คุ้มนางครวญ ตอนที่ 20
เย็นนั้น ภาพในหน้าปกหนังสือบันเทิง มีภาพข่าวตรีภพกับมาลารินหรา
“เฮ้อ คลิปขึ้นคอนโดกับคุณมาลาริน คลิปจูบกันว่อนเน็ตอย่างงี้ นี่ถ้าฉันเป็นคุณดาวฉันเลิกกะแกไปนานแล้ว
“คุณดาวไม่ได้งี่เง่าเหมือนแก ยิ่งฉันมีน้องพิมพ์เดือนเป็นกาวใจด้วย”
“ยายคนนี้น่ะเหรอกาวใจ น่าจะเข้าไหนก็แตกแยกที่นั่นมากกว่า”
“นี่มันตามสูตรหรือเปล่าวะ สูตรละครน้ำเน่า ทะเลาะกันง่อดแง่ดฟ่อดแฟ่ด เผลอนิดเดียว สุดท้ายท้ายสุด ก็รักกันจนได้”
ตฤณไม่ตอบ แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
จังหวะนี้แก้วในชุดเดินทางเดินออกมา
ตรีภพสังเกตเห็น “อ้าว ไอ้พี่แก้ว นี่จะไปไหนอ่ะ”
“กลับเชียงใหม่ ที่คุ้มโทร.มาว่า มาดามสุพากองถ่ายรายการจับผีบุกเข้าไปถ่ายทำในคุ้มเล็ก ฉันถึงอยากไปดูไง”
“พรวดพราดไปอย่างนี้ พี่มีตั๋วเครื่องบินแล้วหรือ” ตฤณถาม
“ฉันจะขับรถไป” แก้วดูนาฬิกา...แทนสายตาที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 6 โมงเย็น “น่าจะถึงซัก...ตี 1”
“พี่แน่ใจนะว่าเข้มแข็งพอแล้ว ถึงเจ้ายอดหล้าจะยังถูกขังอยู่ แต่ผมก็ยังไม่วางใจ”
“ฉันจะไม่ยอมตกอยู่ในอำนาจสะกดของเจ้ายอดหล้าอีกแล้ว... ฉันไปล่ะตรี...ตฤณ”
แก้วถือเป้เดินออกไป ตรีภพกับตฤณมองตามอย่างเป็นห่วง
คุ้มร้างตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความสลัวรางยามค่ำคืน บนท้องฟ้าจันทร์แรมทอแสงริบหรี่
ประตูรั้วใหญ่คุ้มร้างถูกเปิดออก รถตู้ทีมงานกับรถโอบีจอดอยู่ มีการตั้งกล่องถ่ายทำไปแล้ว ทางด้านหนึ่งเรียวกับจูนนั่งแต่งหน้าทำผมกันอยู่
อีกด้านหนึ่งมีสาวสวย 2 คน กับหนุ่มหล่อ 2 คน นั่งทวนสคริปต์กับผู้กำกับ และพิธีกรสาวสวยนั้นนุ่งฮ็อตแพนท์ เสื้อตัวเล็กจนอกทะลักล้น
ส่วนที่มุมหนึ่ง มาดามสุอยู่กับโปรดิวเซอร์ รักกับลูกกบอยู่ใกล้ๆ
“ถ่ายแค่บริเวณรอบนอกก็พอนะคะ ทางด้านในเขาห้ามเข้าค่ะ” มาดามสุกำชับ
“ถึงอนุญาตก็เข้าไปไม่ไหวครับ นี่ขนลุกเกรียวๆอยู่นี่” โปรดิวเซอร์บอก
รักท้วง “อ้าว แล้วช่วงท้าผี ทำยังไงละครับ”
โปรดิวเซอร์บอก “ถ่ายในโรงถ่ายเอา โธ่ ที่นี่น่ากลัวจะตาย”
มาดามสุพอใจ เรียวกับจูนแต่งตัวเสร็จเดินมาสมทบ โปรดิวเซอร์ส่งสคริปต์ให้
“ไหน ต้องทำอะไรบ้าง” เรียวถาม
โปรดิวเซอร์กัด “เธอก็ตอแหลอะไรก็ได้ เรื่องผีเจ้านางเล่นซึงรอผัวน่ะ”
เรียวยิ้มย่อง “อุ๊ย...อิน”
มาดามสุเดินย่องเงียบกริบมาตามคุ้มร้าง สร้อยเขี้ยวเสือไฟอยู่ในร่องอก ก้าวมาที่บริเวณบันไดแล้วเงยดู บันไดที่ทอดไปสู่ความมืด มาดามสุส่องไฟฉายแรงสูงขึ้นไป ข้างบนดูมืดมิดน่าสะพรึงกลัว มาดามสุมีแววกลัวเล็กน้อย แต่นึกถึงตอนโกยเพชรโกยทองโปรย มาดามสุหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แล้วก้าวขึ้นข้างบนไป
บริเวณชั้นบนคุ้มร้างยังดูทรุดโทรม รกเรื้อด้วยฝุ่น หยากไย่ และเศษชิ้นส่วนหลังคา ขื่อ ที่พังลงมา มาดามสุก้าวมาสาดไฟไปยังตู้ต่างๆ แล้วเข้าไปเปิดดู แต่ไม่มีอะไร มาดามสุหาต่อ แสงไฟฉายจับไปที่หีบเหล็กใบใหญ่ใบหนึ่ง มาดามสุตาลุกโพลง พรวดเข้าไปเปิดออกช้าๆ มองดูแล้วตะลึงพรึงเพริด
เถรกระอ่ำยิ้มสมใจ ขยับก้าวมาเบื้องหน้า ยอดหล้าอยู่เบื้องหลังรับรู้ได้เช่นกัน แต่นางผัน นางเผื่อนงงเป็นผีตาแตก
มาดามสุหายตะลึง วางไฟฉาย แล้วยื่นมือลงไปเขย่า
“เชน...เชน”
ข้างในหีบใหญ่ ราเชนทร์นอนขดอยู่ ดูซีดไปบ้าง แต่ยังคงดูหล่อเป็นแบดบอยอยู่
“เชน เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่”
ราเชนทร์ลืมตาที่แดง เต็มไปด้วยเส้นเลือด แล้วหันมาหามาดามสุ ดวงตาพลันกลายเป็นดวงตาคนธรรมดา
“ว้าย ฉันรู้แล้ว หรือว่าผีลักซ่อน โธ่เอ๋ย เชน หายไปตั้งกี่อาทิตย์ดูซีซูบซีดไปตั้งเยอะ ต๊าย เธอคงอดข้าวอดน้ำ ไม่มีอะไรกินแน่เลย”
ข้างหลังเสามีซากศพและโครงกระดูกกองอยู่ มีร่องรอยถูกกัดกิน แต่มาดามไม่เห็น มาดามสุประคองพาราเชนทร์มานั่งบนยกพื้น เอามือประคองหน้าลูบไล้
“นี่ เธอมาช่วยฉันหาของก่อน แล้วออกไปด้วยกัน”
ราเชนทร์มองนิ่ง แล้วลูบไล้หน้าตอบ มาดามสุหัวเราะระริกเอามือมาจูบ ราเชนทร์ลูบเนื้อตัวแขนขามาดามสุ มาดามสยิวกาย ราเชนทร์ซุกไซร้ซอกคอ มาดามสุเงยหน้าเคลิ้ม ราเชนทร์พลันกระชากเสื้อกระดุมขาดกระเด็น เสื้อเปิดเห็นบราตัวเล็ก ราเชนทร์มองดวงตากลับแดงฉาน ปากแสยะ มาดามสุมัวร่านจนไม่เห็น จู่ๆ เขี้ยวเสือไฟก็หลุดออกจากร่องอก ทอแสงสีทองออก ราเชนทร์ผงะหงาย แผดร้อง มาดามสุผวามองดู
“ว้าย อะไร”
ราเชนทร์ยืนตั้งหลัก คำราม ดวงตาโปนแดงก่ำด้วยสายเลือด เขี้ยวแสยะ
มาดามสุร้องกรี๊ดลุกพรวดขึ้น คว้าเศษไม้หลังคาท่อนยาวฟาดที่ราเชนทร์ ไม้แตกหักเป็นไม้แหลม มาดามสุปักพรวดเข้าที่อกด้านซ้ายราเชนทร์ ไม้นั้นจมวูบไปมิดด้าม เพราะมันเป็นโพรงอยู่แล้ว ราเชนทร์สะบัดเสื้อขาดกระจุยออกเห็นแผลอกและรูกลวงโบ๋
“ว้าย แก แกโดนควักหัวใจจริงๆ ด้วย”
มาดามสุถอยหลังกรูขาขัดกันล้มลง ในกองโครงกระดูก มาดามสุร้องวี้ดดิ้นตะกาย กองกระดูกบางชิ้นมีเนื้อติดอยู่ มาดามสุดิ้นหน้าทิ่มลงไป ประกบกับหน้าธาดา หน้าธาดายังคงสมบูรณ์ แต่เมื่อค่อยๆเอียงมาก็เห็นว่าแก้มอีกข้างถูกแทะกินโบ๋เห็นซี่ฟัน กะโหลกขาวโพลน
ราเชนทร์ก้าวมาหา มาดามสุเพิ่งนึกออก ถอดสร้อยเขี้ยวเสือไฟชูไปเบื้องหน้า เกิดแสงจ้าสีทอง ราเชนทร์ยกมือป้องหน้ากระเด็นไปชนฝาทะลุ หลังคาส่วนนั้นทะลายลงทับ
มาดามสุยืนชูสร้อย แต่ปากร้องวี้ดเต้นเร่าๆ แล้ววิ่งเตลิดหนีไป
เถรกระอ่ำผิดหวังขบกรามแน่น
“บัดซบ”
ยอดหล้าถอนใจ
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 20 (ต่อ)
มาดามสุวิ่งมาใต้ถุนคุ้มร้าง ความกลัวคลายลง หยุดฝีเท้า ใบหน้าเพ้อฝันเห็นภาพตอนตัวเองเริงร่ากับหีบสมบัติในห้องใต้ดิน
มาดามสุตาเบิกโพลง
“ห้องใต้ดิน สมบัติอยู่ในห้องใต้ดินต่างหาก”
จังหวะนี้กองไม้กระเบื้องหลังคาที่กองสุมกันอยู่ ทันใดนั้นเองก็ขยับไหว มือราเชนทร์ยื่นพรวดขึ้นมา เศษไม้กระจายไป
ที่ใต้ถุนคุ้มร้าง ยังมีเสียม พลั่ว ขวานที่ธาดาและพวกทิ้งไว้เรี่ยราด แสงไฟฉายสาดมา
มาดามสุก้าวมามือหนึ่งถือไฟฉาย อีกมือชูสร้อยเขี้ยวเสือไฟ แสงไฟฉายส่องไปยัง แนวกำแพงอิฐที่ทะลาย เห็นประตูเหล็กโซ่ล่าม
แสงไฟฉายโดนยันต์จารึก มันเรืองขึ้นเป็นสีทอง มาดามสุตาโตเท่าไข่ห่าน วิ่งถลาเข้าไป โดยไม่ดูพื้น เท้ามาดามสุก้าวไปบนอะไรอย่างหนึ่ง และมีด้ามไม้ใหญ่เด้งขึ้นมาฟาดหน้ามาดามสุเต็มรัก มันคือจอบอันใหญ่นั่นเอง
มาดามสุตากลับล้มหงายไปหมดสติ สร้อยเขี้ยวเสือไฟกระเด็นไปไกลตัว ราเชนทร์ก้าวมาจากความมืด
ที่ห้องใต้ดิน เถรกระอ่ำตาเบิกโพลง ยิ้มเหี้ยมเกรียมสมใจ ยอดหล้าอยู่เบื้องหลัง
“จับนังคนนั้นขึ้น ใช้เลือดเสียของมัน ทำลายอาถรรพ์”
ราเชนทร์ใช้มือเดียวจับคอมาดามสุขึ้น กระชากเสื้อผ้าหลุดออก
ที่ประตูทางเข้า ยันต์นั้นเรืองเรื่อราวจะต่อต้าน ราเชนทร์จับร่างมาดามสุมาใกล้ประตูทางเข้าอีก
ยันต์ถูกเลือดปริมาณไม่มากนักหยดลง เลือดนั้นหยดลงบนอักขระจารึก เกิดซึมแผ่ไปทุกตัวอักษร เลือดนั้นลบแสงสีทองของยันต์จนหมดสิ้น
เถรกระอ่ำยิ้มแสยะ ส่งจิตไป
ราเชนทร์โยนมาดามสุไปทางหนึ่ง แล้วถอยมามองดู
ทันใดนั้นเองโซ่อาคมก็ลุกแดง แล้วหลอมละลาย หยดวูบลงพื้นจนหมด
เถรกระอ่ำ ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนขยับตัวพุ่งไปจนชายผ้ากลายเป็นหมอกควัน
ประตูเหล็กพลันระเบิดกระเด็นออกจากกรอบ ปลิวคว้างไปฝังเสาต้นหนึ่ง มีกลุ่มควันสี่สายพุ่งสู่อากาศ
ทีมงานคนค้นผีอยู่ระหว่างถ่ายทำที่หน้าคุ้มร้าง กล้องกำลังถ่าย เรียว พิธีกร กับจูน 3 คนหันหลังให้คุ้มร้าง มองมาที่กล้อง เห็นทีมงานมองเป๋งไปข้างหลังขยับลุกขึ้น ชี้มือ ก็ใจหายวาบ ทั้งสามหันขวับไป
ที่คุ้มเกิดหมอกประหลาดแผ่ออกล้อมคุ้มไว้ เริ่มจากจางๆ แล้วเข้มข้นขึ้นจนมองเห็นคุ้มเลือนราง
2 สาวกับ 2 หนุ่มทิ้งไพ่ลุกพรวดขึ้น ลูกกบกับรักผงะถอย เรียว จูน และพิธีกรตาเหลือก
วิหารหลังนั้นตั้งอยู่ในวัดเล็กๆ อันสงบสงัด แลเห็นเจดีย์อยู่ทางเบื้องหลัง เป็นวัดเดียวกับที่มหาจรวยเคยจะนำกะโหลกเถรกระอ่ำมาซ่อน แต่โดนแก้วชิงไปก่อน
ภายในวิหาร มีพระประธานดูสงบเย็น เทียนจุดไว้แพรวพราว บนยกพื้นมีครูบา พระสงฆ์ 3 รูปท่าทางมีเมตตาบารมีนั่งเพ่งพลังจิต ต่ำลงมาคือมหาจรวยนั่งหันหน้าเข้าหาพระสงฆ์ทั้ง 3 นั้น ทั้งสี่มีสายสิญจน์โยงจากมือไปยังแผ่นไม้แกะสลักลวดลายและอักขระอาคม คือผ้ายันต์ที่ปลุกเสกขึ้นแทนของเก่าที่ถูกฟ้าผ่าทำลาย
คล้ายมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น วิหารนั้นสะเทือน พระสงฆ์และมหาจรวยเสียสมาธิลืมตาขึ้น
มหาจวยรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!!
ภาพในหนังสือพิมพ์ เป็นภาพ หนึ่ง วรเชษฐ์ เจ้าของรายการคนค้นผี พร้อมหัวข่าว..."คนค้นผีพบอาถรรพ์ หนีผีคุ้มร้างกระเจิง"
ตรีภพอ่านเนื้อข่าว “ผมสัมผัสได้ถึงพลังอันแรงกล้า พลังงานในคุ้ม มีแต่ความโกรธความอาฆาต วิญญาณแรงขนาดนี้ ผมขอบอกคำเดียวว่าจะไม่ขอกลับไปยุ่งเกี่ยวกับคุ้มนั้นอีกเลย”
ตรีภพหันมองหน้าตฤณ ตฤณส่ายหัวดิก
“แต่ในโลกโซเชียลกลับเห็นว่า นี่เป็นการสร้างข่าวเพื่อโปรโมทละครคุ้มนางครวญที่แกเล่นเท่านั้น”
ตรีภพถอนใจนั่งลงบนโซฟา คิดว่าจะเอายังไงดี
รถของแก้วแล่นมาจอดในลานจอดรถคอนโด มีรถตรีภพจอดอยู่ ภายในรถ แก้วดูสับสนเหลือบตามาดูยังเบาะข้างตัว บนเบาะมีกล่องแบนวางอยู่
ตรีภพแต่งตัวอย่างหล่อจะออกไปงานกลางคืน กำลังสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจก แก้วถือกล่องลักษณะแบน เดินเข้ามา
“อ้าว กลับมาแล้วหรือ อ้าว...แล้วนั่นอะไร” ?
“อือม์...เปล่า ไม่มีอะไร ของใช้ส่วนตัวน่ะ”
“แล้วทางคุ้มเป็นยังไงบ้าง อาถรรพ์ที่มหาจรวยทำเอาไว้เสื่อมไปแล้ว แล้วพี่เจออะไรบ้างไหม”
“ไม่มีอะไร...ไม่เจออะไร...”
“ก็ดีแล้ว...เออ...เดี๋ยวค่อยคุยกัน ฉันต้องไปงานก่อน”
“อือม์...”
ตรีภพโบกมือ คว้ากุญแจรถและมือถือเดินออกไป
ประตูปิดลง แก้ววางกล่องแบนลง เดินที่ที่ระเบียงมองออกไปเห็นตรีภพขับรถออกจากบ้าน
แก้วเดินไปปิดม่านรอบห้อง ภายในห้องมืดมิด แก้วหยิบของออกมาอย่างทะนุถนอม สิ่งนั้นคือซึงของยอดหล้า
ทันใดไฟในห้องก็ดิมลง แสงสีเขียวเรืองเรื่อแผ่จากซึง คลื่นแสงแผ่ออกรวมตัวกันกลายเป็นร่างโปร่งแสงของยอดหล้า ร่างของยอดหล้าชัดเจนขึ้นจนกลายเป็นหยาบ
“เจ้านาง...”
“พี่เทพของข้าไปที่ใดกัน”
แก้วมองยอดหล้าที่ไม่สนใจตนอย่างปวดร้าว
ห้องโถงคอนโดตรีภพไม่ได้เปิดไฟไว้ มีเพียงแสงจากอาทิตย์ยามเย็นภายนอก
แก้วนั่งอยู่บนโซฟา มองดูซึงบนไซด์บอร์ดเตี้ยนิ่งนาน สีหน้าสับสน
แสงสีเขียวเรื่อเรืองส่องมาจากซึง จากสีเขียวจางๆ เพียงจุดเดียวกลายเป็นสีเขียวเจิดจ้าจากซึงนั้น แสงสีเขียวทาบลงบนใบหน้าแก้ว
แก้วหันไปมอง สีหน้ากลายเป็นผูกพัน
“เจ้านาง”
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 20 (ต่อ)
เย็นจวนค่ำ รถสปอร์ตหรูของตรีภพแล่นเข้ามาจอหน้าร้านอาหาร ตรีภพลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปภายใน
พิมพ์ดาวกับพิมพ์เดือนนั่งรับประทานอาหารเบาๆ อยู่ในร้านอาหารหรู สองศรีหันหลังให้ประตูทางเข้า พิมพ์เดือนเห็นตรีภพแล้วก็รีบเก็บอาการที่ตนเป็นคนวางแผน ตรีภพเดินเข้ามาหน้าร้าน ถูกแฟนคลับขอถ่ายรูปพรึ่บ
ตรีภพก้าวเข้ามายืนเบื้องหน้า พิมพ์ดาวถึงกับตะลึงงัน ยกช้อนค้าง คาดไม่ถึง
พิมพ์เดือนแกล้งถามทัก “อ้าว...พี่ตรี มายังไงกันคะนี่”
“หัวใจ...ใช้ให้มาครับ น้องเดือน”
“อุ๊ย โบราณไปมั้ยคะ อิอิอิ” พิมพ์เดือนชอบอกชอบใจ
“แหม...ก็เพิ่งแสดงละครพีเรียดจบ มันก็ต้องมีติดพันบ้าง”
พิมพ์ดาวมองพิมพ์เดือน เห็นสีหน้าที่มีแผนการของน้องสาว
ตรีภพทักพิมพ์ดาว “หวัดดีครับ”
“คุณไม่ได้ไปออกงานที่เมืองจีนหรือ” พิมพ์ดาวเสียงเรียบ
ตรีภพยิ้มหวาน “ขอบคุณนะครับ ที่ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของผม”
“ฉันรู้แล้ว...ฮึ มิน่าล่ะ เธอถึงอยากมานั่งร้านนี้นัก” พิมพ์ดาวค้อนควักน้องสาว
“อืมม์...ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอนั่งด้วยคนนะครับ”
สองพี่น้องพูดพร้อมกันไปคนละทาง “รังเกียจ” / “เชิญค่ะ”
“เดือนกำลังจะไปห้องน้ำพอดี พี่ตรีนั่งเป็นเพื่อนพี่ดาวสักครู่นะคะ”
“ด้วยความเต็มใจครับ”
พิมพ์เดือนยักคิ้วให้ตรีภพแล้วลุกออกไป พิมพ์ดาวสะบัดหน้าพรืด ตรีภพมอง อมยิ้ม
“โธ่ ผมไม่รู้จะง้อยังไงแล้วนะ”
“ก็ไม่ต้องมาง้อสิ”
พิมพ์ดาวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที ตรีภพเดินตามติด
พิมพ์ดาวเดินหนีออกมาหยุดอยู่บริเวณมุมสวยงามหน้าร้าน
“คุณคงทำแบบนี้มาเป็นพันๆ ครั้ง แล้ว...ตั้งชาติก่อน หรือไม่ก็เป็นล้านๆ ครั้ง ถ้ามันยังมีชาติก่อนหน้านั้นไปอีก”
พิมพ์ดาวใจอ่อนลง
“แล้วผมก็คงตามง้อคุณมาอย่างนี้เป็นล้านๆๆ ครั้งแล้วเหมือนกัน นี่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆว่าเราเคยอยู่คู่กันอย่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว หลวงเทพจึงรู้สึก...ชอบเจ้ารายตั้งแต่แรกเห็น ตั้งแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เจ้ารายไม่ใช่ผู้ชาย”
พิมพ์ดาวใจอ่อนยวบลงหมดใจ มองตาตรีภพ
“และผมก็จะของ้อคุณอย่างนี้ตลอดไป”
“ถ้ามันมีชาติก่อนหน้านั้นอีกจริงๆ ฉันคงใจอ่อนทุกๆ ล้านๆๆ ครั้งนั่นด้วยใช่ไหมคะ แต่ฉันอยากบอกคุณว่า ฉันไม่ได้แง่งอนเพื่อให้คุณมาง้อนะ แต่ความจริงก็คือฉันเบื่อเรื่องการแย่งชิงอะไรพวกนี้ ไม่ว่าจะกับเจ้ายอดหล้าหรือกับคุณลินซี่”
“คุณก็รู้ว่าผมมีคุณคนเดียวเท่านั้น แค่คุณต้องเชื่อใจ ต้องมั่นใจในตัวผมเท่านั้นเอง”
พิมพ์ดาวใจละลาย เมื่อมองเห็นแววจริงจังและจริงใจในดวงตาตรีภพ
ทันใดนั้นเอง เสียงมาลารินดังแหวกอากาศมาทันที
“คุณตรีขา...”
“คุณลินซี่...”
ตรีภพอึ้งเมื่อเห็นมาลารินเข้ามา ในมือหอบหิ้วของพะรุงพะรัง พิมพ์ดาวอึ้งไม่แพ้กัน
ค่ำมากแล้ว ตรีภพ พิมพ์ดาวและพิมพ์เดือน มองดูมาลารินดูดน้ำส้มคั้นหมดเกลี้ยงจนเสียงดัง
“เหนื่อยค่ะ...ลินซี่ไม่ได้ช็อปปิ้งมาสองเดือนแล้ว แหม...ก็มัวแต่ถ่ายละครคุ้มนางครวญกับคุณตรีและพี่ดาวนั่นละค่ะ วันนี้ก็เลยถือโอกาสเคลียร์คิวเพื่องานนี้โดยเฉพาะค่า”
พิมพ์เดือนหมั่นไส้ “นี่เสร็จแล้วหรือคะ”
“ใช่ค่า คุณน้อง กำลังจะกลับพอดีค่ะ แต่โชคดีที่ได้เจอกัน เหมือนพรหมลิขิตเลยนะคะ”
พิมพ์เดือนกระซิบกับพิมพ์ดาวเบาๆ “โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่”
มาลารินคิดแผนการในชั่วพริบตา
“อุ๊ย ! ทำไมจู่ๆ ลินซี่ถึงได้เวียนหัว คลื่นเหียนและอยากอาเจียนยังงี้นะ” สาวจอมแอ๊บทำท่าจะอ้วก
“อ๋อ...งั้นก็ชัวร์แระ แพ้ท้องแน่นอนค่ะ”
มาลารินหน้าตึงอยากด่าพิมพ์เดือน แต่ระงับเอาไว้
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ พี่ยังไม่มีแฟนแล้วจะท้องได้ยังไงกันจ๊ะ”
พิมพ์ดาวบอก “อืมม์...เห็นที คุณตรีคงต้องไปส่งคุณลินซี่แล้วล่ะค่ะ”
“แหม...พี่ดาว เกรงใจน่ะค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ นี่ถ้าหากลินซี่เอารถมาด้วยก็อาจจะแข็งใจกลับเอง ไปกันเถอะค่ะคุณตรี ลินซี่อยากพักผ่อน นะคะๆๆ”
“อืมม์...ครับ”
ตรีภพจำใจพาลินซี่ออกไปทั้งที่ใจไม่อยาก
พิมพ์เดือนโมโห “พี่ดาวอ่ะ ไปยอมยัยลินซี่ทำไมก็ไม่รุ”
“ทำไมล่ะ ก็พี่กับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ยัยเดือน”
พิมพ์ดาวสะดุ้ง เอามือแตะอกเสื้อ “อุ๊ย”
พิมพ์เดือนตาเบิกโพลง
“เขี้ยวเสือไฟหรือคะ”
พิมพ์ดาวพยักหน้า พิมพ์เดือนยิ่งตกใจ พิมพ์ดาวกวาดสายตามองไป
มาลารินยืนยิ้มพริ้มพรายในลานจอดรถ ขณะที่ตรีภพกำลังเอาข้าวของใส่ท้ายรถคันงาม
“คุณตรีใจดีที่สุดในสามโลกเลยค่ะ ลินซี่ซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก”
“ครับ...เชิญครับ”
ตรีภพเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งให้มาลาริน ขณะที่มาลารินจะก้าวเข้ารถก็ต้องผงะหงายท้อง ตรีภพงงงวย
จากนั้นเกิดแสงสีเขียววนไปมาบางเบา มาลารินลุกขึ้นมองอย่างหวาดกลัว รีบหนีขึ้นรถ แต่ทันใดร่างของมาลารินก็ถูกประตูรถหนีบจนมาลารินร้องกรี๊ด ตรีภพอึ้ง มองไปรอบๆ
“เจ้านาง”
เวลาเดียวกันมหาจรวยลืมตา ราวกับรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
กลุ่มแสงสีเขียวแผ่ออก กลายเป็นยอดหล้ายืนอยู่
“พี่เทพ พี่กับข้ายังมีเรื่องต้องสะสางกันอีกมากมายนัก แต่ตอนนี้ข้าจะต้องจัดการกับนางแพศยานี้ก่อน”
ยอดหล้าหันขวับไปหามาลาริน มาลารินกลัวตาเหลือกลาน แต่ปากยังเก่ง
“อีผีเจ้านาง ฉันไม่กลัวแก”
“เจ้าควรต้องกลัว”
ขาดคำยอดหล้ากลายร่างเป็นอสูรกายยื่นหน้าเข้าหามาลาริน มาลารินผงะหวีดร้อง ยอดหล้าแสยะปาก ราวจะกลืนกินมาลาริน
เสียงพิมพ์ดาวดังขึ้น “เจ้าพี่”
พิมพ์ดาวก้าวเข้ามาชูเขี้ยวเสือไฟในมือ พิมพ์เดือนตามมาข้างหลัง
อสูรกายยอดหล้าหันมาอย่างโกรธแค้น เขี้ยวเสือไฟเปล่งรัศมีสีทองออก อสูรร้ายผงะ ร่างกายเป็นกลุ่มควัน พุ่งวูบหายไปในที่สุด
มาลารินมองไปรอบๆ ก่อนจะเผ่นแน่บออกไปทันที พิมพ์ดาวถอนใจลดสร้อยลง ตรีภพยืนอย่างโล่งใจ
มหาจรวยมองดูไม้แกะอักขระ และลวดลายลงอาคมที่ผ่านการปลุกเสก ที่วางไว้บนพาน
มาลารินวิ่งโกยแน่บมาที่รถของตัวเอง ลนลานควานหากุญแจในกระเป๋าถือจนพบ ก่อนจะรีบขับออกไปโดยไม่คิดชีวิต
สองคนอยู่ที่ลานจอดรถ ตรีภพยืนอึ้ง พูดไม่ออก
“ถึงอาถรรพ์ที่คุ้มจะถูกทำลายไป แต่เธอก็ไม่น่าจะมาถึงที่นี่ได้ มหาจรวยเคยบอกว่า เธอผูกพันกับคุ้มนั้นจนเป็นอันหนึ่งอันเดียว จนจะมีพลังเต็มที่เมื่ออยู่ที่คุ้ม ยิ่งห่างจากคุ้ม อำนาจของเจ้านางก็จะลด”
“เราจะทำยังไงกันดีคะ”
ตรีภพครุ่นคิด ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาโทร.ทันที
“ตาทองเหรอครับ”
ด้านแก้วยืนอยู่กลางห้องโถง ทันใดประตูระเบียงเปิดผางออก ลมแรงพัดกลุ่มควันพุ่งมารวมตัวกันเป็นร่าง
ยอดหล้ากุมอกมีอาการเจ็บปวด แก้วตกใจถลาเข้าไปหา
“เจ้านาง...”
“อย่าแตะต้องข้า ข้าไม่เป็นอะไร ถอยไป”
แก้วชะงักสีหน้าเสียใจน้อยใจ ยอดหล้ามองดูนิ่งไปนิดหนึ่ง แก้วขยับถอยหลังไป ยอดหล้ายืดกายตรง
“กล้าดีนักที่มาขัดขวางข้า...ก็ดี! ข้าจะฆ่านางแพศยานั่นก่อน และเจ้าเป็นรายต่อไป ดาราราย”
ยอดหล้ามีเงาอสูรกายทาบบนหน้าครึ่งหนึ่ง
ฝ่ายตาทองก้าวเข้ามาหามหาจรวยที่รออยู่
“คุณตรีภพโทร.มาหาผมเมื่อสักครู่ครับคุณมหา บอกว่าเจ้ายอดหล้าปรากฏตัวอาละวาดที่กรุงเทพฯครับ”
“ไม่น่าเป็นไปได้”
“แต่เป็นไปแล้วครับ เธอทำร้ายคุณลินซี่แต่คุณพิมพ์ดาวเข้ามาขัดจังหวะเอาไว้ได้ ยิ่งวันพรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวละคร คุณตรีภพเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นน่ะครับ”
มหาจรวยมีอาการครุ่นคิดบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 20 (ต่อ)
มหาจรวยมีอาการเหนื่อยล้าเต็มทน แต่จิตใจยังแข็งแกร่งยืนมองกลางวงสายสิญจน์ในห้องใต้ดินคุ้มร้าง โดยที่กลางวงนั้น เหลือเพียงกองกะโหลกที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกระดูกที่ไหม้เป็นสีเทาซีดจาง
ไม่นานต่อมามหาจรวยยังถือย่ามใบใหญ่ อีกมือถือกล่องไม้บรรจุเศษกะโหลกและกระดูกของยอดหล้าแนบอก เดินขึ้นมาจากประตูทางเข้าห้องใต้ดินไป
มหาจรวยก้าวจากเงามืดใต้ถุนคุ้ม ถือย่ามและกล่องเดินมา แล้วหยุด หันกลับมาแหงนดูตัวคุ้ม คุ้มร้างยังคงตั้งเด่น มีเมฆทะมึนอยู่เหนือคุ้ม มหาจรวยพนมมือ
“สัพเพสัตตา อะเวรา โหตุ”
เมฆทะมึนพลันคลายตัว มีจันทร์ไม่เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า แต่กระนั้นแสงจันทร์ก็สาดส่องสว่างขึ้น
มหาจรวยคลายใจหันกลับไป ต้องผงะเมื่อเจอราเชนทร์ในสภาพผีดิบยืนอยู่ใกล้ในระยะประชิด
ราเชนทร์แยกเขี้ยวพุ่งเข้ากัดคอมหาจรวย ดึงทึ้งเนื้อขาดกระจุยติดปาก
มหาจรวยซวนเซถอยหลังล้มลง กล่องกลิ้งไปทาง ย่ามกระจายไปทาง มหาจรวยพลันตวัดดาบอาคมใส่
“อ๊ากกก”
ราเชนทร์แผดร้อง ร่างล้มฟาดลง มหาจรวยกุมแผล หอบหายใจเหน็ดเหนื่อย
ราเชนทร์ยังมีชีวิต ดวงตาเบิกโพลง เอามือตะกุยพื้นพาร่างเข้าหามหาจรวยอีก ใกล้เข้าไปทุกที
มหาจรวยพลันปักดาบลงกับพื้นดิน เกิดไฟลุกพรึ่บ ที่ร่างราเชนทร์ไฟลุกไหม้ ราเชนทร์แผดร้องดิ้นพราดๆ กลางไฟสีน้ำเงินนั้น
ตาทองและ 2 คนงานวิ่งมาถึง มหาจรวยสิ้นสติไป
ที่วัดเล็กๆ ในเชียงใหม่ แห่งเดียวกับที่มหาจรวยเคยมาทำพิธีปลุกเสกผ้ายันต์
บนเมรุ พระสงฆ์ 4 รูปกำลังสวดบังสกุลและชักผ้าพร้อมกัน ตรงกลางวงกล่องไม้ลงอักขระตั้งอยู่เพื่อเป็นการทำพิธีณาปนกิจอีกครั้งให้สมบูรณ์
พิมพ์ดาว ตรีภพ ตฤณ พิมพ์เดือน ตาทอง สายใจ ยืนสงบนิ่งส่งใจขออโหสิกรรม ตรีภพ พิมพ์ดาวยังคงมีอาการเสียใจ
ส่วนทางด้านหลัง แก้วยืนนิ่งมีอาการร้าวรานถึงขีดสุด
เวลาต่อมา บนกุฏิเจ้าอาวาส เป็นเรือนล้านนาเล็ก ๆ แต่งดงามและดูสมถะ ในกุฏิแทบไม่มีข้าวของใดๆ แม้แต่บนโต๊ะหมู่บูชาก็มีพระพุทธรูปเพียงองค์เดียว มีตู้หนังสือพระไตรปิฎก
ที่ด้านหนึ่ง มีหีบเหล็กใส่โซ่ ลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เคลื่อนกล้องเข้าหากล่องเหล็กนั้น กล่องไม้อาคมอยู่ในนั้น และในความมืดมน หัวขาดของเถรกร่ำหลับตาอยู่ ฉับพลันก็ลืมตาโพลงขึ้น แผดร้องอย่างคั่งแค้นแสนสาหัส
แก้วเดินช้าๆ ขมขื่นมาในห้อง ที่ตู้ไซต์บอร์ดปลายเตียง วางซึงของยอดหล้าไว้ ดูวาววับในความมืดสลัว แก้วเดินมาจนชิด เอานิ้วมือดีดซึงเบาๆ เสียงซึงดังสะท้อนสะท้าน
“เจ้านาง”
แก้วหม่นหมองลึกซึ้ง น้ำตาเอ่อจนต้องรีบปาดทิ้ง
ที่กรุงเทพมหานคร ยามเย็น
พิมพ์ดาว พิมพ์เดือนนั่งอยู่ในบ้าน มีหนังสือพงศาวดารตำนานเมืองเหนือที่ได้มาใหม่กางอยู่ 3-4 เล่ม จันทรายืนอยู่ ไม่ไกลนัก
“ในที่สุดก็เจอค่ะ ไปเจอในเล่มตำนานเมืองเชียงดาว เล่าว่าในกลางสมัยเจ้าแสงอินทร์เกิดกบฏของจอมขมังเวทย์ขึ้น” พิมพ์เดือนว่า
จันทราฉงน “จองขมังเวทย์หรือ”
พิมพ์ดาวนิ่งฟัง
ในขณะเดียวกัน ความมืดโรยตัวครอบคลุมไป ทั่วภายนอกคอนโดตรีภพ
ในห้อง ตรีภพนั่งเอนบนเดย์เบด ตรงหน้ามีเครื่องมือสะกดจิต เข็มนั้นเอนไปมาซ้ายขวา ตฤณพูดอย่างช้า ชัด
“จิตของแกจะดิ่งลึก...กลับไป...กลับไป...เพื่อค้นดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น”
ตรีภพหรี่ตาลง เข้าสู่ภวังค์ เข็มของเครื่องมือสะกดจิตเอียงไปมา มันเริ่มเบลอและพร่าเลือน
เรื่องราวในอดีตชาติ ย้อนกลับมาดวงจิตของตรีภพอีกครา ในเหตุการณ์เดียวกับที่ สามแม่ลูกกำลังอ่านเจอในพงศาวดาร
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เรือนหลวงในตอนกลางวัน เจ้าหลวงแสงอินทร์ยืนนิ่งขึง มองดูยอดหล้าที่หมอบอยู่ที่พื้นอย่างผิดหวัง เจ้านางหอมุกอยู่บนตั่ง นั่งเมินหน้า นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่เบื้องหลัง ด้วยเป็นเรื่องน่าอายจึงมีข้าไทแสนหลวงคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นอยู่รายรอบ
“เจ้าทำเสน่ห์เพื่อแย่งผัวจากน้อง เจ้าฆ่าคนเพื่อปกปิดความชั่ว เจ้าทำลายสัมพันธ์ของเวียงแก้วกับเมืองใต้จนพังยับ นี่นะหรือ ลูกสาวที่ข้ารักยิ่งแก้วตา”
ยอดหล้าเงยหน้าขึ้น ร่ำร้อง น้ำตาร่วงริน
“เจ้าพ่อข้าถูกใส่ความ ดารารายคือต้นเหตุทั้งหมด ดารารายให้ครูบาสรีทำเสน่ห์เล่ห์กล แล้ววางกลใส่ความให้ข้าเป็นคนผิดเจ้า”
เจ้าแสงอินทร์ไม่เชื่อ เจ้านางหอมุกมองลูกสาวอย่างเวทนา
“เจ้าต่างหากคือตัวต้นเหตุ เจ้าต่างหากที่ใส่ความน้อง”
เจ้าแสงอินทร์ก้าวมาใกล้
“แต่ข้าอยากรู้ว่า ผู้ใดสอนมนต์แลเล่ห์กลให้เจ้า”
“ท่านอาจารย์ข้าเป็นนักพรต ถือสันโดษเร้นกายในป่าเขา ท่านสอนมนตรา เพื่อให้ข้าปกป้องตัวเท่านั้น”
เจ้าแสงอินทร์ยิ่งโกรธ
“หรือว่ามันคือเถรกระอ่ำ”
ยอดหล้าผงะ นางผัน นางเผื่อนมองหน้ากัน
“เจ้าพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไร”
เจ้าแสงอินทร์คำราม “เจ้าเถรชั่วผู้นี้ต้องตายก่อน
“อย่านะเจ้าพ่อ ท่านอาจารย์ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านเข้าใจข้า ดีกับข้า รักข้ายิ่งกว่าพ่อเจ้าเสียอีก”
“เจ้ากล้าดียังไง เอาข้าไปเปรียบกับคนถ่อยนั่น นังลูกชั่ว”
เจ้าแสงอินทร์โกรธจนขาดสติคว้าดาบขึ้นพุ่งเข้าหาลูกสาว
ยอดหล้าหลับตาลง นางผัน นางเผื่อนหวีดร้อง เจ้านางหอมุกถลันเข้าขวาง ปลายดาบปักลงใต้ไหล่
“เจ้าพี่”
เจ้าแสงอินทร์ตกใจชักดาบออก ยอดหล้ากรีดร้อง ประคองแม่ไว้
“ยอดหล้าทำผิดใหญ่หลวง แต่เว้นโทษตายลูกเถิดเจ้า”
“เจ้าแม่”
เจ้าแสงอินทร์เสียใจ ระคนเจ็บใจ ผลักยอดหล้าล้มไป ตวัดอุ้มเจ้านางหอมุกขึ้น
“อย่ากล้าดี มาแตะต้องแม่เจ้า เอานังลูกชั่วไปขังไว้ในคุ้มน้อย ล่ามมันไว้ในเรือนด้วยโซ่อาคม อย่าให้มันติดต่อกับผู้ใด”
ตรงระเบียงคุ้มหลวงซีกเรือนของเจ้านางหอมุก เจ้านางสร้อยคำเดินมาสีหน้าหนักใจ นางข้าไทคนสนิทตามมา 2 นาง นางหนึ่งถือถาดวางขวดยาแก้วเจียระไน
เจ้านางหอมุกมีผ้าฝ้ายพันแผลรอบอกผูกเฉลียงไหล่นั่งเอนบนเตียง นางข้าไทคนสนิทอยู่ข้างตัว เจ้านางหอมุกน้ำตาคลอ หน้าขาวซีด นางข้าไทอีกคนไปเปิดประตู นางข้าไทคนสนิทมองแล้วพูดเบาๆ
“เจ้านางสร้อยคำเจ้า เจ้านาง”
หอมุกปาดน้ำตามีอาการแข็งขึงขึ้นมา รีบเสยผมกัดริมฝีปากตัวเองให้สดใสขึ้น
สร้อยคำเข้ามา นางข้าไทขยับถอยหมอบลงแต่ไม่กราบ
หอมุกยิ้ม “เจ้ามาดูอาการข้าว่าถึงตายหรือไม่อย่างนั้นหรือ เสียใจด้วย เจ้าพี่ยังยั้งมือ ข้าไม่ถึงตายดอก”
เจ้านางสร้อยคำถอนใจ ไม่โกรธตอบ กลับทรุดลงกราบอย่างจริงใจกับพื้น
นางข้าไทที่ตามมา รีบกราบตามอย่างงงๆ เจ้านางหอมุกแปลกใจ อาการชังลดลง
“ลุกขึ้น กราบกรานอันใดมากมาย”
“เจ้าพี่ ท่านโกรธข้าขึ้งเถิดเจ้า เรื่องนี้ดารารายผิดนัก ลูกข้าเป็นคนก่อ ข้าเองก็คิดแต่จะยั่วโทสะท่าน จนความจริงถูกงำไว้จนบัดนี้”
เจ้านางหอมุกได้สติน้ำตาเอ่ออีก ตบพื้นเตียงเรียก
“มานั่งตรงนี้”
“เจ้า”
สร้อยคำขยับมานั่งมองหอมุกอย่างขอโทษ หอมุกอ่อนลงหมดใจ
“ความจริงเป็นเช่นใดข้ารู้ แต่ข้ากลับไม่บอกลูก เพื่อจงใจให้นางชังเจ้ากับน้อง ข้าผิดผิดยิ่งนัก”
“ยอดหล้าจึงหลงกลนักพรตชั่วนั่น เรื่องราวจึงเลวร้ายพินาศไปทุกอย่างดังนี้”
หอมุกมองทอดสายตาไปไกล
“เวียงแก้วมีคนชั่วช้าที่สุด เสแสร้งแกล้งเป็นคนดี และใช้เรื่องลวงความเท็จใส่ร้ายคนจากเรื่องน้อยกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่หลวง ดุจโยนหินลงในน้ำ”
เกิดภาพในสระน้ำใหญ่ หินก้อนเล็กตกลงน้ำ เกิดวงคลื่นจากเล็กแผ่ออกเป็นวงกว้าง กว้างขึ้นทุกที
“วงคลื่นนั้นกว้างขึ้นทุกทีแล้ว”
เจ้านางสร้อยคำยิ้ม ยื่นมือออกเกาะกุมมือเจ้านางหอมุก
“ไม่หรอกเจ้าพี่ วงน้ำนั้นต้องหยุด เริ่มจากเราสองคนก่อน”
เจ้านางหอมุกพยักหน้ายิ้มอย่างสดใส
ที่ชานเรือนคุ้มหลวง ซึ่งเชื่อมหอต่างๆของคุ้ม เจ้านางสร้อยคำยิ้มคลายใจเดินกลับกับนางข้าไทคนสนิท ยากินยาทาถูกมอบให้หอมุกไปแล้ว ทั้ง 3 เดินผ่านเงามืด
จังหวะนี้มีคนผู้หนึ่งยืนซ่อนอยู่ ร่างนั้นก้าวสู่แสงสว่าง เห็นดวงหน้าหล่อเหลาของเถรกระอ่ำที่ยิ้มพรายพอใจ
เจ้านางหอมุกอาการดีขึ้นขยับกายขึ้นนั่งตรง ในเรือนเหลือเพียงนางคนสนิทผู้เดียว
“เอายาน้องข้ามาให้ซี”
นางข้าไทคนสนิททำตาปริบๆ
“น้องอันใดกันเจ้า”
เจ้านางหอมุกค้อน “ก็น้องสร้อยคำนี่ซี เจ้านี่โง่งมนัก”
นางข้าไทคนสนิทกลั้นยิ้มเดินมาหลังฉากกั้น เทยาน้ำจากขวดแก้วลงจอกแก้ว เถรกระอ่ำก้าวมาเบื้องหลังอย่างเงียบกริบ
นางข้าไทคนสนิทก้าวมาช้าๆ ถือถาดวางจอกแก้วเดินมา พลางยิ้มเร้นลับ คุกเข่าลง เจ้านางหอมุกยื่นมือมารับจอกไป
“ข้าจะบอกความจริงยอดหล้าในวันพรุ่งนี้”
“เจ้า”
เจ้านางหอมุกดื่มยาสีหน้ายิ้มละไมแล้วชะงักกุมคอมองไป นางข้าไทคนสนิทยังนั่งคุกเข่าอยู่ แต่ที่หลังฉากกั้น นางข้าไทคนเดียวกันนอนนิ่งสลบอยู่บนพื้น
“ยาพิษเจ้า เจ้า”
นางข้าไทลุกขึ้น ร่างเลือนวูบไปเป็นเถรกระอ่ำยืนตระหง่าน
เจ้านางหอมุกผงะ “เจ้าราชบุตร”
“ข้าเอง”
“ท่าน...ท่านชั่วร้ายนัก”
“เจ้าบอกในสิ่งที่ข้ารู้อยู่แล้วทำไม”
เจ้านางหอมุกสะอึก เลือดเริ่มไหลจากปาก จมูก หูและดวงตา เอียงกายล้มลงบนเตียง
เถรกระอ่ำหันมายิ้มอย่างสมใจ
อ่านต่อตอนที่ 21