สาปสาง ตอนที่ 22
ณราทานข้าวกับฤดี ณราดูเฉยๆ แต่ฤดีเริ่มมีสีหน้าไม่ปลื้ม ฤดีจึงรอให้ณราพูด
"เอาแต่จ้องหน้าผม จะอิ่มเหรอครับแม่ ทานข้าวสิครับ"
ณราเอาใจด้วยการตักกับข้าวให้ ฤดีถอนหายใจหนัก
"แกคิดจะปิดแม่หรือไง ณรา"
"ปิด ? คุณแม่พูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ"
"ไม่ต้องทำหน้าซื่อ แม่รู้เรื่องแล้ว"
ฤดีเปิดไอแพดวางตรงหน้า ณรามองที่รูป หน้าจอไอแพดเป็นรูปล็อบบี้โรงแรมที่เละเทะเพราะฤทธิ์เดชช่อเอื้อง
"ใครวะ...มันน่าไล่ออก สั่งให้ปิดข่าว ยังจะเล็ดลอดมาถึงคนนอก" ณราว่า
"คนนอกเหรอ นี่ฉันแม่แกนะ ตาณรา ผู้จัดการสมศักดิ์เขาไม่ผิด แม่สั่งให้เขารายงานทุกอย่าง" ฤดีบอก
"มันไม่มีอะไรมากหรอกครับแม่ อย่ากังวลน่า"
"มีเรื่องประหลาดหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้แบบนี้ แม่ไม่เอาแล้วนะ ณรา ไม่ต้องสร้างโรงแรมใหม่บนที่ดินอาถรรพ์นั่นแล้ว"
"แม่ครับ มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย คนละเรื่องเลย"
"ไม่รู้ล่ะ ก็ตั้งแต่ได้ที่ดินนั้นมา ซินแสก็ป่วย ไปดูที่ไม่ได้ ใครไปก็เป็นลมเกิดเรื่อง แล้วก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ แม่ไม่สบายใจเลยณรา อย่าสร้างเลยนะลูก"
ณราส่ายหน้าเพราะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องอาถรรพ์
"แม่อย่าผูกโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าด้วยกันเลยครับ มันไม่มีอะไรหรอกครับแม่ อย่ากังวลไปเลย"
ณรายักไหล่แล้วทานข้าวต่อไปเพราะไม่อยากให้แม่กังวล ฤดีร้อนใจและเป็นห่วงลูก
พริ้วและซินแสเฟยก้าวเข้ามาหยุดหน้าทางเข้าที่ดิน
"อาพริ้ว จุดธูปไหว้เจ้าที่ 8 ทิศ ขออนุญาตท่าน และขอขมาหากเราล่วงเกินโดยไม่รู้ตัว" เฟยบอก
พริ้วจุดธูปปักโดยรอบ เป็นวง 8 ทิศ ควันธูปลอยตัวขึ้นเป็นสาย 8 สาย ตั้งเป็นกำแพงรั้ว
"ฉันกับป๊า มีความตั้งใจสุจริต มาเพื่อแก้ไข ช่วยเหลือ ไม่มีประสงค์ร้าย" พริ้วบอก
ควันธูป 8 สาย แยกออก เหมือนเปิดช่องให้เข้าไปในที่ดิน
"เจ้าที่อนุญาตแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ" เฟยบอก
พริ้วกับซินแสก้าวเข้าไปในที่ดิน
พริ้วและเฟยจุดเทียนตั้งเป็นกรอบวงกลมขนาดใหญ่ พริ้วและเฟยอยู่ในวงกลมเทียน
"อาพริ้ว อยู่ในเขตวงคุ้มกันนี่ อย่าออกไป วงคุ้มกันจะช่วยป้องกันลื้อกับอั๊วจากพลังลึกลับและอำนาจมืด"
"แล้วยังไงต่อล่ะป๊า"
"อั๊วจะทำพิธีเรียกวิญญาณผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งนึง...ลื้อพร้อมนะอาพริ้ว"
พริ้วพยักหน้า เฟยเริ่มพิธีเรียกวิญญาณ จุดธูปแท่งใหญ่ปักตรงหน้า สั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณ
"หญิงผู้ใด...ผิดใจต่อข้า...ขอท่านเชิญมา...สนทนาไมตรี"
เก๊ง ! เฟยสั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณอีกครั้ง แต่ก็เงียบและไม่มีอะไรเคลื่อนไหว
ช่อเอื้องที่อยู่ในความมืดได้ยินเสียงระฆัง เก๊ง ก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเบื้องบน
"พวกมันมาอีกแล้ว มันจะหลอกกูไปทำร้าย"
ช่อเอื้องสะบัดหน้าไม่สนใจ
พริ้วเห็นว่าช่อเอื้องยังไม่มาก็ตัดสินใจเรียก
"พวกเรามาดีนะคะ เราไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณเลย เธอกำลังเข้าใจผิดนะออกมาคุยกันเถอะ"
ลมไม่พัด ไม่มีเสียงนกกลางคืน ไม่มีเสียงหรีดหริ่งเรไร พริ้วกับเฟยมองหน้ากัน
ช่อเอื้องสีหน้าไม่เชื่อและโกรธ
"พวกมึงก็ทรยศกูทั้งนั้น ไม่มีใครจริงใจกับกู พวกมึงจะฆ่ากู"
พริ้วถอดหยกใส่มือเฟยแล้วตัดสินใจก้าวเท้าออกจากวงกลมเทียนที่ซินแสทำไว้
"อาพริ้ว อย่าออกไป"
พริ้วยืนอยู่นอกวงกลมยันต์ที่เฟยทำไว้
ลมเริ่มพัด ท้องฟ้าเบื้องบนมีเมฆก้อนดำเคลื่อนที่ไปมา ฟ้าเปิดเห็นดาวระยิบ
ช่อเอื้องนิ่งงันแล้วเงยหน้าขึ้นจนเห็นแววระยิบระยับบางอย่าง
"ฉันมาดี ฉันยินดีช่วยคุณทุกอย่าง"เสียงพริ้วบอก
"ช่วย ?”
เฟยตกใจมากเพราะไม่นึกว่าลูกสาวจะกล้าหาญและมีใจเมตตาผู้อื่นขนาดนี้ พริ้วพยักหน้าให้เฟยเพราะตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะช่วยช่อเอื้อง
"ถ้าคุณไม่เชื่อว่าฉันจะช่วยคุณ...ใช้ร่างฉันสิคะ ถ้าคุณอยู่ในร่างฉัน ฉันกับป๊าทำร้ายคุณไม่ได้ แต่คุณบอกสิ่งที่คุณต้องการได้....ผ่านร่างฉัน"
"อาพริ้ว"
พริ้วมีสีหน้ามั่นใจ เฟยสั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณอีกครั้ง
ช่อเอื้องนิ่ง แล้วตัดสินใจหันไปทางที่เหมือนจะเห็นแสงเรืองรอง
ลมพัดดอกไม้ปลิวมากองอยู่รอบๆวงกลมยันต์ เฟยกวาดตามองเพราะนึกรู้ว่าวิญญาณมาแล้ว
"เค้ามาแล้ว อาพริ้ว ลื้อเห็นเค้าหรือยัง"
พริ้วยืนก้มหน้านิ่งโดยหันหลังให้เฟย เฟยมองข้ามไหล่พริ้วมา
"อาพริ้ว"
พริ้วเงยหน้าขึ้นมาแต่แววตาเป็นช่อเอื้อง ช่อเอื้องในร่างพริ้วค่อยๆหันไปทางซินแส
พริ้วพูดเสียงช่อเอื้อง "พวกแกเป็นใคร"
"ลื้อไม่ใช่อาพริ้ว"
เฟยมองหน้าพริ้ว แต่ได้ยินเสียงเป็นคนอื่นก็รู้ เขาตกใจจนขนลุกซู่ แต่พยายามเก็บอารมณ์ความหวาดหวั่น
"ไม่ว่าลื้อจะเป็นใครก็ช่าง ลื้อมีเวลาอยู่ในร่างอาพริ้วเพียงชั่วกัณฑ์สวดแผ่เมตตาถ้าเกินกว่านั้น กายหยาบของอาพริ้วจะได้รับอันตราย ลื้อเองก็จะเป็นบาปเพราะเกิดกรรมจากการทรมานกายหยาบผู้อื่น"
ร่างพริ้วเกิดร่างช่อเอื้องซ้อนอยู่บางๆ ปรากฎให้เฟยเห็นชั่วแว่บหนึ่ง เฟยพยักหน้ารับรู้
"เกิดอะไรขึ้นกับลื้อ ลื้อถึงได้โกรธแค้นอาฆาตทำร้ายคนอื่น"
"ไอ้พวกชั่วสามตัว มันฆ่าฉัน พวกมันสะกดวิญญาณฉันไว้ที่นี่ ฉันหลุดมาได้มันก็ตามมารังควาน มันใช้อำนาจมืดทำร้ายฉัน"
"ใครทำร้ายลื้อ"
"อีเพื่อนทรยศ ! กูจะฆ่ามัน....โอ๊ย ร้อน"
พริ้วเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก เฟยก็เริ่มเป็นห่วงลูก
"ใกล้หมดเวลาของลื้อในร่างอาพริ้วแล้ว...ลื้ออย่าเพิ่มความอาฆาตอีกเลย วิญญาณลื้อจะยิ่งติดกับอยู่ในบ่วงบาป"
"ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้ ฉันแค่อยากกลับไปหาคนที่ฉันรัก...อ๊ากกก....โอ๊ย ฉันไม่ไหวแล้ว"
"เร็วเข้า รีบบอกมา ลื้ออยากพบใคร แล้วร่างลื้ออยู่ที่ไหน"
ช่อเอื้องพยายามจะบอก แต่วิญญาณก็เริ่มเหนื่อยหอบจึงไม่มีแรงจะพูด
"คนรักของฉัน...เขาอยู่แถวนี้ คุณ....กอ....อ๊าก"
พริ้วตัวสั่นพั่บๆ แล้วร่วงลงกองกับพื้น เฟยออกจากวงกลมแล้ววิ่งไปประคองพริ้ว
"อาพริ้ว !”
พริ้วค่อยๆฟื้นขึ้นมา เธอตกใจแต่ความทรงจำว่างเปล่า
"ป๊า....ผู้หญิงคนนั้น เราช่วยเขาได้หรือเปล่า"
ลมพัดกรู ดอกไม้แห้งปลิวมา พริ้วและเฟยหันไป ช่อเอื้องที่ยืนอยู่ห่างออกไปมองมาที่พริ้วและเฟย สีหน้าของช่อเอื้องคลายความเกรี้ยวกราดเพราะรู้แล้วว่าพริ้วกับซินแสไม่ได้ประสงค์ร้าย
ช่อเอื้องอ้าปากพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา
"เธอพูดอะไร ฉันไม่ได้ยิน" พริ้วบอก
"วิญญาณผู้หญิงคนนี้ติดวิบากกรรม ยากกว่าจะหาทางสว่าง" เฟยบอก
"แต่ฉันจะช่วยเธอ...ฉันจะหาทางช่วยเธอ" พริ้วยืนยัน
ช่อเอื้องน้ำตารื้นแล้วพยักหน้าขอบคุณพริ้วและซินแส ก่อนที่วิญญาณช่อเอื้องจะค่อยๆจางหายไป
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นรอบหน้าผากของไท แม้จะหลับตาแต่ไทก็ขบกรามเป็นสัน คิ้วขมวดเพราะไม่สงบ ภายในใจของไทมีแต่ความเศร้าหมอง กังวล ในที่สุดก็กระสับกระส่ายจนไม่สามารถนั่งสมาธิได้
"ผมไม่ไหวแล้วครับปู่มั่น"
ปู่มั่นลืมตาจากสมาธิขึ้นมามองไท
"จิตที่ผูกติดกับอดีต ก่อความเศร้าหมอง เมื่อตัดกังวลแต่หนหลังไม่ได้ จิตจะหาความสงบได้ยังไง"
"ผมพยายามแล้ว แต่ทำไม่ได้จริงๆครับ"
"จะออกบวชได้ เอ็งต้องรู้จักลด ละ ให้ได้...เมื่อยังละอดีตไม่ได้ จะอยู่กับปัจจุบันขณะได้ยังไง"
"ไม่รู้...แต่ยังไงผมต้องบวช ผมต้องสร้างกุศลให้..." ไทจะบอกว่าให้ช่อเอื้อง “....เอ่อ ให้ได้"
ไทเห็นสายตาสงสัยของปู่มั่น เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเลี่ยง
"ผมไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะครับ เผื่อจะเย็นกายเย็นใจขึ้นมาบ้าง"
ปู่มั่นพยักหน้าแล้วมองตามไทออกไปพลางนึกสงสัย
"หน้าหมองคล้ำ ไหล่ลู่ เหมือนแบกกรรมหนัก...พ่อหนุ่มเอ๋ย...เคยทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้เป็นอย่างนี้"
ไทล้างหน้าล้างตาเหมือนจะล้างอดีตให้สะอาดแต่ก็ไม่หมดไปจากใจ ไทมองกระจกส่องหน้าก็เห็นว่าตัวเองแต่นึกถึงช่อ
"ช่อ....ที่ฉันบวช ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ฉันจะบวชให้เธอ รอบุญจากฉันนะช่อ อโหสิให้ฉันนะช่อ"
ไทก้มหน้าลงที่อ่างล้างหน้าแล้วล้างหน้า กระจกเงาสะท้อนภาพช่อเอื้องยืนตาวาวด้วยความเกรี้ยวกราด
"ไม่ ! กูไม่เอา กูไม่มีวันให้อภัยมึง"
ช่อเอื้องจะเคลื่อนร่างเข้ามาที่ไท แต่เสียงพระสวดดังขึ้นมา ช่อเอื้องชะงักและร่างจางลงอีก เธอแสบหู ไทเหลียวมองไปทางอุโบสถแล้วรีบเดินกลับไป
อนงค์ที่นั่งดูทีวีอยู่ดีๆ ทีวีก็ติดๆดับๆ อนงค์กดรีโมทเปิดใหม่
"เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย"
อนงค์กดรีโมทอีกที รายการโปรดกลับมาเหมือนเดิม อนงค์ดูทีวีได้สักพัก ลมก็พัดแรง เสียงหน้าต่างปิดปึงปัง ประตูก็โดนลมตี
"ลมแรงอีกแล้ว สงสัยฝนจะตก...อย่าตกเล้ย เจ้าประคู๊ณ ฝนตกทีไรสัญญาณเคเบิลขาดทุกที"
อนงค์เดินไปที่ประตูบ้าน เธอเปิดมุ้งลวดออกไปแล้วจะเปิดประตูใหญ่ อนงค์มองออกไปที่หน้าบ้านก็เห็นช่อเอื้องที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วกำลังจ้องเข้ามา
"นั่นใคร"
ช่อเอื้องแสยะปากแดงๆ
"ไม่ตอบยังจะทำหน้าตาทุเรศ ฉันถามว่าใคร" อนงค์ว่า
ช่อเอื้องแสยะปากกว้างกว่าเดิมแล้วหายวับไปทันที อนงค์ชะงักแล้วตาเหลือกโต อ้าปากค้าง
อนงค์ได้สติก็ร้องกรี๊ดลั่น มือไม้ลุกลน ตัวสั่น แล้วรีบปิดประตูบ้าน
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 22 (ต่อ)
อนงค์ไหว้พระประหลกๆ เธอพนมมือสั่นๆสวดมนต์ไม่เป็นภาษาด้วยความหวาดระแวงว่าผีจะตามเข้ามา
"นะโม...พุทโธ...สังโฆ...นะโมๆ"
มีมือมาสะกิดที่ไหล่อนงค์ อนงค์ร้องกรี๊ดแล้วหลับหูหลับตาสวดผิดๆถูกๆ
"กรี๊ด กลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย อิติปิโส นะโมๆๆๆ"
"แม่ ! ฉันเอง" แพรวบอก
อนงค์เบาเสียงลงก่อนจะค่อยๆลืมตามอง พอเห็นเป็นแพรว อนงค์ก็โล่งอก
"โอ๊ย นังแพรว แกทำฉันหัวใจจะวายตาย"
"ก็ยังไม่เห็นจะตายนี่...แม่เป็นบ้าอะไร"
"ผี....ผีมา"
"ผีที่ไหน แม่ตาฝาดหรือเปล่า"
"ไม่ฝาด ฉันเห็นจริงๆนะนังแพรว ผีผู้หญิง ทาหน้าขาว ปากแดง ใส่ชุดนางละคร มันจ้องแม่อยู่หน้าบ้าน"
แพรวฟังอนงค์บรรยายก็รู้ทันทีว่าเป็นช่อเอื้อง
แพรวพูดเบาๆ "อีช่อ !”
"แม่กลัวนะแพรว แม่กลัว"
"แม่ตาฝาดไปเอง ผีเผอที่ไหน ไม่มีหรอก"
"มีจริงๆ แม่เห็นกับตา แกดู ขนยังลุกไม่หายเลย ผีผู้หญิงจริงๆ"
"เออน่า แม่ไม่ต้องกลัวหรอก มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ อย่าลืมสิ เรามียันต์ดำของพ่อปู่คอยคุ้มครองอยู่ ลองอีผีมันเข้ามา มันได้หงายเงิบ"
แพรวมีสีหน้าเยาะเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ช่อเอื้องจะได้รับ อนงค์สังเกตสีหน้าแพรวก็รู้สึกว่าแพรวต้องรู้ว่ามีผี
"แสดงว่าแกรู้ว่ามีผี แล้วอีผีตัวนี้มันจะเข้ามาในบ้านเราทำไม แกรู้ใช่ไหม"
"ฉันไม่ใช่ผี ฉันจะรู้มั้ย"
"แกต้องรู้ ไม่งั้นแกไม่เตรียมยันต์จากพ่อปู่ไว้แน่ แกไปทำอะไรไว้นังแพรว ทำไมผีถึงมาหาเราที่บ้าน"
"อยากรู้ก็ถามมันเองสิ จุดธูปเชิญมันมาเลยไหม ให้มันมาบีบคอ แต่ถ้ากลัวก็เงียบไปเลยแม่ ไม่ต้องถาม รำคาญ"
แพรวใส่เป็นชุดแล้วเดินออกไปเพราะจะตัดรำคาญและตัดคำถามที่จะเกิดอีกมากมาย อนงค์เหลือบมองรอบตัวด้วยความหวาดกลัว
"ไม่เอานะ ไม่ต้องมา ฉันกลัวแล้ว"
อนงค์เปิดหนังสือสวดมนต์แต่ก็ยังสวดผิดๆถูกๆเพราะลนลานด้วยความกลัว
แพรวเดินเข้ามาในห้องนอนก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดม่านออกแล้วมองไปข้างนอก
"เอาสิอีช่อ...แกลองมา แกได้เจอดีแน่"
บริเวณนอกบ้านมีลมพัดแรง แพรวมองอย่างไม่กลัว ประตูห้องนอนเปิด อนงค์รีบเข้ามา
"มีอะไรอีกล่ะแม่"
"คืนนี้แม่นอนด้วยนะแพรว แม่กลัว"
"ไม่เอา แม่กลับห้องตัวเองไปเลย"
อนงค์ไม่ฟัง เพราะกลัวขึ้นสมองจึงรีบขึ้นเตียงซุกตัวลงในผ้าห่มของแพรว
"ให้แม่นอนด้วยเถอะ เผื่อผีมา แม่กลัว"
"ออกไปน่าแม่...แม่"
แพรวพยายามดึงอนงค์ แต่อนงค์ไม่ยอมออกจากห้อง แพรวรำคาญแต่ก็ยอมปล่อยไป
ปู่มั่นนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธาน
ภาพไทตอนที่พยายามขืนใจช่อเอื้องปรากฏในมโนของปู่มั่น
"เรียกหามันอยู่ได้ รักมันมากนักใช่ไหม!!” ไทว่า
ด้วยความโกรธถึงสุดขีด ไทจึงคว้าผ้าสไบที่คล้องคอช่ออยู่รัดคอช่อ
"ทำไมไม่รักฉัน ทำไมถึงไม่รักฉัน!!”
ไทยิ่งรัดคอช่อแน่นขึ้นไปอีกด้วยความเจ็บใจ
"ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงรักไม่ได้ ฮะ ทำไม!!”
ไทดึงผ้ารัดคอให้แน่นขึ้นด้วยความเจ็บใจ
"ทำไมไม่รักฉัน ทำไม!”
ช่อเอื้องหายใจไม่ออก เธอพยายามดึงมือไทออกจากคอแต่ก็ไม่สำเร็จ
"ทำไม!!”
มือของช่อที่ป่ายไปมาตกลงกับพื้น ช่อเอื้องหยุดดิ้น หยุดร้องรอให้ช่วย ไทชะงักเมื่อเห็นว่าช่อเอื้องตาค้างและหมดลมหายใจไปแล้ว
"ไม่ ไม่จริง ไม่จริง ช่อ ช่อฟื้นสิ ช่อ"
ไทเขย่าร่างช่อเอื้องแต่ช่อเอื้องก็ไม่ฟื้นขึ้นมา
"ช่อ ช่อเราขอโทษ ช่อ" ไทร้องไห้โฮ
ปู่มั่นลืมตาแล้วถอนหายใจอย่างหนัก
"พ่อหนุ่ม...ท่าจะก่อกรรมหนักไว้จริงๆ"
ปู่มั่นเครียดแล้วเหม่อไปข้างหน้า ปู่มั่นได้แต่นึกถึงไทเพราะคิดว่ากรรมหนักไม่รู้จะผ่อนหนักเบาได้แค่ไหน
อีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่คอน จู่ๆ คอของมันก็หักพับแล้วตกลงมาตายสนิท นกกาตัวอื่นตกใจก็บินขึ้น บนแล้วชนกันไปมาจนขนร่วงกราว
พ่อปู่ลืมตาผ่างก่อนจะหันไปมองนกกาที่จู่ๆร่วงลงมาตายกับพื้น
"ไอ้คนถึงฆาต....หมดเวลาของมึงแล้วหรือเนี่ย ?”
พ่อปู่ตาวาวโดยไม่ยี่หระต่อชะตาของไท แต่นึกถึงแพรว คนที่หมายมั่นจะให้สืบทอดวิชามนต์ดำ
"โหงดำ...ไปเตือนอีเลือดชั่ว"
พ่อปู่อ้าปากกว้าง หมอกสีดำลอยออกมาจากปากพ่อปู่แล้วก่อตัวพุ่งออกไปจากตำหนัก
หมอกดำลอยมาแล้วพุ่งไปที่หน้าต่างห้องนอนแพรว อนงค์นอนหลับคุดคู้ แพรวรู้สึกตัว พอหันมา เธอก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่กลัว หมอกดำก่อตัวอยู่ในห้องแล้วกลายเป็นวงใหญ่ขึ้น ร่างพ่อปู่ปรากฏอยู่ในวงล้อมหมอกดำ
"เพื่อนมึง ไม่รอดแน่" พ่อปู่บอก
"ไท ! ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับไท" แพรวถาม
"ชะตามันใกล้ถึงฆาตแล้ว"
"ไหนว่าผีอีช่อทำอะไรไม่ได้ ทำไมมันจะฆ่าไอ้ไทได้ล่ะ"
"กูเตือนเพื่อนมึงแล้ว อย่าริบำเพ็ญบุญให้อีช่อ แรงแค้นยิ่งทำให้มันแกร่งขึ้น อีผีชั่วนั่นมีอิทธิฤทธิ์ถึงขั้นบุกเข้าวัดได้แล้ว แต่มันยังไม่แกร่งพอจะฆ่าไอ้ไทได้ในวัด"
"ไอ้หน้าโง่ไท เตือนแล้วไม่เชื่อ"
"มึงก็ระวังไว้ให้ดี อีเลือดชั่ว"
"ผีอีช่อมันจะเข้าบ้านฉันได้หรือเปล่าล่ะ"
"ยันต์ดำของกูร้ายกาจกว่าพลังอีผีชั่ว ตราบใดที่มึงอยู่ใต้เกราะมนต์ดำของกู อีผีชั่วนั่นก็ทำอะไรมึงไม่ได้"
อนงค์งัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นหมอกดำอยู่กลางห้องก็ตกใจกลัว อนงค์กรี๊ด
"แอ๊....ผี"
แพรวหันขวับมามองไม่พอใจ
พ่อปู่ตวัดสายตา พลังคลื่นจากสายตาพ่อปู่พุ่งใส่อนงค์ อนงค์โดนพลังก็ตาค้าง แล้วหลับร่วงลง ปิดปากเงียบสนิท
"ไม่ตายนะ ? เงียบซะได้ก็ดี รำคาญ" แพรวบอก
พ่อปู่ยิ้มหยันด้วยความสะใจ เขารู้สึกสะใจที่แพรวชั่วสมกับจะเป็นทายาทมนต์ดำ แล้วหมอกดำก็จางหายไป แพรวเครียดแค้นช่อเอื้อง
ช่อเอื้องปรากฎร่างในสภาพใบหน้าขาวซีด แต่ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยแววตาคั่งแค้น มือกำแน่น
"ไอ้ไท กูไม่เอาบุญจากมึง กูจะเอาชีวิตมึง"
ร่างช่อเอื้องเข้มขึ้นเพราะมีพลัง ช่อเอื้องจะเดินเข้าไปในวัด
เสียงปู่มั่นสวด "สัพเพสัตตา...อะเวราโหนตุ"
ช่อเอื้องชะงักเพราะเข้าวัดไม่ได้จึงกรีดร้อง
"ไม่...กูไม่ฟัง"
ปู่มั่นเดินออกมาในสภาพสำรวม สงบ แล้วมองมาที่ช่อเอื้อง
"เลิกแล้วต่อกันเถอะนะหนู"
"มึงเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องของมึง....กูจะฆ่ามึง ไอ้ไท"
ช่อเอื้องจะเข้าวัดแต่เจอพลังบุญสงบนิ่งที่แผ่ออกมาจากพ่อปู่เป็นวงสีขาวจ้า ช่อเอื้องแสบตาจึงถอยออกมา
"ถอยไป อย่าขวางกู"
"ปล่อยวางความแค้นทิ้งไปเถอะหนู วิญญาณจะได้ปลดปล่อยจากโทสะทั้งปวง"
"อย่ามายุ่ง กูจะฆ่าไอ้ไท มันฆ่ากู มันพรากรักจากกู กูจะเอาชีวิตมันคืน"
"เขาสร้างบาปกับเรา ถ้าเราสร้างกับเขาอีกทอดก็เท่ากับต่อเวรต่อกรรมไม่รู้จบสิ้น พอเถอะนะหนู อย่าได้จองเวรกันเลย ปล่อยวางเสีย อย่าสร้างบาปให้ตัวเองอีก หนูจะได้ไปผุดไปเกิด"
"ไม่ ! กรรมของกูเพราะไอ้ไทมันก่อ มันฆ่ากู กูก็จะฆ่ามัน มันต้องชดใช้กรรมของมันด้วยความตาย"
ช่อเอื้องจะพุ่งเข้าวัด ปู่มั่นหลับตาลงแล้วสวดแผ่เมตตาจนเกิดเกราะสีขาวนวลสว่างตามประตูวัด วาบขึ้น ช่อเอื้องเข้าไม่ได้เพราะรู้สึกแสบร้อน ร่างช่อเอื้องซีดจางลง พลังลดลง ช่อเอื้องกรีดร้องก่อนที่ร่างจะจางหายไป
ที่อุโบสถยามสาย ไทอยู่ในชุดขาวก้าวขาออกมาด้วยสีหน้าที่สงบและสำรวมมากขึ้น ปู่มั่นอยู่ที่หน้าอุโบสถมองด้วยความเป็นห่วง
"นั่งสมาธิทั้งคืนเลยหรือ อนุโมทนาด้วยนะ"
"ขอบคุณครับปู่มั่น"
"พรุ่งนี้จะบวช วันนี้อย่าเพิ่งไปไหน เจริญสติแผ่เมตตาอยู่ในวัดนี่แหละ"
"แต่ผมอยากแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรง"
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเตือนกันไว้ คนจะบวชอาจมีมารผจญ พ่อหนุ่มก็อย่าเพิ่งไปไหนเลย"
"แต่ผม...”
ไทอึกอักเพราะอยากจะออกไปขอขมาลาบวชกับช่อเอื้อง แต่ไม่อาจบอกความจริงกับปู่มั่นได้ ปู่มั่นพอจะเดาออกจึงสำทับหนักแน่น
"ถ้าผู้ที่พ่อหนุ่มอยากอุทิศส่วนบุญให้เขามีกุศลจิต เขาก็จะรับรู้ได้ ไม่ช้าก็เร็ว"
ไทนิ่งจนดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 22 (ต่อ)
พริ้วกำลังจะออกจากบ้านแต่ลังเลว่าจะถอดสร้อยหยกคุ้มกันดีหรือไม่
"ถอดหรือไม่ถอดดีนะ ?”
เฟยร้องห้าม "อย่าเชียวนะอาพริ้ว"
พริ้วชะงักมือที่จะถอดสร้อยหยกคุ้มกัน เฟยออกมาจากในบ้านแล้วมองปราม
"ถ้าเกิดวิญญาณผู้หญิงคนนั้นอยากติดต่อฉันอีกล่ะป๊า"
"เค้าจะหาทางเอง แต่ลื้อต้องใส่หยกป้องกันเอาไว้ เพราะมันจะคุ้มครองลื้อจากอำนาจมนต์ดำ"
"อำนาจมนต์ดำ...แต่คนที่ปล่อยไสยดำ มันต้องการทำลายวิญญาณผู้หญิงคนนั้นนี่ป๊า"
"ใช่...แล้วถ้าพวกมันรู้ว่าลื้อติดต่อวิญญาณผู้หญิงคนนั้นได้ มันก็อาจจะทำร้ายลื้อด้วย"
พริ้วรับคำและไม่ถอดสร้อยหยกคุ้มกัน พริ้วทำท่าจะออกจากบ้าน
"อ้าวๆ แล้วนั่นลื้อจะไปไหน"
"ก็ไปทำงานน่ะสิป๊า"
"เลิกทำได้แล้ว วิญญาณผู้หญิงคนนั้นถูกสะกดไว้ที่โรงละคร ถ้าไม่แก้ จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ อั๊วสังหรณ์ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีที่นั่นอีก"
"งั้นฉันต้องรีบเตือนคุณณรา แล้วเราจะได้หาทางช่วยวิญญาณผู้หญิงคนนั้นด้วย"
พริ้วรีบร้อนออกไป เฟยห้ามไม่ทัน เฟยได้แต่ส่ายหัวด้วยความหนักใจว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
"โธ่..อาพริ้ว ที่โรงละครมีลางร้าย..มันกำลังจะมีความตายเกิดขึ้น"
เฟยได้แต่หนักใจ
ไทนั่งสวดมนต์อยู่มุมหนึ่งในวัด ไทลืมตาขึ้นโดยยังไม่สงบเท่าที่ควร
"ช่อเอื้อง ได้บุญจากฉันไหม ฉันขออุทิศส่วนกุศลให้เธอนะช่อ"
เสียงระฆังของวัดดังขึ้น มีเสียงสวดมนต์ดังแว่ว ไทกวาดตามองวัดที่ดูสงบร่มเย็น
"จริงสินะ เธอคงเข้ามารับบุญจากฉันในวัดนี้ไม่ได้ ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอาจจะอุทิศกุศลไม่ถึงเธอ ?”
ไทตัดสินใจมองระฆังวัด มองอุโบสถแล้วก็ลุกขึ้น เสียงระฆังวัดดังเหง่ง
ปู่มั่นวางไม้ตีระฆังลงแล้วมองไปเบื้องหน้า
"ขอให้มีสติกันทุกผู้ทุกนามเทอญ"
ช่อเอื้องเหมือนได้ยินเสียงระฆัง ช่อเอื้องตาลุกวาว
"ถึงทีของกูแล้ว"
ช่อเอื้องยิ้มย่องอย่างร้ายกาจและเคียดแค้น
เฟยนั่งสมาธิในห้องพระพลางนับลูกประคำ
"ชะตานี้แหละ ขอให้ลื้อคิดได้ ไม่อาฆาต ไม่จองเวร ลื้อทำให้วิญญาณตัวเองหมดบาปได้...นังหนูเอ๊ย ลื้อพลิกชะตาได้ อย่าทำบาปอีก"
เฟยสวดต่อไปอย่างลุ้นๆ และกังวล
ณรายิ้มขันเอ็นดูพริ้วโดยไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่พริ้วเล่า
"คุณจะบอกว่า เมื่อคืนคุณติดต่อวิญญาณผู้หญิงได้ แล้วคุณจะพาผมไปพบเธองั้นเหรอ"
"ใช่ วิญญาณผู้หญิงคนนั้นถูกสะกดไว้ที่โรงละคร มีคนไม่ดีร่ายไสยดำไว้ เราต้องไปที่นั่นเพื่อหาทางแก้"
พริ้วดึงณราออกมาจากเก้าอี้ทำงาน
"ไปค่ะ รีบไปเร็ว"
"เอาจริงเหรอเนี่ย คุณพริ้ว"
"เร็วค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ รีบไปก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก"
ณรายอมให้พริ้วดึงออกไป
ไทในชุดขาวก้าวเข้ามาในบริเวณโรงละครเก่า ทันใดนั้นก็มีลมพัดแรง หอบดอกไม้แห้งปลิวเข้ามาเต็มห้อง ไทรู้สึกเสียวสันหลังจึงเหลียวมองรอบตัว
"ช่อเอื้อง....เธออยู่ที่นี่ใช่ไหม"
ประตูโรงละครปิดทีละบาน ปัง ปัง ปัง
ไทตกใจ "ช่อ !”
โคมไฟช่อบนเพดานติดๆดับๆ
"ฉัน...ฉันมาดีนะช่อ"
ไฟทุกดวงดับสนิท ไทสะดุ้ง ทันใดนั้น ไฟบนเวทีก็ส่องสว่างขึ้น บนเวทีปรากฏร่างช่อเอื้องในชุดเล่นละครซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่ช่อเอื้องโดนไทบีบคอตาย ช่อเอื้องหมอบฟุบอยู่บนเวที
"ช่อ !”
ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าขาวซีด ตาแดงก่ำ และจ้องมาที่ไท ช่อเอื้องพูดตามบทละครที่เคยแสดง
"หากกูไม่สมในรัก ! ด้วยเลือดทุกหยด !
ด้วยกายทั้งกาย ! ด้วยใจทั้งใจ"
ไทยืนตะลึงด้วยความหวาดหวั่นแล้วจะขยับถอยหนี
"ช่อเอื้อง ฉันขออุทิศส่วนกุศลให้เธอ"
ช่อเอื้องที่อยู่บนเวทีสะบัดผ้าคล้องแขน ผ้ายาวออกมาเรื่อยๆ
"กูไม่ฟัง กูไม่รับ.....มึงพรากรักจากกู"
ช่อเอื้องกระอักเลือดออกมา ดวงตาของเธอแดงฉานเพราะคั่งแค้น ช่อเอื้องชี้หน้ามาที่ไท
พริ้วและณรามาถึงที่ที่โรงละคร ทั้งสองตกใจที่ประตูโรงละครปิดหมด
"ประตูปิดหมดเลย"
"ลองเปิดดูสิ"
ณราพยายามเปิดประตูแต่เปิดไม่ได้
"คนงานไปไหนหมด ช่าง...ช่าง"
ณราหัวเสียมองหาช่าง พริ้วรู้สึกผิดปกติบางอย่าง หยกคุ้มกันอุ่นขึ้น
"หยกคุ้มกันร้อนขึ้น ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่"
"ถอยออกมาพริ้ว อย่าเข้าไปใกล้"
นายช่างและลูกน้องรีบเข้ามาพอเห็นประตูโรงละครปิดก็ตกใจ
"นายช่าง ใครอยู่ข้างใน ปิดประตูทำไม"
"ยังไม่มีใครเข้าไปเลยครับ พวกเรากำลังทำงานตกแต่งที่ด้านนอกโรงละคร"
เสียงดนตรีประกอบละครที่ช่อเอื้องแสดงดังมาจากด้านในโรงละคร พริ้วและณราผงะ นายช่างและลูกน้องถอยออกห่างจากโรงละคร
"ปะ...เป็นไปไม่ได้" นายช่างบอก
"โรงละครร้าง มีเสียงเพลงในนั้นได้ยังไง" ณราถาม
"เกิดอะไรขึ้นแน่ๆ....คุณ อย่าทำอะไรนะ อย่า คุณ"
พริ้วสื่ออะไรได้บางอย่างจึงทุบประตูโครมๆ ณรามองอย่างไม่เข้าใจ คนงานเหวอเพราะหวาดกลัว
ไทขยับเท้าจะเคลื่อนถอยหลังห่างจากช่อเอื้อง
"ฉันรู้ ฉันผิดไปแล้ว ช่อเอื้อง"
ผ้าของช่อเอื้องเลื้อยยาวมาพันขาไทแล้วตรึงขาไทแน่นจนไทขยับเขยื้อนไม่ได้ ช่อเอื้องเคลื่อนตัว คลานตะปบมือและจิกกรงเล็บลงบนเวทีก่อนจะค่อยๆคืบคลานมาใกล้ไท
"มึงจำไม่ได้เหรอ..... หากกูไม่สมในรัก
ด้วยเลือดทุกหยด ! ด้วยกายทั้งกาย !
ด้วยใจทั้งใจ ! กูจะขอสาปแช่ง"
ไทไปไหนไม่ได้เพราะถูกผ้าช่อเอื้องมัดไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ ไทที่กำลังผวาตัดสินใจพูด
"กรรมใดที่ฉันได้กระทำต่อเธอในอดีต ขอให้เธออโหสิให้ฉันด้วย ช่อเอื้อง"
"ไม่ ! กูจะสาปแช่งมึง มึงพรากชีวิตกู"
"ฉันจะบวชให้เธอ ฉันขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทั้งสิ้นทั้งปวงที่ฉันมี"
ช่อเอื้องร้อง "อ๊ากก"
ช่อเอื้องกรีดร้อง เธออุดหูเพราะไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ช่อเอื้องกระโดดเด้งลอยตัวสูงไปมา อาละวาด กระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะเสียงกรี๊ดของช่อเอื้อง เศษกระจกพุ่งปลิวไปมา เฉี่ยวหน้าไทเลือดซิป
"ฉันรู้ฉันทำเธอเจ็บ"
"ไม่ใช่แค่เจ็บ แต่กูแค้น....กูตาย...มึงทำกูตาย มึงฆ่ากู" ช่อเอื้อง
"ฉันสำนึกผิดแล้วช่อเอื้อง ขอให้เธอได้รับบุญกุศลที่ฉันบวชเพื่อสละทางโลกนี้ด้วยเทอญ" ไทบอก
"ทางโลก ฮะ ฮะ ฮะ งั้นก็สละโลก สละชีวิตมึงด้วย"
ช่อเอื้องเข้ามาใกล้ ไทตกใจและพยายามจะแผ่เมตตา
"ช่อเอื้อง อย่า...อย่าทำ อย่าเพิ่มบาปให้ตัวเองอีกเลย ช่อเอื้อง สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ.....”
ช่อเอื้องสะบัดมือ กระจกแตกเพล้งๆ พุ่งเข้าเสียบไท
ณราและคนงานพยายามจะงัดประตูบานหนึ่งเข้าไป ทุกคนได้ยินเสียงกระจกแตกตกใจ พริ้วทุบประตูโครมๆ
"คุณ....อย่าทำอะไรนะ อย่าสร้างบาปให้วิญญาณตัวเองอีก อย่านะ"
ไทโดนกระจกพุ่งเข้าใส่เลือดอาบร่างจนทรุดลงแต่ยังไม่ตาย ไทกระเถิบหนีไม่ได้มีเลือดท่วมร่างจนชุดนุ่งขาวห่มขาวนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด
"ไอ้คนชั่ว มึงคิดจะบวชลบล้างความชั่วของมึงเหรอ ไอ้ฆาตกร"
"ช่อเอื้อง อโหสิกรรมต่อกันเถอะ ฉันขออโหสิกรรมต่อเธอ ฉันขอให้เธอไปผุดไปเกิด"
"ไม่.....”
ช่อเอื้องเข้าไปบีบคอไทเหมือนที่ไทเคยบีบคอช่อเอื้อง ไทตาเหลือกลานและเริ่มตาลอย เขาพยายามจะแกะมือช่อเอื้องออก ภาพที่เขาเคยทำร้ายช่อเอื้องผุดวาบเข้ามาในหัว
ภาพตอนที่ไทคว้าผ้าสไบที่คล้องคอช่ออยู่รัดคอช่อ
"ทำไมไม่รักฉัน ทำไมถึงไม่รักฉัน!!”
ไทดึงผ้ารัดคอให้แน่นขึ้นด้วยความเจ็บใจ
"ทำไมไม่รักฉัน ทำไม!”
ช่อเอื้องหายใจไม่ออก เธอพยายามดึงมือไทออกจากคอแต่ก็ไม่สำเร็จ
"ทำไม!”
มือของช่อเอื้องที่ป่ายไปมาตกลงกับพื้น เธอหยุดดิ้น หยุดร้องรอให้ช่วย
ไทในปัจจุบันสำนึกได้ เขาจ้องช่อเอื้องเป็นเชิงขอโทษ
"ช่อเอื้อง"
"หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด !
ด้วยกายทั้งกาย ! ด้วยใจทั้งใจ !
กูจะฆ่ามึง มึงต้องชดใช้หนี้กรรมด้วยชีวิตมึง"
"ช่อ....ฉันขอโทษ"
ไทหมดแรง มือของเขาตกลงข้างตัว นัยน์ตาเหลือกลอย ช่อเอื้องบีบคอจนไทตายคามือ
"มึงต้องตาย มึงต้องตาย"
ช่อเอื้องปล่อยมือ ไทแน่นิ่ง ช่อเอื้องวาบกลับไปอยู่บนเวที ช่อเอื้องน้ำตาไหลเป็นสายเลือดบนใบหน้าซีดขาวก่อนจะหัวเราะด้วยความบ้าคลั่ง
"หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด !
ด้วยกายทั้งกาย ! ด้วยใจทั้งใจ !
กูจะขอสาปแช่ง"
ไฟโรงละครที่ส่องอยู่ดับพรึ่บ
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 22 (ต่อ)
ประตูโรงละครเก่าถูกพังเข้ามาได้ พริ้วและณราเดินเข้ามา คนงานยืนอึ้งๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาข้างใน
"คุณอยู่ไหนคะ...คุณ...อย่าทำอะไรลงไปนะ คุณ" พริ้วเรียก
"คุณเรียกใคร"
"ก็วิญญาณผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ"
คนงานทุกคนหวาดผวาจึงผลุบหน้าหนีไปไม่มีใครเข้ามาช่วยณรา พริ้วเดินไปตามที่นั่งของโรงละครเพื่อหาช่อเอื้องแต่ก็ยังไม่เจอ ณราเดินตามมาผ่านความรกและเศษซากหักพังจนทำให้ต้องเดินห่างจากพริ้วไป
"อย่าเดินไปไกลตัวผมสิพริ้ว" ณราบอก
"คุณกลัวหรือไงคะ" พริ้วถาม
"ผมเป็นห่วงคุณต่างหาก มาอยู่ใกล้ๆผมนี่"
พริ้วหันมาสบตาขอบคุณ แต่ก็ยังไม่เดินมาใกล้ณรา
"ฉันต้องหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ ฉันต้องยับยั้งเธอ ก่อนที่อาจจะทำบาปติดตัวอีก"
จู่ๆไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นที่กลางเวที แต่บนนั้นไม่มีอะไร พริ้วกับณราหยุดมองหน้ากัน พริ้วจับหยกป้องกันพบว่าหยกแค่อุ่นๆ ไม่ได้ร้อนจัด
"หยกคุ้มครองอุ่นขึ้น....คุณณราคะ ฉันว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นอยู่แถวๆนี้ เธออาจจะอยากให้เราช่วยอะไร" พริ้วบอก
"ช่วยอะไร ถ้าไม่ออกมาคุยกันจะรู้เรื่องได้ยังไง ผมว่าไม่ดีแล้ว เราค่อยมาใหม่เถอะพริ้ว"
ณราจะไปดึงตัวพริ้วกลับมา
เสียงเพลงดังขึ้นก้องไปทั้งโรงละคร
"อะไรกันเนี่ย"
"มีคนตายที่นี่"
จู่ๆพริ้วก็ครางออกมา มือไม้ของเธอเย็น พริ้วจะหมุนตัวกลับ ทันใดนั้นเธอก็สะดุดอะไรบางอย่าง จนผงะออกมาและร่างกายซวนเซ
"พริ้ว !” ณราตกใจ
"กรี๊ดด !!”
ณรารีบโผเข้าประคองพริ้วได้ทันท่วงที
ไฟสปอร์ตไลท์สว่างพรึ่บส่องมาที่ศพไทในชุดขาวมีเลือดอาบแดงฉาน ตาเหลือกถลน
"เรามาไม่ทัน เรามาไม่ทัน" พริ้วเพ้อ
พริ้วตกใจประหวั่นและเสียใจที่ยับยั้งเหตุไม่ทันจนเป็นลมอยู่ในอ้อมแขนณรา เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของช่อเอื้องดังกึกก้องขึ้นทั่วโรงละคร
"ฮ่ะๆๆๆ"
ณราได้ยินก็ขนลุก แต่เขาก็ไม่สนใจ ณรารีบอุ้มพริ้วออกมา
อีกาจับคอนหน้าตำหนักส่งเสียงร้องระงมเซ็งแซ่ พ่อปู่ลืมตาโพลงหลังจากรู้เรื่องไทตายจากการนั่งทางใน
"มึงทำตัวของมึงเอง สมแล้วที่มึงต้องตาย ไอ้หน้าโง่"
เสียงนกการ้องรับราวกับหัวเราะเยาะการตายของไท
ปู่มั่นนั่งภาวนาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ปู่มั่นค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปเบื้องหน้า ใบไม้สีเขียวยังไม่ทันได้แห้งใบหนึ่งหลุดจากขั้วแล้วร่วงหล่นลงมา ปู่มั่นมองใบไม้ที่ร่วงลงพื้นดินแล้วก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ
"คนเราก็เท่านี้ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกฎของความไม่เที่ยง อนิจจังวัฏสังขารา"
ปู่มั่นมองทอดสายตายาวไกลไปหยุดที่ใบไม้ร่วงลงดิน
บริเวณโรงละครถูกปิดกั้นด้วยริบบิ้นสีเหลืองบอกว่าเป็นเขตอาชญากรรม ตำรวจหลายนายกำลังพิสูจน์หลักฐานและเคลียร์สถานที่
ชาวบ้านและคนงานก่อสร้างจับกลุ่มมุงดูอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ณรากำลังให้ปากคำกับตำรวจสองนายที่สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"ด้านหลังโรงละครเก่าเป็นส่วนที่ปิดตายไว้ครับ ยังไม่ได้เริ่มปรับปรุง เมื่อเช้าก็ไม่มีใครเข้าไป"
"แล้วคุณทราบได้ยังไงว่ามีอะไรอยู่ในนั้น"
ณราไม่รู้จะบอกยังไงเพราะกลัวตำรวจไม่เชื่อเนื่องจากเรื่องแปลกเกินจะอธิบายได้
"ผมบอกไป คุณตำรวจจะเชื่อหรือเปล่า"
"งานสืบสวนไม่ได้อาศัยความเชื่อครับ แต่อาศัยความจริงที่เกิดขึ้น"
"ความจริงก็คือ...แฟนผม...เอ้อ ยังสิ ผมยังไม่ได้บอกรักเธอเลย"
"เรื่องเป็นแฟนยังไม่เป็นแฟน เก็บไว้ก่อนได้ไหมครับ"
"ขอโทษที คือคุณพริ้ว เลขาฯของผม เธอมีสัมผัสพิเศษ เมื่อเช้าเธอบอกว่ามีวิญญาณผู้หญิงที่เคยถูกฆ่าตายแล้วซ่อนศพไว้ด้านหลังโรงละครนี้ วิญญาณผู้หญิงคนนั้นต้องการความช่วยเหลือ เราสองคนก็เลยมาที่นี่"
ตำรวจมองหน้ากันแบบไม่อยากจะเชื่อ
"พวกคุณจะมาหาวิญญาณผู้หญิง แต่พบศพผู้ชายคนนี้แทน" ตำรวจทวนสิ่งที่ได้ยิน
"คุณตำรวจถามคนงานดูก็ได้ เราทุกคนช่วยกันพังประตู พังตั้งนานก็ไม่สำเร็จ ระหว่างนั้นก็มีเสียงโครมครามดังมาจากข้างใน คนงานผมได้ยินเสียงเพลงโบราณ วิ่งกระเจิงไปตั้งหลายคน" ณราบอก
ณรามองไปทางกลุ่มคนงานของตัวเอง ตำรวจมองตาม กลุ่มคนงานยังขวัญหนีดีฝ่อ บางคนหัวลุกหัวตั้งด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นและสยองมาก
"เอาล่ะครับ ผมจะสอบปากคำพยานเพิ่มเติม ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ เราอาจจะต้องขอกั้นพื้นที่โรงละครนี้ไว้ก่อน เพราะเป็นที่เกิดเหตุ" ตำรวจบอก
ตำรวจแยกไป ณราถอนหายใจเพราะไม่เข้าใจที่สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
กรณ์เดินเข้ามา ณรารีบเดินไปหากรณ์
"ผมทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ผมโทรไปที่บ้านคุณพริ้ว ซินแสเล่าให้ฟังหมดแล้ว" กรณ์บอก
"พริ้วฟื้นแล้วใช่ไหมครับ" ณราถาม
"ยังครับ...แต่ซินแสฝากบอกคุณกรณ์ว่าไม่ต้องเป็นห่วง"
"คุณพริ้วเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว ทำให้เธอไม่สบายก็หลายครั้ง ผมไม่อยากให้พริ้วเป็นแบบนี้อีก"
"นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง จู่ๆมีคนถูกฆาตกรรมในโรงละคร"
เสียงชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันด้วยความหวาดกลัวดังมาแว่วๆ
"มีคนตายแล้วจะสร้างโรงแรม บรึ๋ยย ใครจะกล้ามาพัก"
ณราหันไปมองแล้วก็นึกหนักใจเรื่องข่าวลือ
"เรื่องข่าว ผมคงต้องพึ่งฝีมือคุณ ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงสื่อต่างๆ" ณราบอก
"ผมทราบครับ ยิ่งคนพูดกันมาก ยิ่งจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโรงแรมที่จะสร้าง เรื่องนี้ผมจัดการเอง" กรณ์รับปาก
"เฮ้อ แปลกประหลาดมากเลย ถ้าคุณพริ้วไม่มีลางสังหรณ์อะไร ผมกับเธอคงไม่ได้มาที่นี่ และเราอาจจะไม่รู้ว่ามีผู้ชายถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น"
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหามเปลที่มีร่างไทมีผ้าคลุมร่างออกมาผ่านหน้าณราและกรณ์ จังหวะนั้นมีลมพัด ผ้าคลุมร่างเผยอขึ้น กรณ์เห็นหน้าชัดเจนว่าคนที่ตายคือ ไท
กรณ์ตกใจ "ไท !”
ณรามองกรณ์ด้วยความแปลกใจ
"คุณรู้จักคนตายด้วยเหรอ"
"ครับ รู้จักดีทีเดียว"
ภาพในอดีตย้อนกลับมา
กรณ์เตรียมดอกไม้น่ารักๆ มาโดยตั้งใจจะให้ช่อเอื้อง แต่เมื่อถึงที่หน้าโรงละคร กรณ์ก็ได้ยินเสียงช่อเอื้อง
"เราจะซ้อมละคร คงไปคุยอะไรกับไทไม่ได้หรอกนะ"
กรณ์เดินเข้าไปใกล้ ไทกำลังเดินตามช่อเอื้องไปทุกที่ กรณ์อดใจหยุดมองโดยไม่แสดงตัวให้เห็นเพราะอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร
"นะช่อ เราขอคุยเรื่องส่วนตัวนิดเดียว เราอยากจะบอกช่อว่า...”
ไทรวบรวมความกล้า เขาซ่อนดอกกุหลาบสีแดงไว้ข้างหลังตัวโดยที่ช่อเอื้องยังไม่เห็น กรณ์มองจากด้านหลังจึงประมวลได้ว่าไทคงต้องการบอกรักช่อเอื้องถึงได้เตรียมกุหลาบไว้เซอร์ไพรส์
"แต่ช่ออยากบอกไทว่า ช่อไม่มีเวลาคุยจ้ะ"
"ทำไมล่ะช่อ แต่ก่อนช่อเคยมีเวลาให้เรา แต่ตอนนี้ทำไมช่อไม่มีเวลาให้เราเลย"
"ละครจะต้องแสดงเดือนหน้า ไทก็เห็นว่าตารางซ้อมแน่นทุกวัน" ช่อเอื้องบอก
"คิวซ้อมแน่น ! แล้วทำไมช่อถึงมีเวลาให้คุณกรณ์ได้ล่ะ ทำไมช่อไปคุยกับเค้าได้"
"เอ๊ะ ไท ช่อบอกว่าไม่ว่าง แล้วทำไมไทต้องพาลไปถึงคุณกรณ์ด้วย คุณกรณ์ไม่เกี่ยวอะไรเลย"
"ช่อ แต่เราอยากบอกช่อ...”
"ช่อไม่มีเวลามาฟังเรื่องส่วนตัวของไทหรอกนะ"
ช่อเอื้องผละไป ไทยืนอึ้งและเศร้า ไทมองกุหลาบในมือแล้วขยี้ดอกกุหลาบทิ้งด้วยความเจ็บปวด
กรณ์ที่มองอยู่ถอนหายใจ
อ่านต่อตอนที่ 23