คุ้มนางครวญ ตอนที่ 12
สายน้ำลดความเชี่ยวลง แต่ก็ยังคงไหลแรงพอควร ดารารายพาหลวงเทพภักดีพุ่งตัวเข้าหาฝั่ง ตรงลานหินเรียบกว้าง ดารารายดึงร่างหลวงเทพซึ่งสำลักกระอักกระไอให้นอนบนแผ่นหิน แล้วขยับถอยออกหอบจนตัวโยน ปลดหน้าไม้จากไหล่
“ให้ตายเถิด ตัวหนักเหมือนควาย”
“ขอบใจเจ้า”
ดารารายทิ้งตัวลง นอนหงายแผ่ หอบหายใจ ไม่ทันรู้ตัวว่าเสื้อนั้นแบะเปิด เห็นผ้ารัดอกสีขาวข้างใน
หลวงเทพนอนหงายเอียงหน้ามองดาราราย ที่ผ้าโพกหัวหายไปแล้วเห็นผมที่มุ่นไว้ดูใหญ่โต
“ผมเจ้าช่างยาวจริง ยังกับผู้หญิง”
ดารารายชะงัก ยกมือแตะผม สมองคิดคำแก้ตัว
“ป้อจายคนเมืองไว้ผมยาวทั้งนั้น ไม่เหมือนพวกคนใต้อย่างเจ้า แม่ญิงป้อจายตัดผมเหี้ยนกันหมด”
“ข้ารู้ว่าผู้ชายเหนือไว้ผมยาว แต่ไม่เคยรู้ว่ายาวถึงเพียงนี้”
“อย่ามายุ่มย่ามเรื่องผมข้านักเลย”
ดารารายลุกนั่ง เอามือขมวกผมให้แน่นใหม่ หลวงเทพลุกบ้าง แล้วมองดูอกเสื้อดารารายที่เปิดแบะ
“นั่นผ้าอะไร”
“เจ้าพูดอะไร”
“ผ้าที่เจ้าพันอกไว้น่ะ”
ดารารายก้มดูแล้วตาเหลือก กระชากเสื้อมาปิดทบ
“ไม่ใช่ผ้าพันอก นี่ผ้าพันแผล ข้า...ข้าล่าสัตว์ถูกหมีตะปบ พอกยา พันแผลไว้”
หลวงเทพพยักหน้าหงึกๆ “อ้อ ข้าลืมไป เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าชื่อราย...เป็นพ่อค้ามาจากเวียงแก้ว”
หลวงเทพภักดีแปลกใจ
“เวียงแก้วหรือ พวกข้ากำลังเดินทางไปเวียงแก้วพอดี ข้าชื่อ ภักดิ์”
“พักอันใด พักผ่อนนอนหลับหรือ”
“เรียกข้าว่าภักดิ์ก็พอ”
ลมดึกพัดกรูเกรียวมา หลวงเทพสยิวกาย
“ลมหนาวขนาดนี้ ใส่ผ้าเปียกๆมีหวังหนาวตาย”
หลวงเทพถอดเสื้อออกบิด น้ำไหลพรู ดารารายสะดุ้งแล้วทำหน้าเฉย หลวงเทพหันมาหา เห็นมัดกล้าม แผงอกแกร่ง ดารารายต้องเมินหน้าหนี
“เจ้าเล่า ไม่ถอดผ้าเปียกออกหรือ”
“ข้าไม่หนาว”
ขาดคำ ลมก็พัดกรูเกรียวมาอีกระลอก ดารารายกอดอกแน่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ หลวงเทพมองตาปริบๆ
สองคนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดารารายก่อไฟกองใหญ่ เอาเศษไม้เขี่ยถ่านไฟให้ลุกโชน หลวงเทพนุ่งกางเกงตัวเดียว เอาไม้มาปักใกล้ไฟ ทำเป็นที่ย่างเสื้อและผ้าขาวม้าคาดเอวให้แห้ง
“เจ้าก่อไฟเก่งจริง”
“ข้าคนป่าคนดอย ไม่มือห่างตีนห่างเหมือนเจ้า”
หลวงเทพรู้สึกเพลิดเพลิน ไม่โกรธแม้โดนแขวะ ดารารายยังคงหนาวตัวสั่น
“ผ้าขาวม้าข้าแห้งแล้ว เจ้าเอาไปนุ่งก่อนก็ได้”
หลวงเทพส่งผ้าขาวม้าให้ ดารารายลังเล
“ข้าไม่อยากให้เจ้าหนาวตาย” เห็นดารารายอ่อนลง “ข้าขี้เกียจฝังศพเจ้า”
ดารารายตาเขียว กระชากผ้าขาวม้ามา เอาผ้าขาวม้าคลุมตัว เสื้อถูกย่างอยู่เหนือไฟ หลวงเทพกลับเสื้อดารารายให้
“แปลกจริง”
“อันใด”
“เสื้อผ้าเจ้าหอมยังกับดอกไม้”
“ใช่ ไม่เหมือนผ้าต่องเจ้า เหม็นสาบยิ่งนัก”
หลวงเทพรู้ว่าดารารายประชด จึงแกล้งเอียงหน้าก้มลงดมซอกแขนตัวเองซ้ายขวา
“เจ้าใส่ความข้า เนื้อตัวข้าหอมรวยรื่น เจ้าลองดมดูก็ได้”
ดารารายสะดุ้ง “เจ้าเก็บไว้ให้เจ้าหัวหน้าโจรนั่นซุกไซ้ดอมดมเถิด”
“เจ้าโจรนั่นลักเพศ โหดเหี้ยม หยาบช้า ขอให้มันตายเป็นผีน้ำเถิด”
“มันเข่นฆ่าท่านลุง ไม่รู้ว่าพี่น้องข้าจะเป็นอันใดบ้าง”
ดารารายน้ำตาคลอ “โธ่เอ๋ย พี่ทิพย์ พี่ทิมจะถูกพวกโจรทำอันใดบ้างก็ไม่รู้”
หลวงเทพมองดูแล้วสงสาร ขยับมานั่งเคียง โอบไหล่ดาราราย ดารารายเช็ดน้ำตา
“อาจไม่เป็นอะไรก็ได้ พวกข้าอาจจะมาช่วยได้ทัน”
ดารารายพยักหน้า แล้วนึกออกว่าหลวงเทพมาโอบไหล่ ร่างท่อนบนเปลือยเปล่ากำลังแนบตัวอยู่
“ถอยไป ไม่ต้องมาโอบข้า”
ดารารายปัดมือเขาออก มือหลวงเทพดึงผ้าขาวม้าหลุดไปด้วย เหลือแต่ผ้ารัดอก ดารารายร้องอุทาน
“เฮ้ย”
หลวงเทพขยับถอยออกมา ดวงตามีแววขบขันบางอย่าง ดารารายค้อนตาเขียว รีบดึงผ้าขาวม้ามาปิดคลุมตัวใหม่ หลวงเทพลงนั่งขัดสมาธิ เขี่ยไฟเล่น
“แล้วเราจะทำอะไรต่อไป”
“น้ำพัดพาเรามาไกลยิ่ง ถ้าเราเดินย้อนกลับไปคงไม่ได้การแล้ว”
“แล้วจะยังไงดี”
“เราควรกลับไปเวียงแก้ว ข้าจะนำทางเจ้าไปเอง”
เช้าวันต่อมา ที่ลานหลังคุ้มน้อย ยอดหล้าโปรยปรายข้าว ฝูงนกพิราบ นกเขา นกกระจอกกินกันอยู่เต็มลาน นางผัน นางเผื่อนถือกระบุง ยืนหน้าหงิก เกลียดนกอยู่ด้านหลัง
“กินข้าวเถอะ นกน้อยๆของข้า ดารารายไม่อยู่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวหรอก”
ฝูงนกร้องจ๊อกแจ๊ก จอแจ ทันใดนั้นมีเสียงร้องกายาว ยอดหล้าแหงนดูแล้วยิ้ม
“เจ้ากาตัวน้อย เจ้าก็มาหรือ”
ยอดหล้ายื่นแขนไป อีกาดำตัวใหญ่บินลงมาเกาะแขน เอียงคอดูยอดหล้า
“ดูซี ผัน เผื่อน มันเชื่องถึงปานนี้แล้ว”
นางผัน นางเผื่อนฉีกยิ้ม ทำรักสัตว์ขึ้นมากะทันหัน
“ก็เจ้านางช่วยมันจากเจ้านางน้อยนี่เจ้า”
“ทั้งยังเยียวยามันอยู่ตั้งร่วมเดือน”
ยอดหล้าเอาอีกมือกอบข้าวยื่นไปให้ อีกาใหญ่มองเหมือนขอบใจ แล้วกินอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องรีบ ดารารายไม่อยู่ เจ้าไม่ต้องรีบกินหรอก”
อีกาชะงักหันมามองหน้ายอดหล้า แล้วร้องแก๊กๆๆ ยอดหล้าหัวเราะกิ๊ก
“ข้ารู้ว่าเจ้าชังน้องข้า แต่ความจริงน้องข้ามิได้ชั่วร้ายหรอก”
อีการ้องแก๊กๆๆ อีก คล้ายเถียง นางผัน นางเผื่อนลอยหน้าใส่ไฟ
“ไม่จริงมั้งเจ้า เจ้านาง”
“แม้แต่อีกาก็ยังรู้เลย ว่าเจ้านางน้อยร้ายกาจแค่ไหนเจ้า”
ยอดหล้าทำตาเขียวใส่ นางผัน นางเผื่อนคอหด ยอดหล้าหันมาหาอีกา
“เจ้าจะคุมแค้นไปถึงไหน จงให้อภัย เลิกแล้วต่อกันเถิด”
ทันใดมีเสียงม้าร้องก้องกึก พร้อมกับเสียงผู้ชายเอ็ดอึง อีกาและฝูงนกแตกฮือบินขึ้นโกลาหล ยอดหล้าเอามือป้องหน้า นางผัน นางเผื่อนร้องวี้ด นั่งยองๆ ลง
“ว้าย”
“อีนกบ้า อีนกผี”
ยอดหล้ามองไป เห็นแสนหลวง บ่าวไพร่ในคุ้ม 2-3 คน กำลังรุมล้อม พยายามจับม้าวายุที่พยศ แต่ไม่มีใครเข้าใกล้ได้
“เกิดอันใด”
“เจ้านาง ไม่รู้เกิดอันใด ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ม้าวายุตื่นพังคอกออกมา” บ่าวรายงาน
“ดารารายไม่อยู่ ผู้ใดจะจับมันได้”
“นั่นซี เจ้านาง ข้าบาทไม่รู้จะทำเช่นใดแล้ว”
ยอดหล้าก้าวไป ยื่นมือออก เมตตาบารมีแผ่จากดวงตาและปลายนิ้ว
“วายุ วายุ พอเถิด”
ม้าวายุร้อง หยุดยืน ยอดหล้าก้าวไป ลูบคอมัน มันมองดูยอดหล้า ดวงตาร้อนรน
“เกิดอันใดขึ้น เจ้าตื่นกลัวอันใด”
ม้าวายุขยับโยกคอ ผงกหัวขึ้นลง
“ดารารายไปเวียงไชย เจ้าคิดถึงดารารายหรือ”
ม้าวายุร้องฮี้ราวรับคำ แล้วหันตัววิ่งตะบึงไป ข้าไทร้องเอะอะวิ่งตามอีก ยอดหล้ากังวลใจ
“คงไม่เกิดเรื่องอันใดนะ คุณพระ คุณเจ้า ช่วยคุ้มครองน้องข้าด้วยเถิดเจ้า”
ป่าดงดิบ ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนาจนแสงแดดส่องไม่ถึงพื้น ดารารายเดินนำคล่องแคล่ว หลวงเทพเดินตามมีอาการเหนื่อย หยุดปลดกระบอกไม้ไผ่ที่ร้อยเถาไม้คล้องไหล่มาดื่ม ดารารายชะงักฝีเท้าหันมามองอย่างหมั่นไส้ ดารารายเอาผ้าคาดเอวมาโพกผม
“หยุดอีกแล้ว อย่างนี้เมื่อไหร่จะถึงเวียงแก้ว”
หลวงเทพภักดีไม่สนใจ ดื่มต่อ ดารารายกระโดดมาถึงตัว กดกระบอกลง
“พอๆ เดี๋ยวน้ำหมด แล้วเจ้าจะเอาที่ไหนกิน”
“ก็น้ำของเจ้าไง”
“เรื่องอันใด น้ำส่วนของข้าก็ของข้า ไปต่อ”
หลวงเทพเดินตามแล้วมองดูรอบๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“นี่เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ารู้ทาง”
ดารารายหมั่นไส้ “เฮอะ ข้าเป็นว่านเครือจอมพราน ชำนาญหนทางยิ่ง”
“เจ้าไม่พาข้าหลงแน่นะ”
“ป่าแถบนี้ ข้ารู้จักดีราวฝ่ามือข้าเอง”
หลวงเทพเท้าสะเอวมองดารารายอย่างอ่อนใจ “ฝ่ามือเจ้าน่าจะมีปัญหาแล้ว มาดูนี่”
หลวงเทพชี้ที่ต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้ทางเลี้ยวหนึ่ง อันเป็นเส้นทางสัตว์เดิน
“ดูอันใด”
“นี่”
ดารารายมองดูเห็นเปลือกไม้มีรอยบากเป็นลูกศร
“แล้วทำไม ก็แค่มีคนบากต้นไม้ไว้เป็นเครื่องสังเกต เจ้าไม่รู้ดอกหรือ”
“ใช่ ข้าไม่รู้ ข้าไม่ใช่ลูกหลานจอมพรานเช่นเจ้า” ดารารายกอดอกอย่างภาคภูมิ “แต่ที่ข้ารู้ก็คือ รอยลูกศรนั่นข้าบากไว้เองด้วยมีดนี้ เมื่อชั่วยามก่อน”
หลวงเทพชูมีดสั้นที่ยังคงเหลือติดตัว ดารารายอึ้ง หลวงเทพยิ้มสะใจ
“อันใด”
“ไม่มีอันใด แค่จอมพรานอย่างเจ้า พาข้าเดินเป็นวงกลมอยู่ทั้งวันเท่านั้นเอง”
ที่เพิงหินใกล้เชิงเขาในเวลาต่อมา ดารารายและหลวงเทพหยุดพัก ก่อกองไฟใหญ่ ทั้งยังก่อกองไฟเล็กๆ รายรอบ หลวงเทพนั่งเขี่ยอะไรอย่างหนึ่งในไฟ ดารารายเหลาไม้ทำเป็นลูกดอกในยามฉุกเฉินที่ลูกดอกตกน้ำหายหมด
“เอาออกจากไฟได้แล้วหรือยัง”
“ลองดูซี”
หลวงเทพภักดีเอาก้อนดินเหนียวที่ถูกเผาจนสุกออกจากกองไฟ แล้วเอาหินทุบแบะออกเห็นไก่ป่าสุกส่งควันฉุย ดารารายขยับมาดู หลวงเทพยิ้มร่า
“สุกพอดีเลย เจ้านี่เก่งแท้ ทั้งยิงไก่ป่า ทั้งรู้วิธีปรุง”
“ก็ข้าเป็น…”
หลวงเทพพูดต่อ “ลูกหลานจอมพราน ข้าจำขึ้นใจแล้วเจ้าไม่ต้องพูดหรอก”
ดารารายเองชะงักคำพูด เพราะยังอับอายอยู่ที่หลงป่า แต่เมื่อหลวงเทพกระเซ้าก็ยิ่งอายจนพาล เลยร้องฮึ สะบัดหน้าพรืด หลวงเทพอมยิ้ม ลงมือฉีกไก่ใส่ใบไม้ใหญ่ส่งให้
“ของเจ้า”
“ข้าไม่หิว” ดารารายไม่รับ แต่ท้องเจ้ากรรมร้องดังสนั่น ดารารายยิ่งอับอาย
“ปากเจ้าไม่หิว แต่ท้องเจ้าหิวแล้ว”
ดารารายกระชากใบไม้มา หลวงเทพเริ่มกินไก่ของตัวเอง ดารารายกรีดนิ้ว เล็มกินคำเล็กๆดูงดงาม หลวงเทพมองดู
“ทำไมเจ้าต้องก่อไฟกองเล็กกองน้อยล้อมไว้ด้วย”
“เรามาพักในเพิงหินติดเขาอย่างนี้ ตามโพรงหินอาจมีงูพิษ แมงพิษอยู่”
หลวงเทพมีอาการแขยงงูขึ้นมา
“มีงูหรือ แย่แล้ว งูมันกลัวไฟใช่ไหม ข้าจะได้นอนใกล้ๆไฟ”
“ใครบอกเจ้างูมันขี้หนาว มันชอบที่อุ่น บางคนนะพอตื่นเช้ามามีงูเห่ามาขดอยู่กลางอก บางคนยิ่งแล้วใหญ่ งูมันเลื้อยเข้าในเตี่ยว”
หลวงเทพตาเบิกโพลงร้องอุทาน “ตายโหง”
ดารารายยิ่งสะใจที่เห็นหลวงเทพกลัวงู
“ใช่แล้ว ถูกงูกัดย่อมตายโหง”
หลวงเทพค้อน เอาหลังมือป้ายเหงื่อที่หน้าผากมาเช็ดกับขากางเกง ดารารายทำท่ายี้
“เหนียวตัวจริง ตรงนั้นมีน้ำตกเล็กๆ กับแอ่งน้ำ เดี๋ยวข้าไปอาบน้ำดีกว่า เจ้าไปอาบน้ำกับข้าไหม”
ดารารายสะดุ้ง รีบบ่ายเบี่ยง “หนาวจะตาย ข้าไม่อาบ”
“ห๊ะ ทีนี้ใครกันแน่ที่เหม็นสาบ”
ดารารายเชิดใส่ หลวงเทพมีแววยิ้มที่ดวงตา
“อ้อ หน้าอกเจ้า”
ดารารายสะดุ้งหนักกว่าเดิม “อันใด เจ้าพูดถึงหน้าอกข้าทำไม”
“อ้าว ก็เจ้าบอกถูกเสือตะปบหน้าอก พอกยา พันแผลไว้ไง”
“ใครบอกเจ้า ข้าถูกเสือตะปบที่หลังต่างหาก”
หลวงเทพยิ้มมุมปาก พยักหน้า
“อ้อ ด้านหลัง มิใช่ด้านหน้า แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ให้ข้าช่วยดูให้เจ้าไหม”
ดารารายยก 2 มือกอดอก “ไม่ต้อง! อย่ามายุ่งกับอก เอ๊ย หลังข้า”
หลวงเทพฉีกไก่กินต่อ ดารารายเชิดหน้า
ตกกลางคืน ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงส่องแสงสว่างบนท้องฟ้า แต่ป่าเบื้องล่างก็ยังดูทึบทะมึน
ไฟกองใหญ่เหลือเปลวแค่ครึ่งเดียว ไฟกองเล็กกองน้อยโดยรอบก็เหลือน้อยลง หลวงเทพและดารารายนอนหลับอยู่คนละด้านของกองไฟใหญ่ เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงม
สองคนหลับสนิท ไม่รู้ตัวว่าบางอย่างเคลื่อนไหวในความมืดของป่ารอบนอก มีจุดแสง 2 จุดเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา เสียงแมลงกลางคืนดังระงมพลันเงียบไปราวปลิดทิ้ง
จุดแสงไฟนั้นขยับลับหายไป แล้วปรากฏวูบใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาอีก จนเมื่อแสงจากกองไฟส่องกระทบถึงพบว่าแสงนั้นเปล่งออกมาจากดวงตาเรืองแสง ของ ผีขาเดียว ที่แสยะปากเห็นเขี้ยวซับซ้อนมองดารารายและหลวงเทพภักดีอยู่
ดารารายและหลวงเทพยังคงนอนหลับนิ่ง แสงไฟวอมแวมส่องทาบลงบนตัวผีขาเดียว มันจ้องดูดารารายและหลวงเทพ ตัวโยกส่ายบนขาข้างเดียวราวงูจงอางแผ่แม่เบี้ย แล้วขยับตัว ร่างมันลอยวูบขึ้น ทิ้งตัวลงใกล้เขตไฟ
ผีขาเดียวมองดูดารารายและหลวงเทพอีก แล้วพ่นควันสีเขียวออกจากปาก ควันนั้นลอยฟุ้งไปยังหลวงเทพและดาราราย
ดารารายลืมตาขึ้น ควันฟุ้งมาถึงหน้า ดารารายผิดสังเกต ขยับจะลุก แต่ร่างกลับฟาดกลับไปที่พื้น ดารารายพยายามขยับนิ้วมือนิ้วเท้า แต่กลับขยับได้เพียงเล็กน้อย
ดารารายตาเบิกกว้าง เอียงหน้าไปเห็น เจ้าภักดิ์ นอนเอาผ้าขาวม้าคลุมโปงอยู่ ไม่รู้สึกรู้สา ดารารายร้อง แต่เสียงออกมาค่อยกว่าเสียงกระซิบ
“เจ้า...ภักดิ์”
หลวงเทพยังคงนอนแน่นิ่ง
ผีขาเดียวกระโดดวูบมาข้างตัวดาราราย ดารารายเบิกตากว้าง ผีขาเดียวงอขาย่อตัวลดลง เห็นใบหน้าสยองขวัญ ดารารายผงะ อยากกรีดร้องแต่มีเพียงเสียงในคอ ผีขาเดียวแสยะปาก เห็นเขี้ยวสลับซับซ้อน มือที่มีเล็บโง้งยื่นมา กรีดขากางเกงดารารายขาดวูบไปถึงโคนขา
ดารารายพยายามขยับ แต่ไม่เป็นผล
ผีขาเดียวพลันยื่นลิ้นออกมา ลิ้นนั้นยาวยืดราวหลอดดูด ที่ปลายลิ้นมีรูเปิด รอบรูนั้นมีเขี้ยวอยู่รายรอบ ปลายลิ้นยื่นลงจ่อโคนขาอ่อนดาราราย
ดารารายผวาเฮือก
ทันใดผีขาเดียวก็ผงะ มีหอกไม้อันหนึ่งเสียบติดกลางหลัง มันยืดกายพรวดขึ้น หันมาเห็นหลวงเทพยืนจังก้า ในมือถือหอกไม้ปลายแหลมอีกอันหนึ่ง มีผ้าขาวม้าเปียกชื้นคลุมปิดจมูก
“นี่เจ้าเป็นตัวอะไร”
ผีขาเดียวคำรามก้องกึก เอามือกรงเล็บปาดหอกไม้หลุดจากหลัง เลือดสีเขียวไหลซึม แต่เหมือนไม่เจ็บปวด ดารารายมองดู
หลวงเทพมองดารารายอย่างเป็นห่วง ทันใดผีขาเดียวก็โผนลอยขึ้น พุ่งวูบใส่หลวงเทพ หลวงเทพพลันทิ้งตัวนอนหงาย ผีขาเดียวโถมลงมา หลวงเทพพลันตั้งหอกไม้รับ ร่างผีขาเดียวเสียบกับหอกไม้ เลือดสีเขียวไหลปรี่ออกชโลมหอก กระเซ็นโดนหลวงเทพ
หลวงเทพลุกขึ้นจับไม้ชู ผีขาเดียวดิ้นกระแด่วเสียบปลายไม้ หลวงเทพทุ่มมันออก ร่างผีขาเดียวตกลงพื้น แผดร้องดิ้น
หลวงเทพพรวดไปหาดาราราย ปลดผ้าขาวม้าออก ปิดจมูกให้
“เจ้าหายใจผ่านผ้านี่”
ดารารายพยักหน้าร้องอู้อี้ บุ้ยใบ้ไปข้างหลัง หลวงเทพหันขวับไป
ผีขาเดียวทรงตัวยืน เอามือปัดไม้ที่อกหลุด ไม่บาดเจ็บเช่นเคย มันกระโดดพรวดมาตวัดกรงเล็บใส่ หลวงเทพหลบลนลานฉิวเฉียดล้มไปทางหนึ่ง
ผีขาเดียวหมุนตัวโยกเยกตาม แล้วพุ่งวูบขึ้น ตกลงคร่อมหลวงเทพ ยื่นมือกรงเล็บกดบีบคอ
หลวงเทพตาเหลือกลาน มีขาเดียวบีบเค้น หลวงเทพพลันดึงมีดสั้นเสียบเข้าสีข้างมัน ผีขาเดียวแผดร้อง หลวงเทพงอขาเข้าแล้วถีบไปเต็มแรง ร่างผีขาเดียวถอยไปตกลง มันเด้งพรวดขึ้นอีก ปัดมีดหล่นหลุด
“หอก ดาบ ทำอะไรเจ้ามิได้หรือ”
“งั้นลองเจอนี่หน่อยเป็นไร”
ดารารายยืนจังก้า ในมือมีดุ้นฟืนติดไฟจ่อใส่ผีขาเดียว ไฟติดผมมันพรึบ มันร้อง เอามือปัด
ดารารายโยนดุ้นฟืนอีกมือให้หลวงเทพ ทั้งคู่ใช้ไฟเป็นอาวุธเข้าแหย่ ฟาดฟัน ผีขาเดียวหวีดร้องถอยหนี แล้วพ่นควันอีกฟูดใส่
หลวงเทพกลั้นหายใจ ดารารายตวัดผ้ามาปิดจมูก ผีขาเดียวโดดสุดแรง ร่างพุ่งขึ้นหายไปหลวงเทพทรุดลง ดารารายรีบเข้ามาประคองไว้
“เจ้าเป็นอะไรไหม”
“แค่หน้ามืด ควันพิษของมันแค่ทำให้ชา”
“มิใช่ แค่ชา แต่เหมือนเป็นอัมพาต เจ็บใจนัก”
“มันคือตัวอะไรกันแน่”
ดารารายกัดริมฝีปาก มองดูทิศที่ผีขาเดียวโดดหายไป
“ผีขาเดียว...ข้าเคยได้ยินคำเล่าลือมานาน คิดว่าเป็นเรื่องเล่าหลอกเด็ก ไม่คิดว่ามีอยู่จริง”
หลวงเทพหายหน้ามืด ตั้งตัวตรงดูรอยเลือดสีเขียวบนเสื้อ ดารารายขยับออก
“มันมีเลือดเนื้อ บาดเจ็บได้ ย่อมไม่ใช่ภูตผี” หลวงเทพตั้งขอสังเกต
“มันคงเป็นตัวประหลาดชนิดหนึ่ง มันรมยาคนให้สลบแล้วดูดเลือด ผู้เฒ่าเล่าว่ามันดูดเลือดจากหัวแม่เท้า”
“แต่มันดูดเลือดเจ้าตรงขาหนีบ”
ดารารายเพิ่งนึกออกว่าผ้าขาดสูง น่าเสียวไส้ หน้าแดงถลึงตา
“นี่เรียกโคนขา มิใช่ขาหนีบ”
ดารารายนั่งเบี่ยงตัว เอามือดึงผ้าขาดให้ทบกัน หลวงเทพมอง ดารารายชวนคุยกลบเกลื่อน
“ทำไมเจ้าจึงรู้ตัวก่อน”
“ข้าตื่นขึ้นกลางดึก เพราะเสียงจักจั่นเรไรดังสนั่น จู่ๆ เสียงก็เงียบหายผิดสังเกตยิ่ง จากนั้นข้าก็ได้กลิ่นประหลาด สังหรณ์ว่าเป็นพิษ ข้าจึงเอาผ้าเปียกอุดจมูก จึงไม่โดนพิษยาสลบมัน”
ดารารายพยักหน้า จับชายผ้าขาวม้าที่คล้องคอมาดู
“เจ้าก็ฉลาดเหมือนกันนี่”
“ข้ารู้...อ้อ ไม่รู้ว่าผ้าข้ายังเหม็นสาบอยู่หรือไม่”
ดารารายชะงัก กระชากผ้าขาวม้าออก ปาใส่หน้าเขา หลวงเทพรับไว้ หัวเราะเบาๆ
บรรยากาศป่าในเวลาเช้าแสนสดใส ฝูงนกออกหากิน ส่วนที่พื้นดินมีกองเลือดแห้งสีเขียว หลวงเทพนั่งยองๆเอาเศษไม้เขี่ยดู ดารารายยืนอยู่ใกล้ๆ หลวงเทพลุกขึ้นยืน เห็นว่าที่เสื้อผ้าหลวงเทพยังมีรอยเลือดที่ไม่ได้ซัก แต่แค่เช็ดๆออก
“มันหนีไปทางนี้ ข้าว่ามันต้องไปทางภูเขาใหญ่นั่น”
หลวงเทพชี้ไปทางภูเขา ดารารายยักไหล่
“เจ้าจะตามล่าผีขาเดียว หรือว่าจะเดินทางต่อ”
“ย่อมต้องเดินทางต่อ เพียงแต่...”
“เพียงแต่อันใด”
“เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่า วันนี้เจ้าจะพาข้าหลงไปทิศใดอีก”
ดารารายสะบัดหน้าพรืด เดินปึงๆ หนีไป หลวงเทพอมยิ้มเดินตาม
สภาพป่าเริ่มโปร่งขึ้น มีดอกไม้ป่างดงามตามทาง ดารารายเด็ดดอกไม้มากิ่งหนึ่ง ท่าทางรื่นรมย์ใจ หลวงเทพเลยเด็ดมาบ้าง ดารารายร้องเพลงเบาๆ
“เดินทางผู้เดียวกลางไพรกว้าง ไร้คนเคียงข้างน่าพรึงพรั่น”
ดารารายยังทำเสียงห้าว หลวงเทพมองอย่างเพลิดเพลิน
“หากมีคนรู้ใจไปด้วยกัน ไพรสัณห์จักกลายเป็นเมืองบน”
หลวงเทพปรบมือ “มิน่าเล่า”
“มิน่าอันใด”
“มิน่าป่าแถบนี้ถึงได้งดงามเหมือนเมืองฟ้า”
ดารารายงง หลวงเทพโอบไหล่ดาราราย
“เพราะเจ้ามีข้าเคียงข้างเป็นคนรู้ใจนั่นเอง”
ดารารายหน้าแดง รีบปลดมือ ผลักหลวงเทพเซไป
“โอ๊ย อะไรเล่า”
ดารารายเท้าสะเอว
“คนรู้ใจในเพลงย่อมเป็นแม่หญิงงดงาม มิใช่บึกบึนเช่นเจ้า”
หลวงเทพเอาดอกไม่ทัดหู 2 ข้าง เอาผ้าขาวม้ามาคล้องคอจับชายผ้ากรีดกราย
“ข้าเป็นแม่หญิงงดงามให้เองก็ได้”
ดารารายทำหน้าขยะแขยง ทว่าดวงตาชอบใจ
“เจ้านี่วิปริต ลักเพศ เป็นขืด เป็นอัปมงคลนัก”
หลวงเทพยื่นหน้ามาใกล้ “ลักเพศ แล้วจะเกิดอะไร”
“ฟ้าจะผ่าหัวเจ้าน่ะซี”
ดารารายเอานิ้วทิ่มหน้าหลวงเทพ หลวงเทพร้องว้าย ดารารายหัวเราะออกมา หลวงเทพมองดาราราย หัวเราะตาม
ทันใดนั้นมีเสียงดังขวับ พื้นดินที่มีใบไม้แห้ง กลีบดอกไม้เกลื่อนกล่นอยู่ขยับขวับ ตาข่ายภายใต้รวบรัด หลวงเทพและดารารายเข้าด้วยกัน
“เฮ้ย”
“ว้าย”
ตาข่ายลอยหวือขึ้น พาร่างทั้งสองลอยขึ้นไปสูงลิบกลางอากาศ หลวงเทพและดารารายดิ้น
“อะไรกันนี่”
“ข่ายดักสัตว์”
“แล้วข่ายของใคร”
มีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังขึ้น มีร่างคนราว 10 คน กรูออกมาจากหลังพุ่มไม้ หลวงเทพและดารารายมองผ่านตาข่ายลงมา เห็นชาวป่าผมรุงรัง นุ่งผ้าเตี่ยวจากเปลือกไม้ผืนเดียว สวมสร้อยลูกปัดเขี้ยวสัตว์ เขียนหน้าและแขนขาด้วยสีสันลวดลาย มีหน้าไม้และแหลนเป็นอาวุธ ส่งเสียงพูดกันจ๊อกแจ๊ก
“พวกคนป่า”
ดารารายตะโกน “ปล่อยเราลงนะ”
ขาดคำตาข่ายก็ลอยหวือตกลงอย่างเร็ว
หลวงเทพและดารารายอยู่ในตาข่าย ตาเหลือก รู้ว่าจะต้องตกกระแทกพื้น
“เฮ้ย ยอ หยุดก่อน”
ทั้งสองหลับตาปี๋ ร่างตกวูบใกล้ถึงพื้น ฉันพลันตาข่ายก็หยุดเหนือพื้นเพียง 1 คืบ
ร่างชาวป่ารุมล้อมเข้ามา ชูแหลนยื่น ทำท่าจะทิ่มแทงยืดหดข่มขู่ หน้าตาถมึงทึงเหี้ยมโหด
หลวงเทพ ดารารายตั้งสติ สังเกตดู แล้วพบว่า ชาวป่านั้นตัวสูงเท่าทั้งคู่ที่นั่งขดอยู่ ที่แท้ชาวป่านั้นตัวเล็ก สูงเท่าเด็ก 10 ขวบ หลวงเทพหายกลัวไปครึ่งหนึ่ง
“หือม์ คนแคระ”
บรรดาชาวป่าร้องฮือเหมือนไม่พอใจ มีชาวป่าผู้หนึ่งหน้ามีตีนกา มีหนวดเครารุงรังตวาดมันชื่อ ส่างจ้อย
“มิใช่”
ดารารายบอก “พวกนี้คือพวกข่าระแด”
ชาวป่าผู้นั้นดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้น พยักพเยิดกับพรรคพวก
“ใช่ ใช่ เจ้าเด็กน้อย” ส่างจ้อยว่า
หลวงเทพทำตาปริบๆ “พวกเจ้าต่างหากตัวเท่าเด็กน้อย”
บรรดาชาวป่าร้องฮืออีก ดารารายเอาศอกกระทุ้งหลวงเทพๆ ร้องอุ๊บ เงียบไปได้
“เจ้าหุบปาก ท่านลุง เราเป็นแค่คนเดินทาง ปล่อยพวกเราเถิด ท่านนักรบใจหาญ”
ส่างจ้อย ชาวป่าผู้นั้นท่าทางบ้ายอ ยิ้มออกมา
“พูดดี พูดดี”
ชาวป่าหันมาพยักหน้า ตาข่ายถูกปลดออก หลวงเทพ ดารารายหลุดมาคุกเข่า ชาวป่าเอาแหลนจ้องอยู่ห่างๆ
ดารารายอวยอีก “ท่านทั้งใจหาญ ทั้งใจดี”
ส่างจ้อยชอบใจ “ใช่ ใช่”
หลวงเทพออกอาการเซ็ง “เวรกรรม”
ชาวป่าพิศดูหลวงเทพภักดีแล้วขมวดคิ้ว ร้องอุทาน ชาวป่าอื่นๆก็ร้องอื้ออึง แล้วจ่อแหลนพรึบเข้าติดตัวหลวงเทพ ดาราราย
“เฮ้ย อะไรอีก” หลวงเทพตกใจ
ส่างจ้อยชี้ “เลือดสีเขียว เลือดสีเขียว เจ้า...พวกผีขาเดียว”
หลวงเทพและดารารายพากันอ้าปากค้าง
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
บ้านเรือนในหมู่บ้านข่าระแด เป็นเรือนยาวยกพื้นสูง โครงเรือนสร้างจากไม้ไผ่ลำโต มุงฝาและหลังคาด้วยใบไม้ ใบหญ้า ตัวเรือนนั้นมีขนาดยาวมาก เพราะเป็นที่อยู่ของทุกคนในหมู่บ้าน ด้านหน้าเรือนเป็นลานกว้าง ก่อกองไฟใหญ่ไว้ และมีคบไฟรายรอบหมู่บ้าน
โดยในขณะนั้นพวกข่าระแดทั้งชายหญิง 30 คนมาชุมนุมกันโดยพร้อมเพรียง ข่าระแดเพศหญิงนั้นแทบไม่แตกต่างจากเพศชาย แต่ที่คอมีสร้อยลูกปัดเป็นแผงใหญ่กว่าปิดบังทรวงอกไว้
กรงไม้ซึ่งสร้างขึ้นหยาบๆ มีลักษณะต่ำเตี้ย ดารารายและหลวงเทพภักดีถูกมัดมือเท้า นั่งเหยียดขาอุดอู้อยู่ในกรงนั้น
“พวกมันประชุมกันอยู่ เจ้ารู้ไหมว่ามันว่าอะไร”
“มันพูดภาษามัน ฟังดูคล้ายภาษาเม็ง”
“นั่นซี ว่ายังไง”
“ข้าไม่รู้ภาษาเม็ง ข้าจะรู้เรื่องได้อย่างไร”
“อ้าว ก็เห็นเจ้าเป็นหลานจอมพราน รู้ดี รู้ทุกเรื่องไง”
ดารารายตาเขียวใส่
“ใช่แล้ว ข้ารู้ทุกเรื่อง ข้ารู้ว่าถ้าเจ้าไม่ขี้คร้าน ซักเลือดผีขาเดียวออกให้หมด เราก็ไม่ถูกกล่าวโทษแบบนี้”
“ไม่เห็นต้องกลัว เราเลือดสีแดง มิใช่เขียว พิสูจน์ง่ายนิดเดียว” หลวงเทพว่า
“ใช่ พอมันเชือดคอเจ้าเมื่อใด มันก็รู้แล้วว่ามิใช่”
หลวงเทพงง “ทำไมต้องเชือดคอข้า”
“ก็ที่ข้ารู้มา พวกข่าระแด กินเนื้อคนเป็นอาหาร”
หลวงเทพสะดุ้งเฮือก ทันใดชาวป่าบ้ายอกับสมุน 3-4 คนก็มาถึง เปิดกรงดึงดารารายและหลวงเทพออกมา ทั้งคู่ดิ้นรน
ต่อมาหลวงเทพและดารารายถูกผลักให้คุกเข่าลงบนพื้น พวกข่าระแดจ่อแหลนคุมเชิง ในลาน บรรดาข่าระแดส่งเสียงอื้ออึง
หลวงเทพและดารารายเงยหน้าดู เห็นตรงหน้ามีเก้าอี้ไม้สูง มีหัวหน้าเผ่าข่าระแดนั่งอยู่ ที่คอมีลูกปัดและเขี้ยวสัตว์หลายอัน มีเขี้ยวสัตว์อันหนึ่งใหญ่กว่าเขี้ยวสัตว์อันอื่น
ชาวป่าบ้ายอเอาแหลนตีก้นหลวงเทพเบาๆ แล้วเดินไปยืนใกล้หัวหน้าเผ่า
หลวงเทพกระซิบถามดาราราย “มันจะทำอะไรเรา”
“คงจะตกลงกันว่าจะต้มหรือย่างเจ้าดี”
หัวหน้าเผ่ามองดูหลวงเทพและดาราราย ชาวป่าบ้ายอเข้าไปพูดรายงานกันเบาๆ แล้วหันมา
“พวกเจ้ามีเลือดผีขาเดียวติดตัว แก่บ้านให้ทดลองว่าเจ้าเป็นพวกมันหรือไม่”
ดาราราย หลวงเทพ มองหน้ากัน
“ทดลองอะไร”
หัวหน้าเผ่าปลดเขี้ยวสัตว์ใหญ่ ชาวป่าบ้ายอรับมา แล้วออกคำสั่ง สมุนข่าระแด 6-7 คนเข้าจับดาราราย หลวงเทพ ให้ยืดตัวตรง โดยยังคุกเข่า
ส่างจ้อยบอก “เขี้ยวเสือไฟไล่ผีได้”
ดารารายทวนคำ “เขี้ยวเสือไฟ”
ส่างจ้อยเอาเขี้ยวเสือไฟทาบหน้าผากหลวงเทพ หลวงเทพสะดุ้ง ส่างจ้อยสะดุ้งตาม ชาวป่าข้างหลังก็กลัวๆ ขยับถอย หลวงเทพยิ้ม ส่างจ้อยกล้าๆกลัวๆ
“เจ้าไหวตัวทำไม”
“ก็เขี้ยวเสือไฟเจ้าเย็นเฉียบ”
ดารารายส่ายหัวอ่อนใจ ส่างจ้อยเอามาทาบหน้าผากดารารายบ้าง ดารารายยิ้มละไม ชาวป่าทุกคนร้องฮือฮา มีท่าทางคลายใจลง
หัวหน้าเผ่าพูดเบาๆ ส่างจ้อยถ่ายทอดคำพูด
“แก่บ้าน ถามเจ้า ไยมีเลือดผีขาเดียวติดตัว”
“โธ่ ทำไมไม่ถามกันแต่แรก”
ดารารายหันไปถลึงตาใส่กระซิบบอก
“เจ้าเงียบไว้ ข้าพูดเอง” แล้วดารารายหันไปทางส่างจ้อย “ท่านผู้นี้คือครูบาภักดิ์ เป็นหมอยา หมออาคม”
หลวงเทพสะดุ้งนิดๆ ดารารายจ้อต่อ
“ท่านครูตามล่าผีขาเดียว ฆ่ามันไปหลายตัว จนเลือดมันติดตัว”
ส่างจ้อยหันไปพูดกีๆกูๆ หัวหน้าเผ่าพูดตอบ มีท่าทีดีใจ ชาวป่าอื่นๆดูคลายใจหมด
“ครูบาเจ้า ไล่ผีได้หรือไม่”
“ย่อมได้”
ส่างจ้อยบอก “ตามข้ามา”
ภายในเรือนยาวมีห้องไม้ไผ่ห้องหนึ่ง กลางห้องมีแคร่วาง ในห้องมีการตกแต่งบางอย่างด้วยดอกไม้ร้อย ของกระจุกกระจิกอย่างห้องผู้หญิง
หลวงเทพ ดารารายเข้ามา ส่างจ้อยเดินตาม หัวหน้าเผ่ายืนอยู่ใกล้แคร่ บนแคร่ปูหนังสัตว์ มีสาวน้อยถูกมัดมือมัดเท้าตรึงไว้กับแคร่ ตัวสั่นเทา ตาปิดเพ้อไม่ได้สติ มีหญิงสาวใหญ่นั่งดูแลแบบกลัวๆ หัวหน้าเผ่ากับเมียมีท่าทีเป็นทุกข์
ส่างจ้อยมองดูหญิงสาวอย่างห่วงใย
“ลูกสาวแก่บ้าน ถูกผีเข้า เขี้ยวเสือไฟไล่ไม่ออก เจ้าช่วยได้หรือไม่”
หลวงเทพอึกอัก ดารารายรุนหลัง เข้าไปดูใกล้ๆ กระซิบบอก “เจ้านั่งลงดูซิ”
หลวงเทพนั่งลงเก้ๆ กังๆ เอามืออังหน้าผาก แล้วสะดุ้ง
“ตัวร้อนเป็นไฟเลย”
ส่างจ้อยตาโต ออกอาการหวงแหน “ทำไมต้องจับตัว”
ดารารายอธิบาย “ท่านครูคือพรตพรหมจรรย์ ไม่นับเป็นชาย ไม่มีอันใดดอก”
หลวงเทพอึ้ง หันมา “เจ้าพูดอะไร”
ส่างจ้อยยังคงฮึดฮัด หัวหน้าเผ่าถาม ส่างจ้อยแปล
“แก่บ้านถามว่า เจ้าไล่ผีได้หรือไม่”
หลวงเทพ ได้แต่ “เอ้อ อ้า...” ไป
ดารารายตอบแทน “ย่อมได้...เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
หลวงเทพมองหน้าดาราราย
“ท่านครูจะอ่านมนต์ขับผีอยู่ที่นี่ ส่วนข้าจักไปเก็บว่านยามาทำพิธี ใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์”
หลวงเทพตาเหลือก กลัวดารารายใช้ลูกเล่นหนีไปคนเดียว ฝืนใจพูด
“ใช่แล้ว”
หลวงเทพดึงดารารายมากระซิบ “นี่เจ้าจะลูกเล่นหนีไปล่ะซี”
“แล้วเจ้าจะทำไม”
“เจ้าหนีไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ไว้ข้าจะหาหนทางเอง”
ดารารายอึ้ง มองหลวงเทพอย่างผิดคาด “หากเจ้าหามิได้เล่า”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่ถูกต้ม ก็คงถูกย่าง”
ดารารายมองหลวงเทพ แล้วลุกขึ้นออกไปกับส่างจ้อย หลวงเทพมองตาม
เรือนยาวข่าระแดในเวลายามสายของวันต่อมา แลเห็นสาวน้อยข่าระแดในแคร่ไม้ไผ่หยุดสั่นเทาแล้ว นางแม่นั่งบีบเท้าลูกอย่างห่วงใย
โดยที่กลางห้อง หลวงเทพภักดีนั่งขัดสมาธิ หลับตา พนมมือ สวดพึมพำไม่เป็นภาษาอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งหลวงเทพก็ค่อยๆ หรี่ตาดู นางแม่นั่งพิงฝาหลับอยู่
หลวงเทพลืมตาโพลง ค่อยๆเอามือจับขาที่เป็นเหน็บออก แล้วลุกขึ้นย่องกริบออกมา
เมื่อถึงประตู หัวหน้าเผ่าก็สวนเข้ามา กับลูกบ้านถือแหลน 2 คน หลวงเทพสะดุ้ง หัวหน้าเผ่าพูดรัวๆถาม
หลวงเทพทำทรงภูมิธรรม สุขุมคัมภีรภาพชี้มือไปบนฟ้าพูดส่งเดช
“ตะวันเริ่มสูงแล้ว จงเปิดช่องให้แสงเข้ามา”
หลวงเทพทำท่าเปิดประตู และชี้ไปที่แผงหน้าต่าง หัวหน้าเผ่าพยักหน้า ให้ลูกบ้านทำตาม
หลวงเทพทำเดินสงบมานั่ง พนมมือ สวดมนต์ต่อ ถอนใจเฮือกแล้วหลับตาลง
หลวงเทพยังคงนั่ง แต่ตัวโงก สัปหงก มีเงาร่างคนมาบังแสง หลวงเทพผวาลืมตาขึ้น เห็นดารารายคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ในมือมีชามดิน มีน้ำคั้นเขียวข้นคลั่ก แถมดารารายยักคิ้วให้
“เจ้า! เจ้ากลับมาทำไม”
ดารารายถลึงตา หลวงเทพมองดูรอบๆ เห็นส่างจ้อย หัวหน้าเผ่า นางแม่ และ 2 ลูกบ้านอยู่กันครบ ส่างจ้อยมองจับสังเกตจ้องตาเขม็ง
“ท่านให้ข้าไปเก็บว่านยามาทำพิธี ข้าได้มาแล้วท่านครู”
ดารารายยกชามดินมาส่งให้ หลวงเทพรับมางงๆ
“ท่านจงเสกเป่าอาคมแล้วเอาไปป้อนนางเถิด”
หลวงเทพรับมุก ทำเป็นสำรวมจิตเป่าพรวด แล้วลุกขึ้นเซแซดๆ เพราะเป็นเหน็บอีก ดารารายคว้าไว้ พาเดินไปที่เตียง นั่งลง
ส่างจ้อยก้าวมาขวาง พูดด้วยความเป็นห่วงสาวน้อยเกินควร
“จะทำอันใดอีก”
“ป้อนว่านยาเสกให้นาง ผีป่าจักออกจากตัว” ดารารายบอกกับหลวงเทพ “ป้อนเลยท่านครู”
หลวงเทพพยักหน้า นางแม่ประคองลูกสาวขึ้น หลวงเทพกรอกยาลงคอไป
หลวงเทพและดารารายนั่งกินอาหารและน้ำอยู่ที่นอกชานเรือน ในชามดินตรงหน้า มีเนื้อสัตว์ย่าง เผือกมันเผากับน้ำผึ้ง
มีบรรดาสาวๆข่าระแด ทาหน้าหลากสี เอาพวกลูกไม้ป่าสุกมาเพิ่ม พลางหัวเราะคิกคัก ส่างจ้อยอยู่กับลูกบ้านถือแหลน 4 คนตวาด บรรดาสาวๆหน้าม่อย หลบไปในเรือน หลวงเทพพูดถามเบาๆ
“เจ้ากลับมาทำไม”
“ข้าเป็นทายาทจอมพราน ย่อมไม่ทิ้งเพื่อน”
หลวงเทพยิ้มเป็นนัย “แต่ข้าอยากเป็นเพื่อนร่วมสุขกับเจ้า มิใช่เพื่อนร่วมตายแบบนี้”
ดารารายหน้าตึงใส่ แต่ดวงตากลับยิ้มเป็นประกาย
“พูดเรื่องเป็นเรื่องตายอันใด”
หลวงเทพกระซิบ “พอพวกมันจับได้ว่าเราเป็นหมอผีปลอม มันคงจับเรากินแน่”
“ภูตผีอันใด ข้าดูแล้ว ลูกสาวแก่บ้านเป็นไข้ป่า มิใช่ถูกผีเข้า”
“แล้วว่านยานั่น”
“คือยารักษาไข้ป่า มีสรรพคุณชะงัดนัก”
หลวงเทพยิ้มแป้น “เจ้านี่สมกับเป็นทายาทจอมพรานจริงๆ”
จู่ๆ มีเสียงร้องไห้โฮออกมาจากในเรือน เป็นเสียงนางแม่กับสาวๆเมื่อครู่ หลวงเทพกับดารารายหน้าซีด ถือของกินค้าง ส่างจ้อยคำรามตาขวาง
“นางตายแล้ว เจ้าต้องตายตามนางไป”
ส่างจ้อยเอาแหลนจ่อคอหลวงเทพ ลูกบ้านอีก 4 คนก็ยื่นแหลนมาจ่อ หลวงเทพ ดาราราย
หลวงเทพ ดาราราย หน้าซีด
นางแม่น้ำตาอาบแก้มโผล่มาพูดรัวเร็ว มีสาว 2 นางปาดน้ำตาป้อยๆ มาพยักพเยิด ส่างจ้อยยืนตะลึงแล้วยิ้ม ลดแหลนลง
หลวงเทพและดารารายยังงงๆ
หัวหน้าเผ่าประคองลูกสาวเดินออกมาจากช่องประตู ลูกสาวถึงอ่อนเพลียแต่ก็ยังยิ้มสดใสส่างจ้อยน้ำตาเอ่อ ต้องปาดทิ้ง ยิ้มตอบ แล้วคุกเข่าพรวดลง หมอบกราบหลวงเทพ ดารารายบรรดาข่าระแดทุกคนลงหมอบกราบตาม
หลวงเทพหัวเราะออกมา พร้อมกับดึงดารารายมากอด ดารารายตาเหลือก
คืนนั้นที่ลานกว้างมีงานฉลอง กลางลานก่อกองไฟมหึมา ไฟลุกเป็นเปลวสูง รอบด้านก็จุดคบเพลิงสว่างไสว มีกองไฟย่างหมูป่า นก อยู่ตามจุดต่างๆ ชาวป่าทุกคนออกมานั่งล้อมวงกินอาหาร
ที่ตรงหน้ามีแคร่ ดาราราย หลวงเทพ หัวหน้าเผ่า เมีย และลูกสาวร่วมวงกินอาหาร ส่างจ้อยอยู่ใกล้ๆ
ชาวป่าอีกกลุ่ม เคาะไม้ เป่าใบไม้ เป็นเพลงฟังดูไพเราะอยู่ข้างๆ บรรยากาศรื่นเริงอย่างยิ่ง
หัวหน้าเผ่าลุกขึ้น จูงลูกสาวที่หายดี ดูสดใสมายืนเด่น แล้วพูดกีๆกูๆเร็วปรื๋อ
ดาราราย หลวงเทพมอง ส่างจ้อยลุกขึ้นแปล หน้าตายิ้มย่องผ่องใส
“ท่านหมอผีได้ช่วยลูกข้า ไล่ผีออกไป ให้ลูกข้าฟื้นจากตาย”
หัวหน้าเผ่าพูดต่อ ส่างจ้อยแปล “พวกข้าเป็นหนี้ท่าน ลูกสาวข้า”
หัวหน้าเผ่าพูดต่อ ส่างจ้อยชะงักกึก หน้าเสีย อึ้งไป หัวหน้าเผ่ากระทุ้ง ส่างจ้อยขบกราม กล้ำกลืนฝืนพูด
“จักเป็นเมียท่าน”
หลวงเทพเบิกตาโพลง ดารารายอุทานเบาๆ
“อ้าว” / “เฮ้ย”
หัวหน้าเผ่ายิ้มย่อง นางเมียจับลูกสาวให้หมุนตัวโชว์รอบๆ ลูกสาวก้มหน้างุดเหมือนไม่ยินดีนัก เหลือบดูส่างจ้อย ส่างจ้อยเมินหน้า
หัวหน้าเผ่าจูงลูกสาวมาตรงหน้าหลวงเทพ พลางยิ้มหวาน หลวงเทพโบกมือวุ่น
“ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ดี”
ดารารายลุกขึ้น หันไปหาส่างจ้อย “ท่านครูข้า ถือพรต มีลูกเมียไม่ได้”
ส่างจ้อยตาโต ยิ้มออก รีบพูดแปล หัวหน้าเผ่าชะงัก แล้วพูดตอบ ดารารายกับหลวงเทพมอง ส่างจ้อยหน้าเสียอีก
“อันใด”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ยกให้เป็นเมียเจ้าหนุ่มน้อยแทน”
ส่างจ้อยพูดแปลอย่างขมขื่น ดารารายเบิกตากว้าง สาวน้อยเหลือบดูดาราราย แล้วมองดูส่างจ้อย หลวงเทพกลั้นหัวเราะ มองดูดาราราย ดารารายโบกมือวุ่น
“ไม่ได้ ไม่ได้”
หัวหน้าเผ่าเริ่มตาขุ่น ตวาดถาม
ส่างจ้อยแปลอินเนอร์เดียวกันเป๊ะ “มีอันใดไม่ได้”
“เอ้อ คือ อ้า...”
หลวงเทพยิ้มกริ่ม ลุกขึ้น “ข้าขอตอบแทนเอง ที่มิได้เพราะเจ้าหนุ่มผู้นี้...”
หลวงเทพดึงผ้าโพกหัวดารารายออก ผมยาวอย่างยิ่งคลี่สยายตกลง
“เป็นแม่ญิง”
ดารารายเอามือตะครุบผม มองหลวงเทพอย่างตกตะลึง หลวงเทพยักคิ้วให้บ้าง หัวหน้าเผ่า นางเมีย ลูกบ้านตกตะลึง อ้าปากค้างมองกันลอกแลก สาวน้อยกัดริมฝีปากอย่างดีใจ ส่างจ้อยลืมตัว กระโดดตัวลอย
“ดีแท้ ดีแท้”
หัวหน้าเผ่าถลึงตา พูดเร็วปรื๋อ ทำนองว่า เจ้าดีใจอันใด ส่างจ้อยรู้ตัวทำสงบ ยิ้มแหย
ดารารายตั้งสติได้ลดมือลง ยืนเชิดมองอย่างโกรธแค้น หลวงเทพยิ้มยั่ว ดวงตาสะใจ
ลานกว้างเริ่มว่างวาย บรรดาชาวป่าขึ้นนอนในเรือนยาว แต่มีพวกขี้เมา 4-5 คนเมาหลับกลิ้งอยู่ข้างกองไฟ
ห้องหนึ่งในเรือนยาวจัดเป็นห้องรับรองแขก แต่ห้องนั้นมีเชือกขึงห้อยหนังสัตว์ 2-3 ผืน ทำเป็นม่านกั้นกลาง ดารารายยังคงแต่งตัวผู้ชาย แต่ไม่โพกผม นั่งหน้าหงิกอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนหลวงเทพนอนหงาย ชันเข่า เท้าพาดกระดิก สำราญใจอยู่
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใด”
“รู้ตั้งแต่นมนานแล้ว”
หลวงเทพ ความจริงก็เก็บข้อมูลอยู่นานพอควร แต่ก็ทำเป็นรู้นานแล้ว
“นั่นแหละ เมื่อใด”
หลวงเทพนึกอยู่ครู่หนึ่งว่าจะอ้างตอนใดดี “ตั้งแต่ตกน้ำกับเจ้า ข้าก็รู้แล้ว”
“รู้ได้อย่างไร”
หลวงเทพยิ้มกริ่ม โกหกตาใส
“เจ้าประคองกอดข้าแนบชิด ทรวงเจ้าเบียดข้าออกอย่างนั้น ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ดารารายร้องวี้ด เอามือกอดอก หลวงเทพอมยิ้ม ลุกขึ้นนั่ง ยื่นหน้าไปชิดม่านหนัง
“ไม่จริง ข้ารัดไว้แน่นหนา”
“ข้ามีผัสสะเหนือผู้คน ทรวงเจ้าเบียดข้าจนเนื้อตัวข้าช้ำไปหมด”
ดารารายร้องอีกวี้ด กระชากม่านแหวกหน้าพรวดไป
“นี่เจ้า...อี๊”
เหมือนฟ้าแกล้ง ใบหน้าหลวงเทพอยู่ตรงนั้นพอดี ริมฝีปากดารารายชนเข้ากับปากหลวงเทพจังๆ หลวงเทพอึ้ง ดารารายนิ่งค้างไป ทั้งสองรู้สึกว่าโลกหยุดหมุน ดารารายรู้สึกตัว ยกสองมือผลักอกเขาออก หลวงเทพก็ยังคงอึ้ง
“เจ้า ข้า...”
หลวงเทพถามเสียงแผ่วเบา “อะไรหรือ”
“ข้าง่วง ข้าจะนอนแล้ว”
ดารารายรูดม่านหนังสัตว์ปิดลง แล้วล้มตัวลงนอน หลวงเทพก็ล้มตัวลงนอนเช่นกัน ดารารายยกมือมาคลำริมฝีปากตนเอง หลวงเทพแตะปากตัวเองแล้วยิ้มกริ่ม
ตกดึก กองไฟใหญ่เหลือเพียงนิดเดียว สว่างวอมแวม ชาวป่าข่าระแด 3-4 คนหลับกลิ้งอยู่ ชาวป่าผู้หนึ่งงัวเงียลุกขึ้นมองไป
ในความมืดข้างหน้า มีจุดแสงสีแดง 3 คู่ จ้องตรงมา ชาวป่าขมวดคิ้ว เอียงคอเขม้นมอง
จุดแสงทั้ง 6 ขยับเคลื่อนพรึ่บสู่เบื้องหน้า เห็นว่าคือผีขาเดียว 3 ตัว
ชาวป่าที่ตื่นอยู่ตกใจผวาลุก ผีขาเดียวตัวหนึ่งลอยพรึบมาตรงหน้า
ชาวป่าจ้องมองตาเหลือก ผีขาเดียวพ่นควันเขียวออกมา ชาวป่าร้อง ล้มฟาดลง ผีขาเดียวอีก 2 ตัวก็โดดมาเหนือร่างชาวป่าที่ยังหลับอยู่ พ่นควันออกควันสีเขียวตลบจนบดบังทุกสิ่ง
มีเสียงเคาะเกราะดังสนั่น ดารารายผวาลุกพรวดขึ้น แล้วรูดม่านออก เห็นหลวงเทพงัวเงียตื่นเช่นกัน
พอหลวงเทพและดารารายก้าวมา เห็นชาวป่ามุงอยู่เต็มลาน หัวหน้าเผ่า เมีย ลูกสาว ส่างจ้อยยืนมอง ที่พื้น เมียของคนตายทั้ง 3 กอดศพคร่ำครวญอยู่ หัวหน้าเผ่ามีท่าทางโกรธเกรี้ยว หลวงเทพและดารารายมองหน้ากัน
หัวหน้าเผ่านั่งบนแคร่ เมียและลูกสาวนั่งอยู่ที่พื้นเบื้องหลัง หลวงเทพและดารารายอยู่ตรงหน้า ส่างจ้อยคอยเป็นล่ามแปล
“ข้าคิดว่ารังของมัน อยู่ที่ขุนเขาใหญ่ทางโน้น”
ส่างจ้อยแปล
“ข้าอยากไปดูลาดเลาพวกมัน”
ดารารายมองหลวงเทพ ส่างจ้อยแปล หัวหน้าเผ่าพยักหน้า ปลดสร้อยเขี้ยวเสือไฟออก แล้วพูด
“แก่บ้านให้สร้อยเขี้ยวเสือไฟเจ้าไว้คุ้มตัว”
หลวงเทพยิ้ม รับสร้อยมาสวม
“ขอบใจท่าน...ข้าขอฝากน้องสาวไว้กับพวกท่านก่อน”
ดารารายเบิกตากว้าง ส่งเสียงแว้ดใส่
“เรื่องอันใด...ข้าต้องไปด้วย”
หลวงเทพอ่อนใจ
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย ชาวป่าลูกสมุนอีก 2 คน เดินไปในป่าลึก ตามทิศทางสู่ขุนเขาใหญ่ ดารารายเดินแทะนกปิ้งเสียบไม้ หลวงเทพมองดูส่างจ้อย
“เจ้าเรียกว่าอะไร”
“ส่างจอ”
“ส่างจออันใด ข้าเรียกเจ้าว่าส่างจ้อยดีกว่า”
ส่างจ้อยทำตาปริบๆ
“เพราะเจ้าตัวเล็กจ้อยนัก”
ส่างจ้อยมีท่าทางโมโห หัวฟัดหัวเหวี่ยง หลวงเทพดูออกรีบจุ๊ๆ ใส่ ดารารายเลยพลิกลิ้น
“แต่เจ้ากลับกล้าหาญองอาจ ยิ่งกว่าคนโตๆ เยี่ยงท่านครูผู้นี้เสียอีก”
หลวงเทพชะงัก เซ็ง โดนจนได้ ส่างจ้อยบ้ายอยิ้มออก
“เที่ยวตั้งชื่อให้ผู้อื่น แล้วเจ้าเองเล่าชื่ออะไร” หลวงเทพถามจริงจัง
“เจ้าความจำเสื่อมหรือ ข้าบอกชื่อข้าไปเนิ่นนานแล้ว”
“ชื่อผู้ชายปลอมๆของเจ้าข้ารู้แล้ว ข้าอยากรู้ชื่อจริงๆของเจ้า”
ดารารายเชิดหน้า “อย่ามาทำสู่รู้ ชื่อปลอมอันใด ข้าชื่อรายน่ะถูกแล้ว”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า”
“ข้าสาบานก็ได้ หากข้าพูดปด ขอให้ฟ้าลงโทษ...ว้าย”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ มีนกป่าตัวใหญ่ บินมาเข้าจิกตี ดารารายปัดป้อง หลวงเทพเอาผ้าคาดเอวมาช่วยปัดใส่ ฝูงนกบินไป ดารารายตวัดหน้าไม้มาส่อง หลวงเทพปัดไป
“เจ้านกบ้า ข้าจะจัดการเจ้า”
หลวงเทพห้าม “อย่าทำมัน เห็นไหม เจ้าโกหก ฟ้าเลยส่งนกมาจิกตีเจ้า”
ดารารายกลัว แต่ทำปากแข็ง
“เชื่ออันใด เจ้านี่งมงายแท้”
“หรือไม่มันก็เป็นตัวผัวของนกที่เจ้าเคี้ยวหยับๆอยู่นี่”
ดารารายชะงัก
“รู้ไหม เจ้าพรากผัวพรากเมียมัน บาปกรรมยิ่งนัก”
“เฮอะ ตัวผู้น่ะหรือ ถ้าเมียมันตาย มันก็มีเมียใหม่ มันไม่ทุกข์ไม่ร้อนหรอก”
“เจ้านี่เสียแรงเป็นลูกหลานจอมพราน”
ดารารายตาเขียว “เจ้าจะว่าข้าอันใดอีก”
“เจ้าไม่รู้หรือว่ามีนกมากมาย ที่รักเดียวใจเดียว มีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต”
ส่างจ้อยหันมาเสริม “ใช่ ใช่ ครูผีพูดจริง”
หลวงเทพทำตาปริบๆ กับชื่อใหม่ ดารารายอึ้ง ถือนกปิ้งค้าง แต่ยังตะแบงต่อ
“ถ้าเช่นนั้น นกก็ดีกว่าคนมากมายนัก ยิ่งผู้ชาย ไม่เคยเห็นผู้ใดรักเดียวใจเดียวซักคน”
“เจ้าอย่าเหมารวมไปหมด.. แผ่นดินนี้ ต้องมีชายรักเดียวใจเดียวอยู่แน่ๆ”
หลวงเทพดวงตาเป็นประกายกล้า พูดหนักแน่น ดารารายอกใจระทึกขึ้นมา ต้องหลบตา ส่างจ้อยหันมาเสริมอีก
“ใช่ เช่นข้า.. รักเดียวใจเดียวยิ่งนัก”
ดารารายเชิดหน้า เอานกปิ้งเก็บในย่ามเล็ก
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ในเวลายามเย็นจวนค่ำ ส่างจ้อยกับลูกน้องก่อไฟอยู่บริเวณเชิงเขาใหญ่ ต้มแกงในกระบอกไม้ไผ่ หลวงเทพจัดที่นอนเสร็จ ลุกขึ้นมองหาดาราราย แต่ไม่เห็น
ต่อมาหลวงเทพแหวกพุ่มไม้เดินหาแล้วชะงัก เมื่อเห็นดารารายนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นดารารายนั่งคุกเข่า ตรงหน้ามีหลุมเล็ก ดารารายทำหน้าสำนึกผิด ล้วงย่ามเอานกย่างครึ่งตัวมาวางลงในหลุม
“เจ้านกน้อย ข้าขอโทษเจ้า”
ดารารายเอาดอกไม้วางบนซากนกย่าง “ข้าไม่เคยคิดเลย ว่าเจ้ามีลูกมีผัวรออยู่”
หลวงเทพอึ้ง ดารารายกลบซากนก น้ำตาหยด ยกมือพนม
“ข้าขอให้คำมั่น ต่อแต่นี้ข้าจะไม่ยิงนกตกปลาอีกแล้ว”
หลวงเทพซาบซึ้ง ดารารายปาดน้ำตา ลังเลแล้วพูด
“เจ้าช่วยไปบอกแดนอินทร์ว่าอย่าเอาผิดข้า อย่าพรากคู่ข้า อย่าให้จากตาย อย่าให้จากเป็นเลย เจ้าประคู๊ณ”
หลวงเทพขำ หัวเราะพรืด ดารารายหันขวับมา ไม่เห็นใคร คิดว่าหูฝาด
หลวงเทพย่อตัวอยู่หลังพุ่มไม้ เอามือปิดปากไว้
ที่เชิงเขา ดารารายและหลวงเทพนั่งใกล้กองไฟ ส่างจ้อยกับลูกน้องนอนหลับอยู่อีกทางหนึ่ง
“เจ้าจะไปทำอันใดที่เวียงแก้ว”
“ข้าเป็นพ่อค้าก็ย่อมไปค้าขายซี”
“เจ้าไม่เห็นเหมือนพ่อค้าซักนิด”
“ไม่เหมือนพ่อค้าแล้วเหมือนอะไร”
“เจ้าเหมือนพวกขุนหาญมากกว่า”
หลวงเทพยืดอก ดารารายพูดแขวะต่อ “แต่ขุนหาญอันใด ว่ายน้ำไม่เป็น
“หลวงเทพหดลง มองดารารายเซ็งๆ “ข้าแค่ว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ถึงกับไม่เป็นเลย”
ดารารายแขวะต่อ แต่เปลี่ยนเรื่อง “เจ้าจะไปเวียงแก้ว รู้อันใดเกี่ยวกับเวียงแก้วบ้าง”
“เวียงแก้วเพิ่งเจริญไมตรีกับสยาม ข้าไม่ค่อยรู้ดอก แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า เจ้าหลวงแสงอินทร์มีราชธิดาโฉมงามอยู่ผู้หนึ่ง”
ดารารายมอง หลวงเทพพูดยิ้มๆ ในใจกลับมีความกังวลบางอย่าง
“ชื่อเจ้านางยอดหล้า”
“ใช่แล้ว นางทรงโฉมงดงามกว่าหญิงทั้งแผ่นดิน ทั้งมีจิตใจดีงาม ชาญฉลาด ปรีชาสามารถยิ่งนัก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“บ้านข้าเป็นพราน นำของป่าไปถวายยังหอคำหลวงบ่อยๆ เคยเห็นนางตั้งหลายครั้ง”
หลวงเทพสนใจ ดารารายมองดูท่าที
“จริงหรือ”
“นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ดีดพิณเป่าปี่ สีซอได้หมดแต่ที่นางโปรดปรานที่สุดคือซึง เพลงซึงของนางไพเราะดังดนตรีทิพย์จากเมืองบน”
หลวงเทพนั่งฟัง เสียงซึงดังแว่วมาไพเราะเสนาะยิ่ง
ขณะเดียวกันบนศาลาริมน้ำ ฬนคุ้มน้อยมีการจุดผางประทีปไว้แพรวพราว ลำน้ำแม่ปิงสะท้อนแสงไฟจากหอคำ ลมเย็นพัดมาจนม่านบางรอบๆ ศาลาปลิวไหว เครื่องแขวนดอกไม้สดส่งกลิ่นกำจายไป เสียงซึงดังต่อเนื่องฟังคล้ายเสียงธารน้ำไหล
ยอดหล้าอยู่บนอยู่บนแท่น มือดีดซึงอย่างใจจดใจจ่อ นางผัน นางเผื่อนอยู่แทบเท้ากำลังหาวยืดยาว ยอดหล้าขมวดคิ้วเสียงซึงชะงักลง ยอดหล้าดุยิ้มๆ
“เจ้าสองคนนี่ราวเป็นฝาแฝด”
“ไม่จริงเจ้า ข้าเจ้างามกว่าเจ้า”
“นังวอก ข้าต่างหากงามกว่า”
“เจ้าทั้งสองอ้าปากหาวพร้อมกันดังฝาแฝด เพลงของข้าน่าเบื่อหน่ายนักหรือ”
“เปล่านะเจ้า เพลงซึงของเจ้านางไพเราะเสนาะหู”
“มิมีผู้ใดเบื่อ ผู้ใดหน่ายดอกเจ้า”
พูดไม่จบความนางเผื่อนก็หาว นางผันหาวตามราวเป็นโรคติดต่อ ยอดหล้าส่ายศีรษะ
“เจ้าสองคนมิได้ความเลย เฮ้อ ข้าคิดถึงดารารายนัก ถ้าน้องข้าอยู่ดารารายคงติชมเพลงใหม่นี้ให้ข้าได้”
นางผัน นางเผื่อนลอบทำหน้าเบ้ สบตากัน แล้วขยับใกล้
“เจ้านางน้อยน้ำไหลนิ่งไหลลึก เจ้านางอย่าได้วางใจเลยเจ้า” นางผันว่า
นางเผื่อนเสริม “เจ้านางน้อยเหมือนลงให้เจ้านาง แต่ที่แท้นางริษยา คิดชิงดีชิงเด่นกับเจ้านางตลอดมาเจ้า”
ยอดหล้าโกรธวางซึงลงข้างตัว ลุกขึ้นยืน
“หากเจ้าสองคนยังพูดจาใส่ไคล้น้องข้า...ข้าจักขับเจ้าไปตักน้ำหักฟืนเดี๋ยวนี้”
นางผัน นางเผื่อนระล่ำระลักหมอบกราบจับเท้าและชายซิ่น ยอดหล้าเม้มปากใจอ่อนลงนางข้าไทจากเรือนเจ้านางหอมุกเข้ามา
“อันใดหรือ”
“เจ้าหลวงให้เจ้านางเข้าเฝ้าเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทรนั่งอยู่บนแท่น ตรงชานเรือนเจ้านางหอมุก ที่นั่งหน้าตาสดใสอยู่ข้างๆ นางข้าไทคนสนิทอยู่แทบเท้า ยอดหล้าอยู่ที่พื้นกราบลง นางข้าไทที่ไปตามนั่งอยู่หน้าประตู
“มาแล้วหรือ มานี่ซิ”
“มาลูกมานั่งกับแม่”
ยอดหล้ายิ้มลุกขึ้นไปนั่งข้างเจ้านางหอมุก
“มีอันใดหรือเจ้า”
“สยามส่งคณะทูตมายังเวียงแก้ว ขณะนี้กำลังเดินทางมา เจ้ารู้หรือไม่” เจ้าหลวงถาม
“ข้าเจ้ารู้แล้วเจ้า เจ้าพ่อ”
“นอกจากเจริญไมตรี...คณะทูตนี้ยังมีจุดหมายอื่นด้วย”
ยอดหล้าแปลกใจ หอมุกยิ้มแย้ม
“เจ้า”
“เจ้าพี่ เจ้าพี่จักอ้อมค้อมเขาหลวงไปถึงไหนเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ชักหงุดหงิด “ข้าก็กำลังจะพูดอยู่เดี๋ยวนี้ คณะทูตนี้มีพระยาพิชิตชัยเป็นราชทูต...”
เจ้านางหอมุกพูดแทรก “พระยาพิชิตชัยเคยเป็นแม่ทัพปราบม่านในแผ่นดินก่อน มาแผ่นดินนี้มีอำนาจราชศักดิ์นัก”
เจ้าหลวงแสงอินทร์มีอาการเบื่อชายาเอกเห็นได้ชัด
“แล้วอย่างไรหรือเจ้า”
“พระยาผู้นี้มีบุตรชายผู้หนึ่งมาในคณะทูตด้วย ร่ำลือว่าอาจองเก่งกล้าสามารถและรูปงามยิ่ง”
ยอดหล้ารู้แต่ไม่ตื่นเต้นนัก เพราะไม่ชอบผู้ชายห้าวหาญ “เป็นขุนหาญอีกหรือเจ้า”
“ใช่ลูก เป็นขุนหาญ ชื่อว่าหลวงเทพภักดี”
ยอดหล้านิ่งฟัง
ฟากหลวงเทพภักดีนอนหงาย เอามือข้างหนึ่งรองหนุนศีรษะมองดูท้องฟ้าเบื้องบน ดวงดาวมากมายทอแสงระยิบระยับบนฟ้า หลวงเทพยิ้มละไม
ดารารายเรียก “เจ้าภักดิ์ เจ้าภักดิ์” แต่หลวงเทพยังไม่ยอมตื่น เลยเรียกซะดัง “เจ้าภักดิ์”
หลวงเทพลืมตาเหลือบดู เห็นดารารายอยู่ห่างไปนิดหนึ่งนอนตะแคงเอามือรองหัวไว้ราวพระนอน
“อะไร! โธ่ อยู่กันแค่นี้เอง”
“เจ้าเคลิบเคลิ้มอันใดอยู่ อ้อข้ารู้แล้ว ข้าเล่าเรื่องราชธิดายอดหล้าเข้าหน่อย...เจ้าก็ฝันหวานถึงนางแล้ว”
“ใครบอกเจ้า ข้าดูดาวบนท้องฟ้าอยู่ต่างหาก”
หลวงเทพขยับตะแคงทำท่าคล้ายกัน ดารารายเริ่มสะเทิ้นแต่ทำไม่แยแสกลบไว้
“ดวงตาระริบระยับบนท้องฟ้า ขุนเขาอันตระหง่านเงื้อม น้ำในธารอันไหลระเรื่อย ล้วนงดงามพาให้ใจเคลิบเคลิ้มได้ทั้งนั้น”
“แต่ก็มิงามเท่าเจ้าพ....เจ้านางยอดหล้า”
หลวงเทพมองลึกไปในดวงตาสุกใสของดาราราย
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ว่าความงามนั้นอยู่ที่คนมองต่างหาก”
“เคย”
“ในสายตาของผู้ชาย นางอันเป็นที่รักย่อมงามเหนือนางงามอื่นใด”
“ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลวงเทพทำตาซึ้งๆ ดารารายหน้าแดง
“ข้าหมดความที่จะพูดแล้ว เจ้าจงชมดาวของเจ้าต่อไปเถิด”
“ข้าจะดูดาวบนฟ้าไปทำไม ในเมื่อมีดาวบนดินอยู่เบื้องหน้าข้านี่”
ดารารายทั้งขัดเขินทั้งแปลกใจที่หลวงเทพพูดถึงความหมายของชื่อดารารายโดยบังเอิญ
“ดาวบนดินอันใด”
“ดวงตาของเจ้าคือดาวที่สุกสว่าง งดงามกว่าดาวทุกดวงบนท้องฟ้า”
หลวงเทพพูดเป็นประกายกล้า ดารารายตะลึงไป หลวงเทพขยับเข้ามาใกล้ ดารารายพลันพลิกตัวขยับหันหลังให้ พูดอู้อี้ พลางชัดผ้าคลุมหัว
“ดึกดื่น ค่อนคืน ข้าง่วงแล้ว”
หลวงเทพถอนใจน้อยๆ ขยับนอนหงายดูดาวต่อ ดารารายดึงผ้าคลุมหัวลงนิดหนึ่ง เห็นดวงตาวามวาวระยิบระยับ
ขุนเขาใหญ่ในเวลาเช้า บรรยากาศแสนสดใส ใบหน้าหลวงเทพยังคงยิ้มพรายหลับใหลฝันหวาน มีเสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้น
“เจ้าภักดิ์ เจ้าภักดิ์”
หลวงเทพปรือตาขึ้น ใบหน้าดารารายชะโงกมา ตำแหน่งที่ยืนคือค้ำหัวหลวงเทพ
หลวงเทพยิ้มหวานให้
“หลับก็ฝันถึง ตื่นก็เห็นหน้า”
ดารารายพูดจริงจังหนักแน่น “เจ้าภักดิ์ ฟังข้า เจ้าอยู่นิ่งๆ นะ อย่ากระดุกกระดิก”
หลวงเทพเริ่มใจคอไม่ดี “อะไร”
“ดูบนอกเจ้าเองเถิด”
หลวงเทพเหลือบตาลงเห็นบนอกเสื้อมีงูตัวเขื่องนอนขดอยู่อย่างสำราญใจ หลวงเทพตาเบิกกว้าง
ดารารายยืนจดจ้องอยู่ข้างๆ ส่างจ้อยกับ 2 สมุนก็ยืนเตรียมพร้อม หลวงเทพตาเหลือก
“เอามันไป เอามันไป”
ดารารายมีอาการคล้ายถ่วงเวลา ส่างจ้อยถาม
“ครูผีมีอาคม ปราบได้แม้ผีขาเดียว ใยจึงกลัวงู”
“ทุกผู้คนล้วนมีจุดอ่อน อาคมของท่านครู มีอสรพิษเป็นเบี้ยแก้”
หลวงเทพรู้แล้วว่าดารารายถือโอกาสกลั่นแกล้ง
“นี่มิใช่เวลามาแสดงภูมิรู้ เอามันไป เร้ว”
“แหม ท่านครู มันเป็นงูพิษ ขืนลนลานรีบร้อน มันอาจฝากรัก ฝากเขี้ยวให้ท่านได้”
หลวงเทพร้องเสียงแหลม “เอามันออกไป๊”
คล้ายเสียงนั้นทำให้เกิดสั่นสะเทือน งูพิษพลันขยับตัวแล้วมีอาการเห็นคนจึงชูคอขึ้นสูงแผ่แม่เบี้ย หลวงเทพตาโตขึ้นกว่าเดิม
ดารารายเลิกแกล้งมีอาการจริงจัง ขยับไปใกล้ งูพิษส่ายหัวหันตาม ดารารายสำรวมจิต อ่านมนต์ครูบาสรี มือซ้ายยื่นไปหลอกล่อให้งูหันตาม
หลวงเทพแม้กลัว แต่ก็เป็นห่วง 3 ชาวป่าลุ้น ดารารายพลันยื่นมือขวาไปราวสายฟ้าจับคองูในตำแหน่งเจ็ดนิ้ว แล้วยืดกายขึ้น งูนั้นบิดตัวดิ้นรน หลวงเทพลุกพรวด ถอยไปห่าง 5 วา
“ฆ่ามัน ฆ่ามันเลย”
ดารารายยิ้มยั่วเดินมาใกล้ พางูมาด้วยหลวงเทพเดินถอยหลังกรูดๆ
“ฆ่ามันได้อย่างไร เผื่อมันมีลูกมีผัวรออยู่ที่โพรง”
“งูอะไรมีลูกมีผัว”
“จะว่าได้หรือ ข้าไม่อยากก่อเวรก่อกรรม”
หลวงเทพขึงตาใส่ ดารารายยิ้มกริ่มเดินไปยังซอกหินปล่อยงูไป ส่างจ้อยกับ 2 สมุนทำท่าเสียดาย
“ปล่อยทำไม ตัวมันเขื่องนัก น่ากินแท้”
“นอกจากเนื้อคน เจ้ายังกินเนื้องูด้วยหรือ”
ส่างจ้อยฉุน โต้ลั่น
“พวกข้ามิเคยกินเนื้อคน นั่นมันคำเล่าลือ ที่พวกศัตรูใส่ร้ายพวกเรา พวกเราเลยรับสมอ้าง แกล้งทำเป็นเผ่ากินคน”
ดารารายพยักหน้า หลวงเทพมองอย่างผูกพัน ดารารายเมินหนีแอบซ่อนรอยยิ้ม
ส่างจ้อยกับพวกเดินนำ ดารารายหลวงเทพเดินตาม
“ผีขาเดียว เป็นตัวประหลาดกินเลือด ออกล่าเหยื่อเพียงลำพัง”
“แต่คืนนั้นมีรอยเท้าพวกมันถึง 3 ตัวนะ”
“ข้าถึงว่าแปลกนัก พวกมันใยจึงมาอยู่รวมกัน”
“แค่ตัวเดียว ยังจัดการมันได้ยาก ถ้ามีเป็นสิบจักทำเช่นใดดี”
“ท่านครูผีเก่งเก่งกล้าสามารถ ทั้งยังมีเขี้ยวเสือไฟ ผีขาเดียวไม่คระนามือท่านครูผีหรอก”
หลวงเทพเซ็ง
ที่เชิงเขามีน้ำตกลงมาเป็นสายเล็กๆ ตกลงมาในแอ่งน้ำ บนโขดหินมีกล้วยไม้ออกดอกอยู่
ส่างจ้อยและลูกน้องเอากระบอกไม้ไผ่รองน้ำตก ดารารายนั่งบนโขดหินเอาเท้าแช่น้ำ หลวงเทพอยู่ต้นน้ำวักน้ำล้างหน้าลูบตัว ดารารายรู้สึกสบายใจจนฮัมเพลงออกมา หลวงเทพมองแล้วกลับร้องเพลงต่อ
“เดินทางกับมิ่งมิตรกลางไพรกว้าง”
ดารารายอ้าปากค้าง เพราะหลวงเทพไม่เพียงจำทำนองเพลงได้ แต่กลับแต่งเนื้อเพลงใหม่
“อันตรายรอบข้างมิหวั่นไหว” หลวงเทพยิ้มนิดๆ ดารารายนิ่งฟัง
ส่างจ้อยกับสมุนก็หันมาฟัง
“ถึงหลงทิศมีดวงดาวนำทางไป” หลวงเทพมองหน้าดาราราย “เป็นแสงส่องกลางใจไม่มืดมน”
ดารารายหน้าแดงแล้วแกล้งทำหน้าเบ้
“เพลงเขาดีๆ เจ้ามาเปลี่ยนเนื้อเพลงเสียหมด”
“ถามจริงๆ เจ้าชื่ออะไรกันแน่”
“ข้าชื่อเจ้าราย”
“เจ้าไม่บอก งั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าเอง”
“เรื่องอะไร”
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าแสงดาวก็แล้วกัน”
ดารารายเม้มปาก ในใจกลับชอบชื่อใหม่นี้แต่ปากแข็ง
“ไม่เอาข้าไม่ชอบ”
“เพราะจะตาย ทำไมไม่ชอบ”
ส่างจ้อยกระโดดมาใกล้ ดารารายกับหลวงเทพสะดุ้ง
“อะไร”
“มีคนมา”
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อยและชาวป่าทั้งสองคน เข้าแอบในโพรงถ้ำหนึ่ง หักเอาพุ่มไม้ใบหนามาปิดปากถ้ำ มองออกไป
เห็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำ 8-9 คนใส่เสื้อกางเกงสีเข้มมีอาวุธครบมือ เข้ามาที่น้ำตกพลางตักน้ำ ดื่มน้ำกัน พลางพูดจาได้ยินแว่วๆ ไม่ชัดนัก
สองคนเขม้นมอง
“พวกใดกัน”
“แปลกจริง ทำไมข้าถึงคุ้นหน้าพวกมัน”
ดาราราย กับหลวงเทพมองไปแล้วอ้าปากค้าง เห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นหันหน้ามา เห็นหน้ามีรอยแผลบากถือขวานใหญ่เป็นอาวุธ
“นั่นไอ้โจร ที่จะจับเจ้าเป็นเมียนี่”
หลวงเทพภักดีได้ฟัง กลืนน้ำลายดังเอื้อก
พวกโจรป่าตั้งที่พักบริเวณเชิงเขาห่างมาจากน้ำตกพอสมควร ตั้งวงดื่มกินพูดจากันเสียงดัง มีการย่างหมูป่าตัวใหญ่บนกองไฟ หัวหน้าโจรนั่งเด่นดูลูกน้องนุ่งผ้าผืนเล็กเล่นมวยปล้ำกันกลางลาน หัวหน้าโจรกินเหล้าไปนัยน์ตาวามวาว
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ดี ดี ดี”
ที่พุ่มไม้ห่างออกมา หลวงเทพภักดีในคราบเจ้าภักดิ์ และ ดาราราย ในคราบ ราย ส่างจ้อย และ 2 สมุน แอบดูอยู่ พูดกระซิบกระซาบกัน
“ข้าฟังพวกมันพูดจากัน ได้ยินว่า พอเราหนีไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีพวกขุนหาญบุกมา ช่วยกองเกวียนไว้ได้” ดารารายเปิดประเด็น
“ก็พวกทหารที่มากับกองเกวียนข้ายังไง” หลวงเทพว่า
ดารารายพอจะรู้แล้วว่าหลวงเทพย่อมไม่ใช่พ่อค้าแน่ แต่ก็ไม่พูดอะไร
“แปลว่า พี่ทิพย์ พี่ทิม ปลอดภัย”
“พี่สาวเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
“สวยไหม”
ดารารายค้อนโดยไม่รู้ตัว หลวงเทพมองด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
“พี่สาวข้า งามกว่าข้าหลายเท่านัก”
“ข้าไม่เชื่อดอก เพราะในสายตาข้า เจ้างามกว่าหญิงใดทั้งแผ่นดิน”
ดารารายอึ้ง เพราะนั่นเท่ากับการบอกรัก
ส่างจ้อยทำตาปริบๆ เพราะทนฟังมานานแล้ว พลันยื่นมือมาสะกิด
“ครูผีกับน้องสาวจะพร่ำพรอดกันอีกนานไหม”
ดารารายหน้าแดงฉาน หลวงเทพอึ้งบ้าง
“ข้าอยากรู้ว่าเราจะทำอันใดต่อไป...รอให้มันหลับแล้วเข้าไปฆ่าพวกมันดีหรือไม่”
ส่างจ้อยชูคันธนูเล็กๆ ที่เรียกว่าหน้าทึ้นของต้น
“อย่าเพิ่งเลย...ดูมันไปก่อน” หลวงเทพบอก
ระหว่างนี้สมุนโจรโดนเพื่อนกดล็อกกับพื้น ตัวเปียกเหงื่อเป็นมันเลื่อม หัวหน้าโจรยิ้มพริ้มพราย
“ดี ดี ผู้ใดแพ้คืนนี้อยู่กับข้า”
เหมือนคำประกายศิต สมุนโจรที่ถูกกดตาเหลือกฮึดดิ้นหลุด ตวัดเท้าล็อกโจรคู่ปล้ำล้มลงบ้าง แล้วขึ้นกดทับ
หลวงเทพกับดารารายทำหน้าขยะแขยง ส่างจ้อยไม่รู้เรื่อง หัวหน้าโจรยิ้มอีก
“ดี ดี ผู้ใดชนะ คืนนี้จะได้ร่วมหอกับข้าเช่นกัน”
สองสมุนที่กำลังปล้ำทำหน้าจะร้องไห้ สมุนโจรอื่นๆ เฮฮา กร่อยๆ
ดารารายและหลวงเทพทำหน้าอี๋ ส่างจ้อยสะกิดตาเบิกกว้าง
“ไอ้ยักษ์นั่น เอาลูกน้องเป็นเมียหรือ อี๊”
ตกตอนกลางคืน จันทร์เสี้ยวบางลอยขึ้นสูงบนท้องฟ้า ขุนเขาดูมืดทะมึน พวกโจรมึนเมาหลับกันระเกะระกะ กองไฟเริ่มมอดลง รอบด้านดูมืดมิด ที่ในพุ่มไม้ หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย และสมุนยังตื่นอยู่ พูดกันเบาๆ
“พวกมันหลับหมดแล้ว เราจะเอายังไงดี” ส่างจ้อยถาม
“ใจนึงข้าอยากล้างแค้นให้ท่านลุง แต่อีกใจไม่อยากก่อเวรอีกแล้ว”
“งั้นพวกเราก็ถอยก่อน”
หลวงเทพ ดารารายขยับตัวเตรียมออกจากพุ่มไม้ แต่ส่างจ้อยโบกมือห้าม
“เดี๋ยว!”
หลวงเทพ ดารารายชะงัก ส่างจ้อยพลันนอนลงเอาหูแนบพื้นดิน
“ยังไง”
ส่างจ้อยยังคงเอาหูแนบพื้น
“มีเสียงฝีเท้า แต่มิใช่เสียงเดิน แต่เป็นเสียงกระโดด”
หลวงเทพและดารารายชะงัก
ที่ค่ายพักพวกโจรแสงจากกองไฟสว่างรุบหรู่ ไกลไปในความมืดมิด มีจุดแสงแดงปรากฏขึ้นคู่หนึ่ง
ดาราราย หลวงเทพ ส่างจ้อย และลูกน้องเอาผ้าเปียกมาพันรอบจมูกปากเตรียมพร้อม
“มันมาแล้ว” ดารารายบอก
มีจุดแสงแดงปรากฏขึ้นอีก 2 คู่ ดาราราย หลวงเทพเตรียมพร้อม ส่างจ้อยมีอาการหวาดๆ แต่ 2 ลูกน้องตัวสั่น จากจุดแสง 3 คู่ จู่ๆ มีจุดแสงอีกราว 7-8 คู่ปรากฏขึ้น
ดารารายและหลวงเทพตกตะลึงพรึงเพริด จุดแสงนั้นเลือนวูบ แล้วเคลื่อนใกล้เข้ามา
มันเป็นฝูงผีขาเดียวนับสิบ แล้วกระโดดอีก วูบมาใกล้ พวกมันพ่นควันสีเขียวฟุ้งออกมา
ในซอกหินหนึ่ง หัวหน้าโจรนอนกลาง ขนาบข้างด้วยสองสมุนที่เล่นมวยปล้ำ หัวหน้าโจรผิดสังเกตผวาลุก 2 คู่ขางัวเงียลุกตาม
“ผิดท่าแล้ว”
สมุน 1เหวอ “ท่า จักเล่นท่าอันใดอีก”
สมุน 2 อุทาน “ตัวเอง”
ควันสีเขียวกำจายฟุ้งบดบังตรงหน้า มีจุดแสงสีแดงในควัน แล้วพรวดมาเป็นผีขาเดียวตัวหัวหน้า
หัวหน้าโจรและสมุนผงะหงายลง กลายเป็นอัมพาตขยับกายไม่ได้ ผีขาเดียวพ่นควันสีเขียวออกมาอีก
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย และ 2 ลูกน้อง เอาผ้าชุบน้ำปิดหน้าแนบแน่นมองมา มีพุ่มไม้บังอยู่เห็นไม่ชัด
ผีขาเดียวกระโดดผ่านวูบๆ ไป 8-9 ตัว สองลูกน้องกลัวตัวสั่น ส่างจ้อยเองก็กลัว
ผีขาเดียวตัวหัวหน้ากระโดดมาหยุดหน้าพุ่มไม้ สองลูกน้องกลัวสุดขีด ส่างจ้อยลืมตัวตบหัวลูกน้องผัวะให้เงียบ ผีขาเดียวตัวหัวหน้าชะงัก หันมา พบว่าในวงแขนมันอุ้มหัวหน้าโจรระทดระทวยอยู่ราวไม่มีน้ำหนัก ผีขาเดียวมองมาในพุ่มไม้ด้วยอาการสงสัย มันโยกกายท่อนบนไปมา ดารารายขยับหน้าไม้ หลวงเทพจับเขี้ยวเสือไฟเตรียมพร้อมรับการจู่โจม
ทันใดนั้นมีเสียงสังข์ดังมาในอากาศ ฟังดูแปลกประหลาด ผีขาเดียวลนลานหันกลับกระโดดวูบพาหัวหน้าโจรไป พริบตาเดียวก็ไม่เหลือร่อยรอย
บรรยากาศโดยรอบยังมีควันสีเขียวลอยอ้อยอิ่งอยู่ หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อยและ 2 ลูกน้องพรวดออกมา มองตามไปแล้วมองดูค่ายพักพวกโจร พบว่าค่ายว่างเปล่าไม่มีพวกโจรอยู่
“มันไม่ได้ดูดเลือด มันจับพวกโจรไปหมด” ดารารายฉงน
“ตามไป...เราเจอรังมัน”
หลวงเทพพยักหน้ากับดาราราย ส่างจ้อยแล้วออกเดิน 2 ลูกน้องทำท่าจะร้องไห้ ส่างจ้อยหันมาตวาดจึงยอมเดินตาม
บริเวณนี้เป็นผาหิน ทุกคนเดินมาถึงแล้วแหงนดู เห็นผาหินสูงตระหง่าน สูงขึ้นไปราว 20 วา ปากโพรงถ้ำขนาดใหญ่ มีแสงไฟสว่างออกมานอกโพรงถ้ำ ดูคล้ายมีพลังงานบางอย่างแผ่ออกมา หลวงเทพอึ้งไปมองหน้าดาราราย และส่างจ้อย
“รังผีขาเดียว”
“แล้วเราจะขึ้นไปได้อย่างไร”
“พวกข้าเก่งปีนป่าย...จะขึ้นไปก่อนแล้วหย่อนเชือกมารับเจ้า” ส่างจ้อยบอก
ในแนวผาสูงเรียบชัน ส่างจ้อยกับพวกอยู่ที่ปากโพงถ้ำแล้ว ช่วยกันยึดเชือกที่พันกับแง่หินหนึ่ง และทิ้งลงไป หลวงเทพกำลังใช้เชือกประคองคนไต่ขึ้นมา ดารารายไต่ตาม
ส่างจ้อยยื่นมือดึงหลวงเทพขึ้นไปหน้าปากโพรง หลวงเทพหันมายื่นมือออก ดวงตาเปี่ยมรักและชื่นชม ดารารายหน้าแดงกัดริมฝีปากตัวเอง หลบตา แล้ววางมือในมือเขา หลวงเทพดึงขึ้น
ทั้ง 5 มองดูโพรงถ้ำที่ดูเริงโรจน์โชตนาจากข้างในอย่างใจสู้
ภายในถ้ำนั้นมีคบไฟตามอยู่เป็นระยะ ทางเดินนั้นกว้างใหญ่เรียบลื่นเหมือนมีผู้ใช้งานเป็นประจำ ส่างจ้อยเดินนำ หลวงเทพ ดารารายเดินตาม สองลูกน้องเดินปิดท้าย ทุกคนถืออาวุธเตรียมพร้อม
ที่แนวโขดหินใหญ่กั้นเป็นขอบอยู่ มีแสงสว่างเจิดจ้าส่องมาจากด้านหลังแนวโขดหินนั้นพร้อมกับเสียงสาธยายมนตราภาษาประหลาดดังมา ทั้ง 5 เข้าแนบตัวกับโขดหินใหญ่ แล้วค่อยๆ โผล่หน้าไปดูอย่างระมัดระวัง
จากด้านโพรงถ้ำ ทุกคนโผล่หัวมา แล้วตกตะลึงจากแนวโขดหินมีกระถางไฟโลหะมหึมามีเปลวไฟลุก ตั้งอยู่แนวทิศเหนือ ใต้ ออก ตก ต่ำลงไปนั้น เป็นโพรงถ้ำกว้างใหญ่มีสัณฐานกลมที่กลางถ้ำมีบ่อเพลิง ลุกโรจน์เป็นเปลวไฟ รอบบ่อเพลิงเป็นยกพื้นหิน มีร่างโจรทั้ง 10 คน นอนหงายแน่นิ่ง หันเท้าเข้าหาบ่อเพลิง หันหัวออกมาภายนอก เว้นระยะเท่าๆ กันดูราวเส้นรัศมีของบ่อเพลิง ที่ด้านศีรษะของพวกโจร ผีขาเดียวทั้ง 10 ยืนคุมอยู่
ห่างออกมามีแท่นหินกลม มีร่างของชายหนุ่มดูสูงสง่า สวมผ้าหยักรั้งสีขาวแซมดิ้นเงินทองระยิบระยับ ห่มผ้าสีเดียวกันเป็นผ้าคลุมแผ่กว้างไปเบื้องหลัง ดวงหน้านั้นทาด้วยผงทองมลังเมลืองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีอาถรรพ์ ที่แท้เขาคือ เถรกระอ่ำ นั่นเอง
ปากเถรกระอ่ำสาธยายมนตรา ฟังรัวเร็วดังกังวานสะท้อนสะท้านไปในถ้ำมหึมา
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย แปลกใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เห็น
“มีผู้อยู่เบื้องหลัง ผีขาเดียวจริงๆ” หลวงเทพว่า
“มันแต่งกายเหมือนนักบวช แต่ดูประหลาดพิกลนัก” ดารารายฉงน
“มันกำลังทำอันใด” ส่างจ้อยงง
“เหมือนเป็นพิธีกรรมบางอย่าง”
“ไม่เหมือนพิธีกรรมธรรมดา...แต่เหมือนกับ...”
ดารารายอึ้งไป มองหน้าหลวงเทพ ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน
“บูชายัญ!”
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อยมองดูอย่างหวาดหวั่น
เถรกระอ่ำหยุดสาธยายมนต์ ลืมตาขึ้นเห็นดวงตาเจิดจ้าด้วยพลังจิต แล้วยืนขึ้น กาง 2 แขนออกทันใดไฟในบ่อเพลิงกลางถ้ำพลันลุกเป็นเปลวสูง หลวงเทพ ดาราราย และ 3 ชาวป่าผงะ
“ลงมือ” เถรกระอ่ำตะโกน
ผีขาเดียวทั้ง 10 พลันตวัดมือกรงเล็บวูบ พวกโจรทั้ง 10 ผวา คอถูกกรีดเป็นแผลเปิดอ้ากว้าง พร้อมกัน
ดารารายหน้าเสียเบือนหน้าหนี หลวงเทพโอบไหล่ไว้ ส่างจ้อยดูเบื้องล่างตาเหลือก
ผีขาเดียวทั้ง 10 พลันขยับตัววูบ มาอยู่เบื้องหน้าเถรกระอ่ำ เลือดจากคอของโจรทั้ง 10 ไหลไปตามร่องหินแล้วล้นตกลงมาแผ่ไปบนพื้นถ้ำราวลำธาร
เถรกระอ่ำสังวัธยายมนตราอีก ทันใดไฟในบ่อเพลิงพลันเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองอมเขียวดูประหลาดพิกล แสงสีเขียวอาบไปทั่วถ้ำ ดาราราย หลวงเทพ ส่างจ้อยมองหน้ากัน
“มันกำลังทำอะไรแน่”
“ไม่ว่าอันใด ย่อมไม่ใช่เรื่องดี” ดารารายมั่นใจ
“ดูนั่น”
ส่างจ้อยตาเหลือกชี้นิ้วสั่นระริก ไปที่พื้นของถ้ำเกิดรอยแยก ดินนูนขึ้นเหมือนมีอะไรภายใต้จะผุดขึ้น หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อยตาเบิกโพลง
เถรกระอ่ำยิ้มนิดๆ สมใจ บรรดาผีขาเดียวตรงหน้าก็มองดูคำรามเหมือนคุยกัน มือกรงเล็บดันขึ้นมาจากใต้ดิน หัวของผีขาเดียวผุดขึ้น
“มันทำพิธีปลุกผีขาเดียว” หลวงเทพว่า
นักบวชหัวเราะเบาๆ กราย 2 มือออกราวต้อนรับ
ทันใดพื้นดินก็เกิดรอยปะทุ ตามมาอีกจุดแล้ว จุดเล่า จากนับได้ กลายเป็นสิบ
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อยผงะ
ผีขาเดียวตัวที่ 2-3 โผล่ขึ้น จุดที่พื้นเพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อย
“มิใช่สิบอย่างที่เจ้ากลัว แต่เป็นหลักร้อย” ดารารายตะลึง
“มันกำลังสร้างกองทัพผีขาเดียว”
“เราจะแก้ไขอย่างไร” ส่างจ้อยหวาดผวา
หลวงเทพมองดูรอบๆ แล้วตาสว่างวาบ
“ข้ารู้แล้ว”
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ผีขาเดียวตัวแรกตะกายขึ้นมาได้แล้วล้มฟาดเหมือนลูกสัตว์แรกคลอด ผีขาเดียวตัว 2-3 ผุดขึ้นระดับเอว เถรกระอ่ำมีอาการปรีดาหมุนกายกลับไปยังแท่นหิน สะบัดผ้าคลุมแผ่ไปแล้วนั่งลง
ส่วนที่เบื้องบนหลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย และ 2 ลูกน้อง บัดนี้กระจายไปอยู่หลังกระถางเพลิงทั้ง 4 ทุกคนเอาหลังพิงหินยื่นเท้าไปค้ำยันกระถางไฟ
ส่างจ้อย 2 ลูกน้องใช้ใบไม้แห้งใบหนาพันเป็นรองเท้ามีอาการร้อนควันขึ้นหน้าเหยเก
เบื้องล่าง ผีขาเดียวตัวที่ 2-3 ผุดขึ้นทั้งตัวล้มลุกคลุกคลานอยู่ จุดอื่นๆ ก็ปรากฏผีขาเดียวโผล่เพิ่มขึ้น หลวงเทพชูมือขึ้น พวกที่เหลือมอง หลวงเทพพลันฟาดมือลง หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย 2ลูกน้อง พลันถีบกระถางไฟสุดแรง
กระถางไฟทั้ง 3 เว้นของส่างจ้อย เอียงเท น้ำมันอันติดไฟพรุลงราวน้ำตกเพลิงนักบวชบนแท่นพิธีผงะแหงน ผีขาเดียวทั้ง 10 ร้องกันแก๊กๆ หันรีหันขวางน้ำมันติดไฟเทลงมายังเบื้องล่าง อาบลงบนผีขาเดียวเกิดใหม่ และราดลงบนหลุมที่มีผีขาเดียวโผล่มา ส่างจ้อยยันสุดแรงกระถางไฟไม่เขยื้อนอยู่
ทันใดไฟอาถรรพ์สีเหลืองเขียวก็กลายเป็นไฟธรรมดา เถรกระอ่ำขบกรามชี้นิ้ว
“ไป”
ผีขาเดียวราว 5-6 ตัว แยกเป็น 3 กลุ่มกระโจนไปยัง กระถางไฟที่เอียงเท หลวงเทพ ดาราราย 2 ลุกน้อง ดันสุดแรง กระถางไฟพร้อมน้ำมันไฟที่ติดกันคว่ำตกลง
กระถางไฟและน้ำมันเพลิงตกกระแทก ผีขาเดียว ร่างมันติดไฟร้องโหยหวน ร่างลงไปพร้อมกระถางเพลิง บางตัวถูกกระถางเพลิงบดทับตัว
เถรกระอ่ำโกรธกริ้ว เหลือผีขาเดียว 4 ตัวอยู่ด้วย หันรีหันขวางกัน
น้ำมันเพลิงพาไฟไหลอาบไปทั่วพื้นครอกผีขาเดียวเกิดใหม่ดิ้นรนทุรนตายไปกลางไฟลุกท่วม
ส่างจ้อยฮึดด้วยแรงสุดท้าย ถีบกระถางเพลิงคว่ำตกลงมิได้ค่อยๆ รินเทอย่างคนอื่น น้ำมันเพลิงเทลงบนร่างนักบวชจนท่วมท้น ผีขาเดียวตัวหนึ่งถูกกระถางเพลิงทับผีขาเดียว 3 ตัว กระโจนขึ้นเกาะแง่หินรอดไปได้หวุดหวิด
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย 2 ลูกน้องกระโดดร้องไชโย
ผีขาเดียว 3 ตัวที่เหลือมีอาการหวาดกลัวลังเล ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่คำรามมองดูพื้นที่กลายเป็นทะเลเพลิง หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย 2 ลูกน้องไถ่มารวมกันที่ตำแหน่งแรกยังดีใจกระโดดกัน
“สำเร็จแล้ว”
“เราจัดการมันได้แล้ว”
ส่างจ้อยมองไปแล้วตาเหลือก ชี้นิ้ว “ดูนั่น”
ที่บริเวณแท่นนั่งของนักบวชยังคงมีเปลวไฟท่วม มีร่างเป็นเงาสูงสง่าอยู่ด้านใน
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย 2ลูกน้องตกตะลึง เถรกระอ่ำก้าวออกจากเปลวไฟ ผมและชายผ้าปลิวไสวราวอยู่ในสายลม ไฟอันท่วมท้นมิได้ระคายผิว
“จัดการมัน”
ผีขาเดียวทั้ง 3 พลันกระโดดขึ้นบนขอบโขดหิน ตัวหนึ่งโจนเข้าหาส่างจ้อยและ 2 ลูกน้อง ทั้ง 3 กลิ้งหลบเลียดพื้นรอดไป ผีขาเดียวอีกตัวโดดมาพุ่งใส่ดาราราย ดารารายพลันยิงหน้าไม้เข้าปักดวงตามัน ผีขาเดียวผงะตกลงไปในเปลวไฟ ตัวหนึ่งพุ่งเข้าหาหลวงเทพ
ดารารายร้องบอก “เจ้าภักดิ์ ระวัง”
ผีขาเดียวดึงตัวหลวงเทพ สร้อยเขี้ยวเสือไฟหลุดจากอกเสื้อเรืองแสงขึ้น ผีขาเดียวกระเด็นออกไปปะทะแง่หิน แต่ตะกายลุกขึ้นบาดเจ็บ
หลวงเทพหันมามองดาราราย ผีขาเดียวอีกตัวกำลังไล่ล่า 3 คนป่า ทั้ง 3 วิ่งหนีเข้าซอกหิน ดารารายยิงหน้าไม้ใส่หลังผีขาเดียว มันหันขวับมาอย่างไม่เป็นอะไรโดดใส่ดาราราย หลวงเทพถลันเข้าไปชูสร้อยเขี้ยวเสือไฟตวัดฟาดใส่มัน ผีขาเดียวผงะกระเด็นไป หลวงเทพก้าวตามติด ดารารายนึกออก
ดารารายบอก “จี้ตรงกลางหน้าผากมัน”
หลวงเทพจี้เขี้ยวเสือไฟทาบลงกลางหน้าผากผีขาเดียวมันกรีดร้อง ทรงตัวยืนโอนเอนบิดตัวไปมา
หลวงเทพถอยมายืนข้างดาราราย เห็นสภาพเปื้อนขะมุกขะมอม ก็เอาสร้อยเขี้ยวเสือไสวมให้
“เอาไว้กับเจ้า”
ดารารายอึ้งมองหน้าหลวงเทพ
นักบวชประหลาดหน้าเคร่งก้าวมา ผีขาเดียวที่โดนเขี้ยวเสือไฟ พลันเกิดรอยแยกแผ่ไปทั้งตัว ตามรอยแยกคล้ายมีไฟปะทุอยู่ภายใน มันกรีดร้องสุดเสียง
หลวงเทพ ดาราราย 3 คนป่าถอยมารวมกัน
ผีขาเดียวพลันสลายกลายเป็นฝุ่นผงลงกอง
เถรกระอ่ำขบกราม ผีขาเดียวตัวที่เหลือโดดมาหา นักบวชประหลาดมองกลุ่มหลวงเทพ ดารารายประทับหน้าไม้ยิง 3 ข่าระแดก็ยิงธนูเข้าใส่ นักบวชประหลาดโบกมือ ลูกดอกสลายไปกลางอากาศ
หลวงเทพตัดสินใจ
“ถอย!”
เถรกระอ่ำดวงตาเจิดจ้าร่ายเวทย์ ชายผ้าแผ่สะบัดออกรอบตัว หลวงเทพ ดาราราย 3คนป่าวิ่งหนีออกมา ทางปากถ้ำที่ฟ้าเริ่มสาง
ตรงแนวผาหินหลวงเทพและดารารายใช้เถาวัลย์เชือกรูดตัวลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ 3คนป่าไต่แง่หินปราดเปรียวคล้ายลิง
หลวงเทพ ดาราราย ส่างจ้อย และลูกน้องลงมาถึงพื้น แหงนมองขึ้นไปอย่างหวาดหวั่น ที่ปากโพรงถ้ำเบื้องบน เถรกระอ่ำก้าวมายืน ชายผ้าแผ่ออกรอบตัว มีพลังบางอย่างแผ่ออก
หลวงเทพ ดาราราย 3 คนป่า หันรีหันขวาง ทันใดมีเสียงม้าร้อง ดารารายหันไปมองแล้วเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“วายุ!”
ม้าวายุวิ่งตะบึงมาถึงตัว ดารารายขึ้นม้าพยักหน้าให้หลวงเทพขึ้นตาม
“มาซี”
หลวงเทพขึ้นม้าซ้อนอยู่หลังดาราราย มองดูส่างจ้อยและพวก
“ไม่ต้องห่วงพวกข้า ไป”
ดารารายกระตุ้นม้า ม้าวายุควบตระบึงไป ส่างจ้อยและพวกวิ่งลัดเลาะไป
บนปากถ้ำเถรกระอ่ำมองตาม ดวงตาเจิดจ้า
ในเวลาเช้าตรู่ ม้าวายุควบตะบึงไปตามเส้นทางในป่า เห็นผาหินอยู่เบื้องหลัง หลวงเทพ ดารารายค่อยโล่งอก ดารารายโน้มตัวลงลูบคอมา
“วายุ เจ้ามาได้อย่างไร”
“นี่ม้าของเจ้าหรือ”
“ใช่ วายุ คนผู้นี้เป็นเพื่อนข้า” ดารารายแนะนำหลวงเทพ
ม้าวายุร้องฮี้ ผ่อนฝีเท้าลงนิดหนึ่ง หลวงเทพยิ้ม
“แค่เพื่อนเท่านั้นหรือ”
ดารารายตัวแข็ง หลวงเทพแกล้งรัดดารารายแน่น
เถรกระอ่ำยิ้มเหี้ยมโหดอยู่ที่ปากถ้ำ สาธยานมนต์ ทันใดมีงูใหญ่เลื้อยมาแทบเท้านักบวชจับงูขึ้นแล้วรูดมือออกตามความยาวลำตัวงู งูนั้นพลันแข็งทื่อกลายเป็นแหลนประหลาด มีลวดลายของงูอยู่
ดารารายหน้าแดง หลวงเทพยิ้ม
“เจ้ารัดข้าแน่นไปแล้ว”
“ก็ข้ากลัวตกม้านี่”
ดารารายยิ่งเขินอาย “วายุ! คนผู้นี้รังแกข้า”
ม้าวายุพลันหยุด สะบัดหลัง ดารารายโน้มตัวแนบม้า หลวงเทพกระเด็นตกไปที่พื้น
“โอ้ย”
ดารารายยิ้มพริ้มพรายอยู่บนหลังม้า “ดียิ่ง วายุ”
ที่ปากถ้ำ เถรกระอ่ำเงื้อแหลนงูพิษขึ้นสุดแขนแล้วพุ่งไป
ดารารายชักม้าหันรีหันขวางอยู่ หลวงเทพกุมสะโพกลุกขึ้น หน้าตาบูดเบี้ยว
“ดีอะไร ไม่ดี ไม่ดี”
ม้าวายุร้องฮี้ ทันใดวัตถุสีดำก็ตบวูบมาถึงดาราราย ดารารายเงยหน้าดูเบิกบานกว้างหลวงเทพร้องอุทาน
แหลนอสรพิษพุ่งตกลง เป้าหมายเด่นคือดาราราย ใกล้เข้าไปทุกทีๆ ดารารายตกตะลึง หลวงเทพพลันตบคอวายุ วายุพยศชูขาหน้า ดารารายเสียหลักหล่นไป หลวงเทพยืนนิ่ง ดารารายประคองตัวขึ้นเห็นหลวงเทพยืนนิ่งหันหลังให้ ดารารายมอง
“เจ้าภักดิ์”
หลวงเทพพลันเข่าอ่อนทรุดคุกเข่าลง ดารารายขยับไปถึงตัว เห็นหลวงเทพกุมอก แหลนอสรพิษปักคาอยู่ ดารารายกรีดร้องดึงแหลนออก
แหลนนั้นกลายเป็นงูคามือดาราราย สร้อยเขี้ยวเสือไฟเรืองแสง งูพิษในมือผวากลายเป็นเถ้าถ่านสลายพรูลงหลวงเทพเอียงล้มลง ดารารายประคองไว้ หลวงเทพปรือตามอง
“แสงดาว เจ้าไม่เป็นไรนะ”
ดารารายสั่นหน้า หลวงเทพคอพับสิ้นสติไป ดารารายกัดริมฝีปาก น้ำตาไหลพรู
ดารารายรีบพาหลวงเทพมารักษาตัวที่หมู่บ้านข่าระแด
ห้องในเรือนยาว หลวงเทพนอนอยู่บนแคร่อกเปลือยเปล่ามียาสมุนไพรตำละเอียพอกอยู่ ดารารายท่าทางอิดโรยสวมเขี้ยวเสือไฟที่คอ ลูกสาวหัวหน้าเผ่าอยู่ข้างๆ เอาผ้าชุบน้ำในอ่างดินบิดหมาดแล้วส่งให้ดาราราย ดารารายรับมาเช็ดหน้าให้หลวงเทพอย่างแผ่วเบา ลูกสาวหัวหน้าเผ่ามองดูอย่างเป็นห่วง
เปิดประตูออกมา ส่างจ้อยถือชามดินเข้ามา ดารารายหันมาดู ส่างจ้อยมานั่งลง
“ยาแห้งแล้ว เปลี่ยนยาพอกใหม่เถิด”
ดารารายพยักหน้ารับชามดินมา ข้างในชามมียาสมุนไพรสีเขียวเข้มตำละเอียด ดารารายเอายาพอกที่แห้งเกราะจนเปลี่ยนสีออก เอายาใหม่พอกทาลงไป
ส่างจ้อยเอายาพอกเก่ามาดู เห็นด้านหนึ่งดำสนิท “พิษยังออกมาไม่หมด”
“นี่วันที่สามแล้ว เจ้าภักดิ์ยังไม่ฟื้นอีก”
ส่างจ้อยแต่สีหน้าดีขึ้นมาก ไม่มีสีดำที่หน้าผากแล้ว
ดารารายพยักหน้า
ส่างจ้อยเจ้าเฝ้าไข้ ไม่ยอมนอนมาสามคืนแล้วเหมือนกัน พักก่อนเถิด
“ข้ายังไม่อยากพัก”
“ข้าจะเฝ้าครูผีให้เอง”
ดารารายส่ายหน้าไม่ยอมหันไปเช็ดหน้าให้หลวงเทพต่อ ส่างจ้อยสบตากับลูกสาวหัวหน้าเผ่า พยักหน้าให้แล้วพากันเลี่ยงออกมาทิ้งดาราราย หลวงเทพไว้ตามลำพัง
ตกตอนกลางคืนสมุนไพรที่พอกอกหลวงเทพแห้งเปลี่ยนสีอีก ดารารายแกะออกมาดูเห็นมีสีดำเป็นจุดราวหัวแม่มือ ส่างจ้อยอยู่ข้างๆ ยิ้มร่า ลูกสาวหัวหน้าถือจานชามอาหารอยู่ข้างๆ
“พิษเกือบหมดแล้ว พอกอีกครั้งก็พอ”
ดารารายถอนใจ เอาชามยาใหม่มาค่อยๆ พอกให้
“ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าภักดิ์ไม่ฟื้น”
“งูนั้นเป็นงูผี มีพิษกว่างูอื่น”
ส่างจ้อยครุ่นคิด รำพึง
“ครูผีไม่กลัวผี ครูผีกลัวงู แล้วงูผีเล่านับเป็นงูหรือเป็นผีถ้าเป็นผี ครูผีคงฟื้น แต่ถ้าเป็น...”
ส่างจ้อยชะงักคำพูด ดารารายหน้าเสีย ลูกสาวหัวหน้าหยิกส่างจ้อยสุดแรง ส่างจ้อยร้องโอดโอยหุบปากไปได้
ดารารายมองหลวงเทพ แล้วพนมมือน้ำตาคลอ
“ข้าแต่แดนอินทรี ผีขุนเขา ผีขุนน้ำ ข้าผู้ไม่เคยมีศิลมีพรตใดๆ ขอให้คำมั่นต่อท่าน หากท่านคืนเจ้าภักดิ์กลับมาจากความตาย ข้าจักไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้แต่มดแต่ยุงก็ไม่เว้น ข้าจักไม่แย่งชิง”
หลวงเทพครางเบาๆ ดารารายชะงัก มองดู
“เจ้าภักดิ์”
ส่างจ้อยและลูกสาวหัวหน้าเผ่าชะเง้อ
“ครูผี ครูผี”
หลวงเทพปรือตาขึ้น ดารารายขยับใกล้กุมมือไว้ ปาดน้ำตาทิ้ง หลวงเทพมองดู ส่างจ้อยและลูกสาวหัวหน้าหัวเราะร่า เข้ากอดกันแล้วรีบผละออก
ดารารายดีใจสุดขีด “เจ้าภักดิ์”
หลวงเทพงงๆ “นี่ที่ใดกัน”
“ย่อมเป็นเรือนยาวของเพื่อนตัวน้อยเรา”
“โธ่”
“โธ่อันใด”
“เมื่อครู่ข้ายังบนเมืองฟ้า ล้อมรอบด้วยนางฟ้านับสิบอยู่เลย”
หลวงเทพทำตากรุ้มกริ่ม พูดเล่นเหมือนเคย ดารารายเชิดหน้า
“เฮอะ ถ้าเช่นนั้นใยไม่อยู่กับนางฟ้าเมืองบน รีบกลับมาเมืองล่างทำไม”
หลวงเทพยิ้มกริ่ม
“หากข้ามิรีบกลับ เจ้าคงบนบานถือศีลถือพรตครบทุกข้อจนต้องออกบวชแทน”
“เจ้า!”
ดารารายหน้าแดง ทุบไหล่หลวงเทพดังตั้บ หลวงเทพเจ็บจนร้องไม่ออก ดารารายเองก็ตกใจ ส่างจ้อยทำตาปริบๆ
“ครูผีรอดทุกอย่างมาได้ แต่คงตายด้วยมือแสงดาวเป็นแน่”
ท้องฟ้ายามดึก ดวงดาวแพรวพราวระยับเต็มฟ้า บนระเบียงเรือนยาว หลังการฉลองผ่านไป ตามจุดต่างๆ ตามไฟไว้สว่างวอมแวม บรรดาผู้เฒ่าเร้นกายเข้าเรือน หนุ่มสาวข่าระแดจับคู่คุยพร่ำพรอดกันเป็นคู่ๆ กระจายกันอยู่ตามความยาวระเบียง
ที่มุมหนึ่งปูลาดหนังสัตว์ไว้ หลวงเทพนั่งอยู่กับดาราราย ตรงหน้ามีอาหาร เหล้าและผลไม้ป่า หลวงเทพมีผ้าพันแผลที่อกสวมเสื้อทับแต่ไม่กลัดกระดุม ดารารายแต่งชุดที่พวกข่าระแดหามาให้ เป็นซิ่นกับผ้ารัดอกและคลุมไหล่ บนศีรษะปักดอกไม้ขนนก ที่คอมีสร้อยลูกปัดเขี้ยวสัตว์งดงามแปลกตา
“เจ้าดูแปลกตา...เหมือนไม่ใช่เจ้า”
“พวกข่าระแดจับข้าแต่งตัวอยู่ตั้งชั่วยามหนึ่ง ฮึ ผู้คนชอบจับข้าแต่งตัวนัก”
“ใครอีกที่ชอบจับเจ้าแต่งตัว”
“พี่สาวข้าน่ะซี”
“อ้อ พี่สาวที่เจ้าบอกว่างามกว่าเจ้า”
ดารารายหน้าบึ้ง
“มิใช่แค่งาม นางยังจิตใจดี กิริยาเรียบร้อย เก่งงานบ้านการเรือนทั้งยังชาญฉลาด ช่างเจรจาด้วย”
หลวงเทพไม่ได้เชื่อนัก
“นางออกเรือนแล้วหรือยัง”
“ยัง...ทำไมเจ้าจะไปทาบทามสู่ขอหรือ”
“ใครว่า แค่ข้ากะอยู่แล้วว่า นางต้องยังไม่ออกเรือน”
“ทำไม”
“เพราะผู้ชายมักขยาด..หญิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้”
ดารารายนึกเคือง “เฮอะ เจ้าอย่ามาพูดดีเลย เพราะเจ้ายังไม่เคยเห็นนางน่ะซี”
หลวงเทพยิ้มขยับตัวแล้วนิ่วหน้าร้องเบาๆ
“ยังเจ็บหรือ”
“เปล่าแค่ผ้ารัดอกข้าแน่นไปหน่อย...เดี๋ยวนี้ข้ามีผ้ารัดอกเหมือนเจ้าแล้ว”
ดารารายค้อนตาคว่ำ หลวงเทพขยับตัวมองดูดาวพราวฟ้า ดารารายมองตาม
“ฟ้าวันนี้งามจริง...เหมือนมีดาวนับล้านดวง”
“อีกไม่นาน พอเดือนฉาย ก็บดบังดาวให้อับแสงหมด”
“ไม่จริงหรอก” หลวงเทพตาเป็นประกาย
“ทำไมจะไม่จริง”
“เพราะดาวกลางใจข้า ย่อมส่องสว่างเสมอ ไม่มีสิ่งใดมาบดบังได้
ดารารายเมินหลบตา หลวงเทพมองอย่างเปี่ยมรัก ขณะบนท้องฟ้าเห็นดาวพราวเต็มฟ้า
ดวงอาทิตย์ทอแสงจ้าอยู่กลางฟ้า ม้าวายุเยื้องย่างมากลางป่าดงดิบเขียวขจี ดารารายซึ่งกลับไปแต่งชุดผู้ชายโพกผมนั่งอยู่บนหลังม้า มีเชือกลากระแทะไม้ไผ่สาน หลวงเทพนั่งตาปรือบนระแทะ เทกระบอกไม้ไผ่ดื่มยาแล้วทำหน้าเหยเก
“ข้าไม่กินได้ไหม ยานี่กินแล้วง่วงนอน”
“กินให้หมด เจ้าจะได้พักผ่อนเยอะๆ”
“แล้วเจ้าเล่า เจ้าหน้าแดงเหมือนกำลังจับไข้”
จากการเฝ้าไข้ไม่ยอมนอน 3 วัน 3 คืน อาการเริ่มแสดงอออกมา ดารารายหน้าแดงด้วยพิษไข้ ปากเริ่มแห้งแตก
“ข้ากินยาแล้วไม่เป็นไรดอก”
“เมื่อไรถึงจะถึงเวียงแก้ว”
“เย็นวันพรุ่งก็เข้าเขตเวียงแก้วแล้ว”
“ป่านนี้พ่อข้าน่าจะถึงเวียงแก้วแล้ว เจ้าไปส่งข้า ดีจริงพ่อข้าจะได้เจอเจ้าพ่อข้าคงจะถูกใจเจ้ามาก”
ดารารายนิ่งงัน อัดอั้น หลวงเทพหาว ม้าวายุเดินไปเงียบๆ ครู่หนึ่ง
“ทำไมเจ้าเงียบไป”
“เปล่า ข้าแค่มีเรื่องต้องคิด”
“คิดอันใด...เจ้าไปเจอพ่อข้า จากนั้นข้าก็ไปบ้านเจ้า ไปเจอพ่อเจ้าพี่สาวแสนสวยของเจ้า”
ดารารายขมขื่นในใจ ส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว อาการไข้ยิ่งทวีขึ้น
“เจ้าพักผ่อนเถอะ เจ้ายังไม่หายดี”
“ข้าหายดีแล้ว”
ดารารายเงียบไม่ยอมพูดต่อ
“แสงดาว”
ดารารายเงียบ หลวงเทพหาวแล้วท่องกลอน
“น้ำใจนางดั่งดาวบนท้องฟ้า ในบางครั้งดาษตาพร่างเวหน ตะวันฉายหายลับกลับเมืองบน ทอดทิ้งข้าหมองหม่นตามหาดาว”
ดารารายทั้งปลาบปลื้มและขมขื่น หลวงเทพเงียบเสียงไป ดารารายหันมาดู เห็นหลวงเทพเอียงพับหลับอยู่บนระแทะ ดารารายมองด้วยแววตาแสนรัก
เวลาล่วงไปเป็นบ่ายใกล้เย็น ดารารายอยู่บนหลังวายุ ใบหน้ากลายเป็นซีดเผือดเหลียวมาดูหลวงเทพซึ่งหลับด้วยพิษยา
มีเสียงม้าหลายตัววิ่งมา ดารารายมองไป เห็นขุนกล้ากับทหาร 3 คนขี่ม้าสวนมา ดารารายจำได้ ขุนกล้าก็จำดารารายได้
“เจ้า เจ้าเด็กขี้โกง”
ขุนกล้ามองเลยไปก็ตาเหลือก
“คุณหลวง”
ดารารายไข้ขึ้นจนไม่ได้สนใจฟัง
“เจ้าภักดิ์ถูกงูกัดแต่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ข้ากำลังพาไปส่งที่เวียงแก้ว”
ขุนกล้ากับทหารทั้ง 3 ลงม้ามาดูหลวงเทพ
“ทำไมถึงหลับใหลไม่ได้สติอย่างนี้”
“เจ้าภักดิ์พูดมากไม่ยอมหลับยอมนอน จึงต้องวางยา”
ดารารายลงม้าวายุ ปลดเชือกลากระแทะออก
“เจอเจ้าก็ดีแล้ว ข้าจะได้หมด...ภาระซักที”
ดารารายพูดเหมือนไม่แยแส แต่กลับสะอึกอึ้ง
“ข้าไปล่ะ”
ดารารายขึ้นม้า ขุนกล้ายกมือจะเรียกไว้แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ดารารายหันมามองหลวงเทพเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาเอ่อเต็มตา แล้วหันกลับไป ยกมือลูบคลำเขี้ยวเสือไฟที่คอ คล้ายเป็นตัวแทนของเขา
คุ้มน้อยในเวลากลางคืน เงียบสงัด
ยอดหล้านั่งอยู่ที่ยกพื้นของเติ๋นบนเรือน ในมือมีสะดึงใหญ่กำลังปักผ้าอยู่ ดวงหน้าคิดฝันบางอย่าง นางผันนั่งร้อยไหมสนเข็มวางให้อยู่ใกล้ๆ
“เจ้านางคิดอันใดอยู่เจ้า”
“เปล่า มิได้คิดอันใด”
“อู๊ย ข้าเจ้ามิเชื่อเจ้า เจ้านางเดี๋ยวแย้มเดี๋ยวบึ้ง ต้องครุ่นคิดอันใดอยู่แน่”
ยอดหล้ายิ้มนิดๆ “ผัน เจ้าสู่รู้ยิ่งนัก”
“ถ้าให้ข้าเจ้าเดา เจ้านางของข้าคงครุ่นคิดถึงบุตรชายท่านราชทูตที่กำลังเดินทางมาเป็นแน่เจ้า”
“ข้าครุ่นคิดว่าจักปฏิเสธอย่างใดต่างหาก”
“อ้าว ไหงอย่างนั้นล่ะเจ้า”
“ทุกคนที่เจ้าพ่อชักนำมา ล้วนแต่เป็นขุนหาญ ใจคอหยาบกระด้างพูดมาคำหนึ่ง ก็อวดเก่งอวดดี น่าเบื่อหน่ายนัก”
ยอดหล้าพูดจริงจัง นางผันนิ่วหน้า
“โธ่ หลวงเทพภักดี อาจมิเป็นเช่นนั้นก็ได้เจ้า”
นางเผื่อนวิ่งอกกระเพื่อมมา นางผันหันไปค้อน
“มาแล้ว วิ่งแร่มาเชียว”
นางเผื่อนมาดึงยอบตัวลง เอามือกดทรงไว้เพราะเหนื่อยหอบ
“มีเรื่องกลียุคอันใดอีกหรือ” ยอดหล้าถาม
“วุ้ยเจ้านางเรือนโน้นเกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้า เมื่อห้าหกวันก่อนกองเกวียนที่เจ้านางน้อยเดินทางไปด้วยถูกโจรปล้น เจ้านางน้อยสาบสูญไปเจ้า”
ยอดหล้าลุกพรวดขึ้น “ดาราราย”
นางผันร้อง “ว้าย ตายแล้ว”
“ยังมิตาย ยังมิเจอซาก” นางเผื่อนว่า
ยอดหล้าโกรธตาวาว “หุบปาก อัปมงคลของเจ้าเดี๋ยวนี้”
2 นาง หน้าม่อยลงนิดหนึ่ง นางเผื่อนรายงาน
“เจ้านางสร้อยคำยังปิดความงำข่าวมิให้เจ้าหลวงรู้ นางส่งขุนหาญเรือนนางออกตามหาอยู่เจ้า”
ยอดหล้าร้อนใจไม่คลาย
ถนนระหว่างเมือง สองข้างทางเป็นป่าทึบนัก มีขบวนม้ากับเกวียนเดินทางมานำขบวนด้วยม้า 4 ตัว มีขุนหาญท่าทางห้าวหาญบนหลัง ถัดไปเป็นม้าของยอดหล้า ยอดหล้านั่งไพล่อยู่ ขนาบด้วยม้าของนางทิพย์ นางทิมในชุดบุรุษ ถัดไปเป็นรถม้ามีประทุนใหญ่ นางผัน นางเผื่อนนั่งเลิกผ้าประทุนดูทิวทัศน์สำราญใจ ปิดท้ายด้วยม้าขุนหาญอีก 4 ตัว
ยอดหล้ามีท่าทางร้อนใจ นางทิพย์ นางทิมรู้สึกผิดอย่างรุนแรง
“น้องข้าหายไปเจ็ดแปดวันใยเจ้าเพิ่งกลับมารายงานแม่น้า”
“ข้าเจ้าสองคนกับพวกพ่อค้ามัวแต่ตามหาอยู่เจ้า” นางทิพย์บอก
“ไม่คิดว่าจนป่านนี้แล้ว ยังไม่มีข่าวคราวใดเลย” นางทิมว่า
นางทิพย์ นางทิมน้ำตาคลอ ยอดหล้าสงสาร
“เอาเถิดๆ อย่าทุกข์ใจไปเลย ดารารายมีบุญคุ้มหัว นางไม่เป็นไรหรอก”
“ครูบาสรีก็พูดเช่นนั้นเจ้า” นางทิพย์เอ่ยขึ้น
“ครูบาบอกว่าเจ้านางน้อยจักได้ทุกข์แลได้สุขระคนกันเจ้า” นางทิมเสริม
ยอดหล้าขมวดคิ้ว
“ฮึ หากครูบาผู้นี้ล่วงรู้ดินฟ้าจริง ใยไม่ทัดทานดารารายไว้เล่า ไว้เกิดเรื่องแล้วค่อยมาทำนาย ข้าเบื่อฟังนัก”
นางทิพย์ นางทิม คอหด แต่ไม่กล้าบอกอะไรยอดหล้า
ขุนหาญที่ขี่ม้านำหน้ามองไปแล้วขมวดคิ้ว
“นั่นอันใด ใช่ม้าวายุหรือไม่” ขุนหาญ 1 บอก
ขุนหาญ 2 จำได้ “ใช่ ม้าวายุ”
วายุเดินช้าๆ สวนมา บนหลังมีร่างหนึ่งหมอบซบอยู่
ยอดหล้า นางทิพย์ นางทิม กระตุ้นม้าไป ยอดหล้าดวงตาเบิกกว้าง
“ดาราราย”
ขบวนม้าถึงตัวม้าวายุ ขุนหาญ นางทิพย์ นางทิมลงม้าวิ่งกรูไป พบว่าดารารายอยู่บนหลังม้าซบไม่ได้สติ แต่เอาเศษผ้าฉีกออก มัดตัวเองไว้กับม้าวายุแน่นหนา
“เจ้าเก่งนัก เจ้าแหกคอกไปหาเจ้านางน้อยจนเจอ” ขุนหาญ 1 ชม
2 นางข้าไทกรีดร้อง “เจ้านาง” / “เจ้านาง..ว้าย”
ม้าวายุดวงตาดุดัน พ่นลมจากจมูกฟูดฟาด หันรีหันขวางมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ ขุนหาญพยายามจะจับเข้าดึงตัว แต่ม้าวายุทั้งเตะ ดีด เอาหัว เอาบั้นท้ายชน ขุนหาญและนางทิพย์ นางทิมกระเจิง
ยอดหล้าตกใจ นางผัน นางเผื่อน ตาโตคิกคักอยู่ในประทุน
“เจ้าวายุ ยอๆ หยุดก่อน”
นางทิพย์ นางทิม ร้องบอก “วายุนี่ข้าเอง” / “เจ้าจำข้ามิได้หรือ”
ม้าวายุไม่ฟังเสียงใครยังคงหมุนตัว หกหน้า หกหลัง ดารารายที่มัดตัวไว้ก็แทบจะตกลง ยอดหล้าลงจากม้าตรงไปยังไม่กลัวเกรง
“เจ้านางอย่าเข้าไป”
นางผัน นางเผื่อนตาเหลือก ตะกายลงจากรถม้าวิ่งมา
“ว้าย เจ้านาง อย่าเจ้า”
ม้าวายุดวงตาวาวโรจน์หกหน้า หกหลัง ยอดหล้ายืนนิ่งยื่นมือไป
“วายุ เจ้าตัวดี...อย่าเคียดอย่าขึ้งเลย”
เสียงยอดหล้าหนักแน่น ตบะบางอย่าง รวมทั้งเมตตาแผ่ออก ม้าวายุพลันสงบนิ่ง ก้มหัวลงเอาคอถูกับมือยอดหล้า
ขุนหาญ นางทิพย์ นางทิม นางผัน นางเผื่อนอึ้งไป
ยอดหล้าเข้าไปประคองหน้าดาราราย น้ำตาเอ่ออย่างเป็นห่วง
“ดาราราย”
ดารารายลืมตา ใบหน้าเผือด ปากแตก มองดูยอดหล้าแล้วยิ้มอ่อนแรง
“เจ้าพี่ ข้าเจอดอกเอื้องงาม เก็บมาฝากเจ้าพี่”
ดารารายล้วงไปในอกเสื้อดึงดอกเอื้องงามมาช่อหนึ่ง ยอดหล้ากุมมือไว้
ดารารายซบหมดสติไปอีก
“พาน้องข้าไปที่รถม้ากลับเข้าเวียงแก้วเดี๋ยวนี้”
เจ้านางยอดหล้าประกาศก้อง
อ่านต่อตอนที่ 13