เรือนริษยา ตอนที่ 3
ภายในห้องพักของโรงพยาบาล ธีร์ตกใจ
"ทำไมต้าไม่ห้ามนันไว้!"
แฟนต้ากำลังปอกแอปเปิ้ลอยู่
"เอ้า!จะไปห้ามได้ไง นันมันจะกลับบ้าน"
"กลับได้ไง นันยังไม่หายดี แล้วกลับไปก็ไม่รู้จะเจอกับอะไรมั่ง ตอนนี้นันเหลือตัวคนเดียวแล้วนะต้า ในบ้านนั้นมีแต่พวกแม่เลี้ยง"
"นั่นแหละมั้ง ที่นันมันอยากจะเจอ"
แฟนต้าพูดพลางกดมีดหั่นชิ้นแอปเปิ้ล เธอรู้ดีว่า เพื่อนกำลังจะท้าชนกับพวกแม่เลี้ยง
"เป็นเล่นน่าต้า!"
"โฮ้...ไม่เอาน่าพี่ธีร์จ๋า พี่ก็รู้ คนอย่างยัยนัน ถ้าลองจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ หน้าไหนก็ไม่มีทางไปห้ามมันได้หรอก"
ธีร์ถอนใจ...สีหน้าแววตาห่วงนันทนัชเหลือเกิน
"แต่ถ้าพี่อยู่ใกล้ๆ นันจะอาจจะฟังพี่บ้าง"
แฟนต้าฟังแล้วปวดใจแปลบ แต่ก็ยิ้มสู้ เดินมายัดแอปเปิ้ลเข้าปาก
"อ่ะ! งั้นก็กินซะ จะได้แข็งแรง หายเร็วๆ กลับไปอยู่ใกล้ๆนันมัน ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเค้าดูแลไปก่อน เค้าตามไปเป็นบอดี้การ์ดมันถึงบ้าน แล้วยังมีผู้พันกฤตอะไรนั่น ทำหน้าที่เป็นคนขับรถไปส่งถึงบ้านให้อีกน้า"
ธีร์ถึงกับเกือบสำลักแอปเปิ้ลที่เคี้ยวฉ่ำอยู่ในปาก
"อะไรนะ ไอ้หมอนั่นยังไม่ไปอีกเหรอ มาป้วนเปี้ยนอะไรอยู่กับนัน"
แฟนต้าช่วยลูบหลังธีร์ ขำๆ
"ถึงกับสำลักเลยเหรอพี่ธีร์ อย่าบอกนะว่าหึงเค้า"
ภายในห้องโถงใหญ่ ในเรือนรัตนะ นันทนัชฉะฤทัยอย่างไม่ไว้หน้า
"พ่อฉันเพิ่งตายไปแท้ๆ ก็เร่งแบ่งสมบัติกันแล้ว ไอ้ที่เสวยสุขอยู่ในบ้านหลังนี้ ยังไม่พอกันอีกเหรอห่ะ"
"หยุดกล่าวหาน้าเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างงั้นน้าจะฟ้องหมิ่นประมาทนัน"
กฤตพนธ์ สมุทรชัย ไกรภัทรต่างพากันยืนกลุ้ม ใบ้รับประทาน
"อยากทำไรก็ทำ! อย่ามาขู่ ฉันไม่กลัวคนที่ดีแต่จับผู้ชายรวยๆหาเลี้ยงครอบครัวหรอก"
"ว้าย...ทำไมถึงหยาบคายอย่างงี้นะ!"
ฤทัยพยายามสร้างภาพของแม่เลี้ยงที่ดีรับมือกับนันทนัช ผิดกับกนกกรที่ก้าวปรี่มายืนขวางหน้าแม่ แล้วชี้นิ้วจิ้มอกนันทนัชก่อนเถียงแทน
"ถ้าผู้ชายรวยๆที่หล่อนว่าอยากน่าโง่ให้แม่ฉันจับเอง ก็ช่วยไม่ได้!"
นันทนัชปัดมือกนกกรออก
"พ่อฉันไม่ได้โง่! แค่หลงผิดเลี้ยงพวกปลิงดูดเลือดเอาไว้ ไม่คิดว่ามันจะตะกละตะกลามดูดเลือดพ่อฉันจนตายแบบนี้ เนรคุณ"
"ทนไม่ไหวแล้วโว้ย ขอกระทืบปากนังนี่ที!"
รณฤทธิ์กำหมัดเลือดขึ้นตรงเข้าหานันทนัช เธอไม่ถอยหนีแถมเชิดหน้ามองสู้ ทำเอาสมุทรชัย ไกรภัทรตกใจร้องห้ามกันเสียงหลง ตำรวจที่มองดูอยู่ห่างๆก็รีบเข้ามาจะห้าม
"เฮ้ยๆ...คุณรณอย่า" สมุทรชัยว่า
"ใจเย็นๆครับคุณรณ!" ไกรภัทรบอก
แต่กฤตพนธ์คว้าตัวรณฤทธิ์ดึงไว้ทัน
"คุณทำร้ายคุณนันไม่ได้นะครับ ตำรวจจับคุณแน่"
"ไม่ต้องเอาตำรวจมาขู่ ไม่กลัวหรอกเว้ย แกมาด่าแม่ฉัน ฉันจะตบให้ดิ้นเลย ปล่อยซีเว้ย...บอกให้ปล่อย"
รณฤทธิ์ฉุน...ดิ้นพลางเหวี่ยงหมัดต่อยไปที่หน้ากฤตพนธ์ แต่เค้าเบี่ยงหน้าหลบทันได้หวุดหวิด ท่ามกลางความตกใจของทุกคน รวมทั้งนันทนัช
"ว้าย...ตายแล้ว"
กฤตพนธ์อาศัยฝีมือที่คล่องตัวจับแขนรณฤทธิ์ล็อกไว้
"อ๊าก"
รณฤทธิ์เจ็บร้องลั่น สงบลงทันที แต่กนกกรกรี๊ดแตก
"อ๊ายคุณกฤต...มาทำน้องกิ๊บทำไม คุณเห็นนังนันดีกว่าพวกเราหรือคะ"
"คุณกฤตทำถูกแล้วนะครับ ถ้าคุณกฤตไม่หยุดคุณรณ มีหวังคุณรณเจอตำรวจซิวเอานะครับ" ไกรภัทรบอก
รณฤทธิ์ ฤทัย กนกกรหันไปมองที่ตำรวจ ท่าทางของทั้ง 2เอาจริง ฤทัยเลยรีบตัดบท
"โอ๊ย...มันอะไรกันเนี่ยะ..ฉันจะบ้าตาย ไปๆ รณ กิ๊บลูก 2 คนออกไปก่อน ไปซี!"
กนกกรมองหน้ากฤตพนธ์อย่างน้อยใจ คว้าแขนน้องชายพาเดินออกไป รณฤทธิ์ยังหันมามองหน้านันทนัชอย่างผูกใจเจ็บ
เธอเองก็แอบโล่งอก มองไปสบตาเขากะจะขอบคุณ แต่เขากลับตาขุ่นใส่
ภายในห้องนั่งเล่น กนกกรทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาใหญ่
"ฉันเกลียดมัน...เกลี๊ยด"
เธอคว้าหมอนอิงเขวี้ยงทิ้งเพื่อระบายอารมณ์ รณฤทธิ์กำหมัดต่อยลงที่พนักโซฟา
"แต่ฉันแค้นนายกฤตของพี่! ไหนคุยนักคุยหนาว่าเค้าเป็นแฟนพี่ ทำไมเสือกไปช่วยนังนั่นวะ เห็นไม๊ว่าเมื่อกี้เค้าเกือบจะหักแขนฉัน"
"ทำไมฉันจะไม่เห็น ฉันไม่ได้ตาบอด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณกฤต ทำไมอยู่ๆเข้าถึงเข้าไปยุ่งกับเรื่องของนังนั่น บ้าที่สุด"
"หึ แบบนี้ชัดเลย! นังนันมันกำลังจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเรา ทั้งมรดก ทั้งบ้านหลังนี้ แล้วก็แย่งผู้ชายของพี่ไปกกด้วย"
"อย่ามาแช่งฉันนะ"
"เอาเซ่ ไม่เชื่อพี่ก็คอยดูต่อไป ว่ามันจะทำจริงไม๊"
กนกกรร้องไห้ออกมาอย่างแค้น
"ทำไมไอ้โม่งมันถึงไม่ฆ่านังนันให้ตายไปเลย ปล่อยให้มันรอดมาเป็นมารชีวิตฉันทำไม! รณ...รณต้องช่วยพี่นะ อย่ายอมให้มันแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเราได้นะ อย่ายอมมัน"
กนกกรหันมาจับแขนรณฤทธิ์เขย่า
"เออน่า! จะร้องไห้ทำไม ฉันอยู่พี่ไม่ต้องกลัวหรอก มันจะไม่ได้อะไรไปเลย" รณฤทธิ์ต่อยอกตัวเองบอก "คุณชายรณฤทธิ์จะจัดการกับมันเอง หึๆๆ คอยดู มันจะต้องกระเด็นออกจากบ้านหลังนี้ ตามนังทิพย์อีกคน"
นอกประตูรั้วเรือนรัตนะ ทิพย์เดินมาเกาะรั้วมองผ่านซี่รั้ว สีหน้าอมทุกข์ เจ็บช้ำ เธอนึกย้อนไปถึงวันที่ชะตากรรมชักพาเธอมาสู่เรือนรัตนะ
ราว20ปีก่อน ทิพย์ในชุดเสื้อผ้าแบบสาวชาวบ้านแสนธรรมดา ไม่มีเครื่องประดับใดๆรีบเดินหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเก่าๆวิ่งกระหืดกระหอบมาตามทาง เหมือนกำลังหนีใคร ทิพย์วิ่งพลางเหลียวไปมองหลังว่า มีใครตามมาไม๊ อยู่ๆพ่อเลี้ยงก็โผล่มาจากดงไม้ข้างหน้า
"จะไปไหนเหรอลูก"
"พ่อ!"
ทิพย์หันจะวิ่งหนีกลับ แต่พ่อเลี้ยงคว้าแขนเอาไว้ได้
"จะทิ้งพ่อไปไหน"
"ปล่อยทิพย์นะพ่อ ปล่อย!"
"ฉันไม่ปล่อยแกไปไหนทั้งนั้น เสียแรงที่ฉันรัก เลี้ยงมาจนโตเป็นสาว ทำไมไม่เห็นใจฉันบ้างห่ะ"
พ่อเลี้ยงพูดพลางดึงทิพย์มากอด
"ทิพย์กลัวแล้วพ่อ อย่าทำอะไรทิพย์เลย ปล่อยทิพย์ไปเถอะ ช่วยด้วย"
"แหกปากร้องทำไม นี่แน่ะ"
พ่อเลี้ยงตบเต็มแรง ทิพย์เซล้มลง มึน
"ลุกขึ้นมาอีเนรคุณ! กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น มึงต้องเป็นเมียกู ทดแทนข้าวแดงแกงร้อนที่กูเลี้ยงมึงมา"
พ่อเลี้ยงตบทิพย์อีก 2ครั้ง จนทิพย์มึน แล้วหัวเราะอย่างหื่น ดึงทิพย์ขึ้น โอบเอวพาลากเข้าป่าข้างทางไป ทิพย์ร้องอ้อนวอนอย่างอ่อนแรง
"พ่อ...ฉันไหว้ล่ะพ่อ อย่าทำอะไรฉันเลย ช่วยด้วย"
ลิตรขับรถผ่านมาเห็น จอดรถ รีบลงจากรถ ตามไปที่ป่าข้างทางเห็นพ่อเลี้ยงกำลังปล้ำ
ฉีกเสื้อทิพย์ จะข่มขืน เธอขัดขืนป้องกันตัว ลิตรเข้าไปกระชากไหล่ ต่อยเข้าเต็มหน้า จนพ่อเลี้ยงล้มลง
"มึงมาเสือกอะไรด้วยวะไอ้ลิตร ไอ้แมงดา เกาะผู้หญิงกิน"
พ่อเลี้ยงด่าอย่างรู้จักลิตรดีมาก่อน เลยถูกลิตรกระชากคอขึ้นมาต่อยอีกหมัด พ่อเลี้ยงคว้าไม้ที่ควานเจอใกล้มือลุกขึ้นมาตี แต่ลิตรผงะถอยหลบ พ่อเลี้ยงเหวี่ยงไม้ตีอีก 2 ครั้ง ลิตรหลบได้ ใช้เท้าถีบจนพ่อเลี้ยงเซ ลิตรถีบซ้ำ ตามอัดพ่อเลี้ยงกับต้นไม้ เข้าล็อกแขน แย่งไม้มาได้
"ถ้าแกยังมายุ่งกับทิพย์อีก ฉันจะฆ่าแก!"
ลิตรเงื้อไม้ฟาดไปที่ท้ายทอยพ่อเลี้ยงเต็มแรง พ่อเลี้ยงกระตุก สลบ ล้มลง เขาเหวี่ยงไม้ทิ้ง หันไปหาทิพย์ที่นอนจุกอยู่
"ทิพย์ เป็นยังไงบ้าง"
ลิตรประคองทิพย์ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นให้ลุกขึ้น
"ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่ให้ไอ้พ่อเลี้ยงมาทำอะไรทิพย์ได้อีก ไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลทิพย์เอง"
ทิพย์ตะลึงงัน ผละจากอกมามองหน้าลิตร แทบไม่เชื่อหู
ลิตรประคองทิพย์มาขึ้นรถพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เขาสตาร์รถ ทำท่าจะขับออกไป
"เดี๋ยวลิตร! ฉันจะไปอยู่กับลิตรได้เหรอ"
"ทำไมจะอยู่ไม่ได้"
"ก็...ลิตรไม่ใช่นายลิตรคนเดิมแล้ว ตอนนี้ลิตรเป็นคุณลิตรสามีคุณนายเรไร ถ้าลิตรพาฉันไปอยู่ที่บ้าน คุณนายเรไรจะไม่ว่าเอาเหรอ"
"พี่เรไรหัวใจวายตายเมื่อคืนนี้"
"ห่ะ!"
"ฉันกำลังจะไปวัด ยังมึนๆทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะเรื่องลูก ฉันอยากหาใครสักคนไปช่วยเลี้ยงลูกให้ฉัน"
ทิพย์ยิ่งงงหนัก
"คุณนายเรไรมีลูกกับลิตร เอ่อ...กับคุณลิตรด้วยเหรอจ๊ะ"
"ปล่าว ลูกฉันกับรำเพย"
ทิพย์ตะลึงอ้าปากค้างอีกครั้ง
"คุณรำเพย!"
ทิพย์งงไปหมด จะถามอีก แต่ลิตรพูดขัดขึ้น
"อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง ฉันดีใจจริงๆที่วันนี้ช่วยทิพย์จากไอ้พ่อเลี้ยงไว้ได้ ไม่อย่างงั้นทิพย์คงต้องตกนรกไปตลอดชีวิต อย่ากลับบ้านไปอีกเลยนะ ไปทำงานอยู่กับฉันเถอะ"
ทิพย์นั่งมองสบตาลิตร ชายหนุ่มที่เธอหลงรักมาตลอด สายตา อ้อนวอนคู่นั้นทำให้ทิพย์ตัดสินใจไปอยู่กับเขาในทันที
ลิตรขับเข้ามาที่เรือนรัตนะ ทิพย์นั่งกอดกระเป๋าบนตักมองออกไป ราวกับฝันไปที่ได้เข้ามารั้วเรือนรัตนะ เขาเปิดประตู เท้าประตูแซวทิพย์
"จะไม่ลงหรือไงหื๊อ"
"เอ่อ...ลงจ้ะ"
ทิพย์ลงจากรถพลางกวาดตามองว่ามีใครไม๊
"ไม่มีใครอยู่หรอก ไปช่วยงานศพที่วัดกันหมด"
"แล้วคุณรำเพยกับลูกล่ะ"
"เอ่อ...รอให้เสร็จงานศพพี่เรไรซะก่อน เดี๋ยวทิพย์ก็จะได้เจอเอง แต่ฉันขออย่างเดียว"
"เอ่อ...ขออะไรจ๊ะ"
"ขอให้เชื่อฟังทำตามที่ฉันบอก ซื่อสัตย์กับฉันทุกอย่าง แล้วฉันรับรองว่าจะดูแลชีวิตทิพย์ต่อจากนี้ให้มีความสุขที่สุด"
ลิตรพูดพลางส่งสายตามัดใจ ทิพย์ตกเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ในกำมือลิตรโดยไม่ยาก
"จ้ะ ฉันจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังเอ่อ...คุณลิตรทุกอย่าง"
"แล้วฉันจะเชื่อใจทิพย์ได้ยังไง ว่าทิพย์จะทำตามที่พูด"
ทิพย์ยกมือพนมขึ้น
"ทิพย์ขอสาบาน ถ้าวันใดที่ทิพย์ไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณลิตร ขอให้ทิพย์มีอันเป็นไป ตายภายใน 3 วัน 7 วัน"
เขายิ้มพอใจ ยื่นมือจับมือทิพย์ไว้
"ไม่ต้องสาบานแล้ว ฉันเชื่อใจ ว่าทิพย์จะไม่มีวันทรยศฉันเด็ดขาด"
ทิพย์ยิ้มเขินอาย แค่สัมผัสเล็กน้อยของลิตรก็ทำให้ทิพย์แทบสยบอยู่แทบเท้าเขาแล้ว เมื่อมัดใจทิพย์ได้แล้ว ลิตรก็ปล่อยมือจากทิพย์ ถอยห่างออกมาอย่างเว้นระยะ วางมาดเจ้านาย
"เอาล่ะ ทิพย์พักอยู่ที่นี่ให้สบายนะ คิดซะว่ามันเป็นบ้านหลังใหม่ของทิพย์"
ทิพย์จับซี่ประตูรั้วแน่น เสียงของลิตรยังดังกึกก้อง
"คิดซะว่ามันเป็นบ้านหลังใหม่ของทิพย์...บ้านหลังใหม่ของทิพย์"
"บ้าน"
ทิพย์ทรุดลงร้องไห้อย่างขมขื่น
บรรยากาศในห้องโถงดูสงบขึ้น กนกกรฉลาดพอจะนั่งลงยอมเจรจาด้วยดี
"ในเมื่อฉันดีด้วย แต่มาร้ายใส่แบบนี้ ฉันจะไม่ลดตัวลงไปทะเลาะด้วยให้เสียเวลาอีก"
นันทนัชขำ
"ลดตัว ฮ่ะๆๆ"
กฤตพนธ์เซ็ง
"คุณนัน! ถ้ามีเรื่องอีก ผมจะไม่เปลืองตัวไปช่วยคุณอีกแล้วนะ คุยดีๆได้ไม๊ครับ"
เธอกวนใส่
"ฉันก็กำลังรอฟังอยู่เนี่ยะ ว่าลุงทนายจะเอายังไง"
นันทนัชมองจับจ้องไปที่สมุทรชัย
"อันที่จริง คุณลิตรก็ไม่ได้มอบหมายให้ผมดูแลเรื่องพินัยกรรมโดยตรง แต่ผมกับคุณลิตรร่วมงานกันมานาน เข้านอกออกไหนบ้านนี้เป็นประจำ ทรัพย์สินหลายรายการของคุณลิตร ผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลอยู่ เพราะฉะนั้น..." สมุทรชัยว่า
"โฮ่ย...ไม่ต้องเท้าความอะไรนักหนาหรอกคุณทนาย ตกลงเรื่องพินัยกรรมจะเอายังไง" ฤทัยว่า
"ในกรณีที่ตำรวจยังไม่สรุปว่าคุณลิตรตายเพราะถูกฆาตกรรมตามที่คุณนันสงสัยหรือไม่ ผมว่าคงไม่เหมาะ ถ้าจะมีการเปิดพินัยกรรมแบ่งมรดกกันในตอนนี้ เราควรจะรอ..."
นันทนัชยิ้มที่มุมปากอย่างสะใจที่เป็นฝ่ายชนะ ฤทัยแทบกรี๊ด แต่ข่มอารมณ์ไว้
"อ๋อ ฉันรอได้อยู่แล้ว แต่คิดว่ารอไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะยังไงผลก็ต้องออกมาเหมือนเดิม คุณลิตรหัวใจวาย ไม่มีใครไปฆ่าไปแกง"
"ช่างมั่นใจซะจริงนะ"
"ก็ที่ฉันพูดทุกอย่างมันเป็นความจริง ฉันไม่ได้ฆ่าพ่อเธอ"
ฤทัยกับนันทนัชมองจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน ไกรภัทรเลยรีบพูดเบี่ยงประเด็น
"ฟังต่อนะครับ! ระหว่างนี้....ธุรกิจโรงสี รายได้จากการเช่าที่ดินต่างๆของคุณลิตร คุณพ่อผมในฐานะทนายของบริษัทจะดูแลและร่วมบริหารกับคุณฤทัยอย่างเดิมไปก่อน"
นันทนัชหันไปมองฤทัยอย่างแปลกใจ
"คุณพ่อฉันให้คุณร่วมบริหารงานด้วยเหรอ"
ฤทัยยิ้มๆทำไม่สน
"ฉันตกลงตามนี้" ฤทัยหันมาพูดกับกฤตพนธ์ "ดูซิ...คุณกฤตเลยต้องมาปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ด้วย เมื่อกี้ตอนที่มีเรื่อง ลูกกิ๊บคงจะตกอกตกใจมาก คุณกฤตช่วยไปปลอบใจยัยกิ๊บหน่อยซีคะ"
กฤตพนธ์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น...กนกกรที่นั่งหน้าเม้งอยู่ พอเห็นเขาก็ตีหน้าเศร้าทันที
"คุณกฤต!"
"ถ้าเมื่อกี้ผมทำอะไรรุนแรงไป ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมต้องห้าม ไม่อยากให้มีเรื่องลงไม้ลงมือกัน"
"อ๋อ...เหรอ พ่อสุภาพบุรุษ มาล็อกแขนผม ดีที่แม่ผมห้ามเอาไว้ ไม่งั้นผมเอาเรื่องคุณแน่" รณฤทธิ์บอก
"คุณก็ต่อยผมนะครับ ดีที่ผมหลบทัน ไม่งั้นผมก็เอาเรื่องเหมือนกัน"
รณฤทธิ์ทำหน้าฮึดฮัด แต่กนกกรดันอกปรามไว้
"นัยรณ! ออกไปก่อนไป คุณกฤตเค้าหวังดียังไปว่าเค้าอีก ไปซี"
เรือนริษยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
รณฤทธิ์จำใจต้องเดินออกไป ยังเจ็บใจไม่หาย กนกกรหันไปอ้อนใส่กฤตพนธ์ทันที
"เห็นไม๊คะ ตั้งแต่ยัยนันมา ทำเอาทุกคนเดือดร้อนไปกันหมด ยัยนั่นถือสิทธิ์ว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆมากล่าวหา ทำลายล้างทุกคน กิ๊บไม่ยอมถูกทำฝ่ายเดียวหรอก"
"ใจเย็นๆครับคุณกิ๊บ คุณนันลูกแท้ๆ ก็มีสิทธิ์จะสงสัยเรื่องการตายของพ่อเป็นธรรมดา ยิ่งมาโดนทำร้ายแบบนี้ เค้าก็ต้องยิ่งระแวง แต่ถ้าฝ่ายคุณกิ๊บไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย เฉยๆไว้ดีกว่าครับ เดี๋ยวเรื่องมันก็คลี่คลายไปเอง"
"แต่เค้าเข้ามาอยู่ในบ้านแบบนี้ กิ๊บต้องอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆเลยค่ะคุณกฤต กิ๊บไม่อยากจะอยู่บ้านหลังนี้แล้ว ไปอยู่บ้าน “อัศวัติ”ของคุณกฤตน่าจะอบอุ่นกว่า คุณลุงคุณก็ใจดี๊ดี แต่รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะมีใครมาขอ"
กฤตพนธ์ยิ้มอย่างเอ็นดูกนกกร จริงๆแล้วเค้าชอบนิสัยกนกกรอย่างหนึ่งก็ตรงที่เธอคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ดูไม่เหมือนพวกผู้หญิง 2 หน้าแอบร้าย
แต่เขายังไม่คิดสละโสดกับใคร
ในเวลาต่อมา นันทนัชเดินออกมาส่งสมุทรชัย ไกรภัทรขึ้นรถที่หน้าบ้าน โดยมีตำรวจ 2 นายตามคอยเฝ้าอยู่ห่างๆ
"ก่อนที่คุณพ่อจะเสีย เคยบ่นว่ากลุ้มใจหรือว่ามีใครปองร้ายให้ลุงสมุทรกับคุณไกรฟังบ้างไม๊คะ"
"คุณลิตรไม่ค่อยบ่นอะไรให้ผมฟังหรอกครับ เพราะปรกติคุณลิตรมีปัญหาอะไร ก็ไม่ชอบพูดให้ใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว"
"แต่ระยะหลังๆคุณลิตรก็ดูเหนื่อยๆเครียดๆนะครับคุณนัน ไม่ค่อยออกไปสังสรรกับใคร"
"นันจำได้ว่า เมื่อก่อนพ่อชอบปาร์ตี้มาก ออกงานสังคมทุกคืน กลับบ้านเกือบสว่าง คุณพ่อเครียดเรื่องอะไร พอจะเดาได้ไม๊คะ"
"ผมว่าเรื่องงานแหละครับ คุณลิตรไม่ไว้ใจใครให้ช่วย ดูแลอยู่คนเดียว ทั้งที่โรงสี แล้วก็บริษัทฤทธานนท์พัฒนกิจ"
เธอถอนใจ
"นันไม่เข้าใจ คุณพ่อจะหาเงินเยอะแยะไปทำไมนักหนา สุดท้ายพ่อก็เอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ ดีแต่ทำทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้"
สมุทรชัยทำเป็นมองเธออย่างเห็นใจ
"แต่คุณนันก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว หลังจากที่เอ่อ...จากไปหลายปี ถ้าวิญญาณคุณลิตรรู้ ท่านก็คงจะดีใจมากนะครับ"
นันทนัชยิ้มเศร้าแค้น
"ค่ะ นันต้องกลับมาทำหน้าที่ลูก หาฆาตกรที่ฆ่าคุณพ่อให้ได้"
สมุทรชัยเงียบ มองสบตากับไกรภัทร
"ออ! กระเป๋าเสื้อผ้าของคุณนันอยู่ท้ายรถผมน่ะครับ มันติดอยู่ในรถคุณธีร์คันที่เกิดอุบัติเหตุ ตำรวจเค้าส่งคืนมาให้" ไกรภัทรพูดพลางเดินไปเปิดรถ หยิบกระเป๋า
ทิพย์ยืนมองอยู่นอกประตูรั้ว เห็นนันทนัชกำลังยืนรอกระเป๋าที่ไกรภัทรเอาลงจากรถมาให้ แต่อยู่ๆไม้ก็โผล่มายืนหน้าเหี้ยมอยู่ด้านในประตูรั้ว ทำเอาทิพย์สะดุ้งตกใจ
"มึงกลับมาที่นี่ทำไม ไสหัวไป"
"แกนั่นแหละไปให้พ้น เป็นแค่ขี้ข้านังฤทัย อย่าสะเออะมาไล่ฉัน เจ้าของบ้านตัวจริงเค้ากลับมาแล้ว ยืนอยู่โน่น"
ทิพย์ท้าทายไม้ให้โมโห จะได้ออกมาเล่นงานตัวเองตามแผน
"ปากดี! มึงอยากรากเลือดอีกใช่ไม๊ เดี๋ยวกูจัดให้"
ไม้ทำท่าจะเปิดประตูออกไปเล่นงานทิพย์ ทิพย์ได้โอกาสตะโกนขึ้น
"แกอย่าทำอะไรฉันนะ...อย่า..."
ไม้ตกใจ
"เงียบนะ! แหกทำไม กูยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย"
"อ๊าย...ฉันกลัวแล้ว อย่าทำฉันเลย"
นันทนัชได้ยินเสียงร้อง ก็หันไปมองเห็นทิพย์
"นั่น...น้าทิพย์นี่ อะไรกันน่ะ! แกจะทำอะไรน้าทิพย์"
ไม้ตกใจหันมามอง
"ห่ะ!"
นันทนัชรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งลากสังขารเข้าไปหาทิพย์ทันที ไกรภัทรกับสมุทรชัยยืนมอง เหมือนจะปลงๆ
"ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ไป เรือนรัตนะจะไม่สงบอีกแล้ว"
สมุทรชัยทำเป็นหันไปบอกตำรวจ ทั้ง2นาย
"คุณตำรวจช่วยไปดูให้หน่อยนะครับ"
นันทนัชปรี่เข้ามาชี้หน้าไม้
"แกทำอะไรน้าทิพย์"
"ปละ...ปล่าวนะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย" ไม้บอก
"ไม่ทำอะไร น้าทิพย์เค้าจะร้องทำไม อันธพาลทั้งเจ้านายยันบ่าวยังจะยืนอยู่อีก ไปซี"
ไม้ขบกราม เดินผละไปทางสวน นันทนัชพูดกับทิพย์ แต่เห็นทิพย์เดินผละจากประตูรั้วแล้ว
"อ้าว! น้าทิพย์ จะไปไหนคะ"
นันทนัชรีบเปิดประตูรั้วตามออกไป
ทิพย์รีบเดินผละมา เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล นันทนัชเดินออกจากประตูรั้วตามมา
"น้าทิพย์คะ น้าทิพย์ จะไปไหน รอนันก่อน"
นันทนัชวิ่งตามจนทันถึงตัว โผกอดทิพย์ไว้ทางด้านหลัง
"น้าทิพย์จะหนีนันไปไหน จะทิ้งนันเหมือนพ่อไปอีกคนเหรอคะ"
นันทนัชน้ำตาคลอ ทำเอาทิพย์ร้องไห้สะอื้น หันมากอดจูบนันทนัชอย่างรักมาก
"คุณหนู....ฮือๆๆ คุณหนูของทิพย์"
"ทำไมน้าทิพย์ ไม่เข้าบ้านล่ะ มาทำอะไรอยู่ข้างนอกนี่"
"คุณหนูขา ฟังให้ดีนะคะ ทิพย์ไม่ได้อยู่ที่เรือนรัตนะแล้ว"
"ห่ะ! เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้า บอกนันมาเดี๋ยวนี้"
"พอคุณหนูไปเรียนเมืองนอกได้ 2 ปี ก็เรื่องขึ้นที่เรือนรัตนะ น้า...น้าถูกเค้าไล่เฉดหัวออกมาค่ะ"
"ฝีมือยัยฤทัยใช่ไม๊"
ทิพย์ไม่ตอบ ได้แต่สะอื้นหนัก
"หึ นังปีศาจ! มันคิดจะกำจัดทุกคนให้พ้นทางมัน ไม่เว้นแม้แต่คุณพ่อที่หลงรักมันจนหัวปักหัวปำ ไม่ต้องกลัวนะคะน้าทิพย์ นันกลับมาแล้ว"
"ทิพย์ดีใจค่ะ ที่เห็นคุณหนูกลับบ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้วนะคะ ในเรือนรัตนะนั่น คุณหนูเหลือตัวคนเดียว ถ้าพวกมันทำอะไร ไม่มีใครช่วยคุณหนูได้ คุณหนูต้องระวังตัวไว้ตลอดเวลานะคะ อย่าวางใจเด็ดขาด แล้วทิพย์จะมาหาคุณหนูบ่อยๆค่ะ"
ทิพย์ลุกเดินผละไป นันทนัชจะคว้าตัว แต่ไม่ทัน
"เดี๋ยวค่ะน้าทิพย์ ตอนนี้น้าอยู่ที่ไหนคะ น้าทิพย์"
ทิพย์รีบขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ รถแล่นออกไป เธอได้แต่ยืนมอง ก่อนหันเดินกลับไปช้าๆ ตอนนี้แหละที่รู้สึกว่าเหลือตัวคนเดียวจริงๆ
ภายในห้องรับแขก กฤตพนธ์กำลังร่ำลาฤทัย กนกกรเพื่อกลับบ้าน
"ผมกลับก่อนนะครับ"
"จะรีบกลับไปไหน อยู่ทานข้าวเย็นกับกิ๊บก่อนนะคะ"
"นั่นซิ น้าสั่งให้คนจัดโต๊ะแล้วด้วย"
"ไว้วันหลังดีกว่าครับ วันนี้ผมมีงานค้างที่หน่วย อ่า..."
กฤตพนธ์พูดไม่ทันจบ นันทนัชก็ปรี่เข้ามาอาละวาดฤทัยทันที
"กล้าดียังไงมาไล่น้าทิพย์ออกจากบ้าน"
"อะไรอีกล่ะคุณ"
กฤตพนธ์รีบขวางนันทนัชไว้ แต่เธอปัดมือเขา
"หลีก! ฉันจะเอาเรื่องมัน"
ฤทัยทำเป็นวางมาดผู้ดี ตอบโต้เธอ
"หนูนันเอาเรื่องผิดคนแล้วจ้ะ น้าไม่ได้เป็นคนไล่ คุณลิตรต่างหากที่เป็นคนไล่แม่ทิพย์ออกจากบ้าน"
"ฉันไม่เชื่อ! พ่อไว้ใจน้าทิพย์มาก พ่อไม่มีวันทำอย่างงั้นกับน้าทิพย์"
"น้อยไปซิ! เธอมัวแต่ไปเสวยสุขอยู่ที่เมืองนอก จะไปรู้อะไร๊ ว่ายัยนั่นก่อความเดือดร้อนให้คนในบ้านยังไงบ้าง"
"พ่อหนูโกรธแม่ทิพย์มากเลยรู้ไม๊จ๊ะ ตอนที่ไล่แม่นั่นออก ถึงกับด่าเทสาดเทเสีย ว่านังคนใช้ไว้ใจไม่ได้ เลี้ยงไม่เชื่อง"
"โกหก! พ่อไม่เคยเห็นน้าทิพย์เป็นคนใช้ น้าทิพย์เลี้ยงฉันมา มีพระคุณกับฉัน ที่สมควรถูกเฉดหัวออกจากบ้านคือพวกเธอต่างหากที่เลี้ยงไม่เชื่อง ฆ่าพ่อของฉัน"
"เอ๊ะนี่หยุดใส่ร้ายแม่ฉันซะทีได้ไม๊ จะต้องให้บอกกี่ครั้งห่ะ ว่าแม่ฉันไม่ได้ฆ่าพ่อเธอ" กนกกรว่า
"เธอก็รวมหัวกับแม่เธอ ฆ่าพ่อฉัน"
"พอทีเถอะคุณ หยุดได้แล้ว ออกไปก่อน"
กฤตพนธ์ต้องลากตัวเธอแยกไปจากห้อง
"ปล่อยฉันนะ"
"นังบ้าเอ้ย...ตั้งแต่กลับบ้านมา มันอาละวาดใส่ฉันไม่เลิกเลย เฮ่ย!"
ฤทัยทรุดนั่งจับขมับ
กฤตพนธ์ดึงนันทนัชออกมา
"ปล่อยนะ...คุณดึงฉันออกมาทำไม"
"พาออกมาสงบสติอารมณ์ไง นั่งลง...แล้วก็ใช้สติ"
เขากดไหล่เธอให้นั่งลงในศาลาใกล้พุ่มรำเพย เธอปัดมือเขาออก
"คิดว่าตัวเองเป็นใคร บังอาจมาสั่งสอนฉันน่ะ"
"แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร เที่ยวไปชี้หน้าด่าคนอื่นว่าฆ่าพ่อตัวเองทั้งที่ไม่มีหลักฐาน"
"ทำไมจะไม่มีหลักฐาน นี่ไง! หลักฐานอยู่บนหน้าฉัน"
เธอชี้ไปหน้าตัวเองซึ่งมีร่องรอยบอบช้ำจากการถูกทำร้าย
"ฉันจากบ้านไป5ปี ไม่เคยกลับมาเลย พอกลับมา ฉันก็ถูกล่าเอาชีวิต ถ้าไม่ใช่ฝีมือพวกฤทัยแล้วจะเป็นใคร คุณบอกฉันได้ไม๊"
ที่มุมไกล...ไม้แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่
"ผมบอกไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่ตำรวจ! คุณควรจะรอ ให้เวลาตำรวจเค้าสืบสวน ไม่ใช่เอาแต่ใจ ทำตัวบ้า อาละวาดงี่เง่าไม่มีประโยชน์"
"อย่ามาด่าฉันนะ"
"ผมกำลังเตือนสติคุณ"
กฤตพนธ์พูดพลางหยิบนามบัตรจากในกระเป๋าวางลงบนโต๊ะ
"นามบัตรผม! ถ้าคิดว่าสักวันนึง มันอาจจะมีประโยชน์ คุณก็เก็บเอาไว้ แต่ถ้าอยากจะฉีกมันทิ้ง ก็ตามใจ"
เขาเดินผละไป ทิ้งให้เธอนั่งอยู่คนเดียวจนรู้สึกถึงความอ้างว้างในบ้านหลังนี้ เธอก้มมองเห็นดอกรำเพยร่วงอยู่บนม้านิ่ง ก่อนหยิบดอกรำเพยขึ้นมาดู แล้วนึกถึงแม่
"แม่รำเพย"
นันทนัชนึกย้อนไป...เสียงคำบอกเล่าของทิพย์ดังขึ้นในหัว
"แม่รำเพยของคุณนัน....ฆ่าตัวตายที่ใต้ต้นรำเพยนี้แหละค่ะ"
ใต้ต้นไม้นี้ในอดีต รำเพยน้ำตาไหลพรั่งพรู ปล่อยดอกรำเพยร่วงจากมือ ยกปืนที่เตรียมมาขึ้นจ่อขมับ
"ยัยหนูของแม่...แม่ไม่มีวาสนาจะได้ดูแลลูกอีกแล้ว...ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก แม่รักลูกนะ รักมากที่สุดในโลก"
รำเพยหลับตาลง น้ำตาร่วงเผาะอาบ2แก้ม เป็นจังหวะที่ลิตรวิ่งมาเห็นเข้า
"อย่า...รำเพย"
ทิพย์อุ้มยายหนูออกมาเห็นพอดี ตกใจ อ้าปากค้าง ขณะที่ลิตรวิ่งเข้าหารำเพยอย่างสุดชีวิต หวังจะหยุดเธอ แต่ช้าไป รำเพยลั่นไก ปัง!
"รำเพย"
ร่างรำเพยทรุดลง ลิตรถลาเข้ามาประคองร่างที่มีเลือดไหลอาบแก้ม ร้องไห้
"ทำไมถึงทำอย่างงี้...ทำไม"
นันทนัชน้ำตาตกอยู่ใต้ต้นรำเพยเพียงลำพัง
ในห้องทำงานของลิตร ไม้ยืนรายงานต่อหน้าฤทัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
"นังนั่นมันไปนั่งคร่ำครวญตรงที่แม่มันตายงั้นเหรอ หึ! มันน่าจะฆ่าตัวตายตามแม่มันไปซะ ขืนมันอยู่ในบ้านหลังนี้ พวกเราไม่มีวันสงบสุข แค่มันกลับมาเหยียบบ้านวันแรก นังทิพย์ก็ตามมาหามันถึงที่นี่แล้ว"
"แล้วเราจะทำยังไงดีครับ"
"ทำทุกอย่าง! ให้มันอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ได้ ไม้ต้องช่วยพี่นะ พวกเราต้องร่วมมือกัน"
"จะให้ผมทำอะไร พี่สั่งมาเลย ผมไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นมาทำอะไรพี่ได้หรอกครับ"
ฤทัยยิ้มอย่างพอใจ เธอหยิบรูปถ่ายลิตรในกรอบที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
"รอให้บ้านหลังนี้เป็นของฉันซะก่อนเถอะ ฉันจะโละทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณออกไปให้หมด โดยเฉพาะไอ้ต้นรำเพยสับปะรังเคที่คุณหวงนักหวงหนา ฉันจะตัดทิ้งมาเผาให้เหี้ยนเลย หึ อยากหวงมันนัก"
ฤทัยคว่ำรูปลิตรลงกับโต๊ะ...สีหน้าเจ็บแค้นฝังลึก
เมื่อ3ปีที่แล้ว ฤทัยพาคนงานชาย 2 คนเดินมาที่ต้นรำเพย แล้วชี้
"ฟันต้นมันทิ้งให้หมดเลย!"
คนสวน1ถาม
"จะให้ตัดทิ้งเลยเหรอคุณนาย เสียดาย ดอกมันสวย"
"แกจะเอาไม๊เงิน! ถ้าไม่ทำ ฉันจะได้ไปจ้างคนอื่น"
"อะ...เอาซีครับคุณนาย" คนสวน1หันไปบอกเพื่อน "เฮ้ยเร็ว...ฟัน!"
ทั้ง 2 ดึงมีดพร้าที่เตรียมมาจะฟัน แต่ทิพย์เข้ามาเห็นเสียก่อน
"อย่านะ! พวกแกจะทำอะไร"
คนงานทั้ง 2 ชะงัก ทิพย์เดินเข้ามาขวางต้นรำเพยไว้
"เอ๊ะ แกมายุ่งอะไรด้วยนังทิพย์ หลีกไป"
ฤทัยผลักทิพย์จนกระเด็น
"ยืนอยู่ทำไมล่ะ รีบตัดซี"
คนงานเงื้อมีดจะตัด แต่ทิพย์เข้ามาผลัก 2คนงาน
"ฉันไม่ให้พวกแกตัด...ออกไปนะ...ไป๊"
"เรื่องของนาย บ่าวมาเสือกอะไร"
ฤทัยเงื้อมือตบหน้าทิพย์เต็มแรง เผี๊ยะ!
"อ๊าย!"
ทิพย์จับแก้ม ตาขวางอย่างโกรธจัด
"นี่มันต้นไม้ที่คุณรำเพยรัก ใครจะมาตัดทิ้งไม่ได้W
ทิพย์เงื้อมือตบฤทัยคืน เผี๊ยะ!
"อีทิพย์ มึงตบกูเหรอ อีขี้ข้า!"
ฤทัยกระชากดึงจับผมทิพย์ตบซ้ำ แล้วฤทัยต้องร้องกรี๊ดลั่นเมื่อทิพย์ไม่ยอมแพ้ ยื่นมือมาจิกผมฤทัยดึงทึ้งเหมือนกัน
"อ๊าย...ผมฉันพังหมดแล้ว อีไพร่ วันนี้มึงตาย!"
คนงานทั้ง 2 ยืนมองอย่างตกใจไม่กล้าทำอะไร
"คิดว่าเป็นเมียออกหน้าออกตาคุณลิตรแล้วแกจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ นี่แน่ะ! ฉันทนแกมานานแล้ว วันนี้ตายเป็นตาย"
ทิพย์เป็นฝ่ายลงไปนั่งคร่อมตบฤทัยจนได้
"อีทิพย์มันจะฆ่าฉันแล้ว ช่วยด้วยๆๆ"
ลิตรวิ่งเข้ามาดู ตกใจ
"ห่ะ…หยุดนะทิพย์"
ทิพย์ที่เงื้อมือจะตบก็ชะงักมือมองลิตรอย่างตกใจ ฤทัยได้โอกาสเงื้อตบทิพย์ แล้วผลักกระเด็นออกจากตัว พลางยื่นมือไปร้องไห้อ้อนลิตร
"โอ๊ย...คุณลิตรขา ช่วยฤทัยด้วย ฤทัยเจ็บไปหมดทั้งตัว...โอ๊ย อีทิพย์มันรังแกฤทัย"
ลิตรเข้ามาประคองฤทัยลุกขึ้น ทิพย์มองอย่างเศร้าต้องลุกขึ้นเอง อย่างสะบักสะบอมไม่แพ้กัน
"นี่มันเรื่องอะไรกันทิพย์ ทำไมถึงมาตบตีคุณฤทัยห่ะ! ทำอย่างงี้ไม่เห็นหัวฉันเลย"
"คุณลิตรฟังทิพย์ก่อนซีคะ"
"ไม่ต้องไปฟังมันค่ะ อีนี่มันไม่เจียมตัว ไม่รู้จักนายรู้จักบ่าว เฉดหัวมันออกจากบ้านเลยค่ะ"
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณสักหน่อย มันบ้านของคุณรำเพย คุณจะให้ใครมาตัดต้นรำเพยทิ้งไม่ได้ ฉันไม่ยอม"
ลิตรตะลึงที่ได้ยินอย่างนั้น
"เห็นไม๊คะ มันเถียงฤทัยฉอดๆ ไล่มันไปเลยซีค่ะคุณลิตรไล่มันไป"
"ที่ทิพย์พูดเป็นความจริงเหรอ คุณจะให้คนมาตัดต้นรำเพยทิ้ง"
"ลิตรขา ไอ้ต้นบ้านี่ยางมันมีพิษนะคะ ฤทัยมาตัดเอาดอกมันไปใส่แจกัน มือไปโดนยางมันเข้านิดเดียว มือถึงกับแสบร้อน เป็นแผลพุพองเลย เห็นไม๊คะเนี่ยะ ลิตรขา"
ฤทัยยื่นมือให้ลิตรดู แต่แทนที่ลิตรจะเป็นห่วงกลับโกรธ
"ก็แล้วต้นไม้อยู่ของมันดีๆ คุณมายุ่งกับมันทำไม"
ฤทัยถึงกับงง ทิพย์ยิ้มสะใจ
"เอ่อ...คุณลิตร!"
ลิตรบอก
"พวกแก 2 คนใช่ไม๊ที่จะมาตัด ออกไปจากบ้านฉัน ไสหัวไป ไปเซ่"
ลิตรยัวะ ยกขาไล่เตะ 2คนงานจนต้องรีบเผ่นไป ลิตรหันขวับมาชี้หน้าฤทัย
"แล้วจำเอาไว้นะฤทัย อย่ามายุ่งกับต้นรำเพยของฉันอีก ฉันรักของฉัน หน้าไหนห้ามมาแตะต้องเด็ดขาด"
ลิตรเดินหัวเสียผละไป ทิพย์ยืนยิ้มเยาะ ฤทัยยืนหน้าเสีย หันมามองทิพย์อย่างแค้น
เรือนริษยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ฤตพนธ์ขับรถกลับบ้าน เขาสังเกตจากกระจกมองข้างหลัง พบว่ามีรถคันหนึ่งขับตามมานานแล้ว เขาเคาะนิ้วกับพวงมาลัย สีหน้าครุ่นคิด ตัดสินใจลองเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อทดสอบให้แน่ใจว่า เขาถูกสะกดรอยตามจริงไหม ทันทีที่เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวอย่างกระทันหัน ที่หัวมุมถนน รถคันที่ตามก็หักเลี้ยวตามกลางสี่แยก ปาดหน้ารถที่กำลังจะวิ่งตรงไป จนรถคันนั้นเบรกเอี๊ยด กดแตรด่าลั่นถนน
ภายในรถเชน สมหมายบอกเชน
"จู่ๆมันเปลี่ยนเส้นทางแบบนี้ สงสัยว่ามันจะรู้แกวแล้วพี่เชน ว่าถูกตาม"
"งั้นบี้มันให้ติด แล้วเล่นมันเลย" เชนสั่ง
ทันทีที่เชนสั่ง สมหมายก็รู้งาน รีบเปิดแก๊ะ หยิบหมวกไอ้โม่งออกมา โยนให้ลูกน้องคนขับ1ใบ ขณะที่เชนพูดต่อ พลางชักปืนกล็อกออโตเมติกออกมา
"หึ ต้องเขียนเสือให้วัวกลัวแต่แรก ขืนปล่อยไว้ มันอาจจะยุ่งเรื่องลูกสาวนายลิตรไม่เลิก จะเสียงานกู"
สมหมายชักปืนออกมาตรวจดูกระสุนในแม็กกาซีน เชนขบกราม ขึ้นนกปืนเตรียมพร้อมไว้
กฤตพนธ์ขับมาด้วยความเร็ว ออกนอกเส้นทางที่มีรถพลุกพล่าน เขาคิดว่า ถ้าเจอกับรถที่ติดชะงักอยู่กับที่ อาจตกเป็นเป้ายิงประกบยากต่อการหนี
กฤตพนธ์พารถกระโจนผ่านเนินเล็กๆ ไปยังถนนเลียบแม่น้ำ รถของเชนยังขับไล่บี้ตามกันมาชนิดหายใจรดต้นคอ จนฝุ่นตลบ
ภายในรถ เชนหัวเราะร่วนสนุกกับการไล่ล่า
"วู้....มันจริงโว้ย! บี้มันเข้าไป ไล่มันให้ติด แล้วหาจังหวะแซงประกบมัน ปืนกู ไม่ได้ลงซ้อมกับคนจริงๆมาเป็นเดือนแล้ว ฮ่ะๆๆ"
ภายในรถ กฤตพนธ์กำลังพูดสายกับภานุผ่านทางบลูทูธ
"มีคนกำลังตามฉันว่ะ"
"แกแน่ใจเหรอว่ามันตามแก"
"แน่ใจซีวะ ก็มันกำลังขับไล่บี้ก้นฉันอยู่เนี่ยะ แกช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ฉันหน่อย"
ภายในหน่วยข่าวกรองฯ ณ ห้องในมุมหนึ่ง ภานุเปิดคอมดู GPS เพื่อดูเส้นทางหนีให้กฤตพนธ์
"ตอนนี้แกอยู่ที่ไหนแล้ว" ภานุฟังแล้วบอก "โอเค ฉันหาพิกัดก่อน"
ภานุกดพิมพ์เส้นทางที่ภานุกำลังขับหนีอยู่ จนเห็นเส้นทางทั้งหมดในจอ
"ถนนมันเลียบแม่น้ำนี่หว่า"
กฤตพนธ์เหลือบไปมองแม่น้ำนอกรถ
"แม่น้ำอยู่ทางซ้ายมือของฉัน ทางข้างหน้ามันจะทะลุไปไหนวะ"
"แป๊บนึงนะที่รัก"
ภานุมองจอ...ตรวจสอบดูแล้วต้องตกใจ
"เวรแล้วไอ้กฤต"
"ทำไมวะ กรมทางหลวงมาซ่อมทางข้างหน้าหรือไง"
"จะซ่อมได้ไงวะ มันไม่มีทางให้ซ่อม"
"ก็มันหมายความว่าไงวะ แกอย่ามัวแต่เล่นลิ้นอยู่"
"ก็หมายความว่ามันเป็นทางตันน่ะซีโว้ย"
กฤตพนธ์ตกใจ เขาเห็นว่า ลิบๆไปข้างหน้านั้น ... สุดทางเป็นแม่น้ำจริงๆ
"ให้มันได้อย่างงี้ซิ!"
เขาดึงบลูทูธทิ้ง ยังมีเสียงภานุดังอยู่ในสาย
"ฮัลโหลไอ้กฤต....ฮัลโหลๆ"
เขาล้วงมือไปใต้เบาะที่นั่งของตัวเอง คว้าปืนคูก้า PX4 9มม. จากช่องลับออกมาเตรียมพร้อม แต่ยังไม่ทันตั้งตัวรถของพวกเชนก็เร่งเครื่องแซงขวาเบียดขึ้นมาขับประกบได้
เขาหันขวับไปมอง เห็นเชนกับสมหมายสวมหมวกไอ้โม่งโผล่ออกมาที่หน้าต่างรถทั้งหน้าและหลังรถ จ่อปืนมาสาดกระสุนเข้าใส่รถของเขา ปังๆๆ
"เฮ้ย!"
เขาดึงเบรกมือทันที กระสุนนัดนึงเจาะเข้ากระจกหน้าต่างด้านข้างคนขับ เฉี่ยวหัวเขาไป ขณะที่รถหมุนอยู่กับที่ ทำให้รถพวกเชนขับเลยหน้าไป กระสุนที่เหลือพลาดเป้าไปหมด
เมื่อรถเขาหยุดหมุน จอดอยู่กับที่ เขาใช้ศอกกระทุ้งกระจกรถที่ถูกกระสุนเป็นรูจนแตกลายงาหลุดออกไปทั้งแผ่น เขาขบกรามเล็งปืนออกไป ยิงใส่รถเชนสวนคืนไปเป็นชุด ปังๆๆๆ
เชนกับสมหมายผลุบหัวกลับเข้ามาในรถ
"มันสู้เว้ย…ยังงี้ถึงจะสนุก...ฮ่ะๆๆ"
เชนหัวเราะพลางปลดแม็กกาซีนปืนเปลี่ยนใหม่
"พี่...มันถอยแล้ว!" สมหมายบอก
"ก็ถอยตามมันซีวะ กูจะซัดกับมันสักตั้ง" เชนว่า
ลูกน้องคนขับรถใส่เกียร์ถอยหลังทันที
กฤตพนธ์เร่งเครื่องแบบถอยหลัง แต่รถของเชนก็ถอยตามกลับมา พร้อมกับไอ้โม่งเชนและไอ้โม่งสมหมายที่โผล่ออกมาพร้อมกับปืน เขาใช้มือซ้ายบังคับพวงมาลัย ขาเหยียบคันเร่งถอยอย่างเร็ว มือขวายื่นปืนออกไปเหนี่ยวไกยิงดวลสู้กับทั้ง 2...ปังๆๆ และแล้วรถของเขาก็ถูกยิงยางแตก รถสะบัด จนเขาต้องเหยียบเบรกหยุดกึก ขณะที่รถเชนถอยเลยไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของเชน
เขาหันไปมองอย่างเจ็บใจ เชนยื่นปืนจ่ออยู่พร้อมกับมืออีกข้างชี้หัวแม่โป้งออกมาทำท้าเชือดคอใส่เขา แล้วรถเชนก็หมุนตีโค้งขับมุ่งหน้าหนีไป
เขานั่งตบพวงมาลัยอย่างฉุน เปิดประตูลงจากรถมายืนเท้าสะเอวดูล้อรถที่ถูกยิงจนแบน
อย่างเซ็ง
หลังจากที่ขับรถห่างออกมาแล้ว เชนกับสมหมายและลูกน้องคนขับก็ถอดหมวกไอ้โม่งออก เชนยิ้มสะใจ
"หวังว่าสั่งสอนมันแค่นี้ มันคงจะกลัวขี้หด ไม่ไปยุ่งกับเรื่องลูกสาวนายลิตรอีก"
ผ่านเวลาจนเย็น ที่ริมแม่น้ำ ภานุนั่งยองๆ ดูร่องรอยกระสุนที่ล้อ และรถของกฤตพนธ์
"จำได้ไม๊วะ ว่าทะเบียนรถมันเลขอะไร"
"จำได้ แต่คิดว่ามันคงสวมทะเบียนปลอม"
กฤตพนธ์กอดอกตอบอย่างเซ็งๆ
"แกคิดว่าเป็นฝีมือของพวกไหน เป็นพวกโจทย์เก่า พวกแก๊งลูกหมู พวกแก๊งรัสเซียที่พัทยา หรือพวกค้ายาแถวชายแดนส่งคนมาล้างแค้นแกรึปล่าววะ"
"ฉันจำไอ้โม่งหนึ่งในนั้นได้ มันเป็นคนๆเดียวกับที่ทำร้ายคุณนันที่บึงน้ำ"
ภานุลุกขึ้นมองกฤตพนธ์อย่างตกใจ
"ห่ะ นี่มันตามมาเก็บแกเหรอ"
"มันแค่ตามมาขู่ฉัน ให้เลิกยุ่งกับเรื่องของคุณนันมากกว่า ไม่งั้นรถฉันถูกยิงเจาะยางเดี้ยงเป็นเป้านิ่งแบบนี้ มันมากันตั้ง 3 คน มันคงลงมาถล่มฉันเละคารถไปแล้ว"
ภานุถอนใจอย่างหนักใจแทน หยิบมือถือขึ้นมากด
"แล้วนั่นแกจะโทร.ไปหาญาติที่ไหน"
"โทร. ไปขอเปียแชร์มือนี้มั๊ง ปัดโธ่...ถามได้ โทรไปแจ้งตำรวจให้แกซิวะ"
"เฮ้ย...ไม่ต้องแจ้งไอ้นุ"
"แกถูกมันพาพวกตามถล่มขนาดนี้ ไม่แจ้งตำรวจเหรอวะไอ้พ่อพระ"
"แจ้งมันก็ไหวตัวซีวะ มันคงคิดว่าถล่มฉันแบบนี้แล้ว จะหยุดคนอย่างฉันได้"
"อ่ะๆๆ ชัดเลย! นี่แกออกนอกหน้ามาก ว่าจะไม่หยุดยุ่งเรื่องของคุณนัน"
"มันไม่เกี่ยวกับคุณนันเว้ย มันเที่ยวไล่ยิงคนแบบนี้ แกคิดว่าฉันควรจะเก็บมันไว้อีกเหรอห่ะ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นพวกไหน มีใครบงการอยู่เบื้องหลังมันรึปล่าว"
กฤตพนธ์กำหมัดต่อยลงบนกระโปรงรถเบาๆ สีหน้าเอาจริง
นันทนัชเดินลากกระเป๋าเดินทางแสนหนักมาคนเดียว จะขึ้นไปยังห้องพัก
"เดือนกับศรี" ...สาวใช้เดินผ่านมา เดือนมองเธอด้วยสายตาไม่เคารพ ส่วนศรีทำท่าจะเข้าไปช่วยหิ้วกระเป๋า แต่เดือนแว๊ดขึ้น
"จะทำอะไรอีศรี"
"จะไปช่วยหิ้วกระเป๋าคุณเค้าไง"
"อย่ากระแดะ! อยากตกงานเหรอห่ะ ถอยมา"
ศรีหยุดเดิน ถอยออกมาจากเธอทันที นันทนัชมองเดือนด้วยสายตาสมเพช
"จำใส่กะลาหัวเอาไว้นะอีศรี ที่เรือนรัตนะนี่ มีคุณแค่ 3 คนให้แกรับใช้เท่านั้น คือคุณนายฤทัย คุณหนูกิ๊บ แล้วก็คุณชายรณ ส่วนคนอื่นที่เสนอหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
อย่าสะเออะไปรับใช้ให้เปลืองแรงเชียว"
"ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหละ เก็บแรงไว้สอพอคุณนายของพวกเธอจะดีกว่านะ เดี๋ยวจะเสียชื่อสถาบันนายว่าขี้ข้าพลอยหมด"
เดือนอ้าปากค้าง เจ็บที่โดนสวน นันทนัชยืนมองหน้าเอาจริง เดือนเดินสะบัดหน้าไป ศรีรีบตาม เธอมองตาม ส่ายหน้า รู้ดีว่า สาวใช้พวกนี้คงถูกฤทัยสั่งมา ให้แข็งข้อกับเธอ
นันทนัชลากกระเป๋าเดินต่อ จนผ่านมายังหน้าห้องทำงานลิตร เจอไม้เพิ่งเปิดประตูออกจากห้องทำงานพอดี เธอหยุดยืนมองนิ่ง สีหน้าจับผิดมาก
"เข้าไปทำอะไรในห้องทำงานพ่อฉัน"
ฤทัยเปิดประตูออกมา ตกใจที่เห็นนันทนัชยืนอยู่ เธอทำเป็นปล่อยก๊ากใส่
"ฮ่ะๆๆ ตกใจอะไรเหรอคะคุณแม่เลี้ยง แค่ฉันมาเห็นว่า...พอพ่อฉันไม่อยู่แล้ว คนงานชายในบ้านหลังนี้ ก็สามารถเข้าออกห้องทำงานของพ่อฉันได้สะดวก"
"อย่ามาปากพล่อยกับฉันนะ นี่มันคนขับรถของฉัน ฉันแค่เรียกมาสั่งงานให้ออกไปเอาเสื้อผ้าที่ฉันส่งซักแห้งเอาไว้ รีบไปได้แล้วนายไม้"
"ครับ คุณผู้หญิง"
ไม้โค้งหัวให้แล้วรีบเดินผละ นันทนัชแอบปรายสายตามองตาม เธอจำเป็นต้องจับตาดูทุกคนที่เป็นคนของฤทัย แล้วเธอก็ลากกระเป๋าเดินต่อไป ตรงไปที่บันไดขึ้นชั้น2
"นี่แม่คุณ! หล่อนจะลากกระเป๋าไปไหน"
"ถามได้....ไปห้องฉันไง"
"ข้างบนนั่นไม่มีห้องของหล่อนอีกต่อไปแล้ว โน่นที่เรือนหลังเล็กข้างหลังโน่น เหมาะจะเป็นที่ซุกหัวของหล่อน"
พอลับหลังคนอื่น ฤทัยก็เปลี่ยนมาร้ายใส่เต็มรูปแบบ แต่นันทนัชกลับเปลี่ยนท่าทีมารับมือแบบกวนประสาทใส่...เธอยักไหล่ทำหน้าไม่สนใจ ฤทัยอ้าปากค้าง แทบกรี๊ด เธอเดินลากกระเป๋าขึ้นบันไดไป แม้จะหนักมากและปวดแผลตามเนื้อตัวอยู่ แต่ก็กัดฟันลากขึ้นไปจนได้
"พูดภาษาคนฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ตึกใหญ่ไม่มีที่สำหรับหล่อนอีกแล้ว ลงมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ลงมา"
"โน...โน...โนๆๆๆแล้วก็โน"
นันทนัชทำหน้าตายียวนใส่ แล้วลากกระเป๋าขึ้นบันไดต่อ ทำเอาฤทัยสติแตก
"อ๊าย! นังเดือน...นังเดือนอยู่ไหน...อีเดือน"
"ขาคุณผู้หญิง มีอะไรคะ"
เดือนรีบวิ่งตูดสั่นเข้ามา
"แกมัวไปมุดหัวทำอะไรอยู่ นังนันมันจะขึ้นไปยึดชั้นบนแล้วเห็นไม๊"
"และ...แล้วจะให้เดือนทำยังไงคะ"
"ตามไปรับใช้มันมั้ง นังโง่! ก็ขึ้นไปไล่มันลงมาซี เร็ว"
"ค่ะๆ คุณผู้หญิง"
ฤทัยกับเดือนรีบขึ้นบันไดตามไป
เธอเดินลากกระเป๋ามาหยุดหอบหน้าห้องลิตร ก่อนยกมือขึ้นลูบไล้บานประตูด้วยความคิดถึงพ่อ น้ำตาคลอ
"ในห้องนี้...ไม่มีพ่ออยู่อีกแล้ว"
ฤทัยกับเดือนเดินตามเข้ามา เธอรีบปาดน้ำตาทิ้ง พร้อมรับมือ
"หล่อนมาทำอะไรที่ห้องพี่ลิตร"
เธอลอยหน้าลอยตากวน
"ก็นี่ไงล่ะ ห้องของฉัน"
นันทนัชพูดพลางบิดลูกบิด เปิดประตูรีบเข็นกระเป๋าเข้าไป จะปิดประตูแต่ฤทัยดันเอาไว้
"ออกมานะ! หล่อนอยู่ห้องนี้ไม่ได้นะ"
เดือนเห็นอย่างนั้น ก็ช่วยดัน
"นี่มันห้องนอนของพ่อฉัน ฉันจะอยู่ ใครจะทำไม"
"ฉันไม่ให้หล่อนอยู่ ออกมานะ โธ่นังเดือน...กินข้าวเป็นกะละมัง แกไม่มีเรี่ยวแรงเลยหรือไง ช่วยดันแรงๆซี"
"อึ๊บ"
นันทนัชก็ออกแรงใช้หลังดันประตูสุดแรง
กนกกรได้ยิน ก็ออกจากห้องมาดู
"เอะอะอะไรกันคะคุณแม่"
"นังนันมันจะยืดห้องของพ่อลิตรแล้ว มาช่วยกันเร็วลูก"
"โธ่เว้ย...นังนี่ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน มันหาเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนเลย"
กนกกรรีบวิ่งมาจะช่วยดึงอีกแรง แต่เธอกัดฟันออกแรงดันประตูเต็มแรง ล็อกประตูทันที ทำให้ฤทัยเสียหลักล้มหงายหลังเข้าใส่กนกกร จนล้มลงทั้งคู่
"ว้าย!"
เหลือเดือนคนเดียว ก็ถูกนันทนัชกระแทกประตูปิดใส่หน้า จับดั้งร้องลั่นออกเขมรทันที
"อ๊าย....ดั้งข่อย! ยุบหมดแล้ว"
ภายในห้อง นันทนัชนั่งฟุบกับกระเป๋าเดินทางอย่างสุดเหนื่อย และเจ็บเนื้อตัวที่ยังบอบช้ำอยู่ เงี่ยหูฟัง เสียงฤทัยข้างนอกเงียบไปแล้ว ฤทัย กนกกร เดือนคงพากันถอยทัพกลับแล้ว เธอถอนใจ เงยหน้ามองไปภายในห้องที่ปิดผ้าม่านมืดทึบ ค่อยๆลุกเดินไปด้วยสภาพที่เหนื่อยสะบักสะบอม ตรงไปเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างจ้าส่องผ่านกระจกเข้ามาในห้องทันที
เธอมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง เห็นข้าวของเครื่องใช้ของลิตร อบอุ่นหัวใจขึ้นมาในทันที
นันทนัชเดินไปสัมผัสข้าวของพ่อ... เริ่มจากหมวกใบที่พ่อชอบสวม ภาพลิตรที่ยืนแต่งตัวคว้าหมวกขึ้นมาใส่เข้ามาในห้วงคำนึงของเธอ เธอสัมผัสโต๊ะเก้าอี้ ชุดเล็กที่วางอยู่มุมห้อง….
ปรากฏภาพลิตรนั่งไขว้ห้างสบายๆเปิดหนังสือเกี่ยวกับรถยนต์ดู เธอหันนั่งลงที่เตียง...ลูบหมอน ปรากฏภาพลิตรนอนหลับอยู่ที่เตียง
ก่อนภาพนั้นจะเลือนหายไปเมื่อเธอหยิบหมอนขึ้นมากอด หอม
“พ่อ...นันคิดถึงพ่อค่ะ”
นันทนัชเห็นรูปลิตรวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เธอหยิบรูปพ่อขึ้นมาดู แล้วบอก
“พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ นันจะค้นหาหลักฐานมัดตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อในบ้านหลังนี้ให้พบ”
ภายในโรงพยาบาล เวลาเย็นต่อเนื่องมา แฟนต้ากำลังเก็บข้าวของต่างๆให้ธีร์อยู่ที่เตียง...จำพวกยาต่างๆที่หมอสั่งกลับบ้าน ส่วนธีร์กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำ
“แหม...พอหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ก็ลุกเดินปร๋อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้เองเลยนะพี่ธีร์ ไม่รู้หมอจะให้รีบกลับไปไหน น่าจะให้อยู่โรงพยาบาลนานๆ ต้าจะได้มาเฝ้าไข้ทุกวัน”
เรือนริษยา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ธีร์เดินรีบร้อนออกมา เดินตรงไปที่ประตูทันที แฟนต้าหันมามอง
“อะอ้าวพี่ธีร์! เดี๋ยวดิ ไม่รอกันเลย เดี๋ยวต้าไปส่องที่คอนโด”
“ยังไม่กลับคอนโด พี่จะไปหานัน”
“ห่ะ จะไปหายัยนันที่เรือนรัตนะน่ะเหรอ! เดี๋ยวพี่ธีร์”
ธีร์ไม่ฟัง เปิดประตู เดินออกจากห้องไปแล้ว แฟนต้ารีบหิ้วถุงยา คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองพะรุงพะรังตามออกไป
ธีร์เดินเขยกมาตามทางเดินในโรงพยาบาล แฟนต้ารีบวิ่งตามมา
“รอก่อนดิพี่ธีร์ เพิ่งลุกจากเตียงได้ก็ซ่าเลยนะ จำที่หมอสั่งไม่ได้เหรอ ช่วงนี้หมอห้ามพี่ทำงานหนัก”
“พี่ไปหานัน ทำงานหนักตรงไหนห่ะ”
แฟนต้าถอนใจที่ถูกย้อน
“จิ๊! ต้าหมายถึงว่า พี่ควรจะกลับบ้านไปพักผ่อนให้หายดีซะก่อนดีกว่า”
“ดีกว่าอะไร”
“ก็ดีกว่าเขยกไปหายัยนันที่บ้านแบบนี้ไง มันดูง่อยชะมัด”
ธีร์หยุดกึกหันมามองหน้าแฟนต้าอย่างไม่พอใจ
“พูดเรื่องจริงก็เม้งอีก ขืนพี่เดินเขยกเป็นม้าหมดสมรรถภาพแบบนี้ไปหายัยนันซิ มีหวังนะ...แทนที่นันจะคิดพึ่งพาอาศัยพี่ให้คุ้มครองชีวิตมัน มันกลับต้องมาห่วงสังขารพี่ คิดดูซิว่ามันน่าสมเพชขนาดไหน ที่หนุ่มนายแบบมาดแมน ต้องเดินเดี้ยงไปหาผู้หญิงที่ตัวเองร๊าก
ปานจะกลืนกิน”
แฟนต้าทำท่าทำทางแอ็คติ้งโอเว่อร์ ธีร์ฉุนควันออกจมูกทันที
“พอเถอะน่า โอเว่อร์เกินไปแล้ว ไม่ไปก็ไม่ไป ทำไมต้องมาซ้ำเติมกันด้วย”
ธีร์เดินหนีไป แฟนต้ายิ้มขำ...
“ตาคนนี้นี่ ต้องด่า ถึงจะเอาอยู่ ฮิ”
แฟนต้ารีบเดินตามไป
คอนโดหรูกลางกรุง เวลาลางคืน แฟนต้าใส่ผ้ากันเปื้อน ใส่หมวกแม่ครัวน่ารักๆ กำลังต้มข้าวต้มอยู่ที่มุมครัว
ข้าวกำลังเดือด...แฟนต้าใส่เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ เติมน้ำปลาเล็กน้อย คนๆนิดหน่อย ตักน้ำใส่ช้อนชิมรส...ยกนิ้วโอเค แล้วปิดแก๊ส เทข้าวต้มใส่ชาม โรยหน้าข้าวจ้มด้วยขิงเล็กน้อย ตามด้วยต้นหอมผักชี น้ำมันกระเทียม แล้วตอกไข่ลวกลงไป เธอคล่องชำนาญเรื่องอาหารเพราะเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เธอยกชามข้าวต้มออกมาวางลงที่โต๊ะ จัดวางช้อนสวยงาม
“ข้าวต้มไก่ร้อนๆมาแล้วพี่ธีร์”
แต่พอมองไปที่โซฟา เห็นธีร์นอนหลับคาโซฟาไปแล้ว
“อ้าว ครอกฟี้ไปซะแล้ว”
เธอถอดผ้ากันเปื้อนออก เดินมามองธีร์ใกล้ๆ เห็นนอนหนุนแขนตัวเอง
“นอนแบบนี้ เดี๋ยวแขนได้เหน็บกินพอดี”
เธอจัดธีร์ให้นอนหนุนหมอนดีๆ เดินไปเอาฝาชามปิดข้าวต้มไว้ เขียนโน๊ตทิ้งไว้บนโต๊ะ แล้วเดินมาคว้ากระเป๋าที่วางอยู่ใกล้ๆโซฟาที่ธีร์นอนอยู่ หยุดมองธีร์อย่างห่วงใย จริงใจและรัก จูบมือตัวเองแล้วยื่นไปแตะแก้มธีร์
“หายเร็วๆนะพี่ธีร์”
เธอหันเดินออกไปที่ประตู... ธีร์ค่อยๆลืมตาขึ้น ใช้มือเช็ดๆแก้มตัวเอง
“อี๋ย์ ผู้หญิงอะไร มาแตะอั๋งผู้ชาย”
ธีร์มองไปที่โต๊ะ กลิ่นหอมของข้าวต้มโชยมา เสียงท้องธีร์ร้องดังมาก เขารีบลุกไปที่โต๊ะ เปิดฝาชี สูดกลิ่นหอม หยิบช้อนมาตักน้ำข้าวต้มร้อนๆซด
“โฮ่ย...อร่อยมากเลย ยัยนี่มีดีก็ตรงที่ทำอาหารอร่อยนี่แหละ กินทีไรไม่เคยผิดหวัง”
ธีร์ซดข้าวต้ม พลางเหลือบตาไปมองเห็นโน๊ตที่เขียนไว้บนโต๊ะ “รู้นะ ว่าแกล้งหลับ”
เขาถึงกับสำลักข้าวต้มทันที ตอนนั้นเองที่แฟนต้าเปิดประตูผัวะกลับเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะคิกๆๆ
“ห่ะ นี่...นี่ยังไม่ไปอีกเหรอ”
แฟนต้าหัวเราะ
“อิๆๆลูกไม้ตื้นๆ กินให้หมดนะพี่ธีร์ แล้วอย่าลืมกินยาล่ะ รีบนอนแต่หัวค่ำนะจ๊ะ ถ้าตื่นมาพรุ่งนี้แล้วหน้าตาสดชื่นแข็งแรง พรุ่งนี้ต้าอาจจะพาไปหายัยนันให้เป็นรางวัลGoog boy ไปล่ะ กู้ดไนท์”
“รีบๆไปเลย ยัยบ้าเอ้ย กวนประสาท”
แฟนต้าหัวเราะคิกออกไป ธีร์นั่งเซ็ง โคตรเสียฟอร์ม ตักข้าวต้มเข้าปากไปได้สัก2-3คำอย่างหิว แล้วตาก็มองไปเห็นรูปที่ตัวเองถ่ายคู่กับนันทนัชในมหาลัยซึ่งรู้จักกันที่อังกฤษ
ธีร์ยิ้มประทับใจ นึกย้อนไปถึงวันแรกที่เขาได้พบกับเธอที่นั่น
เมื่อ 5 ปีก่อน ธีร์ในชุดโค้ชผ้าพันคอสุดเท่เดินถือหนังสือขึ้นบันไดหอพักมหาวิทยาลัยมา ขณะที่นันทนัชกำลังลากกระเป๋าเดินทางหนักขึ้นบันไดชั้นบน มืออีกข้างก็สะพายกระเป๋า..
ถือข้าวของเต็มมือไปหมด เธอพยายามลากกระเป๋าขึ้นบันไดอีกขั้น มือเกิดล้า ดันทำหูจับหลุดมือ กระเป๋าลื่นลงบันไดไป
ธีร์กำลังเดินขั้นบันไดมาพอดี ก็ตกใจ เธอวิ่งตามกระเป๋าลงมาพลางส่งเสียงให้ช่วยจับกระเป๋าเธอไว้ อารามตกใจ ธีร์ทำท่ารอรับกระเป๋า แต่กระเป๋าดันลื่นมากระแทกกับขอบบันไดขั้นนึงแรงๆ เลยกระเด้งใส่เขาเต็มๆจนล้มตึงลงไปนอนหงายมึนอยู่ที่ชั้นพักบันได นันทนัชตกใจรีบวิ่งเข้ามาประคองธีร์ขึ้น นาทีนั้นแทนที่เขาจะโกรธ กลับส่งยิ้มให้ เขาตกหลุมหลงรักเธอในทันที
นันทนัชประคองธีร์ขึ้นนั่ง ขอโทษขอโพยและเป็นห่วงเขา
แฟนต้าเดินลงมาเห็น ตกใจวิ่งลงบันไดเข้ามาดู ธีร์ลุกขึ้นบอกว่าไม่เป็นอะไร แล้วแฟนต้าก็แนะนำนันทนัชให้รู้จักกับธีร์ ธีร์ยื่นมือไปจะจับแต่ เธอยกมือไหว้เขาในฐานะคนไทยรุ่นพี่ ทำเอาธีร์ ยิ้มเขินรับไหว้แทบไม่ทัน ธีร์ช่วยนันทนัชเก็บกระเป๋า และแอบมองเธอ
ธีร์นั่งยิ้มคนเดียวที่คอนโด เผลอตักข้าวต้มเข้าปาก
“โอ้ว...ร้อนๆๆ”
กฤตพนธ์ขับรถเข้าประตูรั้ว คฤหาสน์ “อัศวัติ”ในเวลากลางคืน ตระกูลเขาร่ำรวยมากเช่นกัน เขาแอบจอดรถแบบชิดๆ คิดว่า คงไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยถูกยิง แล้วเดินเข้าบ้าน
ล้อรถเปลี่ยนยางใหม่แล้ว กระจกรถก็เช่นกัน ถูกเปลี่ยนมาใหม่แล้ว แต่ยังมีร่องรอยกระสุนที่ตัวถังรถอยู่จุด2จุด
กฤตพนธ์เดินเข้ามาภายในบ้านที่ตกแต่งโอ่อ่า ภาพของ “มานพ” ในชุดนายพลขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง
“ธรรม”... พ่อบ้านเก่าแก่ อดีตทหารเดินเข้ามา
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณกฤต จะรับอาหารค่ำเลยไม๊ครับ”
“ผมทานกับเพื่อนมาเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นจะรับชาหรือกาแฟไม๊ครับ”
“ไม่ล่ะ คุณลุงยังไม่กลับอีกเหรอ”
“ยังครับ คุณท่านโทร.มาบอกว่าคงจะกลับดึกมากน่ะครับ”
กฤตพนธ์พยักหน้ารับรู้ ทิ้งตัวนั่งลงหลับตาอย่างแสนเหนื่อยที่โซฟาหรู พ่อบ้านเดินผละไปเงียบๆ ในหัวเขามีแต่เรื่องนันทนัชผ่านเข้ามา
“ฉันจากบ้านไป5ปี ไม่เคยกลับมาเลย พอกลับมา ฉันก็ถูกล่าเอาชีวิต ถ้าไม่ใช่ฝีมือพวกฤทัยแล้วจะเป็นใคร คุณบอกฉันได้ไม๊” ...
รถของพวกเชนเร่งเครื่องแซงขวาเบียดขึ้นมาขับประกบได้ เขาเห็นไอ้โม่งเชนกับไอ้โม่งสมหมายโผล่ออกมาที่หน้าต่างรถทั้งหน้าและหลังรถ สาดกระสุนเข้าใส่รถ...
ไอ้โม่งเชนยื่นปืนจ่ออยู่พร้อมกับมืออีกข้างชี้หัวแม่โป้งออกมาทำท้าเชือดคอใส่กฤตพนธ์...
“ถ้าไม่ใช่ฝีมือพวกฤทัยแล้วจะเป็นใคร คุณบอกฉันได้ไม๊... คุณบอกฉันได้ไม๊...คุณบอกฉันได้ไม๊?”
กฤตพนธ์ลืมตาผึงขึ้น หัวเสียนิดๆเหมือนถูกนันทนัชตะโกนถามกรอกหูอยู่ข้างๆ
“โธ่เอ้ย! ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือใคร แต่ถ้า...เป็นฝีมือคุณฤทัยจริงๆ ยัยนั่นอยู่ในบ้านหลังนั้นคนเดียว ต้องเจอดีอีกแน่ๆ”
เขาถอนใจ อดเป็นห่วงเธอไม่ได้
ภายในห้องนอนลิตร เรือนรัตนะ เวลากลางคืน นันทนัชตวัดผ้าคลุมเตียงขึ้นก้มลงส่องไฟฉายสำรวจไปทั่วใต้เตียง
“ถ้าคุณพ่อถูกฆ่าในห้องนี้ มันต้องมีหลักฐานอะไรบ้างซีน่า”
ใต้เตียงไม่พบอะไร เธอดูใต้หมอน ถอดปลอกหมอนออกมาดู ดันที่นอนขึ้นดูใต้เบาะ ตลบผ้าห่มขึ้นดู ถอดปลอนหมอนข้าง สะบัดผ้าคลุมเตียง … ว่างเปล่า ไม่มีหลักฐานใด
เธอนั่งถอนใจหัวยุ่งอยู่บนเตียงที่ถูกรื้อค้นจนเละไปหมด
“โฮ่ย! ไม่เจออะไรเลย ยัยฤทัยคงทำลายหลักฐานทิ้งซะเรียบเลย กี่โมงแล้วเนี่ยะ”
เธอคลานไปคว้านาฬิกาตั้งโต๊ะที่โต๊ะข้างเตียงมาดู
“จะเที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ยะ มิน่าล่ะ”
นันทนัชทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนเตียงอย่างหิว เสียงท้องร้องดัง
“พวกนั้นไม่คิดจะให้ใครมาเชิญลูกเจ้าของบ้านไปกินข้าวเลยหรือไง เป็นพวกมาขออาศัยที่ไม่มีมารยาทจริงๆ”
เธอลูบท้องที่หิวจัด ลุกขึ้นจากเตียง
เธอเดินลงมา เปิดไฟในห้องครัวสว่างขึ้น มองหากับข้าวบนโต๊ะ บนเตา
“ไม่มีอะไรเหลือเลยหรือไง”
ตานันทนัชเหลือบไปมองเห็นในถังขยะ กับข้าวมากมายถูกเททิ้ง เธอยิ้มอย่างรู้ทันที
“หึ ถึงกับทิ้งกับข้าว ไม่เหลือให้ฉันกินเลยเหรอ คิดจะเล่นสงครามประสาทกับนันทนัชเหรอ โอเค๊ ระดมมาได้เลย พร้อมอยู่แล้ว แต่ระวังฉันสวนคืนไว้ให้ดี เจ็บแล้วอย่ามาร้องโย๊วๆ”
เธอพูดพลางหันไปเปิดตู้เย็น เห็นขนมปังเหลืออยู่ 3-4แผ่นในถุง ก็คว้าแยมออกมา
เธอวางขนมปังใส่จาน ทาแยมลงไป แล้วต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ารู้สึกมีสายตาจ้องมองอยู่
เธอยังทำนิ่ง ไม่กระโตกกระตาก ทาขนมปังต่อไป แต่มือแอบเปิดลิ้นชัก หยิบมีดออกมาถือแนบไว้ข้างตัว แล้วตามองจ้องออกไปที่นอกหน้าต่างห้องครัว เห็นเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งที่แอบมองอยู่ เธอชูมีดขึ้นทันที
“ใครอยู่ตรงนั้น”
เงาตะคุ่มหลบวืด
“ฉันถามว่าใคร ออกมานะ”
เงาตะคุ่มนั่นรีบวิ่งหนีไป
“อย่าหนีนะ!”
นันทนัชถือมีดวิ่งตามออกไปจากประตูหลังครัว
“หยุดนะ...แกเป็นใคร...บอกให้หยุด”
แต่เงาตะคุ่มนั้นหายไปในความมืดแล้ว เธอหยุดวิ่ง ยืนกำมีดขึ้นพร้อมสู้ป้องกันตัว มองหาไปรอบๆบริเวณที่เป็นสวนหย่อม มั่นใจแล้วว่า บ้านนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ แล้วเธอก็ยืนหยุดนิ่ง เมื่อรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาข้างหลัง เธอกระชับมีดกำแน่น เงี่ยหูฟัง … เสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้เธอแล้ว เธอเงื้อมีดหันไป
“ย๊าก”
“แอร๊ย”
เดือนสาวใช้ยืนอยู่ข้างหลัง ตกใจกรี๊ดลั่นบ้าน วิ่งหนีเข้าครัวไป
ในเวลาต่อมา ฤทัย กนกกรในชุดนอน นั่งฟังเดือนร้องไห้ฟูมฟายฟ้อง
“ฮือๆๆ คุณผู้หญิงขา. น่ากลัวมากเลยค่ะ คุณนันจะฆ่าเดือน”
“นี่...อย่าโอเว่อร์ไปหน่อยเลย ฉันแค่ตกใจ ไม่ได้คิดจะฆ่าแกงซะหน่อย”
“เงื้อมีดขนาดนั้น ไม่ฆ่าอีกเหรอคะ นี่ถ้าเดือนวิ่งหนีไม่ทัน คุณนันคงจะกระซวกเดือนไส้ทะลักไปแล้ว”
“เอ๊ะ...ฉันบอกแล้วว่าฉันตกใจ ฉันเห็นคนแอบมองฉันอยู่ ก็เลยถือมีดวิ่งตามออกไปดู เราดันโผล่มาข้างหลังฉันทำไมล่ะ ฉันก็คิดว่าเป็นคนร้ายน่ะซิ”
“หึ คนร้าย! ในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีคนแปลกหน้าเข้ามา แล้วยังมีตำรวจเฝ้าเธออยู่ข้างนอกอีกหลายคน ใครจะเข้ามาได้ ประสาทหลอนแล้วย่ะ!” กนกกรว่า
“สงสัยจะถูกไอ้โม่งกระทืบเอาหนัก สมองเลยกระทบกระเทือน พรุ่งนี้กลับไปให้หมอเช็คสมองเถอะไป๊” ฤทัยว่า
รณฤทธิ์ที่เพิ่งกลับจากเที่ยวกลางคืนเดินเข้ามา
“หรือไม่ก็เป็นพวกโรคจิต ขาดความอบอุ่น ชอบความรุนแรง ชอบคิดไปเอง เออเอง ว่ามีการฆ่าเกิดขึ้น”
“ฉันไม่ได้คิดไปเอง! ทั้งหมดต้องเป็นแผนการของพวกเธอแน่ รวมหัวกันสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา คิดจะให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ใช่ไม๊ ฮ่ะๆๆ แผนเด็กๆ ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นบ้านของฉัน
ฉันจะอยู่ที่นี่ ทวงทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อกลับคืนมาให้หมด”
นันทนัชเดินหัวเราะขึ้นห้องไป
“ตามไปกระทืบมันเลยดีไม๊”
รณฤทธิ์จะเดินตามขึ้นไป แต่กนกกรคว้าแขนไว้
“อย่าบ้าน่ารณ ตำรวจเฝ้ามันอยู่หน้าบ้านนะแก”
ฤทัยมองตาม ยิ้มร้าย
“อยู่ได้อยู่ไป แกได้เจอเรื่องตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อยๆแน่นังนัน”
ฤทัยแอบลงจากเรือนเดินมาที่เรือนคนใช้หลังเรือนรัตนะ เธอหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่ง
มองซ้ายมองขวา เคาะประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก ฤทัยรีบผลุบเข้าไปทันที
ภายในห้อง... ฤทัยยื่นมือไปลูบแก้มไม้
“ทำดีมากจ้ะไม้ เล่นเอานังนั่นตกใจจนประสาท เกือบจะฆ่านังเดือนแทนหึๆๆ”
“แน่ใจเหรอครับพี่ ว่าแผนนี้จะไล่นังนั่นออกจากบ้านได้”
“เราทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ นังนั่นมันสงสัยว่าเราฆ่าพ่อมัน ตำรวจคงจะจ้องจับผิดเราอยู่ เล่นสงครามประสาทกับมันที่บ้านยังงี้ไปเรื่อยๆ ทำให้มันดูบ้า สติไม่ดีวิกลจริตในสายตาคนอื่นให้ได้ เดี๋ยวมันก็หมดสิทธิ์ดูแลทรัพย์สมบัติทุกอย่างของพ่อมันไปเองฮ่ะๆๆ”
“ครับพี่ ผมจะลงมือให้หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ แต่คืนนี้...ดึกแล้ว อย่ากลับขึ้นตึกเลยนะครับ เดี๋ยวยุงกัด”
“บ้า...ไม้เนี่ยะ”
ไม้ปิดสวิชต์ไ ฟในห้องดับลง
นันทนัชในชุดจะนอน ล็อกประตูห้องใส่กลอนแน่นหนา ก่อนเดินมาหยิบยาขวดหนึ่งจากกระเป๋าเดินทางขึ้นมา...เทยา1เม็ดใส่มือ แล้ววางขวดยาลง
“ขืนนอนไม่หลับ พรุ่งนี้ไม่มีแรงตื่นมาสู้รบตบมือกับพวกนั้นแน่”
เธอกินยา แล้วเดินไปนอนลงที่เตียง ห่มผ้า ยื่นมือไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง
เธอนอนหลับไปแล้วและดูเหมือนกำลังฝันร้าย ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากำลังเกิดฟ้าร้อง ลมพัดแรงเหมือนฝนกำลังจะตก
ฟ้าแลบแปล๊บขึ้น ส่องเข้ามาในห้อง ปรากฏเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่มุมห้อง
กำลังยืนมองเธออยู่
นันทนัชลืมตาขึ้น พบลิตรยืนอยู่ที่ปลายเตียง นันทนัชลุกขึ้นนั่ง
“พ่อ”
แต่ลิตรหายไป นันทนัชตวัดผ้าห่มออก ก้าวเท้าลงจากเตียง กลับพบร่างลิตรนอนตายอยู่ข้างเตีย
“ห่ะ...พ่อ”
เธอรีบเข้าไปประคองร่างลิตร เขย่าปลุก
“พ่อ พ่อ ฟื้นซิ...พ่อ”
เธอกอดศพลิตร้องไห้ แล้วตาก็มองไปเห็นวิญญาณรำเพยปรากฏขึ้น ยืนมองอยู่
“นั่นแม่ใช่ไม๊...แม่รำเพย...แม่จ๋า”
รำเพยกลับส่งยิ้มให้กำลังใจมา ก่อนจะหันเดินไป
“แม่จ๋า...อย่าเพิ่งไป...แม่”
นันนทนัชปล่อยมือจากร่างลิตรวิ่งตามไป แต่ร่างรำเพยหายไปแล้ว
เธอสะดุ้งตื่นขึ้น
“แม่!”
เธฮนั่งหอบมองไปรอบๆพบว่า ตัวเองฝันไป
“ฝันไปเหรอเนี่ยะ”
เธอลูบหัวตัวเองอย่างอ่อนเพลีย ล้มตัวลงนอนต่ออีกครั้ง
แสงฟ้าแลบที่สว่างว๊าบเข้ามา ทำให้เห็นร่างตะคุ่มยังยืนอยู่ตรงนั้น