประปราย ส่วนบีบีแต่งชุดกรุยกราย ห่มเครื่องเพชรมากกว่าปรกติเจ็ดเท่า
บรรดาคนรอดูร้องชื่นชม มาลารินยิ้มตาแป๋วไหว้ทุกคน
“ลินซี่ ขอโทษนะคะ ที่ต้องทำให้ทุกคนรอ”
“โอเค ไปกันได้ซะทีมั้งครับ” ตฤณบอก
ฐาปกรณ์ ตาเขียว เสียงขุ่น “ยัง ยังขาดอีตัวดีไปคน”
ตฤณเลิกลักเพราะไม่เคยรู้มาก่อน มองไปทางพิมพ์เดือน ถูกยิ้มสมน้ำหน้า แพทกระซิบ

“มาดามยังไม่มาค่ะ”
ราเชนทร์เสนอตัว “ผมไปตามให้ดีไหมครับ”
ฐาปกรณ์หน้าบึ้ง ราเชนทร์ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทุกคนมองไป สุชาดานวยนาดมาในชุดราตรีเปิดเปลือยสุดขีด พอกเครื่องเพชรเต็มพิกัด
บรรดาทีม ซุบซิบ นินทาด่าทอ ว่าบ้า ตู้เพชรเคลื่อนที่ แต่พอมาดามสุมาใกล้ก็เซ็งแซ่ชื่นชม มาดามสุยิ้มแก้มปริ รองพื้นแตกระแหง
“อู้ย พอย่ะ ฉันไม่บ้ายอ”
มาดามสุขยับไปเกาะแขนตรีภพคล้องหมับ ตรีภพสะดุ้ง มาดามสุได้สติก้าวไปหาผัว ฐาปกรณ์มอง
“ทำไม ไม่ใส่มากุฎด้วยล่ะ”
“ว้าย...มีค่ะ อยู่ในกระเป๋า ถ้าในงานอีไฮโซเมืองเหนือคนไหนใส่มาล่ะก็...ฉันก็งัดมาประชัน”
มาดามสุเหมือนไม่รู้ว่าผัวกัด ขยับกระเป๋าราตรีให้ดู
จังหวะนี้ทุกคนครางฮือกันใหญ่แล้วมองไป ที่รถคันใหญ่ของคุ้มแล่นมาจากอีกปีก บรรดากอสสิปเกิร์ลชะเง้อ กลุ่มดาราก็มองดู
รถคันนั้นแล่นมาใกล้ แก้วเป็นคนขับเอง ยอดหล้านั่งอยู่ตอนหลัง เหมือนมีแสงสว่างในรถยอดหล้าผ่องผุดกระจ่าง ความงามเหนือมนุษย์ฉายแสง รถผ่านกลุ่มดาราไป ตรีภพมองเข้าไป ยอดหล้าปรายตามาสบตา ตรีภพยิ้มค้อมศีรษะให้ ราเชนทร์และตฤณมองตาค้าง
ยอดหล้ายิ้มเลยไปยัง พิมพ์ดาว มาลาริน ดวงตากลายเป็นดูแคลน
มาลารินยิ้มพริ้มพราย ดวงตาเจ็บใจ พิมพ์ดาวอึดอัด บีบี มาดามสุปลื้ม
ยอดหล้ายังคงยิ้มนิดๆ รถผ่านบรรดาทีมงานขาเม้าท์ เก้งอึ้ง มีมี่ มูมู่ แทบลงกราบ รัก ลูกกบ ซี๊ดซ๊าดกัน เบิ้มมองไปเห็นใบหน้ายอดหล้ากลายเป็นอสูรกายซ้อนทับ เบิ้มผงะขยี้ตา ยอดหล้ายังคงพิลาสพิไลเช่นเดิม รถแล่นผ่านไป
แก้วยิ้มนิดๆ พูดเรียบๆ แฝงประชด “เจ้านางน่าจะเชิญนายตรีขึ้นรถมาด้วย”
“ข้ารอมาได้เกือบ 200 ปี ...ทำไมจะรออีกนิดไม่ได้”
ยอดหล้ายิ้มบางๆ สุขใจจนไม่สนใจอาการประชดของแก้ว แก้วอัดอั้นตันใจ ตรีภพยังคงมองตามท้ายรถไป พิมพ์ดาวมองดูท่าทีแล้วอารมณ์เสีย ตรีภพเห็นสายตาเข้ายิ้มให้นิดหนึ่ง พิมพ์ดาวสะบัดตัวขึ้นรถตู้ไป

แสงสีในเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ของพ่อเลี้ยงธาดา ตระการตา เสียงดนตรีดังลอดออกมาตามโซนต่างๆ ค่ำคืนนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ

ตรงเทอเรซล็อบบี้ พ่อเลี้ยงธาดาแต่งตัวหล่อกว่าปรกติก้าวมารอรับ มีลูกน้อง 4 คนมายืนเป็นแผง
รถของแก้วแล่นมาจอด แก้วลงจากรถไปเปิดประตูให้ ยอดหล้าลงมามองดูรอบตัวปากยิ้มนิดๆ แต่ดวงตาดูตื่นตาตื่นใจ พนักงานรับรถมาขึ้นรถขับไปยังลานจอดรถวีไอพี
“นี่แหละครับเจ้า ชีวิตกลางคืน ความสุขสุดเหวี่ยงของคนยุคนี้” แก้วอธิบาย
ยอดหล้ามองไปเห็นความหรูหรา ระยิบระยับ แพรวพราย ของผับยักษ์ อาบอบนวด สนุ้กเกอร์ คาราโอเกะ หลอดไฟที่ขดเป็นรูปหญิงเปลือย ภาพยั่วยวนทั้งหลาย ไฟเซิร์ทไลท์ยิงแสงเป็นลำกวัดไกวไปมาสู่ท้องฟ้า เสียงเพลงดังสะเทือนเสียงซินธิไซเซอร์ดังประสาน เสียงสรวลเส เฮฮา หญิงชาย เสียงกรี๊ดกร๊าดแว่วมา
“แปลกจริง ความสุขหรือ แต่ข้าสัมผัสได้ถึงความทุกข์ เสียงครวญคร่ำ และหยาดน้ำตา”
แก้วเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อย ส่งมือให้ยอดหล้าวางก้าวเดินไป สู่บันไดเทอเรซ พ่อเลี้ยงธาดายิ้มเผล่ก้าวมารับ
“ยินดีต้อนรับครับเจ้า”

ห้องจัดเลี้ยงกว้างใหญ่ที่พ่อเลี้ยงเตรียมไว้ ตกแต่งสวยงาม มีส่วนฟลอร์และเวทีอยู่ทางด้านหนึ่ง อีกด้านเป็นโต๊ะอาหารนับสิบโต๊ะ ทางด้านหนึ่งมีหน้าต่างฝรั่งเศสเรียงราย ติดกับเทอเรซที่มีสวนดอกไม้ สระน้ำพุสำหรับให้แขกหลบมาสูดอากาศได้
ทว่าบรรยากาศในงานกลับมีลักษณะหัวมังกุท้ายมังกร กล่าวคือจัดแนวตะวันตกแต่ก็ห่วงความเป็นล้านนา จึงตกแต่งปนกันในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ที่มีทั้งดอกไม้อิมพอร์ต และบายศรีพญานาค ดนตรีก็มีทั้งวงสะล้อซอซึงอยู่หน้าเปียโน อาหารก็มีทั้งอาหารพื้นเมืองและฝรั่งเศสปนกันในคอร์ส
เหล่าบรรดาไฮโซและเซเลบเมืองเหนือมากันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเจ้า กลุ่มพ่อค้า กลุ่มเศรษฐี นักการเมืองหรือบรรดาคณาจารย์ที่ขยันออกสื่อ ส่วนใหญ่แต่งกายแบบสากล แต่ก็มีที่ห่มสไบ ปักดอกดวงสีทองเต็มหัว
แก้วพายอดหล้าเดินมา พร้อมกับธาดา ธาดาแนะนำแก้วและเจ้าแสงหล้า ไฮโซบางคนแก้วก็รู้จักมาก่อน มีการทักทาย ยิ้มแย้ม ชื่นชมยกยอมาตลอดทาง ยอดหล้ายิ้มนิด ถือตัวระดับหนึ่ง แต่บรรดาเซเลบล้านนานั้นทึ่งกับรูปโฉม พัสตราภรณ์จนไม่มีใครสังเกตว่ายอดหล้าไม่ได้ไหว้ใครเลย
ที่ประตูห้องโถง กลุ่มตรีภพ ตฤณ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ราเชนทร์ มาลาริน แพท ฐาปกรณ์ มาดามสุ บีบี และดาราอาวุโสมาถึง พบว่าไม่มีใครให้ความสนใจ มีอาการอึ้งมาก อึ้งน้อย มองหน้ากันไปมา บีบีหน้าหงิกยกมือโบกให้สร้อยข้อมือและแหวนสะท้อนแสงไฟ

“ว้าย ทำไมไม่มีใครมาเทกแคร์...เลย”
มาดามสุโคลงหัวให้ต่างหูโคมระย้าแกว่ง
“ต๊าย มัวแต่ปลื้มเจ้าแสงหล้ากันหมด”
มาลารินหน้าหงิก ตรีภพมองหน้าพิมพ์ดาว
“ยังไงละเนี่ย ทำตัวไม่ถูก”
“ดีออกค่ะ ซ้อมๆ ไว้ก่อน เผื่อตอนตกกระป๋อง”
ตรีภพชะงัก
มาลารินสบถเบาๆ “เฮล”
ลูกน้องธาดาโผล่มาตรงหน้า ทุกคนรีบสงบอาการ มาลารินรีบยิ้ม
“คณะผู้ติดตามเจ้าแสงหล้าใช่ไหม เชิญที่โต๊ะทางด้านข้างเลย”
ลูกน้องธาดาพูดห้วนๆ เดินนำไป ตรีภพ พิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์ ฐาปกรณ์เริ่ม
“เอ้า คณะผู้ติดตาม ไปนั่งที่” ราเชนทร์ประชดขำๆ
ฐาปกรณ์เหน็บตาม “เดี๋ยวเขาคงเอาเศษอาหารมาเทใส่รางให้”

บีบี มาดามสุ และมาลารินไม่ขำด้วย เดินกระทืบส้นไปทางที่จัดไว้รับรอง

อ่านต่อ หน้า 4

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 14 (ต่อ)

เวลาผ่านไป แขกนั่งประจำโต๊ะอาหารของแต่ละกลุ่ม ที่โต๊ะประธาน มีเจ้าป้านางหนึ่งเป็นหลัก ถัดมาเป็นธาดา ยอดหล้า แก้ว ตรีภพ มาลาริน บีบี ฐาปกรณ์ มาดามสุ โต๊ะนั้น นั่งได้ 10 คน จึงมีที่นั่งเหลือ

พิมพ์ดาว ราเชนทร์ พิมพ์เดือน แพท กับดาราอาวุโสและบรรดาไฮโซนั่งอยู่โต๊ะถัดไป พิมพ์ดาว เหลือบดูยอดหล้า
ยอดหล้ากำลังคุยกับธาดา คล้ายกับมีตาหลังรู้ว่าถูกมองอยู่ นางเยื้อนยิ้มนิดๆ มองดูที่นั่งข้างตรีภพ
“ทำไมที่นั่งว่างไปที่นึงละคะ”
“อ๋อ เจ้าประกายพรึก มีธุระ กะทันหันน่ะครับ” ธาดาบอก
เจ้าป้าอีกนางเอาพัดบังหน้ากระซิบแต่ได้ยินทั้งโต๊ะ
“เขาว่าไปฉีดสเตมเซลส์ แล้วชักค่ะ แอดมิดอยู่”
ยอดหล้ายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเชิญใครมานั่งให้เต็มดีไหมคะ”

ในขณะที่พิมพ์ดาวนั่งเหม่อ คลำสร้อยเขี้ยวเสือไฟปลอมเส้นนั้นอยู่ มีบริกรมาโน้มตัว
“พ่อเลี้ยงขอเชิญ คุณพิมพ์ดาวไปโต๊ะโน้นครับ”
พิมพ์ดาวชะงัก ราเชนทร์ยึกยัก
“แหม เป็นผมหน่อยไม่ได้”
พิมพ์ดาวเดินไปที่โต๊ะยิ้มให้ทุกคน แล้วลงนั่งข้างตรีภพ จึงกลายเป็นภาพยอดหล้าและพิมพ์ดาวนั่งขนาบข้างตรีภพ เช่นอดีตอีก พิมพ์ดาวพยายามทำสีหน้าปรกติ ยอดหล้ายิ้มนิดๆ โน้มตัวมาพูดข้ามตรีภพ
“แปลกจริง”
“ทำไมหรือครับ”
“ฉันรู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน”
พิมพ์ดาวนิ่งฟัง จังหวะนี้บนเวที นักเปียโนกำลังเล่นดนตรี ประสานการร้องเพลงคลอเบาๆ ของนักร้องสาวเกือบสวย
“มีฉัน คุณ แล้วก็คุณพิมพ์ดาวนั่งอยู่ถัดไป ตรงหน้ามีการแสดงแบบนี้”
พิมพ์ดาวหวาดหวั่นลึกๆ แต่กลบแต่กลบเกลื่อนไว้
“หรือคะ”
“คุณเคยรู้สึกอะไรแบบนี้ไหมคะ”
ยอดหล้ามองพิมพ์ดาวใบหน้ายิ้ม แต่ดวงตาแข็งกระด้าง
“ไม่ค่อยหรอกค่ะ แต่คุณตรีอาจจะรู้สึกได้”
ยอดหล้าหันมาทางตรีภพ “ว่ายังไงคะ”
ตรีภพเริ่มรับรู้แล้วว่า 2 สาวมีอาการขับเคี่ยวกันบางประการ สุดท้ายเขาตัดสินใจโกหก
“ผมไม่ค่อยมีอาการเดจาวูอะไรนี่หรอกครับ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพ ยอดหล้ายิ้ม
“มันอาจไม่ใช่อาการเดจาวูก็ได้นะคะ”
“แล้วคืออะไรละครับ”
“มันอาจจะเป็น...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็ได้”
ยอดหล้าในคราบแสงหล้าพูดหนักแน่น พิมพ์ดาวมองนิ่ง ยอดหล้าเปลี่ยนเป็นยิ้มเหมือนพูดเล่น มาลารินมองดูสามคนแล้วสบตาบีบี

งานเลี้ยงดำเนินไป นักเปียโนเล่นเพลงรักแว่วหวาน ที่โต๊ะอาหารจัดเป็นเมนูคอร์สอาหารตะวันตก เมนคอร์สเป็นสเต็กทุกคนเริ่มกิน ยอดหล้าใช้มีดและส้อมตัดเนื้อเข้าปากเคี้ยวช้าๆ มาลารินมองดูแล้วยิ้มตาแป๋ว
“แหม เจ้าทานได้ด้วยนะคะ”
ยอดหล้ามอง แย้มยิ้ม “ฉันไม่ใช่ผีดิบนี่คะ จะได้กินแต่เลือด”
มาลารินชะงัก ทุกคนงงๆ อึ้งๆ กับบทสนทนา บีบีรีบแก้สถานการณ์
“วู้ย ลินซี่เห็นเจ้าบอบบางเป็นซุปเปอร์โมเดลก็คิดว่าเจ้างดอาหารเย็นต่างหากคะ”
พิมพ์ดาวกับตรีภพสบตากัน มาลารินปั้นยิ้มใหม่
“ใช่ค่ะ แหม...นี่เจ้าคิดว่าลินซี่ หมายความว่าอะไรคะ”
“ฉันเคยเจอคนปากอย่างใจอย่างมาเยอะ”
ยอดหล้าปรายตามองพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวอึ้ง ยอดหล้าปรายตากลับมาที่มาลาริน
“แต่คุณมาลาริน คงเป็นคนปากกับใจตรงกันนะคะ”
มาลารินยิ้มรับ ธาดายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“เจ้านี่ทั้งสวย ทั้งฉลาดพูดจริงๆ”
แก้วจับตามองดูท่าทีธาดาเป็นระยะ

นักเปียโนพรมนิ้วจบเพลงโดยการทอดเสียง บรรดาแขกซึ่งขณะนี้กำลังกินผลไม้ของหวาน ปรบมือ ไฟที่บริเวณเปียโนมืดลง
ยอดหล้าลุกขึ้นก้มศีรษะเหมือนขอตัวเดินหายไป ตรีภพมองดูพิมพ์ดาว
“ยังไงคุณ”
“งานสนุกดีออกค่ะ” พิมพ์ดาวทำท่าไม่แยแส

จังหวะนี้มีเสียงเปียโนดังขึ้นเป็นอินโทรเพลงดวงใจไพเราะอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกคนมองไปยังเวที ไฟสว่างขึ้นช้าๆ เห็นยอดหล้าอยู่ที่เปียโน นิ้วมือพรมลงบนคีย์อย่างช่ำชอง ทุกคนแปลกใจ
ตรีภพและพิมพ์ดาวมองดู ฐาปกรณ์ มาดาสุยิ้มแป้นถือว่าได้โปรโมทละครล่วงหน้า ส่วนมาลารินหน้างอหงิกรู้สึกว่าถูกแย่งความเด่นไปจนหมด
ยอดหล้าเล่นเพลง ดวงใจ แล้วทอดสายตามายังทุกคน
เพลงที่ยอดหล้าเล่นนั้นมีเพียงเสียงบรรเลงดนตรี แต่ทุกคนที่มองไปกลับเห็นเป็นภาพนางรำในชุดโบราณนับสิบกำลังฟ้อนกลางเวที รวมทั้งได้ยินเสียงร้องเพลงแว่วแทรกมา
พ่อเลี้ยงธาดามองดู นางรำที่ดูเลือนราง “โอ้โฮ มีฉายภาพด้วยหรือ”
บีบีกรี๊ดกร๊าด “ว้าย ยังกะหนังสามมิติ”

ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย ดวงตาวาววาม ชายตามาที่ตรีภพ เสียงเพลงนั้นคล้ายมีมนตราเสน่หา
ตรีภพมีอาการตกตะลึงจังงัง มองอย่างหลงใหล
“ไพเราะเหลือเกิน”
พิมพ์ดาวมองดูด้วยท่าทีแล้วหึงหวงวูบขึ้น ระคนแปลกใจที่ยอดหล้าเล่นเพลงนี้ได้
ยอดหล้ายังคงบรรเลงเพลง
บรรดาผู้ชายทั้งโต๊ะ มีอาการยิ่งกว่าตรีภพ
โดยเฉพาะราเชนทร์ “สวย ทั้งสวย ทั้งเซ็กซี่”
ตฤณมองดูยอดหล้า อ้าปากค้าง พิมพ์เดือนมองดูอย่างรังเกียจ
“นี่คุณหุบปากหน่อย”
ตฤณหุบปากค้อนพิมพ์เดือนแล้วหลงใหลต่อ
ฐาปกรณ์เองก็เคลิบเคลิ้มโอบมาดามสุ มือบีบเนื้อหลังมาดามสุสะดุ้งเฮือกตาวาว พ่อเลี้ยงธาดาดวงตาวาววามด้วยแรงปรารถนา ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวเหมือนระงับอารมณ์ หันมาเห็นเจ้าป้าเหี่ยวอยู่ในระยะประชิดก็หมดมู้ด
ยอดหล้ามองมายังดูตรีภพอีก แล้วยิ้มนิดๆ
ตรีภพยิ้มตอบ พิมพ์ดาวเม้มปากเชิดหน้านิดๆ
แก้วมองดูยอดหล้าอย่างยกย่องไหลหลง แล้วมองตามสายตามาที่ตรีภพ มีแววยอก แสลงใจระคนริษยาปรากฏขึ้น พ่อเลี้ยงธาดามองยอดหล้าอย่างหมายมั่น

มุมหนึ่งนอกห้องจัดเลี้ยงมีทางเดินยาวที่หลังรูปปั้นแนวกรีกโรมัน พ่อเลี้ยงธาดาคุยอยู่กับราเชนทร์
“หา พ่อเลี้ยงจะให้พ่อผมวางยาเจ้าแสงหล้า” ราเชนทร์ตกใจแหกปากลั่น
ธาดาสะดุ้งเหลียวซ้ายแลขวา “ไอ้บ้า นี่อยากให้คนทั้งงานได้ยินหรือ”
“โธ่ ก็ทีแรกพ่อเลี้ยงบอกจัดงานนี้เพื่อให้ได้ใกล้ชิด ทำความรู้จักเจ้าไม่ใช่หรือ ทำไมเกิดจะใจร้อนขึ้นมา”
ราเชนทร์มีอาการหวงอยากเอาได้ไว้เองจึงอิดออด ธาดาโคลงศีรษะหน้าแดงมันด้วยแรงปรารถนา
“ไม่รู้..ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ขนาดนี้ ทนต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ ไอ้เชน..ลงมือได้เลย”
ราเชนทร์อึ้งไปนิดแล้วตัดใจ
“ได้เลย พ่อเลี้ยง จัดให้ จัดไป”

ยอดหล้าเล่นเปียโนเพลงดวงดาวจบลง แขกในงานยิ่งเคลิบเคลิ้มคลั่งไคล้ แขกผูชายแทบทุกคนลุกขึ้นปรบมือ แขกผู้หญิงปรบมือมีทั้งชื่นชม ริษยาตามแต่จริตตน
ตรีภพรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล พิมพ์ดาวมองดูท่าทีอย่างแปลกใจ
ยอดหล้าลุกขึ้นยืน แล้วก้มศีรษะนิดหนึ่ง ไม่ใช่ท่าทีขอบคุณแต่เหมือน ‘เอาล่ะ พอได้’
เจ้าป้าแปลกใจ มาลารินยิ้มเยาะ
ยอดหล้าทอดสายตามาที่ตรีภพ ตรีภพมองตอบ แก้วมองดูท่าทีของทั้งสองอย่างใจหาย ยอดหล้าก้าวลงจากเวที เดินกลับมาที่โต๊ะ มองดูตรีภพ ตรีภพลุกขึ้นก้าวไปเหมือนจะรับ แต่ธาดาพรวดมาขวาง ยอดหล้าชะงัก ไม่พอใจมากแต่ยิ้มๆ นิดๆ
“ไพเราะเหลือเกินครับเจ้า” พ่อเลี้ยงชมชื่น
“ฉันทราบดีค่ะ”
ธาดาหัวเราะ พายอดหล้ามาที่โต๊ะ ยอดหล้ามานั่งลง
“นี่เจ้าเล่นเปียโนมากี่ปีแล้วครับ”
“ฉันเพิ่งเล่นครั้งแรก เมื่อกี้นี้เองค่ะ”
ทุกคนหัวเราะคิดว่า เจ้าแสงหล้า พูดเล่น
“วุ๊ย ถามจริง” บีบีไม่อยากเชื่อ
“ฉันก็ตอบจริงๆ นะคะ”
ตรีภพชมจากใจจริง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงเป็น อัจฉริยะด้านดนตรี”
ยอดหล้าเย้า “ฉันควรจะได้รับฉายานี้ไหมคะนี่”
พิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น “แต่ก่อนนี้ ที่คุ้มเวียงแก้วก็มีเจ้านางคนนึงที่เป็นอัจฉริยะทางดนตรี”
ยอดหล้าชะงักมองพิมพ์ดาว
“ใช่ ใช่ เป็นมือซึงในตำนานเลย” ฐาปกรณ์เสริม
พิมพ์ดาวบอกต่อ “ค่ะ เจ้ายอดหล้า เป็นอัจฉริยะทางดนตรี เธอเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด ถ้าเธอ อยู่มาจนถึงทุกวันนี้”
มาลารินขมวดคิ้ว ฉงนกับคำพูดนั้นมองพิมพ์ดาว ยอดหล้ายิ้มพราย
“เธอคงเล่นเปียโนได้ อย่างที่เจ้าเล่น” พิมพ์ดาวบอกอีก
“มันคงอยู่ในดีเอ็นเอ นะฮะ” แก้วว่า
“ไม่ใช่หรอกคะ มันจารึกไว้ในจิต ในวิญญาณต่างหาก”
ยอดหล้าบอก พร้อมกับยิ้มหวานแต่ดวงตากระด้าง ตรีภพยิ้มอย่างหลงใหล มาลารินมองดูพิมพ์ดาว รู้สึกว่าพิมพ์ดาวสงสัยเหมือนตน
ธาดาเหลือบดูราเชนทร์ที่ยืนอยู่ บริกรถือถาดเหล้าเดินผ่านมา ราเชนทร์คว้ามาถือไว้ 2 แก้ว
ราเชนทร์ถือแก้วเหล้าออกมาจากห้องจัดเลี้ยง สู่ระเบียงที่งดงามด้วย สวนดอกไม้ ซุ้มไม้เลื้อย และน้ำพุหลากสี ตรงมาที่ริมบ่อน้ำพุ ซึ่งยอดหล้ายืนระทวยอยู่มองดูน้ำพุอย่างชอบใจ ราเชนทร์ก้าวมาทางด้านหลังมองอย่างปรารถนา ยอดหล้าหันมาแล้วสะดุ้งเอามือทาบอก
“อุ๊ย”
“ผมเองครับ เจ้า”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย “คิดว่าใคร คุณนั่นเอง”
“ผมมีเครื่องดื่มมาให้เจ้าด้วยครับ”
“ดีจริง กำลังคอแห้งอยู่พอดี”
ราเชนทร์ส่งแก้วเหล้าใบหนึ่งให้ยอดหล้ารับไปจิบ อย่างลองรสชาติ แล้วตาโตดื่มแล้วดื่มเล่า ราเชนทร์จิบเหล้าจากแก้วในมือ มองดูตาวาว

ครู่ต่อมา ตรงทางเดินยาวบนชั้นสามสูงจากห้องจัดเลี้ยง ส่วนนี้เป็นห้องวีไอพีไม่มีผู้คนราเชนทร์ประคองยอดหล้าที่เดินเซซังมา ยอดหล้ามีอาการมึนเมาเลื่อนลอย
“ระวังครับเจ้า”
ราเชนทร์มาหยุดหน้าห้องหรูห้องหนึ่งใช้คีย์การ์ดไขเข้าไป

เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ดนตรีบรรเลงเพลงเต้นรำแนวบอลรูม บรรดาแขกในงานลงไปวาดลวดลายกันในฟลอร์หลายคู่
พ่อเลี้ยงธาดานั่งอยู่ในมุมมืด ลูกน้องคนหนึ่งเดินมากระซิบข้างหู ธาดายิ้มตาวาว

ภายในห้องวีไอพีตกแต่งอย่างหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นสไตล์หลุยส์ ปิดทองแกะสลักยุบยับ มีโคมระย้ามหึมา ยอดหล้านอนระทวยบนเตียง ราเชนทร์ยืนกระสับกระส่ายอยู่กลางห้อง แล้วหันมาดูยอดหล้าด้วยความเสียดาย
ยอดหล้าขยับตัวครางเบาๆ เอียงหน้ามา ชันเข่าขึ้น ผมรุ่ยร่ายเซ็กซี่ กระโปรงราตรีแหวกสูงไปถึงต้นขา ราเชนทร์ยืนอึ้ง แล้วผวาไปคุกเข่าลงข้างเตียง จับมือยอดหล้ามาจูบ
“โธ่ เจ้า เจ้าไม่น่าต้องมาเป็นเหยื่อไอ้พ่อเลี้ยงนั่น”

ยอดหล้าเอามือลูบไล้คอตนเองแล้วลดมือเลื้อยไล่ไปบนทรวง ราเชนทร์ตาวาวตัดสินใจบางอย่าง

ฟากพ่อเลี้ยงธาดาเดินยิ้มย่องหื่นกามมาตามทาง พลางถอดสูทออก ปลดโบว์ไทกระดุมคอราวกับจะไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว

เวลาเดียวกันนั้นรถของราเชนทร์แล่นมาตามถนนในเมืองเชียงใหม่ยามราตรี แสงสีจากสถานบันเทิงวูบวาบตามรายทาง
ราเชนทร์ขับรถตรงไปแล้วเหลือบดู บนที่นั่งข้างๆ ยอดหล้าหลับซบประตูหน้าเบียดกระจก รอยผ่าแหวกสูงเห็นต้นขา แขนเสื้อตกไหล่เห็นเนินอกหมิ่นเหม่
ราเชนทร์มีอาการเปลี่ยนใจ แสงไฟจากป้ายโรงแรมม่านรูดทาบลงมาบนกระจกหน้ารถ ราเชนทร์เลี้ยวรถขวับไปยังโรงแรมม่านรูด
สวรรค์ม่านรูดชนิดมีเตียงกลม ติดกระจกเงาที่เพดานและรอบๆ ห้อง ทำให้เกิดเงาสะท้อนมากมาย ราเชนทร์อุ้มยอดหล้ามาตั้งใจจะวางบนเตียง แต่กลับเสียหลักล้มโครมลงไปทาบทับ ยอดหล้าร้องอุทาน ปรือตาขึ้น ราเชนทร์ตาเยิ้ม
“เจ้าครับ..นี่ผมเอง”
ยอดหล้าชันตัวขึ้น กระถดถอย ดวงตาคล้ายตกใจ แต่ยั่วยวนไปพร้อมกัน

ด้านพ่อเลี้ยงธาดาก้าวมาในห้องวีไอพี โยนเสื้อนอกโบว์ไทลงพื้น แล้วชะงักเมื่อเห็นบนเตียงนอนว่างเปล่า
“ไอ้เชน นี่มึงกล้าเล่นตลกกับกูหรือ”
ธาดาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่มีเสียงน้ำดังแว่วมา ธาดาหันไปดู
ประตูห้องน้ำแง้มไว้ ธาดาโผล่มา ที่อ่างน้ำ ยอดหล้าแช่น้ำสบู่แค่อกผมเปียกชื้น กำลังกรายแขนมาขัดถู แล้วมองมาเห็นธาดา
“อุ๊ย”
“อย่าตกใจครับเจ้า นี่ผมเอง”
ยอดหล้าไม่ได้ตกใจเท่าที่ควรจะเป็น เอามือข้างหนึ่งปิดอก ชม้อยชม้ายชายตา ธาดายิ้มออกก้าวเข้าไปหาอย่างกระหื่นกระหาย

สองเหตุการณ์ในสองสถานที่ สองชายกำลังเริงสวาทอยู่กับเจ้าแสงหล้าเช่นเดียวกัน โดยที่ม่านรูดราเชนทร์ทาบทับบนร่างยอดหล้า ยอดหล้าหัวเราะระริก
ส่วนในห้องวีไอพี ธาดาอุ้มยอดหล้าที่มีผ้าขนหนูผืนยาวกระโจมอกมาโยนลงบนเตียง ยอดหล้าคิกคัก
ราเชนทร์ซุกไซ้ซอกคอ ยอดหล้าสยิวกาย
ธาดาเอามือยอดหล้ามาจูบ ยอดหล้าตบหน้าธาดาผัวะ ธาดาหน้าหัน แต่กลับหัวเราะ ฮาๆ โถมตัวใส่
ยอดหล้า พลันพลิกกายขึ้นอยู่เบื้องบน ราเชนทร์นอนหลับตาพริ้ม ครวญคราง ใบหน้างามของยอดหล้า กลับมีใบหน้านางผันวูบขึ้น สีหน้านั้นแสนสุขสม
ฟากธาดานอนคว่ำยอดหล้านั่งอยู่บนหลัง ผมรุ่ยร่ายโยกตัวไปมา มีใบหน้านางเผื่อนซ้อนทับ หน้าตาหื่นกว่าธาดาอีก

ด้านยอดหล้าตัวจริงยืนอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ประดับ มีดวงตาขบขัน ปากยิ้มเยาะ แก้วยืนมองอยู่ด้านหลัง ขณะนั้นในฟลอร์มีแขกลงไปวาดลวดลายกัน
“มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาง”
“มีเรื่องผิดฝาผิดตัว...แต่ว่าเจ้าอย่ารู้เลย”
“คืนนี้ ดูเหมือนเจ้านางจะชนะใจทุกคน”
“ไม่หรอก แต่ข้าขอชนะใจแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ตรีภพก้าวมามองยอดหล้าอย่างชื่นชม แก้วหน้าเจื่อนลงไปถนัด ยอดหล้ายิ้มให้ตรีภพ
“เจ้าอยู่นี่เอง...นี่ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
ตรีภพมองแก้วเห็นท่าทีเย็นชา แววตาไม่พอใจวูบหนึ่งก็ชะงัก
“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่มีธุระอะไรกับเจ้าแก้ว”
แก้วยิ้มข่มขื่น
“ใช่ ตอนนี้ดูเหมือนฉันไม่มีบทบาทหน้าที่อะไรแล้ว” เขาก้มหัวให้ยอดหล้า “ขอตัวนะครับเจ้า”
แก้วเดินไป ตรีภพมองตามอย่างแปลกใจ
“พี่แก้วพูดอะไรแปลกๆ”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีธุระอะไรหรอกครับ แค่อยากได้รับเกียรติเต้นรำกับเจ้า”
ยอดหล้ายิ้มพราย “คิดว่าคุณจะไม่ขอเสียแล้ว”
ตรีภพส่งมือให้ยอดหล้าจับ เดินลงไปในฟลอร์

ตรีภพพายอดหล้าลงไปในฟลอร์เต้นรำ ที่มีแขกไฮโซเต้นรำกันอยู่ เห็นฐาปกรณ์ มาดามสุ ตระกองกันเต้นอยู่ มาลารินเต้นกับไฮโซแก่ตัณหากลับ ตรีภพพายอดหล้าไปกลางฟลอร์ พอดีกับเพลงจบ เพลงใหม่เป็นเพลงดูเร้นลับยั่วยวนดังขึ้นแทน แสงในฟลอร์กลายเป็นสีเขียว อาบไปทั่ว
ตรีภพพายอดหล้าก้าวไปตามจังหวะอย่างสวยงาม ยอดหล้าก้มดูเท้าราวกับยังไม่มั่นใจตรีภพนำ ยอดหล้าเต้นได้ไม่ตะกุกตะกัก แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับตรีภพ
“เจ้าเต้นรำเก่งนะครับ”
“ขึ้นอยู่กับคนนำต่างหากคะ”
ตรีภพยิ้มพายอดหล้าก้าวไปตามจังหวะ

พิมพ์ดาวหลบมุมเสาต้นหนึ่งมองดูตรีภพและยอดหล้า เห็นสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
พิมพ์ดาวมีอาการหวงแหน หวั่นใจ รวมถึงหวาดกลัว เจ้าแสงหล้าคือใครกันแน่?
แก้วก้าวมาหาเงียบๆ พิมพ์ดาวเกือบสะดุ้ง ยิ้มให้ แก้วขยับมายืนเคียง

มาลารินพาไฮโซสูงวัยออกจากฟลอร์ ไฮโซรีบนั่งดมยา มาลารินฉีกยิ้มก้าวมาหาบีบี
“ยังไงยะ”
“ถ้าเต้นต่อตาแก่นั่นตายคาฟลอร์แน่ค่ะ”
มาลารินสอดส่ายตาหาตรีภพ “เห็นคุณตรีไหมคะ”
“นู่นไง เต้นกับเจ้าแสงหล้าอยู่ อู๊ย แม่เจ้าเครื่องเพชรเจ้าคืนนี้อลังการกว่าคืนก่อนอีก”
มาลารินหน้าหงิก
“อย่ามัวหน้างอคอคอด คุณตรีไม่ว่าง หล่อนก็ยังมีเป้าหมายอื่น คุณแก้วไงยะ หล่อนบอกว่าหล่อนก็เล็งไว้ไม่ใช่หรือ”
มาลารินยิ้มออก ตาแป๋ว มองหาจนเจอ “อุ้ย อยู่โน่นไง”
สองคนมองไป พบว่าแก้วกับพิมพ์ดาวก้าวสู่ฟลอร์เต้นรำ มาลารินชะงัก หน้าบึ้ง กระทืบเท้า
“ยายพิมพ์ดาว ชิท”
“ต๊าย มัวแต่ชักช้า นังพิมพ์ดาวปาดหน้าเค้กไปแล้ว”

ยอดหล้าช้อนตามอง ยิ่งงามบาดตาบาดใจ ตรีภพมองอย่างเคลิบเคลิ้ม
“ดูเหมือนวงสังคมที่นี่ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับเจ้าเป็นสมาชิกใหม่”
“สังคมที่มีแต่คำยกยอ ใส่หน้ากากยิ้มแย้มเข้าหากันนะหรือคะ”
ตรีภพเลิกคิ้ว แล้วยิ้ม “เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่สังคมชั้นสูงหรอกครับ ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น”
“ค่ะ เขาว่า ว่าอะไรนะคะ คนเรารู้หน้า...ไม่รู้ใจ”
ยอดหล้ามองข้ามไหล่ตรีภพไปยัง พิมพ์ดาวที่เต้นคู่กับแก้ว แล้วยิ้มหยัน

พิมพ์ดาวเต้นรำกับแก้วอย่างเข้าขา แก้วมองพิมพ์ดาว มีแววพินิจพิเคราะห์อยู่ พิมพ์ดาวยิ้มจริงใจ
“คุณแก้วสบายดีนะคะ”
“ทำไมถึงถามผมอย่างนั้น”
“ขอโทษนะคะ ถ้าละลาบละล้วง ฉันรู้สึกว่าดูคุณแก้วไม่ค่อยสบายใจอะไรบางอย่าง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ภาระหน้าที่ ที่มาพร้อมกับตำแหน่งแค่นั้น แล้วคุณล่ะครับ ผมเองก็รู้สึกว่าคุณก็ดูอึดอัดใจอะไรบางอย่าง”
พิมพ์ดาวอึ้งแล้วยิ้มกลบเกลื่อน

ตรีภพพายอดหล้าเคลื่อนไปบนฟลอร์ราวล่องลอย
“ผมว่าเพื่อนนี้เรายังเลือกคบได้นะครับ...แต่ญาตินี่เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลย ยิ่งญาติสนิทยิ่งร้ายใหญ่”
“ค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องที่โตมาด้วยกัน”
“เจ้าพูดเหมือนมีความทรงจำที่ไม่ดีกับพี่น้อง”
“ฉันเคยถูกน้องสาวที่สนิทที่สุด แย่งชิงคนรักไป”
ตรีภพแปลกใจ “เจ้าพูดยังกับเนื้อเรื่องละครที่ผมเล่น”
“ละครคือภาพสะท้อนของความจริงไงคะ”

ส่วนพิมพ์ดาวยิ้มนิดๆ ดูซื่อบริสุทธิ์ใสสะอาด แก้วมองดู
“คุณแก้วเคยคิดบ้างไหมคะ ว่าความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างเนื้อเรื่องในละคร”
แก้วแปลกใจพูดตอบเรียบๆ
“ละครเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองเจ้าของเจ้ายอดหล้า นี่คือสิ่งที่เธอรับรู้และเจ็บปวด”
“ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร เจ้ายอดหล้าคือคนที่น่าสงสารที่สุดค่ะ”
แก้วชักเริ่มแน่ใจว่าพิมพ์ดาวเป็นคนมีจิตใจดีงามจริง

และเริ่มฉุกคิดว่าเจ้านางดาราราย อาจไม่ใช่คนชั่วร้ายอย่างที่ยอดหล้าบอกเล่า!!

อ่านต่อตอนต่อไป
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 13
ตกตอนค่ำ ทั่วทั้งคุ้มน้อยบริเวณส่วนเรือนของเจ้านางดารารายตกอยู่ในความมืด มีแสงประทีปส่องจากหน้าต่างห้องนอนดาราราย บนเตียงนอนสี่เสา ยอดหล้าประคองดารารายไว้ เจ้านางสร้อยคำส่งชามยาให้ ยอดหล้าป้อนยาให้น้องสาว ดารารายกลืนแล้วไอออกมานิดหน่อย “เจ้าพี่” “อย่าเพิ่งพูดอันใดเลย เจ้านอนก่อนเถิด” สร้อยคำและยอดหล้าช่วยกันประคองดารารายให้นอน โดยที่พื้นในห้องนางข้าไทคนสนิทของสร้อยคำ นางทิพย์ นางทิม คุกเข่าชะเง้ออย่างเป็นห่วง “ไข้ลดแล้วเจ้า แม่น้ำ แต่ตัวยังรุมๆอยู่ ไม่ร้อนเป็นไฟเหมือนเมื่อตอนเจอเจ้า” “ขอบใจเจ้า ยอดหล้า” สร้อยคำบอก
กำลังโหลดความคิดเห็น