คุ้มนางครวญ ตอนที่ 18
ใบหน้าเจ้าดารารายทับซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกันกับใบหน้าของพิมพ์ดาวที่นอนเอนอยู่บนเตียง พิมพ์ดาวรำลึกเรื่องราวบาดหมางกับพี่สาวในอดีตชาติ ถึงกับร่ำร้องออกมาด้วยความสะเทือนใจอย่างรุนแรง
“เจ้าพี่”
พิมพ์ดาวยังคงนั่งเอนตัวบนเตียง ยอดหล้ายิ้มเยาะ
“เจ้าจำได้หมดแล้วใช่ไหม ว่าเจ้าทำร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ข้ามิใช่คนที่ทำร้ายท่านเจ้าพี่ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งที่ข้าเห็นมิใช่สิ่งเดียวกับที่เจ้าพี่คิด”
ยอดหล้าขมวดคิ้ว คิดอยู่แต่ว่าพิมพ์ดาว ดารารายไม่ยอมรับความจริง
“จนป่านนี้ เจ้าก็ยังเป็นพวกคอทั่งสันหลังเหล็ก ไม่ยอมรับความจริงใดๆ”
“เพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าพี่รับรู้มา...เรื่องไม่ได้เป็นอย่างในบทละคร เรื่องทุกอย่างเจ้าพี่เข้าใจผิดหมด”
ยอดหล้าโกรธเกรี้ยวยื่นมือออก ขยำอากาศเบื้องหน้า
“ข้าเข้าใจผิดอันใด”
พิมพ์ดาวกุมคอหายใจติดขัด ยอดหล้าแหงนหน้ายกมือขึ้น ร่างพิมพ์ดาวถูกยกลอยขึ้นคอเหมือนถูกบีบด้วยคีมเหล็ก พูดติดๆ ขัดๆ
“มิใช่...เพียงเข้าใจผิด...แต่...ท่านถูกหลอกลวง”
“ใครกล้าดีมาหลอกลวงข้า”
“ข้าคิดว่า...ต้อง...ต้อง...เป็น อาจารย์ท่านเถรกระอ่ำ”
ยอดหล้าได้ฟังยิ่งโกรธกริ้ว
“ข้าไม่มีวันเชื่อเจ้า ท่านอาจารย์คือผู้เดียวที่เมตตาต่อข้าจนตัวตาย อย่ากล้าดีมาใส่ร้ายอาจารย์ข้า”
ยอดหล้ายิ่งบีบเค้น พิมพ์ดาวพูดไม่ได้กุมคออยู่อย่างนั้น เท้าลอยดิ้นรนกลางอากาศ จังหวะนี้ประตูห้องเปิดออก พิมพ์เดือนก้าวเข้ามา มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกใจสุดขีด
“เจ้า พี่พิมพ์...นี่มันอะไรกัน...ปล่อยพี่พิมพ์นะ”
ยอดหล้าตวัดมือข้างหนึ่งตรึงพิมพ์ดาวไว้ ยื่นอีกมือตรงไปที่พิมพ์เดือน มีพลังแรงกล้ากดมา
“คุณเพ็ง จะจองล้างข้าทุกชาติเชียวหรือ”
พิมพ์เดือนไม่รู้เรื่อง ถอยกรูดๆ เสื้อแบะออก คดพญานกเหยี่ยวหลุดออกจากอกเสื้อ เรืองแสงวูบหนึ่ง ยอดหล้าผงะไปนิดหนึ่ง พลังที่กดพิมพ์เดือนหายวูบไป พิมพ์เดือนนึกรู้ ดึงสร้อยมาชูตรงหน้า จี้ไปใส่ยอดหล้าจังๆ ยอดหล้าคลายมือจากพิมพ์เดือน ปล่อยพิมพ์เดือนตกลงบนเตียงโครม พิมพ์เดือนรีบถลาไปประคองพี่สาวขึ้น
“พี่พิมพ์!”
พิมพ์ดาวกุมคอ พยักหน้าว่าไม่เป็นอะไรแล้ว พิมพ์เดือนหันมาดูยอดหน้า พิมพ์ดาวมองตามที่กลางห้อง บัดนี้ว่างเปล่าปราศจากแม้เงาของยอดหล้า
พิมพ์เดือนตื่นตะลึง “พี่พิมพ์ เจ้าแสงหล้าคือเจ้ายอดหล้าจริงๆ ใช่ไหมคะ”
พิมพ์ดาวพยักหน้า
“แต่...แต่ ทำไมเธอปรากฏตัว มีเลือดเนื้อเหมือนคนเรา”
“ไสยศาสตร์มีจริงน่ะซียายเดือน”
“หนูออกไปแป๊บเดียว ยายผีนี่ก็มาทำร้ายพี่พิมพ์แล้ว”
พิมพ์ดาวอึ้ง “แป๊บเดียวเหรอ พี่คิดว่า 3 ปี”
“ค่ะ พอยายเจ้านี่เข้ามาหาพี่ซักไม่ถึง 3 นาที หนูก็ตามเข้ามา”
พิมพ์ดาวพยักหน้าอีกอย่างเหนื่อยใจ
“พี่พิมพ์...แล้วทำไมเขี้ยวเสือไฟของพี่ถึงป้องกันอะไรไม่ได้ละคะ” พิมพ์เดือนคาใจ
ยอดหล้ากลับมายังเรือน ยืนอยู่กลางห้อง ด้วยท่าทางขัดเคืองใจเป็นที่สุด แก้วยืนมองอย่างห่วงใย
“ดารารายชั่วช้ากว่าที่ข้าคิด ข้าให้โอกาสมันสำนึกผิด แต่มันกลับยืนกรานว่ามันบริสุทธิ์ ทั้งยังป้ายความผิดใส่ท่านอาจารย์”
แก้วขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดตาม
“แต่ถ้าที่...คุณพิมพ์...เจ้าดารารายพูดเป็นความจริงละครับ”
ยอดหล้าหันขวับมามองหน้าแก้ว ตาเป็นประกายวาววับ
“บังอาจนัก แม้แต่เจ้าก็กล้าลบหลู่ท่านอาจารย์”
แก้วหายใจไม่ออก ยกมือกุมคอ
“เจ้า...เจ้า...นาง”
ยอดหล้าไม่หายโกรธ ยังคงแผ่พลังใส่แก้ว แก้วดิ้นรน ทันใดนั้นร่างเลือนของนางผัน นางเผื่อนก็วูบมาคุกเข่า แล้วชัดขึ้น 2 นางข้าไทวอนขอ
“เจ้านางเจ้า เว้น นายแก้วเถิดเจ้า”
ยอดหล้าสะบัดหน้าไปทางอื่น ร่างแก้วทรุดลง นางผัน นางเผื่อน มีแววสงสาร แต่แล้วก็ยิ้มเย้ยค้อนควักตามวิสัยผีนิสัยเสีย
จู่ๆ กระจกเงาบานสูงในห้อง สั่นไหว ยอดหล้าก้าวไป ภาพสะท้อนอันงดงาม มีจุดแสงซ้อนแล้วก็ปรากฏร่างเถรกระอ่ำ ในพัสตราภรณ์ขาวระยิบระยับ ใบหน้ายิ้มละไม ขึ้นมา
ยอดหล้าดีใจ “ท่านอาจารย์”
“เจ้านางน้อย เจ้ามีเรื่องขัดใจอันใดอีก”
“เมื่อครู่ คุณเพ็งใช้คดพญานกกับข้า แม้นอานุภาพไม่เท่าเขี้ยวเสือไฟ แต่ก็...รบกวนสมาธิข้าได้”
เถรกระอ่ำยิ้มอย่างเข้าใจ “ข้าเตือนเจ้าแล้ว ไม่ว่าเช่นใด เจ้าก็ยังไม่ใช่มนุษย์”
“แล้วทำเช่นใด ข้าจะเป็นมนุษย์ยิ่งกว่านี้ เมื่อใดข้าจึงทนทานต่อแสงอาทิตย์ เมื่อใดที่ของขลังจะทำร้ายข้าไม่ได้”
“เมื่อใดเจ้าจึงจะสมมาตรปรารถนากับหลวงเทพของเจ้า”
เถรกระอ่ำต่อความให้ ยอดหล้ายิ้มเขิน มีแววเอียงอายของสาวน้อยดรุณีปรากฏให้เห็นบนใบหน้างาม
“ท่านอาจารย์ราวนั่งอยู่กลางใจข้า”
“สิ่งที่เจ้าปรารถนานั้น เจ้าก็น่าจะรู้วิธีอยู่แล้ว”
ยอดหล้าเดาได้ “หัวใจของชายเบญจเพส หรือเจ้า”
แก้วมองอย่างเจ็บปวด ขมขื่น
“เพียงหัวใจของชายเบญจเพสเก้าคน อีก 2 คราเท่านั้น”
นางผัน นางเผื่อน ซุบซิบ พยักพเยิดเป็นเชิงสนับสนุนเต็มที่ ยอดหล้ายิ้มย่อง เถรกระอ่ำพยักหน้า มีเพียงแก้ที่นิ่งงัน อัดอั้นในอุรา
ท่ามกลางบรรยากาศแสนสดใส ในสวนสวยของโรงพยาบาลยามเช้า ยินเสียงนกร้องดังจุ๊บจิ๊บๆ เป็นระยะ พิมพ์เดือนเข็นรถวีลแชร์ให้พี่สาวนั่งมาในนั้น พิมพ์ดาวมีหน้าตาที่สดใสมากขึ้น
“เมื่อกี้ยายมาดามมาแว้ดๆ กับหมอว่าให้ปล่อยตัวพี่พิมพ์ไปทำงานได้แล้วค่ะ แต่หมอขอเป็นพรุ่งนี้”
“แต่พี่เองก็อยากไปถ่ายต่อให้จบๆ ไปเสียที”
“ต่อให้ถ่ายจบ เรื่องร้ายๆ ก็ไม่จบหรอกค่ะ”
“พี่รู้ เจ้าพี่ เจ้ายอดหล้า...ไม่ปล่อยพี่ไปแน่”
พิมพ์เดือนก็เป็นทุกข์เป็นร้อนได้ประเดี๋ยวเดียว ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นระรื่น
“แล้วหนูคือคุณเพ็ง แล้วแม่คือคุณหญิงอำภาจริงๆ หรือคะ”
“พี่เห็นอย่างนั้น”
“ประหลาดจัง เออ...แล้วคุณเพ็งนี่มีคู่ไหมคะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ฉันยังระลึกชาติไปไม่ถึงนี่”
พิมพ์เดือนหัวเราะคิกคัก มองไปทางหนึ่ง เห็นตรีภพเดินมาหาทำหน้าหมองจัดด้วยความรู้สึกผิด พิมพ์เดือนบุ้ยใบ้แล้วถดตัวถอยไป ให้ตรีภพจับรถเข็นแทน พิมพ์ดาวพูดโดยไม่ได้หันมา
“ไปทางสระบัวโน่นเถอะ ยายเดือน”
ตรีภพไม่ปริปากเข็นรถเข็นไป
ริมสระบัว แลเห็นบัวงามหลากสีกำลังแย้มบานรับแสงอรุณ หมู่แมลงบินตอมดอมดม พิมพ์ดาวจิตใจปลอดโปร่งมากขึ้น สูดลมหายใจเข้าปอด
“เจ็บตัว แล้วได้พักแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
“ไม่ดีหรอกครับ” ตรีภพเอ่ยขึ้น
พิมพ์ดาวตาโต ดีใจวูบหนึ่ง แต่พอนึกออกว่าที่มาอยู่โรงพยาบาลเพราะน้ำมือตรีภพก็หุบยิ้ม ทำเย็นชา ปั้นปึ่ง ตรีภพเดินอ้อมมาข้างหน้ามองดู พิมพ์ดาวเมินหนี เผยให้เห็นโหนกแก้มยังมีรอยช้ำ ตรีภพใจหล่นวูบ
“คุณพิมพ์ ผมขอโทษ”
“ฉันควรตอบว่าไม่เป็นไรตามมารยาทใช่ไหมคะ”
“ต้องเป็นไรต่างหากครับ เพราะทุกอย่างเป็นความผิดของผม ผมไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าทำอะไรลงไป”
พิมพ์ดาวมองดู เห็นตรีภพมีท่าทางทุกข์ร้อนใจมาก ก็ยิ่งทำเมิน
“ค่ะ ฉันรับทราบ”
ตรีภพนั่งลงบนขอบปูน ที่นั่งริมของสระบัว
“ผมจำได้แค่เพียงกำลังคุยกับคุณ...จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกที ผมก็อยู่ที่ห้องกับนายตฤณแล้ว”
“แล้วคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นคะ”
“นายตฤณบอกว่าผมโดนสะกดจิต”
“หรือคะ”
“แต่ก่อนผมแค่ละเมอเดิน แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาโดนสะกดจิตแล้ว”
ตรีภพพยายามพูดเล่นคลายเครียด แต่พิมพ์ดาวมองมาด้วยท่าทีเย็นชาอยู่
“แล้วทำไมใครคนนั้นต้องสะกดให้ผมทำร้ายคุณด้วย”
“คุณลองคิดเองซีคะ”
“เจ้าแสงหล้า อย่างนั้นหรือครับ จะเป็นไปได้ยังไง”
พิมพ์ดาวอารมณ์เสีย มองหาน้องสาวตัวแสบ เห็นพิมพ์เดือนเด็ดดอกไม้มาดมอยู่ไม่ห่างนัก
“ยายเดือน”
“ขา” พิมพ์เดือนเดินแกมวิ่งมา
“พี่อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว”
พิมพ์เดือนรับคำ เข็นวีลแชร์หันกลับ พิมพ์ดาวหน้าเชิด พิมพ์เดือนส่งสายตาถามตรีภพว่าไปทำอะไรเข้า ตรีภพแบมือยักไหล่
ที่ห้องอาหารโรงพยาบาลกลางวัน ตฤณเบิกตาโพลงพอฟังที่พิมพ์เดือนเล่าจบ หมอหนุ่มไม่เชื่อเด็ดขาด
“คุณจะบ้าหรือ เจ้าแสงหล้าเป็นคนชัดๆ เป็นคนร้อยเปอร์เซ็นต์ ผีเผออะไรของคุณ”
ตฤณ พิมพ์เดือน และตรีภพ นั่งอยู่มุมหนึ่งของแคนทีนโรงพยาบาล 3 คนทานอาหารมื้อสายกันอยู่ โดยมีลูกค้าชายอีกโต๊ะเดียวกางหนังสือพิมพ์ปิดหน้า คล้ายอ่านข่าวอยู่
2 หนุ่มสาวคู่กัด เปิดฉากประคารมกันตามระเบียบ
“อย่ามาหว้ากอกับฉัน”
“ดีกว่าคุณพวกโต๊ะไสยศาสตร์ โลกนี้ไม่มีผี มีแต่พวกเพ้อคิดไปเอง”
“ถ้ายายเจ้านั่นไม่ใช่ผี เจอคดพญานกเหยี่ยวของฉัน ทำไมเปิดแนบไปเลยล่ะ”
พิมพ์เดือนชูสร้อยยื่นมาเกือบโดนหน้า ตฤณรีบฉากหลบ ทำหน้าคล้ายได้กลิ่นเหม็น
“เป็นผม ผมก็เผ่น คดเคิ้ดอะไรของคุณ เหมือนขี้วัวตากแห้ง”
พิมพ์เดือนโมโหแทบลุกขึ้นเต้น ตรีภพนิ่งฟังครุ่นคิดหนัก
“คุณมันพวกไม่เชื่อต้องลบหลู่”
“ใช่ แล้วจะทำไม”
“เฮ้ย พอทีเหอะ แล้วเรื่องที่แกว่าเจ้าสะกดฉันล่ะ”
“เรื่องสะกดจิตมันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่ใช่ไสยศาสตร์งมงาย”
ตฤณพูดกระแทกไปทางพิมพ์เดือน พิมพ์เดือนมีอาการ ‘ฝากไว้ก่อน’
“คนที่ฝึกมา...หรือบางคนมีจิตเข้มแข็ง สามารถจูงใจโน้มน้าวใจคนอื่นให้อยู่ใต้อำนาจได้”
“แต่ที่ฉันโดน มันไม่เหมือนกับที่พวกจิตแพทย์รักษาคนไข้ในหนังนะเว้ย”
“ใช่ เพราะยายเจ้านั่นไม่ใช่คน” พิมพ์เดือนย้ำคำ
ตฤณหงุดหงิด “โว้ย คุณนี่” แล้วพูดกับตรีภพ “ไม่ว่ายังไง มันก็หลักการเดียวกันฉันทำเองได้”
“คุณนะเหรอ แหยะ” พิมพ์เดือนแสยะใส่ ท่าท่าไม่เชื่อถือ
“ลองดูไหมละคุณ”
ตฤณทำหน้าลามกใส่ พิมพ์เดือนแทบเต้น ตรีภพตกใจ จนขำทั้งคู่ไม่ออก
ห่างออกมาที่โต๊ะใกล้ๆ ชายคนนั้นค่อยๆ ลดหนังสือพิมพ์ลง เผยให้เห็นว่า ที่แท้คือ มหาจรวย นั่นเอง
อ่านต่อหน้า 2
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 18 (ต่อ)
บริเวณหน้าเรือนที่พักทีมงาน ภายในคุ้มหลวงตอนเย็น รถตู้ของกองไปรับพิมพ์ดาวกลับจากโรงพยาบาล รถแล่นมาจอดลง รัก ลูกกบลงจากตอนหน้า ประตูเปิดออกฐาปกรณ์ลงมา ตรีภพลงตามแล้วหันไปส่งมือ
“ระวังนะคุณ”
พิมพ์ดาวเลื่อนตัวออกมาท่าทีลังเลนิดหนึ่ง ตรีภพมองจ้องด้วยดวงตาจริงใจแฝงแววหวาน พิมพ์ดาวทำหน้าเฉย แต่ดวงตายิ้ม ที่สุดมือพิมพ์ดาวถูกวางในมือตรีภพ ให้ตรีภพประคองลงรถ
มีมี่ มูมู่ เก้ง แพท และบรรดาขาเชียร์ทั้งหลาย จับกลุ่มสุมหัวร้องวี้ดวิ้วดีใจกันที่หน้าเรือน
ขณะเดียวกันที่ปีกไกลสุดของคุ้ม ม่านหน้าต่างชั้นบนของเรือนแง้มออก ยอดหล้ามองตรงมาดวงตาเจิดจ้า เห็นชัดว่าตรีภพพาพิมพ์ดาวที่ยังเดินเขยกเล็กน้อยเข้ามายังตัวเรือน
ฝ่ายตฤณลงมาแต่ขายาวโก้งโค้งขวางอยู่ พิมพ์เดือนขยับตาม เร่งอย่างอารมณ์เสีย
“เร็วๆ ซี ฉันจะลง ขวางเป็นตะเข้”
“รีบร้อนไป เดี๋ยวก็ล้มหัวทิ่มหรอก”
“ช่างฉัน”
ตฤณก้าวลงมา พิมพ์เดือนก้าวตามหลัง แล้วรีบร้อนจะหัวทิ่มจริงๆ ตฤณตกใจคว้าขอบกางเกงยีนด้านหลังให้ แต่มือดันรั้งเอาขอบกางเกงในด้วย
ตฤณตกใจร้อง “เฮ้ย!”
“ว้าย”
พิมพ์เดือนเบิกตาโพลง รีบทรงตัวอย่างรวดเร็ว ตฤณปล่อยมือทำหน้าปั้นยาก พิมพ์เดือนหันมาตาเขียวปั้ด
“คุณ!”
“ผมไม่ได้ลามกนะ” หมอหนุ่มปฏิเสธพัลวัน
“ก็แล้วไปซี”
พิมพ์เดือนอับอายต้องทำเฉยๆ กลบเกลื่อน ตฤณยิ้มในสีหน้ากระซิบแซว
“นี่คุณใส่ กอกอนอ สายเดี่ยว ด้วยเหรอ เอ็กซ์เป็นบ้า”
พิมพ์เดือนเต้นเร่าๆ
ตรีภพประคองพิมพ์ดาวมาถึงตัวเรือน
ยอดหล้าละตัวจากหน้าต่างมีอาการขัดใจ
เวลาต่อมา บริเวณเติ๋น ซึ่งมีโซฟาชุดรับแขก ฐาปกรณ์ ตรีภพ พิมพ์ดาว ตฤณ พิมพ์เดือน รัก ลูกกบเข้ามาในนี้ มีมาดามสุนั่งไขว้ห้างดูเบรกดาวน์ ตารางถ่ายทำพรุ่งนี้อยู่
“อุ้ยมาแล้วเหรอ ดี นี่คิวพรุ่งนี้”
ฐาปกรณ์ฉุน “เฮ้ย พิมพ์ยังขาเป๋อยู่เลยนะ”
“วุ้ยจะเป็นไร ก็เปลี่ยนบทเป็นนั่งๆ นอนๆ จะไปไหนก็ให้ขึ้นวอไป เอ๊ะ เรามีพร็อบ พอไหม”
ฐาปกรณ์โคลงหัวอย่างเซ็ง หันมาหา พิมพ์ดาว และตรีภพ
“ไงหนู”
“ผมว่าให้คุณพิมพ์พักอีกซักวันดีกว่า” ตรีภพว่า
พิมพ์ดาวบอก “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากทำงานต่อ เสียเวลาเสียมามากแล้ว”
มาดามสุถูกใจยิ้มปากฉีกถึงหู ส่งใบคิวให้พิมพ์ดาว กะ ตรีภพ
“ต๊าย พูดเหมือนใจ ถ้าทุกอย่างลงตัว อีก 3 วันก็ปิดกล้องกันเสียที”
พิมพ์ดาวรับใบคิวมา เหลียวมองดูรอบๆ สัมผัสถึงบรรยากาศกดดันยังคงระอุอยู่ทั่วคุ้ม
คืนวันถัดมา รถตู้คันหนึ่งแล่นมาตามถนนนอกเมือง
ภายในรถ นอกจากคนขับแล้ว ล้วนเป็นชายหนุ่มวัยเดียวกันราว 11-12 คน ทุกคนดูโทรทัศน์ไป ดื่มเบียร์ไปด้วย บรรยากาศสรวลเสเฮฮา ปีนที่นั่ง หันหน้า หันหลัง พูดคุยกันอย่างออกรส
“ไอ้หอก แผนกเรามีตั้ง 40 คน เลี้ยงรุ่นทีมากันแค่นี้” ชาย 1 เปิดประเด็น
ชาย 2 เสริม “ปีก่อนยังมากันยี่สิบกว่าคนอยู่เลย”
ชาย 3 บ่นตาม “เฮ่ย นั่นมันแค่กินเลี้ยงในโรงแรมโว้ย ใครก็มากัน แต่นี่ไอ้จ๊อดเสือกทำไฮโซ จัดที่รีสอร์ต คิดค่าหัวคนละแปดพัน ที่มากินได้เป็นสิบนี่ถือว่าหรูแล้วโว้ย
“เออ ทำไม แม่งแพงนักวะ ไอ้สัตว์จ๊อด” ชาย 1 ด่าเพื่อน
“กูรับรองพอมึงไปถึง มึงจะบอกว่าคุ้มแสนคุ้ม ไม่ใช่แค่เลี้ยงดู มีปูเสื่อด้วยโว้ย เอ้า ดูหนังตัวอย่างก่อน”
ชาย 4 ชื่อ จ๊อด ประธานรุ่นคว้ารีโมทมาเปิดดีวีดี ภาพการแข่งขันฟุตบอลบนจอเปลี่ยนเป็นภาพคอนเสิร์ตนักร้องสาวแนวเซ็กซี่ เอ็กซ์ระเบิด หนุ่มๆ ร้องเฮกันลั่นรถ
รถตู้แล่นมายังจุดพักริมทาง คนขับลงรถไปฉี่ จู่ๆ มีรถสปอร์ตมาจอดเทียบ ทุกคนในรถตู้มองไป
รถสปอร์ตคันนั้นพลันเปิดประทุน แลเห็นคนขับมาดดูเป็นแบดบอย ใส่แจกเกตหนังสวมแว่นดำทั้งที่เป็นเวลากลางคืน ใบหน้าเฉยชา ผิวขาวเผือดจนผิดปรกติ ไม่ใช่ใครอื่น เป็น ผีราเชนทร์ นั่นเอง
ชาย 1 จำได้ “ดารานี่หว่า”
ราเชนทร์หันไปด้านหลังรถ จังหวะเดียวกับประทุนรถลดลงเก็บหมด เผยให้เห็นร่างขาวอวบพันธุ์เนื้อนมไข่ นั่งระทวยอยู่หลังรถ 2 นาง
ชายบนรถทุกคนเลิกสนใจจอทีวี ขยับมาเกาะหน้าต่างด้านเดียวมองลงไปตาไม่กระพริบ
ที่เบาะหลัง นางผัน นางเผื่อน ซึ่งมีผ้าคาดอกผืนเล็กยิ่งกว่าเคย ซิ่นที่ใส่กลับไม่ใช่ผ้าถุง แต่คล้ายเอาผ้าผืนเดียวมาพันๆ จึงแหวกไปถึงโคนขา 2 นางทำทีระริกระรื่นผลักไสหยอกเย้าด่าทอกัน
“นังร่าน”
“ดีกว่าเจ้า นังแรด”
นางผันกระชากผ้าคาดอกนางเผื่อนติดมือมา นางเผื่อนร้องวี้ดกระชากซิ่นปาไป
ชายหื่นทั้ง 10 บนรถตู้ หน้ามืดตามัวไม่ได้เห็นว่าผิดปรกติ พากันตะกายกระจก ตาแทบทะลักออกนอกเบ้า
นางผัน นางเผื่อน ลงจากรถลงไปวิ่งไล่กัน ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย
ชายบนรถตู้กรูกันลงมาดูยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย นางผัน นางเผื่อน ใส่จริตมีอาการเหมือนเพิ่งรู้ตัวยกมือกุมอก มองอย่างตกใจ
“ว้าย อย่ามองตรงนั้น เจ้า”
“อย่ามองตรงนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่”
ชาย 1 ยิ้ม “ไอ้จ๊อด นี่อยู่ในโปรแกรมมึงใช่ไหม”
จ๊อดเกาหัว “ใช่มั้ง แม่งเอ็กซ์กว่าที่กูคิดอีก”
ชายทั้ง 10 มั่นใจว่าเป็นการต้อนรับจากรีสอร์ตเซ็กซ์ก็เลิกสงวนท่าที กรูเข้าล้อม 2 นางพัลวัน นางผัน นางเผื่อน วี้ดว้ายดีดดิ้นหน้าระรื่น
เสียงแหบพร่าแทบเป็นคำรามของราเชนทร์ดังขัดอารมณ์หื่นทั้งนางผีและชายทั้ง 10 ขึ้น
“หยุด”
บรรดา 10 ชายหื่นหยุดกึก หันไปเห็นราเชนทร์ยืนเด่นอยู่ด้านหลัง
ชาย 1 ฉุน “แล้วไอ้หอกนี่เกี่ยวไรด้วยวะ”
ชาย 4 บ่นบ้าอย่างฉุนเฉียว “หรือแม่งเป็นคนคุมน้องมา”
ชายชื่อจ๊อดเดินมาหาราเชนทร์
“ตกลงยังไงพี่ ให้น้องมาขึ้นรถตู้ แล้วขับตามพี่ไปเหรอ”
ราเชนทร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่รถตู้ แต่ทุกคนต้องไปรถคันโน้น”
ราเชนทร์ชี้นิ้วไป ทุกคนมองตามเห็นแต่ความว่างเปล่า
ชาย 1 เง็ง “คันไหนวะ”
ชาย 2 อารมณ์เสีย “แม่งเพ้อเปล่า”
ทันใดนั้นเองมีเสียงม้าร้องฟังแปลกประหลาด พร้อมๆ กับที่พื้นดินเบื้องหน้านูนขึ้นแล้วปริแยกออก ชายทั้งสิบตกใจผงะหงาย เกิดแสงสีส้มเหลืองส่องมาจากรอยแยก ชายทั้งสิบถอยกรูด ดินแยกกว้างเผยให้เห็นม้าไฟผุดขึ้นจากใต้ดิน โดยลากรถม้ามหึมามาด้วย
ชายเบญจเพสทั้ง 10 รู้บัดเดี๋ยวนั้นว่า ไม่ใช่การต้อนรับของรีสอร์ตใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาหันมา ราเชนทร์ถอดแว่นออกเห็นดวงตาโปนเรืองแสง มีสายเส้นเลือดเต็มตาที่แดงก่ำ ชายทั้ง 10 แหกปากร้องลั่นเหวอทั้งแถบ หันไปอีกทาง เจอนางผัน นางเผื่อน กลายร่างเป็นอสูรกายเต็มคราบ
“คนดีๆ ต้องดูที่แววตา”
“มาซิมา ให้เห็นทั้งใจ เจ้า”
นางผัน นางเผื่อน ยื่นมือที่มีกรงเล็บยาว ปากเป่าควันเรืองเรื่อใส่กลุ่มชายหื่น ทั้ง 10 ตกตะลึงจังงัง
ด้านคนขับรถเดินรูดซิปมา ท่าทางเสร็จทุกข์หนักมากกว่าทุกข์เบา พอเดินมาถึงรถตู้ก็งวยงง เมื่อพบว่ารถตู้ทั้งคันว่างเปล่า เหลียวมองไปรอบด้านก็ไม่พบใคร
มีเพียงเสียงม้าร้องดังแว่วมาจากทางหนึ่ง คนขับเหลียวมองไป พบว่าที่ปลายถนนสุดสายตา มีจุดคล้ายเปลวเพลิงสว่างเคลื่อนห่างออกไป และเล็กลงทุกทีๆ
ตอนกลางวันในวันถัดมา การถ่ายทำละครฉากที่เหลือลุล่วงด้วยดี
คืนนี้ทีมงานละคร นำโดยฐาปกรณ์ถ่ายฉากห้องใต้ดิน ที่เซทใหญ่อลังการกว่าห้องใต้ดินจริง แถมยังมีล้อเกวียนจุดเทียนรอบห้อยมาจากเพดาน มีผางประทีปตรงนั้นตรงนี้ แถมมีม่านทองห้อยอยู่ในกรงอย่างไร้เหตุผล
มาลารินแต่งเป็นยอดหล้าใกล้ตาย มีแผลครึ่งหน้าและตามเนื้อตัว ผมล่อนหลุดสยาย สวมวิญญาณเล่นอย่างรันทด นางผัน นางเผื่อน อยู่นอกกรงสั่งเสียกัน นางผันประคองซึง นางเผื่อนเช็ดถูจนมันวับ แล้วส่งให้มาลาริน มาลารินรับซึงมา นางผัน นางเผื่อนก็ทรุดตัวราบลง มาลารินสะท้านเยือกมองนางพี่เลี้ยง
ส่วนที่หอสังเกตการณ์ ยอดหล้าสวมเสื้อคลุมปักพลอย ข้างในเป็นชุดกรอมเท้าบางเบา นางผัน นางเผื่อนยิ้มตาวาว เถรกระอ่ำยืนอยู่กับผีราเชนทร์ ที่แท่นมีชาย 3 คนถูกมัดตรึงไว้ไฟอาถรรพ์ลุกโพลง
แก้วมองอย่างขมขื่น ขณะยอดหล้ายิ้มพึงใจ
สองเหตุการณ์ในสองสถานที่ดำเนินไปพร้อมๆ กัน
โดยในฉากห้องใต้ดิน มาลารินในบทดารารายเล่นเพลงซึง ปากรำพึงเนื้อเพลง ดวงใจ ร่างระทดระทวย น้ำตาเอ่อท้านแล้วค่อยๆ ล้นเป็นสายนองหน้า
ตรีภพในบทหลวงเทพภักดีเดินลัดเลาะมา ผ่านศพนางผัน นางเผื่อน ที่นอนแน่นิ่งมีเลือดไหลออกจากปากและจมูก ก้าวไปจนชิดกรง มองมาลารินอย่างแสนรักและเวทนา
ที่หอสังเกตการณ์ ราเชนทร์ถือมีดด้ามงาสลักชูสุดแขนแล้วจ้วงลงกลางอกเหยื่อเต็มแรง เหยื่อผวาสุดตัว เพื่อน 2 คนดิ้นรน ตาถลน
ยอดหล้ามองนิ่ง นางผัน นางเผื่อนคิกคักแรดร่าน เถรกระอ่ำยิ้มละไม แก้วมองอย่างขมขื่น แต่คราวนี้เขาไม่เบือนหน้าหนี ราวกับจะจดจำไว้
ในฉากละครที่ห้องใต้ดิน มาลารินหันมามองตรีภพ พูดว่าเป็นเพียงภาพลวงตา ตรีภพบอกเป็นคนจริง มาลารินผวาลูบคลำหน้าตรีภพ ขมขื่น ดีใจ ตรีภพ เจ็บแค้น ตรีภพเสียใจ ปลอบประโลมด้วยแสนรัก รำพันกัน
บนหอสังเกตการณ์ เถรกระอารวบดวงใจสามดวง อ่านเวทย์โอมคาถาแล้วโยนดวงใจลงในกองไฟ เปลวเพลิงนั้นพลันลุกเรืองขึ้นเป็นลำสูง
ยอดหล้าแหงนมองลำไฟอย่างเปี่ยมสุข
ด้านมาลารินเล่นซึงเพลงดวงใจให้ตรีภพฟังเป็นครั้งสุดท้าย ตรีภพพึมพำเนื้อเพลงตาม จู่ๆ เสียงซึงก็ชะงักขาดหายไป มือมาลารินตกลง ตรีภพผวาเกาะชิดกรงยื่นมือไขว่คว้า น้ำตาไหลพรากแล้วทรุดก้มหน้า
ช่างกล้องอยู่บนเครน ค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้นเก็บภาพกว้างเป็นอันจบซีนสำคัญคืนนี้
ยอดหล้าเปลื้องเสื้อคลุมออกให้แก้วถือไว้ นางผัน นางเผื่อนควักค้อน ยอดหล้าก้าวสู่เปลวไฟ ชุดบางไหม้หายวูบไป ยอดหล้าอาบไฟอาถรรพ์อย่างเปี่ยมสุข แล้วเงยหน้าคลี่ยิ้ม ดวงหน้าเปล่งปลั่งงดงาม
ฐาปกรณ์ มาดามสุ ลุกยืนด้านหลังทีมกล้อง ตบมือกราว แพท พิมพ์ดาว นักแสดง ทีมงาน มีมี่ มูมู่
ลูกกบ รัก เก้ง บ้างตบมือ บ้างกระโดดโลดเต้น บ้างยังอินน้ำตาไหลไห้หวนกันอยู่
นางผัน นางเผื่อน สาวนักศึกษายิ้มแป้นไหว้ทีมงาน ตรีภพเปิดกรงจูงมาลารินออกมาตรีภพพูดคุย มาลารินกลับยังคงเหม่อลอย พิมพ์ดาวสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปรกติ
แพทดีใจตบมือไม่หยุด คุยเล่นกับพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวฝืนยิ้มให้ ก่อนจะเหลียวมองตรีภพทั้งคู่สบตากัน
มาลารินนั่งลงบนเก้าอี้คลายเหนื่อย ตรีภพและพิมพ์ดาวมองจ้อง รอบตัวทีมงานทุกคนกระโดดโลดเต้นกระตู้วู้ บ้างโผเข้ากอดกัน บ้างไฮไฟว์ บ้างกรี๊ดแตก สุดแท้แต่จริตใครมัน
ฝ่ายยอดหล้าก้าวออกจากกองไฟ แก้วรีบคลุมเสื้อห่มให้ ใบหน้ายอดหล้ายิ่งเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาดของมนุษย์ ดวงตาเจิดจ้าพอใจยิ่งยวด แก้วมองอย่างสับสนเป็นที่สุด ทางด้านหนึ่งราเชนทร์ก้าวมายืนหลังเถรกระอ่ำ
เถรกระอ่ำมองยอดหล้าและแก้ว ดวงตามีแววมาดมั่นบางอย่าง ปากยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพียงวูบเดียวก็กลับเป็นใบหน้าปราณีดังเดิม
ยอดหล้าก้าวลงจากแท่นพิธีบูชายัญ เปลวเพลิงยังลุกโรจน์โชตนา ยอดหล้าเยื้อนยิ้มดวงตาเปี่ยมด้วยชัยชนะ
อ่านต่อหน้า 3
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 18 (ต่อ)
รุ่งเช้าดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากหมู่ไม้ ทอแสงอบอุ่นนุ่มนวลเย็นตา บรรยากาศแสนสดใส
ทีมละครปิดกล้องเสร็จสิ้นการทำงานเมื่อตอนตีสี่ ทีมงานส่วนใหญ่กลับไปนอน เว้นแต่บางคนที่มีความในใจมากมายจนนอนไม่หลับ อันได้แก่ ตรีภพและพิมพ์ดาว ทั้งคู่นั่งกินกาแฟอยู่ที่ศาลากลางสวน ตรีภพมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“คุณน่าจะไปนอนได้แล้ว”
“คุณต่างหากที่น่าจะไปนอน เมื่อวานฉันมีแต่ซีนกลางวันเอง”
ตรีภพยิ้มรู้สึกขึ้นมาว่าถ้าคบกันคงเถียงกันทุกเรื่อง
“แต่ผมนอนไม่หลับจริงๆ สงสัยอะดรีนาลีนท่วมตัวอยู่”
“สองสามวันนี่ ไม่เห็นเจ้า...แสงหล้าเลยนะคะ” พิมพ์ดาวเอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
“เห็นว่าเจ้ามีธุระสำคัญต้องไปทำนี่ครับ”
“ธุระสำคัญหรือคะ”
สองคนได้ยินเสียงนกจอแจแว่วมา พอเหลียวมองไปเห็นที่สนามหญ้ามีบรรดานกพิราบ นกเขาฝูงใหญ่บินกรูมา พร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส
ตรีภพและพิมพ์ดาวลุกขึ้นมองดู เห็นที่กลางสนามมีลานซีเมนต์ โดยมียอดหล้า แก้ว ยืนอยู่ท่ามกลางแดดอ่อนๆ มี สายใจ เฟื่องฟ้า และระริน อยู่ไม่ห่างนัก
ยอดหล้าถือขันเงินในมือ กำลังโปรยปรายอาหารให้นก ฝูงนกกรูมาจิกกิน แก้วยิ้มนิดๆ สายใจ เฟื่องฟ้า ระรินถือถุงอาหารนกมาเผื่อไม่พอ
ท่ามกลางแสงยามเช้ายอดหล้าดูงดงามเปล่งปลั่ง สะคราญโฉม เส้นผมสะท้อนแดดอ่อนๆ เป็นมันเลื่อมระยิบระยับ แก้มนวลเต็มไปด้วยเลือดฝาด ดวงตาเจิดจ้ามีความสุข
ตรีภพและพิมพ์ดาวก้าวมาหา ตรีภพนั้นคล้ายมีอาการสงสัยในแววตา ส่วนพิมพ์ดาวรู้ว่า ‘เจ้าแสงหล้า’ เป็นอะไร จึงทั้งหวาดหวั่นและพิศวง
“เจ้าอย่าแย่งกันซี กินดีๆ”
ยอดหล้าเจื้อยแจ้วกับนกอย่างมีความสุข พลางหันมายิ้มกับตรีภพ ก่อนจะส่งขันให้สายใจโปรยอาหารต่อ ยอดหล้าและแก้วก้าวมาหาตรีภพ แก้วเกืดความหึงหวงจึงมองตรีภพอย่างขุ่นเคืองใจนิดๆ
“มาช่วยฉันเลี้ยงนกหรือคะ”
“ไม่ล่ะครับ ผมกลัวไข้หวัดนก”
ตรีภพพูดเล่น จู่ๆ มีนกตัวหนึ่งบินไปหาพิมพ์ดาวโดยไม่ทันตั้งตัว จนพิมพ์ดาวเอามือป้องพัลวันแทบทรุดลง
“อุ๊ย”
“คุณ...พิมพ์ดาวจะช่วยฉันเลี้ยงนกไหมคะ แต่ดูคุณพิมพ์ดาวคงไม่ค่อยชอบนกเท่าไหร่”
ยอดหล้าเล่นละครมา พิมพ์ดาวเยื้อนยิ้มตอบเล่นละครกลับ
“ฉันชอบค่ะ แต่พวกนกซีคะ มันไม่ค่อยชอบฉัน”
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่ละครของคุณปิดกล้องแล้ว”
“ไม่ใช่ละครของฉันหรอกค่ะ ละครของเจ้า...เจ้ายอดหล้ามากกว่า...”
ยอดหล้าตาขุ่นขวางแวบหนึ่ง
พิมพ์ดาวบอกอีกว่า “เพราะเรื่องนี้ทั้งเรื่องเล่าจากมุมของเธอคนเดียว”
แก้วพูดแทรกขึ้นมา “คุณพิมพ์คิดว่า...เรื่องนี้มีแง่มุมอื่นหรือครับ”
“ค่ะ เพราะถ้าพูดตามจริง เรื่องนี้มีอะไรขาดเหตุขาดผลอยู่”
แก้วฉงนเลิกคิ้ว พิมพ์ดาวขอโทษแก้ว “ขอโทษนะคะ”
“เช่นตรงไหนบ้างครับ”
“เช่นตรงเถอะกระอ่ำ ผู้แสนดีน่ะซีคะ ดูเป็นตัวละครลอยๆ ไร้ที่มาที่ไป...เขาไม่มีแรงจูงใจอะไรด้วยซ้ำ”
ยอดหล้าโกรธตาวาว
“เท่าที่ฉันรู้มา ท่านอาจารย์เป็นนักบวชผู้เที่ยงธรรม ต่างจากครูบาสรีที่แสนชั่วร้าย”
“แต่โลกเรา มันมีเรื่องเซอร์ไพรส์ กลับจากหน้ามือเป็นหลังมืออยู่เรื่อยๆ นะคะ”
ยอดหล้ามองหน้าพิมพ์ดาว มีพลังบางอย่างกดดันมาอย่างรุนแรงร่างพิมพ์ดาวเซ ตรีภพประคองไว้
“คุณพิมพ์ เป็นอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ไม่ได้นอนทั้งคืนเท่านั้นเอง”
“ว้า...งั้นขึ้นนอนดีกว่ามังครับ”
“คุณก็เหมือนกันนะคะ”
พิมพ์ดาวเหลือบมองยอดหล้า พบว่ายอดหล้ามองตาเขม็ง ด้วยความเป็นนางร้ายมืออาชีพ พิมพ์ดาวแตะแขนตรีภพ สบตาอย่างอ่อนหวาน จนตรีภพงงไปชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่ยอดหล้าตาวาววับ
ทันใดนั้นเอง นกพิราบหมู่หนึ่ง ราว 10 ตัว ต่างบินเข้าจิกตีพิมพ์ดาวพัลวัน พิมพ์ดาวตกใจ ยกมือป้องหน้า ตรีภพถอดแจ็กเก็ตมาช่วยปัดโกลาหล
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
ยอดหล้ามองดูผลงานอย่างสะใจ
สายใจ ระริน เฟื่องฟ้า ตกใจต่างพากันหวีดร้องทิ้งขันมาช่วยร้องกันไล่นก แก้วมองยอดหล้าบอกเบาๆ
“เจ้านาง พอเถอะ”
ยอดหล้ายิ้ม ไม่ใส่ใจ ฝูงนกยังคงจิกตีพิมพ์ดาวอีก 2-3 ที แล้วบินกรูเป็นทางยาวหายไป พร้อมกับฝูงนกทั้งหมด
พิมพ์ดาวมองยอดหล้าอย่างรู้ทัน ยอดหล้ายิ้มเยาะ
ตาทองก้าวมาแหงนดูหมู่นกที่โบกบินไป มีอาการคล้ายรู้แล้วว่า เจ้าแสงหล้า คนนี้ แท้จริงคือใคร
ซุ้มไม้เลื้อยตรงระเบียงหลังห้องออกดอกงดงามชวนสดชื่น ทว่ายอดหล้ากลับมีใบหน้าบึ้งตึงเคียดขึ้ง ยืนกอดอกอยู่ แสงแดดส่องโดนตัว แก้วยืนอยู่ในร่มเงา
“เจ้าเห็นหรือยัง ว่าดารารายร้ายกาจขนาดไหน”
“คุณพิมพ์ รู้ว่าเจ้าเป็นใครหรือครับ” แก้วถามในสิ่งที่คาใจ
“ดารารายไม่ใช่คนโง่ เจ้าก็รู้ว่ามันตีสองหน้า เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดไหน”
“แปลก ผมกลับเห็นว่าคุณพิมพ์ เป็นคนตรงๆ ตรงเกินไปด้วยซ้ำ”
“สายตาของเจ้าลวงเจ้าแล้ว จงอย่าเชื่อแต่เพียงเปลือกนอกของคน”
แก้วมองหน้า อยากถามเหลือเกินว่า “แล้วเจ้าเล่า” ทำได้แค่คิด
“เจ้าใช้อำนาจจิตให้ฝูงนกทำร้ายคุณพิมพ์แบบนี้ ใครต่อใครจะยิ่งสงสัยเจ้า”
“สงสัยแล้วทำไม ใครหน้าไหนจะทำอะไรข้าได้”
แก้วทอดถอนใจ “แต่เจ้าบอกเองว่าเจ้าอยากเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ทำไมเจ้ายังใช้อำนาจเหนือมนุษย์อยู่”
ยอดหล้ามองจ้องหน้าแก้ว นึกรู้ว่าแก้วพยายามปกป้องพิมพ์ดาวจึงยิ้มนิดๆ
“จริงของเจ้า ข้าจะต้องลดตัวไปสั่งสอนดารารายทำไม”
“ครับ”
แก้วโล่งใจ ยอดหล้าเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มเยาะ
“ในเมื่อข้ายืมมือคนอื่นสั่งสอนแทนได้”
ยอดหล้าสะบัดตัวเดินกลับเข้าห้อง แก้วมองตามอย่างผิดหวัง
บ่ายคล้อยวันนั้น พิมพ์ดาวยืนครุ่นคิดอยู่ที่ระเบียงด้านหนึ่งของคุ้ม ทอดสายตามองไปเห็นแนวต้นไม้เขียวครึ้มอยู่เบื้องหน้า มีร่างหนึ่งเดินมาจากด้านในหยุดยืนอยู่เป็นเงาดำ พิมพ์ดาวหันไปเขม้นมองแล้วต้องแปลกใจ
“อ้าว คุณลินซี่ ตื่นแล้วหรือคะ”
มาลารินยังคงยืนนิ่งไม่หืออือ พิมพ์ดาวยักไหล่ คิดว่ามาลารินวีนใส่ หันกลับไปมองดูแนวต้นไม้อีก จึงไม่เห็นว่ามาลารินหน้าตาหมองคล้ำ ดวงตาเบิกกว้าง ค่อยๆ ยกมือขึ้นในมือมีมีดยาววาวยับ
มาลารินก้าวมาช้าๆ เงื้อมีดขึ้นตรงไปด้านหลังพิมพ์ดาว
แสงของมีดสะท้อนแสงแดดแวบหนึ่ง พิมพ์ดาวหันขวับมา มาลารินถลามาถึงตัว ดวงตาเบิกกว้าง
“คุณลินซี่”
พิมพ์ดาวคว้าข้อมือมาลารินไว้ มาลารินดิ้นสะบัดเหวี่ยงพิมพ์ดาวเซถลาไป แล้วหันกายก้าวตามเหมือนหุ่นยนต์ พิมพ์ดาวถอยไปพิงผนังไม้ มาลารินจ้วงแทงพิมพ์ดาวหลบมีดปักตรึงกับผนัง มาลารินดึงมีดขึ้น หันตามอีก พิมพ์ดาวคล้ายกับระลึกถึงความเป็นดารารายได้ พลันตวัดดึงเข็มขัดจากเอวแล้วฟาดขวับต้านไว้
มาลารินโถมเข้าแทง พิมพ์ดาวตวัดเข็มขัดพริบตาเดียวก็พ้นข้อมือมาลารินมีดตกเปรื่องลงกับพื้น
“ลินซี่ นี่มันอะไรกัน”
มาลารินจ้องตรงไปพูดจาเลื่อนลอย “ต้องกรีดหน้าดาราราย”
พิมพ์ดาวชะงักรู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร มาลารินผลักด้วยแรงเกินมนุษย์ พิมพ์ดาวหงายหลังกระแทกผนัง มาลารินหยิบมีดขึ้นใหม่ พิมพ์เดือนกับแพทเดินมาเห็นพอดี
“ว้าย พี่พิมพ์” พิมพ์เดือนร้องสุดเสียง
“ตายแล้ว” แพทตะลึง
พิมพ์ดาวร้องบอก “ยายเดือนเอาคดพญาเหยี่ยวมา”
พิมพ์เดือนได้สติดึงสร้อยจากคอมาชูอย่างงกๆ เงิ่นๆ มาลารินชะงัก มองดู แล้วนิ่งไป พิมพ์เดือนตัดสินใจเอาคดพญาเหยี่ยวฟาดใส่มาลาริน เกิดแรงปะทะพร้อมแสงสว่างวาบ มาลารินกระเด็นไปเบื้องหลังหน้ามืดไป
แพทดึงพิมพ์ดาวขึ้นมา พิมพ์เดือนคว้ามีดมาถือ ก้าวเข้าหามาลารินอย่างเอาเรื่อง
มาลารินครางฮือ ลืมตาขึ้นงงๆ “ฮือ อะไรเนี่ย” มาลารินยันตัวขึ้น มองไปรอบๆ นึกทบทวนแล้วร้องวี้ดขึ้นมา
“คุณลินซี่ เกิดอะไรขึ้นคะ”
“นังผีเจ้านาง นังแม่มด นังเจ้าแสงหล้า มันฆ่าราเชนทร์ควักหัวใจมาบูชายัญ ชุบตัวให้มันเป็นคน”
ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดไปทั้งบาง
ฝ่ายยอดหล้านั่งอยู่ทีโต๊ะเครื่องแป้ง พิศดูตัวเองโดยไม่รู้เบื่อ ยกมือขึ้นแตะผิวหน้าแล้วกรายแขนออกดูผิวพรรณเปล่งปลั่งด้วยเลือดเนื้อแล้วยิ้มสมใจ นางผัน นางเผื่อนยืนอยู่เบื้องหลัง
“เจ้านางยิ่งเปล่งปลั่งกว่าเดิม”
“เจ้านางกลายเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยมแล้วเจ้า”
ยอดหล้าพอใจ แต่หันมาดุยิ้มๆ
“อย่าสู่รู้ ยังหรอก นี่เป็นพิธีกรรมครั้งที่ 2 เท่านั้น ข้าต้องรอจนถึงจันทราหน้า”
“พิธีบูชายัญครั้งที่ 3 หรือเจ้า” นางผันถาม
“ใช่ แล้วเมื่อนั้นข้าจะเป็นมนุษย์สมบูรณ์” ยอดหล้าเยื้อนยิ้ม
“ท่านอาจารย์คือผู้วิเศษเหนือฟ้า เหนือดิน” นางเผื่อนชื่นชม
“ใยท่านอาจารย์ จึงไม่ชุบตัวเองบ้างก็ไม่รู้นะเจ้า” นางผันตั้งข้อสังเกต
ยอดหล้านิ่งงันไป เป็นสิ่งไม่เคยคิดมาก่อน
“เจ้าสู่รู้อีกแล้วนะ น้ำใจท่านอาจารย์ล้ำลึกนัก ผู้ใดจะไปล่วงรู้ได้”
มีเสียงเคาะประตูขัดขึ้น ยอดหล้าออกอาการหงุดหงิด “อะไรอีกเล่า เข้ามา”
ประตูเปิดออกแก้วเดินเข้ามาสีหน้าหนักใจเหนื่อยใจ นางผัน นางเผื่อนค้อนควักแล้วจางไป
“มีเรื่องโลกแตกอะไรมากวนข้าอีก”
แก้วต่อว่า “เจ้าสั่งให้คุณลินซี่ไปทำร้ายคุณพิมพ์หรือครับ”
“เปล่านี่ ข้าแค่สั่งให้ไปกรีดหน้าดารารายนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น นังนั่น...ทำไม่สำเร็จซิท่า”
แก้วประชด “เจ้าน่าจะดูเองด้วยพลังพิเศษของเจ้า”
ยอดหล้าขุ่นใจที่แก้วประชด อีกทั้งขุ่นใจกับอำนาจที่ลดลง
“อย่าอวดดีกับข้า ตอนนี้ข้าใกล้เป็นมนุษย์ อำนาจของข้าก็ลดถอยลง”
แก้วถอนใจ
“คุณลินซี่ทำร้ายคุณพิมพ์แต่มีคนมาช่วยไว้ได้ ตอนนี้คุณลินซี่ถูกจับมัดฉีดยาระงับประสาท...หมดสติไปแล้ว”
ยอดหล้ายักไหล่ ลุกขึ้นเดินมาไล่กรีดดูเสื้อผ้าในตู้
“เรื่องนี้ข้าไม่อยากรู้ ข้าอยากรู้ว่าคืนนี้เจ้าเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้พวกคณะละครนั่นอย่างไรมากกว่า”
ยอดหล้าเอาผ้าทอผืนหนึ่งมาทาบตัวดู แล้วเปลี่ยนเป็นอีกผืนหน้ากระจกบานยาว
แก้วขมขื่นใจ
ทางด้าน ตรีภพ และตฤณ นั่งอยู่บนเตียง พิมพ์ดาวและพิมพ์เดือนนั่งอยู่บนโซฟาใกล้ๆ ตรีภพถือคดพญานกเหยี่ยวในมือ พิจารณาดูไปด้วย ทีวีจอแบนมีข่าวแต่ปิดเสียงไว้
“ไม่น่าเชื่อเลย” ตรีภพพึมพำ
“ไม่น่าเชื่อ แปลว่าแกเชื่อ แต่ให้เป็นให้ตายยังไงฉันก็ไม่เชื่อ เจ้าแสงหล้าเป็นคนก็เห็นกันอยู่ชัดๆ จะเป็นผีไปได้ยังไง อีกอย่าง...”
พิมพ์เดือนตาขวาง พูดต่อให้ “ผีไม่มีในโลก”
ตฤณพูดอย่างหมั่นไส้ “ผมจะพูดว่าโลกนี้ไม่มีผีต่างหาก”
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็กรุณาอยู่เฉยๆ ให้คนที่เขาเชื่อปรึกษาหารือกัน”
ตฤณส่ายหัว ตรีภพมองพิมพ์ดาว “เราควรจะทำยังไงดี คุณพิมพ์”
“เรื่องแบบนี้เราจัดการเองไม่ได้หรอกค่ะ คงต้องให้คนรู้เรื่องพวกนี้มาจัดการ”
“อ๋อ ต้องไปตามหมอผีมาปราบ” ตฤณปากดี
ตรีภพด่า “ไอ้ตฤณ มึงเอ้ยแกเงียบไปเลยไป”
“บูชายัญผู้ชายเบญจเพส โธ่ ฉันว่าคุณลินซี่คงไปพี้จนเห็นภาพหลอนมากกว่า” ตฤณไม่เชื่อเด็ดขาด
ในจอทีวีมาถึงช่วงข่าวท้องถิ่น มีตัวแคปชั่นพาดหัวข่าว “หนุ่มเบญจเพสถูกลักพาตัว ขณะเดินทางไปงานเลี้ยงรุ่น” ตรีภพเหลือบดูแล้วกดรีโมทเปิดเสียง
“ดูข่าวซีครับ”
ภาพในจอโทรทัศน์ เป็นภาพชายหนุ่มทั้ง 10 คนในชุดรับปริญญามาจากหนังสือรุ่น ประกอบเสียงผู้ประกาศรายงาน
“นายเกรียงคนขับรถตู้ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยยังให้การปฏิเสธ”
ภาพในจอเป็นคนขับรถเล่าเหตุการณ์
“พอผมกลับมา ทุกคนก็หายไป เสียง แล้วผมได้ยินเสียงม้าร้อง เห็นรถม้าลุกเป็นไฟ แล่นอยู่ไกลๆ”
ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือนอึ้ง ส่วนตฤณเกาหัวแกรกๆ
อ่านต่อหน้า 4
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 18 (ต่อ)
ค่ำวันเดียวกันนั้น จอโทรทัศน์รุ่นเก่าบนเรือนมหาจรวย ยังมีภาพข่าวนำเสนอ เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานต่อเนื่อง
“ทางตำรวจเผยว่า เคยมีชายวัยเบญจเพสหายสาบสูญไปถึง 9 คน เมื่อราว 2 สัปดาห์ก่อน แต่ไม่มีหลักฐานว่าโดนลักพาตัวเหมือนคราวนี้ คดีแปลกประหลาดนี้ ทางตำรวจคาดว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางไสยศาสตร์”
มหาจรวยนั่งดูข่าว ท่าทางดูเป็นปรกติแล้ว สีหน้าเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงโทรศัพท์ดังมหาจรวยหยิบมาดู
เห็นที่หน้าจอเขียนว่า ลุงทอง จึงกดรับ
“ลุงทอง มีอะไรหรือครับ”
ตาทองพูดมา มหาจรวยนิ่งฟัง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นสนใจ
ฝ่ายพิมพ์ดาวในท่าทีเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ยืนเกาะระเบียงเรือนมองไปไกล ตรีภพเดินมาหาอย่างผูกพัน พิมพ์ดาวหันมา ตรีภพไม่เปลี่ยนท่าที พิมพ์ดาวหน้าแดง ทำเป็นไม่เห็นแววตานั้น ตรีภพก้าวมายืนเคียงข้าง
“คุ้มร้างริมปิง เรื่องมากมายเกิดขึ้นที่นั่น”
สองคนมองไปยังยอดคุ้มร้าง แลเห็นหอสังเกตการณ์โผล่ขึ้นจากยอดทิวไม้หนาทึบ
“และจะจบลงที่นั่นด้วยหรือเปล่า ไม่รู้นะคะ”
“คุณรู้เรื่องปาร์ตี้ปิดกล้องคืนนี้หรือยัง”
“รู้แล้วค่ะ เจ้าแสงหล้าเธอคงอยากเลี้ยงส่งบางคนให้พ้นๆ เสียที”
พิมพ์ดาวทำหน้าขมขื่นนิดๆ แล้วมองหน้าตรีภพ “แต่เธอคงอยากเก็บ บางคนไว้”
“นี่ผมไม่ใช่วัตถุทางเพศนะครับ”
ตรีภพพูดเรียบๆ แต่ดวงตาขบขัน “แล้วไม่ใช่ของเล่นไฮโซด้วย”
พิมพ์ดาวค้อนขวับ “อย่างนี้แล้ว คุณยังพูดเล่นอยู่ได้”
ตรีภพพูดด้วยท่าทีจริงจังขึ้น
“เรื่องเจ้าแสงหล้า เรื่องอดีตชาติ เรื่องความจริงความเท็จที่อยู่ในบทละคร ผมยังไม่อยากเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์”
พิมพ์ดาวอารมณ์เสียนิดหนึ่ง ตรีภพมองนิ่ง
“ก็ดีแล้วนี่คะ”
“แต่มีเรื่องนึงที่ผมแน่ใจแล้ว มากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่ผมรู้สึกกับคุณไง”
พิมพ์ดาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจู่ๆ เรื่องจะวกมาอย่างนี้ ก็เบิกตากว้าง
“คะ?”
ตรีภพยื่นมือไปกุมมือพิมพ์ดาวไว้
“เรื่องในละคร หลวงเทพถูกดารารายทำเสน่ห์ แต่พอเล่นจริงผมกลับรู้สึกขึ้นมาเองว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
พิมพ์ดาวมองดวงตาไหวระริกด้วยความตื้นตัน
“ผมรู้สึกว่าดารารายกับหลวงเทพรักกันด้วยใจจริง เหมือนที่ผมรู้สึกกับคุณอยู่ตอนนี้”
พิมพ์ดาวรู้สึกว่าไม่ซึ้งเท่าที่ควร เลยทำเมิน ดวงตาระริบระยับ
“แต่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับคุณซักหน่อย”
“ไม่หน่อยก็ต้องรู้สึกเยอะซีครับ”
ตรีภพอ่านออกยิ่งทำซึ้งและออดอ้อน พิมพ์ดาวดึงมือออก ทุบ แต่ตรีภพคว้าไว้ มองตานิ่ง พิมพ์ดาวหน้าแดง ตรีภพเอามือมาจูบแผ่วเบา พิมพ์ดาวสะท้อนสะท้าน
ยอดหล้าในชุดอยู่บ้าน ยาวกรุยกรายเดินมาชะงักกึก
ตรีภพโอบพิมพ์ดาวไว้ พิมพ์ดาวเอียงซบไหล่กว้าง มองออกไป ไม่ได้พูดอะไรกันแต่ดวงใจเหมือนหลอมรวมเป็นดวงเดียว
ยอดหล้าเบิกตากว้าง เจ็บแค้นแสนสาหัส
แก้วก้าวมาในห้อง มีแจกันแก้วอันหนึ่งบินลอยมาเฉียดหัวไปกระแทกประตูห้องแตกกระจาย แก้วมองไปเห็นยอดหล้ายืนนิ่งกลางห้อง มือกำแน่นดูออกว่าโกรธสุดขีด
“เจ้านาง”
“ข้าไม่อยู่เพียงสามวัน นางน้องสาวแพศยาของข้าฉวยโอกาสทำมายาแย่งพี่เทพไปได้อีกแล้วหรือ”
แก้วถอนใจ มองนิ่ง “เรื่องของหัวใจมันกะเกณฑ์กันไม่ได้นะครับ”
ยอดหล้าไม่รู้สึกนัยในคำพูดนั้น
“แต่ก็ดี ให้มันรักพี่เทพสุดจิตสุดใจของมัน ให้มันลุ่มหลงจนไถ่ถอนไม่ได้ ให้มันคิดว่ารักของมันจะเป็นนิรันดร แล้วข้าจะชิงพี่เทพมา ให้มันเจ็บปวดจนยิ่งกว่าตายเสียอีก ดุจเดียวกับที่มันทำกับข้า”
ยอดหล้าโกรธกริ้ว เงาหน้าอสูรกายซ้อนทับขึ้นมา แก้วขมขื่น พูดแกมประชด
“ใครที่ไหนกันจะต้านทานเสน่หานุภาพของเจ้านางได้”
“ใช่ ไม่มีใครต้านทานสิเนหามนตราของข้าได้”
ยอดหล้ากรายตัวมาใกล้หน้าต่าง ดวงหน้าใสสดแต่ดวงตาชั่วร้าย
“ข้ารู้แล้ว งานคืนนี้ จะจัดเป็นแนวอะไร”
แก้วเลิกคิ้วฉงนฉงาย “ครับ”
“งานคืนนี้จะจัดเป็น งานแต่งของพี่เทพ...กับข้า”
แก้วอึ้งไป ยอดหล้าเชิดหน้ามั่นใจในตัวเอง
คุ้มหลวงคืนนี้มีงานเลี้ยงปิดกล้องละคร แขกอื่นๆ มาร่วมไม่มากนัก
รถพ่อเลี้ยงธาดาแล่นมาจอดลง ตามติดด้วยรถไฮโซเมืองเหนือชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ทุกคนแต่งชุดเจ้านายทางเหนือโบราณ แบบไม่กลัวขี้กลากขึ้นหัว ธาดาและไฮโซเดินไปยังศาลากลางสวน ตามต้นไม้ทางเดินประดับด้วยผางประทีป แขวนดอกไม้จุดเครื่องหอมตามทาง
ที่ศาลากลางสวน มีงานเลี้ยงขันโตกใหญ่โตหรูหรา ประณีตราวกับจำลองบรรยากาศอดีตเมื่อ 200 ปีก่อนให้หวนคืนมา มีเวทีเล็กๆ ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง ขึงม่านบางปักดิ้นทอง หน้าม่านมีวงดนตรีไทยเหนือโบราณ มีนางรำกำลังฟ้อนดูเชื่องช้างดงาม บรรยากาศสดชื่นรื่นเริง
แขกทุกคนในงานแต่งตัวด้วยชุดไทยโบราณ ประกอบด้วย ดารา นักแสดง ทีมงาน และไฮโซ เมืองเหนืออีกจำนวนหนึ่ง
ที่ขันโตกวงหน้าเวที มีตรีภพ พิมพ์เดือน พิมพ์ดาว ตฤณ และแพท อีกวงหนึ่งคือฐาปกรณ์ มาดามสุ บีบี มาลาริน อีกวงถัดมาคือก๊วนลูกกบ มีมี่ มูมู่ เก้ง รัก ส่วนธาดาและไฮโซอยู่วงถัดๆ ไป รวมทั้งวงของนักแสดงอาวุโส อาจารย์ที่ปรึกษา ตัวประกอบต่างๆ ทีมงานทุกส่วน ทุกคนกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดแอร่ม
ฐาปกรณ์ มาดามสุ หน้าบานเป็นจานดาวเทียม บีบีฝันหวานนึกถึงการกลับไปออกงานอีเว้นท์รับทรัพย์ ทีมงานส่วนหนึ่งนึกถึงค่าแรง แทบทุกคนกินดื่มอย่างมีความสุข
แต่ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน มีท่าทีระวังตัวบางอย่าง ส่วนมาลารินพูดคำตอบคำอยู่ คล้ายถูกสะกด
บรรดาสาวใช้คนงานก็แต่งกายสวยงามมาช่วยเสิร์ฟดูแลความเรียบร้อย สายใจ เฟื่องฟ้า ระริน 2 คนงานชายวิ่งวุ่นสนุกสนาน แต่ตาทองกลับเงียบขรึมนั่งอยู่สุดศาลา ราวกับรอคอยเวลา
“เมื่อเย็นฉันลองสรุปงบดู ว้ายคุณ กำไร”
มาดามสุกระซิบตัวเลขกรอกหูผัว ฐาปกรณ์ตาลุกโพลง
“หา! กำไรมากกว่าละครยาวอีก ทุกอย่างต้องขอบคุณไอ้ห่าแก้ว เอ๊ย คุณแก้ว”
“จะต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วหรือนี่ แต่บอกตรงนะคะว่าไม่อยากกลับเลย”
มาลารินงง “ทำไมคะ”
“ก็อยากอยู่ดูกรุสมบัติของเจ้าแสงหล้าไงคะ” บีบีว่า
“ต๊าย เหมือนกันเลย ไม่รู้วันนี้เจ้าจะขนเพชรอะไรมาโชว์อีกนะคะ”
มาลารินมีอาการอึดอัด บีบีพ่นออกมาอีก
“เฮ้อ...ที่นี่ก็ดีอยู่หรอก ถ้าไม่มีเรื่องผีสางนางโถง ดีนะลินซี่ไม่หัวโกร๋น”
“ผีเผออะไร ลินซี่แค่เห็นภาพหลอนมากกว่า เรื่องผีน่ะพอไปถามจริงๆ ก็เห็นกันไม่กี่คน ลือกันไปเอง จริงไหมคุณ” ฐาปกรณ์ว่า
มาดามสุเห็นด้วยพยักพเยิดกับผัว บีบีพยักหน้าตาม มาลารินเม้มปากแน่น
ที่วงขันโตกของทีมงาน มีมี่ มูมู่ ถือโอกาสแต่งชุดเจ้านางเต็มยศ ปากก็บ่นบ้าเรื่องงานเลี้ยง
“ปิดกล้องทั้งทีคิดว่าจะมีแฟร์เวลปาร์ตี้เปี้ยวๆ ฮิป ฮิป”
“นี่มีแต่ต๊ะ ต่อน โยน ต๊ะ ต่อน โยน อยู่” พลางมูมู่ยกมือมาซ้อนบิดไขว้กันทำท่าฟ้อนเล็บ
“เขาจัดงานเลี้ยงให้ฟรีๆ ก็บุญหัวแล้ว อย่ารีเควสเยอะ” เก้งเหน็บ
ลูกกบบอก “เมื่อไหร่เจ้านางแสงหล้าจะลงมาซักที ฉันชอบจัง ซ้วย สวย”
“นางในฝันของฉันเลย” รักว่า
ทุกคนชะงักมองรักอย่างเหยียดหยาม แต่รักไม่แยแส ลูกกบลุกไปห้องน้ำ
ฝ่ายพ่อเลี้ยงธาดาอยู่กับวงไฮโซเมืองเหนือ ธาดาเหลียวมอง ลูกกบเดินผ่านมาพอดี
“หนู ราเชนทร์อยู่ไหนล่ะ”
“อุ๊ย พ่อเลี้ยง พี่เชนหายไปอาทิตย์นึงแล้วค่ะ คิดว่าน่าจะกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว หนูขอตัวก่อนนะคะ”
ธาดาอึ้ง ไฮโซล้านนามองชะเง้อชะแง้แลหา
“นี่เขาว่าเจ้าแสงหล้าน่ะ เป็นสแตนอิน ฉากเล่นซึงให้นางเอกด้วยนะ” ไฮโซ 1 เม้าท์มอย
ไฮโซ 2 เสริมส่งกันไป “ต๊าย แม่นางเอกพอดูใกล้ๆ ไม่เห็นสวยเลย ความจริงให้เจ้านางมาเป็นนางเอก แล้วแม่นางเอกไปเป็นสแตนด์อิน ตอนจัดแสงจะเหมาะกว่านะคะ”
2 ไฮโซเม้าท์ระยะเผาขน อย่างไม่แคร์โดนตบ
“ครับ เจ้าน่ะเหมือนไม่ใช่คน” ธาดาเอ่ยขึ้น
ไฮโซ1 งง “แล้วเป็นอะไรคะ”
“ก็เหมือนนางฟ้าน่ะซีครับ”
ธาดาพยายามไม่นึกถึงค่ำคืนเสียวสยอง ที่เจ้าแสงหล้าตัวปลอมขึ้นเตียงกับตน
ตรงวงขันโตกหน้าเวที ตรีภพสบตาพิมพ์ดาว แล้วตักอาหารให้
“ไม่เห็นคุณกินอะไรเลย”
“ฉันกินไม่ลงค่ะ”
ข้างๆ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือนกำลังกินเอาๆ อยู่ หากสังเกตจะเห็นว่าคืนนี้พิมพ์เดือนไม่ได้สวมคดพญาเหยี่ยว
“พี่พิมพ์ นี่อะไรไม่รู้ อร๊อย อร่อย”
“สมองลิงหรือเปล่า” ตฤณอำเอา
พิมพ์เดือนชะงักพิศดูของกินในมือรู้ว่าโดนอำ ยักไหล่ เอาของใส่ปากกินต่อ ตฤณโคลงหัว
แพทเองก็พลอยกินไม่ลงถามขึ้น “ที่คุณลินซี่พูดมันยังไงกันแน่คะ”
“คุณก็รู้ว่าคุณลินซี่เธอเล่นยา แล้วก็เกลียดเจ้าอยู่ก็เลยสร้างภาพหลอนขึ้น” ตฤณบอก
“แหม แต่ที่คุณเชนทร์หายไปละคะ แล้วยังตนหายในข่าวอีก” แพทท้วง
ทุกคนมองดูตฤณ พิมพ์เดือนมีท่าทางหมั่นไส้สุด
“แล้วแกก็บอกเองว่าฉันอาจถูกเจ้าแสงหล้าสะกดจิต”
“คนธรรมดาก็มีพลังจิตได้โว้ย ไม่จำเป็นต้องเป็นผี”
“อย่าไปเถียงนักวิทยาศาสตร์เลยค่ะ คนแบบนี้ต่อให้ผีมาแหกอกอยู่ตรงหน้าก็ไม่เชื่อค่ะ”
ตฤณออกอาการเซ็ง
ที่วงขันโตกทีมงาน กำลังเม้าท์เมามันส์
มีมี่นำร่อง “ตาย เจ้ายังไม่เด็จเสียทีนะตัวเอง”
มูมู่ร้อง “ว้าย มาแล้ว”
“เจ้าเหรอ ไหน...ไหน”
“เปล่า อีผีเห็นผีมา” มูมู่บุ้ยใบ้
เบิ้มโผล่มาสมทบ แต่งชุดเจ้าทางเหนือแต่ไม่รับกับหนังหน้าสักกะผีก มีมี่ มูมู่ ฉีกยิ้มรับเหมือนรักใคร่เต็มประดา
“แหม ใครจุดธูปบอกจ๊ะ” ลูกกบกัด
“ไม่ได้อยากมาหรอกครับ แต่เช็คยายมาดามเด้ง ผมก็เลยมาทวง”
รักอึ้ง “จริงเหรอวะ”
เก้งแค้นด่าไม่ไว้หน้า “อีมาดามนี่ น่ากลัวว่าผีอีก”
ทุกคนเหลียวไปมองสุชาดาอย่างจงชัง เห็นมาดามสุกำลังทำหน้าเบ้กับผัวอยู่ท่าทีเบื่อหน่าย
“รำอยู่นั่นแหละ เบื่อ อยากเห็นอะไรแปลกๆ บ้าง ว้าย...ไปแล้ว”
งานเลี้ยงดำเนินไป สายตาทุกคู่มองไปบนเวที เห็นนางรำช่างฟ้อนกรายกรวิ่งลงเวทีตรงหน้าม่าน แขกทั้งหลายวางช้อนตบมือเซ็งๆ แสงไฟพลันหรี่ลงจนสลัว เสียงซึงเพลง ดวงใจ ดังขึ้น ไพเราะวิเวกหวาน พิมพ์ดาว ตรีภพมองดู คนอื่นๆ มองตามกันสลอน
หลังม่านบาง มีเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรสวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับอลังการ ใกล้ๆ กันมีเงาซึงวางบนตักและมือที่ขยับดีดซึง ที่หน้าเวที มีนางช่างขับ 2 นาง ร้องเพลงประสานเสียง สำเนียงไพเราะจับจิต
“น้ำใจนางดังดาวบนท้องฟ้า บ้างเกลื่อนกลาดดาษดาพร่างเวหน
ในบางคราหายลับกลับเมืองบน ทิ้งให้ข้าหมองหม่นตามหาดาว”
พิมพ์ดาวมองดูภาพตรงหน้าแล้วใจหล่นวูบ บีบมือตรีภพ ความรู้สึกของดารารายครอบงำ
“เหมือนคืนวันแต่ง”
ตรีภพงวยงง “อะไรนะ”
“เจ้าพี่ เล่นซึงกล่อมหอให้เราสองคน”
พิมพ์ดาวพูดแผ่วเบาคล้ายละเมอ ตรีภพอึ้ง งงและพอใจ
ที่หลังม่านบาง ยอดหล้าทรงภูษาพัสตราภรณ์เป็นทองระยิบระยับ เล่นซึงเพลงดวงใจวิเวกหวาน แต่ดวงตาจดจำรำลึกภาพอดีต ทั้งเจ็บปวด คั่งแค้น ทุกข์ทน
ภาพอดีตงานแต่งดาราราย หลวงเทพ โดยมียอดหล้าเล่นซึงกล่อมหอผุดขึ้นมาหลอกหลอน
ยอดหล้ายิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้าจำได้ไหม ดาราราย วันที่เจ้าแย่งชิงดวงใจของข้า”
พิมพ์ดาวชักมือออกจากมือตรีภพ มองเงาหลังม่านอย่างขมขื่น ปวดร้าว
“เจ้าพี่ ท่านชังข้า มิมีวันไถ่ถอนเลยหรือ”
ตรีภพงง “คุณพูดอะไรนี่”
ยอดหล้ามองมา ยังตรีภพที่นั่งเคียงข้างพิมพ์ดาว แล้วเห็นเป็นภาพดาราราย กับหลวงเทพภักดีในงานแต่ง
ยอดหล้ายิ้มขมขื่น แล้วกลายเป็นโกรธเกลียดแรงกล้า เสียงซึงรุนแรงขึ้น
“เจ้านาง ท่านจะทำอะไรกันแน่” แก้วที่อยู่ด้วยประหลาดใจ
“พี่เทพควรจำได้เสียที ว่าเคยรักข้าเพียงไหน
“เจ้านางเคยบอกว่า จะชนะใจนายตรี ด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้เวทมนตร์”
“แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ขาดคำ ยอดหล้าพลันเป่าลมแผ่วเบาจากปาก ทันใดนั้นเองม่านบางก็ปลิววูบขึ้นสู่เบื้องบนหายไป แขกในงานเขม้นมองอย่างตื่นตา
ตรงหน้าทุกคน ยอดหล้านั่งอยู่บนตั่งทอง ด้านหลังเป็นฉากกั้นฉลุฉลัก สลับกับเพดานดอกไม้มหึมา
ยอดหล้าในพัสตราภรณ์สีทองและแก้วเก้า งดงามเหนือมนุษย์ เหมือนมีแสงส่องออกรอบกาย ตรีภพตะลึงแล พิมพ์ดาวมองตรีภพ
แขกเหรื่อ ผู้คนในงานก็ตกตะลึงกับความงามนั้น ความรู้สึกพิสมัยไหลหลงแผ่ซ่านไปทั้งกายา
ยอดหล้าคลี่ยิ้ม ชายตามองมาอย่างยั่วยวนทุกผู้คน ชายทุกคน เคลิบเคลิ้ม พ่อเลี้ยงธาดากุมอกตัวเอง ยอดหล้าทอดสายตาไปยังตรีภพ เห็นตรีภพมองตอบอย่างพิศวง จังหวะนี้ยอดหล้าพลันกรายมือมาเบื้องหน้า
จู่ๆ ผางประทีปทุกอันในงานกลับหรี่ลงเหลือแสงริบหรี่ ทั่วทั้งศาลาตามจุดต่างๆ มืดลง ทุกคนเหลียวหน้าแลหลัง
ทันใดนั้น ก็เกิดเป็นละอองดาวในอากาศรอบบริเวณ รอบกายผู้คนในงานกลายเป็นฟ้ายามราตรี ทุกคนร้องฮือฮา ตื่นตะลึง แก้วงงงันไม่รู้ว่ายอดหล้าจะทำอะไร ยอดหล้ายิ้มพราย
ตรงหน้าทุกคนคล้ายมีดาวทอแสง หลายคนยืนมือจับก็สลายเป็นละอองฟุ้งแล้วก็ปรากฏขึ้นใหม่
“ว้าย หนังสามมิติ” มีมี่กรี๊ด
“ไม่ใช่ย่ะ อย่างงี้ต้องโฟร์ดีแล้ว”
ตฤณลองคว้าดูท่าทีฉงนฉงาย “อะไรวะนี่ โฮโลแกรมหรือ”
บีบีกับมาดามสุลุกขึ้นคว้า คล้ายตะครุบหิ่งห้อย
“ว้าย อลังการล้านเจ็ด ออแกไนซ์เจ้าไหนเนี่ย”
สุชาดาดี๊ด๊าบอกกับฐาปกรณ์ ตาผัวแดกดัน “งานเปิดตัวละคร จ้างอีเจ้านี้นะคุณ”
เบิ้มมองดูรู้ทันทีว่ามันคืออำนาจปิศาจ หน้าตาก็เริ่มเหยเก พอมองไปที่ยอดหล้าเห็นแสงทองล้อมกายหายไปเป็นหมอกควันสีดำสนิทลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวแทน เบิ้มท่าทางจะร้องไห้
ยอดหล้ายิ้มละไม ดวงตาเจิดจ้าขึ้นวูบหนึ่ง
ตรีภพ และ พิมพ์ดาวที่ยังมีสติรับรู้ ส่วนพิมพ์เดือน ตฤณ แพท นิ่งเป็นรูปสลักไปแล้ว
วงขันโตกฐาปกรณ์ ทุกคนนั่งนิ่งเป็นหิน เว้น มาลารินที่ตกใจ เขย่าบีบีชี้ชวนให้ดู
ทีมงาน ทุกคนแข็งทื่อไปแล้วหมดสิ้น
วงขันโตกไฮโซ พ่อเลี้ยงธาดาที่กำลังมองมาอย่างหลงใหลก็แข็งเป็นหินไปเช่นเดียวกับไฮโซล้านนาขาเม้าท์
จังหวะนี้ยอดหล้ามองมายังตรีภพ พูดแผ่วเบา
“พี่เทพ จำได้ไหมเจ้า นี่เพลงของเรา”
ตรีภพคลี่ยิ้มหลงใหล “เจ้านาง ใช่ เพลงนี้พี่แต่งให้เจ้านาง”
พิมพ์ดาวใจหายวาบ
ยอดหล้าเลื่อนซึงจากตักวางไว้ข้างกาย แต่ซึงนั้นยังดีดตัวเองอยู่ แก้วเป็นอีกคนที่ไม่ถูกสะกดให้แข็งเป็นหิน
“เจ้านาง”
ยอดหล้าลุกขึ้น กรายมาเบื้องหน้า ตรีภพลุกขึ้นก้าวไปหา พิมพ์ดาวลุกตาม แก้วก้าวตาม ยอดหล้ามาหยุดเบื้องหน้าตรีภพยิ้มละไม ตรีภพกุมมือไว้
ยอดหล้าเอื้อนเอ่ยน้ำคำแสนอ่อนหวาน “พี่เทพ พี่คือดวงตะวัน”
ตรีภพเอ่ยตาม “เจ้านางคือจันทรา”
ตรีภพประคองใบหน้ายอดหล้ามาใกล้แล้วก้มลงจูบ พิมพ์ดาวกับแก้วอึ้งตะลึงจ้อง มองสองคนจูบกันต่อหน้าต่อตาอย่างดูดดื่มปานจะกลืนกินกันและกัน
อ่านต่อตอนที่ 19