คุ้มนางครวญ ตอนที่ 17
หมู่เรือนพระยาพิชิตชัยยามดึก มีบ่าวไพร่ชายนั่งดื่มเหล้ากันเงียบๆ อยู่หน้าเรือน แสงจากไต้และคบไฟส่องสว่าง
ยอดหล้าเดินลัดเลาะไปตามเสา ใต้ถุนเรือน หนึ่งในกลุ่มบ่าวไพร่คนหนึ่งหันมาเห็นเข้า ร้องเอะอะถามเสียงดัง
“เฮ้ย ใคร”
ทั้งกลุ่มลุกขึ้น คว้าคบไฟถือมาส่องดูใต้เรือน
ยอดหล้าหลบเข้าที่เสาเรือนต้นหนึ่ง ในมือถือผอบฝังรูปฝังรอยที่ถูกเถรกระอ่ำลวงว่าเป็น ผอบมังคลา
กลุ่มบ่าวไพร่สืบเท้าใกล้เข้ามาทุกขณะ ยอดหล้าพลันสำรวมจิตเป่ามนต์ออกไป ร่างยอดหล้าพลันโปร่งแสง
พอบ่าวไพร่มาถึงตำแหน่งนั้น ร่างยอดหล้าก็เลือนรางไปจนหมด พวกบ่าวไพร่เลิกค้นหา
ยอดหล้าคุกเข่าขุดหลุมลึกราว 1 ศอก แล้ววางผอบฝังรูปฝังรอยลงไปกลบจนเรียบร้อย
ห้องนอนบนเรือนยอดหล้าตกแต่งสวยงาม อ่อนหวานกว่าเก่า มีเครื่องแขวนและดอกไม้มาลัยส่งกลิ่นหอมฉุย ยอดหล้ากลับขึ้นเรือนแล้วเอาผ้าคลุมออกจากศีรษะ นางผันรับมาส่งต่อให้นางเผื่อนพับเก็บ ยอดหล้าบอก
“ข้าเอาผอบมังคลาของท่านอาจารย์ไปฝังแล้ว มนตราครูบาสรีโลกชั่วนั้นจะเสื่อมลง”
หลวงเทพภักดีและดารารายนอนเคียงกันบนเตียง หลวงเทพแม้ยังไม่หายดี แต่หน้าตาก็มีเลือดฝาดให้เห็น
ทันใดนั้นเองมีควันสีดำข้นเข้มลอยขึ้นจากพื้นเรือน พุ่งเข้าร่างหลวงเทพวูบ หลวงเทพผวาเฮือก ใบหน้าพลันหมองวูบลงทันควัน ที่หว่างคิ้วดูคล้ำดำไปถนัดตา
ตอนกลางวัน วันต่อมา ยอดหล้ากำลังเล่นซึงเพลงดวงใจอยู่ในศาลากลางสวนสวยเรือนพระยาพิชิตชัย พลางแย้มยิ้มชายตาแลหลวงเทพผู้ซึ่งมีใบหน้าหมองคล้ำมองตอบอย่างหลงใหล
หลวงเทพ ดาราราย คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง นั่งอยู่ตรงข้ามยอดหล้า มีนางทิพย์ นางทิม นิ่ม และนวลอยู่เบื้องหลัง ยอดหล้าก็มีนางผัน นางเผื่อน หมอบอยู่ใกล้ๆ ดารารายมองท่าทีหลวงเทพและยอดหล้าอย่างประหลาดใจ คุณเพ็งก็สะกิดมารดาให้ดู
“ไพเราะเหลือเกินเจ้านาง” หลวงเทพเอื้อนเอ่ย
“ข้าเจ้าเล่นเพลงนี้เพื่อเรียกขวัญให้พี่เทพหายดีเจ้า พี่เทพจำเพลงนี้ได้หรือไม่” ยอดหล้าจำนรรจา
“พี่จะลืมได้อย่างไร นี่คือเพลงของเราสอง”
หลวงเทพพูดคล้ายคนละเมอ ดารารายชะงักเขม้นมองหลวงเทพแล้วมองพี่สาว คุณเพ็งงงเพราะรู้ว่า เพลงนี้คือเพลงของดารารายกับหลวงเทพ
“ยังไงกันหรือคะ คุณพี่”
หลวงเทพตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม “เจ้านางแต่งทำนองเพลงนี้ แต่เนื้อเพลงพี่เป็นคนเขียน”
“หรือคะ ตาย น้องเข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน” ผู้เป็นน้องสาวว่า
ดารารายลอบถอนใจ “เรื่องการณ์ก่อน มีความนัยซับซ้อนนักเจ้า คุณเพ็ง”
“ใช่ เรื่องบางเรื่องก็มิเป็นไปอย่างที่ตาเราเห็น”
ยอดหล้าบอก พร้อมกับยิ้มสบตาดารารายจังๆ ดารารายยิ้มตอบดวงตาเริ่มระแวงระไว
ตกตอนกลางคืนยอดหล้าเกาะขอบหน้าต่างมองดูท้องฟ้าดำสนิทเบื้องบน นางผัน นางเผื่อนนั่งที่พื้น
“คืนนี้แล้ว ผัน เผื่อน”
“เจ้า” 2 นางข้าไท ประสานเสียง
“ท่านอาจารย์จักร้างเสน่หามนตราของครูบาชั่วนั้นได้หมดสิ้น”
เวลาเดียวกันที่ยอดผามีต้นสนยืนต้นโดดเดี่ยว เถรกระอ่ำบริกรรมคาถาอยู่ใต้สนต้นนั้น เมฆเคลื่อนมาเต็มฟ้า เถรกระอ่ำแบมือออก เผยให้เห็นว่าในมือมียาสีเขียว แล้วกำมือลง โบกมืออีกข้างใส่ต้นสน สนพลันโน้มยอดลงจนยอดถึงเบื้องหน้า เถรกระอ่ำวางยาเม็ดลง ยิ้มมากเล่ห์
“สลาเหิน จงไป”
สนต้นนั้นพลันดีดยอดคืนไป พาเม็ดยาวิเศษลอยพุ่งไปยังแดนใต้
วัตถุสีเขียวพุ่งมาตกลงในเหยือกน้ำข้างเตียงนอน น้ำในเหยือกกลายเป็นสีเขียวเรืองไปทั้งห้อง แล้วจางลง หลวงเทพผวาตื่นลุกขึ้นนั่งห้อยเท้า มองดูเหยือกน้ำ น้ำนั้นใส แต่มีสีเขียว
หลวงเทพรินน้ำดื่ม แล้วตัวชาวาบ ดวงตามีสีเขียว
เสียงเถรกระอ่ำดังขึ้น “จงรักยอดหล้า”
บังเกิดภาพหลวงเทพในสภาพเปลือยเปล่า กอดจูบยอดหล้าอย่างหลงใหลขึ้น
หลวงเทพตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเถรกระอ่ำซ้อนขึ้น ดวงตาสะกดมนตราสิเน่หา
“จงใคร่ยอดหล้า”
ภาพยอดหล้าบิดกายมองมาอย่างยั่วยวนผุดขึ้นในมโนหลวงเทพ
“จงลุ่มหลง ทั้งชีวิต จิตใจ แลวิญญาณเป็นของยอดหล้า”
หลวงเทพลุกพรวดขึ้นเดินจากไป ทิ้งดารารายหลับใหลอยู่โดยไม่รู้หน หลวงเทพออกไปงับประตูปิดลง ดารารายลืมตาลุกขึ้นมองตาม เดาได้ว่าหลวงเทพจะไปที่ใด แม้นเข้มแข็งแต่ก็อดหวั่นไหวมิได้
วันต่อมาดารารายนั่งอยู่บนเตียง เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง สีหน้าโศกเศร้า ประตูเปิดออก นางทิพย์ นางทิม เข้ามาคุกเข่าลง
“เจ้าหลวงเจ้า เจ้านางน้อย”
ดารารายขยับตัวลุกขึ้น เจ้าหลวงแสงอินทร์ก้าวเข้ามา สีหน้าหนักใจ ระคนอับอาย
“ลูกดารา เจ้ารู้ความแล้วใช่หรือไม่”
แสงอินทร์ประคองดารารายให้นั่งลงบนเตียง คุยกัน นางทิพย์ นางทิม เลี่ยงออกไป
ดารารายรับเสียงเศร้า “เจ้า”
“ลูกอยากให้พ่อทำเช่นไร ยอดหล้าเหลวไหลนัก”
“เจ้าพี่รักพี่เทพดั่งดวงใจ อย่าตำหนินางเลยเจ้า”
“แล้วมันเกิดอันใดขึ้น ใยหลวงเทพจึงกระทำเช่นนี้”
ดารารายหลบตาวูบ
“มันคงเป็นบ่วงกรรมที่ร้อยรัดเรา จนหลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะเจ้า”
เจ้าหลวงแสงอินทร์มองดูลูกแล้วพยักหน้า ดารารายฝืนยิ้ม ดวงตาปวดร้าว
คืนเดียวกัน ที่ยกพื้นบนเรือน ยอดหล้าเล่นซึง โดยมีหลวงเทพเปลือยอกนั่งเอนมือเท้าหมอนขวาน มีของกินเล่นนานา มาลัย ของหอมวางรายรอบ นางผันโบกพัด นางเผื่อนปัดแส้ให้หลวงเทพ ยอดหล้าสบตาลึกซึ้ง หลวงเทพมองอย่างลุ่มหลง
ห่างออกมา ดารารายหลบอยู่หลังเสาแอบดูอยู่ยิ่งแน่ใจมากขึ้น จู่ๆ มีร่างมาข้างหลัง ดารารายหันไป คุณเพ็งก้าวมาทำท่าว่าไม่ให้เอะอะไป แล้วมองดูด้วย
ยอดหล้าชายตามอง หลวงเทพเอาอาหารจ่อปากกลับกินไม่ได้ลดอาหารลงมองดูยอดหล้าอย่างจะกลืนกินแทน
ดารารายและคุณเพ็งมองดูแล้วหันมาสบตากัน
เวลานั้นเอง นางผัน นางเผื่อน เปิดฉากตบตีกับนางทิพย์ นางทิม โดยนางทิม เอากระจาดฟาดหัวนางเผื่อนเต็มแรงจนกระจาดลงไปติดคาคอ ดารารายเข้ามาเห็น ตวาดเสียงดัง
“หยุดนะ”
ทั้ง 4 นางหยุด ยอบตัวลงนั่งหมอบ หลวงเทพกับยอดหล้าก้าวมาจากในเรือน ดารารายยิ้มทัก
“ดารา เจ้ามาทำไมที่นี่” หลวงเทพฉงน
“ข้ามาตาม...นางสองคนเจ้า”
ยอดหล้าแขวะ “แน่ใจหรือว่าเจ้ามาตาม...แค่นังสองคนนี้”
ยอดหล้าเยื้อนยิ้มเกาะแขนหลวงเทพ ดารารายมองมือนั้นแล้วยิ้มให้พี่สาว
“เจ้า ข้ามาตามแค่ “คนของข้า” เท่านั้น”
“เอาเถอะๆ คืนนี้ข้าจะเตือนพี่เทพ ให้กลับไปเรือนเจ้า” ยอดหล้าบอก
หลวงเทพรีบสั่นหัวปฏิเสธ ดารารายมองแล้วสะอึก ฝืนยิ้มทำทีว่าไม่เป็นไร
“ไม่ต้องหรอกเจ้าพี่ เจ้าพี่กับพี่เทพเพิ่งข้าวใหม่ปลามัน ข้ายินดีส่งเสริมท่านสองคน”
ยอดหล้าโกรธวูบขึ้น พูดเบาลงแต่เสียงแข็ง
“อย่ามาเสแสร้งทำเป็นเสียสละกับข้า”
ดารารายงงงัน “ข้าหรือเสแสร้ง ข้าเสแสร้งอันใด”
ยอดหล้าก้าวมาจนชิดตัวดาราราย พูดให้ได้ยินเพียงสองคน
“อย่ากล้าดีมาทำหน้าซื่อไขสือ เจ้าแย่งพี่เทพไปได้ เพราะใช้เสน่ห์ยาแฝด”
ดารารายฉงนฉงาย “ข้าน่ะหรือ ถ้าข้าใช้จริง ใยพี่เทพจึงอยู่กับท่าน”
“เพราะข้าถอนเสน่ห์เจ้าได้น่ะซี”
“อะไรนะ เจ้าพี่ทำอะไร”
ดารารายคว้าข้อมือยอดหล้า มีอาการอยากถามให้ชัดเจน ยอดหล้าทำสีหน้าขยะแขยง
“ปล่อยข้า”
“เจ้าพี่พูดมา ท่านทำอะไร”
“ปล่อย”
ยอดหล้าสะบัดมือด้วยแรงมหาศาล มือโดนหน้าดารารายเต็มๆ ดารารายตกใจ รู้ว่ายอดหล้ามีวิชาแปลกประหลาด ยกมือป้องปัดสลายแรงนั้น
ยอดหล้าเหลือบดูหลวงเทพแล้วเสแสร้งทำเป็นโดนดารารายตบล้มถลาไปที่พื้น
นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิมร้องวี้ด
หลวงเทพก้าวไปตบหน้าดารารายเต็มแรง ดารารายหมุนคว้างถลาล้มลง ดวงตาตระหนกไม่อยากเชื่อ เจ็บกายไม่เท่าเจ็บที่ดวงใจในยามนี้ นางทิพย์ นางทิมประคองไว้
ยอดหล้ายิ้มสมใจ หลวงเทพห่วงใยประคองยอดหล้าขึ้น แล้วหันมามองดารารายตาลุกโพลง โกรธแค้นแสนสาหัส ชี้หน้า
“อย่ากล้าดีมาก้าวร้าวเมียข้า”
ดารารายตกใจสุดขีด “พี่เทพ”
คุณหญิงอำภา คุณเพ็ง นางนิ่ม นางนวลก้าวเข้ามา คุณหญิงตวาดเสียงแข็ง
“หยุดนะ เจ้าเทพ”
คุณเพ็งรีบเข้าไปดูดาราราย “พี่ดารา พี่เป็นอย่างไรคะ”
คุณหญิงอำภามองอย่างตำหนิ หลวงเทพเมินหนี คุณเพ็งประคองดารารายขึ้นยืน
ยอดหล้ามองดารารายอย่างสาสมใจ ดารารายเสียใจทบทวี
ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนกลับมาที่เรือนพระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำภาคลึงยาให้ที่โหนกแก้มดารารายมองอย่างปรานี ทั้งคู่นั่งอยู่บนเตียง ดารารายข่มน้ำตาไม่ให้ไหล คุณเพ็งถือชามยาอยู่ในมือ น้ำตาไหลรินด้วยความสงสารพี่สะใภ้จนต้องเอามือป้าย ที่พื้น นางทิพย์ นางทิม มีรอยฟกช้ำแต่ไม่สนใจตัวเอง มองดูเจ้านาย น้ำตาคลอด้วยความแค้น
“เจ้าดารา แม่ขอโทษแทนเจ้าเทพด้วย”
“โธ่ อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้า”
“ฮือ น้องไม่คิดเลยว่าคุณพี่จะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้”
“นั่นมิใช่พี่ชายเจ้า”
คำพูดของคุณหญิงอำภาทำเอาดารารายตกใจ คุณเพ็งอ้าปากค้าง นางทิพย์ นางทิมตาโพลน
“คุณหญิงแม่พูดอะไรเจ้าคะ”
“พี่ชายเจ้ารักเจ้าดารายิ่งดวงตาดวงใจ ไม่มีวันทำเช่นนี้ได้ แต่ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะต้องมนต์”
“ลูกสงสัยอยู่แล้ว พี่เทพหน้าดำคร่ำเครียด ไร้สง่าราศี ดูผิดไปเป็นคนละคน ตั้งแต่เจ้านางมากยศนั่นมา”
ดารารายสะอึกอึ้งไปในทันที คุณเพ็งยิ้มแหย ระบายต่ออย่างโกรธแค้น
“น้องขออภัยนะคะ พี่ดารา ฮึ เจ้าพี่พี่ดาราทำเสน่ห์เล่ห์กลขนาดนี้ พี่ดาราไม่ระแคะระคายบ้างหรือ”
“นี่แม่เพ็ง...เจ้าดารามิได้หัวทึบเหมือนเจ้า มีหรือจะไม่รู้”
นางทิพย์ นางทิมเพิ่งแน่ใจมองดารารายอย่างสงสาร
คุณเพ็งค้อน “แหม คุณแม่”
“เจ้าดาราทำอันใดไม่ถูก ก็เพราะนางเป็นพี่ต่างหาก”
“พี่มากเล่ห์เพทุบาย แย่งได้กระทั่งสามีน้อง เป็นข้ามินับเป็นพี่ดอก”
คุณเพ็งพูดด้วยน้ำเสียงชิงชังพี่สาว ดารารายยิ่งสะเทือนใจ
“ข้าขอโทษจ๊ะ พี่ดารา”
“นี่ แม่เพ็ง ถ้าหุบปากไว้ก็จะงามกว่านะลูก” คุณหญิงหันมาทางดาราราย “เจ้าดารา เจ้าจะคิดอ่านอย่างไร”
“เจ้าพี่เป็นคนจิตใจงามยิ่งนัก แต่กลับทำได้ถึงเพียงนี้ต้องมีความในซับซ้อนเป็นแน่เจ้า”
“จิตใจงามกระไรคะ” คุณเพ็งมิวายค่อน
“นี่ แม่พระจันทร์เพ็ง แม่หลบเข้ากลีบเมฆไปก่อนนะจ๊ะ”
คุณเพ็งยกมือปิดปากตัวเอง
“เราต้องรีบแก้ไขนะเจ้าดารา ยิ่งรอช้าไปพ่อเทพอาจจะยิ่งอันตราย”
ดารารายพยักหน้ารับคำช้าๆ
คืนนั้นดารารายนุ่งขาวห่มขาว ปักดอกไม้ขาวบนมวยผม นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาบนเรือน ตรงหน้ามีเทียนจุดพราว ควันธูปตะลบขึ้นเป็นลำสูง
ดารารายพยายามสำรวมจิตเป็นหนึ่ง ยากเย็น เนิ่นนาน แต่ลงท้ายจิตก็รวมสำเร็จ
ควันธูปหมุนคว้างลอยลึกเข้าไปเป็นอุโมงค์ ปลายอุโมงค์มีแสงส่องสว่าง เมื่อผ่านเข้าไปก็กลายเป็นดินแดนอันงดงาม มีบึงบัวกว้างใหญ่ ดอกบัวออกพราวพร่างนับหมื่นนับแสนดอก มิมีโดยราเลยแม้นสักดอกเดียว ท้องฟ้าเบื้องบนมีเมฆขาวสะอาดแปรรูปอยู่ตลอด
จิตดารารายก้าวไปยืนที่แท่นหินริมบึงนั้น ณ ที่ซึ่งครูบาสรีนั่งหลับตาอยู่ ดารารายยิ้มพราย ทรุดลงกราบกับพื้น
“เฮอะ ยังดีที่เจ้ายังจำวิธีเข้าสมาธิได้”
ดารารายเงยหน้าเป็นเชิงตัดพ้อ ครูบาสรีลืมตาขึ้น ใบหน้าคล้ำ หนวดเครารุงรัง แต่ดวงตาปรานีนัก
“โธ่ ท่านตา ข้าหนีร้อนมาพึ่งเย็น”
“หากเจ้าฝึกสมาธิสม่ำเสมอ เจ้าจะแคล่วคล่องในวสี คิดจะติดต่อตาเมื่อใดก็ได้ มิต้องยากเย็นเพียงนี้”
“ข้ารู้แล้วเจ้า”
“อีกอย่างหนึ่ง อำนาจสมาธิจะคุ้มครองเจ้าและคู่ได้ ไม่ต้องต้องสิเน่หามนตราถึงเพียงนี้”
ดารารายได้ฟังยิ่งเสียใจ “นางคงเคียดแค้นข้านักจึงทำได้ถึงเพียงนี้”
“ข้ามองเห็นเมฆหมอกแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำนางอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นข้าเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่เบื้องหลัง”
ดารารายเบิกตากว้าง “มันผู้นี้เป็นใครเจ้า”
“มันมีตบะแข็งกล้า สามารถกำบังตนจากข้าได้”
ดารารายนึกออก “เมื่อกลางวันเจ้าพี่เพียงผลักข้า แต่กลับมีพลังมหาศาล คนผู้นี้อาจสอนวิชาให้นาง รวมทั้งเป็นคนทำเสน่ห์ใส่เจ้าภักดิ์”
ครูบาสรีพยักหน้ารับ
“ท่านตา ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านพยากรณ์ไว้”
“กฎแห่งกรรม...ใครเล่าจักเลี่ยงได้หลานข้า”
“ข้าควรจะชี้แจงเกลี้ยกล่อมเจ้าพี่ได้ แต่ตอนนี้นางถือข้าเป็นศัตรู มิยอมฟังอันใด”
“จงใช้สติ...แก้ไขไปทีละสิ่ง”
“ท่านตาเจ้า ข้าจะทำลายสิเน่หามนตรานี้ได้อย่างไร” พลางดารารายแกะเขี้ยวเสือไฟที่คอออกมา “ใช้เขี้ยวเสือไฟนี้ได้หรือไม่เจ้า”
“เขี้ยวเสือไฟถึงมีอานุภาพแต่เป็นเพียง โลกียะเดรัจฉานวิชา ยังมีสิ่งอื่นที่สูงส่ง อาจชำระล้างมนตราได้ เจ้าลองตรองดู”
ดารารายคิดแล้วยิ้มออก
“ข้ารู้แล้วเจ้า ท่านตา”
ขณะที่ควันธูปในห้องพระจางลง ดารารายค่อยๆ ลืมตาขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 17 (ต่อ)
ตอนสายวันต่อมา ณ วัดใหญ่แห่งนั้น ซึ่งตั้งตระหง่านงดงามระยิบระยับ อยู่ริมน้ำ
คุณหญิงอำภา ดาราราย นางนิ่ม นางทิพย์ นางทิมนั่งอยู่ตรงหน้า พนมมือมองดูอย่างเลื่อมใส อยู่ในวิหารใหญ่ อันมีพระปฏิมางดงามเป็นประธาน โดยที่หน้าพระพุทธรูปยามนั้น พระภิกษุทรงตบะเมตตาบารมี ยื่นเทียนไขสุกสว่างเหนือบาตรน้ำมนต์ เทียนหยดลงในน้ำที่หมุนวนอย่างประหลาด
ครู่หนึ่ง พระเถระกำลังแผ่พุทธคุณลงสู่น้ำมนต์ น้ำมนต์ทั้งบาตรสะเทือนแสงวูบหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์
ตอนเย็น ชามขนมบนถาดแลดูประณีตน่ากิน คุณเพ็งยิ้มละไมถือถาดด้วยตัวเองเดินมากับนวลคนสนิท
ที่ชานเรือนเจ้านางยอดหล้า หลวงเทพกับยอดหล้า นั่งกินอาหารอย่างสุขสำราญ ตรงหน้า เป็นสำรับจัดประณีตงดงาม นางผัน นางเผื่อนคอยรับใช้ รินน้ำ พัดวี
ยอดหล้าป้อนอาหารเข้าปากหลวงเทพ หลวงเทพกินอย่างมีความสุข ดวงตามองยอดหล้าดื่มด่ำ
“รสมือเจ้านาง...มิมีผู้ใดเทียบได้แล้ว”
ยอดหล้ายิ้มหวาน นางผันสอด
“เจ้า ยิ่งเรือนนั้นด้วยแล้ว”
นางเผื่อนเสริม “เคยหุงข้าวจนหม้อทะลุมาแล้วเจ้า”
ยอดหล้าดุตาวาว นางผัน นางเผื่อนคอหด
“พวกเจ้า”
“อย่าพูดถึงคนอื่น ข้าไม่อยากฟัง” หลวงเทพขัดขึ้น
“เจ้า กินนี่อีกซักคำดีกว่าเจ้า”
ยอดหล้าป้อนอาหารหลวงเทพอีก คุณเพ็งเดินมาเห็นเข้าพอดีเบ้หน้านิดหนึ่ง แล้วเล่นละครทำทีเป็นยิ้มแย้ม
“ยังไงก็เหลือท้องไว้กินขนมบ้างนะคะ คุณพี่”
หลวงเทพยิ้มทักน้องสาว คุณเพ็งนั่งลง ยกขนมจากถาดวางลง
“ฝีมือน้องหรือ แม่เพ็ง”
“อุ๊ย ไม่ใช่หรอกค่ะ”
ยอดหล้ายิ้มนิดๆ ท่าทีเหินห่างหน่อยๆ กับสาวน้อย คุณเพ็งทำตาแป๋ว ยอดหล้าระแวง
“งั้นฝีมือใครหรือเจ้า”
“วันนี้คุณหญิงแม่ลงครัวค่ะ ทำขนมของโปรดของคุณพี่ กินเลยดีไหมคะ”
“เอาซี”
หลวงเทพล้างมือในอ่างลอยดอกไม้ แล้วเช็ดมือเริ่มทานขนม หลวงเทพตักขนมขึ้น ขนมในช้อนสะท้อนแสงวูบหนึ่ง หลวงเทพกินเข้าไป คุณเพ็งลิงโลดใจแล้วระงับท่าทีไว้
ตกตอนกลางคืน หมู่เรือนพระยาพิชิตชัย เงียบสงัด เป็นคืนไร้จันทร์ ดาวระยิบระยับดารดาษเต็มฟ้า
ยอดหล้าอยู่หน้าคันฉ่อง หลวงเทพอยู่ข้างหลังกำลังใช้หวีทองหวีผมยามสยายให้ นางผัน นางเผื่อน พับผ้าอยู่ที่พื้นมุมห้อง
มีลมพัดมาวูบหนึ่ง หลวงเทพชะงักมองดูเงาตัวเองในกระจกแล้วมีแววรู้ตัว คล้ายเสียใจในสิ่งที่ตนทำ
ยอดหล้ารับรู้ “พี่เทพ มีอันใดหรือเจ้า”
“ไม่มีอะไรเจ้านาง”
หลวงเทพวางหวีลงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ท่าทางขรึมลง ยอดหล้ายังคงยิ้มแย้ม หลวงเทพแหงนมองฟ้า
“พี่ไม่ได้ไปเรือนโน้นมานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่คืนเดือนเพ็ญ จนวันนี้เป็นคืนเดือนมืดแล้วเจ้า”
“มิน่า คืนนี้จึงมีดาวพราวฟ้า
“พี่เทพอยากฟังข้าเล่นซึงไหมเจ้า ข้าจะเล่นเพลงดวงใจให้พี่ฟัง”
“เพลงดวงใจ” หลวงเทพทวนคำ มีแววสับสนเสียใจในดวงตา
ยอดหล้ายิ้มพราย “เจ้า เพลงของเรา”
หลวงเทพส่ายหน้านิดๆ...แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในเวลาต่อมา ดารารายยังคงถือศีลแต่งชุดขาวนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทางทิพย์ นางทิม ก็ถือศีลเป็นเพื่อน นางทิพย์เอามาลัยดอกไม้ขาวคล้องมวยผมให้ดาราราย นางทิมเอาผ้าอบร่ำในหีบ
เสียงเพลงดวงใจดังแว่วมา
“น้ำใจนางดังดาวบนท้องฟ้า บ้างเกลื่อนกลาดดาษดาพร่างเวหา”
ดารารายฟังแล้วสะเทือนใจ น้ำตาเอ่อล้นขึ้น แล้วรีบปาดทิ้ง นางทิพย์ นางทิมสบตากัน
เสียงซึงและเสียงเพลงร้องดังต่อเนื่องอยู่อย่างนั้น
ไม่นานต่อมา ซึงวางอยู่บนตั่งใกล้เตียง บนเตียงยอดหล้านอนหลับสนิทตะแคงตัวเข้าหาหลวงเทพที่นอนหงายหลับตา มือยอดหล้าวางบนอกแกร่งของหลวงเทพ
สักครู่หนึ่งหลวงเทพลืมตาขึ้น จับมือยอดหล้าออกแผ่วเบา วางมือนั้นลงบนที่นอน แล้วขยับลุกแผ่วเบาก้าวลงจากเตียง
ดารารายแต่งชุดขาวนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่บนเตียงด้วยความทุกข์กินใจ หลวงเทพก้าวเข้ามามองผ่านม่านมุ้งบางเข้าไป สีหน้าแสนรัก และรู้สึกผิด แล้วแหวกม่าน
ดารารายผวาตัวลุกขึ้น มือล้วงคว้าไปใต้หมอนดึงดาบสั้น 2 มือออกมา ตวัดจ่อคอหลวงเทพ
“เจ้าราย นี่ข้าเอง”
ดารารายทำหน้าเย็นชา ด้วยรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าเป็นใคร
“ท่านคนใดกันหรือ เจ้าภักดิ์ที่ขอยอมแลกทุกสิ่งเพื่อได้เคียงข้างข้า หรือหลวงเทพภักดีที่ตบตีข้าเหมือนทาสในเรือน”
หลวงเทพเสียใจ
“ข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้าด้วย ทำไมข้าถึงทำได้ขนาดนั้น ไม่รู้ผีสางตนใดดลใจ”
ดารารายมองจ้องด้วยยังแค้นอยู่ แต่ก็ลดลงไปมาก เมื่อคิดได้ว่าหลวงเทพเป็นเหยื่อมนตราเสน่หา สุดท้ายดึงมีดกลับมาแต่ยังไม่วางลง หลวงเทพยิ้ม
“คืนนี้ช่างเหมือนคืนนั้นที่คุ้มน้อยนัก”
“คืนที่เจ้าก่อเรื่องไว้จนผูกพันมาถึงวันนี้”
หลวงเทพสะอึก อึ้งไปชั่วขณะ
“หากเจ้ายอมเข้าพิธีกับเจ้าพี่ เราสอง ก็จะไม่มีวันเช่นนี้
หลวงเทพฟังแล้วขมขื่น
“ข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าเคยสัญญาไว้ว่าจะมีเจ้าเพียงคนเดียว แต่ข้ากลับผิดคำตัวเอง”
ดารารายมองหลวงเทพนิ่ง “บัดนี้ ใจเจ้าแยกเป็นสอง”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ใจข้ายังมีเจ้าเพียงผู้เดียว แต่กับเจ้าพี่เจ้านั้นเป็นเพียงความสงสาร ความซาบซึ้งใจที่นางจงรักต่อข้าไม่มีวันคลาย ยิ่งใกล้ชิดนางก็ยิ่งทำให้ข้าเผลอใจ”
ดารารายขยับถอยน้ำตาเอ่อล้นดวงตา เพิ่งรู้ว่า ไม่ใช่ทั้งหมดเกิดจากมนต์เสน่ห์ แต่มนตราเสน่หานั้น ได้กระตุ้นสิ่งที่ซ่อนในใจหลวงเทพให้แสดงออกมา
“ข้าไม่ควรยอมแต่งกับเจ้า ข้าแค้นเจ้า ข้าชังเจ้านัก”
“เจ้าราย”
หลวงเทพตกใจขยับเข้าใกล้ คว้าข้อมือดารารายกุมไว้มองอย่างวิงวอน
“จงโกรธข้า จงเกลียดข้าเถิด...แต่อย่าสิ้นรักข้า”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ ข้ามิได้ชังเจ้า แค้นเจ้า ที่เจ้าปันใจมีหญิงอื่น แต่ข้าแค้นเจ้า ที่เจ้าทำให้คำทำนายนั้นกลายเป็นจริง ข้าแค้นเจ้าที่เจ้าทำให้ข้ากับเจ้าพี่กลายเป็นศัตรูกัน”
ดารารายสะบัดมือออก มองหลวงเทพตาวาว
“สิ่งเดียวที่ยังไม่เกิดขึ้นก็คือ เจ้าพี่กับข้า...ยังไม่ได้ลุกขึ้นมาทำลายล้างกันเท่านั้น”
หลวงเทพก้าวไปใกล้อีก โอบกอดนางไว้
“ข้าผิดเอง ข้าผิด ข้าขอโทษ”
ดารารายพยายามสะกดกลั้นไว้ แต่แล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น หลวงเทพกอดปลอบประโลมรั้งร่างบางมาแนบชิด ถ่ายทอดความรักให้
ฝ่ายยอดหล้านอนตะแคงแนบหมอน มือที่เคยวางบนอกหลวงเทพเลื่อนควานหากลับไม่พบผู้ใด ยอดหล้าลืมตาขึ้น ยันกายผวาลุก ใจหายวับ
ที่ศาลาท่าน้ำ ดาราราย คุณเพ็ง คุณหญิงอำภานั่งอยู่บนยกพื้น นางนิ่ม นางทิพย์ นางทิมอยู่พื้นด้านหลัง คุณหญิงและคุณเพ็งกำลังสอนดารารายคว้านผลไม้ด้วยมีดคว้านด้ามจิ๋ว ดารารายเริ่มทำได้คล่องแคล่ว
“เก่งจริงเจ้าดารา”
“เจ้า คุณหญิง”
“เมื่อใดจะเลิกเรียกข้าว่าคุณหญิงเสียทีนะ” คุณหญิงบ่น
“คุณหญิงก็เลิกเรียกข้าว่าเจ้าดาราซีเจ้า”
คุณหญิงอำภากับคุณเพ็งหัวเราะ
“เอาล่ะ เอาล่ะ แม่ไม่เรียกแล้ว ต่อไปแม่จะเรียกว่าลูกดาราก็แล้วกัน”
ดารารายรับคำ “เจ้า”
“คุณหญิงแม่นี่ ทำผิดคำโบราณนัก” คุณเพ็งบ่น
คุณหญิงอำภาฉงน “คำโบราณอะไรของเจ้า ฮะ แม่เพ็ง แม่โฉมเอก”
“อุ๊ย โบราณว่า เอาแม่ผัวมาอยู่กับสะใภ้ ปานเอาไข้มาสู่เรือนไงคะ”
คุณหญิงอำภาตีคุณเพ็งแปะ คุณเพ็งแกล้งร้องเป็นสิบเท่า
“ลูกดาราดีงามปานนี้...แม่จักเป็นแม่ผัวใจร้ายกระไรได้”
“ลูกพลัดบ้านพลัดเมืองมา คิดถึงเจ้าแม่ของลูกมากนัก แต่คุณหญิงแม่กลับทำให้ลูกรู้สึกเหมือนมีเจ้าแม่อยู่ใกล้ๆ” ดารารายว่า
คุณหญิงตื้นตัน “โธ่เอ๋ย ลูกดารา พระท่านว่าคนเราเวียนวายตายเกิด ทุกคนล้วนเคยเป็นญาติกัน ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง”
คุณเพ็งแหย่ “อุ๊ย อย่างงั้นชาติก่อน คุณแม่กับพี่ดาราคงจะเป็นแม่ลูกกันมาแน่เลยค่ะ”
“ย่ะ ส่วนหล่อนก็คงเป็นแม่ฉันอีกที ถึงไว้ว่ายากว่าเย็นนัก”
คุณเพ็งค้อนมารดาประหลับประเหลือก ดารารายหัวเราะขำ
“อุ๊ย ตั้งแต่ได้พี่เทพคืนมาเรือนนี่ พี่ดาราหัวเราะรื่นเชียว”
“แต่แม่เห็นพ่อเทพยังไปค้างเรือนนั้นอยู่หนสองหน”
“ยังไงเจ้าพี่ก็ยังเป็นเมียอีกคนนะเจ้า”
“ฮึ เจ้าพี่พี่ได้พี่เทพไปก็เพราะทำเสน่ห์เล่ห์กล”
“มิใช่แค่แรงมนตราหรอกเจ้า พี่เทพเองก็มีใจให้เจ้าพี่ข้าเช่นกัน”
สีหน้าดารารายหม่นลง คุณหญิงอำภากับคุณเพ็งสบตากัน รีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปหานางนิ่ม
“เอ้า ยังไงให้นังนวลไปหามะลิมา นี่หายไปค่อนวันแล้ว”
“จะกระไรละคะ คุณหญิง มันก็แร่ไปคุยกับไอ้ยอดอยู่น่ะซี”
นางทิพย์ นางทิม คิดคัก แสดงว่ารู้เรื่อง
“โน่นมาแล้วเจ้า” ดารรายมองไป ทุกคนมองตาม
นางนิ่มเดินยิ้มถือถ้วยลอยดอกมะลิมา เจ้ายอดหนุ่มหน้าตาคมคายเดินตามมา
“มาแล้วหรือแม่คุณ ต๊าย ยังกะใช้แมวไปขอไป
นางนิ่มยิ้มเขินอาย คุกเข่าลงวางถ้วยให้ เจ้ายอดก็คุกเข่าที่พื้นศาลา
“นี่ นังนิ่ม เอ็งหูตาพราวพราย อีกหน่อยก็คงออกเรือนทิ้งข้าแล้วใช่ไหม”
“ยังดอกคะคุณ รอให้คุณออกเรือนก่อน”
“ตาย ถ้าอย่างงั้น เอ็งก็คงไม่ได้มีผัวหรอกนังนวลเอ๊ย” คุณหญิงว่า
คุณเพ็งคิดนิดนึงแล้วร้องวี้ดค้อนแม่ ทุกคนคิกคักกัน
ห่างออกมา ใต้ต้นไทรตรงคุ้งน้ำ ยอดหล้ามองตรงมายุงกลุ่มนายบ่าวที่สรวลเสเฮฮาด้วยดวงตาเจ็บแค้น
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 17 (ต่อ)
คืนวันนั้น ตรงบริเวณดงกล้วยทางด้านท้ายเรือนพระยาพิชิตชัยนั้นแน่นขนัดจนดูคล้ายป่าทางด้านหนึ่งมีทางเดินแคบยาว คุณเพ็งถือตะเกียง เดินมากับนางนวลที่ถือตะเกียงเช่นกัน
“ฮึ เขามีแต่นายลักลอบไปพบผู้ชาย แล้วชวนบ่าวไปเป็นเพื่อน ก็มีแต่เรือนนี้แหละ ที่บ่าวไปหาผู้ชายแล้วชวนนายไปเป็นเพื่อน”
คุณเพ็งบ่นบ้าค้อนควัก นวลหัวเราะคิก
“เอาไว้คราวคุณ บ่าวจะไม่บ่นซักคำเลยเจ้าค่ะ
“นี่เอ็งว่าข้า”
คุณเพ็งชะงักมองดูในดงกล้วยอย่างแปลกใจ นางนวลมองตาม มีแสงสว่างประหลาดอยู่ลึกไปในดงกล้วย คุณเพ็งกับนางนวลงุนงง
คุณเพ็งกับนวลแอบอยู่ที่หลังต้นกล้วยใหญ่ต้นหนึ่ง โผล่มาแล้วเบิกตากว้าง
ณ ที่ตรงนั้น กลางหมู่ดงกล้วย ยอดหล้านั่งอยู่หน้ากองเพลิงที่ลุกเป็นลำสูง เถรกระอ่ำยืนอยู่ในไฟนั้น นางผัน นางเผื่อนนั่งกับพื้น
คุณเพ็งยกมือปิดปาก นวลเลี่ยงไปแอบดูหลังกล้วยอีกต้นหนึ่ง
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้า ท่านอาจารย์ผู้ทรงศีล”
“จงทำตามคำข้า ทุกสิ่งที่...รอคอยใกล้จะสัมฤทธิผลแล้ว”
เถรกระอ่ำขมวดคิ้ว
“อันใดเจ้า”
“กำแพงมีหู ประตูมีช่อง เจ้านาง”
เถรกระอ่ำหายวูบไป แต่เปลวไฟยังไม่ลดขนาดลง ยอดหล้าหันขวับมาลุกขึ้น พร้อมทั้งนางผัน นางเผื่อน
“ผู้ใด ออกมา”
นางนวลตกใจสุดขีดร้องวี้ดวิ่งหนีไป ยอดหล้าพลันปลดดอกไม้คำจากมวยผมเป่าไป
ดอกไม้คำปลิวหวือไปในอากาศ แล้วเสียบคอด้านหลังของนางนวล ทะลุออกด้านหน้า นางนวลตาเหลือกลาน ทรุดลงแล้วคว่ำหน้าลงเกาะเท้าคุณเพ็งแน่น คุณเพ็งตกตะลึง
ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนก้าวมา ยอดหล้าชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นนางนวล
“เจ้าเองหรือ โธ่เอ๋ย”
นางผัน นางเผื่อนจับแขนซ้ายขวาคุณเพ็งดึงขึ้นให้ประจันหน้ายอดหล้า
“แก นังแม่มด”
“แล้วทำไมหรือ เจ้าลำเอียงนัก จนเข้าข้างคนผิด จงมองตาข้า”
ดวงตายอดหล้าเรืองแสงเจิดจ้า คุณเพ็งผงะ แล้วนั่งจังงังดวงตาเบิกกว้าง
วันต่อมาคุณหญิงอำภาร้อนรนใจแต่ยังเข้มแข็งมองดูบนเตียงสี่เสา คุณเพ็งถูกจับมัดมือเท้านอนหงายตรึงกับเสาทั้งสี่ ทางด้านหลัง นางนิ่มคุกเข่าน้ำตาไหลพราก
คุณเพ็งดิ้นรนแอ่นจนตัวเกร็ง ดวงตากลอกไปมา ปากเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวแสยะ เดี๋ยวอาระวาด เดี๋ยวหวาดกลัว
“ผี ผีอยู่ในไฟ อีแม่มด อีแม่มด”
คุณหญิงอำภาถาม “นี่มิใช่ไข้แล้ว นิ่ม”
“ผีเข้าหรือเจ้าคะ คุณหนู”
จากสรรพนามคำเรียกแสดงว่านิ่มเป็นนางพี่เลี้ยงมาตั้งแต่อำภาเป็นเด็ก
“ก็ไม่เหมือนเช่นกัน...แต่เหมือนลูกข้าต้องอาถรรพ์บางอย่าง”
“แล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เอาน้ำมนต์เจ้าขรัววัดโมกป้อนไว้ก่อน...รอวันมะรืนให้เจ้าคุณพี่กลับมาจากเมืองใต้ แล้วค่อยดูกันอีกที”
คุณเพ็งยังดิ้นรนส่ายหน้าหนี คุณหญิงอำภาป้อนน้ำมนต์ นางนิ่มช่วยกดจับไว้
คุณเพ็งกรี๊ด ขัดขืนสุดกำลัง “ไม่กิ๊น ไม่กิน”
นางนิ่มครวญ สงสารจับใจ “โธ่ คุณหนูเพ็ง”
คุณเพ็งมองหน้าแม่นิ่มแล้วตาเบิกกว้างเห็นเป็นนางนวล
“นวล นวล”
นางนิ่มใจหายวับ
“นังนวล นังนวลทำไมเจ้าคะ”
“ดอกไม้ เลือด” คุณเพ็งร้องออกมาอีก
“ลูก นวลหายไปไหน ลูกรู้ไหม” คุณหญิงร้อนใจ
คุณเพ็งตาเหลือกลานร้องวี้ดๆ ถ่มน้ำมนต์ออกเป็นลำยาว แล้วแน่นิ่งไป
บ่าวสาวในเรือนอีก 2 นางเข้ามา ยอบตัวลง คุณหญิงหันมา
“ว่ายังไง”
2 นางผลัดกันรายงาน “ไอ้ยอดไม่อยู่เรือนมันเจ้าค่ะ”
“หายไปหนใดไม่มีใครรู้”
ฟากยอดมีท่าทางร้อนรนเดินเข้ามาในป่ากล้วย กวาดตามองไปทั่ว
ที่กลางป่ากล้วย นางผัน นางเผื่อน ขุดหลุมลึกถึงราวนม สภาพหน้ามอมด้วยดิน ผมเผ้ารุงรังมวยลุ่ย ผ้าแถบก็แทบเลื่อนหลุดจากอก เถียงกันอยู่ในหลุม
“อีวอก ขุดลึกถึงป่านนี้ แล้วจะขึ้นไปได้อย่างไร”
“ก็เหยียบหัวเจ้า ปีนขึ้นไปไง”
สองนางถลึงตาทำท่าจะตบกัน แต่นมหลุดเลยชะงัก คลี่ขยับผูกผ้าแถบใหม่
เสียงยอดดังเข้ามา “ นวล นวล”
นางผัน นางเผื่อนตาโตเท่าไข่ห่าน ที่ปากหลุมศพนวลยังนอนคว่ำเลือดไหลนองอยู่
ยอดก้าวมายังที่โล่งกลางดงกล้วย กวาดตามองแล้ววิ่งถลาไป
“นวล!”
ยอดคุกเข่าลง ประคองศพนวลขึ้น เห็นศพนั้นคอทะลุมีเลือดไหล ตาเบิกโพลง
“นวล นวล ใครทำเอ็ง”
มีเสียงดังกรอบแกรบ ยอดหันขวับไป
“ใคร”
นางผัน นางเผื่อน ทำหน้าซื่อก้าวมาจากหลังต้นกล้วย
“อะไรน่ะ เจ้ายอด เจ้าร่ำร้องอันใด”
“ว้าย นั่นนั่งนวลนี่ ว้าย ตายแล้ว”
ทั้ง 2 นางถลามาคุกเข่าลง ยอดน้ำตาเอ่อ
“เมื่อคืนนวลกับคุณเพ็งแวะเอาของไปฝากข้า ข้ามาส่งถึงเขตดงกล้วย ใกล้รุ่งข้าฝันเห็นนวลร้องไห้ในดงกล้วย ที่เรือนบอกว่านวลหายไป ข้าจึงมาตามที่นี่”
“ว้าย...หรือว่าโดนคนบ้ากามชำเรานาง”
“แล้วฆ่าปิดปาก”
ยอดยิ่งเสียใจกราดสายตามองไปเห็นหลุมเข้า แล้วมองดูนางผันนางเผื่อนเห็นสภาพขะมุกขะมอม มองดูมือก็เห็นเล็บเต็มไปด้วยขี้ดินก็เบิกตากว้าง
“เจ้าสองคน...เจ้าฆ่านวลหรือ”
สองนางผงะ หน้าซีดมองหน้ากันลอกแลก โบกมือปฏิเสธให้วุ่น
“ว้าย มิใช่”
“ข้าสองคนมิได้ทำ”
ยอดไพล่มือไปเบื้องหลัง หยิบมีดพร้าออกมาขู่ ดวงตาเอาเรื่อง 2 นางกระถดถอย
“งั้นใครทำ พูดๆ มา”
นางผัน นางเผื่อนยื่นมือมาคล้ายวิงวอน
“ฟังข้าสองคนก่อนเจ้า”
“ข้าสองคนบ่รู้บ่หันจริงๆเจ้า”
ยอดไม่เชื่อ ขยับพร้ามั่นในมือ นางเผื่อนพลันเป่าพรวดลงยังฝ่ามือตัวเอง บนฝ่ามือนั้นมีผงยา เกิดเป็นควันฟุ้งพุ่งใส่หน้ายอดจังๆ
บนยกพื้นที่เรือนประธาน คุณหญิงอำภานั่งเด่น หลวงเทพนั่งเคียง ดาราราย ทางทิพย์ นางทิม นั่งอยู่ทางหนึ่ง ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนนั่งอยู่ทางหนึ่ง นางนิ่ม บรรดาบ่าวอื่นๆ นั่งเรียงรายตรงหน้า
“วันนึงล่วงแล้ว ยังไม่มีวี่แววอันใด” คุณหญิงเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ลูกจะแจ้งกรมวังให้ระดมคนออกสืบหาอีกทางหนึ่ง” หลวงเทพบอก
“มิใช่แค่นวล แต่เจ้ายอดคนรักก็หายไปพร้อมกันนะเจ้า” ยอดหล้าพูดแทรกขึ้นมา
นางนิ่มโกรธ อำภายิ้มนิดๆ มองยอดหล้า แต่ดวงตาเย็นชา
“เจ้านางจะชี้ว่าอะไร”
“คนรักกันแต่มีผู้ขัดขวาง...ก็อาจจะทำตามใจตนก็ได้นะเจ้า”
ยอดหล้าปรายตามองมาทางหลวงเทพ ดาราราย แสดงว่ามิได้พูดถึงนวลและยอดแล้ว
“เรือนนี้มิเคยขัดขวางหัวใจใคร จะขวางก็เพียงคนทำผิดทำนองคลองธรรมเท่านั้น”
“เจ้า คุณหญิงช่างเที่ยงธรรมนักเจ้า” ยอดหล้าจงใจประชด
คุณหญิงอำภารู้ทัน “นี่เจ้านางยกยอหรือประชดประชันข้ากันแน่”
“ข้าพลัดบ้านพลัดเมืองมา เป็นคนนอกในเรือนผู้อื่นจะกล้าดีเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้า”
“เจ้าพี่...อย่าได้พูดอีกเลยเจ้า”
ดารารายปราม ยอดหล้าตาวาว
“มิต้องห้ามข้าหรอก ข้ารู้ว่ามีเรื่องน่าอับอายหลายเรื่องที่มิควรพูด ต้องละไว้เหมือนน้ำท่วมปากอยู่ดังนั้น”
ยอดหล้าหมายถึงการที่ดารารายทำเสน่ห์ ดารารายขมวดคิ้วแล้วเมินหนีไม่อยากประคารม เห็นดังนั้นยอดหล้ายิ่งแค้นใจ
ค่ำคืนนั้นที่กระท่อมน้อยท้ายสวน มันเป็นกระท่อมเล็กๆ ที่ปรกติไม่มีคนอยู่ แต่คืนนี้มีแสงไฟวอมแวมส่องลอดออกมา
ภายในกระท่อม ไม่มีเครื่องเรือนใด นอกจากแคร่ไม้ไผ่ รอบด้านเก็บพวกจอบ เสียม ไม้สอยลูกไม้ กระจาด ชะลอม ระเกะระกะ
บนแคร่ที่ตั้งอยู่มุมห้องร่างยอดหลับอยู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอย แล้วชันตัวขึ้นมองไปทางขวาเห็นนางผันนอนผ้าหลุดอยู่
ยอดตกใจ “เจ้า”
“อุ๊ย อ้ายยอดตื่นแล้วหรือเจ้า” นางผันดี๊ด๊าหน้าระรื่น
“นี่เกิดอันใดขึ้น”
นางเผื่อนลุกขึ้นมาจากอีกข้าง ยอดหันไปดู นางเผื่อนขยับผ้าคาดอก
“อุ๊ยตาย...ยังจะถามอีก”
“อ้ายยอดมาเจอเราสองคนอาบน้ำสระหัวในคลองเกิดดาลใจฉุกข้าสองคนมาขืนใจ”
“ข้าสองคนบอบบางยิ่งสู้แรงมิได้...ก็เลยเสียหายหมดแล้ว”
สองนางหน้าระรื่น ยอดพยายามนึกแล้วส่ายหัวปฏิเสธ แถมด่ากลับ
“ไม่ใช่ เจ้าสองคนเริงร่าน น่ารังเกียจ”
สองนางหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“ไม่ ข้ารักแต่นวล,,,รักแต่นวลเท่านั้น”
นางผันบ่น “อุ๊ย ยาของท่านอาจารย์ใยได้ผลแต่ชั่วมื้อชั่วคราว”
“มิน่า หลวงเทพเองก็เดี๋ยวรักเดี๋ยวชังเจ้านาง น่าแค้นใจจริง”
ยอดนึกออก เบิกตากว้าง “นวล ตายแล้ว เจ้าสองคนฆ่านวล”
ยอดผุดลุกแล้วแข้งขาอ่อนเปลี้ยล้มกลิ้ง 2 นางลุกขึ้นดวงตาเหี้ยม
“ก็ได้ เราสองคนฆ่าเอง”
“แล้วเจ้าจะเป็นรายต่อไป”
ยอดตะกายลุกวิ่งหนีออกจากกระท่อม นางผัน นางเผื่อนกรายตัวเดินตาม
ยอดวิ่งหกล้มหกลุกมาในคลองคลองเล็กๆ ที่ชักน้ำจากคลองบางกอกน้อยมาเพื่อทำสวน น้ำแตกกระเซ็นเป็นสาย ยอดเหลียวหลังมองไม่เห็นใครตามมา แต่เมื่อหันกลับมาก็เจอนางผัน นางเผื่อนยืนแช่น้ำแค่เข่าขวางอยู่
“อีร่าน เจ้าข่มขืนข้า”
“ใช่ แลจะฆ่าเจ้าปิดปากเดี๋ยวนี้” นางผันคำราม
นางผัน นางเผื่อนโถมเข้าท่าทีคุกคาม น้ำแตกเป็นทาง 2 คนจับยอดกดลงในน้ำ คนหนึ่งบีบคอ อีกคนกดหัว ยอดดิ้นรนสุดกำลัง 2 นางบีบเค้น กดดัน น้ำแตกกระจายไม่ขาดสาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็นิ่งสนิท
นางผัน นางเผื่อน ขยับถอย สีหน้าตกใจแกมเมามัน มองหน้ากันอย่างสับสน แล้วกลับยกไหล่ไม่ยี่หระ
ช่วงตอนกลางวันในวันถัดมา บนเรือนพระยาพิชิตชัย คุณเพ็งตาขวางดิ้นรนจนตัวลอย มองดูดารารายตาขวาง
“ข้าไม่กลัวเจ้า อีแม่มด”
ดารารายและหลวงเทพอึ้ง นางนิ่มนั่งหน้าเสียดูอยู่ นางทิพย์ นางทิมปลอบใจ
“โธ่เอ๋ย น้องพี่ ใครกันที่ทำอาถรรพ์ใส่เจ้า”
“พี่เทพ ของอาถรรพ์ต้องแก้ด้วยสิ่งอาถรรพ์ซีเจ้า”
“ใช่แล้ว ผีตาเดียวเราสองคนยังปราบมาแล้ว”
หลวงเทพหันมาหา ดารารายปลดเขี้ยวเสือไฟจากคอ หลวงเทพรับมา แล้วหันมาหาน้องสาว คล้ายมีพลัง อำนาจบางอย่าง จากปิศาจที่ครอบงำอยู่ ออกอาการไหวหวั่นและต่อต้าน คุณเพ็งพลันกระถดถอย
“คุณพี่...ช่วยน้องด้วย”
หลวงเทพยิ้มให้ ลดเขี้ยวเสือไฟลง ขยับเข้าใกล้อีก
“แม่เพ็ง รู้ตัวแล้วหรือ...”
ไม่ทันขาดคำดีนัก คุณเพ็งก็โผนตัวลอยสูงขึ้น เชือกล่าม 2 ข้อมือขาดผึง ปากร้องก้องกึง ฟังไม่เป็นภาษาคน
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 17 (ต่อ)
คุณเพ็งทะยานเข้าบีบคอหลวงเทพเต็มแรง หลวงเทพยกสองมือป้องผลักน้องสาวไป ร่างคุณเพ็งพลันลอยลิ่วอยู่กลางอากาศ ผมสยายปลิวไสว ดวงตาเรืองแสง ใบหน้ากลายเป็นปีศาจร้าย
ดารารายขยับตัว นางทิพย์ นางทิม ประคองพานางนิ่มที่ตกใจเจียนสิ้นสติขยับถอย
“ข้าไม่กลัวเจ้า” ปิศาจในคราบคุณเพ็งคำรามก้อง
ดารารายร้องบอก “เจ้าภักดิ์ระวัง”
หลวงเทพพลันพนมมือ รวบเขี้ยวเสือไฟไว้ในมือ สำรวมจิตว่าบทพุทธคุณในใจ
ร่างคุณเพ็งขยับลอยหวือขึ้นลง ปากคำราม พ่นควันจากปาก ควันนั้นกระทบผ้าที่ล่าม 2 ข้อเท้าพลันกลายเป็นน้ำกรด กัดกร่อน ผ้าจนเปื่อยยุ่ยขาดผึงออก
หลวงเทพตั้งหลักยื่นเขี้ยวเสือไฟไปเบื้องหน้า มันเรืองแสงขึ้น
คุณเพ็งลอยตัวอยู่ผงะหงาย แล้วพ่นควันกรดอีกระลอกใส่ดาราราย ดารารายปลดผ้าคล้องคอออกตวัดรับแล้วหมุนตัวหลบ ผ้าคล้องคอยุ่ยจนต้องปล่อยทิ้ง
คุณเพ็งหมุนตัวหัวอยู่ล่างเท้าอยู่บนโถมใส่หลวงเทพ มือ 2 ข้างกางเพื่อบีบคอ
หลวงเทพรอจังหวะ สุดท้ายฟาดเขี้ยวเสือไฟเข้าแสกหน้าน้องสาว เกิดประกายเจิดจ้า คุณเพ็งร้องกรี๊ดๆ ร่างกระเด็นไปฟุบบนที่นอน ใบหน้าปีศาจจางวูบไป กลายเป็นใบหน้าปรกติของเด็กสาววัยดรุณดังเดิม
หลวงเทพถอนใจโล่งอก หันไปยิ้มกับดาราราย
ขณะเดียวกัน ณ เรือนยอดหล้า มีหิ้งสูงลาดผ้าดิ้นทองไว้ บนนั้นวางขวดแก้วข้างในมีน้ำใส ยอดหล้านั่งขัดสมาธิเหมือนบริกรรมให้น้ำนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ยอดหล้าลืมตาขึ้นช้าๆ
ขวดแก้วนั้นพลันเรืองแสงเป็นสีทองสุกปลั่ง แสงสว่างแผ่ออก ยอดหล้ายิ้มสมใจ ลุกขึ้นหยิบขวดนั้นมา
ฟากหลวงเทพกับดารารายก้าวมาที่ศาลาท่าน้ำ นางทิพย์ นางทิม เดินตามคอยรับใช้ดูแล มีลมแรงพัดวูบมากราวใหญ่ ต้นไม้เหนือศาลาโปรยดอกลงเป็นสาย
“เดี๋ยวให้ตั้งสำรับที่นี่ดีไหม”
“ตามใจซีเจ้า” ดารารายหันมาบอกกับ 2 พี่เลี้ยง “พี่ทิพย์ พี่ทิม พี่ไปแจ้งเรือนครัวทีว่าคุณหลวงจะกินข้าวเย็นที่นี่”
นางทิพย์รับ “เจ้า”
“แม่ข้าน่าจะอยู่ที่เรือนครัว...เจ้าบอกแม่ข้าด้วยว่าคุณเพ็งอาการดีขึ้นแล้ว”
“ได้เจ้า คุณหลวง” นางทิมบอก
จากนั้น นางทิพย์ นางทิมถอยออกไป หลวงเทพจูงดารารายให้นั่งลง จ้องหน้าถาม
“เรื่องร้ายๆ ในเรือนเราตอนนี้เกิดจากอะไรกันแน่นะ”
ดารารายไม่ปริปาก
“จากเรื่องนั้นเป็นเรื่องนี้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
ดารารายปลอบ “อย่าเพิ่งคิดอันใดเลย ทำใจให้สบายก่อนเถิด เจ้าภักดิ์”
จังหวะนี้ทั้งสองมองไปเห็นฝั่งตรงข้าม มีท่าน้ำของเรือนขุนนางอีกคน โดยที่ท่ามีชาวบ้าน 2 คนมาล้างถ้วยชาม ใกล้ท่ามีต้นไม้ใหญ่ริมตลิ่ง ยื่นกิ่งก้านมาเหนือน้ำ เด็กชาวบ้าน 3 คน ตัวดำเป็นเหนียงกำลังปีนป่าย กระโจนลงน้ำ
เด็กทั้งสามกระโดดลงน้ำตูมๆๆ แล้วร้องเฮฮา น้ำกระจายเป็นลำสูง
หลวงเทพ ดารารายยิ้มขัน
ชาวบ้าน 2 คนที่ตีนท่ารำคาญ ลุกขึ้นชี้นิ้วด่า
จังหวะนี้เองที่ใต้น้ำ ร่างใครคนหนึ่งโดนแรงน้ำกระแทก จนหลุดจากกิ่งไม้ที่ขัดตัวไว้ ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ตรงกลางวงเด็กทั้งสาม และพบว่าเป็นศพผู้ชาย ตาเหลือก ลิ้นจุกปาก เด็กทั้งสามแผดร้องลั่น ขวัญกระเจิง แตกฮือไปคนละทาง
2 คนว่ายน้ำปีนขึ้นท่า จนทำให้ท่าเอียง ชาวบ้านทั้ง 2 กระเด็นลงไปอยู่กับศพ หวีดร้องกันลั่นคลอง
หลวงเทพกับดารารายผิดสังเกต ผุดลุกขึ้น บ่าวที่เรือน 2 คนรีบลงเรือพายพรวดไป เสียงตะโกนดังแว่วมา
เป็นเสียงชาวบ้าน 1 “ช่วยด้วย”
ตามด้วย ชาวบ้าน 2 “ผีตายลอยน้ำมา ช่วยด้วย”
หลวงเทพมองหน้าดารารายงง “ใครกัน”
บ่าวในเรือนที่ลงเรือไปหน้าซีดตะโกนมาบอก
“ไอ้ยอดขอรับ ไอ้ยอดตกน้ำตาย”
ดารารายหน้าซีดเผือด
ที่เรือนครัว แม่ครัวกับบ่าวหญิงกำลังจัดสำรับลงถาดใหญ่ สำหรับ 3 เรือน นางทิพย์ นางทิม ดูแลอยู่ นางผัน นางเผื่อน โผล่พรวดมา นางทิมหมั่นไส้
“ว้าย อะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
“ก็ผีน่ะซี” นางผันบอก
ตามด้วยนางเผื่อน “มีซากผีลอยมาติดท่าน้ำ”
นางผัน นางเผื่อน ออกอาการลอกแลกนิดหน่อย ยายพริ้มแม่ครัวและบ่าว รวมทั้งนางทิพย์ นางทิมพรวดออกไปดู ยอดหล้าก้าวมาหานางผัน นางเผื่อน
“ชามโคมนี่เจ้า ของคุณหลวง” นางผันชี้บอก
ยอดหล้าหยิบขวดแก้วมีน้ำใส มาเทลงในชามแกงนั้น
โชคร้าย คุณหญิงอำภามาเห็นพอดี “นั่นเจ้าทำอะไร”
สามนายบ่าว หันไปมองอย่างตกใจ คุณหญิงอำภาอยู่ที่ประตูครัวมองมาอย่างเอาเรื่อง
ครู่ต่อมาคุณหญิงอำภาอยู่ที่ชานเรือนใกล้บันได ชูขวดแก้วดู พบว่าข้างในขวดไม่ได้เป็นสีทองงดงาม แต่มีหมอกควันสีเขียวคล้ำลอยวน เป็นใบหน้าปีศาจแล้วจางหายไปต่อหน้า คุณหญิงอำภาผงะ ยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนอยู่ตรงหน้า
“นั่นคือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เจ้า ใช้แก้พิษคุณไสยทั้งปวง” ยอดหล้าบอก
ขณะเดียวกันที่บริเวณยกพื้นหน้าเรือน นางนิ่ม ประคองคุณเพ็งที่ร้องไห้ออกมา
“มันฆ่านวล แล้วสะกดข้า แม่นิ่มจ๋า”
“ลูกเอ๋ยลูก”
ดาราราย หลวงเทพ นางทิพย์ นางทิม บ่าวชายหญิง 3-4 คนเดินตามกันเป็นพรวน มาตามทางเดินจากท่าน้ำกลับเรือน
“นวลหายตัว เจ้ายอดถูกฆ่า ต้องเกี่ยวพันกับเรื่องร้ายในเรือนเรา” หลวงเทพมั่นใจ
“เจ้าพี่ ท่านหรือ” ดารารายรำพึงออกมาเสียงแผ่วเบา
ส่วนที่ชานเรือน ยอดหล้าเข้าแย่งยื้อขวดยาจากคุณหญิงอำภา สองคนถอยร่นมาเหนือหัวบันไดด้านบน
“คุณหญิงเจ้า อย่าเจ้า”
“ปล่อย ปล่อยข้า”
ยอดหล้าแย่งขวดยามาด้วยพลังมหาศาล ผลักมือไปเบาๆ แต่เกิดแรงๆกล้า กึ่งจงใจกึ่งไม่คำนวณแรงตัวเอง
ร่างคุณหญิงอำภาลอยคว้างขึ้นทั้งตัว ก่อนจะกระเด็นกระดอนไปพ้นพื้นเรือน
“ว้าย” คุณหญิงร้องขึ้นสุดเสียง
นางนิ่มประคองคุณเพ็งออกมาจากในเรือนเห็นเหตุการณ์พอดี
“คุณแม่”
หลวงเทพ ดารารายก้าวเข้ามาใกล้เรือน พร้อมพี่เลี้ยงและบ่าว ทุกคนมองไปอย่างตกใจ ร่างคุณหญิงอำภาลอยหวือตกจากเรือน ศีรษะปักลงบนพื้นดิน คอหักจนได้ยินเสียง
หลวงเทพแผดร้องสุดเสียง ถลาวิ่งมาหา ดารารายตะลึงมองไปสบตายอดหล้าที่ยืนตื่นตกใจอยู่เหนือบันได ยอดหล้ามองสบตาดารารายกลับ เห็นแววจงชัง ชั่วร้าย และสาสมใจในดวงตาคู่งาม
พระยาพิชิตชัยกลับถึงเรือน พบว่าคุณหญิงสิ้นแล้ว ก็เสียใจหนักดวงตาแดงก่ำ หยิบขวดแก้วของยอดหล้ามาชู
“นี่หรือน้ำเทพมนต์ของเจ้า”
“เจ้า”
เวลานั้นยอดหล้าคุกเข่าอยู่กับพื้น นางผัน นางเผื่อน อยู่ด้านหลัง คุณเพ็ง นางนิ่มอยู่ข้างพระยาพิชิตชัย หลวงเทพ ดารารายอยู่ด้านหนึ่ง นางทิพย์ นางทิมหมอบอยู่ด้วย
บ่าวชาย 10 คน ถืออาวุธคุมเชิง แสงจากตะเกียง และคบไฟวูบวาบไปทั้งเรือน พระยาพิชิตชัยหลับตาสำรวมจิต ทุกคนมองลุ้น
ในขวดแก้วปรากฏควันสีเขียวคล้ำลอยวนเวียน ท่านพระยาปาขวดแก้วไปกลางอากาศ ทุกคนผงะ
ขวดแก้วนั้นระเบิดเปรี้ยงกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวลอยวนเวียนปั่นป่วน ผ่านตัวคนนั้นคนนี้ ทุกคนผวาหวาดหวั่น พระยาพิชิตชัยลุกขึ้น พนมมือ ควันนั้นพุ่งหนีไป ซึมซาบลงในดินใต้ถุนเรือน
“ขุดลงไปเดี๋ยวนี้”
ไม่นานต่อมา แลเห็นผอบใหญ่ดูทึบทะมึนอยู่ในมือพระยาพิชิตชัย หลวงเทพนั่งข้าง ยอดหล้า ดาราราย คุณเพ็ง นางนิ่ม นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิม บ่าวชายถืออาวุธอยู่ในตำแหน่งเดิม
พระยาพิชิตชัยทุ่มผอบลงตรงหน้ายอดหล้า โถนั้นแตกกระจาย เผยให้หุ่นขี้ผึ้งชายหญิงสีดำ มัดไว้ด้วยสายสิญจน์ นอกจากนี้ยังมีของเสน่ห์ต่างๆ เช่น ลูกสวาด ดอกรักแห้ง ควันสีดำฟุ้งกลิ่นเน่าวูบมา ยอดหล้าตกใจไม่เข้าใจ
“ฝังรูป ฝังรอย ไม่ใช่ ข้าเจ้าไม่ได้ทำ”
ยอดหล้าปฏิเสธมองมายังน้องสาว ดารารายขมขื่นใจ
“ดาราราย เจ้าสับเปลี่ยนของ เพื่อใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ”
ดารารายมองหน้าพี่สาว ส่งสายตาวิงวอน
“ไม่จริงเจ้า เรื่องทั้งหมด เจ้าพี่เข้าใจผิดหมด”
“ใช่ ข้าเข้าใจผิด ข้าเข้าใจว่าไม่ว่าอย่างไร เจ้ากับข้าก็เป็นพี่น้อง เข้าใจว่าเจ้าจะมีธรรมหลงเหลือ เข้าใจว่าเจ้าจะสำนึกบ้าง”
“เจ้าพี่”
“ข้ามันโง่งมเอง ที่คิดว่าเจ้ายังมีเยื่อใย เพราะคำสาบานของเจ้าร้ายกาจนัก เจ้ายังกล้าทวนสาบานได้”
ดารารายคิดวูบไปแล้วตกใจ เมื่อคิดว่า คำที่ยอดหล้าสาบานไว้เช่นกันจะเข้าตัวยอดหล้าหมด หน้าเผือดลง ดวงตาเบิกกว้าง
“เจ้าพี่ ข้ามิได้ผิดคำ”
“ข้าจะไม่ฟังเจ้าแล้ว”
คุณเพ็งสุดจะทนไหว ออกโรงทันที “นังแม่มด เลิกเล่นละครทำหน้าซื่อเป็นคนดีเสียที เจ้าคุณพ่อ เกิดเรื่องร้ายกาจขนาดนี้ จะทำเช่นใดเจ้าคะ”
พระยาพิชิตชัยอึ้ง มองดูลูกชาย “เจ้าเทพ เจ้าจะว่าอย่างไร”
“ลูกมิรู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้วเจ้าคุณพ่อ เพราะลูกเองเป็นเหมือนต้นเหตุ ให้เกิดเรื่องร้ายทั้งหมดขึ้น”
“คุณพี่ คุณแม่ตายไปทั้งคนนะคะ แล้วยังนวลอีก ดีไม่ดี ศพไอ้ยอดที่ลอยมาติดท่าน้ำ ก็ฝีมือมัน”
ยอดหล้าไม่รู้เรื่อง ขณะนางผัน นางเผื่อนหน้าซีด
“เรื่องนวลข้าพลังมือทำร้ายจริง แต่ข้ามิได้ผลักคุณหญิงจริงๆ เจ้า พี่เทพ เชื่อข้าเถิด”
“ข้าเชื่อเจ้า ข้าเชื่อเจ้าพี่”
ดารารายพูดอย่างจริงใจ ทั้งเพื่อช่วยลดข้อกล่าวโทษ แต่ยอดหล้ายิ่งแค้น
“เจ้าไม่ต้องมามารยาเสแสร้งเข้าข้างข้า เจ้าคือนังงูพิษ”
“เจ้าพี่” ดารารายเสียใจนัก
พระยาพิชิตชัยตบตั่งฉาด ลุกพรวดขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเอ็งกุมตัวเจ้านางยอดหล้าไว้”
บรรดาบ่าวชายเข้ามารุมล้อม ขยับอาวุธข่มขู่แต่ไม่จริงจังนัก เพราะตรงหน้าคือนางผู้งดงามบอบบางราวจะปลิวลม
ยอดหล้ามองดูเห็นพระยาพิชิตชัยมองมาอย่างชิงชังรังเกียจ คุณเพ็งถลึงตา นิ่มส่ายหน้าตำหนิ ดารารายเข้าเกาะแขนพูดวิงวอนหลวงเทพ หลวงเทพมองตนอย่างผิดหวังสูงสุด
ยอดหล้าร้องวี้ดสุดเสียงร่างลอยขึ้น 2 แขนกางสะบัดผ้าคล้องไหล่ออก ผ้านั้นคล้ายยืดยาวออกเป็นสิบวา บรรดาบ่าวตกใจ
ผ้านั้นตวัดใส่ดาบนับสิบเล่ม ปัดจนหลุดมือ พุ่งไปปักหลังคา พื้น ชายคา ตู้ตั่ง บางเล่มพุ่งใส่ นางทิพย์ นางทิม 2 นางกลิ้งตัวหลบให้วุ่น เล่มหนึ่งพุ่งใส่คุณเพ็ง คุณเพ็งตะลึง หลวงเทพพลันคว้าดาบไว้ด้วยมือเปล่า
พระยาพิชิตชัยคำราม “ฤทธิ์เดชเจ้ามีเท่าไร สำแดงออกมา”
ยอดหล้ายิ่งแค้นหมุนชายผ้าตวัดใส่ ชายทั้งสิบกระเด็นไปทุกทิศ แล้วตกลงกระแทกฝาบ้าง พื้น บ้าง บางรายกระแทกเสาเรือน สิ้นสติไปทั้ง 10 คน
ยอดหล้าหันขวับมามองดารารายอย่างจงชัง นางผัน นางเผื่อน คลานก้นโก่งเข้าหลบหลังเสา
หลวงเทพก้าวมาขวางหน้าดาราราย
“เจ้านาง เห็นแก่พี่ หยุดเดี๋ยวนี้”
“เห็นแก่พี่ เห็นแก่พี่หรือ แล้วพี่เคยเห็นแก่ข้าบ้างหรือ ข้าถูกแย่งชิง ถูกใส่ความ ถูกทำร้ายขนาดนี้”
“เจ้าภักดิ์...หลบไป”
ดารารายขมชื่นเหลือแสน จนโกรธขึ้นมาบ้าง ปาดหลวงเทพเซไป ก้าวมาประจันหน้ายอดหน้า
“ท่านฟังแต่คำลวง จนแยกผิดถูกมิได้แล้ว”
“เจ้าถูก และข้าเป็นผู้ผิดอย่างนั้นหรือ” ยอดหล้าย้อน
“ใช่ เจ้าพี่”
ยอดหล้าแค่นหัวเราะ “คำสาบานส่งผลช้านัก ข้าจะเร่งฟ้าเร่งดินด้วยมือข้าเอง”
พลันยอดหล้ายกมือขึ้นปาดผ่านมวยผม แล้วสะบัดออก ดอกไม้คำนับสิบบนเรือนผมขยับตามพลังมือพุ่งแหวกอากาศสู่ดาราราย
ดารารายสืบเท้าถอยไปเบื้องหลัง สองมือไขว้ปลดสร้อยที่สะพายขวางอยู่ออก กลายเป็นแส้ทองคำ ตวัดหมุนคุ้มตนราวจักรผัน ประกายสีทองวูบวาบ ปัดดอกไม้คำกระจายไปรอบทิศ
พระยาพิชิตชัยมองอย่างทึ่ง หลวงเทพทั้งห่วงทั้งขมขื่น ที่พี่น้องต้องประหัตประหารกันเพราะตน ส่วนคุณเพ็ง แม่นิ่ม อ้าปากค้าง นางทิพย์ นางทิม คว้าดาบสั้นถือมั่นในมือคุ้มครองนาย
ยอดหล้าเหยียดยิ้ม หยามหยัน “นี่วิชาของครูบาสรีทุศีลเช่นนั้นหรือ ไม่เลว”
“ท่านตาข้าทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านไปเอาเรื่องนี้มาจากที่ใดอีก”
“ใยต้องพูดให้มากความ”
“ใช่ เพราะท่านก็เลือกเชื่อแต่สิ่งที่ท่านอยากเชื่อเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง ยอดหล้าพลันสะบัดชายผ้า สองชายผ้าตวัดคล้องด้ามดาบของบ่าวที่หล่นอยู่ 2 เล่ม ตวัดขึ้นพุ่งเข้าหาดาราราย ดารารายยืนนิ่ง ดาบ 2 เล่มพุ่งมาตวัดไหวราวงูฉก ดารารายสำรวมจิตสร้อยตัวพลันแข็งแกร่งตีโต้ดาบ 2 เล่มอย่างคล่องแคล่ว
ยอดหล้าทุ่มเทพลังรุกไล่ ฟันล่างฟันบน ดารารายเดี๋ยวย่อตัว เอนกาย ลอยตัว หลบหลีก พระยาพิชิตชัยทึ่ง หลวงเทพร้อนใจขยับจะขวาง พระยาพิชิตชัยยื่นแขนกั้นไว้
ยอดหล้าตวัดผ้าและดาบ ฉะวัดเฉวียง ดารารายได้จังหวะเหยียบดาบหนึ่ง อีกมือลดพลังสร้อยตัวกลับเป็นแส้หมุนพันดาบ พลิกจนดาบหักสะบั้น แล้วสะบัดกลับปรายดาบหักพุ่งใส่พี่สาว ยอดหล้าตวัดผ้ารับ ผ้าขาดกระจุยไป คุณเพ็งปรบมือชอบใจ
“เก่งนักหรือ”
ยอดหล้าตาวาว หมุนกาย ปัดชายผ้าอีกครา ตวัดดาบทั้ง 8 เล่ม พุ่งใส่ดาราราย หลวงเทพไม่อดทน แล้ว กระชากดาบ 2 มือออกขวางดาราราย ปัดดาบ 8 เล่มอย่างปกป้อง
ยอดหล้าดวงตาสับสนอ่อนแรง ดาบทั้ง 8 เล่มร่วงลงกราว
หลวงเทพเกลี้ยกล่อมอีก “ยินยอมเถอะ เจ้านาง”
ยอดหล้าแค้นขึ้นมาใหม่ ดาบทั้ง 8 ลอยขึ้นกลางอากาศ พระยาพิชิตชัยดูมามากพอ พลันตวัดมือ โซ่เหล็กเส้นใหญ่ พุ่งมาเป็นสี่ทิศ คล้องข้อมือ ข้อเท้า ยอดหล้า ตรึงลอยขึ้น ยอดหล้าตกใจ
ดาบทั้ง 8 ตกกราวลงใหม่ บ่าวชาย 4 คนตั้งหลักได้ยึดโซ่เหล็กไว้ 4 มุม ยอดหล้าตาวาวแผ่พลัง
โซ่เหล็กพลันแดงวาบแผ่ลามไปทีละข้อของโซ่ สู่มือของบ่าวทั้ง 4 จนเนื้อไหม้ ร้องโอ๊ยปล่อยมือ
พระยาพิชิตชัยโบกมือวูบดึงปลายโซ่ทั้ง 4 มาสู่ 2 มือ ตรึงแน่นไว้
ยอดหล้าโกรธจัดตาลุกวาว แผ่พลังโซ่แดงวูบมา พระยาพิชิตชัยตั้งรับแผ่พลังต้านโซ่นั้น กลายเป็นผลึกน้ำแข็ง ขาวอมฟ้า ลามไปทีละข้างโซ่ต้าน ยอดหล้าพยายามเปล่งพลังต้านสุดกำลัง แล้วผงะ
ผลึกน้ำแข็งลามไปตามโซ่จนถึงตัวยอดหล้า ผลึกสีขาวฟ้าวูบขึ้น ยอดหล้าทรุดฮวบสลบลง นางผัน นางเผื่อนหวีดร้องผวาตัวเข้ามาช่วยประคอง
ดารารายน้ำตาไหลพราก หลวงเทพกอดปลอบประโลม
ยอดหล้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ดารารายสะทกสะท้อนในอก มองดูพี่สาวทั้งสงสารและเวทนา
อ่านต่อตอนที่ 18