เปิดโลกแห่งธรรมะ กับนักแสดงหนุ่ม “บิ๊ก” ทองภูมิ สิริพิพัฒน์ ซึ่งมีดีกรีการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บอกว่าอยู่ใกล้วัดและพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ชีวิตนี้หวังเพียงอย่างเดียว คือละเลิกการเสวยอารมณ์เวทนา ตัดขาดจากความรู้สึกทุกข์ร้อนในเรื่องโลกๆ ทั้งปวง
สำหรับคอละครและภาพยนตร์ ย่อมคุ้นหน้าของ “บิ๊ก” จากบทบาทการแสดงที่หลากหลาย ล่าสุดที่เพิ่งจบไปคือ “บ่วงบาป” ละครย้อนยุค ซึ่งบิ๊กรับบทเป็น “ขุนเกิด” หมอหลวง และกำลังจะมีผลงานเรื่องใหม่ในละคร “เสน่หาสัญญารัก” ของค่ายโพลีพลัส
บิ๊ก คือหนึ่งในดาราไม่กี่คนของบ้านเรา ที่ผ่านการศึกษาและฝึกฝนปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น ตลอดการสนทนา เราจึงสัมผัสได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากล่าวถึง ไม่ใช่แค่เรื่องลอยๆ เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนเนื้อเดียวกับชีวิตของเขา
• “ใฝ่ธรรมะ” เป็นเรื่องปกติในชีวิต
เพราะวิถีคนไทยที่ใกล้ชิดกับวัดและศาสนา เป็นเรื่องธรรมดา นักแสดงหนุ่มแสดงอาการแปลกใจเล็กน้อย เมื่อถูกถามว่า เพราะอะไร จึงสนใจเป็นพิเศษในเรื่องธรรมะ
“จริงๆแล้ว ตัวผมเองเกิดมาก็อยู่ใกล้ศาสนาและธรรมะอยู่แล้วนะครับ เพราะมีวัดอยู่ใกล้บ้าน ผมอยู่ในเมืองพุทธ ออกจากบ้านเลี้ยวซ้ายก็เจอวัด เลี้ยวขวาก็เจอวัด ข้ามถนนไปก็เจอวัด วัดเป็นสถานที่ที่เราเห็นตั้งแต่เด็ก ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไกลตัวเลยครับ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องสนใจธรรมะ
ผมกลับรู้สึกแปลกใจมากกว่า ว่าทำไมมันเป็นเรื่องแปลก ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่คนกลับบอกว่า ทำไมเราถึงสนใจธรรมะ นี่เราอยู่กันคนละประเทศหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่คนกรุงเทพฯ กลับดูเหมือนจะไม่ค่อยมองเห็นวัดกัน ผมก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ในกรุงเทพฯ ขยับไปทางไหนก็เจอวัดเต็มไปหมด
ตอนผมเรียนหนังสือ ทุกวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันแห่เทียนพรรษา เราก็ต้องไปวัดแห่เทียน ผมไม่แน่ใจว่าโรงเรียนสมัยนี้ยังทำแบบนี้อยู่หรือเปล่า แต่ตอนที่ผมเรียนนั้นโรงเรียนมีกิจกรรมแบบนี้ มันก็เลยทำให้เราใกล้ชิดกับวัดตลอด
แล้วโรงเรียนของผมก็ต้องสวดมนต์ทุกเช้าก่อนเข้าเรียน นั่งสมาธิด้วย ผมเองก็เป็นคนที่นำสวดมนต์ ร้องเพลงชาติ และนั่งสมาธิ แผ่เมตตา เพราะฉะนั้น มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเกิดและโตมา ผมก็เจอกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว”
• จาก “สมเด็จพระสังฆราช” ถึง “หลวงพ่อปราโมทย์” “คุรุ” บนเส้นทางสายธรรม
ศิษย์ทุกคนย่อมมีครู บิ๊กก็ไม่ต่างไปจากนั้น ที่ผ่านมา เขาผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนปฏิบัติมาจากพระอาจารย์หลายสำนัก หลากแนวคิดและวิถีปฏิบัติ
“ผมฟังหลายอาจารย์เลยนะครับ อย่างตอนเด็กๆ ผมจะมีโอกาสได้พบกับสมเด็จพระสังฆราช ท่านก็จะสอนเรื่องศีลห้า แล้วก็สอนให้เรากำหนดลมหายใจด้วยคำว่าพุทโธ
ช่วง ม.หนึ่ง ถึง ม.สาม ผมเรียนโรงเรียนวัดบวร มันก็เลยเป็นเรื่องปกติเข้าไปใหญ่ที่ทำให้ได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา และตอนนั้นผมก็จะเริ่มได้ฟังคำสอนของสมเด็จพระสังฆราช พระเทพโมลี เจ้าคณะต่างๆ ที่อยู่ในวัดบวรนิเวศ
พอโตขึ้นมา เราก็ได้ฟังหลากหลายขึ้น คือถ้าฟังแบบเล่าเรื่องราว ผมจะฟังท่านหลวงปู่บุญฤทธิ์ (หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ที่พักสงฆ์สวนทิพย์) หากอยากฟังเกี่ยวกับเรื่องโลกๆ หมายถึง สมมติว่าผมไปเจอปัญหาง่ายๆ แต่เราเหนื่อยเราท้อ ก็จะฟังหลวงปู่ชา (หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ถ้าว่างเลย คือวันนี้ทั้งวันโล่งเลย จะฟังหลวงพ่อปราโมทย์ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม) แต่ถ้าอ่านหนังสือ ก็จะอ่านของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ (วัดชลประทานรังสฤษฎ์) ถ้าสวดมนต์ตอนกลางวัน ผมก็สวดตามบทสวดของหลวงพ่อจรัญ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน)”
• ตามจิต ดูใจ กิเลสตัวไหน.. ก็รู้ทัน
ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็น “อกาลิโก” อยู่เหนือกาลเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเมื่อทุกโอกาส เหมือนอย่างที่นักแสดงหนุ่มบอกว่า ธรรมะนั้นแท้จริงแล้วสามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเฉพาะอยู่ในวัดเท่านั้น
“เมื่อก่อน ผมก็เคยไปปฏิบัติที่วัดชลประทานฯ เหตุผลก็คือใกล้บ้าน แต่หลังๆมานี้ ผมไม่ค่อยไปแล้ว เหตุผลก็เพราะรู้สึกว่า ทุกอย่างก็ไม่พ้นการเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ ซึ่งจริงๆแล้ว ผมก็ปฏิบัติที่บ้านอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ผมว่าสถานที่มันไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่หรอก ว่าเราจะต้องไปวัดหรือไม่ไป เพราะบางที คนอยู่วัด แต่ใจอยู่ข้างนอกก็มี ทั้งที่ตามจริงแล้ว เราสามารถรู้ “ใจ” ของตัวเองได้ตลอดเวลาและทุกวัน”
สิ่งหนึ่งซึ่งนักแสดงหนุ่มผู้นี้ฝึกฝนมาโดยตลอดบนวิถีแห่งการปฏิบัติธรรม ก็คือการตามฝึกจิต อันเป็นวิธีการสำคัญของเส้นทางสายวิปัสสนา บิ๊กกล่าวถึงอานิสงส์แห่งการตามดูและรู้ทันจิตว่า
“ส่วนหนึ่งมันทำให้เราทำความผิดน้อยลงครับ เราถือศีลได้แน่นขึ้น อย่างเช่น บางขณะ ใจเราแว้บไปหาแฟนเพื่อน เรารู้ทันปุ๊บ กิเลสตัวนั้นถูกตัด ยังไม่ทันได้ทำสิ่งที่ผิดศีลเลย ดังนั้น การดูใจตัวเอง อย่างหนึ่งก็เป็นการป้องกันการทำความผิด มันตัดที่ต้นตอ ถ้าเราอยากจะฆ่าสัตว์ แต่เรารู้ทันกิเลส รู้ทันความโกรธ เราก็ไม่ฆ่าแล้ว
แต่ก็ใช่ว่าผมเองจะทำได้ทุกอย่างนะครับ เพราะแม้แต่การปฏิบัติธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง อย่างวันนี้เราปฏิบัติดี แต่อีกวันหนึ่ง เราอาจจะเป็นเหมือนคนที่ปฏิบัติธรรมไม่เป็นเลยก็ได้ หรืออยู่ดีๆ วันหนึ่งก็กลายเป็นคนที่โมโหรุนแรงโดยไม่มีเหตุผล
ผมว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือธรรมะโดยแท้จริง เพราะมันแสดงธรรมชาติให้เราเห็น คือความไม่เที่ยง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรหนีพ้นไปจากกฎแห่งไตรลักษณ์ได้ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ใจเรามันก็เหมือนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่กะพริบไปกะพริบมาด้วยความเร็วสูง ใจเราสามารถไปถึงเชียงใหม่ได้โดยที่เราไม่ต้องไป หรือไม่ก็แว้บไปแว้บมา แต่ถ้าเรารู้ทันใจของเราเอง เราก็จะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นสักเท่าไหร่ ต่อให้ยินร้าย มันก็จะทอนลงครึ่งหนึ่ง มันก็คงจะดีกว่าการที่ไม่ฝึกจิตเลย”
• จิตสัมผัสเล็กๆที่เกิดขึ้นๆ
ผู้ที่ฝึกฝนปฏิบัติธรรม มักจะได้สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจจะรู้ได้เฉพาะตัว มากน้อยต่างกันไป บิ๊กเองก็ไม่ต่างไปจากนั้น
“ทุกวันนี้ผมก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเองหรอกนะ ผมไม่อยากพูดเท่าไหร่ และผมก็ไม่เคยเห็นอะไรจริงๆจังๆ แต่ผมก็เคยคุยเรื่องพวกนี้กับคนที่ปฏิบัติเยอะๆ เขาจะเล่าให้ฟัง ก็เลยพอเข้าใจอยู่บ้าง ทุกวันนี้มันจึงเหมือนกับว่า ผมกำลังสร้างฟีลด์ของตัวเอง เพื่อจูนคลื่นให้มันตรงกับภพภูมิอื่น คลื่นวิทยุก็จะมีหลายแบบ ไม่เหมือนกัน หน้าที่ของวิทยุก็คือจูนคลื่นตรงเพื่อที่จะรับสารเกี่ยวกับโลกอื่นได้ แต่วิทยุของผมยังไม่แข็งแรง คือ สามารถจับสัมผัสได้เล็กๆ แค่ว่า ผมอึดอัดจังเลย แค่นั้นเอง
สิ่งที่ผมเคยเห็นด้วยตาเปล่า ที่หนักสุดเลยนะ ก็เป็นกลุ่มควันสีขาว ขวางอยู่ข้างหน้าผม ผมเดินชน แล้วก็วูบๆไป มันเหมือนมีพลังงานบางอย่าง ที่เหลือก็จะเป็นพวกเสียง ควัน เป็นเรื่องปกติ
ถามว่ากลัวไหม ก็กลัวครับ ผมเป็นคนขี้กลัว แต่ทุกวันนี้ ผมก็กึ่งกลัวกึ่งไม่กลัวนะ อย่างผมดูรูปผี ผมก็จะไม่ค่อยกลัว ทั้งที่แต่ก่อนกลัวมาก ก็จะรู้สึกว่า เขาก็อยู่ของเขา แต่ก่อนเวลาผมสวดมนต์ แผ่เมตตา มีบทที่พูดถึงเปรต ผมจะกลัวมาก ขนลุกซู่เลย พอสวดไปเรื่อยๆ ความกลัวก็น้อยลง
พอเราสวดมนต์เยอะขึ้น ปฏิบัติเยอะขึ้น ความรักกายใจเราจะน้อยลง เราก็จะรู้ว่า กูก็เหมือนมึงแหละ ไอ้ห่าผี (หัวเราะ) เดี๋ยวกูก็เป็นแบบมึง กูกลัวร่างที่เน่า เอ๊ะ.. กูก็เน่านี่หว่า ก็เลยรู้สึกว่า เออ.. กูกลัวตัวเองอยู่หรือเปล่าวะ (หัวเราะ) มันก็เกิดดวงตาเห็นธรรมเล็กๆ แล้วก็กลัวน้อยลง เพราะรู้สึกว่าไม่มีมีเขาไม่มีเราแล้ว และเรากับเขาก็เหมือนๆกัน”
• “ธรรมะ” ไม่ต้องนำมาใช้ เพราะมันอยู่ในวิถีชีวิต
หลายคนอาจจะรู้สึกว่า เมื่อได้เรียนรู้ศึกษาธรรมะแล้ว จะต้องนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งนั่นก็อาจจะถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่สำหรับบิ๊กกลับเห็นว่า ทุกขณะของชีวิตนั้นอยู่กับธรรมะแล้ว
“การปฏิบัติธรรม หลายคนคิดว่าต้องนำไปใช้ แต่ถ้าถามผม คุณไม่เห็นต้องนำไปใช้เลย เพราะว่า ต่อให้ไปตีแบดฯ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแบบหนึ่ง เรากินข้าวยังเป็นธรรมะเลยครับ เพราะทุกอย่างมันคือธรรมะ มันไม่ต้องเอาไปใช้ แต่ว่ามันคือสิ่งที่เราเรียนรู้
ธรรมะคือทุกอย่างบนโลก ธรรมะสามารถอธิบายได้หมด สมมติว่ามีเหตุการณ์หนึ่ง พ่อขับรถไป น้ำมันหมด พ่อโมโหก็ตีแม่ เหตุการณ์เท่านี้ ถามว่าเป็นธรรมะหรือเปล่า เป็นครับ เราก็มาตรองดูว่า ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเติมน้ำมันไว้ก่อน ซึ่งถามว่าพ่อตีแม่แล้ว รถจะวิ่งได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ พ่อก็ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว
คำถามก็คือ พ่อโมโหเพราะไม่อยากให้น้ำมันหมดใช่มั้ย พ่อก็จะตอบว่าใช่ แต่ความเป็นจริง ณ ปัจจุบันก็คือ น้ำมันมันหมดแล้ว จะมาบอกไม่ให้มันหมด ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรจะต้องทำก็คือไปเติม จะเข็นรถไปหรืออะไรก็ได้
ถ้าคนเรามีสติ เรื่องเลวร้ายมันก็จะไม่เกิดขึ้น หรือว่าก่อนที่พ่อจะตีแม่ แต่พ่อรู้ทันปั๊บ ความโมโหหายไป สติเกิด พอสติเกิด เราพิจารณาปัญหา มันก็จะทำให้เรารู้ว่า จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร พอมันเกิดความทุกข์แล้ว เราก็หาต้นเหตุแห่งทุกข์หรือต้นเหตุแห่งปัญหา เช่น มันเกิดจากการที่เราไม่ได้เติมน้ำมัน เราก็ไปเติม ก็แค่นั้นเอง
ทุกอย่างมันมีเหตุผลหมดครับ ถ้าเราเข้าใจมันแล้ว เราจะไม่ทุกข์เลย แต่จริงๆแล้ว ผมทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า ก็ไม่นะครับ ทุกคนก็จะมีความทุกข์ประจำกายเสมอๆ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็จะมีความทุกข์ประกบคู่ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ปัญหาของคนเข็นผักก็อาจจะมีว่า วันนี้จะเข็นทันหรือเปล่า ได้เงินกี่บาทไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่คนที่ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าของกิจการ ก็มีความทุกข์ที่มาก เพราะต้องรับผิดชอบ โลกมันเสมอภาคอยู่แล้ว มันสมดุลอยู่แล้ว”
• ปลูกพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
คนเราก่อกรรมอะไรไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ไม่เร็วก็ช้า สุดแต่ว่าจะมาถึงตอนไหน นักแสดงหนุ่มมีความเชื่อเช่นนั้น และขณะปัจจุบัน เท่าที่ทำได้ เขาก็กำลังหว่านพืชบางชนิดลงบนผืนดินแห่งจิตใจ และเชื่อว่ามันจะเติบโตงอกงามต่อไปในกาลอนาคต
“ปลูกต้นอะไรได้ต้นนั้น มันก็เหมือนผลกรรมน่ะครับ ที่เวลาเราทำอะไรไว้ ก็จะได้ผลอย่างนั้น ถ้าหลายคนบอกว่า สวดมนต์แล้วจิตเราจะมีพลังมากขึ้น ส่วนตัวผมก็คงกำลังพยายามสร้างเหตุครับ มันก็คือสิ่งที่ผมอยากได้ และไม่มากมายอะไร ผมขอแค่ไม่ทุกข์พอ สิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่ก็คือการดูกายดูใจไปวันๆ แค่นั้นเอง ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องสร้างเหตุที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย
ส่วนถ้าถามผมว่า ผมปลูกอะไรของตัวเองบ้าง เรื่องงานการ ผมก็ซุ่มซ้อมร่างกายให้แข็งแรง พร้อมที่จะทำงานในทุกๆวัน ฝึกฝนร่างกายให้ดี เพราะว่าเมื่อฝึกฝนไป ก็เหมือนลงทุนเอาไว้ พอถึงเวลาร่างกายก็แข็งแรง สามารถต่อสู้กับงานที่หนักหน่วงได้ ส่วนกำลังใจเราก็ฝึกใจ เพื่อก้าวต่อไปหรือรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิต
ไม่ต้องอะไรมากมายครับ ยกตัวอย่างเวลาที่เราต้องไปงานที่มีคนเยอะๆ เราต้องรับพลังงานเยอะแยะมากมาย ตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพอผมไปงานแบบนั้นแล้วกลับบ้าน ผมเหนื่อย ผมเพลีย ผมปวดหัว ทั้งที่เราก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย
แต่จริงๆแล้วมันมีพลังงานอยู่ครับ มันคือพลังงานทางใจที่เราต้องฝึกฝน เพื่อที่จะเลือกเสวยหรือไม่เสวยพลังงานเหล่านั้น เช่น มีคนโวยวายทะเลาะกัน ถ้าเราเสวยเหตุการณ์เหล่านั้น เราจะเครียดไปด้วย แต่ถ้าไม่เสวย เราก็จะไม่เป็น แต่ถามว่าผมทำได้มั้ย ผมทำไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าทำได้จริง ผมคงเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว แต่ก็พยายามจะทำให้ได้
ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องปริยัติเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ได้จากหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านก็บอกว่า เวลามีเหตุการณ์ต่างๆมากระทบจิตใจเรา การเสวยอารมณ์ก็คือการเสวยเวทนา เช่น นั่งอยู่นานๆแล้วเรารู้สึกปวดเมื่อย มันก็คือเวทนาทางกาย ถ้าเรายิ่งลงไปเสวยเวทนา คือคิดว่ามันปวดจังเลย มันก็จะยิ่งปวดมากขึ้น แต่ถ้าเราอยู่ในสภาพจิตใจที่นิ่งๆ คือปวดแล้วก็เห็นว่ามันปวด เดี๋ยวเวทนามันก็หายของมันไปเอง”
• เป้าหมายบิ๊กๆ ของหนุ่มบิ๊ก
ทุกชีวิตย่อมมีเป้าหมาย นักแสดงหนุ่มก็มีปลายทางเป็นของตัวเอง เขาบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยอยากจะเป็นคนร่ำรวย
“เป้าหมายของผมจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆครับ ตอนเด็กผมอยากเป็นคนรวยมากๆ ตามจริงทุกคนก็อยากเป็นคนรวยกันทั้งนั้นแหละ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปนอนที่วัดแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ แล้วก็มีคนหลากหลายแบบมาปรึกษาปัญหาหลวงพ่อ ผมก็ได้นั่งฟังด้วย
มันทำให้เรารู้ว่า ทุกคนมีความทุกข์หนักหนาสาหัสต่างๆกันไป ผมเลยได้สติขึ้นมาว่า คนคนนั้นรวยมากเลย แต่เงินไม่สะอาด คนนี้เรียนเก่ง แต่ไม่มีความสุข ที่เราอยากเป็นคนรวย แต่เราก็ลืมคิดไปว่าหน้าที่ของคนรวย ต้องทำอะไรบ้าง งานโคตรหนัก นอนวันละกี่ชั่วโมง แบกภาระปัญหาที่น่าปวดหัวมากมาย
ตอนนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่า สิ่งที่ผมอยากเป็น คือ ผมไม่อยากเอาอะไรน่ะครับ ผมไม่อยากมีเงิน เพราะผมรู้สึกว่า ผมยิ่งมี ผมก็ยิ่งทุกข์ ผมมีรถแพง แต่พอมีคนขับมาเฉี่ยว เครียดเลย ซึ่งถ้าตัดปัญหาด้วยการไม่มีตั้งแต่แรก เราก็ไม่ทุกข์นะ แต่ว่าตอนนี้คือ ผมก็ยังตัดทางโลกไม่ได้ เป้าหมายก็คงเป็นว่า อยากฉลาดขึ้นกว่านี้ ฉลาดโดยที่ไม่ทุกข์กับเรื่องพวกนี้
สุดท้าย มันก็เป็นเรื่องของอารมณ์นั่นล่ะครับ เราไม่อยากเสวยมันอีกต่อไป มันยากนะครับ ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือรู้กายรู้ใจ รู้ปัจจุบันครับ”
• ธรรมชาติ-ธรรมะ-สมุนไพร
บิ๊กเคยรับบทบาทเป็นหมอสมุนไพรในละครเรื่อง “บ่วงบาป” เราจึงอยากรู้ว่า ในมุมมองคนรุ่นใหม่ มองเรื่องสมุนไพรนี้อย่างไร และเชื่อหรือไม่ว่า สมุนไพรรักษาโรคได้จริง
“ผมว่าได้ผล และทุกอย่างก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติทั้งนั้น ถ้าถามผมว่า ยาทุกวันนี้ สกัดมาจากไหน ก็มาจากธรรมชาติ สมมติว่า เราเจอพืชชนิดหนึ่ง แล้วบังเอิญในพืชชนิดนี้มีธาตุที่ชื่อว่า “เอส” แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็วิจัยว่า ในพืชชนิดนี้มีธาตุที่ชื่อว่าเอสอยู่ และสามารถรักษาโรคได้ เขาก็ไปสกัดเอาธาตุเอสจากพืชนั้นมา แล้วก็เอาเฉพาะธาตุเอสไปใส่ในแคปซูล หรือในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้มันเก็บไว้ได้นานขึ้น แล้วมันก็กลายเป็นยาปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น จริงๆแล้วถ้าเราแยกธาตุดู มันก็คืออันเดียวกัน มันเพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น คำตอบก็คือมันรักษาได้จริง เวลาเราร้อนในเราก็กินฟ้าทะลายโจร มันก็หาย มีค่าเท่ากับยาปัจจุบัน เพียงแต่บางทีมันถูกนำไปสกัดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 153 กันยายน 2556 โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา)