xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 10

บริเวณสวนด้านนอกของคาราโอเกะ มีน้ำพุประดับไฟเปลี่ยนสีได้ แลดูงดงาม ขณะที่พิมพ์ดาวยืนเหม่อดูน้ำพุอยู่นั้น มีร่างสูงโปร่งก้าวมาด้านหลัง พิมพ์ดาวจำได้แม้ไม่ได้หันมา เป็นตรีภพเข้ามาหยุดยืนใกล้ๆ มองดูน้ำพุด้วยกัน

“สวยจัง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“หมายถึงน้ำพุใช่ไหม”
พิมพ์ดาวกวนใส่ ตรีภพชะงัก มองจ้อง
“ก็ใช่น่ะซี ใครจะไปกล้าชมคุณ”
พิมพ์ดาวหันมาจ้องหน้าเขา “ทำไม...ทำไมถึงไม่กล้า”
“ผมไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นเพลย์บอย เป็นเสือผู้หญิง เป็นพวกหว่านไปเรื่อยน่ะซี”
“ใครไปกล่าวหาคุณ”
พิมพ์ดาวทำไม่รู้ไม่ชี้ ตรีภพเห็นแววยิ้มในดวงตาคู่งาม ก็รู้สึกผ่อนคลายรื่นรมย์ขึ้น
“ก็คนแถวๆ นี้แหละครับ”
ตรีภพมองตาพิมพ์ดาวนิ่ง พิมพ์ดาวมองตอบ บรรยากาศกำลังจะซึ้งอยู่เชียว ก็มีเสียงดังมาจากลานจอดรถ
“จะไปไหน” เป็นจิ๊กโก๋ชายคนหนึ่ง
“ฉันจะกลับแล้ว ปล่อยนะ” สาววัยรุ่นบอก
ตรีภพและพิมพ์ดาวเหลียวมองไป เห็นจิ๊กโก๋นายหนึ่งกำลังคว้าข้อมือหญิงสาวท่าทางมาเที่ยวโซนผับ
“จะรีบกลับไปหาผัวใหม่ใช่ไหม” จิ๊กโก๋ 1 ท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย
“ไอ้บ้า ไอ้เลว ปล่อยนะ”
ตรีภพก้าวพรวดไปทันควัน พิมพ์ดาวยืนดูท่าที ตรีภพเข้าไปใกล้จิ๊กโก๋ที่บิดข้อมือเด็กสาวแรงขึ้น
“คุณ! พูดกันดีๆ ซีครับ”
จิ๊กโก๋ปล่อยมือ หันมาเอาเรื่องตรีภพ
“เรื่องของผัวเมีย มึงมาเสือกไร”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่เมียแก” เด็กสาววัยใสหันมาทางตรีภพ “หนูเป็นแฟนมันแล้วมันคบคนอื่น หนูขอเลิกมันก็ไม่ยอม คอยตามรังควาน ไอ้นรก”
จิ๊กโก๋จี๊ดใจของขึ้น ตบหญิงสาวผัวะ หญิงสาวถลาไปถึงพิมพ์ดาวที่อยู่ไม่ไกล ตรีภพไม่พูดอะไร ตรงเข้าไปต่อยจิ๊กโก๋ 1 ถึง 3 หมัดติดๆ จิ๊กโก๋หงายหลังไป
“โอ๊ย”
บรรดานักเลงคุมลานจอดรถ ถือไฟฉายวิ่งมา 3 คน
ปรากฏว่าเป็น จิ๊กโก๋ 2 เพื่อนก๊วนเดียวกัน “อะไรวะ”
ตรีภพ พิมพ์ดาว ใจชื้นขึ้น พิมพ์ดาวก้าวมาข้างตรีภพ แต่นักเลงลานจอดรถประคองจิ๊กโก๋ขึ้น
จิ๊กโก๋ 3“ใครทำไรมึง”
จิ๊กโก๋ 1 บอกเพื่อน “อีเปิ้ลมันคบชู้ นัดชู้มากระทืบกู”
ตรีภพอึ้ง กลายเป็นชู้ไปซะงั้น บรรดานักเลงลานจอดรถกระจายออก ล้อมกรอบตรีภพ
จิ๊กโก๋ 4มองตรีภพงง “ไอ้เหี้ยนี่หรือ แล้วอีนี่ใครอีก”
พิมพ์ดาวไม่สะทกสะท้านยิ้มหวาน แล้วยื่นของสิ่งหนึ่งไป จิ๊กโก๋ 4 ตาเหลือก มันคือที่ชอร์ตไฟฟ้า จิ๊กโก๋ 3 เอาไฟฉายตีมือพิมพ์ดาว ที่ชอร์ตไฟฟ้าหลุดตกพื้น แล้วจิ๊กโก๋ หมาหมู่ทั้ง 3 ก็เข้ารุมล้อมตรีภพ พิมพ์ดาว
“คุณหลบไป” ตรีภพบอก
“เรื่องอะไร”
พิมพ์ดาวเอาหลังพิงตรีภพ แล้วดึงเข็มขัดออกพันมือ ตรีภพอึ้งไปนิด 3 จิ๊กโก๋ก็เข้าต่อย ตรีภพและพิมพ์ดาว ต่อย และถีบสกัดอย่างเป็นมวย จิ๊กโก๋ 1 จิ๊กโก๋ 2 จิ๊กโก๋ 3 ต้องตั้งหลักใหม่ แล้วล้วงมีดออกมา เข้ารุมล้อม พิมพ์ดาวคว้าปลายเข็มขัดฟาดหัวเข็มขัดซัดไปโดนมีดในมือจิ๊กโก๋ 1 กระเด็น แล้วฟาดหัวเข็มขัดเจาะหัวจิ๊กโก๋ 1 อย่างแรง เลือดไหลปรี่ จิ๊กโก๋ 1 กุมหัว เซจากวง จิ๊กโก๋ 2 จิ๊กโก๋ 3 ยังรุมล้อมเข้ามา ตรีภพเตะจิ๊กโก๋ 3 ถลาล้ม เหยียบมือ มีดหลุด แล้วเตะเสยปลายคางจิ๊กโก๋ 3 สลบกลางอากาศ ตรีภพคว้ามีดมาดวลกับจิ๊กโก๋ 2
จิ๊กโก๋ 2 โยนมีดมือซ้ายขวาไปมาหลอกล่อ ตรีภพเตะผ่าหมากจิ๊กโก๋ 2 ล้มไป ตรีภพ พิมพ์ดาว ยืนเด่น จิ๊กโก๋ 1 ตวาด
“เก่งนักนะมึง มึงตาย”
ตรีภพ และ พิมพ์ดาว เหลียวมองไปเห็นจิ๊กโก๋ 1 เลือดโทรมหน้าถือปืนจ้องมา ตรีภพปาดตัวพิมพ์ดาวไปข้างหลัง เอาตัวบังไว้ จิ๊กโก๋ 1 ขึ้นนกปืน ยิ้มสะใจ ตรีภพไม่กลัว พิมพ์ดาวตกใจ
ทันใด จิ๊กโก๋ 1 ก็ยิงปืน กระสุนเฉียดหัวตรีภพเฉียวฉิว
จิ๊กโก๋ 1 ตัวสั่นระริก ปืนหลุดมือ แล้วล้มลงชัก หญิงสาวตัวต้นเรื่องถือเครื่องชอร์ตไฟฟ้าของพิมพ์ดาว ยืนเด่นอย่างสะใจ แล้วเข้าเตะจิ๊กโก๋ 1 ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตรีภพเอามือลูบผม ผมหลุดมาปอยหนึ่ง มีรอยไหม้ ตรีภพกลืนน้ำลาย พิมพ์ดาวจับตัวตรีภพให้มาประจันหน้า
“คุณเป็นอะไรไหม”
“ไม่ฮะ แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
บรรดาผู้คนทยอยมาดู ฐาปกรณ์ มาดามสุ บีบี มาลาริน แพท ทีมงานวิ่งมา มาลารินวิ่งมาปาดพิมพ์ดาวเซถลา คว้าแขนตรีภพ
“คุณตรีขา”
บีบีก้าวมาใกล้จิ๊กโก๋ 1 แล้วตาเหลือกเมื่อเห็นเลือด
“ลูกขา เลือด แหก แม่มึง”
บีบีเหยียบน้ำ เซถลาลงก้นจ้ำเบ้า มีมี่ มูมู่ต้องช่วยดึงขึ้น
“ว้าย เปียกอะไรนี่ เลือดเหรอ”
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ เยี่ยวค่ะ” มีมี่บอก
มูมู่เสริม “เยี่ยวจิ๊กโก๋โดนไฟชอร์ตค่ะ”
บีบีร้องวิ้ดวิ่งถลาไป ราเชนทร์ พ่อเลี้ยงธาดาก้าวมา มีมือปืนตามประกบ พ่อเลี้ยงธาดากวาดตามอง เห็นว่าเป็นคนของตัวเองก็ขบกรามแน่น
รถตำรวจแล่นมาจอดตามธรรมเนียม แสงไฟไซเรนส่องวูบวาบ มีตำรวจอีก 2 คนลงมาดู เข้าไถ่ถามตรีภพ และหญิงสาวเจ้าทุกข์ ตรีภพตอบ พลางมองดูพิมพ์ดาว

ด้านยอดหล้าก้าวมาในความมืดในโลกแห่งวิญญาณ
“ท่านอาจารย์ ท่านอยู่ที่ใดกัน”
ยอดหล้าหลับตาลง สำรวมจิต แล้วลืมตาขึ้นใหม่
คล้ายมีม่านหมอกแห่งมิติเปิดออก เบื้องหน้ายอดหล้ากลายเป็นดินแดนเวิ้งว้างว่างเปล่า เบื้องล่างเป็นพื้นดินแตกระแหงไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ขอบฟ้ามีเขาเป็นหินผาแหลม เสียดยอดระเกะระกะ ที่บนฟ้าดูโล่งกว้าง มีเมฆเคลื่อนพยับโพยม แปรรูปวูบวับอยู่ทุกวินาที
ยอดหล้าก้าวไปในดินแดนนั้นอย่างองอาจ

ขณะเดียวกันแก้วก้าวมาในคุ้มร้าง ในมือถือตะเกียงแบตเตอรี่ คุ้มร้างยามกลางคืนดูน่าสะพรึงกลัว แสงตะเกียงที่เคลื่อนที่ทำให้เกิดเงาวูบวาบ
แก้วก้าวมาบริเวณเติ๋น บนยกพื้นมีตั่งวางซึงทิ้งไว้ แก้ววางตะเกียงลง หยิบซึงขึ้นมาลูบคลำ เหมือนมีความผูกพัน แล้วดีดซึงเบาๆ
มีเสียงหัวเราะคิกคักฟังดูเย็นยะเยือก แก้วชะงักหันมา นางผัน นางเผื่อน ปรากฏร่างอยู่ตรงหน้าเป็นเงารางเลือน
“นายแก้ว”
“ท่านทำอันใด”
แก้วไม่ตอบ ลุกขึ้น นางผัน นางเผื่อน ยิ้มเยาะ แววตาดูรู้ทัน ก้าวมาใกล้ ร่างนั้นชัดเจน มีเลือดเนื้อ
“ซึงของเจ้านางยอดหล้า”
“ใยท่านจึงลูบคลำ ราวรักใคร่มันยิ่งนัก”
นางผัน นางเผื่อน ก้าวมา มือลูบคลำ ยื่นหน้ามาคลอเคลียแก้ว แก้วยืนนิ่ง หน้าเฉยชา ดวงตารำคาญ
“ท่านใยไม่ลูบคลำข้าเจ้า”
“เหมือนกับซึงนั้นบ้างเล่า”
“ปล่อย.. ไปให้พ้นนะ”
แก้วสะบัด นางผัน นางเผื่อน กระเด็นไป แล้วลุกพรวดขึ้น ดวงหน้ากลายเป็นปีศาจ ยื่นหน้า กางมือเล็บงอก ดูคุกคาม แก้วไม่แยแส
“ท่านใยทำกับข้าเจ้าดังนี้ หรือว่าท่านหวังไว้สูง”
“มิชอบนางข้าไท แต่วาดหวังเจ้านางสูงศักดิ์”
แก้วตวาด “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ”
นางผัน นางเผื่อน แสยะปากเห็นเขี้ยวซับซ้อนราวฟันปลา ยื่นหน้าคุกคามแก้ว กึ่งล้อเล่นกึ่งจริงๆ แก้วผงะ มีเสียงกราดเกรี้ยวดัง
เสียงยอดหล้าดังเข้ามา “ผัน เผื่อน เจ้าทำอันใด”
ยอดหล้าปรากฏกายขึ้น ดวงตาเจิดจ้า จิกผมนางผันเหวี่ยงไปปะทะข้างฝา แล้วตวัดมือตบนางเผื่อนลอยละลิ่วไปกองใกล้กัน 2 นางกลายร่างเป็นธรรมดาถอยกรูดๆลนลาน แก้วตั้งตัวได้ นางผัน นางเผื่อน หมอบราบกับพื้น ยอดหล้ากรายตัวมาก้มดู
“พวกเจ้า ทำอันใด”
“เจ้านางเจ้า”
“พวกข้าเจ้า แค่หยอกล้อนายแก้วเล่นเจ้า”
ยอดหล้าไม่ได้เชื่อ มองดูแก้ว เห็นแก้วนิ่งขึง ไม่รับ ไม่ปฏิเสธ
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ เจ้านาง”

ยอดหล้ามอง 2 นางข้าไทปรามๆ 2 นางหลบตากราบกราน ยอดหล้ากรายกลับไปที่ตั่ง ณ จุดนั้นพลันมลังเมลืองเป็นงดงาม ยอดหล้าดีดซึงมากรีดเล่น แก้วก้าวไปใกล้
“เจ้านาง.. เจ้านางหายไปถึงสามวันสามคืน”
“เวลาในโลกวิญญาณ ไม่เท่ากับเวลาในโลกมนุษย์”
“เจ้านางพบเถรกระอ่ำหรือเปล่าครับ”
ยอดหล้าขุ่นมัว หยิบซึงวางไว้ข้างตัว
“ข้าตามหาท่านอาจารย์ไม่พบ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”
นางผัน นางเผื่อนเมียงมอง
“แล้วเจ้ารู้อันใด เรื่องทายาทครูบาสรีอีกบ้าง”
“มหาจรวยเคยบวชพระถึง 20 ปี แล้วสึกออกมาสอนพระธรรมชาวบ้าน และเป็นหมอเวทมนต์”
“บางที...มันผู้นี้อาจรู้เรื่องท่านอาจารย์ของข้า”
ยอดหล้ารำพึง ทอดสายตามองไปไกล

แก้วมองยอดหล้า นัยน์ตามีแววรักใคร่ลุ่มหลงชัดแจ้ง

เช้าวันหนึ่ง คุ้มหลวงตั้งตระหง่านอยู่ ขณะรถของคุ้มแล่นมาจอดลง ตาทองลงมาพร้อมกับมหาจรวย มหาจรวยมองดูคุ้ม แล้วหลับตาลงสำรวมจิต แล้วลืมตาขึ้นใหม่

ภาพคุ้มหลวงที่งดงามเรืองรองอยู่ในแสงแดด บางจุดมลังเมลืองเป็นสีทอง เลือนหายไป เหมือนมีเงาดำทาบอยู่ทั้งคุ้ม มหาจรวยทอดถอนใจ

แก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องสมุด มหาจรวยอยู่ตรงหน้า แก้วเซ็นเช็คแล้วเลื่อนไปให้
“ผมขอสมทบทุนในการสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมด้วยครับ คุณมหา”
มหาจรวยมองแก้ว ข่มความรู้สึกไว้
“ผมขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอให้บุญกุศลนี้จงช่วยคุ้มครองคุณให้พ้นจากมารใดๆ ทั้งปวง”
แก้วนิ่งอั้น มีแววระแวงระวัง มหาจรวยยิ้มนิดๆ ราวกับรู้ทัน

เวลาเดียวกันนั้นพิมพ์ดาวกับแพทเดินเล่นกันอยู่ในสวน
“สองสามวันมานี่ไม่มีเรื่องแปลกๆ เลยนะคะ” แพทปรารภ
พิมพ์ดาวเย้า “ที่พูดนี่อยากเจอใช่ไหมคะ”

แพทค้อนขวับ
“ไม่เอานะคะ ขนาดไม่ได้เจอกับตัว หนูยังขี้ขึ้นไปอยู่บนสมองแล้ว”
พิมพ์ดาวกับแพทมองไปแล้วแปลกใจ “อื๋อ นั่นอะไรน่ะ”

สองสาวมองไปที่บริเวณมุมหนึ่งของสวน พบว่ามีการตั้งศาลเพียงตา มีเครื่องเซ่นสรวงเป็นขนม ผลไม้ ดอกไม้ จุดธูปเทียน มหาจรวยยืนหลับตาพนมมืออ่านอาคมอยู่ ตาทองถือขันเงินใส่ทรายสีขาวสะอาด สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน คนงานชายทั้ง 2 ยืนพนมมือดูอยู่
“พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ”
มหาจรวยลืมตาขึ้น “จงบังเกิดกำแพงแก้วล้อมรอบคุ้มหลวง ณ บัดนี้เถิด”
พิมพ์ดาวและแพทขนลุกเกรียว
ทันใดนั้น เกิดลมพัดกรูเกรียวมา ตาทอง เฟื่องฟ้า ระริน คนงานเลื่อมใส มหาจรวยพยักหน้า ตาทองก้าวมา มหาจรวยล้วงมือในขัน กำทรายเสกขึ้นมาเป่าพรวด แล้วเงื้อมือ
“หยุด!”
มหาจรวยชะงัก ทุกคนหันไป เห็นแก้วเข้ามา หน้าตาเคร่งเครียด พิมพ์ดาวกับแพทสบตากัน
“เอ้อ คุณแก้ว” ตาทองทัก
“ทำอะไรกัน” แก้วถาม
“ศาลอารักษ์ล้มไป คุ้มนี้ไม่มีอะไรคุ้มกัน ผมจะทำกำแพงแก้วล้อมคุ้มนี้ไว้ชั่วคราว”
แก้วมองมหาจรวยตาขุ่น มหาจรวยสงบ มีแววยิ้มนิดๆ
“เหลวไหล กำแพงแก้วอะไรกัน”
“คุณแก้วขอรับ มหาจรวยทำได้จริงๆ นะครับ”
สายใจเสริม “คุณแก้วเจ้าขา ทำเถอะค่ะ เรื่องร้ายๆ จะได้กลายเป็นดี”
แก้วตวาด “ไม่! เลิกทำพิธีอะไรนี่เดี๋ยวนี้”
ตาทองครวญ “โธ่ คุณแก้วครับ”
มหาจรวยกลับบอก “อย่าขัดคุณแก้วเลย ลุงทอง”
ตาทอง สายใจ หน้าเสีย แก้วขบกราม ท่าทีอ่อนลงนิดหนึ่งก่อนจะขอตัว
“ไปส่งมหาจรวยให้เรียบร้อย ผมขอตัวก่อน คุณมหา”
แก้วหมุนตัวเดินจากไป มหาจรวยสงบนิ่ง ตาทอง สายใจ ทำหน้าขอโทษขอโพย
“คุณแก้วเป็นคนสมัยใหม่ เลยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้น่ะ ท่านมหา”
มหาจรวยมองตามหลังแก้ว พลางยิ้มนิดๆ มหาจรวยมองมายังพิมพ์ดาว แล้วก้มหัวให้เหมือนทักทายอย่างคนคุ้นเคย พิมพ์ดาวงงนิดๆ แต่ก็ยิ้มตอบ

“ใครหรือคะ” แพทฉงน
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ด้วยเป็นหยุด เสาร์ อาทิตย์ ไม่มีการถ่ายทำละคร พิมพ์ดาวพาตัวเองมาอยู่หน้าตู้หนังสือในห้องสมุด เอามือระไปตามสันหนังสือ
“พงศาวดารล้านนา ปู่เจ้าลาวจก พงศาวดารหริภุญไชย ราชวงศ์มังราย ตำนานเมืองเหนือ”
พิมพ์ดาวหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา ปกแข็งเดินทอง แต่ไม่หนานัก ดูเก่าแก่ หน้าปกเขียนว่า พงศาวดารเวียงแก้ว
พิมพ์ดาวพลิกอ่านอย่างสนใจ

บริเวณศาลากลางสวนมีการจัดอาหารกลางวันไม่มากนัก เพราะทีมงานและนักแสดงจำนวนหนึ่งออกไปเที่ยวพักผ่อน ช้อปปิ้งข้างนอก
พิมพ์ดาวถือหนังสือพงศาวดารเวียงแก้วมา เห็นที่มุมหนึ่ง ตรีภพเอาหมอนมากองๆ แล้วนั่งเอนหลับอยู่ พิมพ์ดาวทำจมูกย่น เดินมานั่งไม่ห่างนัก แล้วมองดูตรีภพ
ภาพเหตุการณ์ตอนตรีภพและพิมพ์ดาวเอาหลังชนกันสู้กับพวกจิ๊กโก๋ผุดขึ้นมาแว้บๆ พิมพ์ดาวอมยิ้ม มีอีกภาพหนึ่งก็แวบตามมา
เป็นภาพเจ้านางดารารายในชุดผู้ชาย กับหลวงเทพในชุดชาวบ้าน ถือดาบในมือ ดารารายมีหน้าไม้สะพายด้วย เอาหลังชนกันสู้กับโจรป่า
พิมพ์ดาวผงะ ดวงตาเบิกกว้าง “อะไรกัน”
ตรีภพสะดุ้งตื่น มองเห็นพิมพ์ดาว “หือม์...อะไรน่ะคุณ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“โธ่ ผมกำลังฝันสนุกๆอยู่เลย คุณมาทำผมตกใจตื่นซะได้”
พิมพ์ดาวหมั่นไส้
“นี่ที่สำหรับกินข้าว ไม่ใช่ที่สำหรับฝันหวาน”
“โธ่ เมื่อคืนนี้กว่าจะเสร็จเรื่องกับตำรวจ ก็เข้าไปตีสี่ กว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า เออ...คุณ เรื่องที่ผมกับคุณช่วยกันลุยเรื่องนักเลงน่ะ ผมถึงขั้นเก็บไปฝันเลยนะ”
พิมพ์ดาวยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น
“ฝันอะไรอีกล่ะ ขยันฝันจริง”
“ผมฝันเห็นคุณกับผมหันหลังชนกันต่อสู้กับพวกโจร แต่แต่งตัวแบบโบราณ เหมือนเป็นยุคเดียวกับในละครเรื่องนี้” เขาว่า
พิมพ์ดาวตาเบิกกว้าง ตกตะลึงจังงัง “อะไรนะ”
“ก็แค่ผมฝันเพ้อเจ้อ ทำไมคุณต้องตกอกตกใจขนาดนั้น”
พิมพ์ดาวไม่ตอบ ทั้งพิศวงและหวาดกลัวโดยประหลาด

คุ้มหลวงตกอยู่ในความสลัวรางในเวลากลางคืน
บีบีถูกวางยาตามเคยนอนสลบขวางกลางเตียง แก้วน้ำส้มกลิ้งอยู่ใกล้มือ มาลารินใส่ชุดนอนกรุยกราย มองดูอย่างปลงสังเวช แล้วยักไหล่เดินออกไปจากห้อง นาฬิกาบอกเวลาเกินเที่ยงคืน

มาลารินในชุดนอนกรุยกรายเดินมาตามทางเดินเชื่อมเรือนต่างๆ ผ่านหน้าห้องหนึ่ง จู่ๆ มีมือมาปิดปากมาลารินหมับ มาลารินเบิกตากว้าง ชายเจ้าของมือฉุดมาลารินเข้าห้องไป
ที่แท้เป็นราเชนทร์ ซึ่งปล่อยมือจากปากมาลารินหลังเข้ามาในห้องเรียบร้อย มาลารินตาวาว ตบผัวะเข้าเต็มแก้มราเชนทร์
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย”
ราเชนทร์เอามือกุมแก้ม ไม่โกรธ ไม่เจ็บ ไม่ปวดอะไรนัก มาลารินเลิกแอ๊บแบ๊ว
“ยูทำบ้าอะไร”
“แล้วยูล่ะ ทำอะไร ดึกขนาดนี้ยังจะย่องไปไหน”
“ไอหิว กำลังไปหาของกิน”
ราเชนทร์หัวเราะก๊าก “ของกิน! ไส้กรอกหรือไส้อั่ว ยูจะไปกินไอ้ตรีล่ะซี”
“อดยากปากแห้งมาหลายวันแล้ว”
มาลารินยักไหล่ เดินไปนั่งไขว่ห้างบนเตียง ชุดนอนแหวก เห็นชุดชั้นในสั้นจู๋ข้างใน
“คุณพิมพ์กับไอ้ตรีนี่ยังไงกันแน่ เป็นแฟนกันหรือเปล่า”
“เป็นหรือไม่เป็นไม่ใช่เรื่องของไอ”
“ยังไง จะกินแค่หนสองหนหรือ”
มาลารินกัดริมฝีปาก ครุ่นคิด “ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งชอบ...ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
ราเชนทร์ฉงน “เปลี่ยนใจยังไง”
“ไอจะแย่งคุณตรีมาจากยายพิมพ์ดาวให้ได้”
ราเชนทร์เซ็ง “เอ้า เวร”
“แล้วยูก็ต้องช่วยไอด้วย...จัดการยายพิมพ์ดาวให้ไอที”
ราเชนทร์ยิ้มร้ายชอบใจ

“งานถนัดอยู่แล้ว”


อ่านต่อหน้า 2

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 10 (ต่อ)

ออกจากห้องราเชนทร์ มาลารินเดินต่อไปตามระเบียงทางเดินแล้วต้องชะงัก

“คุณตรี”
เมื่อพบว่าข้างหน้าตรีภพเดินอยู่ มาลารินดี๊ด๊าออกวิ่งตาม โดยไม่ทันสังเกตว่าตรีภพเดินแข็งทื่อ แล้วเลี้ยวไปทางสวนหลังคุ้ม
ตรีภพดวงตาแข็งราวคนไร้ชีวิตจ้องตรงไปเบื้องหน้า ก้าวไปในหมู่ต้นไม้ใหญ่ในสวน โดยมีมาลารินวิ่งตามมา
“คุณตรี สลีปวอล์คกิ้งอีกแล้วหรือ”
ตรีภพก้าวเดินไป มาลารินเพิ่งเห็นชัดว่า การก้าวเดินของเขามีอาการกระตุกผิดมนุษย์ แม้จะแปลกใจ แต่หล่อนก็ยังวิ่งตาม
“คุณตรี”

ตรีภพยังคงเดินมาตามทางข้างคุ้ม บางจังหวะมีอาการกระตุก สองข้างทางยามนี้มีเพียงแสงจันทร์สลัวรางส่องทาง มาลารินวิ่งตามมาไม่ลดละ
ประหลาดไปกว่านั้น ด้วยร่างตรีภพข้างหน้า บางครั้งก็พร่าเลือน แล้วกลับมาชัดใหม่ มาลารินชะงัก แต่คิดว่าตนเองตาฝาด
“คุณตรีคะ รอลินซี่ด้วย”
ตรีภพหยุดเดิน หันตัวกลับมาช้าๆ มาลารินวิ่งมาถึงตัว แต่เท้าดันสะดุดหิน
“ว้าย”
มาลารินหกล้ม ร่างถลาทะลุร่างตรีภพไปกองกับพื้น มาลารินรู้ตัวทันที ตะกายพื้นหันขวับกลับมาดู
ตรีภพหันมาพลางยกมือทาบอก หัวเราะระริกระรี้ ร่างกระตุก พร่าเลือน วูบวาบไปมา
มาลารินกรี๊ดสุดเสียง “แอร๊ยยย”
เสียงตรีภพที่เปล่งออกมามันเป็นเสียงของนางผัน นางเผื่อน ที่พูดพร้อมกัน “มากอดข้า มารักข้าซีนังร่าน”
มาลารินตะลึง “แกไม่ใช่คุณตรี แกเป็นตัวอะไร”
ตรีภพที่มาลารินเห็นหัวเราะคิกคัก แล้วจู่ๆ เกิดรอยแยกกลางหน้าผากผ่าลงมาตามสันจมูก ใบหน้าปริแยกเป็นสองซีก มาลารินตะกายถอยไปตามพื้น ตาเหลือกลาน
ใบหน้าตรีภพปริแยกไปถึงกลางอก จนแยกเป็น 2 ซีกร่าง
มาลารินกระถดถอยไปถึงต้นไม้ใหญ่ จึงค่อยๆ ลุกขึ้น
ร่างทั้ง 2 ซีกเลือนไป กลายเป็นนางผัน นางเผื่อน ในลักษณะคน 2 คน
“นังเจ้านางร่าน ข้านางผันไงเจ้า”
“ข้าเจ้าคือนางเผื่อน”
นางผัน นางเผื่อน ยื่นหน้ามาใกล้ ดวงหน้ากลายเป็นหน้าปีศาจ มาลารินร้องกรี๊ด ออกวิ่งตะปึงกลับไปยังทิศทางของคุ้มหลวง
นางผัน นางเผื่อน หัวเราะคิกคัก มองหน้ากันแล้วขยับตัววูบ ร่างพุ่งไปข้างหน้าเลือนหายไป

คุ้มหลวงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มาลารินวิ่งล้มลุกคลุกคลานมา แล้วหกล้มกับพื้น มีเท้า 2 คู่อยู่ตรงหน้า แสงส่อมาให้เห็นว่ามันเป็นสีเทา มาลารินตาเหลือก เงยหน้าขึ้นเห็น 2 ผีนางข้าไท
มาลารินตะกายถอยหลัง เสื้อคลุมกรุยกรายขาดวิ่น นางผัน นางเผื่อน ยื่นมือยาวไขว่คว้าชุดเสื้อคลุมติดมือไป
“ว้าย” ผีนางผันประหลาดใจ
ผีนางเผื่อนพิศวง “นังร่านแต่งชุดอันใด
มาลารินยามนี้เหลือเพียงชุดเบบี้ดอล สั้นจนเห็นกางเกงในเข้าเซต ห่อร่าง วิ่งถลาเข้าในบริเวณของคุ้มหลวง นางผัน นางเผื่อนหัวเราะคิกคัก ขยับร่างวูบพุ่งตาม
มาลารินร้องวี้ด ถลาล้ม นางผัน นางเผื่อนพุ่งพรวดตามมาอย่างคุกคาม มาลารินตาเหลือกลาน นางผัน นางเผื่อนหัวเราะเยาะ
จู่ๆ เกิดกำแพงเพลิงสีน้ำเงินลุกโพลงขึ้น เปลวไฟลุกติดร่างนางผัน นางเผื่อน 2 ผีข้าไท ร้องกรี๊ด ดิ้นรน มองไป เห็นกำแพงเพลิงสีน้ำเงินแผ่ออกเป็นม่านไฟ นางผัน นางเผื่อน หวีดร้องดิ้นรน มีเปลวไฟสีน้ำเงินติดผม มือ ผ้าคาดอก เชิงซิ่น 2 ผีล้มลงกับพื้นแล้วร่างวูบหายไป
ไฟจากตัวคุ้มสว่างพรึบขึ้น ตรีภพ พิมพ์ดาว ราเชนทร์ แพท ฐาปกรณ์ มาดามสุ ตาทอง สายใจ วิ่งมาดู
“คุณลินซี่” ตรีภพแปลกใจ
มาลารินร้องโฮ วิ่งถลาเข้ากอดตรีภพอย่างเสียขวัญ
“ฮือ ผีค่ะ ผีหลอกลินซี่”
มาลารินเข่าอ่อน ตรีภพตวัดอุ้มขึ้น
ราเชนทร์แขวะ “ผีอีกแล้ว อะไรกันนักหนา”
ฐาปกรณ์ กับมาดามสุอึ้ง ตรีภพมองสบตาพิมพ์ดาว
“ไปข้างในซีคะ” พิมพ์ดาวบอก
ตรีภพอุ้มมาลารินเข้าคุ้ม แพทกระซิบ “คุณลินซี่ใส่ชุดอะไรคะนั่น”
“เขาเรียกชุดเบบี้ดอลล์ค่ะ”
พิมพ์ดาว แพท ราเชนทร์ ฐาปกรณ์ มาดามสุเข้าตัวคุ้มไป สายใจมองตาทอง ตาทองกวาดตาดูอาณาเขตคุ้มอย่างสมใจ
“ยังไง พี่ทอง”
ตาทองยิ้มนิดๆ “มหาจรวยสร้างกำแพงแก้วได้สำเร็จน่ะซี”

ยอดหล้าก้าวไปบริเวณหน้าผาน้ำตกสูงดุจสายลม ชายผ้าคลุมไหล่สะบัดไหวไป ข้างหลังราวหมอกควัน เบื้องหน้าเป็นโขดหินสลับซับซ้อน
ยอดหล้าก้าวพ้นแนวโขดหิน มีผาน้ำตกอยู่เบื้องหน้า แต่น้ำตกนั้นกลับวิปริต น้ำนั้นไหลย้อนขึ้นสู่เบื้องบน
“ท่านอาจารย์ ท่านอยู่ที่ใด”
ยอดหล้าก้าวไป
“ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่”
หลังม่านน้ำคล้ายมีการเคลื่อนไหว พร้อมกับมีเสียงกระอ่ำแว่วมา “เจ้านางน้อย”
ยอดหล้าเบิกตากว้าง ก้าวไปหาอย่างยินดี “ท่านอาจารย์”
หลังม่านน้ำตก มีร่างหนึ่งดูเป็นเงาดำ “ศิษย์ของข้า”
ยอดหล้าเขม้นมองแล้วเบิกตากว้าง เมื่อเห็นเงาดำทะมึนนั้นไร้ศีรษะ
“ท่านอาจารย์! เกิดอันใดกับท่าน”
“จงปลดปล่อยข้า” เสียงเถรกระอ่ำดังมา
ทันใดนั้นมีเสียงของนางผัน นางเผื่อน หวีดร้องดังประสานโหยหวนมา
“เจ้านางเจ้า ช่วยข้าเจ้าด้วย”
ยอดหล้าผงะ หลุดจากสมาธิ

ร่างนางผัน นางเผื่อน ดิ้นรน แตกไต่ไปตามพื้น ไฟอาคมสีน้ำเงินไหม้ติดผม ผ้าคาดอก ตามมือ และใบหน้า นางผัน นางเผื่อน หวีดร้องโหยหวน ฟังน่าสยดสยอง ยอดหล้าปรากฏกายขึ้น ผงะไป
“ไฟอาคมของครูบาสรี”
นางผัน นางเผื่อน ประสานเสียงยื่นมือวิงวอน “เจ้านางเจ้า ช่วยด้วย”
ยอดหล้าสำรวมจิต เป่าลมจากปากแผ่วเบา เกิดเป็นลมแรงกล้าโหมเข้าใส่นางผัน นางเผื่อน ไฟอาคมดับวูบลง เหลือเพียงควันโขมงอยู่ นางผัน นางเผื่อนดีใจ เข้ากอดเท้ายอดหล้าอย่างตื้นตัน
“เจ้านางเจ้า เจ้ามหานั่นร้ายกาจนักเจ้า”
“มันสร้างกำแพงไฟไว้รอบคุ้มเจ้า”
ยอดหล้าหน้าบึ้งตึง ดวงตาเจิดจ้า แค้นสุดขีด

ส่วนมาลารินเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งพิงพนักเตียง มีอาการหวาดตัว ตื่นเต้น พอประมาณ บีบียืนหาววอดอยู่ใกล้ๆ ตรีภพ พิมพ์ดาว ราเชนทร์ แพท ฐาปกรณ์ มาดามสุ มีมี่ มูมู่ อัดแน่นอยู่เต็มห้อง
“ลินซี่คิดว่าเป็นคุณตรีก็เลยตามไป แล้วมันก็กลายเป็นผีผู้หญิงบอกว่ามันคือนางผัน นางเผื่อนค่ะ”
บีบีคิดทวน “ใคร ชื่อคุ้นๆ”
ตรีภพ พิมพ์ดาวมองหน้ากัน ฐาปกรณ์มองหน้าเมีย
“เอาแล้วไง”
“นางผัน นางเผื่อน ข้าไทของเจ้านางยอดหล้าน่ะหรือครับ”
“ค่ะ”
มีมี่ มูมู่ ตาเหลือก เพราะเคยเจอมาแล้ว
มีมี่ถาม “ผีผู้หญิง 2 ตัวใช่ไหมคะ หน้าตาเป็นคนใช้แต่สวย
มูมู่สารภาพ “หนูสองคนก็เปิดซิง เจอมาแล้วค่ะ”
ฐาปกรณ์ฉุน “นี่ หุบปากเลย”
มีมี่ มูมู่ ค้อนขวับ ราเชนทร์สอดขึ้น
“แน่ใจนะว่าเธอไม่ได้ไปพี้ยาแล้วเห็นไปเอง”
มาลารินค้อนตาคว่ำ บีบีปรี๊ด “ว้าย ลินซี่เป็นพรีเซ็นเตอร์ถนนสีขาวนะยะ”
ตาทองถือสายสิญจน์เข้ามาพอดี

“คุณหนูสวมด้ายอาคมนี้ไว้นะครับ”
มาลารินรีบรับมายกมือไหว้
“ใช่แล้วค่ะ อีนกผีมันดึงสร้อยสายสิญจน์เส้นเดิมขาด”
“สวมเส้นใหม่แล้ว ทีนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ”
มาลารินพยักหน้า รีบเอาสายสิญจน์สวมหัว ตรีภพสบตาพิมพ์ดาว

ไม่นานต่อมา ตรีภพเดินมากับพิมพ์ดาว ตามระเบียงทางเดินเชื่อมเรือนในคุ้ม
“นางผัน นางเผื่อนอย่างนั้นหรือ” ตรีภพคาใจมาก
“มีเจ้านาง ก็ต้องมีนางข้าไทซี”
ตรีภพชะงัก มองหน้าพิมพ์ดาว
“คุณจะบอกผมว่า เจ้ายอดหล้าไม่ได้เป็นแค่เพียงความฝันหรือ”
“ไม่รู้ซี แล้วช่วงนี้คุณไม่ได้ฝันถึงเธออีกหรือ”
“ไม่ได้ฝันถึงมา 3-4 วันแล้ว ก็ผมฝันถึงคุณแทนไง”
พิมพ์ดาวหน้าแดงวูบหนึ่ง แล้วเชิดใส่ “ฮึ”
“ก็ที่ผมฝันเห็นผมกับคุณสู้พวกโจรไง ผมไม่ได้แต่งเรื่องมาหลอกคุณนะ ผมฝันจริงๆ” เขายืนคำ
พิมพ์ดาวมองหน้าตรีภพ แต่ไม่ปริปาก
“นี่ ฉันค้นเจอหนังสือพงศาวดารเวียงแก้ว อ่านไปได้ 2-3 บทแล้ว”
“มีเรื่องเจ้ายอดหล้าไหม”
พิมพ์ดาวส่ายหน้า ตรีภพซักถามต่อ

หากมองจากมุมสูงลงมาตอนนี้ จะแลเห็นตรีภพและพิมพ์ดาวคุยกันไปตามทาง ภายใต้แสงจันทร์นวลตาสองคน

ภาพพิมพ์ดาวและตรีภพกลายเป็นภาพในขันสาครบนตั่งกลางชานเรือนร้าง น้ำกระเพื่อมเป็นวง พิมพ์ดาวหายไป เหมือนตรีภพยืนรำพึงรำพันอยู่คนเดียว

ยอดหล้ามองดูภาพในขันสาครด้วยความรักใคร่ ไม่ได้ติดใจหรือสังเกตถึงความผิดปรกติ นางผัน นางเผื่อน หน้าตาเสื้อผ้าดีขึ้น แต่ก็ยังอ่อนแรง ลดความร่านไปกึ่งหนึ่ง สักครู่หนึ่งแก้วก้าวมาสมทบ
“มาแล้วหรือ”
ยอดหล้าหันมา แก้วยืนนิ่ง นางผัน นางเผื่อนค้อนควักแก้ว
“ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ ว่านเครือครูบาสรี ทำกำแพงแก้วมนตราล้อมคุ้มหลวงได้”
“ผมไปห้ามแล้ว แต่มหาจรวยเจ้าเล่ห์กว่าที่ผมคิด”
ยอดหล้ายิ้มเยาะ ดวงตาอาฆาต
“ครูบาสรีชั่วช้าสามานย์ ร้ายกาจกว่าอสรพิษ วงศ์วานว่านเครือมันก็คงไม่ผิดกัน”
“เจ้านางรับปากผมแล้วว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก”
แก้วตำหนิเสียงแข็งเล็กน้อย ยอดหล้าเลิกคิ้ว
“ผันกับเผื่อนแค่สั่งสอนนังแพศยานั่น”
“แต่ถ้าไม่มีกำแพงแก้วกั้นไว้ คุณลินซี่อาจจะถึงตายใช่ไหม”
นางผัน นางเผื่อนค้อนแก้ว ยอดหล้ายิ้ม เหมือนไม่พอใจท่าทีแก้วเลยแกล้งยั่ว
“ใช่ ถ้ามันยังมาตอแยพี่เทพของข้าอยู่”
“เจ้านาง ได้โปรดเถอะ”
ยอดหล้าหันกลับไปนั่งลงบนตั่ง นางผัน นางเผื่อนคลานไปเกาะเท้า
“เจ้านางเจ้า แล้วเจ้ามหานั่นละเจ้า”
“แล้วกำแพงมนตราของมันด้วยเจ้า”
“กำแพงนั่นอยู่ได้เพียงเจ็ดวันก็จะเสื่อมลง ข้าคงไม่ต้องทำอันใดหรอก” ยอดหล้าบอก
แก้วมีแววโล่งอกนิดหนึ่ง
“แต่เจ้าหมอผีนั่นกล้าดีมาท้าทายข้า ข้าน่าจะไปเยี่ยมเยียนมันดูบ้าง”
แก้วตกใจแต่ก็ไม่กล้าทัดทาน นางผัน นางเผื่อน ตาวาว
“ดีเจ้า ไปล้างแค้นมัน”
“เจ้านางต้องสั่งสอนมันนะเจ้า”
ยอดหล้าลุกขึ้น นางผัน นางเผื่อนลุกตาม ร่างของทั้งสามกลายเป็นหมอกควันพุ่งไป

กลางดึก ขณะที่มหาจรวยนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาบนเรือน ทันใดมีลมวูบหนึ่งพัดมาถึงตัว พร้อมกับเสียงแผ่วเบาหวีดหวิว 2 เสียงของรักและยมพูดพร้อมกัน
“พ่อจ๋า อันตราย อันตราย”
มหาจรวยลืมตาขึ้นช้าๆ มีอาการหวั่นไหวเล็กน้อยแล้วสงบลง ลุกขึ้นยืน
ประตูหน้าต่างเปิดผ่างออกแล้วกระแทกเปิดปิดปึงปัง ฝูงอีกาบินมาเป็นร้อย บินวนเข้ามาจิกตีข้าวของในเรือน รูปที่แขวนไว้ร่วงกราว โต๊ะหมู่บูชาล้มทลาย มหาจรวยคว้าพระพุทธรูปมาแล้วเป่ามนต์ไป เกิดเป็นแสงเจิดจ้า ฝูงอีกาปอศาจผงะ บินหนีไป
มหาจรวยยืนนิ่ง ทันใดนั้นเรือนทั้งหลังก็เกิดอาการเขย่าไหว ที่หน้าต่าง ใบหน้ามหึมาของนางผัน นางเผื่อน ปรากฏขึ้น พลางหัวเราะเย้ยหยัน
“ไอ้หมอผี ข้ามาแล้ว”
“กำแพงของเจ้า ทำอันใดข้าไม่ได้”
มหาจรวยหยิบของสิ่งหนึ่งบนพานมา เป่าพรวด ไม้แกะสลักเป็นรูปรัก ยม พุ่งจากมือเข้าใส่ใบหน้า 2 ผีนางข้าไท นางผัน นางเผื่อนผงะ หายวับไป

นางผัน นางเผื่อน ในร่างอสูรกายมหึมายืนค้ำเรือนมหาจรวย มีจุดแสงเป็นร่างกุมารเล็กๆ 2 ร่าง เข้าลอยวนเวียน โจมตีนางผัน นางเผื่อน คล้ายผึ้ง นางผัน นางเผื่อนปัดป้อง ไขว่คว้าไม่ได้ โดนจุดแสงนั้นเข้ากระแทกโจมตีไม่ขาดระยะ
นางผัน นางเผื่อนร้องวี้ดยาว หดร่างลงล้มกลิ้งกับพื้นดิน จุดแสงนั้นพุ่งตามลงมา กลายเป็นเด็กหัวจุกหน้าตาน่าเอ็นดู 2 คน นางผัน นางเผื่อน โมโหสุดขีด
“ไอ้เด็กหัวจุก”
“ข้าไม่กลัวเจ้า”
รัก ยม เท้าสะเอว
“นังผีนมโต”
“ข้าก็ไม่กลัวเจ้า”
นางผัน นางเผื่อนยังคงล้มกลิ้งอยู่ มองเลยรักยมไปแล้วยิ้มออกมา 2 กุมารรักยมตกใจ หันขวับไป เห็นยอดหล้ายืนอยู่ ดูมืดทะมึน แต่ดวงตานั้นคล้ายมีแสงไฟเรืองรอง
ดวงตายอดหล้าเรืองแสงเจิดจ้าขึ้น 2 กุมารยกมือป้องหน้าหวีดร้อง แสงจ้าเข้าปะทะร่าง 2 กุมารจนแสงกลบตัว

มหาจรวยยืนระวังอยู่บนเรือน มีเสียงเปรี๊ยะคล้ายของสิ่งหนึ่งตกจากหลังคาร่วงลงที่พื้น มหาจรวยย่อกายลง เห็นตุ๊กตาไม้ รัก ยม หล่นกลิ้งอยู่
จังหวะนี้เกิดจุดแสงสว่างขึ้นกลางเรือน ยอดหล้ายืนเด่น นางผัน นางเผื่อนอยู่เบื้องหลัง ยอดหล้าปรายตาดูมหาจรวยอย่างเยาะหยัน
“ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องคุกเข่าให้ข้าหรอก”
“ยังไง เจ้านางก็เคยเป็นราชธิดา เจ้าเหนือหัวของวงศ์วานข้า”
มหาจรวยก้มศีรษะให้ ยอดหล้าพิศวง มหาจรวยลุกขึ้นช้าๆ นางผัน นางเผื่อนค้อน
“ดีจริง เจ้ายังรู้ตัว รู้ฐานะของเจ้า”
“วงศ์วานข้าจงรักภักดีต่อเวียงแก้วมาตลอด”
“งั้นเจ้าก็ควรภักดีต่อข้าด้วย”
“มิได้หรอก เจ้านางยอดหล้า”
ยอดหล้าตาวาว มหาว่าต่อ
“เพราะวงศ์วานข้าให้คำมั่นกับเจ้าหลวงแสงอินทร์แล้ว”
“คำมั่นอันใด”
“ว่าจะคอยดูแลเวียงแก้ว และกักขังท่านไว้ในคุ้มร้างตลอดไป”
ยอดหล้าตวาด “โอหังบังอาจ”
“ขออภัยเถิดเจ้านาง”
ยอดหล้ากรายตัวยิ้มหยัน “หากเจ้าเก่งดังปากว่า ใยข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“แล้วท่านรู้หรือไม่ ว่ายิ่งห่างจากคุ้มร้างเท่าใด อำนาจของท่านก็ลดลงเท่านั้น”
ยอดหล้าหวั่นไหวนิดๆ เบิกตากว้าง จังหวะนี้มหาจรวยพลันสะบัดมือออก เกิดเป็นกำแพงไฟสีน้ำเงินลุกขึ้นล้อมรอบ ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน ทั้งสามตกใจมองตาม กำแพงไฟไหลบรรจบเป็นวงกลม ล้อมยอดหล้าและนางข้าไทไว้ภายใน นางผัน นางเผื่อนร้อนรน หน้าบิดเบี้ยว ยอดหล้าเชิดหน้า
“ไฟของเจ้าชุ่มเย็นนัก”
ขาดคำยอดหล้าก็เป่าลมจากปาก พัดไฟนั้นโถมเข้าใส่มหาจรวยแทน มหาจรวยผงะ ไฟดับวูบลง ยอดหล้ายิ้มเยาะ มหาจรวยยิ้มชื่นชม
“เจ้านางยอดหล้า รู้หรือเปล่า ว่าท่านมีบุญบารมีสูงส่งนัก”
“เจ้าพูดอันใด”
“ข้าพูดคำจริง บุญบารมีที่ท่านสั่งสมมาสูงส่งยิ่งนัก ท่านไม่ควรเดินทางผิด ให้ราคะโทสะบังตา จนต้องกลายเป็นปีศาจอสูรกายอย่างนี้”
“อย่ามาอวดดีสั่งสอนข้า จงบอกมาว่าปู่ทวดเจ้า ครูบาสรีผู้โฉดชั่วทำอันใดกับท่านอาจารย์ของข้า”
แววตาของมหาจรวยหวั่นไหว เมื่อยอดหล้าพูดเรื่องนี้
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้”
“เจ้าโกหก”
ขาดคำยอดหล้าก็เป่าลมจากปากแผ่วเบา แต่กลับบังเกิดเป็นลมพายุแรงกล้าพัดในเรือน
มหาจรวยเซหลุนๆ ไป ข้าวของในเรือนขยับไหว ลอยขึ้นในอากาศ ม้าหมู่ชิ้นหนึ่งลอยเข้ากระแทกหัวคิ้วมหาจรวย เลือดไหลปรี่
ยอดหล้าคาดคั้น “จงบอกมา”
ลมพายุพัดเอากล่องไม้ลงอาคมลอยหวือหมุนวนมนอากาศ มหาจรวยมีอาการตกใจ รีบคว้าไว้แนบอก ยอดหล้าครุ่นคิด
“มีอันใดในหีบนั้น”
มหาจรวยมองยอดหล้า ท่าทีมีพิรุธ ยอดหล้าเบิกตากว้าง
“จงบอกข้ามา”
ทันใดนั้นมีเสียงไก่ขันแว่วมา พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่พ้นขึ้นจากขอบฟ้า ยอดหล้าชะงัก นางผัน นางเผื่อนตกใจ ลนลาน ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นอีก ส่องแสงแผ่รัศมีเจิดจ้าออกมา
ยอดหล้าเชิดหน้า นางผัน นางเผื่อน กลายเป็นกลุ่มควันพุ่งเข้าปะทะมหาจรวย แล้วพุ่งเข้าปะทะประตูเรือนหลุดกระเด็น กลุ่มควันพุ่งหายไปในพริบตา

ร่างมหาจรวยเซซัง แต่ยังกอดกล่องอาคมไว้มั่น แล้วคลายมือออกมองดูอย่างโล่งใจ ที่แท้ในนั้น บรรจุศีรษะเถรกระอ่ำไว้นั่นเอง

อ่านต่อหน้า 3

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 10 (ต่อ)

เหตุการณ์ที่บ้านพิมพ์ดาวเวลาตอนกลางวัน ตรงส่วนนั่งเล่นในโถงกลาง พิมพ์เดือนนั่งขัดสมาธิกับพื้น เอาแลปท็อปวางบนโต๊ะกาแฟ มีหนังสือโบราณคดีวางอยู่ข้างๆ

โดยจันทราอยู่บนโซฟาชะโงกหน้ามาดูด้วย ส่วนข้างๆ ใบเฟิร์นชะเง้อสู่รู้ขอแจมอยู่ที่พื้น
“พี่พิมพ์สไกป์มาแล้วค่ะ” พิมพ์เดือน
ที่หน้าจอภาพ พิมพ์ดาวกำลังสไกป์อยู่ที่ห้อง
พิมพ์ดาวทัก “แม่ขา หวัดดีค่ะ”
“ค่ะ แม่คุณ แม่ทูนหัว” จันทราทักตอบ
ใบเฟิร์นทักเสียงใส “หนูก็อยู่นะคะ คุณพิมพ์”
พิมพ์ดาวอยู่ที่ห้องพักในคุ้ม เอาแลปส์ท็อปมาตั้งที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีพงศาวดารเวียงแก้วอยู่ข้างๆ
พิมพ์ดาวหมั่นไส้ “ย่ะ ยายใบเฟิร์น”
“เป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็นอกจากมีคนตกลงมาตายกลางโต๊ะบวงสรวง ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรค่ะ” พิมพ์ดาวว่าหน้าตาเฉย
จันทราขวางตาลูกสาว “นี่.. แม่ไม่ได้ตลกด้วยนะจ๊ะ”
พิมพ์ดาวถอนใจ เห็นท่าทีห่วงเกินปรกติของจันทรา
“แล้วมีเรื่องอะไรแปลกๆ บ้างไหม”
“ก็ที่นี่เป็นคุ้มเก่า ก็มีใครเจออะไรแปลกๆ บ้างค่ะ”
พิมพ์เดือนกับใบเฟิร์นสบตากัน
ใบเฟิร์นร้อง “ว้าย ผีเหรอคะ”
“แต่หนูยังไม่เคยเจออะไรค่ะ” พิมพ์ดาวบอก
จันทราโล่งอก “ดีแล้วล่ะ ยังไงก็ หนูอย่าให้เขี้ยวเสือไฟห่างตัวนะลูก”
พิมพ์ดาวนึกถึงวันที่ฝูงกาปีศาจโจมตี แล้วจู่ๆ ก็หนีไป และเขี้ยวเสือไฟเรืองแสง ขณะฝูงกาปิศาจหนีไป
“ค่ะ”
จันทราขยับถอย พิมพ์เดือนหันจอคอมพ์มาส่องตัวเอง
“พี่พิมพ์ หนูไปค้นข้อมูลในหอกลางมาแล้วนะคะ”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“มีเรื่องประวัติศาสตร์เวียงแก้วจริงๆ ค่ะ”
“ที่พี่อ่านเป็นพงศาวดาร ใช้ภาษาโบราณอ่านย๊ากยาก ศักราชก็เป็นมหาศักราช แล้วมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เต็มเลย” พิมพ์ดาวว่า
“พงศาวดารก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์เมืองเหนือก็เล่าเรื่องเมืองนี้ไว้”
พิมพ์ดาวสนใจ “ว่ายังไงบ้าง”
“เมืองนี้เป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองพันธมิตรของเชียงใหม่มาตั้งแต่ราชวงศ์มังราย ต่อมาก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่ยุคบุเรงนอง จนในสมัยราชกาลที่ 1 พระพุทธยอดฟ้าฯ เมืองนี้ก็เป็นเมืองประเทศราชของสยาม”
“แล้วเหตุการณ์ในละครเรื่องนี้ล่ะ”
“ยุคของเจ้าแสงอินทร์ก็ประมาณสมัยพระพุทธเลิศหล้าของเราค่ะ”
พิมพ์ดาวออกอาการแน่ใจในสิ่งที่คิดอยู่
“ประวัติศาสตร์บอกว่า ปลายสมัยเจ้าแสงอินทร์เกิดการกบฏ แต่ทางสยามส่งทหารไปช่วยจึงปราบกบฏได้”
“ไม่เห็นมีในละครเรื่องนี้เลย”
“เป็นเรื่องหลังจากเหตุการณ์ในละครมังคะ”
พิมพ์ดาวชักลังเล
“เมืองนี้กับเจ้าแสงอินทร์มีตัวตนจริง แล้วเรื่องของราชธิดา 2 คนล่ะ มีจริงหรือเปล่า”

ขณะเดียวกันที่คอนโดตรีภพ ตฤณซึ่งยึดโยงอยู่ที่นั่นร้องลั่น “หา! นี่แกละเมอเดินหรือ”
ตฤณนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา เอาเท้าพาดโต๊ะกาแฟอย่างสุขารมณ์ กำลังคุยโทรศัพท์กับตรีภพ ตาจ้อง ทีวีจอแบนตรงหน้า ที่เปิดช่องแฟชั่นทีวี มีนางแบบเดินโชว์ชุดวับแวมเปิดเปลือยอยู่
“แล้วเคยมีอาการมาก่อนไหม”
ตรีภพโทร.มาจากห้องพัก เวลานี้เขายืนอยู่ที่ระเบียง
“ไม่เคยโว้ย”
“แน่ใจนะ แล้วสมัยเด็กๆ ล่ะ มีบ้างไหม”
“ไม่มี ถ้ามีก็ต้องเคยได้ยินพ่อกับแม่พูดถึงบ้างซี”
“แกเครียดเรื่องงานหรือเปล่า”
“มันก็มีบ้าง แต่ก็เป็นอย่างงี้ทุกเรื่อง”
“แล้วละเมอไปเข้าห้องใครบ้างหรือเปล่า”
หมอหนุ่มเริ่มทะลึ่งตามนิสัย
“โถ ไอ้หมอลามก ไม่มี”
“แน่ใจ? แกไม่ละเมอไปเข้าห้องคุณลินซี่บ้างหรือ”
“ไม่มีโว้ย มีแต่คุณลินซี่ละเมอมาเข้าห้องฉัน”

ตฤณตาเหลือก
“จริงเหรอวะ เล่า เล่า เล่า เอาละเอียดแบบเนื้อๆเน้นๆ”
“พูดเล่นโว้ย”
ตฤณเซ็งหมดมู้ด “โถ ไอ้หอก อุตส่าห์ตื่นเต้น”
“เออ แกจะได้ลาพักเมื่อไหร่ อาทิตย์หน้าเหรอ”
“เออ”
“ขึ้นมาซีวะ จะได้มาถล่มพี่แก้วกัน”
“แล้วพี่แก้วเป็นยังไงบ้างวะ”
ตรีภพอึ้งไปนิดหนึ่ง เมื่อนึกถึงความผิดปรกติของแก้วที่เขาพบเห็น
“แกก็มาดูมันเองก็แล้วกัน”

คุ้มหลวงตอนบ่ายแก่ๆ บรรยากาศสดใส ทีมงานส่วนใหญ่ออกไปลั้นลาข้างนอก
พิมพ์ดาวสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ นั่งบนเตียงในห้องนอน กำลังอ่านพงศาวดารเวียงแก้วอย่างใจจดใจจ่อ
“เจ้าหลวงเทพลือไชย สวามิศักดิ์ต่อม่าน รีดนาทาเร้นส่วยสาจากชาวนาคร และข่มเหงคะเนงร้ายต่อชาวเมืองได้ทุกข์ยากยิ่งแล บรรดาขุนมีขุนเวียงเป็นหัวหน้าได้ลุกฮือขึ้นจับเจ้าหลวงเทพลือไชย สำเร็จโทษเสีย ขุนเวียงได้นำทัพขับไล่พม่าออกจากเวียงแก้วได้สำเร็จ ขุนทั้งหลายจึงยกขุนเวียงขึ้นเป็นเจ้าหลวงเวียงแก้ว ชื่อว่าเจ้าหลวงแสงฟ้า”
พิมพ์ดาวจดชื่อลงในสมุดโน้ตใกล้ตัว
จู่ๆ ด้านนอกเกิดเมฆฝนมหึมาเคลื่อนมาบดบังท้องฟ้าเหนือคุ้มหลวง บรรยากาศมืดลงราวเป็นเวลาใกล้ค่ำ
พิมพ์ดาวอ่านแล้วจดบันทึกลงในสมุดโน้ต “เจ้าหลวงแสงฟ้าเป็นปู่ของเจ้าหลวงแสงอินทร์”
พิมพ์ดาวทวนคำแล้วจดลงในสมุดโน้ต ในจังหวะนี้ห้องมืดวูบลง พิมพ์ดาวเงยหน้าดู
“อะไรนี่ เมฆฝนหรือ ตาย มืดอย่างกะทุ่มนึง”
พิมพ์ดาวประหลาดใจเมื่อเห็นนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลา 15.00 นาฬิกา

ที่นอกหน้าต่าง อีกาปีศาจเกาะกิ่งไม้มองดูพิมพ์ดาวเขม็ง ดวงตาลุกเป็นไฟ
พิมพ์ดาวลุกขึ้นคว้าหมวกอาบน้ำมาคลุมผม แล้วมองดูเงาตนเองในกระจก เห็นสร้อยเขี้ยวเสือไฟ พิมพ์ดาวถอดสร้อยออก วางลงบนถาดกระเบื้องบนโต๊ะเครื่องแป้ง
พิมพ์ดาวเดินมากลางห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวขึ้น

ทันใดนั้นบังเกิดมีเสียงกระจกแตก พิมพ์ดาวหันขวับไปแล้วอ้าปากค้าง

ที่นอกหน้าต่าง มีฝูงกามากมายบินวนไปมา อีกาใหญ่ตัวหนึ่งบินชนกระจก แตกเป็นรอยแยก

พิมพ์ดาวตั้งสติ ขณะที่กระจกร้าวแตกทะลุ อีกาหัวหน้าฝูงบินโฉบเข้าหาพิมพ์ดาวและเข้าจิกตี พิมพ์ดาวร้องวี้ด เอาผ้าเช็ดตัวปัดป้องและฟาดกลับ
อีกาเข้าจิกทึ้งจนผ้าเช็ดตัวติดกรงเล็บกระชากปลิวไป ผ้าพันตัวมันตกลงพื้น
ที่นอกหน้าต่างเวลานี้ อีกาอื่นๆ ก็พุ่งเข้าชนกระแทกหน้าต่าง
พิมพ์ดาวได้สตินึกออกเรื่องเขี้ยวเสือไฟ แต่อีกาใหญ่จิกทึ้งจนผ้าขาดออก มันมองพิมพ์ดาวเขม็ง พิมพ์ดาววิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง อีกายักษ์บินขึ้น พุ่งเข้าหาพิมพ์ดาว
ที่หน้าต่างกระจกแตกเพล้งทุกบาน ฝูงอีกาบริวารบินกรูเข้ามา
พิมพ์ดาวถึงโต๊ะเครื่องแป้ง คว้าเขี้ยวเสือไฟขึ้นมา อีกาใหญ่บินมาถึงตัวพิมพ์ดาว อีกาบริวารบินกรูตาม
พิมพ์ดาวหันขวับ ชูเขี้ยวเสือไฟขึ้นตรงหน้า
บังเกิดแสงเจิดจ้าขึ้น มีเส้นแสงคล้ายใบหน้าเสือคำรามก้อง
พิมพ์ดาวลดสร้อยเขี้ยวเสือไฟลง เห็นฝูงกาบินหนีไปราวหมอกควัน ท้องฟ้าสว่างขึ้นบ้าง แต่ก็ยังครึ้มฝนอยู่
ประตูห้องเปิดออก ราเชนทร์พรวดเข้ามา
“คุณพิมพ์ เกิดอะไรขึ้นฮะนี่ พวกนกผีนั่นอีกแล้วหรือ”
พิมพ์ดาวยังคงเสียขวัญตกใจจนตัวสั่น ราเชนทร์ก้าวไปใกล้ โอบกอดปลอบ
“ไม่เป็นไรแล้วครับ”
สีหน้าราเชนทร์มีแววพึงใจนิดหน่อย โดยที่หน้าประตู มาลารินกับตรีภพก้าวมาเห็นราเชนทร์ยืนกอดพิมพ์ดาวในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ
ตรีภพถึงกับอึ้ง ราเชนทร์มองตรีภพอย่างท้าทายและเป็นต่อ ตรีภพยืนอึ้ง มาลารินเกาะแขนตรีภพแจ
“คุณพิมพ์ คุณเชน เกิดอะไรขึ้นคะ”
พิมพ์ดาวเพิ่งรู้สึกตัวว่ากอดราเชนทร์อยู่ รีบขยับตัวออก มองตรีภพ ตรีภพทำเฉย มาลารินแอบยิ้ม

อีกาปีศาจบินร่อนอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝน แล้วร่อนลงสู่คุ้มร้างเบื้องล่าง พวกมันบินโฉบผ่านระเบียงสู่ชานเรือน แล้วบินสู่เรือนด้านใน จนถึงเติ๋นที่สำราญของยอดหล้า
บนตั่ง ร่างยอดหล้าปรากฏขึ้นจางๆ ส่วนที่พื้น นางผัน นางเผื่อน เป็นเงาสลัว แล้วชัดขึ้น
อีกาบินไปหายอดหล้า ยอดหล้ากรายแขนมาเบื้องหน้า อีการ่อนลงเกาะอย่างคุ้นเคย
“เจ้านกน้อย อันใดของเจ้าอีก”
อีการ้องแก๊กๆ ยอดหล้านิ่งฟัง แล้วขมวดคิ้ว
“ดาราราย เจ้าเห็นดารารายเช่นนั้นหรือ”
นางผัน นางเผื่อน ตื่นเต้น ตาโต
“เจ้านางน้อยหรือเจ้า”

ยอดหล้าปรายตามองอย่างไม่พอใจ แล้วลุกขึ้น
“เจ้านกน้อยบอกข้าถึงสองคราแล้ว นังน้องทรยศของข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เองหรือ”
ยอดหล้าโบกมือ น้ำในขันสาครใหญ่พลิ้วไหวกระเพื่อม

ด้านพิมพ์ดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว แพท เฟื่องฟ้า ระริน เก็บกวาดเศษกระจกอยู่ พิมพ์ดาวยังคงหน้าซีด มองดูเงาตนเองในกระจก
“พี่พิมพ์ เป็นไงบ้างคะ” แพทเป็นห่วงเป็นใย
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
เฟื่องฟ้า ระริน หน้าเผือดเพราะกลัวผี
“ต้องเป็นอีกาผีแน่เลยค่ะ” เฟื่องฟ้ามั่นใจ
ระรินสงสัย “คุณพิมพ์พกพระอะไรคะนี่”
พิมพ์ดาวส่ายหน้า แล้วหยิบสร้อยเขี้ยวเสือไฟมาสวม
ภาพห้องพิมพ์ดาวกลายเป็นภาพในน้ำ แต่แลเห็นเพียงแพท เฟื่องฟ้า ระริน พิมพ์ดาวเลือนหายไป
ยอดหล้าขมวดคิ้ว
“นกน้อย เจ้าจำผิดแล้ว”
อีกาปีศาจร้องแก๊กคล้ายเถียง แล้วบินขึ้น โฉบผ่านหัวนางผัน นางเผื่อน จนมวยผมกระจาย
“ว้าย อีนกผี”
“ดู๊ ดูมันทำ”
อีกาผีบินจากไป แต่ยังคงร้องแก๊กๆคล้ายบ่นบ้าไปตลอดทาง ยอดหล้านั่งลง ยังคงสงสัย
“นกน้อยของข้าชังดารารายนัก ไยจึงจำผิดได้”

ความมืดเข้าคลุมทั่วคุ้มหลวงในตอนกลางคืน เห็นแสงสว่างเรืองๆ ตรงบางจุดในสนาม
ตรีภพนั่งอยู่บนเก้าอี้เดย์เบด กำลังอ่านบทพลางจิบเบียร์ไปด้วย ที่โต๊ะเตี้ยตรงหน้ามีเบียร์กระป๋องเปล่า 3-4 กระป๋องล้มกลิ้งอยู่
ภาพพิมพ์ดาวกอดกับราเชนทร์ผุดขึ้นมาหลอกหลอน ตรีภพอารมณ์เสีย ปิดบทวางโครมลง

ส่วนมาลารินนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใส่ชุดนอนเบบี้ดอล ทับด้วยเสื้อคลุมยาว ที่คอสวมสายสิญจน์ ทำให้ดูพิลึก กำลังปัดขนตาซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วทำตาแป๋วกับกระจก ข้างหลัง บีบีนั่งทำตาปรือ ในมือถือแก้วเปล่า
“นังลิน...แก แกเอาอะไรใส่ยาฉัน”

มาลารินหันไปดู รู้ว่าความแตก สารภาพโดยไม่แยแส
“แวเลี่ยมกับดอมิคุ่มค่ะ”
“อี...อีปลวก”
ขาดคำบีบีก็ล้มตะแคงไปบนเตียง มาลารินยักไหล่ หันมาฉีดน้ำหอมฟูด

ยอดหล้าก้าวมาที่ระเบียงเรือน มองไปยังทิศของคุ้มหลวง ผ้าคลุมไหล่ลากระพื้น นางผัน นางเผื่อน ก้าวตาม
“เจ้าหมอผี กำแพงไฟของเจ้า...กั้นมนตราของข้ามิได้หรอก”
ยอดหล้าดวงตาเจิดจ้า

ฟากตรีภพเทเบียร์ลงคอจนหมดกระป๋อง แล้วมีอาการอารมณ์เสียที่เบียร์หมด ทันใดนั้นมีลมพัดกรูมา กระชากประตูระเบียงเปิดออก ม่านสะบัดไหว ตรีภพลุกขึ้นหันไปดู เสียงซึงเล่นเพลงดวงดาวดังแว่วมา ม่านบางปลิวไหวคล้ายมือกวักเรียก ตรีภพนิ่งขึงจังงัง ขณะดวงตาของยอดหล้าเจิดจ้าวาววาม
ตรีภพปล่อยกระป๋องเบียร์ตกลงพื้น ดวงตาจ้องตรงไป ตกอยู่ในมนต์สะกด

ขณะเดียวกันมาลารินเดินอกกระเพื่อม ชายชุดคลุมลากระพื้นมา เดินตรงไปยังห้องตรีภพอย่างมาดมั่น แล้วมองไป แลเห็นตรีภพเดินอยู่ไกลๆ มาลารินตาโต กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“คุณตรี! ว้าย ผีหรือคนเนี่ย”

ดวงตาตรีภพจ้องมองไปเบื้องหน้า ตรงไปยังเขตกำแพง โดยไม่รู้ว่านางเอกในละครดาวยั่วในชีวิตจริงสะกดรอยตามมา
ตรีภพเดินแข็งทื่อมาตามถนนข้าง มาลารินโผล่จากหลังพุ่มไม้ มีอาการกล้าๆกลัวๆ
“คุณตรีจริงๆ”
จู่ๆ มีเสียงม้าร้องดังก้องเสียงนั้นประหลาดล้ำ มาลารินขนลุกเกรียวมองไป ที่สุดถนนมีหมอกควันบดบังทุกอย่าง มาลารินยกมือคลำสายสิญจน์ที่คอ
ตรีภพยืนนิ่ง มองไปอย่างเลื่อนลอย มีเสียงล้อรถบดพื้นดังมา มาลารินมองไม่วางตา
ม้าปิศาจดวงตาและขนแผงคอลุกเป็นไฟ วิ่งลากรถออกจากกลุ่มควัน มาลารินยกมือปิดปาก
รถม้านั้นจอดลงหน้าตรีภพ ประตูเก๋งรถเปิดออกเอง ตรีภพก้าวขึ้นไป ประตูปิดลง
ม้าปีศาจลากรถเลี้ยวกลับ ท้ายรถมีที่สำหรับยืนได้

มาลารินลืมกลัว วิ่งชายผ้าปลิว กระโดดเกาะท้ายรถม้าที่แล่นหายไปในกลุ่มควันโดยไม่คิดชีวิต

อ่านต่อหน้า 4

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 10 (ต่อ)

คุ้มร้างคืนสู่สภาพคุ้มน้อยอันงดงามเมื่อเกือบ 200 ปีก่อน แต่มลังเมลืองยิ่งกว่าเก่ามาก ตรีภพก้าวเดินไป มนต์สะกดถูกคลายลงครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น มองดูทุกอย่างรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ

เสียงซึงดังแว่วคลอมาตลอด โดยบนเติ๋น ยอดหล้านั่งเล่นซึงเพลงดวงดาว ใบหน้าก้มลงนิดๆ นิ้วเรียวยาวดีดซึงอย่างชำนาญ นางผันนั่งร้อยมาลัยส่งกลิ่นกำจาย นางเผื่อนโบกพัดรำเพยลมอยู่แทบเท้า
ตรีภพก้าวไปยืนเกาะเสา มองดูยอดหล้า นิ่งฟังเพลงอย่างเคลิบเคลิ้ม ยอดหล้ายิ้มมุมปาก
“พี่เทพเจ้า เมื่อมาแล้ว ใยจึงมิเข้ามาเจ้า”
ตรีภพเดินเข้าไป ยอดหล้าวางซึงลงข้างตัว มองตรีภพอย่างสุดรัก นางผัน นางเผื่อน กราบลงพลางคิกคักกัน ตรีภพยืนนิ่ง ยอดหล้านิ่วหน้าอย่างเอ็นดู
“พี่จะยืนขาแข็งอยู่ทำไมกันเจ้า”
ยอดหล้าลุกขึ้น 2 มือออกจับ 2 มือตรีภพ ดึงถอยหลังมาให้นั่งลงข้างๆ
“เจ้ายอดหล้า”
“พี่เทพ ใยจึงเรียกข้าเจ้าห่างเหินขนาดนั้น” ยอดหล้าตัดพ้อ
“ผมบอกแล้วว่าผมชื่อตรีภพ พี่เทพเป็นแค่ตัวละครที่ผมเล่น”
“ข้าเจ้าก็บอกพี่แล้วเช่นกัน ว่าพี่คือหลวงเทพภักดี พี่เทพของข้า เมื่อกาลก่อน และ ณ ตอนนี้ด้วย”
“หมายความว่าอะไร”
“ภพชาติดุจเมฆหมอกบดบังความทรงจำของพี่”
“ภพชาติ”
“ในชาติปางก่อน พี่คือพี่เทพของข้าไงเจ้า”
ตรีภพตกตะลึงพรึงเพริด ยอดหล้ายิ้มแย้ม

ทางด้านมาลารินเดินกุมสร้อยสายสิญจน์มาตามพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง แสงสว่างจางๆจากดวงจันทร์ทำให้พอคลำทางได้โดยไม่สะดุด
มาลารินเอามือแหวกหยากไย่อย่างขยะแขยง หน้า มือ เสื้อผ้าเบบี้ดอลล์ดำเป็นปื้น มาลารินมองไปตรงหน้า แล้วตาเบิกกว้าง เข้าแอบหลังเสาไม้ เนื้อตัวสั่น

ยอดหล้าจับมือตรีภพขึ้นมา “แต่พี่ต้องจำอะไรได้บ้างซีเจ้า”
ตรีภพส่ายหน้า “ผมจำไม่ได้”
ยอดหล้ามีท่าทีขุ่นใจ ปล่อยมือตรีภพ แล้วยิ้มออก กรีดนิ้วบนสายซึง
“มีซีเจ้า พี่จำเพลงนี้ได้”
“เพลงดวงดาว”
“ใช่เจ้า ข้าเจ้าแต่งทำนองเพลงนี้ไว้ แต่พี่...พี่แต่งบทกลอนขึ้นให้ข้า”
ยอดหล้าหน้าแดง “เพื่อบอกความในใจ เพื่อสารภาพรักข้า”
“ผมจำได้”
ยอดหล้ายิ้มสมใจ
“เพราะมันคือเรื่องราวในบทละครที่ผมเล่น”
คำพูดตรีภพทำเอายอดหล้าชะงัก ค้อนตรีภพ นางผัน นางเผื่อนหัวเราะคิกคัก
“เรื่องราวเหล่านั้นเป็นความจริงเจ้า หลวงเทพ” นางผันว่า
“ข้ายังจำคำบอกรักของท่าน บนเรือล่องแม่ปิงได้ ราวมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เจ้า” ยอดหล้าบอก
ตรีภพขมวดคิ้วครุ่นคิด

มาลารินโผล่หน้าจากหลังเสามองไป ท่ามกลางความขมุกขมัว ตรีภพนั่งอยู่บนตั่ง รอบด้านดูรกร้าง ฉากกั้นผุกร่อน ตู้ต่างเปิดอ้าว่างเปล่า แต่มีแสงสีเขียวจางๆ อาบไปทั่วทุกสิ่ง ดูน่าสะพรึงกลัว
“คุณตรี!”
มาลารินเขม้นมองแล้วผงะ
ท่ามกลางความสลัวราง ร่างยอดหล้าอยู่กับตรีภพบนตั่ง นางผัน นางเผื่อน หมอบอยู่แทบเท้า แต่ร่างของทั้งสามโปร่งแสงจนมองทะลุได้ การเคลื่อนไหวดูกระตุก พร่าเลือนเป็นระยะ
มาลารินยกมือปิดปาก ถอยกรูดๆ ไปชนกับกระถางต้นไม้ล้มเอียง

ส่วนยอดหล้าทำปากเชิดแง่งอนใส่
“พี่จำไม่ได้ ข้าจะทำให้พี่จำได้เดี๋ยวนี้”
มีเสียงของล้มแตกเปรื่องปร่างดังมา ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนชะงักหันไป
มาลารินยืนตาเบิกกว้าง รู้ว่าทั้งสามรู้ตัวแล้ว
ยอดหล้าตาวาว นางผัน นางเผื่อนชูคอ
“นังเจ้านางแพศยาเจ้า”
“มันกล้าเข้ามาถึงที่นี่เจ้า”
จู่ๆ ตรีภพก็กระพริบตา ตื่นจากภวังค์

“อะไรนี่ นี่ ที่นี่ที่ไหน”
ตรีภพมองไปรอบตัวก็ตกใจ เมื่อเห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางความมืด และรกร้าง
ยอดหล้าลุกขึ้นยืน คว้าแขนตรีภพ แต่มือพลันทะลุแขนตรีภพไป
“พี่เทพ”
ตรีภพไม่ได้ยิน ไม่รับรู้สัมผัส ยอดหล้าผงะ หน้าเสียรู้ว่าอำนาจของตนไม่คงที่ นางผัน นางเผื่อนก็ตกใจ มองกันล่อกแล่ก
มาลารินมองมา เห็นร่างยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนหายวับไป มาลารินเอามือกำสร้อยวิ่งพรวดไปหาตรีภพ
“คุณตรีขา”
ตรีภพประหลาดใจ “ลินซี่ มาได้ยังไง นี่ผมอยู่ที่ไหน”
“ฮือ อย่าถามเลยค่ะ ไปกันเถอะค่ะ”
มาลารินคว้าข้อมือตรีภพ พาเดินแกมวิ่งไปจากที่นั่น

มาลารินจูงตรีภพเดินแกมวิ่งตัดผ่านลานคุ้มไป ส่วนบนหอสังเกตการณ์ ยอดหล้าก้าวมามองไป นางผัน นางเผื่อนอยู่ข้างหลัง
ยอดหล้าดวงตาคั่งแค้นถึงขีดสุด
“วายุ ลุกขึ้น”
มาลารินจูงตรีภพผ่านไปที่ลานคุ้ม ดินเบื้องล่างนูนขึ้น แตกแยก มีแสงจ้าอยู่ภายใน มาลารินตาเหลือก หันมาดู
“ฮือ เร็วค่ะ” ตรีภพจูงมาลารินวิ่งไป
จู่ๆ ดินแยกปริ ร่างม้าปิศาจผุดขึ้นจากใต้ดิน ยอดหล้ายิ้มเหี้ยมเกรียม
“พามันไปส่ง วายุ”
ม้าปิศาจยกขาหน้าพยศ ดวงตาและแผงคอเป็นไฟ เสียงร้องเป็นเสียงอสูรกาย

ตรีภพและมาลารินวิ่งมาตามถนน เสียงม้าร้องดังสะท้อนกึกก้อง ตรีภพและมาลารินหันไป ที่สุดถนนมีกลุ่มควันก่อตัวขึ้น
“ม้าผี ม้าผีมันมาแล้ว”
ตรีภพกับมาลารินวิ่งต่อ
ในกลุ่มควันมีจุดแสง 2 จุด สว่างเคลื่อนออกมา เป็นม้าปิศาจ ตรีภพและมาลารินมาถึงรั้วคุ้มหลวง ตรีภพจับเอวมาลาริน ส่งขึ้นไปก่อน

“คุณตรี เร็วค่ะ”
“ครับ”
ตรีภพปีนตาม

ต่อมาตรีภพและมาลารินลงมาจากกำแพงรั้ว
“เรารอดแล้ว”
ขาดคำได้ยินเสียงม้าปิศาจแผดร้องกึกก้อง มาลาริน ตรีภพมองดู เท้าขยับถอยหลัง ทันใดกำแพงเบื้องหน้าพลันเกิดแสงไฟตามรอยต่อของอิฐ
มาลาริน ตรีภพ เบิกตากว้าง มีเสียงม้าร้องกึกก้อง ม้าปิศาจกระโดดข้ามรั้วสูงเข้ามา ข้ามหัวมาลาริน ตรีภพ ที่ล้มกลิ้งลง
ม้าปิศาจหันกลับ ตรีภพและมาลารินตะกายลุก มาลารินเกิดความคิด คว้าสร้อยสายสิญจน์ออกชูป้องหน้า ตรีภพมอง มาลารินส่งให้
“ฮือ เอานี่สู้มันค่ะ”
ม้าปิศาจพลันยก 2 เท้าพยศคุกคาม ดวงตาลุกเป็นไฟ
ตรีภพตัดสินใจโยนสายสิญจน์ไป สายสิญจน์ตกลงคล้องคอม้า ม้าปิศาจแผดร้องคล้ายเจ็บปวด
“มันกลัวค่ะ”
ขาดคำม้าก็พยศชู 2 ขาหน้าโถมใส่ตรีภพ ตรีภพกระเด็นไป ศีรษะโขกกระแทกโขดหินที่ตกแต่งสวน ตรีภพรุดลงกองหมดสติไป
ม้าปิศาจยังคงดิ้นรน พยศ กระแทกตัว มาลารินล้มกลิ้ง เสื้อผ้าขาดวิ่น ทันใดสายสิญจน์ที่คล้องคอก็ติดไฟ ไหม้สลายวูบไป
เสียงยอดหล้าดังมา “ดีมาก วายุ”
ม้าปิศาจเลิกพยศ ยอดหล้าปรากฏกายขึ้น ลูบคลำแผงคอไฟ
“เข้าไปได้แล้ว”
ม้าปิศาจร้องเหมือนรับคำแล้ววิ่ง ร่างเลือนหายไป
ยอดหล้ายืนนิ่ง แล้วเหลือบมองมาลาริน มาลารินถอยกรูดไปชนนางผัน นางเผื่อนที่ยืนอยู่
“อีผี”
นางผัน นางเผื่อนจิกผมมาลาริน กระชากให้ยืน มาลารินหน้าหงาย ตัวแอ่น ยอดหล้าก้าวมามองมาลารินอย่างจงชัง
“น่าชังนัก พวกมันนึกยังไง จึงให้เจ้ามาเล่นเป็นข้า”
“นังผี ฮือ แกพูดอะไร”
“อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะได้แตะต้องพี่เทพ”
“แกเป็นผี ไม่มีตัวตน ไปนะ”
ยอดหล้าโกรธตาวาว เพราะถูกจี้ใจดำ
“อย่างงั้นหรือ”
ขาดคำยอดหล้าก็กลายร่างเป็นอสูรกาย ดวงหน้างามกลายเป็นปิศาจร้าย ปากแสยะ คำราม ยื่นหน้ามาคล้ายจะขย้ำกัดกินมาลาริน

มาลารินร้องกรี๊ดสุดเสียง

ในเช้าวันต่อมา ลูกกบ รัก เก้ง มีมี่ มูมู่ เดินเกาะกลุ่มกันมาเพื่อจะไปยังศาลากลางสวน

“วันนี้กี่ฉากนะ” รักถาม
ลูกกบบอก “ยี่สิบห้า”
รักตาเหลือก “หา! จะถ่ายทันหรือ”
ลูกกบฉุน “ฉันจะไปรู้หรือยะ มาดามสุลงคิวเอง”
เก้งแทรกขึ้น “หมู่นี้ เอ่อ เงียบๆ ไปนะ ไปค่อยมีเรื่องอะไร”
“ใครบอกล่ะคะ เจ๊ เมื่อวานนี้อีนกผียังเข้าโจมตีห้องคุณพิมพ์อยู่เลย” มีมี่ว่า
เก้งท้วง “แหม.. ก็มันอาจจะเป็นนกจริงๆก็ได้”
มีมี่เถียง “ไม่มีทางค่ะ นกธรรมดาอะไรมาจ้องทำร้ายคน”
มูมู่บอก “เลิกพูดเรื่องนกเถอะเธอ มันคำอัปมงคล”
มีมี่เห็นด้วย “เออ จริง พูดนกบ่อยๆ แล้วเดี๋ยวนกถาวร ฮิ ฮิ ฮิ”
รักเกาหัว “มันพูดอะไรกันวะ”
ลูกกบร้อง “ว้าย นั่นอะไรน่ะ”
ทุกคนมองดู เห็นตรีภพนอนแน่นิ่งอยู่บนสนามหญ้าใกล้โขดหินใหญ่ มีมี่ มูมู่ ตบอกผาง ถลาเข้าไปก่อนร้องประสานเสียง
“ว้าย คุณตรี คุณตรีขา”
มีมี่ มูมู่ คุกเข่าลงดู ตรีภพรู้สึกตัว กุมหัวลุกขึ้นนั่ง
“หือม์.. อะไรนี่ ผมมาอยู่นี่ได้ยังไง
เก้ง ลูกกบ รัก มาช่วยกันดึงขึ้น รักสัพยอก
“เมื่อคืนหนักไปหน่อยหรือครับ” รักแซว
“เปล่านี่ แค่เบียร์นิดเดียวเอง”
มีมี่ซัก “กินกะใครคะ”
ตรีภพงงๆ อยู่ “ไม่มีนี่ฮะ กินอยู่คนเดียวในห้องผม”
มีมี่ มูมู่ กางเสื้อคลุมนอนบางขาดวิ่นขึ้นมา
“แล้วนี่ชุดใครคะ คุณตรีขา” มีมี่ถาม
“ไม่ทราบซีฮะ เหมือนชุดนอนคุณลินซี่”
มีมี่ มูมู่ พยักพเยิดกัน
“ชุดอยู่นี่ แล้วคนล่ะคะอยู่ไหน” ลูกกบแปลกใจ
ทุกคนมองดูรอบๆ ตัว มีมี่ มูมู่ เห็นก่อน ชี้นิ้วระริกระรี้
“ว้าย เจอแล้วค่ะ” มีมี่กรี๊ด
มูมู่บอก “เลดี้ กาก้าช่วย”
ตรีภพและทุกคนมองไป ที่หลังโขดหิน มาลารินในชุดนอนเบบี้ดอลล์ขาดวิ่น ผมฟูกว่าสิงโต เดินเลื่อนลอยออกมา ตรีภพและทุกคนเข้าไปหา
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่”
มาลารินหน้าซีดเผือด ปากแตกระแหง มองหน้าตรีภพ มาลารินกระพริบตา จู่ๆ ใบหน้าตรีภพกลายเป็นหน้าอสูรกายยอดหล้ายื่นหน้าพรวดเข้ามา
มาลารินผงะ ร้องวี้ดๆๆ ดิ้นรนคล้ายคนบ้า
“ผี! ผี! ผี! ผี”
ตรีภพอึ้ง มีมี่ มูมู่ทำท่ากลัว ตรีภพ รัก ช่วยกันจับตัวมาราลินไว้
ตาทองเดินมากับสายใจเดินมาเห็น สองคนมองหน้ากัน

หลังตรีภพ และ มาราลินถูกนำคัวส่งโรงพยาบาลทุกคนชุมนุมกันอยู่พร้อมหน้า ฐาปกรณ์นั่งเป็นประธานอยู่บนโซฟาเอามือกุมหัว มาดามสุเอาบทและเบรกดาวน์ใหม่มากอง พลางโทรศัพท์วุ่น แพท พิมพ์ดาว นั่งอยู่ด้วย เก้ง มีมี่ มูมู่ ลูกกบ รัก ยืนรอคำสั่งอยู่
“ค่ะ พี่ คุณพี่ว่างใช่ไหมคะ หนูจะหาไฟลท์ให้ คุณพี่บินมาเลย”
สุชาดาวางหู มองแพท
“ยังไงคะ”
“นี่แม่แพท.. ตกลงเธอไม่ต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว ฉันจะถ่ายฉากพระนครที่เชียงใหม่นี่เลย”
พิมพ์ดาวถาม “หาเรือนไทยภาคกลางหรือคะ”
“ก็ใช่ซีจ๊ะ”
ลูกกบกับรักถอนใจเฮือก
“แล้วจะไปหาที่ไหนล่ะคะ มาดาม” ลูกกบถาม
สุชาดาฉุน “มีปากก็ถามเข้าซียะ ไปถามอีอาจารย์น่ะ เห็นรู้ทุกเรื่อง อ้อ ให้ได้ในวันนี้นะยะ พรุ่งนี้จะได้ถ่ายเลย”
“อ้าว แล้วคอสตูมล่ะ เซ็ตของพระนครไม่ได้เอามาด้วยนะครับ” เก้งบอก
“ก็โทร.ไปออฟฟิศสิยะ ให้อีคนไหนก็ได้ขนขึ้นรถทัวร์มา” มาดามสุว่า
ฐาปกรณ์ตวาดเมีย “ไม่ต้องประหยัดแล้ว ให้ขึ้นเครื่องมา”

พิมพ์ดาวเอ่ยถามเรื่องตรีภพกับมาราลิน
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณตรีกับคุณลินซี่กันแน่คะ”
มีมี่ มูมู่ตาโต
“หนูว่าทั้ง 2 คนต้องแอบไปฟีจเจอริ่งกันแน่เลยค่ะ ก็เลยโดนผีหลอก”
“ค่ะ โบราณว่า สมสู่ไม่เลือกที่ ภูตผีประสมโรง”
พิมพ์ดาวอึ้ง แพทจับแขนไว้ ถลึงตามองมีมี่ มูมู่
มีมี่ มูมู่ รู้ตัวพลิกลิ้น
“หรือไม่ก็ไปต่อบทกันเฉยๆ ค่ะ”
“ค่ะ ค่ะ ต่อบทเข้าหอค่ะ”
แก้วก้าวมาทำท่าขรึม เย็นชา ซ่อนความหนักใจไว้ ฐาปกรณ์ลุกขึ้น
“ไอ้.. คุณแก้ว หมอว่ายังไงบ้างครับ”
“นายตรีศีรษะกระทบกระเทือน หมอให้รอดูอาการ แล้วก็พักผ่อนก่อนซัก 2-3 วัน”
พิมพ์ดาวโล่งอก
“แล้วลินซี่ล่ะ”
“เธอมีอาการหวาดผวาหนักมาก หมอแนะนำให้ไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล”
ทุกคนหนักใจไปตามๆ กัน
แก้วเดินไปยังหน้าต่าง มองไปยังทิศของคุ้มร้างแล้วถอนใจอย่างหนักหน่วง

พิมพ์ดาวกับแพทพากันมาอยู่ในบริเวณทางเดินของโรงพยาบาลเอกชนประจำจังหวัด สถานที่รักษาตัวของตรีภพและมาราลิน สองสาวค่อยๆ โผล่หน้าเข้าไปในห้องคนไข้ห้องหนึ่ง ที่มีเสียงบีบีดังแปร๋นลั่นห้องอยู่
“ฉันไม่ยอมนะยะ น้องป่วยแบบนี้เสียหายหลายล้าน”
“อ้าว พูดยังงี้ก็ไม่ถูกนะครับ ไอ้คนที่เสียหายหลายล้านน่าจะเป็นผมมากกว่า” ฐาปกรณ์โมโห
พิมพ์ดาวกับแพทก้าวเข้าไปเงียบๆ เห็นบีบีกำลังฟาดงวงฟาดงา กับฐาปกรณ์และมาดามสุ
“ยังไงก็เป็นความผิดพวกคุณ มีอย่างเหรอ อยู่ดีไม่ว่าดี ที่ให้ถ่ายมีเยอะแยะไม่ไปดันมาถ่ายกันที่คุ้มผีสิง”
ฐาปกรณ์กับมาดามสุอ้ำอึ้ง
“แหม ผีเผออะไรกันคะ น้องอาจจะแค่ประสาทหลอน”
“จะมาโทษว่าน้องเสพยาเหรอ ไม่มีนะยะ” บีบีบอก
“แล้วถ้าจะโทษผี ทำไมคนอื่นเค้าอยู่กันได้อยู่กันดี ไม่เห็นเขาเจอ ทำไมต้องเป็นเด็กคุณ”
บีบีอึ้งไป
สุชาดาได้ที “ใช่ค่ะ แล้วดึกดื่นตีหนึ่งตีสองทำไมไม่อยู่ห้อง ออกไปแร่.. เอ๊ย แร่ออกไปทำอะไรกับน้องตรี”
พิมพ์ดาวมองดูบนเตียงคนไข้ เห็นมาลารินให้น้ำเกลือ ให้เลือด ให้เกลือแร่ระโยงระยาง หน้าซีด ปากแตงระแหง ผมฟูเต็มหมอน แถมยังมีสายรัดผูกข้อมือ ข้อเท้ากับเตียง
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ไม่รู้ล่ะ ฉันจะฟ้อง”
ฐาปกรณ์ย้อน “ฟ้องใคร ฟ้องผีเหรอ”
บีบีร้องกรี๊ด เต้นเร่าๆ “เด็กฉัน ฉันไม่ยอม ฉันเป็นห่วงน้อง”
พิมพ์ดาวขึ้ยนเสียง “นี่ คุณบีบีคะ ถ้าคุณห่วงลินซี่จริงก็เงียบๆ หน่อยเถอะค่ะ”
บีบีอึ้ง ค้อนพิมพ์ดาว
ฐาปกรณ์เห็นด้วยบอก “ใช่”
“พี่ฐาก็เหมือนกันค่ะ ถ้าจะทะเลาะกันไปทะเลาะข้างนอกเถอะค่ะ”
ฐาปกรณ์อึ้ง มาดามสุตาเขียว พิมพ์ดาวไม่สน พิมพ์ดาวกับแพทมองดูอาการมาลาริน
พบว่ามาลารินรู้สึกตัว กระสับกระส่าย ลืมตาขึ้น
“คุณลินซี่คะ”
มาลารินมองมา เห็นใบหน้าพิมพ์ดาวเลือนไปกลายเป็นหน้ายอดหล้า แล้วเลือนอีกเป็นอสูรกายยื่นหน้ามา
มาลารินผงะ ตาเหลือกลาน ดิ้นรน
“แอร๊ย กลัวแล้ว กลัวแล้ว”
บีบีก้าวไป ทำตาเขียวใส่พิมพ์ดาว “ถอยไป อย่ามาทำแสนดีแถวนี้”
ตาทองกับสายใจเข้ามา ตาทองถือสร้อยสายสิญจน์ สายใจถือขวดน้ำมนต์
“อะไรอีกล่ะ ไม่เอา งมงายกันไปใหญ่แล้ว”
“พี่ฐาลองดูเถอะค่ะ วันก่อนยังได้ผลเลย” แพทบอก
มาดามสุพยักหน้าให้ฐาปกรณ์ยอม
“ช่วยน้องด้วยเถอะค่ะ น่าสงสารเหลือเกิน ลูกขา” บีบีขอร้อง
ตาทองเข้าไป เอาสายสิญจน์สวมคอให้ มาลารินนิ่ง ทุกคนคลายใจคิดว่าได้ผล
สายใจเข้าไปเอาน้ำมนต์ใส่แก้ว จะให้มาลารินดื่ม ทันใดมาลารินก็หวีดร้องแอ่นตัว มือข้างหนึ่งหลุด กระชากสายสิญจน์ออก แล้วตบปัดแก้วน้ำมนต์แตกกระจาย เข็มน้ำเกลือฉีกเลือดกระเซ็นไหลไปทั่วห้อง
มาลารินกรี๊ด “แอร๊ย...กลัวแล้ว อย่าทำฉัน”
บีบี แพท มาดามสุ ตกใจร้องกรี๊ด พยาบาลเข้ามาละล้าละลังอีกคน
“เจ้านางยอดหล้า อย่าทำฉันเลย”
คนอื่นไม่เข้าใจ แต่พิมพ์ดาวนิ่งงันไป

ตรีภพยืนเกาะระเบียงห้องคนไข้ ศีรษะพันผ้าพันแผล พิมพ์ดาวมีสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวมาในห้อง ตรีภพหันมา
“อ้าว คุณ”
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ผมหัวแข็งจะตาย ไม่เป็นไรหรอกฮะ แต่หมอให้รอดูอาการคืนนึง พรุ่งนี้ก็กลับได้”
ตรีภพกลับมาที่เตียง พิมพ์ดาวนั่งลงบนเก้าอี้
“ฉันเพิ่งไปดูคุณลินซี่มา อาการเธอไม่ดีเลย เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตรีภพร้อนตัวเล็กน้อย
“ผมไม่รู้จริงๆ นะฮะ เมื่อคืนผมอ่านบทอยู่คนเดียวในห้อง แล้วก็มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเช้า ตอนที่มีคนมาเจอ”
“นี่คุณละเมอเดินอีกแล้วหรือ”
“คงอย่างงั้นฮะ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณลินซี่”
“คุณลองนึกอีกทีซิ คุณฝันอะไรแปลกๆ ด้วยหรือเปล่า”
ตรีภพครุ่นคิด
“ไม่มีนี่ฮะ ผมไม่เห็นฝันอะไร หรือไม่ก็ฝันแต่จำไม่ได้ แต่เอ๊ะ ผมนึกออกแล้ว เมื่อคืนผมได้ยินเสียงซึง”
“เสียงซึง”
“ฮะ เสียงซึงเล่นเพลงดวงดาว...แล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกตัวอีก”

พิมพ์ดาวเริ่มแน่ใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไร

อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น