xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5

ร่างเจ้านางยอดหล้าร่วงหล่นจากผา ดวงหน้าขมขื่น รวดร้าว เคียดแค้น ระคนกัน ผมยาวต้องลมสยายไปในอากาศ ภาพเหตุการณ์หวานชื่นกับหลวงเทพผุดพร่างขึ้นมาเป็นระลอกๆ

ทั้งเหตุการณ์ที่ริมธารน้ำ หลวงเทพประคองยอดหล้าไว้ ยอดหล้ายิ้มเศร้า
อีกเหตุการณ์ ตอนอยู่ในเรือบนแม่น้ำปิง หลวงเทพพูดบทกลอนหวานซึ้ง ยอดหล้านึกแล้วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
จนสุดท้ายเป็นเหตุการณ์ตอนยอดหล้าเล่นซึงกล่อมหอ ส่วนในเรือนนอนห้องหอ หลวงเทพ และดารารายตระกองกอดกัน นึกแล้วใบหน้ายอดหล้าพลันเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นแสนสาหัส
ร่างยอดหล้าร่วงลงไปกึ่งกลางความสูงของผา ใกล้จะตกกระแทกในวังน้ำและโขดหินเบื้องล่าง
ทันใดนั้น มีกระแสพลังสายหนึ่งแผ่มาจากผาน้ำตก เข้าปะทะร่างยอดหล้าจังๆ ยอดหล้าผวา พบว่าตนเองลอยคว้างอยู่กลางอากาศ เสียงกังวานเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นจากผาน้ำตก
“ชีวิตเป็นของมีค่ายิ่ง เจ้านางน้อย”
ที่แท้เป็นเสียงของนักบวชหนุ่ม เถรกระอ่ำ นั่นเอง
ยอดหล้าพิศวงงงงวยยิ่งนัก
“นี่อะไร ผู้ใดกลั่นแกล้งข้า”
“เจ้าต่างหากที่กลั่นแกล้งทำร้ายตนเอง”
“ท่านเป็นใคร ท่านอยู่ตรงไหนกัน”
“ข้าอยู่นี่ เจ้านางน้อย”
ยอดหล้ามองไปแล้วตกตะลึง เมื่อสายน้ำตกตรงหน้า คล้ายมีใครผู้หนึ่งอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นคล้ายก้าวจากม่านน้ำตก จนพ้นสายน้ำออกมา
ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม สูงใหญ่ ดวงตาเจิดจ้า แต่เปี่ยมด้วยเมตตา ท่อนล่างนุ่งผ้าหยักรั้งสีขาว แต่คลุมร่างด้วยผ้าขาวผืนใหญ่คล้ายนักบวช ทั้งร่างนั้นแห้งสนิท ไม่เปียกน้ำแม้แต่น้อย
ยอดหล้าเบิกตากว้าง
นักบวชรูปงามท่านนั้นยิ้มอย่างการุณย์ ขณะยื่นมือมา
ยอดหล้าลังเลนิดหนึ่ง แล้ววางมือลงในมือชายผู้นั้น นักบวชกุมมือยอดหล้าไว้ แล้วหมุนกายดึงยอดหล้าเข้าสู่สายน้ำตก ร่างทั้งคู่กลืนหายไปในสายน้ำ

ธารน้ำตกเป็นม่านหนา ไหลพรั่งพรูไม่ขาดระยะ เถรกระอ่ำจูงมือยอดหล้าก้าวผ่านสายน้ำนั้นมา แต่ร่างของทั้งคู่กลับแห้งสนิท เถรกระอ่ำพายอดหล้าก้าวลงบนพื้นหิน แล้วก้าวนำไป ยอดหล้ายังคงพิศวงมองดูรอบกาย เอามือยื่นระสายน้ำ มือก็เปียกปอน แล้วหันมาเดินเข้าไป
หลังม่านน้ำตกเป็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ในนั้นมีแท่นหิน เถรกระอ่ำนั่งขัดสมาธิอยู่ หน้าแท่นมีกระถางไฟ ยอดหล้าก้าวมา แล้วทรุดลงกราบกับพื้น แล้วเงยหน้าขึ้น น้ำตาร่วงริน
“ท่านอาจารย์ ท่านขัดขวางข้าทำไมเจ้า”
“ชีวิตนี้สั้นนัก ใยต้องตัดรอนมันอีกเล่า”
“แต่ชีวิตข้าไม่เหลือแล้ว คนที่ข้ารักยิ่งชีวิตกลับทอดทิ้ง แปรใจไปจากข้า”
เถรกระอ่ำแย้มยิ้มนิดหนึ่ง
“คู่หมั้นของเจ้าหาได้แปรใจไปจากเจ้าไม่ จงดูเองเถิด”
เถรกระอ่ำ ยื่นมือมาโบกเหนือกระถางไฟ พริบตานั้นไฟที่ลุกโพลงอยู่พลันเปลี่ยนสี ยอดหล้าตกตะลึง
ในเปลวไฟ ปรากฏภาพครูบาสรีร่ายเวทย์ แล้วกลายเป็นภาพดารารายอาบน้ำมันว่าน จากนั้นจึงเห็นเป็นภาพหลวงเทพภักดีถูกสะกดลุกขึ้น
ยอดหล้าผงะ เบิกตากว้าง ไฟนั้นเปลี่ยนเป็นปกติ
“น้องข้าให้ครูบาสรีทำเสน่ห์อย่างงั้นหรือ”
“อำนาจอาคมนั้น ครอบคลุมทั้งกายและจิตของคู่หมั้นเจ้า”
ยอดหล้าคลายความขมขื่น ใจชื้นขึ้น เมื่อรู้ว่าหลวงเทพไม่ได้สิ้นรักตน
“พี่เทพ พี่ไม่ได้หมดรักข้า”
“แต่สิ่งหนึ่งที่แม้แต่น้องเจ้าก็ไม่รู้คือ อำนาจมนต์เสน่ห์นั้นแรงกล้า หลวงเทพจักหมกมุ่นเมามัวอยู่ในกามคุณ”
เถรกระอ่ำโบกมืออีก ไฟนั้นพลันเปลี่ยนสีไปอีกคำรบ
ภาพในเปลวไฟ เป็นภาพเตียงนอนในเรือนหอ หลวงเทพภักดีกอดจูบซุกไซ้ดารารายไปมา ดารารายแหงนเงยหน้า หัวเราะระริก หลวงเทพเงยหน้าขึ้นมองดารารายอย่างลุ่มหลง อนิจจาใบหน้าที่งดงามหล่อเหลา บัดนี้กลับทรุดโทรมไปถนัด ขอบตาคล้ำ แก้มตอบ แล้วมีใบหน้าปีศาจร้ายซ้อนวูบขึ้น
ยอดหล้าผงะ เถรกระอ่ำถอนใจ ยอดหล้ามองต่อไป
ภาพนิมิตในเปลวไฟ เป็นภาพของหลวงเทพภักดีนอนอยู่คนเดียวบนพื้นเรือน ใบหน้าซูบจนเหลือแต่หนังหุ้มกะโหลก ตัวผอมบางแทบติดกระดาน แต่ยังกระสับกระส่าย ปากเรียกชื่อดารารายอยู่ตลอดเวลา
ดารารายก้าวมามองดูหลวงเทพภักดีอย่างขยะแขยง หลวงเทพเห็นก็ไขว่คว้า ดารารายขยับหนี หลวงเทพคว้า กอดเท้าไว้ ร่ำร้องเรียกชื่อ พร่ำบอกรัก ดารารายขยะแขยง ชักเท้าหนี หลวงเทพไขว่คว้า ดารารายสะบัด หลวงเทพผงะหงายไปชนตั่ง เลือดไหลพรูจากปาก จมูก แล้วภาพเลือนไปในเปลวไฟ
ยอดหล้ายกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง ตัวสั่นเทา แล้วเงยหน้ามองเถรกระอ่ำ
“พี่เทพ พี่เทพ ข้าจะไปช่วยพี่เทพ”
“เจ้ายังมีเวลาถึง 12 ดวงเดือน ภาพที่เจ้าเห็นยังไม่ได้เกิดขึ้น”
“แต่ข้ารอไม่ได้”
เถรกระอ่ำดวงตาเป็นประกาย
“ผู้จะทำการใดให้สำเร็จ ผู้นั้นต้องรู้จักรอ รอจนกว่าจะพร้อม รอจนกว่าการณ์นั้นจะสุกงอม”
“ท่านให้ข้ารออันใด” ยอดหล้าร้อนใจ
“อาคมของครูบาสรีแรงกล้าอำมหิต เจ้าจะต้องมีวิชาติดตัวจึงจะล้างอาคมนั้นได้”
“แล้วจะทำเช่นไร ข้ามิได้เป็นผู้วิเศษเช่นท่าน”
“ข้ามิได้เกิดมาเป็นผู้วิเศษ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และฝึกฝน”
“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดสอนข้าด้วย ข้าจักเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้าจักไม่ย่อท้อ ท่านอาจารย์”
เถรกระอ่ำมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วเยื้อนยิ้มบางๆ พยักหน้ารับคำ

ยอดหล้ายิ้มตอบแล้วก้มลงกราบ

อ่านมาถึงตรงนี้ มีการเบรกพักครึ่งของการรีดทรู มาดามสุหันไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บันเทิงอยู่ มาลาริน และบีบีนั่งอัพรูปลง Instagram แพท รัก และลูกกบ นั่งสุมหัวดูข่าวบันเทิงในไอแพด กินกาแฟ ขนมกันที่โต๊ะกาแฟหน้าทีวี

พิมพ์ดาวยืนชงกาแฟที่โต๊ะมุมห้อง ตรีภพ กับ ฐาปกรณ์ ตามมาชงกาแฟด้วย
พิมพ์ดาวมองบทในมือ มีสีหน้าครุ่นคิด ตรีภพเมียงมอง
“มีอะไรหรือคุณ”
“คะ?”
“ผมรู้สึกเหมือนคุณมีอะไรอยู่ในใจ”
พิมพ์ดาวนิ่ง ฐาปกรณ์มอง
“พูดมาเถอะหนูพิมพ์”
“พิมพ์ไม่ได้เรื่องมากนะคะ แต่พิมพ์ว่าบทดารารายดูแปลกๆ”
ฐาปกรณ์สนใจ “ยังไงล่ะหนู”
“พิมพ์ว่าบทดารารายน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ค่ะ เช่น ความสัมพันธ์กับพี่สาว หรือกับตัวหลวงเทพ”
ตรีภพเย้า “กลัวบทน้อยหรือคุณ”
ว่าพลางตรีภพมองขำๆ พิมพ์ดาวมีสีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่นะ ฉันแค่...”
มีเสียงกรี๊ดดังขัดขึ้น ทุกคนตกใจ เหลียวขวับไปมองมาลาริน
“มีอะไรหรือหนูลินซี่” สุชาดางง
“ลินซี่กลัวน่ะค่ะ นี่ลินซี่ต้องเล่นกับตัวประหลาดตัวนี้ด้วยเหรอคะ”
“ตัวอะไรหรือคะ ลูกขา” บีบีตามลูกสาวจอมแอ๊บไม่ทัน

ที่แท้มาลารินอ่านและอินกับบทตอนต่อมา
ริมลำธารยามเย็น ร่างกำยำเปลือยท่อนบนนั้นมีผมกระเซิง มีขนลามทั้งอก ไหล่ และแนวสันหลัง ดวงตาสีเหลืองลุกเรือง โหนกแก้มรั้งขึ้นเป็นสันกระดูก ปากแสยะเห็นเขี้ยว มันยืนโยกตัวคล้ายงูชูคอ มีเลือดหยดจากเขี้ยวเป็นระยะ
นางผัน นางเผื่อน ยืนกอดกันตัวสั่นก้มลงดู เห็นว่าขาของตัวประหลาดนั้นมีขาเดียว
“ผีขาเดียว!” ผันตะโกน
สองนางตะกายลุกวิ่งหนี ผีขาเดียวมองตามแล้วดีดตัวขึ้น ร่างมันข้ามหัวสองนาง โดดลงตรงหน้า นางผัน นางเผื่อนชะงัก ผีขาเดียวกระโดดหันขวับมา กางมือออก มือนั้นมีกรงเล็บยาว ยื่นเข้าใส่นางผัน นางเผื่อน
“อย่าทำข้าเจ้า ข้าเจ้ายังไม่มีผัว”
ผันด่าเพื่อน “อีวอก อีตอแหล”
ผีขาเดียวชะงัก สองนางใจชื้น ผีขาเดียวทำอาการคล้ายขย้อน พ่นควันออกจากปาก ควันนั้นเข้าปะทะหน้านางผัน นางเผื่อน ล้มตึงลง นอนเหยียด ขยับกายไม่ได้ แต่ตาลืม ยังรู้สึกตัว ลิ้นแข็งร้องอืออา ไม่สามารถออกเสียงได้
ผีขาเดียวกระโดดอีกพรวดหนึ่งลงตรงหน้าสองนางแล้วหดกายลง สองนางร้องอืออา ผีขาเดียวเลิกซิ่นนางผัน แล้วยื่นหน้ามา เขี้ยวเตรียมเจาะเส้นเลือดใหญ่โคนขา นางผันตาเหลือกลนลาน นางเผื่อนร้องอื้ออ้า ผีขาเดียวแสยะเขี้ยวจะฝังลง
ทันใดมีแสงจ้าวาบขึ้น ผีขาเดียวกระเด็นหวือไป กระแทกกับพื้นหิน แตกแยก ฝุ่นคลุ้ง นางผัน นางเผื่อนเอียงหน้ามอง เห็นยอดหล้าก้าวมายืนมั่งคง
ผีขาเดียวพลันตะกายลุก ดวงตาลุกโพลงโกรธเกรี้ยว
ยอดหล้ามองดูมัน มีอาการหวาดหวั่น ลังเลบ้าง
“ไป เจ้าผีชั่ว”
ผีขาเดียวคำราม แล้วกระโดดพรวดเดียวก็ลอยคว้างมาตรงหน้ายอดหล้า
เสียงสอนสั่งของเถรกระอ่ำดังก้องขึ้น “สำรวมจิตเจ้าให้เป็นหนึ่ง”
ยอดหล้าจิกหัวแม่เท้ากับพื้นหิน หลับตาลง ผีขาเดียวยังคงลอยคว้างอยู่ กรงเล็บยื่นมาช้าๆ
ยอดหล้าพลันลืมตาขึ้น ดวงตานั้นเปี่ยมอำนาจพลังจิต
กรงเล็บและเขี้ยวผีขาเดียวแตกหักกระจายออก ร่างมันลอยหวือไปกระแทกโขดหินใหญ่ รูดลงกับพื้น นางผัน นางเผื่อนขยับตัวได้ ลุกขึ้นดูอย่างไม่เชื่อสายตา
ยอดหล้าก้าวไป ผีขาเดียวดิ้นรนตะกายลุก เลือดสีเขียวไหลจากหู ตา จมูก ยิ่งดูน่าขยะแขยง
“เจ้าจะไปหรือไม่”
ผีขาเดียวก้มหน้า มีอาการยอมแพ้
“เจ้านางเจ้า” ผันดีใจระคนแปลกใจ
ยอดหล้าหันมาดู 2 นางบริวาร
ผีขาเดียวเงยหน้า ดวงตาเจิดจ้า มันลอยตัวขึ้น พุ่งใส่ยอดหล้าเต็มแรง นางผัน นางเผื่อน ร้องกรี๊ด ผีขาเดียวพุ่งวาบลง
ยอดหล้าหันขวับไป ดวงตาเจิดจ้า เหี้ยมโหด
ร่างผีขาเดียวลอยคว้างกลางอากาศ มันผงะ เกิดรอยแยกไปทั่วทั้งร่างน่าเกลียดนั้น ผิวหนังปริ ในรอยแยกคล้ายมีไฟสุมอยู่ภายใน
ยอดหล้ายิ้มเหี้ยมเกรียม ร่างผีขาเดียว พลันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษเลือด เนื้อ เครื่องใน เมือก เลือดสีเขียว ตกลงใส่นางผัน นางเผื่อน

เวลาเดียวกัน บนโขดหินใหญ่ไม่ไกลนัก เถรกระอ่ำยืนมองอย่างพอใจ
“ข้าคิดไม่ผิด ที่ถ่ายทอดอาคมให้เจ้า”
ยอดหล้ายิ้ม นางผัน กะ นางเผื่อน มองเถรกระอ่ำอย่างงงๆ
เถรกระอ่ำขยับตัว วูบเดียวก็มายืนต่อหน้ายอดหล้า นางผัน นางเผื่อนอ้าปากค้าง
“ข้ายังอ่อนหัดนักเจ้า”
“รู้หรือไม่ว่าเจ้ามีสมาธิบารมีสั่งสมมาแต่ปางก่อน เจ้าจึงเรียนรู้ได้ง่ายดายเพียงนี้ สิ่งที่ข้าฝึกเป็นปี เจ้าทำได้ในเดือนเดียว”
ยอดหล้ายิ้ม พนมมือ เถรกระอ่ำ มองศิษย์ด้วยดวงตามีแต่แววชื่นชม
“หากเจ้าได้ฝึกฝนต่อไป แม้แต่ข้าเองก็ต่อกรเจ้าไม่ได้”
“ท่านอาจารย์มีบุญบารมี ไม่มีผู้ใดมีชัยต่อท่านได้ดอก”
นางผัน และนางเผื่อน ลุกขึ้นพนมมือ มองดูเถรกระอ่ำ ทั้งเลื่อมใสและหลงใหล

“เจ้านางเจ้า ทางโน้นมีคน”

อ่านต่อหน้า 2

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5 (ต่อ)

ยอดหล้ากับเถรกระอ่ำก้าวมา มองดูร่างเหยื่อของผีขาเดียว เห็นศพนั้นหลับใหล มีเลือดไหลจากโคนขาด้านใน

ยอดหล้าฉงน “ท่านอาจารย์ ผีขาเดียวนี้มาจากที่ใด”
กระอำบอกด้วยน้ำเสียงสังเวชใจ “ครูบาสรีปลุกพวกมันขึ้นมา เลี้ยงมันเป็นข้ารับใช้”
“ข้า ข้าต้องบอกเจ้าพ่อให้กำราบครูบาทุศีลผู้นี้เจ้า”
“อย่าเพิ่ง ยังไม่ต้อง ตอนนี้เจ้ามีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องกระทำ”
“สิ่งสำคัญกว่า อันใดเจ้า”
“เมืองใต้ใกล้มีงานพิธี เจ้าพ่อเจ้า ต้องลงไปถวายบรรณาการ เจ้ายังต้องให้ข้าบอกอีกหรือไม่ ว่าสิ่งสำคัญใดที่เจ้าต้องกระทำ”
“ถึงเวลาแล้วใช่ไหมเจ้า”
ยอดหล้าดีใจ เบิกตากว้าง เถรกระอ่ำยิ้ม
“ถึงเวลาแล้ว”
ยอดหล้ามีสีหน้าขรึมลง ความขมขื่น ความเจ็บแค้น ความอาฆาตพยาบาท แล่นลิ่วเข้ามาในใจ

ในเวลาต่อมาเจ้านางยอดหล้า รับฟังและจดจำคำบอกเล่าของเถรกระอ่ำ จนเห็นภาพเหตุการณ์เด่นชัด

ภาพพระบรมมหาราชวัง อันมลังเมลือง ปรากฏขึ้น เป็นวันเวลาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
“เมื่อไปถึง พ่อเจ้ากับเจ้าจะไปพักในเรือนรับรองของพระยาพิชิตชัย”
หมู่เรือนไทยงดงามใหญ่โตริมคลองบางหลวง ปรากฏตามมา
ส่วนที่ศาลาและบันไดท่าน้ำของเรือนพระยาพิชิตชัย คุณเพ็งผู้มีใบหน้าเหมือน พิมพ์เดือน น้องสาวของพิมพ์ดาวในภพปัจจุบัน ท่าทางรื่นเริง นั่งร้อยมาลัย พูดคุยกับคุณหญิงอำภา ที่มีใบหน้าเหมือน จันทรา มิผิดเพี้ยน มีนางต้นห้องของทั้งคู่ ชื่อนางนิ่มกับนางนวล เป็นแม่ลูกกัน คอยดูแล
“แต่เจ้าต้องระวังให้ดี”
ยอดหล้ามองดู
“เพราะน้องสาวเจ้าได้ใช้ว่านยาอาคมของครูบาสรี กล่อมจิตคนทั้งบ้านให้เป็นพวกนางแล้ว”

ภายในเรือนครัวยามนั้น ปรากฏให้เห็น ดารารายกับนางทิพย์กำลังหุงต้มแกงอยู่ที่เชิงกราน ส่วนที่หน้าประตู นางทิมดูต้นทางท่าทีลอกแลกอยู่
ดารารายล้วงมือในร่องอก หยิบว่านยาออกมาร่ายเวทย์ แล้วเอาแท่งว่านยาลูบไล้ปาก แก้ม ซอกคอ ไล่เรื่อยมาที่อก ลดต่ำไปเบื้องใต้ นางทิพย์ นางทิมดู แล้วดารารายก็บิหักว่าน มันสลายเป็นผงสีดำโปรยลงในอาหาร
ตรงยกพื้นชานเรือน พระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง หลวงเทพ ดาราราย ล้อมวงกินสำรับ มีบรรดาบ่าวต้นห้องคอยรับใช้ ดารารายเคลียคลอหลวงเทพ พูดจาเอาใจคนโน้นคนนี้ ทุกคนรักใคร่ดาราราย

ส่วนที่ศาลาท่าน้ำตอนกลางวัน พระยาพิชิตชัย และคนสนิท พาเจ้าแสงอินทร์ ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน ขุนหาญ และทหารผู้ติดตามสองคนขึ้นจากเรือมีประทุนใหญ่ สู่ศาลาท่าน้ำ
โดยบนศาลา คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง ยืนรออยู่ นางทิพย์ นางทิม นางนิ่ม นางนวล คุกเข่าอยู่กับบ่าวผู้ชายที่พื้น มีการไหว้ กราบ ทักทายปราศรัยกัน นางทิพย์ นางทิม กราบทูลว่าหลวงเทพป่วย ดารารายรอในเรือ
ยอดหล้าก้าวมามองดูหมู่เรือนไทยตรงหน้า
“วันที่เจ้าไปถึง ข้าจักร่ายเวทย์ช่วยเจ้า”

เถรกระอ่ำยืนโดดเด่นอยู่บนยอดผาน้ำตก โอมอ่านอาคม เหนือขึ้นไป เมฆฝน พยับโพยม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมพัดจนผ้าคลุมขาวปลิวไสว
เถรกระอ่ำลืมตา ยิ้มอย่างการุณย์

เรือนหลวงเทพอยู่ปีกหนึ่งของหมู่เรือน หลวงเทพแต่งตัวในชุดข้าหลวง เตรียมจะเข้าวัง ดารารายแต่งกายงดงาม นางทิพย์ นางทิม ออกมาจากเรือนนอนสู่ชาน
จู่ๆ เกิดแสงจ้าวูบหนึ่ง หลวงเทพซวนเซ หน้ามืดล้ม ดารารายประคองไว้ กรีดร้องด้วยความตกใจ
เสียงเถรกระอ่ำดังก้องขึ้นในความสงัดเงียบนั้น
“อาถรรพ์ของครูบาสรีจักต่อต้าน หลวงเทพจักล้มป่วยลง”

หมู่เรือนบ้านพระยาพิชิตชัยตกอยู่ในความมืด บรรยากาศดูเงียบสงัด ต่ำลงมายังมีบ่าวไพร่ชาย 3-4 คน นั่งดื่มเหล้ากันเงียบๆ มีแสงไฟจากไต้ตามไว้เป็นระยะ
ที่เรือนรับรองอีกปีกหนึ่งของเรือน ยอดหล้าแต่งชุดดำกลืนกับความมืด มีผ้าคลุมไหล่สีเข้มตวัดคลุมศีรษะ
“เมื่อตกดึก เจ้าจงนำผอบมังคลานี้”
ในมือยอดหล้ามีผอบโลหะ มีรอยจารึกดูเข้มขลัง
“ไปฝังลงในดินใจกลางหมู่เรือน”
ยอดหล้าก้าวลัดเลาะไปตามเสาเรือน ที่กลุ่มบ่าวไพร่ มีบ่าวคนหนึ่งหันมาเห็น ก็ร้องว่าใคร แล้วชวนพวกลุกมาดู คว้าไต้มาส่องดูกันวุ่นวาย
ยอดหล้ายืนนิ่ง สำรวมจิตแล้วเป่าไป กลุ่มบ่าวไพร่เดินผ่านยอดหล้าไปโดยไม่เห็น
ที่พื้นดิน ถูกขุดเป็นหลุมลึกราว 1 ศอก ยอดหล้าคุกเข่าอยู่ วางผอบลง
เสียงเถรกระอ่ำดังก้องขึ้นในความคิดอีก
“อาถรรพ์ของครูบาสรีจักจางลง หลวงเทพจักพื้นคืนจากเสน่ห์ยาแฝดของน้องเจ้า”
ยอดหล้ากลบดิน เงยหน้าขึ้นอย่างพอใจ

คืนนั้นหลวงเทพภักดีนอนอยู่บนเตียงไม้ ดารารายนอนอยู่เคียงข้าง หลวงเทพใบหน้าดูเครียดคล้ำ ปากซีด มีลมวูบหนึ่งพัดมาจนมุ้งผ้าโปร่งปลิวไสว
ใบหน้าหลวงเทพกลายเป็นสดใสอิ่มเอิบ หลวงเทพลืมตาขึ้น แล้วยันกายขึ้น มองดูรอบๆห้อง มองดูดาราราย มีอาการสับสนงุนงง คล้ายเพิ่งตื่นจากความฝัน
ดารารายลืมตา ลุกขึ้นมา แตะแขน
“พี่เทพ เป็นยังไงบ้างเจ้า”
“ปล่อย! พี่ร้อน ออกไปห่างๆข้า”

ดารารายแปลกใจ ที่ท่าทีหลวงเทพภักดีกลายเป็นฮึดฮัดขัดใจ

ดวงตายอดหล้าวาววาม ขณะนั่งอยู่หน้าคันฉ่องในห้องนอน นางมองดูเงาสะท้อน แล้วหยิบขวดน้ำปรุงเทใส่มือ แตะแต้มตามเนื้อตัว

เสียงเถรกระอ่ำดังก้องในหู “ในคืนกาฬปักษ์ ข้าจะปรุงยาวิเศษ อันจักล้างอาคมแลอาถรรพ์ในตัวหลวงเทพให้หมดสิ้น”

เวลาเดียวกันหลวงเทพภักดีนอนอยู่บนเตียง ดารารายนอนเคียงข้าง หลวงเทพเริ่มกระสับกระส่าย

ที่ยอดผาอันหนาวเหน็บ มีที่ราบกว้าง มีต้นสนขึ้นอยู่ตามลำพังต้นหนึ่ง เถรกระอ่ำก้าวมายืน แล้วโอมอ่านมหาเวทย์ บนท้องฟ้ามืดมิด เกิดมีเมฆดำเคลื่อนปั่นป่วน เสียงบริกรรมคาถา เสียงฟ้าคำรณระคนกัน ฟังดูเปี่ยมพลังอำนาจ
เถรกระอ่ำ แบมือออก ในมือมียาเม็ดสีเขียวเม็ดหนึ่ง แล้วกำมือไว้ โบกมืออีกมือหนึ่ง ร่ายมนต์ ดวงตาเจิดจ้า ทันใด ต้นสนใหญ่ก็ลั่นคึก ลำต้นสั่นไหว แล้วยอดสนก็โน้มลง ลำต้นลั่นเปรี๊ยะคล้ายจะหัก แต่กลับเหนียวแน่นอย่างประหลาด ต้นสนโน้มยอดจนลงมาดึงเบื้องหน้าเถรกระอ่ำ
เถรกระอ่ำยิ้มสุขุม วางเม็ดยาบนยอดสน ต้นสนนั้นพลันดีดยอดคืนขึ้นไป ยอดสนตวัดพายาวิเศษลอยไปในอากาศ
มองจากจากเพดานเรือน แลเห็นวัตถุสีเขียวพุ่งมาตกลงในเหยือกน้ำข้างเตียง น้ำในเหยือกแก้วพลันกลายเป็นสีเขียวเรืองจ้าไปทั้งห้อง แล้วจางลงเป็นปกติ
หลวงเทพผวาตื่น ลุกขึ้นนั่งห้อยเท้า มองดูเหยือกน้ำ พบว่าน้ำในนั้นใสบริสุทธิ์ แต่คล้ายมีสีเขียวเรืองๆ จางๆ ทาบทับอยู่
หลวงเทพภักดีรินน้ำดื่ม แล้วตัวชาวาบ ดวงตามีสีเขียววูบหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ทิ้งดารารายไว้เพียงผู้เดียว
ที่นอกชานเรือนยามนี้มีมุ้งใหญ่กางอยู่ เห็น นางทิพย์ นางทิม นอนหลับใหลอยู่บนฟูก หลวงเทพเดินผ่านสองนางข้าไทไป
หลวงเทพเดินเข้ามาในสวน เงากิ่งไม้ ใบไม้วูบวาบ ทาบลงมาบนตัวหลวงเทพ
ขณะเดียวกันที่หน้าคันฉ่องในห้องนอน ยอดหล้าเกล้าผมขึ้นปักดอกไม้ขาว ทิ้งปลายผมลงเคลียบ่า ไม่สวมเครื่องคำใดๆ มีเพียงผ้าคาดอกกับซิ่นสวยผืนงาม
ลมยามดึกพัดมาโลมกาย ม่านบางและมุ้งไหวไปมา ยอดหล้าหันไปที่ประตู ที่หน้าประตู นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่ ยอดหล้าพยักหน้าให้ สองนางข้าไทเปิดประตู หลวงเทพยืนอยู่ ดวงตาวาววามด้วยความรัก ยอดหล้าสบตาหลวงเทพ แล้วหันกลับไปหาคันฉ่อง พลางหวีปลายผม หลวงเทพก้าวมาหาช้าๆ
นางผัน นางเผื่อน หัวเราะคิกคัก คลานออกไป ปิดประตูลง
หลวงเทพนั่งลงข้างหลังยอดหล้า สบตากับยอดหล้าในกระจก แล้วจับปอยผมขึ้นมาแตะจมูก
“เจ้านาง คืนนี้ท่านงามเหลือเกิน”
“พี่เทพเคยบอกข้าเจ้าแล้วเจ้า”
“พี่อยู่ใกล้ เหมือนอยู่กลางสวยดอกไม้”
“นั่นพี่ก็เคยบอกข้าเจ้าแล้ว”
หลวงเทพจับไหล่ยอดหล้าให้หันมา สบตาล้ำลึก
“จงบอกสิ่งที่ไม่เคยบอกข้าเจ้าบ้างเถิดเจ้า”
“พี่ผิดเหลือเกินที่ทอดทิ้งเจ้านาง”
“นั่นมิใช่ความผิดพี่หรอกเจ้า”
“เจ้านาง เจ้าคือดวงจันทราส่องสว่างกลางใจพี่”
“พี่เทพก็คือดวงตะวันแห่งชีวิตข้าเจ้า”
“เจ้านาง พี่รักเจ้าเหลือเกิน”
“ข้ารู้แล้วเจ้า ข้ารู้”
หลวงเทพภักดีประคองใบหน้ายอดหล้า โน้มลงจูบอย่างดูดดื่ม ก่อนจะซุกไซ้ซอกคอ ยอดหล้าแหงนเงยตอบรับโดยยินดี จากนั้นหลวงเทพจึงช้อนอุ้มร่างยอดหล้าตวัดขึ้นเดินพาไปที่เตียงนอน ดอกไม้ขาวร่วงลงบนพื้นเรือน

การอ่านบทในห้องอเนกประสงค์ดำเนินไป และมาหยุดลงตรงฉากนี้
เห็นใบหน้าทุกคนเรียงสลอนกันไป ตั้งแต่ฐาปกรณ์ มาดามสุ พิมพ์ดาว แพท รัก ลูกกบ และ บีบี แต่ละคนทำหน้าอึ้ง ใบ้กิน ขณะมองไปยังมาลาริน ที่ออกอาการอินจัด กำลังเคลิบเคลิ้มเลื้อยซบอกตรีภพ โดยที่ตรีภพมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ที่สุดฐาปกรณ์กระแอมขึ้น
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ พอดีลินซี่ว่าอินไปหน่อย”
มาลารินผละออกจากอกตรีภพอย่างอ้อยอิ่ง
“นี่แค่ซ้อม ไม่ต้องเยอะขนาดนั้นก็ได้” ฐาปกรณ์แดกดัน
พิมพ์ดาวหัวเราะคิกคัก ตรีภพมองตาดุใส่
“เอ้า อ่านต่อกันได้แล้วฉากที่ 17 ที่เรือนพระยาพิชิตชัย” ฐาปกรณ์บอกเสียงดัง

ทุกคนรวมตัวอยู่บนชานเรือนพระยาพิชิตชัย ในเวลาตอนกลางวัน พระยาพิชิตชัย และคุณหญิงอำภาหน้าเคร่ง เจ้าแสงอินทร์หน้าเผือด ดวงตาอับอาย หลวงเทพและยอดหล้าหมอบอยู่ตรงหน้า ส่วนทางด้านข้าง ดารารายนั่งนิ่งขึง คุณเพ็งกอดประคองไว้ บรรดาบ่าวไพร่ คนรับใช้ คนสนิทถูกไล่ไปหมด
หลวงเทพมีอาการดึงดัน ยอดหล้าดูสำนึกผิด แต่ดวงตาสมใจ ดารารายมองสามีและพี่สาวอย่างเจ็บช้ำ
“เมื่อการเป็นเช่นนี้ กระผมก็ไม่รู้จะทำอันใดได้ นอกจากจะสู่ขอเจ้านางยอดหล้าให้แต่งกับเจ้าเทพ...อีกคนหนึ่ง” พระยาพิชิตชัย
เจ้าแสงอินทร์พูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับ
หลวงเทพภักดีกุมมือยอดหล้า ดารารายมองแล้วเมินหนี คุณเพ็งบีบไหล่เบาๆ ดารารายมองดูสามีและพี่สาวอีกแวบ ยอดหล้าสบตาน้องสาวจังๆ มีแววท้าทายฉายโชนในนั้น

ดารารายตาวาวด้วยความโกรธแค้น

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5 (ต่อ)

เรือนด้านเหนือของกลุ่มเรือนหลังใหญ่ เป็นเขตแดนของเจ้านางยอดหล้า มีชานและทางเดินเชื่อมกันกับเรือนใหญ่ นางผัน นางเผื่อน กำลังทำงานบ้าน เอาของเค็มใส่กระด้งมาตากแดด แต่สายตาชะเง้อมองบ่าวชายที่รดน้ำไม้กระถาง 2 นายที่ชานเรือน

“อุ๊ย กระโถนกระไรไม่รู้ คั้น คัน”
พลางนางผันพลันถลกซิ่นขึ้นมาเหนือเข่าแล้วเกายิกๆ สองบ่าวชายมองมาอ้าปากค้าง นางเผื่อนมองนางผันอย่างดูแคลน
“ต่ำ โอย วันนี้แดดแรงนัก ร้อนกาย ร้อนอกไปหมด”
ว่าพลางก็ปลดผ้าคาดอกมาขยับคาดใหม่ สองบ่าวชายตาลุก สองนางก็เกาและก้มๆเงยๆไม่เลิก นางทิพย์ นางทิม เดินมาชะงักกึก ชนกันโครม

“ต๊าย เรือนนี้คงไม่มีใครได้กวาดได้ถู หรือไม่ก็อับลม” นางทิพย์เปิดฉากกระแนะกระแหน
นางทิมเสริม “คนที่นี่ถึงได้คัน และร้อนร่านขนาดนี้”
นางผัน นางเผื่อน สะดุ้ง แล้วลอยหน้าก้าวมาหา นางทิพย์ นางทิมก็ชูคอก้าวมาหากลัวไม่
“คิดว่าเสียงนกเสียงกาที่ไหน ที่แท้ก็...” นางผันเอาคืน
นางเผื่อนต่อให้ “เจ้าสองตัว เอ๊ย สองคนมาทำไม”
“เมื่อคืนวันคี่ แต่คุณหลวงมิได้ไปเรือนโน้น” นางทิพย์ว่า
นางทิมลอยหน้าพูดเสริม “พวกข้าจึงมาดู ว่าคุณหลวงถูกอันใดหนีบไว้”
นางผัน นางเผื่อน สะดุ้ง
“คุณหลวงอยู่เรือนนี้แล้วเย็นอกเย็นใจ ไม่เหมือนเรือนอื่นที่อยู่แล้วรุ่มร้อน” นางผันบอก
นางทิพย์โต้ “ไม่จริง พวกเจ้าใช้เล่ห์กลกักตัวคุณหลวงไว้ต่างหาก”
“ผู้ใดกันแน่ใช้เล่ห์กลมนต์คาถา” นางเผื่อนเยาะ
นางทิมแค้นแทนนาย “เจ้าว่าเจ้านางข้าทำเสน่ห์ใส่คุณหลวงหรือ”
“ใช่.. แล้วจะทำไม”
นางผันลอยหน้ายื่นไปหา นางทิมเลยตบเข้าเปรี้ยงให้จนหน้าหัน จากนั้นสองนางก็ตบตีกัน นางเผื่อนเข้าช่วย นางทิพย์ตบกันนัว กลิ้งไปมาบนชานเรือน นางผันคว้ากระจาดมาฟาด ของแห้งกระจาย นางทิมเอากระจาดฟาดหัวนางเผื่อน กระจาดลงไปติดคาคอ สองบ่าวชายยืนดูเพลิน
ดารารายก้าวมา ตวาดลั่น “หยุดนะ”
ทั้ง 4 นางหยุด ยอบตัวลงนั่งหมอบ หลวงเทพภักดีกับยอดหล้าก้าวมาจากเรือนใน ดารารายยิ้ม
“ดารา เจ้ามาทำไมที่นี่” หลวงเทพแปลกใจ
ดารารายบอก “ข้ามาตาม.. นังสองคนนี้เจ้า”
ยอดหล้าเยาะ “แน่ใจหรือว่า เจ้ามาตามแค่นังสองคนนี้”
“เจ้า ข้ามาตามแค่ ‘คนของข้า’ เท่านั้น” ดารารายย้ำ
“เอาเถอะ เอาเถอะ คืนนี้ข้าจะเตือนพี่เทพให้กลับไปเรือนเจ้า”
ยอดหล้าบอกอย่างรู้ทัน ใบหน้ายิ้มแย้ม หลวงเทพรีบสั่นศีรษะ ดารารายเม้มปากแล้วยิ้มเย้ย
“ไม่ต้องหรอกเจ้าพี่ เจ้าพี่กับพี่เทพเพิ่งข้าวใหม่ปลามัน ข้ายินดีส่งเสริมท่านสองคน”
“อย่ามาเสแสร้งทำเป็นเสียสละกับข้า”
“ข้าหรือเสแสร้ง ข้าเสแสร้งอะไร”
ยอดหล้าก้าวมาจนประชิดดาราราย พูดเบาๆ
“อย่ากล้าดีมาทำหน้าซื่อไขสือ เจ้าแย่งพี่เทพไปได้เพราะใช้เสน่ห์ยาแฝด”
“ข้าน่ะหรือ ถ้าข้าใช้จริงใยพี่เทพจึงอยู่กับท่าน”
“เพราะข้าถอนเสน่ห์เจ้าได้น่ะซี”
“อะไรนะ เจ้าพี่ทำอะไร”
ดารารายคว้าข้อมือยอดหล้าบีบอย่างแรง หลวงเทพมองดูร้องห้าม “อย่า”
“ปล่อยข้า”
“เจ้าพี่พูดมา ท่านทำอะไร”
“ปล่อย!”
ยอดหล้าสะบัดแขน ปลายนิ้วไปโดนดารารายจนหน้าสะบัด ดารารายโกรธตาวาว ตบตอบ ยอดหล้าล้มถลาไป นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิม ร้องวี้ดๆ
หลวงเทพก้าวไปตบหน้าดาราราย จนนางถลาล้ม นางทิพย์ นางทิม ต้องช่วยประคองไว้ หลวงเทพประคองยอดหล้าขึ้น ชี้หน้าดาราราย
“อย่ากล้าดีมาก้าวร้าวเมียข้า”
ดารารายทั้งตกใจและน้อยใจ “พี่เทพ”
คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง ก้าวมา พร้อมนางนิ่ม นางนวล
“หยุดนะ เจ้าเทพ”
“พี่ดารา พี่เป็นอย่างไรคะ”
คุณเพ็งเข้าไปประคองดารารายขึ้นมา ยอดหล้าสบตาน้องสาวเต็มตา

คุณหญิงอำภา คุณเพ็งนั่งอยู่ในห้องนอน โดยมีดารารายนั่งอยู่ตรงข้าม เสแสร้งร้องไห้น่าสงสาร
“พี่เทพไม่ได้กลับมาเรือนนี้ครึ่งเดือนแล้วเจ้า”
“อย่าว่าแต่เรือนเจ้า แม้งานราชการ งานเมืองก็เสียหมด”
“หรือว่าเจ้าพี่ของพี่ จะทำเสน่ห์พี่เทพให้ลุ่มหลง”
ดารารายมีพิรุธ คุณหญิงอำภาตบอก
“จริงด้วย หมู่นี้พ่อเทพดูผิดไปเป็นคนละคน”
“เราต้องรีบแก้ไขนะคะ พี่ดารา ก่อนที่พี่เทพจะเป็นอะไรไป” คุณเพ็งว่า
ดารารายเชิดหน้า ดวงตาวาววับ
“อย่าห่วงเลยเจ้า คุณเพ็ง พี่เองก็ศิษย์มีครู เรื่องนี้พี่ต้องแก้ไขได้”

ไม่นานต่อมา ภายในห้องนอนดาราราย แลเห็นดารารายลงอาบน้ำว่านในอ่าง นางผัน นางเผื่อน คอยรินน้ำว่านรดตัว ดารารายร่ายมนต์คาถาไปด้วย

พออาบน้ำว่านและแต่งตัวเสร็จแล้ว ดารารายถือขวดแก้วเล็กๆ ข้างในมีน้ำยา ดารารายยิ้มพรายสีหน้ามาดมั่น

ที่เรือนครัวยามนี้ สำรับคาวหวานจัดเสร็จแล้ว ดารารายหยดน้ำยาลงในชามขนมเป็นชามสุดท้าย

เวลาต่อมา บนชานเรือนเจ้านางยอดหล้าในคุ้มเวียงแก้ว เห็นหลวงเทพ ยอดหล้ากินอาหารอยู่ นางผัน นางเผื่อนคอยรับใช้ คุณเพ็งยิ้มระรื่น ถือถาดวางถ้วยขนมมา นางนวลเดินตาม
คุณเพ็งทำญาติดีกับยอดหล้า คะยั้นคะยอให้พี่ชายกินขนม หลวงเทพกินขนมเอาใจน้องสาว ยอดหล้าไม่รู้สึกผิดปรกติ
ตกกลางคืน หลวงเทพนอนหลับแล้ว ยอดหล้านอนเคียงข้าง จู่ๆ หลวงเทพลืมตาขึ้น
เวลาผ่านไปยอดหล้านอนหลับสักครู่จึงเลื่อนมือไปข้างกาย พบว่าว่างเปล่า ยอดหล้าลืมตา ผวาลุกพรวดขึ้น
หลวงเทพภักดีพาตัวเองมาอยู่ห้องนอนดาราราย แล้วเข้าสวมกอดดารารายจากเบื้องหลัง ดารารายทำเล่นตัว ขยับหนี ผ้าแถบหลุดติดมือหลวงเทพ ดารารายทำเอียงอาย เอามือป้องอก วิ่งไปดึงมุ้งมาบังตัว หลวงเทพผวาตามลุ่มหลง
ยอดหล้าแค้นใจ ปาขวดน้ำปรุงไปกระแทกฝาจนแตกกระจายเสียงดังโครมคราม นางผัน นางเผื่อนคอหด

บริเวณป่ากล้วยตานีหลังเรือน กล้วยตานี ยืนต้นใบดูสูงใหญ่ ยอดหล้ายืนอยู่หน้ากองไฟที่ลุกสูงราว 1 ศอก
นางผัน นางเผื่อน นั่งอยู่ที่พื้นอย่างหวาดกลัว ยอดหล้าหลับตา บริกรรมคาถา แล้วลืมตาขึ้น
กองไฟนั้นพลันปะทุเป็นลำเพลิงสูงกว่าตัวคน เถรกระอ่ำยืนอยู่กลางกองเพลิงนั้น นางผัน นางเผื่อน อ้าปากค้าง ยอดหล้ายิ้ม ทรุดกายลงกราบกับพื้น
“น้องสาวเจ้า ทำเสน่ห์ซ้ำอีกแล้ว”
“พี่เทพจะเป็นอันตรายหรือไม่เจ้า”
“ข้าจะบอกหนทางแก้ไขให้ จงฟัง”
จังหวะนี้ที่หลังต้นกล้วยต้นหนึ่ง คุณเพ็งโผล่มาแอบดู เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง นางนวลแอบดูอยู่ที่อีกต้น
ยอดหล้าพยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้า ท่านอาจารย์ผู้ทรงศีล”
“จงทำตามข้า ทุกสิ่งที่...รอคอยใกล้จะสัมฤทธิ์ผลแล้ว”
เถรกระอ่ำมีแววยินดี ปราโมทย์ แต่แล้วกลับขมวดคิ้ว
“อันใดเจ้า” ยอดหล้าฉงน
“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง เจ้านาง”
เถรกระอ่ำหายวูบไป เปลวไฟยังไม่ลดขนาดลง ยอดหล้าหันขวับมาลุกขึ้น พร้อมนางผัน นางเผื่อน
“ผู้ใด ออกมา”
นางนวลร้องวี้ดวิ่งหนีไป ยอดหล้าพลันปลดดอกไม้คำจากผม ปาไป ดอกไม้นั้นเสียบลำอด้านหลังของนางนวลทะลุหน้า ทรุดลง แล้วคว่ำหน้าลงเกาะเท้าคุณเพ็ง คุณเพ็งตกตะลึง ยอดหล้าดูศพนวลด้วยความเสียใจ
“เจ้าเองหรือ โธ่เอ๊ย”
นางผัน นางเผื่อน ดึงคุณเพ็งขึ้น ประจันหน้า ดวงตายอดหล้าเรืองแสงวาบหนึ่ง จากนั้นคุณเพ็งก็จังงังไป

คุณหญิงอำภาหน้าหมองอยู่บนชานเรือน นางนิ่มนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ที่เท้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อเทพเป็นปรกติไม่ทันไร แม่เพ็งก็มาล้มหมอนนอนเสื่อ พูดเพ้อเหมือนผีสิง”
“แต่อิฉันไม่เชื่อว่านางนวลหนีตามไอ้ยอดเจ้าค่ะ”
“ข้าก็เหมือนกัน หรือว่า...”
คุณหญิงอำภาชะงักคำพูด

ที่เรือนครัว ป้าพริ้งแม่ครัวใหญ่กับบ่าวหญิง จัดสำรับลงถาดใหญ่สำหรับ 3 เรือน นางทิพย์กับนางทิมดูอยู่
“ถาดไหนของเรือนเจ้านางดาราเจ้า ป้าพริ้ง”
“ถาดนี้ นั่นไง แกงเป็ดกับลางสาดของคุณหลวง” นางทิพย์บอก
นางผัน นางเผื่อนโผล่มา ท่าทางแตกตื่น
“ว้าย อะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี” นางทิมทักาม
“ก็ผีน่ะซี” นางผันบอก
นางเผื่อนเสริม “มีซากผีลอยมาติดท่าน้ำ”
เพียงเท่านั้น ยายพริ้งกับบ่าวก็ลุกพรวดไปดู พร้อมนางทิพย์ นางทิม
นางผัน นางเผื่อนหันไป ยอดหล้าเข้ามา นางผัน นางเผื่อนมาดูด้วย
“ชามโคมนี้เจ้า ของคุณหลวง”
ยอดหล้าหยิบขวดยาน้ำมาเทลงในชามแกง
“นั่นเจ้า ทำอะไร” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น
ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน หันไปอย่างตกใจ เห็นคุณหญิงอำภาอยู่ที่ประตู มองมาอย่างเอาเรื่อง

ไม่นานต่อมา ทุกคนรวมตัวกันอยู่บนชานเรือนพระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภาชูขวดแก้วขึ้น ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนอยู่ตรงหน้า
“นั่นคือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เจ้า ใช้แก้พิษคุณไสยทั้งปวง” ยอดหล้าบอก
คุณหญิงฉงน “คุณไสยอะไรกัน”
“น้องข้าวางยาเสน่ห์พี่เทพ ถ้าปล่อยไว้ พี่เทพจักล้มป่วยจนตายเจ้า”
คุณหญิงอำภาไม่เชื่อ “ดาราน่ะนะ ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้าต่างหากที่ทำเสน่ห์ และนี่ก็คือยาของเจ้า”
คุณหญิงอำภาเปิดขวดยาจะเททิ้ง
“คุณหญิงเจ้า อย่าเจ้า”
ยอดหล้าเข้าแย่งขวดยา แย่งยื้อมากันเหนือบันได
“ปล่อย ปล่อยข้า ว้าย”
ยอดหล้าเข้าแย่งขวดยามาได้ คุณหญิงอำภาเสียหลัก
นางนิ่มประคองคุณเพ็งออกจากเรือนในมาเห็นเหตุการณ์ตอนนี้พอดี
“คุณแม่!”
คุณหญิงอำภาตกบันได ไถลลงไปตามขั้น ศีรษะปักลงพื้นหิน คอหัก ศีรษะแตก เลือดไหลแผ่ออกมาเป็นวง ยอดหล้ายืนตะลึงอยู่ตรงหัวบันไดนั้น นางผัน นางเผื่อน ชะเง้อมองตาเหลือก
ร่างคุณหญิงอำภาแน่นิ่ง หลวงเทพภักดี ดาราราย นางทิพย์ นางทิม บ่าวชายหญิง กรูมาดู
“คุณแม่

เรือนพระยาพิชัยตั้งทะมึนในตอนกลางคืน ไฟสว่างไสว มีคบเพลิงตามจุดต่างๆเต็มไปหมด
พระยาพิชิตชัยดวงตาแดงก่ำ นั่งอยู่บนตั่ง หลวงเทพ ดาราราย อยู่ทางหนึ่ง นางทิพย์ นางทิมหมอบอยู่ ยอดหล้าอยู่ตรงหน้า นางผัน นางเผื่อนอยู่ด้านหลัง คุณเพ็งกับนางนิ่มอยู่ข้างพระยาพิชิตชัย
บ่าวชายหน้าตาเอาเรื่องนับสิบคน ถืออาวุธคุมเชิงอยู่ในระยะห่าง บ่าวชายหญิงที่ไม่เกี่ยวข้องถูกไล่ไปหมด แสงจากตะเกียงลุกวูบวาบ เกิดแสงเงาไปทั่ว
“นังยอดหล้าเป็นแม่มด มันทำเสน่ห์คุณพี่ มันฆ่านวล มันสะกดลูกให้ล้มป่วย พูดจาไม่ได้ คุณแม่สงสัยจับผิดมันได้ มันก็ฆ่าคุณแม่ปิดปากเจ้าค่ะ เจ้าคุณพ่อ” คุณเพ็งฟ้อง
หลวงเทพมองยอดหล้าอย่างไม่อยากเชื่อ ดารารายส่ายหน้าดูเสแสร้ง นางทิพย์ นางทิมพึมพำ ยอดหล้าน้ำตาเอ่อ
“ไม่จริง ไม่จริงเจ้า”
พระยาพิชิตชัยสอบถาม “ถ้าไม่จริง เรื่องทางฝั่งเจ้าเป็นอย่างไร”
“ข้ากับพี่เทพรักกัน แต่ดารารายทำเสน่ห์แย่งชิงพี่เทพไปแต่งกับนาง”
หลวงเทพ สบตาดาราราย
“ไม่จริงเจ้า” ดารารายโต้
พระยาพิชิตชัยเสียงขุ่น “ยังไม่ถึงเวลาเจ้าพูด”
ยอดหล้าเล่าต่อ “ข้าตามมาแก้เสน่ห์ พี่เทพจึงกลับมารักข้า ดารารายกลับทำเสน่ห์ซ้ำ อาถรรพ์นี้ร้ายแรงถึงตาย ข้าจึงเอาน้ำเทพมนต์มาใส่อาหารให้พี่เทพ”
“นังโกหก นังแม่มด” คุณเพ็งโกรธสุดขีด
พระยาพิชิตชัยปราม “ลูกเพ็ง เงียบก่อน ยอดหล้า เจ้าพูดต่อ”
“คุณแม่เข้าใจผิด จึงแย่งยื้อขวดน้ำมนต์กับข้าเจ้า จนพลัดตกไป” ยอดหล้าอธิบาย
“เจ้านั่นแหละเป็นคนผลัก” คุณเพ็งบอก
หลวงเทพภักดีขบกรามแน่น มองยอดหล้าอย่างผิดหวัง ดารารายยิ้มเยาะ
“ไม่จริงเจ้า ข้าเจ้าไม่ได้ตั้งใจเจ้า”
พระยาพิชิตชัยหยิบขวดแก้วน้ำเทพมนต์ของยอดหล้ามาชู
“นี่หรือน้ำเทพมนต์ของเจ้า”
“เจ้า” ยอดหล้ารับ
พระยาพิชิตชัยหลับตา สำรวมจิต ทุกคนมองดู ในขวดแก้วปรากฏควันสีเขียวคล้ำ ลอยวนเวียน
พระยาพิชิตชัยลืมตา ปาขวดแก้วไปกลางอากาศ ทุกคนผงะ
ขวดแก้วนั้นระเบิดเป็นกลุ่มควันสีเขียว ลอยวนเวียนปั่นป่วน ผ่านตัวคนนั้นคนนี้ ทุกคนผวาหวาดหวั่น
พระยาพิชิตชัยลุกขึ้น พนมมือ ควันนั้นพุ่งหนีไป
พระยาพิชิตชัยสั่งการ “ตาม!”
ควันสีเขียวพุ่งมาผ่านเสาใต้ถุนเรือน พระยาพิชิตชัย หลวงเทพ บ่าวชายตามมา ถือคบไฟส่องวูบวาบ ควันนั้นมาถึงพื้นดินใจกลางเรือน แล้วพุ่งวาบซึมลงในเนื้อดิน พระยาพิชิตชัยสั่ง

“ขุดลงไปเดี๋ยวนี้”

อ่านต่อหน้า 4

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5 (ต่อ)

พระยาพิชิตชัยถือผอบไว้ในมือ หลวงเทพภักดีมานั่งข้าง ยอดหล้า ดาราราย เพ็ง นิ่ม ผัน เผื่อน ทิพย์ ทิม อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง

“ของสิ่งนี้มาได้อย่างไร”
ยอดหล้าบอก “ข้าเป็นคนนำมาฝังไว้เองเจ้า” ทุกคนฮือฮา “สิ่งนี้คือผอบมังคลา สิ่งมงคลภายในจะล้างอาถรรพ์ที่ดารารายทำต่อทุกคนในบ้านนี้”
“ไม่จริงนะ เจ้าพี่”
ดารารายมีพิรุธเต็มที่ แล้วแสร้งร้องไห้ ยอดหล้าโกรธน้องสาว
“สิ่งมงคลหรือ งั้นจงดู”
พระยาพิชิตชัยทุ่มผอบลงตรงหน้ายอดหล้า โถเคลือบแตกกระจาย มีหุ่นขี้ผึ้งชายหญิงสีดำมัดไว้ด้วยสายสิญจน์ ทั้งมีของเสน่ห์ต่างๆ เช่น ลูกสวาด ดอกรักแห้ง ควันสีดำฟุ้ง กลิ่นเน่าวูบมา ทุกคนอุดจมูกยอดหล้าตกใจ ไม่เข้าใจ
“ฝังรูป ฝังรอย ไม่ใช่ ข้าเจ้าไม่ได้ทำ”
ยอดหล้ามองไป เห็นดารารายยิ้มเยาะ
“ดาราราย เจ้าสับเปลี่ยนของ เพื่อใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ”
ดารารายรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ น้ำตาเอ่อ
“ไม่จริงเจ้า เรื่องทั้งหมด เจ้าพี่เข้าใจผิดหมด”
“ใช่ ข้าเข้าใจผิด ข้าเข้าใจว่าไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับข้าก็เป็นพี่น้อง เข้าใจว่าเจ้าจะมีธรรมหลงเหลือ เข้าใจว่าเจ้าจะสำนึกบ้าง”
“เจ้าพี่”
“ข้ามันโง่งมเอง ที่คิดว่าเจ้ายังมีเยื่อใย เพราะคำสาบานของเจ้าร้ายกาจนัก...เจ้ายังกล้าทวนคำสาบานได้”
ดารารายผงะ เหมือนกลัวคำสาบาน
“เจ้าพี่ ข้าไม่ได้ผิดคำ”
ยอดหล้าขึ้นเสียงใส่ “ข้าจะไม่ฟังเจ้าแล้ว”
คุณเพ็งแค้น “นังแม่มด เลิกเล่นละครทำหน้าซื่อเป็นคนดีเสียที เจ้าคุณพ่อ เกิดเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ จะทำเช่นใดเจ้า”
พระยาพิชิตชัยอึ้ง มองดูลูกชาย “เจ้าเทพ เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ลูกไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วเจ้าคุณพ่อ เพราะลูกเองก็เหมือนเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องร้ายทั้งหมดขึ้น”
“คุณพี่! คุณแม่ตายไปทั้งคนนะคะ แล้วยังนวลอีก ดีไม่ดีศพไอ้ยอดที่ลอยมาติดท่าน้ำก็ฝีมือมัน”
ยอดหล้าไม่รู้เรื่อง นางผัน นางเผื่อนหน้าซีด ยอดหล้าพยักหน้า
“เรื่องนวล ข้าพลั้งมือทำร้ายจริง แต่ข้าไม่ได้ผลักคุณหญิงจริงๆเจ้า พี่เทพ.. เชื่อข้าเจ้าเถิด”
“ข้าเชื่อเจ้า ข้าเชื่อเจ้าพี่”
ดารารายแสร้งพูดใส่จริตคล้ายเยาะ ยอดหล้ายิ่งแค้น
“เจ้าไม่ต้องมามารยาเสแสร้งเข้าข้างข้า เจ้าคือนังงูพิษ”
“เจ้าพี่”
พระยาพิชิตชัยตบตั่งฉาด ลุกพรวดขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเอ็งกุมตัวเจ้านางยอดหล้าไว้”
บรรดาบ่าวชายก้าวมารุมล้อม

บนเรือนใหญ่คุ้มหลวงเวลากลางวัน เจ้าหลวงแสงอินทร์ยืนนิ่งขึง มองดูยอดหล้าที่หมอบอยู่ที่พื้นอย่างผิดหวัง เจ้านางหอมุกอยู่บนตั่ง นั่งเมินหน้า นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่เบื้องหลัง มีเพียงข้าไทคนสนิทเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในที่นั้น
“ยอดหล้า เจ้าทำอันใดลงไป เจ้าทำเสน่ห์เพื่อแย่งผัวจากน้อง เจ้าฆ่าคนเพื่อปกปิดความชั่ว เจ้าทำลายความสัมพันธ์ของเวียงแก้วกับเมืองใต้จนพังยับ นี่น่ะหรือ ลูกสาวที่ข้ารักยิ่งแก้วตา”
ยอดหล้าเงยหน้าขึ้น ร่ำร้อง น้ำตาริน
“เจ้าพ่อ ข้าถูกใส่ความ ดารารายคือต้นเหตุทั้งหมด ดารารายให้ครูบาสรีทำเสน่ห์เล่ห์กล แล้ววางกลใส่ความข้า ให้ข้าเป็นคนผิดเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ไม่เชื่อ เจ้านางหอมุกมองลูกสาวอย่างเวทนา
“เจ้าต่างหากคือตัวต้นเหตุ เจ้าต่างหากที่ใส่ความน้อง” แสงอินทร์ก้าวมาใกล้ “แต่ข้าอยากรู้ ว่าผู้ใดสอนมนต์แลเล่ห์กลให้เจ้า”
“ท่านอาจารย์เป็นนักพรต ถือสันโดษเร้นกายในป่าเขา ท่านสอนมนตราก็เพื่อให้ข้าปกป้องตัวเท่านั้น”
เจ้าหลวงแสงอินทร์ยิ่งโกรธ เหมือนรู้อะไรมากกว่านั้น
“หรือว่ามันคือเถรกระอ่ำ”
ยอดหล้าผงะ นางผัน นางเผื่อนมองหน้ากัน
“เจ้าพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เจ้าเถรชั่วผู้นี้ต้องตายก่อน”
ยอดหล้าตกใจ “อย่านะเจ้าพ่อ ท่านอาจารย์ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านเข้าใจข้า ดีกับข้า รักข้ายิ่งกว่าเจ้าพ่อเสียอีก”
“เจ้ากล้าดี เอาข้าไปเปรียบกับคนถ่อยนั่น นังลูกชั่ว”
เจ้าหลวงแสงอินทร์โกรธจนขาดสติ คว้าดาบขึ้น พุ่งเข้าหาลูกสาว ยอดหล้าหลับตาลง นางผัน นางเผื่อนร้อง เจ้านางหอมุกถลาเข้าขวาง ปลายดาบปักลงใต้ไหล่
“เจ้าพี่”
แสงอินทร์ตกใจ ชักดาบออก ยอดหล้าร้องกรี๊ด ประคองแม่ไว้
“ยอดหล้าทำผิดใหญ่หลวง แต่เว้นโทษตายลูกเถิดเจ้า” หอมุกบอก
“เจ้าแม่”
อินทร์เสียใจ เจ็บใจ ผลักยอดหล้าล้มไป ตวัดอุ้มเจ้านางหอมุกขึ้นหันไปสั่งขุนหาญแถวนั้น
“อย่ากล้าดีมาแตะต้องแม่เจ้า...เอานังลูกชั่วไปขังไว้ในคุ้มน้อย ล่ามมันไว้ในเรือนด้วยโซ่อาคม อย่าให้มันติดต่อกับผู้ใด”
เจ้าหลวงแสงอินทร์อุ้มเจ้านางหอมุกไป ยอดหล้ามองตามพ่อ
คุ้มเวียงแก้ว ข้างริมปิง เงียบสนิทกลายเป็นเรือนร้าง มีขุนหาญ 10 คนล้อมรักษาเรือน ยอดหล้านั่งบนเตียง มือกอดซึงแนบอก ที่ข้อเท้ามีโซ่ล่ามไว้กับเสาเรือน นางผัน นางเผื่อนหน้าหมอง ถือโตกอาหารและน้ำต้มมาคุกเข่าลง
“เจ้านางเจ้า กินอันใดก่อนเถอะเจ้า” นางผันบอก
ยอดหล้าส่ายหน้า นางเผื่อนรินน้ำให้
“ไม่อย่างนั้นก็กินน้ำเถอะเจ้า”
ยอดหล้ายอมจิบน้ำ “ข้างนอกมีข่าวอันใดบ้าง”
นางผัน นางเผื่อนมองหน้ากัน มีพิรุธอึกอัก ยอดหล้าจับได้
“ข้าถามพวกขุนหาญ ไม่ใคร่ได้ความอันใดเจ้า” นางผันบอก
“ไม่จริง นี่พวกเจ้าต้องรู้อันใด ถึงปกปิดความไม่ให้ข้ารู้” ยอดหล้าชะงัก “หรือว่า หรือว่า เจ้าแม่”
นางผัน นางเผื่อนตัวสั่น ร้องไห้ออกมา นางผันตัดสินใจบอก
“แม่เจ้า แม่เจ้า สิ้นแล้วเจ้า”
ยอดหล้าแทบช็อก “ไม่จริง อาการแม่ข้า ไม่หนักหนา”
“มีคำเล่าลือ ว่านางอาการดีขึ้นแล้ว แต่พอเจ้านางสร้อยคำไปเยี่ยมก็ทรุดลง...คืนเดียวก็สิ้นเจ้า” นางเผื่อนว่า
“เจ้าแม่...เจ้าแม่ ลูกอกตัญญูนัก เจ้าพ่อ ใยท่านปล่อยให้แม่น้าฆ่าแม่ข้า”

ยอดหล้าร้องไห้ ทันใดมีเสียงฟ้าคำรณ ฟังดูพิกล

เกิดอาเพศประหลาด เมฆหมอกประหลาดเคลื่อนมาเต็มท้องฟ้าเหนือคุ้มเวียงแก้ว บรรดาขุนหาญแหงนดู พากันไหวหวั่นพรั่นพรึง

ยอดหล้าน้ำตายังรินไหลชะงักไป นางผัน นางเผื่อนมองลอกแลก ฟ้าภายนอกมืดมิดลง ในห้องพลันมืดลงเท่ากลางคืน นางผัน นางเผื่อน จุดประทีปขึ้น
“แม้แต่ฟ้าก็ร่ำไห้ ให้แม่เจ้าเจ้า”
“มิใช่ นี่มิใช่เมฆฝนธรรมดา แต่นี่คือเมฆฝนจากอาคม”
ขุนหาญทุบประตู ทั้งสามหันขวับไป ยังไม่ทันอนุญาต ขุนหาญก็พรวดเข้ามา
“ขออภัยเจ้านาง จงรีบลั่นดาลประตูหน้าต่าง ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเปิด อย่าดูเป็นอันขาด”
ขุนหาญออกไป นางผัน นางเผื่อนงุนงง แต่ก็ลุกไปปิดหน้าต่างประตู เงี่ยหูฟัง
“นี่เกิดอันใด” / “ข้าเจ้ากลัว”
ยอดหล้ากลับเข้าสู่ภวังค์โศกศัลย์อีก ไม่สนใจ มีเสียงร้องกรี๊ด เสียงต่อสู้ดังแว่วมาไกลๆ นางผัน นางเผื่อนทรุดลง เบิกตากว้าง ปิดปาก

คุ้มน้อยในเวลากลางวัน ท้องฟ้าสว่างแต่ไม่สดใสนัก มีศพขุนหาญตายเกลื่อน ขุนหาญที่เหลือกำลังหิ้วหามศพไป
ยอดหล้านั่งอยู่หน้าคันฉ่อง เงาสะท้อนเห็นว่าซูบซีดลง แต่ก็ยังงามสะคราญ นางผัน นางเผื่อนร้อนรนเข้ามา คุกเข่า
“ฟ้ามืดมิดอยู่ 3 วัน 3 คืน เกิดอันใดกันแน่”
“เจ้านาง ข้าไม่กล้าพูดเจ้า”
“เจ้านางต้องเข้มแข็งไว้นะเจ้า”
“ยังมีเรื่องใด...ทำให้ข้าเจ็บได้อีกหรือ จงพูดมา”
ยอดหล้าหันมามองอย่างคาดคั้น
“ท่านอาจารย์เถรกระอ่ำมาช่วยเจ้านาง ต่อสู้ด้วยอาคมกับครูบาสรี” เผื่อนว่า
ผันบอกเสริม “ตอนนี้ถูกครูบาสรีสังหารแล้วเจ้า”
ยอดหล้าผงะ หน้าขาวซีด

ครูบาสรีในชุดนักพรตสีน้ำตาลเกือบดำ ดูชั่วร้ายยิ่ง ถือศีรษะเถรกระอ่ำชูขึ้นสุดแขน พลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

ยอดหล้านอนตะแคงอยู่บนเตียงในห้องนอน เห็นซีกหน้างามบนหมอนหนุน ซึงอยู่ใกล้ตัว ข้อเท้ามีโซ่อาคมล่าม นางผัน นางเผื่อนยกอ่างน้ำ คนโทเข้ามา
“เจ้านางตื่นแล้วหรือเจ้า
ยอดหล้าพยักหน้า ลุกขึ้นหันมา นางผัน นางเผื่อนมองแล้วร้องกรี๊ดสุดเสียง
“เจ้านาง อ๊าย...”
“อะไร อะไรของพวกเจ้า”
ยอดหล้านั่งลงที่หน้าคันฉ่อง เงาสะท้อนภาพพบว่า ซีกหน้าลงไปถึงซีกร่างข้างหนึ่ง กลายเป็นเกล็ดมีรอยแยก น้ำเลือด น้ำเหลืองเริ่มซึมออกมา ยอดหล้ากรี๊ด ยกมือแตะหน้า เมื่อลดมือลง ผมปอยใหญ่ก็หลุดติด เหลือผมกร่อนบาง ยอดหล้าร้องวิ้ด
ยอดหล้าครูบาสรี.. เจ้าทำอะไรกับข้า
ยอดหล้าเคียดแค้นสุดขีด ขุนหาญ 2 คนเข้ามา ยอดหล้าพลันดึงโซ่อาคมขาดจากเสา ฟาดใส่ 2 ขุนหาญกระเด็นไปปะทะฝาผนังและเสาสิ้นใจตาย นางผัน นางเผื่อนร้องกรี๊ด
ยอดหล้าโกรธแค้น ผมสยายลง แล้วก็เซทรุดลง ครูบาสรีก้าวมาพลางยกมือมาเบื้องหน้า ร่ายเวทย์ เจ้าหลวงแสงอินทร์ เจ้านางสร้อยคำเข้ามา
“เจ้าจะฆ่าคนอีกกี่คน จนป่านนี้เจ้ายังไม่สำนึกหรือ”
ยอดหล้าโต้ “ข้ามิใช่คนผิด”
“เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว โซ่อาคมกับเรือนนี้คงขังเจ้าไม่ได้”
สร้อยคำขอร้อง “เจ้าพี่เวทนาลูกเถิด”
“ข้ามิใช่ลูกเจ้า”
แสงอินทร์ตวาด “หุบปาก”
“นังดารารายก็ไม่ใช่น้องข้า”
“ข้าบอกให้หุบปาก”
“แม้แต่ท่าน...ท่านลำเอียง ใจร้าย เชื่อแต่ผู้อื่นมากกว่าลูกตัว” ยอดหล้าระบดระบาย
แสงอินทร์ผงะ ยอดหล้ามองอย่างไม่ลดละ
“ข้าก็ไม่ถือว่าท่านเป็นพ่อเช่นกัน”
“ผู้ที่ข้าให้กำเนิด กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู รักใคร่ใยดีกว่าใครๆ กลับคิดคดทรยศขนาดนี้ เมื่อเจ้ามืดบอดขนาดนี้ แสงเดือน แสงตะวัน คงไม่มีความหมายต่อเจ้า ข้าจักขังเจ้าไว้ในคุกใต้ดินจนสิ้นใจตาย”
ยอดหล้ายิ้มหยัน “ความตายจักปลดปล่อยข้าเป็นไท จากความอยุติธรรมของท่าน”
“แม้เจ้าตาย เจ้าคงเป็นวิญญาณพยาบาทชั่วช้า ไม่ข้าจักจองจำเจ้าไว้ที่นี่ ให้วนเวียนมิรู้ผุดมิรู้เกิด”
ยอดหล้าผงะ
“จนกว่าเจ้าจักสำนึกผิด ในความเขลา ในความชั่ว ในความพินาศที่เจ้าก่อไว้”
“ไม่มีวัน ข้าไม่มีวันกลัวทัณฑ์ทรมานของท่าน” ยอดหล้าบอกบิดาด้วยท่าทีแน่วนิ่ง

ที่ลานหลังคุ้มเวียงแก้ว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นหลากสีสัน ดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าเต็มที ยอดหล้าถูกผูกตรวนอาคม ทั้ง 2 มือ 2 เท้า นางผัน นางเผื่อนเดินตาม ยอดหล้าถือผลไม้ในมือ
“เจ้าหลวงเมตตายิ่ง ให้ข้าได้มาล่ำลาเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ม้าวายุก้าวมา ยอดหล้าลูบคอมัน มันเอาหัวซบแขนยอดหล้า
“ถึงเจ้าเป็นเพียงของขวัญ ที่ดารารายมอบให้เพื่อเยาะเย้ยข้า แต่เจ้าก็ดีกับข้านัก”
ยอดหล้าป้อนผลไม้ให้ ดวงตาทั้งรักทั้งอาลัย ม้าวายุกินผลไม้มีความสุข
นางผัน นางเผื่อนก้าวมาถือกระบุงเล็ก ยอดหล้ามองท้องฟ้า ตวัดผ้าคลุมให้ปิดซีกอัปลักษณ์
“นกเอย นกน้อยๆของข้า”
บรรดานกพิราบ นกเขา นกกระจอก แม้แต่อีกา ก็บินกรูเกรียวมา ยอดหล้าโปรยข้าวไปทั่ว พวกมันลงจิกกิน มีเพียงอีกาใหญ่ตัวเดียวที่ถลามากินจากในมือ ยอดหล้าหัวเราะเบาๆ ดวงตาเจ็บช้ำ
“กินเถิด นี่เป็นมื้อสุดท้ายแล้วที่ข้าจะได้เลี้ยง ได้เห็น ได้รักเจ้า
นางผัน นางเผื่อน สะอื้นไห้

คุ้มเวียงแก้วในเวลากลางคืน มีเสียงซึงเพลงดวงดาวแว่วมา หลวงเทพภักดีขี่ม้ามาช้าๆ ก่อนจะลงจากหลังม้าเดินไปยังตัวคุ้ม
ส่วนที่ห้องใต้ดิน ยอดหล้าแต่งกายงาม แต่มีผ้าคลุมบางเบาคลุมผมลงมาจนกรอมเท้า นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ บนตักยังมีซึง นิ้วที่ดีดซึงนั้นอ่อนแรงลงทุกที ที่ข้อมือ ข้อเท้า มีโซ่อาคมโยงอยู่ ภาพกว้างออก เห็นว่ายอดหล้าอยู่ในกรงขังไม้ขนาดใหญ่ ที่ฝังลึกลงในดิน
เสียงเพลงดวงดาวดังขาดหายเป็นห้วงๆ หลวงเทพลงบันไดมาช้าๆ ในมือถือคบไฟ ก้าวเท้าเดินไปยังกรง เท้าสะดุดร่างนางผัน นางเผื่อน ที่นอนตายแน่นิ่ง เนื้อตัวเป็นเกล็ดแยกแตกระแหงทั้งตัว
หลวงเทพภักดีเดินไปยังกรง มองเข้าไปอย่างเวทนาและเจ็บช้ำ เกาะกรงด้านที่ใกล้แคร่
“เจ้านาง”
ยอดหล้าเงยหน้าดูหลวงเทพ ผ้าบางคลุมผมอยู่
“พี่เทพ ท่านมาอีกแล้ว ถึงเป็นเพียงภาพลวง แต่ข้าก็เบิกบานใจนักที่ท่านมา”
“นี่คือพี่จริงๆ เจ้านาง”
ยอดหล้าผวาตัวเข้าหา แต่อ่อนแรงนัก ผ้าคลุมเลื่อนตก เห็นผมกร่อน เห็นหนังศีรษะ เกล็ดรอยแยกคลุมผิวหน้าจนเกือบทั่วหน้า เหลือเพียงดวงตาข้างเดียว หลวงเทพผงะ ยอดหล้าอับอาย ดึงผ้าขึ้นคลุม มองหลวงเทพอย่างลังเล หลวงเทพยื่นมือมา ยอดหล้าผวาจับมือไว้ ทั้งคู่อยู่กันคนละด้าน กั้นด้วยซี่กรง ยอดหล้ายื่นมือเหี่ยวแห้งคลำหน้าสามี
“ข้ามีบุญนัก ที่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนที่ความตายปิดดวงตาที่เหลือของข้า”
“เจ้านาง.. พี่ทำผิดต่อท่าน”
“คนผิดมิใช่พี่ แต่คือดาราราย”
“ไม่ใช่ แต่คือพี่ พี่ผิดเหลือเกิน เจ้านางให้พี่ทุกสิ่ง แต่พี่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนท่านเลย”
“ไม่จริงหรอก เพลงนี้ไง พี่แต่งให้ข้า ข้าจะเล่นให้พี่ฟัง ฟังเพลงของเรา”
“ใช่ เพลงของเรา”
ยอดหล้าบรรเลงเพลงซึง ดวงดาว เสียงเพลงกลับทรงพลัง ไพเราะ ไม่ขาดห้วงราวทุ่มเทพลังที่เหลือทั้งหมด หลวงเทพนิ่งฟังเพลงน้ำตาคลอ ยอดหล้ามอง
“พี่คือดวงตะวัน ข้าคือจันทรา”
เพลงจบลงกลางคัน พร้อมๆ กับซึงเลื่อนตกจากตัก ร่างยอดหล้าซบพิงกับกรงขัง หลวงเทพภักดีผวาเฮือก กำเสากรงไว้ แล้วก้มหน้าลง

แสงเป็นลำส่องลงมาทาบทาอาบร่างเจ้านางยอดหล้า ร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงระหงแบบบาง ดูเรืองเรื่องดงามดั่งที่เคยเป็นมา

อ่านต่อตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น