xs
xsm
sm
md
lg

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7

พิมพ์ดาวนอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง ท่าทีกระสับกระส่ายคล้ายจมอยู่ในความฝัน หล่อนฝันถึงตอนที่ตัวเองโดนนกพิราบโจมตีในลานวัด ทั้งที่ยังคงหลับอยู่บนเตียง แต่พิมพ์ดาวยกมือโบกไล่นกไปมา

ที่คุ้มเวียงแก้วในเวลาเดียวกัน ภาพฝูงนกพิราบโจมตีพิมพ์ดาว กลายเป็นภาพในขันน้ำมนต์ ภาพนั้นเห็นพิมพ์ดาวดิ้นรนในอาการตกใจ
คุ้มร้างงดงามมลังเมลืองด้วยอำนาจจิตยอดหล้า ยอดหล้าเพ่งขันน้ำใหญ่อย่างสมใจ นางผัน นางเผื่อนคุกเข่าชะเง้อดู
“ดาราราย ข้าเห็นเจ้าแล้ว”
น้ำในขันไหวเป็นระลอก พิมพ์ดาวดิ้นรนยอดหล้าโบกมือสะบัด
“เจ้าซ่อนตัวจากข้ามิได้หรอก ข้าจะต้องรู้ว่าเจ้าหดหัวอยู่ที่ไหน”
น้ำในขันไหวอีกระลอก ภาพเปลี่ยนเป็นตัวบ้านพิมพ์ดาวทั้งหลัง เลื่อนเป็นชั้นบน แล้วเลื่อนให้เห็นหน้าต่างห้องนอนพิมพ์ดาว

พิมพ์ดาวดิ้นรนอยู่ในความฝัน ขณะจันทราก้าวมายืนข้างเตียง
“พิมพ์ ยายพิมพ์ ลูก”
จันทราหันรีหันขวาง แล้วเห็นที่โต๊ะข้างเตียงมีเขี้ยวเสือไฟวางอยู่

ยอดหล้าดวงตาเจิดจ้า เมื่อน้ำในขันเป็นภาพจากนอกหน้าต่างห้อง เห็นเงาจันทรา กับพิมพ์ดาว ผ่านม่านบางๆ ยอดหล้ายิ้มสะใจ น้ำในขันกระเพื่อม พุ่งพรวดทะลุม่านหน้าต่างเข้าไป
ในจังหวะที่จันทราสวมเขี้ยวเสือไฟให้พิมพ์ดาวที่คอฉับ
ภาพในขันน้ำ เหมือนพุ่งทะลุม่าน เห็นเงาจันทราสวมสร้อยให้พิมพ์ดาว
ยอดหล้ายิ้มสาสมใจ นางผัน นางเผื่อน กระเหี้ยนกระหือรือ
แต่ทันใดนั้น ภาพก็ดับวูบลง น้ำรวมตัวกลายเป็นใบหน้าเสือพุ่งออกมา ลอยสูงขึ้นในอากาศ นางผัน นางเผื่อน ผงะหงายหลัง ยอดหล้าลุกถดตัวถอยออกห่าง ดวงตาเบิกโพลงเกิดเป็นเปลวไฟล้อมกาย
น้ำที่ฟอร์มตัวเป็นใบหน้าเสือคำรามลั่นอีกครั้งก็สลายตัวไป กลายเป็นน้ำทิ้งตัวกลับลงในขันสาคร
“เจ็บใจนัก ข้าจะต้องเห็นเจ้า”
ยอดหล้าแค้นจัด สำรวมจิตใหม่ แต่น้ำในขันกลับดำมืดและนิ่งสนิท นางผัน นางเผื่อน คลานมาชะเง้ออีก
“ไม่ได้ผลเจ้า เจ้านาง”
“เจ้านางน้อย มีเสือมนตราคุ้มกายเจ้า”
ยอดหล้าอารมณ์ขุ่นหันขวับมา ดวงหน้างามบึ้งตึง
“ผู้ใดถามความเห็นเจ้า นังขี้ครอก
2 นางบริวาร ลนลานหมอบกราบอย่างหวาดกลัว ยอดหล้ากางสองแขน กำมือแน่นร้องกรี๊ดสุดเสียง

ผู้คนในคุ้มได้ยินเสียงกรี๊ดของยอดหล้า ออกอาการต่างกันไป
ในเรือนรับรอง เบิ้มผู้มีเซ้นส์เรื่องผีๆ สางๆ ผวาตื่น ตาเหลือกลาน ลูกกบเงี่ยหูฟัง เก้งหน้าซีด รักกรนครอกๆ มีมี่ มูมู่ เลิ่กลั่กจะร้องไห้
ส่วนห้องพักแขก ฐาปกรณ์ลุกพรวดขึ้นมา แล้วกุมบั้นเอว กระเบนเหน็บ
ขณะที่ในห้องนอนของแก้ว ซึ่งยังไม่นอน เดินตรงไปยังระเบียง มองไปยังคุ้มร้างอย่างขมขื่นใจ
ที่เรือนแถวคนงานหญิง สายใจผวาลุก เห็นเฟื่องฟ้าระรินกอดกันกลมอยู่ด้านหลัง
ส่วนตาทองลุกขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ
เสียงนั้นยังได้ยินไปถึงมหาจรวยซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนเรือน มีอาการผวาเฮือก แล้วพลันลืมตาขึ้น หันไปมองหีบลงอักขระ

ที่กรุงเทพฯ ในออฟฟิศฐาปกรณ์ช่วงตอนกลางวัน มาดามสุใส่ชุดคอกว้าง นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังติดต่อประสานงานเป็นที่วุ่นวาย บนโซฟา มาลารินใส่ชุดคอกว้างคล้ายกัน นั่งตาแป๋วอยู่ บีบียืนเท้าสะเอวเคร่งเครียด
สุชาดาพูดมือถือเครื่องที่ 1 “ค่ะ พี่ตุ่ม พรุ่งนี้ที่ดอนเมืองค่ะ วุ้ย โลว์คอสต์แต่บริการดีนะ คะ ค่ะ” มาดามสุหน้าหงิก แล้วพูดเครื่องที่ 2 “นี่ รถโอบียังไม่ต้องไปพรุ่งนี้ ไปพร้อมฉันวันมะเรื่องย่ะ ไอ้โง่”
บีบีเอานิ้วเคาะโต๊ะรัว สุชาดาวางมือถือลง มองหน้า
“นี่ เรื่องคิวลินซี่ต้องขอคุยใหม่นะคะ” บีบีบอก
สุชาดางง “อ้าว ก็ตอนแรกบอกว่าเทคิวให้ถ่ายจันทร์ถึงศุกร์ เหลือเสาร์อาทิตย์ให้พักไงคะ”
“ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ ให้แค่จันทร์ถึงพุธพอ เหลือวันอื่นให้ละครอีกเรื่อง”
มาลารินมองบีบี เหมือนไม่รู้เรื่องใดๆ มาดามสุเลยจับได้ว่าตอแหล
“ละครอีกเรื่องอะไรคะ ไม่เห็นมีข่าว”
“อุ๊ย เป็นความลับน่ะซี เขาก็จะเปิดเหมือนกัน”
“เปิดละครหรือจะไปเปิดก้นงานอีเว้นท์กันแน่คะ”
มาดามสุแข็งใส่บ้าง บีบีคอแข็งยืนกราน
“ไม่รู้ล่ะ ให้ได้แค่จันทร์ถึงพุธ”
“แต่หนูลินซี่เป็นนางเอก ออกแทบจะทุกฉาก แล้วพฤหัส ศุกร์ จะให้ถ่ายอะไรคะ”
บีบีแดกดัน “ก็ถ่ายวิวถ่ายแมวอะไรไปก็ได้”
สุชาดาของขึ้น “นี่ คนอื่นๆ เค้าไม่มีใครมีปัญหานะคะ น้องตรีน่ะ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่กลับกรุงเทพฯ ด้วย
ซ้ำ แม่พิมพ์ดาวก็เทคิวให้เหมือนกัน”
มาลารินตาสว่างทันที บีบีทำหน้าแสยะ เยาะหยัน
“พวกไม่มีงานน่ะซี”
“เอ้อ พี่บีบีคะ ช่วงนี้ลินซี่ป่วยบ่อยๆ ให้บินไปบินมา ตรากตรำออกอีเว้นท์ไม่ไหวหรอกค่ะ ลินซี่ว่าลินซี่เทคิวให้มาดามดีกว่า”
บีบีตกใจ “อ้าว อีนี่ เอ๊ย ลูกขา เอางั้นหรือคะ ลูกขา”
มาลารินพยักหน้าตาแป๋ว บีบีพูดไม่ออก มาดามสุค้อนขวับ

ตรีภพแต่งตัวอยู่ในห้องพักคอนโด เตรียมเดินทาง เดินดูความเรียบร้อยรอบๆ คอนโด หมอตฤณยืนอยู่กับกระเป๋าเดินทางใหญ่ 1 ใบ
“ต้นไม้น่ะรดน้ำดีๆ นะโว้ย”
“เออ แกไม่ต้องห่วงหรอก ต้นไม้ฉันก็จะดูให้ บิลอะไรมาก็จะเช็คให้”
“รถฉันแกก็จะเอาไปขับให้”
ตฤณทำหน้ายิ้มกระเรี่ยกระราดนิดหนึ่ง
“เออซีวะ รถดีๆ จอดไว้เฉยๆ ให้หัวเทียนบอดทำไม”
“ไม่บอดโว้ย รถฉันยังไม่ถึงหกเดือนเลย”
“น่า ฉันจะดูแลไอ้ลูกรักแกอย่างดี จะเอาไปเคลือบแวกซ์ใหม่ด้วย”
“เออ” ตฤณดีใจยิ้มแป้น “แต่ตอนไปส่งนี่เอารถแกไป”
“ทำไมวะ”
“รถฉันเข้าอู่ว่ะ อีกสองอาทิตย์ได้ ใบรับอยู่นี่ ไปรับให้ด้วย”

ตฤณอ้าปากค้าง ตรีภพยักคิ้วให้ โบกใบรับรถไปมา

เวลาเดียวกัน จันทรายืนอยู่หน้าเทอเรซ มองออกไปอย่างกังวล ใบเฟิร์นลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของพิมพ์ดาวมา สองพี่น้องเดินกอดเอวคลอเคลียกันมา

จันทราหันมาเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม

“จะไปแล้วหรือ”
“ค่ะ เครื่องออกตั้งเย็น แต่ให้ไปเจอกันตั้งแต่บ่ายทำไมไม่รู้”
“ไปเป็นคณะใหญ่มั้งคะ” พิมพ์เดือนว่า
“ใหญ่อะไร ที่ได้ไปเครื่องน่ะ มีนักแสดงนำไม่กี่คนเอง แต่ตัวเล็กๆ น่ะ ไม่ว่าจะผู้เฒ่าผู้แก่ ยายมาดามยัดขึ้นรถตู้หมด”
“แหม แกไม่ให้ขึ้นรถ บขส. ส้มไปก็ดีแล้วละค่ะ”
“ไปเหอะ ยายเดือน เออ รถฉันน่ะ ขับให้ดีๆ นะจ๊ะ อย่าให้มีขูดขีด”
“รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
พิมพ์ดาวเข้ามากราบที่อกจันทรา “แม่ขา หนูไปนะคะ”
จันทรากอดพิมพ์ดาวไว้แน่น แล้วคลายออก มองดูสร้อยเขี้ยวเสือไฟในคอลูก
“รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้นึกถึงคำสอนหลวงตา”
“แหม ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ยังไงก็ให้ระวังไว้ อ้อ แล้วสร้อยเขี้ยวเสือไฟอย่าให้ห่างตัวนะ” จันทรากำชับ
พิมพ์ดาวรับคำแม่ “ค่ะ รู้แล้วค่ะ”
“มา มากอดอีกที”
พิมพ์ดาวบอกคนอื่นๆ “เอ้า กรุ๊ปฮัก มากอดกันเร็ว”
พิมพ์เดือนเข้ามากอดด้วยเป็นสาม จู่ๆ ใบเฟิร์นก็เข้ากอดด้วย
“ฮือ ไปตั้งเกือบเดือน หนูคิดถึงคุณแย่เลย”
3 แม่ลูกชะงัก ค่อยๆ คลายออก ใบเฟิร์นถอยออก 3 แม่ลูกมองดูสาวใช้ไฮเทค
“หนูจะออนเฟสตลอดก็แล้วกันค่ะ มีอะไรคุณคุยมาได้เลยนะคะ”
“ย่ะ เปิดสไกป์ไว้ด้วยนะ” พิมพ์ดาวค้อนขำ

ยามเย็น แลเห็นเครื่องบินของสายการบินโลว์คอสท์ทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองสู่ท้องฟ้า
ไม่นานนัก รถพิมพ์ดาวแล่นกลับจากดอนเมือง รถของตฤณแล่นตามมาเบื้องหลัง ในรถพิมพ์ดาว มีพิมพ์เดือนขับมา ใบหน้ายิ้มย่องผ่องใส
“สบาย มีรถใช้ตั้งเดือนนึง”
ส่วนในรถอีกคัน ตฤณยิ้มแป้น
“ดีเหมือนกัน ไปสิงคอนโดไอ้ตรีเดือนนึง ไฮโซสุดๆ”
พิมพ์เดือนเอาตลับแป้งมาทา พลางปัดมัสคาร่า
“มัสคาร่าของพี่พิมพ์เด้งดีจัง”
ตฤณยังคงวางแผน
“เอารถไอ้ตรีไปงานเลี้ยงรุ่นดีกว่า ทีนี้ล่ะ”
รถที่พิมพ์เดือนขับออกอาการเป๋นิดๆ ตฤณขับตามหลังมามองดูงงๆ
“อีข้างหน้านี่ขับยังไงวะ”
ตฤณมองดู จะแซงซ้าย แต่มีรถเมล์คันยาวขวาง เลยแล่นไปช่องซ้าย
รถตฤณแล่นขึ้นไป ใกล้จะแซงรถพิมพ์เดือนแล้ว จนรถตฤณแล่นเทียบตีคู่ ตฤณมองไปเห็นพิมพ์เดือนซึ่งปัดขนตาอยู่
“เออดี ทาตาตอนขับรถ”
รถตฤณเจอรถซาเล้งข้างหน้า ต้องชะลอ พิมพ์เดือนแล่นนำไปอีก พิมพ์เดือนปัดขนตาเสร็จ คว้าลิปมาแตะๆปาก ตามองไป เห็นป้ายร้านเจ๊เล้งอยู่ในระยะใกล้ๆ
“ว้าย ถึงแล้วเหรอ”
พิมพ์เดือนไม่ดูอะไรทั้งสิ้น ไม่เปิดไฟเลี้ยว หักเข้าเทียบทางเท้า ขวับ ตัดหน้ารถตฤณกระชั้นชิด ตฤณแหกปากร้องสุดเสียง กระทืบเบรก รถชนท้ายรถพิมพ์เดือนดังโครม
พิมพ์เดือนนั่งอึ้ง ตกใจอยู่ในรถ
ตฤณโมโหทุบพวงมาลัยโครมๆ หน้างอ เปิดประตูรถลงมาเดินตรงไปยังรถพิมพ์เดือน เคาะกระจกอย่างฉุนเฉียว
“นี่ คุณลงมาเลย”
พิมพ์เดือนลงมาจากรถ มีรอยลิปสติกจากมุมปากไปถึงหู
“คุณขับรถยังไงฮะ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเลนพรวดมา”
พิมพ์เดือนทำสวยซื่อพูดเสียงอ่อยๆ “คุณต่างหากขับรถมาชนท้ายฉัน”
“ก็คุณเปลี่ยนเลนพรวดแบบนี้ ไฟเลี้ยวก็ไม่เปิด แถมยังแต่งหน้าไปขับรถไปอีก”
“ใครบอก”
“ไม่ต้องมีใครบอกหรอก คุณน่ะทาลิปสติกเลยขึ้นไปถึงขมับแล้ว”
พิมพ์เดือนชะงัก ก้มลงส่องกับกระจกข้าง
“ว้าย”
พิมพ์เดือนเอามือเช็ดป้อยๆ หันมาหาตฤณทำหน้าสำนึกผิด ตฤณยังโมโหอยู่ มองเห็นป้ายร้านเจ๊เล้ง
“อ้อ รู้แล้ว คุณคงบ้าความสวยความงามขนาดหนัก พอเห็นป้ายเจ๊เล้งก็หักพรวกเข้ามาเลย”
พิมพ์เดือนแถ “ไม่จริงนะ”
“ไปโทร.เรียกประกันมาเลย ผมก็จะโทร.เดี๋ยวนี้”
พิมพ์เดือนหน้าเสีย สารภาพ
“อย่าเรียกประกันเลยค่ะ นี่รถพี่สาวฉัน ฉันไม่อยากให้พี่รู้”
“อ้าว นี่ขโมยรถเขามาขับหรือ”
“ไม่ใช่นะคะ...นะคะ...นะคะ”
พิมพ์เดือนอ้อนทำหน้าคล้ายลูกแมวประจบ ตฤณมองดูเห็นความงามสดใสก็เริ่มใจอ่อน หันไปดูรถ เห็นว่ารถตัวเองอาการน้อยกว่าท้ายรถคู่กรณีมาก
“ก็ได้ แล้วจะยังไง”
“ฉันจะซ่อมให้คุณเอง”
“เอานามบัตรคุณมา...นามบัตรผมอยู่ในรถ”

ตฤณเดินมาที่รถตัวเอง พิมพ์เดือนเดินตามมา ตฤณเปิดประตู โก้งโค้งหานามบัตรในกระเป๋า ไม่มีจึงเปิดประตูหลัง ของสิ่งหนึ่งหล่นลงมายังพื้นฟุตบาท
พิมพ์เดือนมองดู ขมวดคิ้ว ตฤณถอยมาดูแล้วตาเหลือก ด้วยของสิ่งนั้นคือตุ๊กตายาง ที่มีระบบเป่าพองลมได้อัตโนมัติ
“ว้าย คุณ...พวกจิต”
“ไม่ใช่นะคุณ นี่ของบำบัด”
“บำบัดอะไร คนลามก”
“ไม่ใช่”
พิมพ์เดือนมองเข้าไป เห็นของลามกอื่นๆ อีก เต็มลังกระดาษใหญ่ ถึงกับตาเหลือก
“ว้าย...”
พิมพ์เดือนวิ่งหนีไปขึ้นรถ ตฤณจะวิ่งตาม แต่มือตุ๊กตาดันมาเกี่ยวไว้ ระหว่างนี้เริ่มมีผู้คนหยุดดู คว้ามือถือมาถ่ายรูป ตฤณละล้าละลัง พิมพ์เดือนขับรถหนีไปต่อหน้า ตฤณดึงตุ๊กตาขึ้นมา มองตามอย่างโมโห ทุบตุ๊กตายางโครม ตุ๊กตาปล่อยลมพี้ออก ลีบคามือ ผู้คนรอบด้านมองประณาม
พิมพ์เดือนขับรถหนี สีหน้าสนิมสร้อยกลายเป็นเจ้าเล่ห์
“แค่นี้ก็รอดมาได้แล้ว ตุ๊กตายางช่วย ฮิฮิ”
พิมพ์เดือนมองกระจกหลัง ทำหน้าขยะแขยง

“หน้าตาก็ดี ไม่น่าเป็นพวกโรคจิตเลย อี๊”


อ่านต่อหน้า 2

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7 (ต่อ)

คุ้มร้างตกอยู่ในความมืดสลัวตอนกลางคืน ก่อนที่ดวงจันทร์จะเคลื่อนออกจากเมฆ ทอแสงแจ่มกระจ่างบนท้องฟ้า

ตรงบริเวณเติ๋นยกพื้นกลางเรือนร้าง เจ้านางยอดหล้านั่งนิ่งอยู่บนตั่ง นางผัน นางเผื่อน หมอบอยู่กับพื้น ร่างของทั้งสามเป็นเงาเลือนราง ท่ามกลางความเก่าแก่ผุพัง แก้วยืนอยู่ห่างออกมา ในมือถือตะเกียง ร้องเรียก
“เจ้านาง เจ้านางครับ”
ยอดหล้าลืมตาขึ้น
“เจ้าตรี เอ้อ หลวงเทพใกล้จะมาถึงแล้ว”
ยอดหล้าคลี่ยิ้มระบายทั่วหน้า
“ข้ารู้แล้ว”
ยอดหล้าดวงหน้าใสกระจ่างลุกขึ้นกรายตัว ท่วงท่าทางคล้ายเป็นเจ้านางน้อยวัย 18 อีกครั้ง ตรงเรือนร้างใดที่ยอดหล้าเยื้องกรายไป ก็กลับมลังเมลืองเป็นสีทอง เพียงครู่เดียวคุ้มร้างผุพังก็กลายเป็นคุ้มน้อยอันงดงามตระการ ตา ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อน กลายเป็นร่างคนสมบูรณ์คล้ายมีเลือดเนื้อ ยอดหล้าก้าวมาที่ขันสาคร โบกมือ
น้ำในขันกระเพื่อม กลายเป็นภาพรถจากสนามบินแล่นเข้ามาสู่บริเวณคุ้มใหญ่ ยอดหล้ายิ้มสมใจ นางผัน นางเผื่อน คลานเข่ามาชูคอดู
“เจ้านาง ผม...”
แก้วพูดไม่ทันจบคำ ถูกยอดหล้าโบกมือไล่
“ไป เจ้าไปได้แล้ว ดูแลต้อนรับพี่เทพของข้าให้ดี”
แก้วสะอึก น้อยใจนิดๆ ก้มศีรษะลง แล้วถือไฟฉายใหญ่เดินกลับไป
จากนั้นยอดหล้าทรุดลงนั่งเอนบนตั่ง มองดูน้ำในขันใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ

รถตู้นักแสดงแล่นมาจอดลงหน้าคุ้มเวียงแก้ว ฐาปกรณ์ รัก มีมี่ มูมู่ มารอรับ ตาทอง สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน 2 คนงานชาย และพวกแม่ครัว สาวใช้อีก 2-3 นาง มารอดารากันเป็นทิวแถว
ประตูรถเปิดออก ลูกกบลงมาจากตอนหน้าไปเปิดบานประตูเลื่อน มีรองเท้าบู๊ททรงงดงามยื่นมา ก่อนจะเห็นบีบีเจ้าของบู๊ท ห่มเครื่องเพชรแพรวพราวลงมา มือกระพือพัดขนนกยูงไปมา บรรดาผู้มาต้อนรับมีอาการตื่นตะลึงว่า อีกะเทยยักษ์คนนี้คือใคร
ยอดหล้าขมวดคิ้วเพ่งมองดูเหตุการณ์ในขันน้ำ นางผัน นางเผื่อน ซุบซิบ เพราะมนุษย์ประหลาดแบบนี้ไม่มีในยุคก่อน
ตรีภพลงมาเป็นคนที่ 2 เหลียวมองดูคุ้มหลวง
ยอดหล้ายิ้มตื้นตัน ดวงตาเปี่ยมรัก น้ำตาเอ่อขึ้นเต็มตา
ตรีภพหันกลับไปที่รถตู้ เรียกพิมพ์ดาว
“อ้าวคุณ ตื่นๆ”
“บ้า ฉันไม่ได้หลับย่ะ
พิมพ์ดาวมีอาการคล้ายนึกบางอย่างออก หล่อนเปิดกระเป๋าหยิบสร้อยเขี้ยวเสือไฟมาสวมคอ แล้วก้าวลงมา ยอดหล้ามองดู
พิมพ์ดาวก้าวลงจากรถ มองดูคุ้มตรงหน้า
ภาพหน้าคุ้มกลายเป็นภาพในขันน้ำ น้ำกระเพื่อมนิดหนึ่ง ภาพพิมพ์ดาวเลือนไป 3 ผีนายบ่าว แลไม่เห็นพิมพ์ดาว!
“พี่เทพ พี่เทพของข้า” ยอดหล้าร่ำร้อง
“ยังหล่อเหลาเหมือนแดนอินทร์เจ้า”
“ใครว่า รูปงามกว่าเดิมอีก”
ยอดหล้ายิ้ม ผลัก 2 นางข้าไทหัวซุนไป

ที่รถตู้บีบีชะโงกดู มาลารินชุดคับติ้ว ขยับออกมาอย่างลำบาก
“คุณตรีขา ช่วยลินซี่หน่อยค่ะ”
พิมพ์ดาวแกล้ง “เร็วซีคะ ช่วยคุณลินหน่อย”
ตรีภพเซ็ง ยิ้มแล้วเข้าไปส่งมือให้ มาลารินวางมือลงในมือตรีภพ ประคองลงมา เห็นว่าชุดที่ใส่นั้นไม่ใช่ชุดเดินทาง แต่เป็นเสื้อเปลือยไหล่ รัดเอวกิ่ว กระโปรงระบายพลิ้ว อกยื่นไปข้างหน้า ก้นกลึงมนยื่นไปข้างหลัง
บรรดาผู้มารอรับฮือฮา ร้อง “พระเอก” / “นางเอก” เซ็งแซ่
รองเท้าส้นเข็มจมดิน มาลารินซวนเซเกาะตรีภพไว้ อกเบียดแขนตามเคย
ยอดหล้าชะงัก ดวงตาวาว 2 นางบริวารด่าทอ
“ว้าย นังวอก”
“นังนี่มารยาสาไถยเจ้า เจ้านาง”
“ผู้ใดถามเจ้า”
ยอดหล้าตาวาว เพ่งมองมาลารินในขันน้ำ

ผู้ที่ก้าวลงมาต่อจากนั้นเป็นแพท ตามด้วยดาราอาวุโส ที่เล่นเป็นพิชิตชัย อำภา หอมุก สร้อยคำ แสงอินทร์
กลุ่มฐาปกรณ์เข้ามาต้อนรับ ดูแล ถามไถ่ เชิญเข้าบ้าน กลุ่มตาทอง สายใจ มารุมมองจ้องอย่างตื่นตาเกี๊ยวก๊าว
ตรีภพก้าวมาหาพิมพ์ดาวที่มองดูคุ้มนิ่งอยู่ บีบีดึงมาลารินไปจัดเสื้อผ้า

จันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่เหนือยอดคุ้มหลวง เห็นยอดคุ้ม หอคำ หอสูง ตระการตา พิมพ์ดาวรู้สึกวูบวาบประหลาดในใจ รำพึงแผ่วเบา
“คุ้มหลวง...คุ้มหลวงหอคำแห่งเวียงแก้ว”
เช่นเดียวกับตรีภพ “แปลกจัง เหมือนผมเคยเห็นคุ้มนี้มาก่อน ไม่ใช่ เหมือนผมเคยมาที่นี่มาก่อนต่างหาก”
พิมพ์ดาวมองตรีภพ ไม่กล้าพูดว่า ตนเองก็รู้สึกเช่นนั้น
ยอดหล้ามองดูภาพในขันน้ำ พบว่าตรีภพยืนอยู่คนเดียว มองดูคุ้ม
จู่ๆ มาลารินถลามาเกาะแขนตรีภพ
“เข้าข้างในกันเถอะค่ะ”
ยอดหล้าอารมณ์เสีย โบกมือสะบัด น้ำกระเพื่อมขึ้นลง ภาพหายวับไป
“นังดารารายก็ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ยังมีนังแพศยานี่ มาจากไหนกันอีก”

คณะทีมงานที่มาถึง ถูกเชิญเข้ามาในคุ้มหลวง บีบี มาลาริน ตรีภพ แพท พิมพ์ดาว และดาราอาวุโส ยืนมองดูรอบๆ ตัว อย่างตื่นตาตื่นใจ ฐาปกรณ์ มีมี่ มูมู่ สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน ช่วยกันดูแลต้อนรับ มาลารินทำท่าเรียบร้อยแสนหวาน ไหว้ดะ สายใจ เฟื่องฟ้า และระริน
“ลินซี่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน แทบช็อก
“โถ คุณ อย่าไหว้พวกดิฉันเลยค่ะ” สายใจบอก
มาลารินตรงเข้าไปกอดทักทาย มีมี่ มูมู่ จูบแก้มซ้ายขวา
“พี่มีมี่ มูมู่ เป็นยังไงบ้างคะ”
“อุ๊ย คุณน้องขา หัวเกือบโกร๋นน่ะค่ะ” มีมี่เปิดประเด็นสยอง
มูมู่เสริม “ของเขาแรงจริงๆ”
ตรีภพ พิมพ์ดาว บีบี และแพท มองเป็นตาเดียว สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน มองหน้ากัน
“ว้าย หมายความว่ายังไง มีผีเหรอ” บีบีซัก
แพทร้องด้วย “ว้าย ผีเหรอคะ”
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน มองหน้ากัน
“เอ้อ...” สายใจอึกอัก
มีมี่อ้าปากจะเม้าท์ “อุ๊ย ก็จะอะไรละคะ”
ฐาปกรณ์นั่งอยู่กับดาราอาวุโสมองมาตาเขียว ทุบโต๊ะเปรี้ยง

“อีมี่ อีมู่ อย่าเพ้อเจ้อ”

มาลารินคาใจ ซักไซ้ไล่เรียง

“พี่มีมี่ พี่มูมู่ ตกลงหมายความว่ายังไงคะ”
มีมี่ มูมู่ คิดหาคำตอแหลเป็นการด่วน
“พี่ไปลองแชมพูพื้นเมืองสูตรมะเกี๋ยงค่ะ ของมันแรง” นางว่า
มูมู่รับกันปี่เป็นขลุ่ย “ใช้แล้วผมร่วง หัวเกือบโกร๋นค่ะ”
มาลารินพยักหน้า “โถ คิดว่าอะไร”
บีบีเซ็ง “ต๊าย ฉันก็คิดว่าเจอผี”
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน มอง มีมี่ มูมู่ เป็นเชิงขอบคุณที่แก้สถานการณ์ให้
ระรินกระซิบ “ต๊าย ตอแหลขั้นเทพ”
พิมพ์ดาวแน่ใจว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น หล่อนเอามือลูบสร้อยเขี้ยวเสือไฟโดยไม่รู้ตัว
ตรีภพถามขึ้น “พี่ไอ้แก้วล่ะครับ”
สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน มองหน้า
ตรีภพรู้ตัว “เอ้อ ขอโทษครับ ผมเรียกกันมาจนติดปาก”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ยังไงฉันก็เป็นไอ้แก้วคนเดิมอยู่” เสียงแก้วดังมาจากมุมหนึ่ง
ทุกคนหันไป เห็นแก้วก้าวเข้ามา ปากยิ้มแย้ม แต่กลับดูเย็นชาโดยประหลาด ตรีภพก้าวไปหาสวมกอด
“พี่แก้ว คิดถึงว่ะ”
แก้วสะอึก อึ้งเล็กน้อย แล้วกอดตอบ
“เหมือนกัน”
แก้วผละออก หันไปมองดูคนอื่นๆ มาลาริน บีบี แพท พิมพ์ดาว ขยับมาหา ฐาปกรณ์เองก็เข้ามา ดาราอาวุโสมาใกล้
“สวัสดีครับ คุ้มเวียงแก้วยินดีต้อนรับ” แก้วเอ่ยปากต้อนรับ
มาลาริน บีบี แพท พิมพ์ดาว มองดูแก้วอย่างสนใจ ยกมือไหว้ รวมทั้งบรรดาดาราอาวุโสก็ไหว้ แต่แก้วแค่ค้อมหัวให้ ปากยิ้มเรื่อยๆ บรรดาผู้ใหญ่อึ้งกัน
ตรีภพเองก็อึ้งกับท่าทีแก้วที่เห็น แก้วหันไปหาฐาปกรณ์
“ผมว่าเชิญทุกคนขึ้นห้องพักก่อนดีกว่า อีกชั่วโมงนึงขอเชิญที่ศาลากลางสวนครับ”
แก้วหันไปหาตรีภพ
“พี่จะพาแกไปห้องเอง”

ตรีภพมองออกไปนอกระเบียงห้องพัก เห็นแนวต้นไม้มืดทะมึนเบื้องนอก แล้วหันมา แก้วยืนมองอยู่
บนเตียง กระเป๋าเดินทางเปิดอ้าอยู่
“คุ้มนี้ยิ่งกว่าที่ผมนึกภาพเอาไว้อีก ตอนที่พี่บอกว่ามีมรดกพันล้าน ผมคิดว่าพี่พูดเล่น แต่นี่ผมว่าเกินพันล้านว่ะ”
แก้วยิ้มขรึมๆ
“ฉันยังไม่รู้เลยว่า ทรัพย์สมบัติของเชื้อวงศ์เวียงแก้วมีเท่าไรกันแน่”
“โชคชะตานี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ” ตรีภพแซวขำๆ
“แต่ก่อนฉันเป็นยาจก”
“แต่ตอนนี้พี่เป็นเจ้าชายไปแล้ว โชคชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ”
แก้วเมินมองไป แลเห็นคุ้มหอสูงของคุ้มร้างโผล่พ้นแนวไม้
“ไม่ใช่ฟ้าลิขิตหรอก แต่เป็นอย่างอื่น”
ตรีภพมอง แต่ไม่ได้ถามว่าอย่างอื่นคืออะไร
“บางที...ฉันอยากเป็นไอ้แก้วคนเก่ามากกว่า”
“อ้าว ไหงงั้น ทำไมวะพี่”

แก้วมองตรีภพ คล้ายมีแววสับสนบางอย่าง แต่แล้วกลับยิ้มพูดเล่นกลบเกลื่อน
“แกก็รู้”
“รู้อะไร”
“รู้ว่าอำนาจอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ด้วย”
“โถ ไอ้พี่แก้วสไปดี้”
ตรีภพหัวเราะตบไหล่แก้ว ก่อนจะเดินไปรื้อของต่อ แก้วยืนมองมีแววขมขื่นในดวงตา

ด้านพิมพ์ดาวอยู่ในห้องพัก ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ เห็นแพทใส่ชุดไทยเหนือ แต่โชว์เนินอก เปิดพุง
“อะไรกันคะนี่”
“ก็คุณแก้ว บอกจะเลี้ยงขันโตก แพทก็แต่งตัวให้เกียรติเจ้าภาพไงคะ”
“จริงเหรอ ว้า พี่ไม่มีชุดแบบนี้ซักชุดนึง”
“ยืมของแพทไหมคะ แพทมีสไบมาตั้ง 5 ผืน”
“ไม่เอาหรอก ชุดเธอน่ะประหยัดผ้าเกินเหตุ”
พิมพ์ดาวเย้า แล้วหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า หาเสื้อผ้าสำหรับงานเลี้ยง แพทหัวเราะคิกคัก
“พี่พิมพ์เป็นนางร้ายยุคใหม่นะคะ ไม่ค่อยยอมโชว์”
“มันไม่ค่อยจะมีให้โชว์น่ะซี เธอไม่เคยอ่านที่เขาเขียนเหรอ ว่าละครเดี๋ยวนี้ นางร้าย นางอิจฉา ไม่ค่อยแต่งตัวโป๊”
แพทเอียงคอฉอเลาะ “เพราะอะไรคะ”
“เพราะว่านางเอกสมัยนี้ แต่งโป๊แทนแล้ว”
แพทหัวเราะคิก “จริงค่ะ ดูอย่างคุณลินซี่ แกแอ๊บแบ๊วแหววแสนดี แต่นมยื่นทุกชุด”
พิมพ์ดาวจุ๊ปากขำๆ “จุ๊ๆ เขาอยู่ห้องข้างๆ นี้นะจ๊ะ”
แพทคอหด สองนางร้ายนิสัยดีหัวเราะกัน

ฟากบีบีแต่งชุดสไตล์ชุดของนาการ่ากรุยกราย ห่มเครื่องเพชรเดินกรายไปมา มาลารินในชุดไทยเหนือแบบไทยใหญ่ แต่เสื้อเกาะอกตัวในเกือบหลุดจากอก
“นี่ ฉันว่าคุณแก้วก็น่าสนนะยะ”
“แต่ท่าทางเขาไม่ชอบไม้ป่าเดียวกันมั้งคะ”
มาลารินแกล้งพูด บีบีสะดุ้ง
“ว้าย! ฉันไม่ได้จะเอาเอง ฉันหมายถึงหล่อน”
มาลารินย่นจมูก พูดตามที่เห็น “หน้าตาก็หล่อดี แต่ท่าทางแปลกๆ ดูซีดๆ เย็นๆ ชาๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“แค่รวยพันล้านข้อเดียวก็พอแล้ว ข้ออื่นไม่ต้องติ๊กเลย”
มาลารินยักไหล่เชิงไม่สนใจ บีบีค้อนขวับ ถลามาเป่าหูใกล้ๆ
“นี่ ฉันรู้ว่าหล่อนเทคิวทั้งเงินทั้งทองมาก็เพราะหวังจะฟันคุณตรี แต่หล่อนไม่น่าจะมองข้ามโอกาสดีๆ ไปนะยะ”
“ก็ใครว่าลินมองข้ามละคะ เดี๋ยวคืนนี้ก็น่าจะมีจังหวะดีๆ ไว้สานสัมพันธ์”
กะเทยถึกชอบใจใหญ่ “เลิศ...หล่อนเลิศ”

มาลารินเอียงตัว ลองซ้อมโพสท่ายั่วยวนหน้ากระจกราวกับนางร้ายก็ไม่ปาน

อ่านต่อหน้า 3

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่ศาลากลางสวน ซึ่งเป็นศาลาทรงสี่เหลี่ยมขนาดกว้างใหญ่ หลังคาเป็นชั้นซ้อนกันหลายชั้น มีการจุดคบไฟและผางประทีปรายรอบ บนศาลามีการจัดเลี้ยงขันโตกต้อนรับทีมงาน เห็นขันโตกหลายวงตั้งอยู่ ทุกคนนั่งประจำที่แล้ว

ที่วงประธาน มีแก้ว ตรีภพ ฐาปกรณ์ บีบี มาลาริน และพิมพ์ดาว อีกวงมีลูกกบ ดูแลดาราอาวุโสทั้ง 5-6 คนอยู่ อีกวงก็คือกลุ่มเก้ง รัก มีมี่ มูมู่ อีกวงเป็นกลุ่มอาจารย์ที่มาให้คำปรึกษากับคณะละคร 4 คนกับแพท ทุกคนแต่งกายตัวชุดพื้นเมืองทางเหนือหรูหรา บ้างเอามาเอง บางคนแก้วจัดให้ มีการกินอาหารเหนือล้วนๆ
ตรงหน้ามีวงสะล้อซอซึงกำลังบรรเลงเพลง ให้คณะช่างฟ้อนนางรำที่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้นศิลปวัฒนธรรมทางเหนือพามาร่วมงาน กำลังฟ้อนอยู่ 5 นาง ตัวนำนั้นสวยสะพรั่ง เป็นนักศึกษาปี 1
ตรงวงประธาน ตรีภพแต่งตัวเป็นเจ้าเหนือ พิมพ์ดาวห่มสไบเป็นเจ้านาง มีบีบีคนเดียวที่เป็นชุดเหนือสไตล์นาการ่า ตรีภพเอียงหน้ามาคุยกับแก้ว
“นี่ต้องจัดเต็มขนาดนี้ด้วยหรือ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแก ก็คงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก”
แก้วพูดคล้ายพูดเล่น ตรีภพหัวเราะ พูดตอกกลับ
“ขอบใจ เอ๊ย ขอบพระคุณที่เจ้ากรุณา”
“ใช่ นี่คือความกรุณาของเจ้า.. เจ้าของคุ้มเวียงแก้วนี้”
แก้วเมินหน้าไป ตรีภพมองดูพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวมองดูภาพตรงหน้า
ภาพงานเลี้ยงในอดีตผุดขึ้นมาแว้บๆ เป็นตอนที่หลวงเทพภักดีกับดาราราย นั่งเคียงกันดูการละเล่นตรงหน้า พิมพ์ดาวกระพริบตา ตรีภพมองอยู่เอียงมาถาม
“คุณ! เป็นอะไร”
“เปล่านี่”
“คุณแต่งตัวแบบนี้ดูแปลกตาจัง”
“ไม่ต้องมาชมฉัน”
“ใครบอกว่าชม ผมบอกว่าแปลก”
พิมพ์ดาวค้อนขวับ แล้วเชิดใส่

มาลารินดูอยู่ เห็น 2 คนคุยกันกระหนุงกระหนิง ก็ขุ่นใจนิดๆ แล้วยิ้มตาแป๋วเอียงตัวมาคุยกับแก้วที่นั่งติดกัน
“เจ้าขา”
แก้วถ่อมตัวตามเคย “ผมมันแค่เจ้าปลายแถว อย่าเรียกอย่างนั้นเลยครับ”
บีบีพยักพเยิดพอใจลูกสาว มาลารินชี้อาหาร
“ลินซี่ตื่นตาตื่นใจมากค่ะ นี่คืออะไรคะ”
“ของกินพื้นเมืองน่ะครับ นี่คือน้ำพริกหนุ่ม”
“แล้วนี่ละคะ”
“ไส้อั่วครับ”
จังหวะนี้ฐาปกรณ์เอามือถือมาดู
บีบีมองอยู่ “มาดามจะมาเมื่อไหร่คะเนี่ย คุณฐา”
“มะรืนนี้ครับ”
“แล้วพรุ่งนี้มีคิวทำอะไรอีกคะ”
“ผมจะออกไปดูโลเกชั่นเพิ่ม แล้วก็ติดต่อ ประสานงานอีกนิดหน่อย พวกคุณก็พักผ่อนตามสบาย
“อู๊ย ดีค่ะ”
พิมพ์ดาวกินอาหาร ที่คอเสื้อเห็นเขี้ยวเสือไฟห้อยคอ ตรีภพเหลือบมอง

ภาพเหตุการณ์งานเลี้ยงขันโตก ปรากฏในขันสาคร ยอดหล้านั่งเอนตัวมอง นางผัน นางเผื่อน คุกเข่ายืดตัวสุดชะเง้อดู
ภาพในขันน้ำเป็นตรีภพ ซึ่งแท้จริงพิมพ์ดาวอยู่ใกล้ๆ แต่มีน้ำกระเพื่อมบัง ยอดหล้าดวงตาฉ่ำด้วยความรัก
“ดูพี่เทพของข้าซี...ช่างเหมือนวันวานหวนคืนมาอีกครั้ง”
“ดูนังแพศยานั่นซีเจ้า” นางผันหงุดหงิดท่าทีมาลาริน
ยอดหล้าขมวดคิ้ว
ภาพในขัน เป็นภาพมาลารินก้มตัว นมเกือบหลุดออกมา แล้วเอาอาหารป้อนแก้ว
“นังนางเอก!”
“แต่ดูเหมือนนังตอแหลนะเจ้า” นางเผื่อนสอพลอ
“ใช่เจ้า ดูตอแหล ตอแหลเหมือนอีเผื่อนเจ้า”
นางผัน นางเผื่อน ค้อนควัก หยิกตีกันตามประสาผีขี้เม้าท์
“มันต้องมาเล่นละครเป็นข้า น่าชังนัก”
“ดูซี มันเล่นหูเล่นตากับเจ้าแก้วเจ้า”
“ช่างปะไร...อย่ามาเข้าใกล้พี่เทพของข้าก็แล้วกัน”
ยอดหล้าโบกมือ เพ่งพิศดูแต่ภาพตรีภพ

เพลงจบลง บรรดาช่างฟ้อนนางรำเข้ามาจัดคอมโพสต์ยืนนิ่ง ชาวคณะในวงขันโตกปรบมือให้เกรียวกราว นางรำไหว้แล้วทยอยกรายตัวลงจากยกพื้น วงสะล้อซอซึงยังบรรเลงหล่อเลี้ยงบรรยากาศงานเลี้ยงขันโตกต่อไป
ที่วงประธาน มาลารินยังคงสงสัยไม่เลิก เอียงคอ ถามแก้ว
“ทำไมเขาเรียก สะล้อ ซอ ซึง ละคะ”
“สะล้อคือเครื่องสีแบบซอนั่นแหละครับ แล้วที่จริงก็คือคำเดียวกัน”
“โอ ไอซีค่ะ”
ตรีภพกับพิมพ์ดาวมองพฤติกรรม มาลารินอยู่ ทั้งขบขันและยกย่อง แล้วหันมาคุยกัน
“เพลงพื้นเมืองทางเหนือนี่ ฟังแล้วเย็นๆ ช้าๆ นะคุณ”
“ไม่ทราบค่ะ ไม่ใช่คนแถวนี้”
ตรีภพเซ็ง
เพลงจบลง คณะขันโตกปรบมือให้ สักครู่เห็นนางรำตัวนำถือซึงเดินมานั่งหน้าวง พวกในวงกำลังจะขึ้นเพลงใหม่ เลิกลักไถ่ถามกัน นางรำตัวนำเงยหน้าขึ้น เยื้อนยิ้มมองตรงมาด้านล่าง
แก้วกำลังให้ข้อมูลมาลาริน
“แล้วซึงละคะ
“เป็นเครื่องดีด อย่างที่น้องนั่นกำลังจะเล่นน่ะครับ”
นางรำพลันดีดบรรเลงเพลงซึง เสียงซึงนั้นฟังไพเราะเพราะพริ้งกังานไปทั่ว
คณะวงขันโตกชะงัก เพราะลีลาการเล่นนั้นเหนือกว่าวงด้านหลังมาก ทุกคนมองดูฉงนฉงาย
แก้วมองขึ้นไปแล้วใจหายวับ ไม่รู้ว่าเจ้านางยอดหล้าจะทำอะไร กลุ่มวงสะล้อก็ซุบซิบกันงงๆ
ตรีภพกับพิมพ์ดาวมอง แล้วต่างจำเพลงได้
“นี่มัน...” ตรีภพคุ้นมากๆ
พิมพ์ดาวบอก “เพลงดวงดาว”
นางรำพลันร้องคลอ
“เจ็บช้ำนักเก็บรักไว้ในอก ใจเจ้าเอยเพ้อพกช่างเหน็บหนาว”
ตรีภพสะอึก อึ้ง นิ่งงัน พิมพ์ดาวคล้ายอัดอั้นขึ้นมา
ฐาปกรณ์ตะลึงฟัง อ้าปากหวอ บีบียักไหล่ มาลารินเอียงคอตาแป๋ว แก้วนั่งขรึม บรรดาคนอื่นก็ฟังอย่างตั้งใจ
“รอเวลาเมื่อไรหนาเจ้าดวงดาว จะหวนคืนส่องสกาว ณ กลางใจ”
ตรีภพเอื้อนกลอนคำร้องออกมา พร้อมการร้องของนางรำ
เสียงซึงแว่วหวานประสานเสียงร้องเศร้าสร้อย ใกล้จบลง ตรีภพรำพึง

“ผมเป็นคนแต่งเพลงนี้ ให้เจ้ายอดหล้า”

ภาพตรีภพรำพึงปรากฏเป็นภาพในขันน้ำ ยอดหล้าปรีดิ์เปรมดวงตาวาววาม

“พี่เทพ ข้ารู้ว่าท่านต้องจำเพลงของเราได้”

ตรีภพอยู่ในภวังค์ พิมพ์ดาวขมวดคิ้ว
ตรีภพรู้สึกตัวหันมาบอกหล่อน “ผมเป็นคนแต่งเพลงนี้”
“คุณหมายถึงหลวงเทพใช่ไหม”
“ฮะ หลวงเทพเป็นคนแต่งเพลงนี้”
เพลงจบลง นางรำก้มหน้าลง
ฐาปกรณ์ดี๊ด๊าชอบใจปรบมือนำ แทบจะวี้ดวี้ว กระทืบเท้าด้วย คนอื่นปรบมือตาม ยกเว้นแก้วที่ครุ่นคิด ฐาปกรณ์หันมาทางแก้ว
“ไอ้แก้ว เอ๊ย คุณแก้ว นี่เตรียมเพลงนี้ไว้เซอร์ไพรส์ใช่ไหมนี่”
“ผมเองก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน”
“นี่ผมกำลังให้ครูเพลงแต่งทำนองเพลงนี้อยู่ นี่ต้องไปแคนเซิลแล้ว เอาเพลงนี้แหละ ซื้อ ซื้อ” ฐาปกรณ์เริงร่า
ทุกคนมองดูท่าทีลิงโลดของผู้กำกับติสท์แตก ทันใดก็มีเสียงดังเปรื่องปร่าง ซึงในมือเด็กสาวนางรำ หล่นคว่ำลงกับพื้น พร้อมๆ กับร่างนางรำเอนพับไปคล้ายสิ้นสติ
มาลารินกรี๊ด “ว้าย”
บีบีตกใจ “ว้าย ลูกขา เป็นอะไรไปแล้วคะ ลูกขา”

วงสะล้อบรรเลงเพลงต่อไป แขกส่วนใหญ่ยังรับประทานอาหารต่อ ส่วนที่นอกศาลาห่างออกมา ฐาปกรณ์ มีมี่ มูมู่ ตรีภพ พิมพ์ดาว แก้ว มาดูนางช่างฟ้อนนางรำที่เป็นลม สักครู่หนึ่งเด็กสาวเบือนหน้าหนีแอมโมเนีย ลืมตาขึ้น บรรดาเพื่อนนางรำดูอยู่วงนอก วิพากษ์กันแซด
“เป็นไงบ้างคะ หนูขา” มีมี่ถาม
เด็กสาวงงงวย “หนูเป็นอะไรไปคะ”
“ว้าย หนูเป็นลมไปน่ะซีคะ” มูมู่บอก
มีมี่อธิบาย “หนูเอาซึงขึ้นไปเล่นเพลงไทยเหนือ เพร้าะ เพราะ”
เด็กสาวเบิกตากว้าง
มูมู่เสริม “พอฟินนาเล่ หนูก็สปีสซั่ม เป็นลมสว่านล้มไป”
เด็กสาวตะลึง “อะไรนะคะ ไม่จริงค่ะ”
ฐาปกรณ์งงใหญ่ “อ้าว ไอ้แก้ว เอ๊ย คุณแก้ว นี่ไม่ได้ซ้อมกันมาหรอกหรือ”
แก้วไม่ตอบ
ตรีภพฉงน “มันยังไงกันแน่ครับ”
พิมพ์ดาวแปลกใจมาก “หนูลองเล่าซีคะว่าเกิดอะไรขึ้น”
เด็กสาวผวา ยิ่งออกอาการกลัว ลนลาน ทำท่าจะร้องไห้
“พอหนูฟ้อนเสร็จลงมาก็มีเงาพุ่งเข้ามาหาหนู แล้วหนูก็ไม่รู้ตัวอีกเลย จนเดี๋ยวนี้นะค่ะ” นางรำว่า
ตรีภพ พิมพ์ดาว อึ้ง มีมี่ มูมู่ ตาเหลือก
“เงาดำ” มีมี่ปากดี
มูมู่ตาม “ว้าย ผี”
ฐาปกรณ์ตวาด “เฮ้ย หุบปากนะ อีกสองตัว ผีเผออะไรที่ไหน อย่าเที่ยวพูดเพ้อไปนะมึง”
“แต่หนูเล่นซึงก็ไม่เป็น ร้องเพลงก็ได้เอฟมาแล้วนะคะ” นางรำย้ำ
ฐาปกรณ์ถอนใจ มีมี่ มูมู่ มองซ้ายขวาเลิกลัก
แก้วตัดบท “เรากลับขึ้นไปเถอะครับ”
บรรดาเพื่อนนางรำเข้ามารับช่วงดูแล แก้วเดินนำไป ตรีภพกับพิมพ์ดาวมองหน้ากัน

เวลานี้ไฟประดับที่ศาลากลางสวน ต้นไม้ ทางเดินดับลง เหลือเพียงตัวคุ้มที่ยังสว่างไสว
ระเบียงซึ่งเชื่อมตัวเรือนและหอต่างๆ เข้าด้วยกัน ประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองเก่าแก่ มีกระถางสังคโลกปลูกต้นไม้ประดับเป็นระยะ พิมพ์ดาวกับตรีภพเดินมาด้วยกันตามระเบียงนี้ สองคนถกกันเรื่องประหลาดที่เจอ
ตรีภพเอ่ยขึ้น “เรื่องเพลงดวงดาว มันยังไงกันแน่”
“โน คอมเมนท์ค่ะ”
“ตอนที่เรารีดทรูกัน ผมจำบทกลอนนี้ได้ขึ้นใจ เหมือนผมเป็นคนแต่งเอง ไม่ใช่พี่แก้วเป็นคนแต่ง”
พิมพ์ดาวมองดูตรีภพ
“แต่ตอนที่เราอ่าน เราไม่รู้ว่าทำนองเพลงเป็นยังไงนะคะ”
“แต่พอผมมาได้ยินน้องนั่นร้องเมื่อกี้นี้.. ผมก็แน่ใจว่าผมเคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนแน่ๆ”
“อาจเป็นทำนองเพลงเก่าโบราณ ที่ใส่บทกลอนลงไปก็เป็นเพลงใหม่ขึ้นมาได้มั้งคะ”
พิมพ์ดาวพูดไปอย่างนั้น
“ครับ ก็เป็นไปได้ อ้อ ถึงห้องผมแล้ว”
ตรีภพหยุดยืน พิมพ์ดาวหยุดตามด้วย
“เอ นี่ผมควรจะต้องเดินไปส่งคุณที่ห้องตามมารยาทหรือเปล่า”
“ไม่ควร”
ตรีภพพยักหน้า “เออใช่ เพราะเราก็คุ้นเคยกันขนาดนี้ อีกอย่างนี่ผมก็ง่วงจะตายอยู่แล้ว”
พิมพ์ดาวย้อนเจ็บ “ใครไปคุ้นเคยกับคุณ”
ตรีภพอ้าปากหาวยาวเหยียด เปิดประตูห้อง โบกมือลา แล้วผลุบหายไป พิมพ์ดาวค้อนประตู
“อีตาบ้า”
มีเสียงดังมาจากข้างหลัง “แน่ะ งอนกันอีกแล้ว”
พิมพ์ดาวหันมา เห็นแพทเดินตามมาทำหน้ายั่วล้อ พิมพ์ดาวไม่ปฏิเสธ
“เห็นคุยกันจุ๋งๆจิ๋งๆ แพทก็เลยไม่อยากมาขัดคอ”
“ค่ะ กำลังจีบกันอย่างเอาเป็นเอาตายเลยค่ะ”
แพทขำ หัวเราะคิกคัก “ว้าย ฮิ ฮิ ฮิ”

ทันใดนั้นไฟก็ตกหรี่แสงวูบ แพทร้องอุทาน ขยับเข้าจับมือพิมพ์ดาว

อ่านต่อหน้า 3

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ตามทางเดินระเบียงอันทอดยาว เจ้านางยอดหล้าแต่งตัวงดงาม ด้วยพัสตราอาภรณ์เดินมา ดวงตาเปี่ยมความสุข นางผัน นางเผื่อน เดินตามช้าๆ

แพทและพิมพ์ดาวมองไปตามทางเดินยาวนั้น เห็นเพียงสายหมอกจางๆ ลอยกรุ่นมาตามพื้นเท่านั้นไม่เห็น 3 นายบ่าว แพทยิ่งหน้าซีดลง
“เราเข้าห้องเถอะค่ะ”
“ค่ะ”
พิมพ์ดาวและแพทเดินต่อไป สวนกับทิศที่ยอดหล้ากำลังมา
ยอดหล้าก้าวมาเรื่อยๆ นางผัน นางเผื่อน เดินตาม
พิมพ์ดาวและแพทมาถึงหน้าห้อง รู้สึกประหลาด มองไปข้างหน้า เหมือนมีอะไรบางอย่างในอากาศเคลื่อนมา ยอดหล้ามองมาเช่นกัน เห็นเพียงแพทยืนอยู่กลางทางเดินคนเดียว ด้วยพลานุภาพแห่งเขี้ยวเสือไฟ
ยอดหล้ายิ้มเยาะ ไม่แยแส ก้าวต่อไป พร้อมนางผัน นางเผื่อน ร่าง 3 นางนายและบ่าว ก้าวทะลุร่างแพท เดินต่อไป
วินาทีนั้นแพทรู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติผ่านร่าง ผมและชุดขยับด้วยกระแสประหลาด แพทตาเหลือก พิมพ์ดาวดึงแพทเข้าห้องไป พิมพ์ดาวแง้มประตูอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด ก่อนจะปิดประตูลง

ทางด้านบีบีนอนโพกหัวใส่ชุดนอนกรุยกรายนอนหลับบนเตียงหนึ่ง อีกเตียงมาลารินหลับอยู่ มาลารินค่อยๆลืมตา มองดูเห็นบีบีหลับก็ลุกขึ้น ให้เห็นชุดนอนเบบี้ดอลตัวสั้นจู๋และบางจ๋อย มาลารินก้าวย่องๆไปที่ประตู
“นี่หล่อน จะไปไหน” เสียงบีบีดังมาจากด้านหลัง
มาลารินนิ่งหน้าหันมา บีบีลุกขึ้น นั่งมองอย่างรู้กัน มาลารินเชิดใส่
“ลินซี่นอนไม่หลับ”
บีบีลุกขึ้น โก้งโค้งส่งยาให้
“งั้นก็กินยา”
มาลารินอึ้ง รับยามา บีบีมอง มาลารินยักไหล่ยอมกินยา แล้วกระแทกตัวนั่งบนเตียง
“เพิ่งมาถึงวันแรก ก็จะไปตะกายห้องเขาแล้ว ยังต้องอยู่กันอีกเป็นเดือน อดใจรอไปหน่อย คืนนี้คงยังไม่มีใครมาปาดหน้าเค้กหล่อนหรอก”
มาลารินตาเขียว เชิดใส่ บีบีเหี่ยวถอนใจ

ฝ่ายตรีภพเปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดง่ายๆ เสื้อยืด กางเกงวอร์ม ยืนทอดสายตามองออกไปนอกระเบียง บนท้องฟ้ายามนี้ ดวงจันทร์ทอแสงอยู่ แสงจันทร์ต้องจับยอดคุ้มร้าง จนเห็นได้ในระยะไกล ตรีภพมองอย่างแปลกใจ
“ยังมีคุ้มเก่าอีกหลังนึงด้วยหรือนี่”
ยอดหล้าก้าวมายืนเบื้องหลัง มองตรีภพอย่างรักใคร่ผูกพัน ตรีภพหันมา เดินผ่านยอดหล้าไป ตรีภพกลับเข้าห้อง ยอดหล้ามองตาม มีแววขัดใจ

ส่วนแก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองดูเงาสะท้อนของตนเองอย่างสับสน มีความรู้สึกผิดต่อตรีภพ ระคนกับความแหนหวงยอดหล้าที่มีมากขึ้น แก้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ
มีเสียงหัวเราะคิกคักระริกระรี้ดังขึ้น แก้วหน้าบึ้ง ลุกขึ้น หันมากลางห้อง
“เข้ามาทำไมในห้องฉัน”
นางผัน นางเผื่อน ปรากฏตัวเลือนราง
“เจ้านางไล่พวกข้าออกมาเจ้า” นางผันฉอเลาะ
“เจ้านางอยู่ที่ไหน”
นางเผื่อนบอกยวนๆ “จะที่ไหนเล่า ถ้ามิใช่อยู่กับหลวงเทพ”
แก้วขบกราม
“ออกไป ออกไปจากห้องฉัน.. แล้วอย่าไปก่อเรื่องหลอกหลอนใครเป็นอันขาด”
นางผัน นางเผื่อน มองแก้วอย่างล้อเลียน แล้วร่าง 2 ผีนางข้าไทก็จางหายไป แก้วอึดอัดขัดใจเป็นที่สุด

ตรีภพนอนหลับอยู่บนเตียง มีแสงสีทองเรื่อเรืองอาบมา พร้อมกับเสียงซึงแผ่วเบา ตรีภพลืมตาขึ้น พบว่าเตียงนอนกลายเป็นเตียงสี่เสา มีมุ้งโปร่งบางกางครอบอยู่ ตรีภพลุกขึ้นนั่งอย่างแปลกใจ พบว่าห้องทั้งห้องสว่างเรืองรอง งดงามด้วยแสงจากผางประทีปและเชิงเทียน
ตรีภพขยับตัว มือคว้าเอามาลัยที่ร้อยอย่างวิจิตรบรรจง เขายกเอามาแตะจมูก แล้วแหวกม่านมุ้งออกไป
ตรีภพก้าวไปช้าๆ ในห้องที่ดูเหมือนห้องเดิม แต่การตกแต่งกลับไปสู่ยุคอดีตกาลเกือบ 200 ปีก่อน ตีต่างลงรักปิดทอง ม่านผ้าปักฝีมือละเอียดยิบ ฉากกั้นห้องเป็นภาพวาดบนกระดาษบางแบบจีน เสียงซึงยังดังไพเราะอยู่
ตรีภพก้าวไปยังระเบียง ที่ตอนนี้มีผ้าโปร่งบางกันรายรอบ มีร่างระหงอยู่บนตั่ง มีเครื่องแขวนดอกไม้สดอยู่ด้านหลัง ส่งกลิ่นกำจาย ร่างนั้นกำลังดีดซึงบนตัก
ตรีภพก้าวไปมองอย่างตื่นตะลึง ความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน
“เพราะเหลือเกิน”
ยอดหล้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองดูตรีภพ แล้วยิ้มแย้มชายตา
“จนป่านนี้ ท่านก็ยังมาแอบฟังเพลงข้าเจ้าอยู่ พี่เทพ”
ตรีภพฉงนทวนชื่อออกมา 

“พี่เทพ...ผมชื่อตรีภพต่างหาก”

ยอดหล้าหงุดหงิดวางซึงลงข้างกาย แล้วลุกขึ้นก้าวมาใกล้

“ไม่ใช่ ท่านคือพี่เทพ หลวงเทพภักดีของข้าเจ้า”
“นั่นมันแค่ตัวละคร บทบาทที่ผมเล่นต่างหาก”
“ไม่ใช่ ท่านมีตัวตนจริงๆ”
ตรีภพมองดูยอดหล้า จำได้
“คุณคือผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เล่นซึงในความฝันของผม”
ยอดหล้าขยับตัวออกห่างอย่างขัดใจ
“จนป่านนี้ ท่านยังจำข้ามิได้หรือว่าข้าคือใคร”
“คุณคือ เจ้านางยอดหล้า”
ยอดหล้ายิ้มออก ก้าวมาหาอีก
“พี่เทพ ท่านจำข้าเจ้าได้แล้วใช่ไหมเจ้า”
“แต่คุณเป็นแค่ตัวละครในเรื่องแต่ง”
“ข้าเจ้าไม่ใช่เรื่องแต่ง ข้าเจ้าคือยอดหล้าจริงๆ”
“คุณเป็นแค่ความฝัน”
“ท่านจะได้รู้ว่า ข้าเจ้าคือความจริง”
ยอดหล้าก้าวเข้าหาอ้อมอกตรีภพ ซบหน้ากับแผงอก ตรีภพยืนนิ่ง เคลิบเคลิ้มแต่สะกดกลั้นเอาไว้อยู่
“ผม...แต่...ผม...เราไม่ควร”
ยอดหล้าช้อนตามองตรีภพ เอามือจับแก้ม
“ท่านพูดมากนัก พี่เทพ”
ยอดหล้าเขย่งตัว ดึงใบหน้าตรีภพลงมา ตรีภพก้มลงจูบอย่างดูดดื่ม ลมแรงพัดผ้าบางกระพือพลิ้ว ยอดหล้าสุขสมอิ่มเอิบ ตรีภพเคลิบเคลิ้ม
ตรีภพประคองยอดหล้าลงบนเตียง ยอดหล้ายิ้มยวน เอียงอาย ตรีภพเคลิบเคลิ้ม ยอดหล้าผมสยายแผ่ไปบนหมอน
“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน พี่เทพ”
“ผม...ผมชื่อตรีภพ”
จู่ๆ ตรีภพก็ชะงัก คล้ายสติฟื้นคืน ขยับออกห่าง
“ผมไม่ใช่หลวงเทพอะไรนั่น ผมชื่อตรีภพ”
ยอดหล้าเบิกตากว้าง ลุกขึ้น ผมรุ่ยร่าย
“พี่เทพ ทำไมพูดเช่นนี้”
ยอดหล้าคว้าแขนตรีภพ มือยอดหล้าทะลุแขนตรีภพไป ยอดหล้าตกใจ ตรีภพอึ้ง มองดูยอดหล้า
“คุณ!”
ตรีภพยื่นมือมา มือนั้นทะลุร่างยอดหล้าราวเป็นอากาศ ตรีภพลุกพรวดถอยหลัง ยอดหล้าตกใจงุนงง
“ทำไม ทำไมต้องเป็นเช่นนี้”
ยอดหล้ามองดูตรีภพ เห็นแววหวาดกลัวก็ยิ่งเจ็บปวด
“พี่เทพ!”
ยอดหล้าลุกขึ้น แสงมลังเมลืองกลายเป็นมืดหม่น มีแสงสีเขียวจับทุกอย่าง ดูน่าสะพรึงกลัว เรือนผมยอดหล้าสยายแผ่ไปทั้งห้อง เงยหน้ากรีดร้องเสียงดังกัมปนาท
ตรีภพผวาตื่นขึ้นมาบนเตียง ห้องพักอยู่ในสภาพเดิม ชายหนุ่มมองดูรอบๆ พวงมาลัยยังวางอยู่หอมกำจาย ไปทั่วห้อง ตรีภพมองไปยังระเบียง พบว่าประตูเปิดอยู่ ม่านไหวด้วยแรงลมยามดึก ตรีภพมองดูบนหมอนใหม่อีกที พวงมาลัยหายไปแล้ว
ตรีภพอึ้งเล็กน้อย บอกตัวเองว่าเขาคงฝันไป

ที่บริเวณคุ้มร้างอันผุพัง ใบหน้ายอดหล้าดูซูบซีด ดวงตาชั่วร้าย นางผัน นางเผื่อนดูหม่นหมอง แสงสีเขียวอาบร่างและบริเวณนั้น
“ทำไม ทำไม”
“เจ้านางเจ้า ไม่ว่าอย่างไร เราก็มิใช่มนุษย์” นางผันว่า
นางเผื่อนเสริม “ร่างเราเป็นกายละเอียด เรามีกายหยาบได้ชั่วครั้งชั่วคราว”
ยอดหล้าสยายผมยาวกรอมเท้า มองอย่างขุ่นใจ
“นั่นสำหรับเจ้า มิใช่ข้า พลังสมาธิข้ากล้าแข็งกว่าเจ้ามากนัก พี่เทพ.. ทำไมท่านต้องกลัวข้า ท่านเคยรักข้ายิ่งกว่าสิ่งใด”
นางผัน นางเผื่อน มองหน้ากัน แล้วคลานมาแทบเท้า
“เจ้านาง...อย่าทุกข์ร้อนเลยเจ้า”
“ต้องมีมนตราอาคมแก้ไขเรื่องนี้ได้เจ้า”
ยอดหล้าลุกขึ้น นั่งตัวตรง
“ท่านอาจารย์คงมีวิธี...แต่ข้ามิรู้มนต์นี้”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตขณะเถรกระอ่ำยิ้ม มองมาอย่างปราณีผุดขึ้นมาในห้วงอารมณ์นี้ ตามด้วยภาพครูบาสรีชูหัวของเถรกระอ่ำอย่างสะใจ ยอดหล้าลุกพรวดขึ้น
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากได้ท่านกลับมาช่วยข้า...ท่านต้องกลับมาช่วยข้า ท่านต้องกลับมา”
เสียงยอดหล้าดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วแผ่นดินแผ่นฟ้า

นอกคุ้มพลันมืดทะมึน เมฆมหึมาเคลื่อนตัวเกลื่อนท้องฟ้าเข้าบดบังแสงจันทร์
 
อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น