xs
xsm
sm
md
lg

สุสานคนเป็น ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุสานคนเป็น ตอนที่ 8

จิ้มลิ้ม สวาท ยาใจ ฉ่ำ วิเวก และสมพรกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกัน ขณะที่หวานนั่งเงียบตาแดงก่ำอยู่ที่มุมหนึ่ง

“น้าฉ่ำไม่ได้โม้แน่นา” ยาใจถาม
“นั่นสิอย่าหลอกกันเล่นนะแค่นี้ฉันก็กลัวหัวหดแล้ว” จิ้มลิ้มว่า
“โธ่ข้าสาบานได้คุณผู้หญิงจริงๆ ยืนร้องไห้มองคุณผู้ชายเขม็งเลยแก” ฉ่ำบอก
“คุณผู้หญิงต้องเสียใจมากแน่ๆ” สวาทว่า
“แน่ละสิก็ดูคุณผู้ชายทำกับท่าน เฮ้อข้าก็ไม่ชอบใจนักหรอกแต่เรามันเป็นขี้ข้าจะไปพูดอะไรได้” สมพรบอก
รถชีพเลี้ยวเข้ามาภายในบ้าน วิเวกรีบบอกทุกคน“ใครยังไม่อยากถูกไล่ออกก็หุบปากได้แล้ว”
ทั้งหมดหันไปมองชีพกับรสสุคนธ์ที่ก้าวลงจากรถ รสสุคนธ์เดินวางมาดเข้ามา
“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ดีแล้ว”
รสสุคนธ์ดึงใบทะเบียนสมรสออกมาสะบัดไปมา “นี่คือทะเบียนสมรส ดูกันซะให้เต็มตา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ฉัน รสสุคนธ์คือภรรยาที่ถูกต้องของคุณชีพ และเป็นคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้านนี้”
ทุกคนอึ้ง หวานโมโหจนเดือดจึงลุกพรวด “นังกิ้งก่า ชูคออวดความเลวอย่างหน้าด้านๆ ภูมิใจมากนักเหรอวะกับสิ่งที่แกฉกชิงมาอย่างไม่อายฟ้าอายดิน”
รสสุคนธ์แทบเต้น เธอมองหวานตาถลน “น้าหวานจะมากไปแล้วนะ อย่าคิดว่าเป็นน้าแล้วฉันจะไม่กล้าไล่ออก”
หวานไม่กลัว “แกไม่ต้องมาไล่ข้าหรอกนังรส ข้าก็ไม่อยากอยู่ดูความโสมมของแกนักหรอก”
รสสุคนธ์อึ้ง ชีพเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาพูดกับหวานดีๆ
“ไม่เอาน่าน้าหวาน ยังไงรสก็เป็นเมียฉันแล้ว ฉันรู้ว่าน้าหวานจงรักภักดีกับลั่นทม แต่เขาก็ตายไปแล้วเขาไม่อยู่แล้ว”
“อยู่สิคะคุณผู้หญิงยังอยู่ยังรับรู้ทุกอย่างนายฉ่ำก็ยังเห็น” หวานบอก
“จริงครับคุณผู้ชายผมไม่ได้ตาฝาดผมเห็นผีคุณผู้หญิงจริงๆ” ฉ่ำยืนยัน
ชีพยิ้มดุร้าย “ถ้างั้นฉันขอเจอหน่อยซิ..”
ชีพดึงทะเบียนสมรสจากมือรสสุคนธ์ “ฉันจะได้เอาไอ้นี่ให้ดู”
“อย่านะคะอย่าทำอย่างนั้นคุณผู้หญิงจะเสียใจมาก” หวานบอก
“ฉันจะพิสูจน์ให้ดูไงว่าผีมีจริงมั้ย..” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์มองทุกคนแล้วยิ้มเยาะ “ฉันรู้ทันพวกแกหรอกน่า คิดจะกุเรื่องผีนังลั่นทมจะทำให้ฉันกับคุณชีพกลัวนะเหรอไม่มีทาง”
“วิญญาณคุณผู้หญิงยังอยู่จริงๆถ้าแกไปท้าทายท่านแกจะเดือดร้อน” หวานบอก
“งั้นเหรอ ได้เรามาลองดูกัน ไปเถอะค่ะชีพ” รสสุคนธ์คล้องแขนชีพแล้วพาเดินไปที่สุสาน
“แย่แล้วทำไมไม่เชื่อกันเลย ถ้าคุณผู้หญิงอาละวาดขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย” ฉ่ำกังวล
ทุกคนมองตามด้วยความหวาดกลัว


ลั่นทมนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงโดยมีหน้าตาเและนื้อตัวเขียวคล้ำมากขึ้น แขนขาร่างกายแข็งเกร็ง
ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามากใล้ ชีพชูใบทะเบียนสมรสตรงหน้าลั่นทมแล้วพูดเยาะเย้ย
“เธอคุยว่าไม่หายใจแต่ก็รู้สึกตัวทุกอย่างไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นเห็นแล้วใช่มั้ยว่านี่อะไร ใช่ฉันจดทะเบียนกับรสแล้ว ก็เธอมันงกนักนี่...ในที่สุดเงินของเธอก็จะเป็นของ ฉันกับรส” ชีพบอก
ชีพหัวเราะสะใจ รสสุคนธ์เดินเข้ามาคลอเคลียชีพแล้วมองลั่นทมอย่างไม่กลัว
“ฟื้นขึ้นมาสิจ๊ะคุณนายลั่นทม อุ๊ยแต่ถ้าตอนนี้เธอฟื้นขึ้นมาได้เธอจะอยู่ในตำแหน่งไหนดีละเพราะฉันกลายเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณชีพไปแล้ว สงสัยจะลมจับแล้วช็อกตายไปอีกรอบล่ะมั้ง”
ทั้งสองขำจนหัวเราะลั่นเหมือนเป็นเรื่องที่สนุกมากๆ อุษาเข้ามามองอย่างไม่อยากเชื่อ
“เลวที่สุด กล้าทำกับคุณน้าถึงขนาดนี้เลยเหรอ” อุษาว่า
ชีพกับรสสุคนธฺหยุดหัวเราะทันที อุษาปราดเข้ามาตะโกนเสียงดัง
“ไป..ออกไปทั้งคู่ไปให้พ้น”
ชีพหน้าเสีย รสสุคนธฺไม่สน “เธอไล่ใคร”
“ไล่หญิงร้ายชายชั่วไง”
รสผวาเข้าหาจะตบแต่ชีพจับมือไว้แล้วดึงรสไปด้านหลัง ชีพมองอุษา
“จะมากไปแล้วอุษา พูดจาให้เกียรติน้าบ้าง” ชีพบอก
“น้าชีพมีเกียรติด้วยเหรอคะ สิ่งที่น้าชีพทำกับคุณน้าทั้งที่ผ่านมาและทั้งวันนี้มันทำลายเกียรติของน้าชีพรวมถึงความเป็นคนจนไม่มีเหลือแล้วละคะ”
ชีพอึ้ง รสสุคนธฺเถียงไม่ยอมแพ้ “ก็น้าเธอมันแกล้งฉัน แกล้งคุณชีพ พวกเธอก็คบคิดกันรวมหัวให้ฉันกลัวเพื่อฉันจะได้ไปจากที่นี่ใช่มั้ย ฉันกับคุณชีพจะพิสูจน์ให้เห็นไงว่าผีน้าเธอนะไม่มีจริง”
“พิสูจน์ด้วยการทำร้ายจิตใจคุณน้าแบบนี้นะเหรอ คิดบ้างมั้ยว่าคุณน้าจะเสียใจจะเจ็บช้ำแค่ไหน”
อุษาจ้องหน้าชีพอย่างเอาเรื่องแล้วพูดเด็ดขาด “ษาหวังว่าจะไม่เห็นน้าชีพทำร้ายจิตใจคุณน้าแบบนี้อีกนะคะ”
อุษาเดินออกไป ชีพยังยืนนิ่ง รสสุคนธ์ฉุนจึงตะโกนตามหลังไป
“ทำปากดีไปเถอะไม่มีที่จะซุกหัวนอนยังไม่รู้สึกตัว แกกล้าด่าเจ้าของบ้านอย่างฉันเดี๋ยวแกจะรู้สึก”
รสสุคนธ์หันกลับมาเห็นชีพเดินเข้าไปหาลั่นทมที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ชีพแค้นขึงเขย่าตัวลั่นทมด้วยความโมโห “นอนเฉยอยู่ทำไม ลุกขึ้นอาละวาดสิแน่จริงลุกขึ้นมา ฉันเกลียดเธอลั่นทมได้ยินมั้ยฉันเกลียดเธอ
ชีพปล่อยลั่นทมลงอย่างแรง ลั่นทมนอนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดใด
ชีพหัวเราะสะใจ “มันก็ไอ้แค่ซากศพที่กำลังจะเน่าเปื่อย”
ชีพโอบรสสุคนธ์แล้วหัวเราะเยาะกันก่อนจะเดินออกไป ลั่นทมลืมตาโพลง ตาของเธอแดงก่ำขณะหันหน้ามองชีพกับรสสุคนธ์ที่เดินออกไปอย่างแค้นมาก


อุษาเดินเข้ามาในห้องแล้วเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะยกมือปิดหน้าร้องไห้ วิญญาณลั่นทมปรากฏร่างนั่งลงใกล้ๆ แล้วลูบผมอุษา
“คุณน้าขาษาสงสารคุณน้าเหลือเกิน ษาไม่รู้จะช่วยคุณน้าได้ยังไง” อุษาบอก
“ไม่เป็นไรษา น้าจะอดทน น้าไม่อยากสร้างบาปกับใครอีก แต่น้าก็ไม่รู้ว่าจะทนได้อีกแค่ไหน”
อุษาชะงักมองรอบๆตัวเพราะรู้สึกแปลกๆ
“น้าอยากให้ษาเห็นน้า แต่น้าก็ไม่อยากให้ษากลัว” ลั่นทมบอก
ลั่นทมชะงักมองไปที่ประตู อุษาก็มองไปด้วย รสสุคนธ์เปิดประตูเข้ามา ตามด้วยสวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ
“ขนของอุษาลงไปห้องเล็กข้างล่างให้หมด” รสสุคนธ์สั่ง
พวกสวาทอึกอักแล้วมองอุษาอย่างเกรงใจ ลั่นทมลุกขึ้นมองรสสุคนธ์อย่างโกรธจัด อุษาลุกขึ้นถามเรียบๆ
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งแบบนี้”
ชีพเข้ามายืนเคียงข้างรสสุคนธ์แล้วพูดแทน
“สิทธิ์ที่รสเป็นเมียน้าก็เหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่ง”
“แต่น้าชีพยังไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านนี้” อุษาบอก
“ทำไมจะไม่ได้เป็น ไหนว่าไม่เคยต้องการอะไรไงล่ะกะอีแค่ย้ายห้องต้องโยกโย้ทำไม นังหวาด นังจิ้มลิ้ม นังยาใจ ถ้าพวกแกไม่อยากถูกไล่ออก ก็รีบไปขนของซะ” รสสุคนธ์สั่ง
พวกสวาทยังไม่กล้า อุษาข่มใจพูดกับพวกสวาท
“มาขนกันไปเถอะจ้ะ” อุษามองชีพกับรสสุคนธ์ “ที่ฉันยอมย้ายไม่ใช่เพราะกลัวแต่ฉันเองก็รังเกียจที่จะอยู่ใกล้พวกบาปหนาเต็มที”
อุษาเดินไปเก็บข้าวของส่วนตัวโดยไม่สนชีพกับรสสุคนธ์อีก ลั่นทมโกรธจึงหายตัวไปยืนข้างหลังพวกสวาท พวกสวาทกำลังจะเดินผ่านลั่นทมเพื่อไปเก็บของ ลั่นทมจ้องตาแดง พวกสวาทถลาไปเหมือนถูกผลัก ทั้งหมดชนรสอย่างแรงจนกระเด็นไปล้ม รสโมโหรีบลุกขึ้นมาแว้ดใส่พวกสวาทที่ยืนงงๆ
“อีพวกบ้าเดินประสาอะไรหรือว่าคิดจะแกล้งฉัน” รสสุคนธ์โวย
“เปล่านะนังใจมันผลักฉันมา”
“ก็นังจิ้มลิ้มมันผลักฉันก่อน” ยาใจบอก
“ฉันก็โดนผลักเหมือนกัน” จิ้มลิ้มบอก
จิ้มลิ้มหันไปมองข้างหลังก็พบว่าว่างเปล่า
“แล้วใครผลักฉัน” จิ้มลิ้มงง
จิ้มลิ้มตกใจจึงกระโดดเข้ามาในกลุ่มสวาท ยาใจร้องลั่น “เฮ้ยหรือว่าคุณผู้หญิง”
ทั้งสามคนตัวสั่นมองกันเลิ่กลั่น รสสุคนธ์ตวาด “เลิกบ้าทีก็บอกแล้วว่าผีนังลั่นทมมันไม่มี ใครพูดอีกฉันจะไล่ออก ไปรีบไปเก็บของ”
ทั้งสามคนค่อยๆแยกย้ายกับเก็บของอย่างหวาดๆ อุษาเก็บของโดยไม่แสดงอาการ รสสุคนธ์มองเยาะๆก่อนจะคล้องแขนชีพแล้วพากันเดินผ่านวิญญาณลั่นทมที่ทำท่าเหมือนจะทำร้ายแต่ก็ข่มใจ ลั่นทมหันมา
มองอุษาด้วยความสงสารก่อนจะเลือนหายไป

ไกรรออยู่ในห้องรับแขกพร้อมกระเป๋าเอกสาร ชีพเดินเข้ามากับรสสุคนธ์ ชีพพูดห้วนๆ ด้วยท่าทีปั้นปึ่งเพราะอารมณ์ไม่ดี
“ไหนล่ะ”
ไกรพูดเรียบๆ “รอหนูอุษากับคุณธารินทร์ด้วยครับ”
รสสุคนธ์ตวาดใส่ “นี่อย่าโยกโย้นักเลยคุณทนาย ทำตัวเป็นกลางหน่อย”
“ผมไม่ได้โยกโย้ แต่หนูอุษามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง..ส่วนหมวดธารินทร์เป็นตัวแทนรับรู้แทนท่านผู้ว่าท่านสารวัตรใหญ่”
ไกรหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วชูให้ดู “นี่ไงครับหนังสือมอบฉันทะที่ท่านทั้งสองส่งมาที่ผม”
ชีพหงุดหงิด “แล้วทำไมยังไม่มาไม่รู้จักหน้าที่”
ธารินทร์เดินเข้ามา “ผมมาแล้วครับ”
ชีพพึมพำแต่จงใจให้ธารินทร์ได้ยิน “แส่ทุกเรื่อง”
ธารินทร์รับคำหน้าตาเฉย “ครับ นอกจากมาแทนในเรื่องพินัยกรรมแล้วผมยังมีหมายค้นมาจัดการเรื่องคดีของคุณน้าลั่นทมด้วย ว่าทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม”
ชีพหน้าเสียแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “เอ้าใครอยู่แถวนี้ไปตามอุษามาหน่อยเร็วๆ”
รสสุคนธ์มีสีหน้าไม่ค่อยดี เธฮคอยสบตาชีพ แต่ชีพจ้องเขม็งให้อยู่เฉยๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาธารินทร์ที่มองทั้งสองคนอย่างรู้ทัน

อุษานั่งมองสวาท จิ้มลิ้ม และยาใจช่วยกันจัดของเข้าที่เข้าทางอย่างเศร้าๆ สักพักหวานก็เดินเข้าม“คุณษามาอยู่นี่เองน้าตามหาเสียทั่ว คุณไกร คุณธารินทร์มาค่ะให้เชิญคุณษาไปที่ห้องรับแขก”
“จ้ะ” อุษาพูดกับพวกสวาท “เอาแค่พวกเสื้อผ้าษาเข้าตู้ให้ก็พอจ้ะ ที่เหลือเดี๋ยวษากลับมาจัดเอง”
หวานงงในขณะที่มองข้าวของทั้งหมด “นี่มันอะไรกันคะ”
“ก็หลานสาวน้าไล่คุณษาลงมาอยู่ห้องนี้” ยาใจบอก
“ถ้าพวกเราไม่ขนลงมาก็ขู่จะไล่ออก” จิ้มลิ้มเสริม
“ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะน้าหวาน น้าล่ะเป็นน้าแท้ๆไม่คิดจะทำอะไรบ้างเหรอ” สวาทถาม
หวานมองอุษาอย่างตกตะลึงแล้วเข้าไปยกมือไหว้ร้องไห้
“น้าขอโทษค่ะคุณษาน้าเสียใจจริงๆน้าจะไม่ยอมให้มันทำกับคุณษาอย่างนี้ เป็นไงเป็นกันสิ” หวานบอก
หวานจะเดินออกไปแต่อุษารีบคว้ามือหวานไว้ “ช่างเถอะน้าหวาน อย่าให้มีเรื่องมีราวกันเลย รสกำลังบ้าอำนาจเขาไม่ฟังใครหรอก ษาเองก็คงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน”
“คุณษาจะไปไหนคะ” หวานถาม
“คุณไปอยู่บ้านใหม่กับคุณธารินทร์ใช่มั้ยคะหวาดไปด้วยนะคะ” สวาทขอ
ยาใจกับจิ้มลิ้มเอ่ยปาก “พวกเราด้วยนะคะ”
“ษาคงไม่มีเงินจ้างหรอกจ้ะ”
“ไม่ต้องให้เงินหรอกค่ะพวกเราแค่มีข้าวกินมีที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว” ยาใจบอก
“ไว้ษาจะถามรินทร์ให้นะจ๊ะ” อุษาบอก
ทั้งสามดีใจ “เย้ ไชโย”
อุษายิ้มๆ แล้วเดินออกไป หวานมองตามด้วยความสงสารจับใจ


ไกร ชีพ อุษา ธารินทร์ และรสสุคนธ์นั่งกันพร้อมหน้า ไกรยื่นพินัยกรรมชุดเดิมให้ชีพ ในกระเป๋าเอกสารไม่มีพินัยกรรมหรือเอกสารอื่นใดอีก
“เท่านี้เหรอ” ชีพถาม
“ครับ..” ไกรตอบ
รสสุคนธ์ที่นั่งใกล้ชีพเอ่ยถาม “บัญชีทรัพย์สินล่ะ”
“จะนำมาหลังวันที่หมอผันรักษาคุณลั่นทมเสร็จ..พร้อมพินัยกรรมส่วนอื่น” ไกรบอก
“แต่ผมต้องการเงินสดในบัญชีลั่นทมมาใช้หมุนเวียน” ชีพบอก
“คุณต้องใช้เงินในบัญชีส่วนตัวคุณไปก่อน” ไกรบอก
ชีพทะลึ่งลุกขึ้นอย่างลืมตัว “อะไรกันวะ”
ธารินทร์กับอุษาสบตากัน รสสุคนธ์เจ้ากี้เจ้าการ
“แล้วเงินใช้จ่ายที่โรงงานล่ะจะให้ทำยังไง”
“คุณชีพมีสิทธิ์เบิกจ่ายได้กับหนูอุษาเพราะเธอคุมบัญชีอยู่แล้ว” ไกรว่า
“นี่คุณไกร คุณกำลังเล่นตลกอะไร ผมเป็นผัวลั่นทมจะใช้เงินต้องขอเบิกจากอุษาเหรอ มันมากไปแล้วนะ” ชีพไม่พอใจ
“ผมทำตามที่พินัยกรรมระบุ” ไกรบอก
ชีพมองดูพินัยกรรมในมือแล้วปาทิ้งอย่างเดือดดาล
“ไอ้คนเขียนพินัยกรรมฉบับนี้มันบ้า..มันวิปริต นี่คุณ..ลั่นทมมีโรคร้ายประจำตัว สติสตังไม่สมบูรณ์..จะเชื่อได้ยังไง”
ไกรเก็บพินัยกรรมใส่กระเป๋าเอกสารหน้าตาเฉย
“สมบูรณ์ครับ..เพราะมีพยานรู้เห็นครบถ้วน” ไกรย้ำ
“ไม่เป็นไรค่ะชีพ..เขาไม่ให้เราเบิกเราก็เอาเครื่องเพชรลั่นทมที่อยู่กับคุณขายใช้จ่ายก่อนก็ได้ หวังว่าคงไม่มีปัญหานะคะ”
รสสุคนธ์ยิ้มอย่างเหนือกว่า ไกรพูดต่อเรื่อยๆ “มีครับเพราะเครื่องเพชรรวมทั้งข้าวของในบ้านทุกชิ้นมีบันทึกพร้อมภาพถ่ายครับ ทำกันก่อนที่คุณลั่นทมจะไปเอามาจากธนาคาร ฉะนั้นถ้าคุณเอาไปใช้คุณจะถูกฟ้องและถูกตัดสิทธิ์”
ชีพกับรสสุคนธ์อึ้งตะลึง ทั้งสองหันมามองอุษากับธารินทร์ที่กำลังยิ้มสะใจ


ชีพผลุนผลันเข้ามาอย่างโกรธจัด รสสุคนธ์เดินตามมาด้วย ชีพจ้องร่างลั่นทมด้วยความโกรธจนตัวเนื้อสั่นก่อนจะด่าลั่น “นังผีบ้า..แกเตรียมการทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว แกเลวมาก แกหลอกฉัน ฉันขอให้แกตกนรกอย่าได้ผุดได้เกิด..ขอให้วิญญาณแกได้รับแต่ความทุกข์ทรมานทุกๆชาติเลย”
“มันร้ายกว่าที่คิดจริงๆนะคะชีพ ขนาดตายแล้วมันยังขัดขวางเราจนได้ รสเคยบอกคุณแล้วว่ามันไม่ได้รักคุณ มันเกลียดคุณมันจะแกล้งคุณ”
ชีพได้แรงยุก็ยิ่งโกรธจัด “นังสารเลว ฉันจะสาปแช่งแก ฉันจะสาปแช่งแก”
ชีพเดินออกไปที่ประตู รสสุคนธ์เดินตามมา สองคนชะงักเมื่อเจอลมพายุพัดเข้าใส่อย่างรุนแรง ใบไม้กิ่งไม้เล็กๆหมุนคว้างเข้าใส่ชีพกับรสสุคนธ์ ทั้งสองตกใจยกมือปัดป้องชุลมุน
“เฮ้ยพายุอะไรวะ”
“ว้ายวิ่งเร็วชีพ”
ชีพกับรสสุคนธ์พากันวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตามทางกลับบ้าน ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นที่ประตูสุสาน ลั่นทมจ้องมองอย่างไม่พอใจมาก


อุษาเดินมาส่งธารินทร์ที่รถ ธารินทร์พูดกับอุษา “ผมเป็นห่วงษาจัง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณรีบกลับเถอะ”
“ก็ได้ครับ คืนนี้เจอกัน”
“ษาเกรงใจคุณลุงหมอเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อเต็มใจทำเพื่อคุณน้า แต่พ่อเห็นว่าคราวนี้เอ้อ...”
“ษาเข้าใจ แต่ยังไงก็อยากให้ลอง ถ้าแน่ใจจริงๆแล้วษาก็คง...”
อุษาพูดไม่ออก ธารินทร์มองด้วยความสงสาร ชีพกับรสสุคนธ์วิ่งมาถึงในสภาพหัวหูยุ่งมีเศษใบไม้เล็กๆติดผม ชีพกับรสสุคนธ์ปัดฝุ่นตามตัว
“บ้าจริงสงสัยเป็นพายุฤดูร้อน” ชีพบ่น
“พายุอะไรกันครับ” ธารินทร์ถาม
“จะไปรู้เหรอ อยู่ๆก็พัดซะอย่างกับโกรธใครมาจากไหน ดูสิหัวหูเลอะเทอะขี้ฝุ่นหมด”
“รีบเข้าบ้านเถอะค่ะชีพ รสอยากอาบน้ำสระหัวนี่คันไปหมดทั้งตัวแล้ว”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าใส่อุษาพร้อมทั้งรั้งแขนชีพพากันเข้าบ้าน อุษามองตามสองคนมองธารินทร์แล้วมองไปทางสุสาน
“พายุที่ไหนกันแล้วสองคนนั่นไปวุ่นวายอะไรที่สุสานอีก” อุษาสงสัย
สุสานตั้งตระหง่านไกลๆ แลดูน่ากลัว

สุสานลั่นทมตอนกลางคืนดูวังเวงน่ากลัวกว่าตอนกลางวัน หม้อต้มยาบนเตาซึ่งมียาเต็มหม้อกำลังเดือดพล่าน ผันกำลังสวดภาวนาพึมพำ วิเวก สมพร และฉ่ำจับกลุ่มกันอยู่ที่เดิม วิเวกกับสมพรอ่อนเพลียมาจากคืนแรกจึง
หลับสนิทแต่ฉ่ำหลับๆ ตื่นๆ ต้อยติ่งซบหลับอยู่กับธารินทร์
ลั่นทมนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียงโดยที่สภาพลั่นทมดูน่าเกลียดกว่าเดิม เนื้อตัวแข็งเกร็ง ผิวซีดเซียวและเริ่มมีรอยช้ำเลือดช้ำหนองและบวม ขึ้นอืด เป็นจ้ำๆ พร้อมจะเปลี่ยนสภาพเป็นเน่าเปื่อยได้เสมอ อุษายังคงจับมือลั่นทมไว้อย่างทรหด ต้อยติ่งลืมตาขึ้นมาถามธารินทร์เบาๆ
“เหม็นอะไรนะพี่รินทร์”
ธารินทร์อ้ำอึ้ง ต้อยติ่งหลับต่อ ธารินทร์กระซิบบอกอุษา
“ษาครับ..มีกลิ่นแล้วนะ”
อุษาร้องไห้ “ษากำลังรอปาฏิหาริย์ค่ะ”
ธารินทร์ถอนใจ วิญญาณลั่นทมปรากฏร่างมองทุกคนอย่างเศร้าซึม เสียงหมาหอนไกลๆ ฉ่ำขนลุกเกรียวขึ้นมาดื้อๆ เขามองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ พอฉ่ำหันมาทางหนึ่งก็ต้องผวาร้องลั่น “เฮ้ย....”
ฉ่ำเห็นหวานยืนอยู่ ทุกคนยกเว้นหมอผันหันมา ผันยังคงสวดภาวนาไม่สนใจสิ่งใดๆ โดยมีสมาธิแน่วแน่
“โธ่..แม่หวาน มาเงียบๆ ตกใจหมดโอ๊ยหัวใจจะวาย” ฉ่ำว่า
หวานเข้ามาหาธารินทร์แล้วกระซิบ “น้า จะมาเอาหนูต้อยติ่งไปนอนค่ะ”
ธารินทร์พยักหน้าปลุกต้อยติ่ง ต้อยติ่งลืมตา หวานพาต้อยติ่งออกไปถึงประตูต้อยติ่งรั้งหวานไว้
“เหม็นอะไรไม่รู้น้า..น้าได้กลิ่นมั้ยคะ มีหนูตายหรือเปล่า”
หวานมองไปทางศพลั่นทมพลางถอนใจเฮือกแล้วก็พูดอะไรไม่ออก สบตาอุษาอย่างเห็นใจแล้วพาต้อยติ่งออกไป
หวานน้ำตาซึมแล้วก็ส่ายหน้า “ไปเถอะค่ะ”
วิญญาณลั่นทมยืนนิ่งสงบมองดูทุกคนอย่างซาบซึ้งในความพยายาม
“ขอบใจทุกคนมากเหลือเกิน แต่..ไม่มีหวังแล้วล่ะ เลิกทำพิธีเถอะ”
ไม่มีใครได้ยินลั่นทม ทุกคนมองที่ผันซึ่งทำพิธีอย่างตั้งใจ


ชีพกับรสสุคนธ์ชุดนอนนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุขบนเตียงที่ลั่นทมเคยนอน ครู่หนึ่งเสียงกริ่งจากสุสาน
ก็ดังขึ้นที่ข้างเตียง รสสุคนธ์หลับสนิทแต่ชีพได้ยินเสียงกริ่งจากสุสาน ชีพลืมตาขึ้นเพราะคิดว่าตนเองฝันไป เขาจึงจะหลับต่อแต่เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก ชีพผวาลุกขึ้นนั่งมาปลุกรสสุคนธ์ รสสุคนธ์งัวเงีย
“อะไรคะ”
“เธอไม่ได้ยินไอ้เสียงกริ่งบ้านี่หรือ”
“กริ่งอะไร”
“ก็ที่ลั่นทมติดไว้เพื่อส่งสัญญาณมาจากโลงศพถ้าเขาฟื้นไง ทำไมมันดังขึ้นมาได้” ชีพตกใจ “เฮ้ยหรือว่าลั่นทมฟื้น”
“บ้า เป็นไปได้ยังไง ตัวเขียวออกอย่างนั้น”
“แล้วทำไมมันดังล่ะ”
“พวกนั้นเล่นตลกแกล้งเราน่ะซี มันยังไม่ได้เอาลั่นทมลงโลงเลยนอนเถอะค่ะ อย่าสนใจเลยรสง่วง”
รสสุคนธ์เอนหลังลงนอนต่อ ชีพมองไปยังมุมที่ติดกริ่งอย่างไม่พอใจแล้วก็นอนต่อ เสียงกริ่งดังอีก ชีพสะดุ้งก่อนจะหันไปทางรสสุคนธ์
“ดังอีกแล้ว”
รสสุคนธ์ยังไม่หลับจึงหันมามองงงๆ แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เห็นได้ยินนี่คะ”
ชีพขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแต่ก็นอนนิ่ง แล้วเขาก็พรวดลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมแล้วผลุนผลันออกจากห้อง “แกล้งฉันเหรอ”
รสสุคนธ์มองชีพด้วยความรำคาญแล้วก็นอนต่ออย่างไม่สนใจ


หมอผันยังคงเพ่งสมาธิสวดภาวนา ชีพที่สวมชุดนอนมีเสื้อคลุมผลุนผลันเข้ามาด้วยอาการเดือดจัด เมื่อมองไปที่โลงเขาก็ชะงักเพราะฝาโลงเปิดอยู่ โดยฝาวางพิงผนังโลงอยู่ด้านหนึ่ง ลั่นทมยังนอนอยู่บนเตียง อุษายังไม่หลับจึงหันมามองเฉย คนอื่นๆ ยกเว้นหมอผันหันมามอง ชีพปราดไปที่โลงศพ
“ใครแกล้งกดสัญญาณในโลงศพ” ชีพถาม
“ยังไม่มีใครเข้าไปแถวนั้นเลยครับ” ธารินทร์บอก
หมอผันยังคงสวดภาวนาต่อไป
“แต่เสียงกริ่งมันไปดังที่ห้อง” ชีพบอก
“หูแว่วหรือเปล่าคะ..ไม่มีใครแตะต้องในโลงศพเลยษารับรองได้”
ชีพมองโลงแล้วก็นิ่งอึ้ง เขาชะโงกมองลงไปก็เห็นโลงเปล่า
สมพรพูดขึ้นไม่ทันคิด “หรือว่าคุณผู้หญิง..เฮ้ย”
สมพรกระโดดเข้ากอดวิเวก วิเวกกลัว “เอาแล้วมั้ยล่ะเมื่อวานตาฉ่ำก็เห็น”
“พวกแกไม่ต้องมาหลอกฉัน บอกซะก่อนนะว่า ถ้าคิดจะแกล้งละ ก็ พวกแกจะไม่มีที่อยู่ อย่าให้ฉันจับได้แล้วกัน”
ชีพว่าแล้วเดินกลับออกไป อุษามองตามชีพไปอย่างเศร้าสังเวช ผันหยุดสวดแล้วหันไปกราบพระก่อนจะใช้ไม้กวนคนในหม้อยา
ผันพูดกับอุษา “ไปนอนเถอะหนู..พรุ่งนี้เช้าค่อยลงมา”
“ไม่ค่ะ ษาจะคอยดูคืนนี้อีกคืน”
หมอผันไม่ตอบอะไร เขายังกวนน้ำยาในหม้อต่อไป


รสสุคนธ์นอนหลับสบาย ชีพเดินเข้ามาในห้องแล้วถอดเสื้อคลุมโยนไปทางหนึ่งอย่างหงุดหงิดแล้วลงนอน พอดึงผ้าห่มคลุมร่างเขาก็ต้องสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นอีก ชีพผวาลุกขึ้นนั่ง
“อะไรวะ ทำไมมันดังอีก”
รสสุคนธ์ตื่นขึ้นมามองอย่างงัวเงีย ชีพพูดกับรสสุคนธ์
“ฉันไปที่สุสานมา..ลั่นทมก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้เอาลงโลงพวกมันก็ทำพิธีกันอยู่ อุษาก็ยืนยันว่าไม่ได้แกล้ง แล้วมันดังได้ไง”
เสียงกริ่งดังขึ้นอีก ชีพกับรสสุคนธ์มองหน้ากัน
“ดึงสายออกสิคะต่อให้มันแกล้งที่นี้ก็ไม่ดังแล้ว” รสสุคนธ์แนะนำ
ชีพนึกได้จึงกระชากสายไฟออกแล้วมองบริเวณที่ติดกริ่ง
“คราวนี้ดังให้มันรู้ไป”
ชีพหายใจหอบสะท้านด้วยความโกรธแค้นแล้วทิ้งตัวลงนอน รสสุคนธ์นอนตามแล้วหลับตา บรรยากาศวังเวง ลมพัดเข้ามาในห้องแล้วเสียงกริ่งก็ดังอีก ชีพชะงักหันไปมองสายไฟที่ถูกทิ้งเกลื่อนอยู่กลางห้องแล้วก็ตะลึง
เขาลุกขึ้นนั่งมองตาเขม็ง
“สายหลุดแล้วมันดังได้ไง” ชีพเขย่าตัวรสสุคนธ์ “รส รสมันดังอีกแล้ว”
รสสุคนธ์ไม่ได้ยินเสียงใดๆทั้งสิ้นจึงนอนหลับเฉย ชีพสลัดผ้าห่มออกแล้วปราดไปคว้าค้อนมาทุบกริ่ง
“นี่แน่ะ ดังอีกให้มันรู้ไป” ชีพทุบรัว
รสสุคนธ์ตกใจจึงลุกขึ้นมอง “ชีพทำอะไรคะ”
ชีพไม่สนใจรสสุคนธ์แต่พูดกับกริ่งเหมือนคนบ้า “แน่จริง ดังอีกซีวะดังซี้..”
ชีพทุบจนกริ่งพังยับเยิน แล้วโยนค้อนทิ้งก่อนจะมานั่งหอบที่เตียง
รสสุคนธ์รั้งให้ชีพลงนอน “คุณน่ะคิดมาก..รสไม่เห็นได้ยินอะไรเลยนอนเถอะค่ะ”
รสสุคนธ์หลับไปอย่างรวดเร็ว ชีพดึงผ้าห่มมาคลุมร่างแล้วหลับตา เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเสียงกริ่งก็ดังขึ้นอีก
รสสุคนธ์ไม่ได้ยินแต่ชีพได้ยินถนัดชัดเจนจึงลืมตาขึ้นในสภาพตาค้าง ชีพไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เขาหันไปมองรสสุคนธ์ที่หลับสนิท และไม่เชื่อเรื่องวิญญาณลั่นทม
“แผนไอ้พวกนั้นแน่..มันทำได้ไงวะ” ชีพโกรธ)เอาซีทำได้ก็ทำไป..”ดังก็ดังไม่สนซะอย่าง”
ชีพลุกไปหยิบยานอนหลับ รินน้ำกินยา แล้วลงนอนคลุมโปง

เช้ามืดวันใหม่ อุษายังนั่งจับมือลั่นทมที่มีสภาพซีดเซียวและเขียวคล้ำเป็นแห่งๆ ผิวเนื้อบางส่วนเริ่มปริ ธารินทร์ช่วยหมอผันกรอกยาซึ่งมีอยู่นิดเดียวใส่ปากลั่นทม แม้ยาจะน้อยแต่ก็หกออกจากปาก วิเวก สมพร และฉ่ำมุงดูอยู่อย่างมีความหวังว่าลั่นทมจะฟื้น หมอผันสวดมนต์พึมพำ อุษาจับมือที่แข็งเกร็งของลั่นทมบีบแน่นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม ชีพในชุดพร้อมจะออกนอกบ้านมีหน้าตาอิดโรยเดินเข้ามามองอยู่เงียบๆ ไม่โวยวายเหมือนวันแรก ชีพไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อคืนคืออะไร
ฉ่ำหันมาเห็นชีพก็สะดุ้งเหมือนคนขวัญอ่อน แต่เมื่อแน่ชัดว่าเป็นชีพก็ค่อยโล่งใจ วิญญาณลั่นทมยืนเศร้าอยู่ทางหนึ่ง ยาซึมเข้าไปในปากลั่นทมทั้งหมด ทุกคนจ้องมองลั่นทมอย่างมีความหวัง แต่ทุกอย่างนิ่งเงียบไม่มีเค้าว่าลั่นทมจะฟื้น แล้วยาก็ค่อยๆ ไหลออกมา อุษาถึงกับน้ำตาร่วงด้วยความผิดหวัง หมอผันเองก็เกือบจะสิ้นเรี่ยวแรง “เหลือเวลาอีกวันเดียว” ผันบอก
“ไม่เห็นหรือหมอว่าศพกำลังขึ้น กลิ่นก็เหม็นแล้ว ทนกันอยู่ได้ยังไง บ้าชะมัด”
ชีพเดินออกไป ลมพัดวูบเข้ามาในห้อง
“เวก พร ฉ่ำ ปิดประตูหน้าต่าง” ผันสั่ง
ผันดึงผ้าห่มคลุมลั่นทมมาถึงคอ อุษาเลี่ยงออกมาสะอื้นอยู่ทางหนึ่ง วิญญาณลั่นทมลูบผมอุษาอย่างเวทนา อุษาไม่รู้สึกตัวเพราะมือของลั่นทมผ่านตัวเธอไป


อุษาแต่งตัวเตรียมไปทำงาน เธอชะงักที่ได้ยินเสียงเอะอะของนฤมลอยู่ด้านนอก
“ต๊ายตายน้องรสขา บ้านช่องใหญ่โตกว้างขวางดีนะคะ”
เสียงรสสุคนธ์ดังขึ้น “อยู่กันให้สบายนะคะพี่มล รสนะได้ดีแล้วไม่เคยลืมพี่ลืมน้องหรอก”
เสียงเรวัตดังตามมา “ก็เพราะน้องรสเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างนี้สิวาสนาถึงได้ดีไง”
อุษาเดินมาจะเปิดประตูแต่ก็ตกใจที่ประตูถูกเปิดเข้ามาก่อนโดยหนุ่ยกับโหน่งที่วิ่งตึงๆเข้ามาโดยไม่สนใจอุษา ทั้งสองมองไปรอบๆห้อง แล้วก็ทำหน้าเซ็ง
“ห้องนี้แค๊บแคบไม่เห็นมีอะไรเลยไปวิ่งเล่นห้องอื่นดีกว่า”
โหน่งเห็นด้วยพากันวิ่งออกไป อุษารีบโผล่ออกไปหน้าห้องเจอชีพเดินนำฉลองผ่านมาพอดี
“นี่มันอะไรกันคะ เด็กสองคนเมื่อกี้ใคร”
ฉลองมองอุษาแล้วยิ้มเจ้าชู้
“สวัสดีจ้ะ..ลูกจ้างบ้านนี้สวยจัง..เป็นแม่ครัวหรือคนทำความสะอาดจ๊ะ”
อุษาจ้องมองฉลองอย่างไม่พอใจ ชีพรีบพูด
“นี่อุษาหลานเมียเก่าฉัน” ชีพพูดกับอุษา “นายฉลองเป็นคนขับรถของรสสุคนธ์..ทำหน้าที่คนสวนด้วย..ห้องอยู่ถัดไปนี่”
“อะไรกันคะ” อุษาถาม
“ถ้าเธอยังไม่ไปทำงานก็ออกไปรู้จักญาติๆรสเขาหน่อยสิ”
ชีพเดินนำฉลองไป อุษามองตามอย่างคาดไม่ถึง

นฤมลกำลังชื่นชมเครื่องประดับของรสสุคนธ์ ส่วนเรวัตมองไปรอบบ้านอย่างพึงพอใจ
“โอโหแหวนของน้องรสสวยจังเลยนะจ๊ะน้ำง้ามงาม” นฤมลว่า
“ไม่เท่าไรหรอก วงนี้แค่สองแสนห้า เอาไว้ใส่เล่นๆ”
นฤมลตาลุก อุษาเดินเข้ามาเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆของนฤมลและครอบครัววางเกลื่อน หนุ่ยกับโหน่งหอบผลไม้และขนมเดินเข้ามา
“พ่อ แม่ ดูนี่ซี่ของกินเยอะแยะเลย”
“เอาที่ไหนมาลูก ของใครรึเปล่า”
“อุ๊ยของในบ้านก็ต้องเป็นของน้องรสนะสิไม่เป็นไรหรอก” นฤมลพูดกับรสสุคนธ์ “จริงมั้ยจ๊ะน้องรส”
รสสุคนธ์สนิทสนมกับนฤมลเป็นอย่างดีจึงพูด “ค่ะ ตามสบายเลย น้าอนุญาตทุกอย่างจ้ะ หนุ่ย โหน่ง”
ชีพเข้ามาจากอีกด้านก็ชะงักที่เห็นอุษายืนมองอยู่ ชีพยิ้มพอใจเพราะคิดว่าอุษาตามเขามา ชีพแนะนำ
“อ้ออุษามาแล้วเหรอ เข้ามาสิมารู้จักนฤมลเป็นลูกพี่ลูกน้อง ของรสเขา..นี่เรวัตสามีนฤมล”
อุษาไม่สนใจฟัง เธอเดินเลยไปทางหน้าบ้าน ชีพชะงักเพราะรู้สึกเสียหน้า รสสุคนธ์โมโหจึงลุกขึ้นว่า
“จองหองนักนะมึง”
รสสุคนธ์เดินตามไปติดๆ


อุษาเดินออกมา รสสุคนธ์เดินเข้ามากระชากแขนแล้วถามห้วนๆ
“คิดจะฉีกหน้าฉันเหรอ”
อุษารำคาญ “ฉันไปทำอะไรให้เธอ”
“ก็เห็นอยู่ว่าญาติฉันมาทำไมทำเหมือนพวกเราไม่มีตัวตน เธอทำแบบนี้หักหน้าฉันชัดๆ ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของบ้านอย่ามาทำเชิดฉันจะไล่เธอออกไปวันนี้ก็ยังได้”
หวานเดินเข้ามา “คงต้องข้ามศพข้าไปก่อนแน่นังรส”
หวานหันไปพูดกับอุษาอย่างนอบน้อม
“คุณษาไปทำงานเถอะค่ะอย่าไปฟังเสียงหมามันเห่ามันหอนเลย”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างเหยียดๆ ก่อนจะยิ้มกับหวานแล้วเดินจากไป หวานหันมาจ้องรสสุคนธ์
“แกไปพาพวกนังนฤมลมาทำไม รู้ก็รู้ว่ามันไม่ถูกกับฉัน..”
“น้าหวานไม่เคยถูกกับญาติคนไหนหรอก..พวกเดียวกันกลับไม่ช่วย ชอบช่วยคนอื่น ฉันถึงต้องไปหาพวกมาไง”
“จะให้พวกมันอยู่ที่ไหน”
“ข้างบนห้องนังอุษา ที่จริงฉันอยากยกห้องนั้นให้น้าแต่น้าไม่เอาเองจะขยับให้ขึ้นเป็นเจ้านายไม่ชอบ ชอบขลุกเป็นขี้ข้าอยู่อย่างนั้นก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้”
“เออข้ายินดีจะเป็นขี้ข้าที่ซื่อสัตย์ดีกว่าเป็นเจ้านายจอมปลอมอย่างแก ระวังไว้เถอะนังรส ยังไงข้าก็ยังเชื่อว่าทำดีต้องได้ดีแต่ทำชั่วแกต้องเจอดีแน่ๆ”
หวานเดินหนีไป รสสุคนธ์มองหวานด้วยความเจ็บใจ


ฉ่ำนอนหลับอยู่บริเวณที่จอดรถด้วยอาการเพลียจัด อุษาจะมาเอามอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ใกล้ๆรถเก๋งของอุษา
อุษาเห็นฉ่ำก็เดินเข้าไปหาแล้วเรียกเบาๆ
“ลุงฉ่ำ.” ฉ่ำตื่น “ทำไมไม่นอนในห้องละจ๊ะ”
ฉ่ำงัวเงียลุกขึ้นมานั่ง “ก็นอนแล้วครับแต่คุณชีพ ปลุกให้มาฝึกงานไอ้เบื๊อกนั่น”
ฉ่ำพยักเพยิดไปทางฉลอง “เห็นว่าเป็นคนของญาตินัง..เอ๊ย แม่รสสุคนธ์แหละครับ”
อุษามองไปก็เห็นฉลองทำงานอยู่ทางหนึ่งที่สนาม
ฉลองชะงักมองมาเห็นอุษากำลังมองตัวเองอยู่ก็รีบวางมือแล้วเดินตรงเข้ามาหา ฉลองทำตาเจ้าชู้ให้อุษา อุษาเฉยแล้วเดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ ฉลองตามมา “ขี่เป็นหรือครับ”
อุษาอึ้ง ฉ่ำรีบเดินเข้ามาเพราะไม่พอใจฉลอง
“คุณษาเป็นเจ้านาย อย่าทะลึ่งนะโว้ย”
“อ้าวลุง อย่าสอดได้มั้ย” ฉลองว่า
ฉลองผลักฉ่ำถลาไปทางหนึ่งพลางมองอุษาด้วยตาหยาดเยิ้ม ฉ่ำถลาไปล้มแทบเท้าธารินทร์ ธารินทร์ก้มลงประคองฉ่ำ ฉ่ำสะใจ ธารินทร์เดินไปยืนด้านหลังฉลอง
“ยิ่งมองยิ่งสวย สวยๆแบบนี้มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
“มีแล้ว”
ฉลองฉุน เขาพูดเหี้ยมๆ โดยไม่หันมา “บอกว่าอย่าสอดไง” ฉลองพูดกับอุษา “ให้หลองไปส่งนะคนสวย”
“ไม่ต้อง”
ฉลองมีท่าทางเหลืออด “ไอ้นี่ต้องเจอของแข็งก่อนถึงจะเลิกสอด”
ฉลองกำหมัดแล้วหันกลับมาเหวี่ยงกะให้เข้าหน้าฉ่ำเต็มๆ แต่ธารินทร์จับมือไว้แล้วบิดอย่างแรงจนแขนฉลองไพล่ไปด้านหลัง ฉลองร้องอย่างเจ็บปวด “โอ๊ย...”
ธารินทร์ผลักฉลองกระเด็นไปนั่งกับพื้น ทำให้ฉลองเห็นธารินทร์ที่แต่งชุดตำรวจครึ่งท่อนได้ถนัด ฉลองตกใจ ธารินทร์เดินไปยืนข้างอุษา
“อย่ามาวุ่นวายกับคุณอุษาอีก ถ้าไม่เชื่อนายจะโดนหนักกว่านี้”
ฉลองรีบลุกขึ้นเดินหลบไปอย่างรวดเร็ว ธารินทร์หันมาถามอุษา
“ใครนะษา”
“คนของรสสุคนธ์ค่ะ..เขาขนญาติพี่น้องมาเต็มบ้านเลย”
ธารินทร์พยักหน้า “ให้ผมไปส่งดีกว่ารถจอดอยู่ด้านนอก”
อุษาพยักหน้าเดินนำไป ธารินทร์หันมาพูดกับฉ่ำ
“ฝากดูอุษาด้วยนะลุง”
“ครับ หมวด”
ธารินทร์เดินตามอุษาไป ฉ่ำหันกลับมาสายตาเห็นฉลองแอบดูอยู่แวบๆ ฉ่ำก็แกล้งพูดเสียงดัง “เฮอะไอ้หลองเล่นกะใครไม่เล่น เล่นกับนายตำรวจระดับมือ พระกาฬเชียวเดี๋ยวก็หายไปจากโลกอย่างไร้ร่องรอยหรอกมึง”
ฉลองมีสีหน้าไม่ดี เขารีบหลบวูบไป ฉ่ำขำกลิ้งอยู่คนเดียว

อ่านต่อหน้าที่ 2


สุสานคนเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)

ฉลองที่นั่งอยู่กับพื้นรายงานรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ทำสีหน้าร้าย

“ช่างมันวันนี้ไม่สำเร็จวันหน้าก็เอาใหม่”
“แต่แฟนคุณอุษาเป็นตำรวจนะครับ ผมว่ามันออกจะเสี่ยงอยู่”
“นังอุษามันทั้งสาวทั้งสวย มันก็น่าเสี่ยงไม่ใช่เหรอนายฉลอง”
“อย่าปอดไปหน่อยเลยน่า ลองมันเสร็จแกจริงๆมันไม่กล้าโวยวายหรอก โดยเฉพาะกับ แฟน เผลอๆแกอาจจะรีดเงินมันได้ด้วยซ้ำ”
“ใช่ถ้าแกทำสำเร็จฉันยังมีรางวัลให้แกอย่างงาม” รสสุคนธ์บอก
ฉลองทำท่าคิด เรวัตรำคาญจึงพูด “ถ้าไอ้ฉลองมันไม่กล้า พี่จัดการให้มั้ยน้องรส”
นฤมลตวาด “ไม่ต้อง..”
รสสุคนธ์มองเรวัตที่ทำสีหน้าครุ่นคิด

สุสานลั่นทมยามค่ำคืนดูวังเวงและน่ากลัว อุษาเดินเข้ามานั่งข้างๆ ศพลั่นทมแล้วจับมือศพลั่นทม สภาพศพลั่นทมเริ่มน่าเกลียดมากขึ้น แต่อุษาก็ยังทนจับมือลั่นทมซึ่งแข็งเกร็งและมีบางส่วนเริ่มแตกปริ ศพลั่นทมได้ยาในหม้อที่เดือดพล่าน หมอผันสวดพึมพำ วิเวก ฉ่ำ และสมพรเอาผ้าปิดจมูกเพราะกลิ่นจากศพเริ่มรุนแรง ทุกคนกระสับกระส่าย ผันหยุดสวดแล้วกราบพระก่อนจะหันมาพูดกับอุษา
“ท่าทางหนูอ่อนเพลียมาก อดนอนมาหลายคืนไหนต้องไปทำงานเชื่อลุงเถอะไปหลับซักงีบไป”
อุษาฝืนใจตอบ “ไม่ค่ะ”
“เถอะน่า..ไว้ตอนเช้าค่อยมา วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ลุงจะตั้งจิตตั้งใจเต็มที่ขออยู่เงียบๆ คนเดียว ทุกคนนะออกไปให้หมด”
อุษาลังเลแล้วกราบศพลั่นทม “ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุณน้าด้วย”
อุษาเดินออกไป ฉ่ำ วิเวก และสมพรขยับจะเดินตาม ผันรีบบอก
“หามุ้งมากางหรือยากันยุงมาจุดเข้านะข้างนอกยุงมันเยอะ”
“จ้ะ”
“มีอะไรก็เรียกนะจ๊ะ”
ผันพยักหน้าแล้วเริ่มสวดภาวนาต่อ ศพลั่นทมเนื้อตัวแตกปริแข็งเกร็งมีสภาพเหมือนศพที่กำลังขึ้นอืด


อุษาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมจะออกไปอาบน้ำ เมื่อเปิดประตูมาก็ต้องตกใจ ที่เห็นฉลองยืนอยู่ “ว้าย”
ฉลองถลันพรวดเข้ามา อุษาตกใจ “จะทำอะไร...ออกไปนะ”
ฉลองปราดเข้าประชิดตัวแล้วรั้งอุษาเข้าห้อง อุษาต่อสู้ดิ้นรน
ฉลองตบอุษาจนฟุบไปกับเตียง ฉลองมองหื่นๆ
“ไม่น่าต้องให้เจ็บตัวเลย”
ฉลองก้มลงไปหาอุษาแต่แล้วก็ชะงักหยุดนิ่งเพราะธารินทร์ใช้ปืนจ่ออยู่กลางหลังฉลอง ฉลองถอยออกช้าๆและรวดเร็วก่อนจะหันมาผลักปืนในมือธารินทร์จนกระเด็น ฉลองพุ่งเข้าใส่อย่างได้ใจ ธารินทร์ทั้งเตะทั้งต่อยด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าไม่กี่ครั้งจนฉลองเลือดกลบปากทรุดอยู่แทบเท้า ธารินทร์ใส่กุญแจมือฉลอง อุษามองอย่างเจ็บใจ
หวานวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “เสียงเอะอะอะไรกันคะเอ๊ะนายฉลอง”
“เขาจะปลุกปล้ำษาค่ะน้า” อุษาบอก
หวานเดือดจัดจึงตรงเข้ามาตบหน้าฉลองอย่างแรง
“ไอ้ชาติชั่ว มาอยู่ไม่ทันข้ามคืนลายออกแล้วเหรอมึง”
“มีคนสั่งให้แกทำใช่ไหม”
“ปละ..ปละ..”
ธารินทร์ดุ “ใช่ไหม..ตอบ”
“เปล่าครับ ผมเห็นสวย..แล้วนอนอยู่ใกล้ๆห้องผมก็เลยอดใจไม่ไหว”
“ดี...” ธารินทร์กระชากฉลองออกจากห้องอุษา อุษาลังเลก่อนจะดึงแขนหวานแล้ววิ่งตามไป


ฉลองนั่งก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้น ชีพ รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตมองสบตากันอย่างใจไม่ดี ธารินทร์ อุษา และหวานจ้องทั้งสี่คนอย่างรู้ทัน ชีพทำเป็นโมโหก่อนจะเดินเข้าไปตะคอกใส่ฉลอง
“นี่แกทำบ้าอะไรหึไอ้ฉลอง”
ธารินทร์ขัดขึ้นอย่างหมั่นไส้ “มันไม่ได้ทำบ้าหรอกครับแต่มันทำตามคำสั่ง”
พวกชีพสะดุ้ง รสสุคนธ์แกล้งไก๋ “คำสั่งใครคะผู้หมวด”
“ใครสั่งก็รู้อยู่แก่ใจดี อย่ามาทำไก๋หน่อยเลย” หวานว่า
“เอ๊ะน้าหวานอย่ามาพูดจากำกวมนะฉันไม่ชอบ” รสสุคนธ์บอก
หวานเหลืออด “กูก็ไม่ชอบ มึงใช่มั้ยนังรสที่สั่งให้ไอ้เวรนี่ทำเรื่องอุบาทว์กับคุณอุษา”
“จะมากไปแล้วนะน้ามาหาคุกให้ฉันทำไมเนี่ย”
หวานจะเล่นงานต่อแต่ชีพรีบห้ามทัพ “เดี๋ยวๆๆไอ้หลอง” ชีพเสียงดุ “แกบอกหมวดว่ารสสั่งให้ทำเหรอ”
ฉลองรีบปฏิเสธ “เปล่านะผมก็บอกแล้วว่าผมทำเองแต่หมวดไม่เชื่อ”
รสสุคนธ์ยิ้มเย้ย ชีพโล่งใจ “ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย”
“ถึงยังไงนายฉลองก็เป็นคนของคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบ”
“เรื่องแบบนี้จะโทษฝ่ายชายฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกค่ะหมวด แฟนหมวดอาจจะให้ท่านายหลองก็ได้ ผู้ชายที่ไหนมันจะอดใจไหว”
อุษามองรสสุคนธ์ด้วยความสมเพช
“อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานสิรสสุคนธ์ เธอชอบให้ท่าผู้ชายเลยคิดว่าผู้หญิงทั้งโลกจะเหมือนเธองั้นเหรอ”
รสสุคนธ์โกรธจึงจะด่ากลับ แต่ชีพรีบห้ามทัพ “เอางี้เถอะให้มันแล้วกันไป ถ้าถึงเรื่องถึงโรงพักจะอื้อฉาว ฝ่ายเสียหายคืออุษานะคนจะนินทากันสนุกปาก”
“มันยังไม่ได้ทำอะไรอุษาผมเป็นพยานได้ ผมไม่มีทางปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเด็ดขาด ผมจะสอบตามวิธีของผมจนกว่ามันจะสารภาพว่าใครสั่ง แล้วผมจะจับไอ้ตัวบงการเข้าคุกให้หมดไปไอ้ฉลอง”
ธารินทร์กระชากฉลองขึ้นมา ชีพ รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลหน้าเสีย ฉลองหันมองทุกคนให้ช่วย อุษาลังเลแล้ววิ่งไปขวางธารินทร์
“รินทร์คะ..อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะษาเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร ให้โอกาสนายฉลองเถอะค่ะ”
ฉลองรีบไหว้อุษาด้วยความดีใจ “คุณใจดีมีเมตตาจริงๆ ผมสำนึกแล้วครับผมขอโทษผมจะไม่ทำอีก”
ธารินทร์ลังเล ฉลองรีบไหว้ธารินทร์ “อย่าจับผมเลยครับหมวดผมสัญญาเอ้าสาบานก็ได้ถ้าผมทำอีกให้ผมตายโหงตายห่าสิเอ้า”
ธารินทร์มองหน้าอุษา อุษาพยักหน้า ธารินทร์จำใจไขกุญแจมือให้ฉลอง ฉลองรีบไหว้แล้ววิ่งหลบไป ชีพ รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลถอนหายใจโล่งอกแล้วรีบทำเฉยๆเมื่อเห็นธารินทร์มองจ้องมา


ธารินทร์เดินมาส่งอุษาหน้าห้อง โดยมีหวานเดินตามมาด้วย
“ยังไงษาก็อย่าเพิ่งวางใจต้องระวังตัวให้มาก”
หวานรีบพูด “ไม่ต้องห่วงค่ะอิฉันจะมานอนเป็นเพื่อนคุณษาเองลองเข้ามารุ่มร่ามอีกที จะฟาดให้หัวแบะ”
ธารินทร์พอใจ “ดีเหมือนกันให้น้าหวานมานอนกับษาไปก่อน”
“งั้นอิฉันไปเอาข้าวของก่อนนะคะ”
หวานกุลีกุจอรีบเดินไป ธารินทร์มองตามแล้วพูด “ยังดีนะที่น้าหวานแกไม่ได้เข้าข้างรสสุคนธ์”
“ค่ะ แกคอยช่วยกันรสให้ษาตลอด จริงสิแล้วทำไมรินทร์ถึงรู้ละคะว่านายฉลองคิดจะเล่นงานษา”
“มันสังหรณ์ตั้งแต่เห็นท่าทางมันเมื่อเช้าแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะถ้าษาไม่ได้คุณษาคงแย่”
“จำไม่ได้เหรอผมเคยบอกว่าผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิตของผมไง ไม่ต้องกลัวนะใครคิดจะทำอะไรคุณพวกมันต้องข้ามศพผมไปก่อน”
อุษามองธารินทร์อย่างตื้นตันใจ เธอโผเข้าซบธารินทร์
“ขอบคุณค่ะขอบคุณจริงๆ”
ธารินทร์กอดปลอบอุษาด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ


ชีพ รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลชุมนุมปรึกษากัน
“ไหนพี่มลบอกว่าไอ้หลองมันแน่ไงโธ่เอ๊ยปล้ำผู้หญิงคนเดียวก็ทำไม่สำเร็จ”
“ถ้าไม่ติดนายตำรวจคนนั้น ต้องเสร็จเจ้าหลองแน่ไม่น่าปล่อยให้เข้ามา”
“พินัยกรรมระบุให้มันมาตรวจสอบการดำเนินการรักษาลั่นทมได้ทุกขั้นตอน แถมตอนนี้มันได้รับมอบหมายให้หาหลักฐานการตายของลั่นทมด้วย ถึงทำอะไรมันไม่ได้ไง”
“บอกแล้วให้พี่ช่วยก็ได้เรื่องหมูๆ”
นฤมลจ้องเรวัตอย่างเอาเรื่อง เรวัตรีบทำท่าหาวเหมือนง่วงจัด
“ขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันนะ”
“งั้นพี่ก็ขอไปนอนก่อนนะน้องรสแล้วค่อยคิดกันใหม่”
รสสุคนธ์พยักหน้า นฤมลดึงแขนเรวัตให้เดินออกไป รสสุคนธ์ยังฉุนไม่หาย
“ไอ้หน้าโง่..เข้าห้องได้แต่กลับไม่ปิดประตูใส่กลอนบ้าชะมัด..นังอุษามันไหวตัวแล้วแบบนี้ ต่อไปจะทำอะไรก็ยาก”
“เอาน่าวันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอก นอนเถอะ”
ชีพเดินนำรสสุคนธ์ไปที่เตียง ทั้งสองคนล้มตัวลงนอนที่มุมห้อง
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้น “ทำร้ายฉันไม่พอยังคิดจะทำร้ายอุษาอีก”
ลั่นทมตาแดงก่ำด้วยความโกรธ

เช้ามืด ฉลองเดินผิวปากออกมาด้วยความสบายใจ เขาชะงักเมื่อเห็น ธารินทร์ สารวัตรใหญ่ ไกร แพทย์ และวัฒนาพากันลงมาจากรถ ฉลองหน้าซีดปากสั่นก่อนจะรีบพูดกับธารินทร์
“ผู้หมวด..ก็ไหนว่าไม่เอาเรื่องผมแล้วไง”
ธารินทร์ไล่ “ไปให้พ้น”
ฉลองไหว้สารวัตรใหญ่แล้ววิ่งหลบไป สารวัตรใหญ่แปลกใจจึงหันมาถามธารินทร์
“มีเรื่องอะไรกัน”
เสียงอุษาดังขึ้น “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
อุษาเดินเข้ามายกมือไหว้สารวัตรใหญ่ ไกร และแพทย์วัฒนา
“เชิญค่ะเชิญที่สุสานเลย คุณลุงกำลังจะกรอกยาถ้วยสุดท้าย”


สมพร ฉ่ำ และวิเวกช่วยกันเก็บที่นอนหมอนมุ้งที่กางไว้หน้าสุสาน อุษาพาทุกคนเดินเข้ามา สมพร ฉ่ำ วิเวกไหว้แล้วหลีกทางให้ทุกคน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ หวาน และต้อยติ่งพากันเดินเข้ามา ทุกคนมีความหวังว่ายาของหมอผันจะสัมฤทธิ์ผลในวันสุดท้ายนี้
“เป็นไงบ้างตาฉ่ำมีท่าทางว่าคุณผู้หญิงจะฟื้นมั้ย” จิ้มลิ้มถาม
“ข้าก็ไม่รู้หมอผันให้พวกเรามานอน แกอยู่ทำพิธีคนเดียวทั้งคืน”
ทั้งหมดมองเข้าไปด้านในก่อนจะรีบพากันเข้าไปรวมกลุ่มในห้องสุสานลั่นทม หมอผันกำลังจบถ้วยยาถ้วยสุดท้ายอยู่หน้าแท่นบูชา สภาพศพลั่นทมที่นอนอยู่บนเตียงดูน่าเกลียดและขึ้นอืดมากแล้ว
ทุกคนที่เข้ามาพากันชะงักเมื่อได้กลิ่นจากศพยากเว้นอุษา ทุกคนปิดจมูก อุษาเข้าไปหาลั่นทม วัฒนาแน่ใจ จึงเรียกไว้
“เดี๋ยว อุษา หมอว่า คงไม่..” วัฒนามองตาอุษา
อุษาไม่ฟังเสียง เธอเข้ามาจับมือลั่นทมที่แข็งเกร็ง สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ หวาน และพวกฉ่ำต่างเอามือปิดจมูก แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาก ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามาก็ชะงักเมื่อได้กลิ่น
“โอ๊ย..จะอาเจียน เหม็นจะตาย บ้ากันหรือเปล่านี่มันศพชัดๆ” รสสุคนธ์ว่า
อุษาหันมาจ้องโกรธๆ หวานขยับเข้ามากระซิบรสสุคนธ์
“หุบปากเถอะ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว”
หมอผันรินยาใส่ปากศพลั่นทม ธารินทร์เข้ามาช่วย
ชีพเยาะเย้ย “เออแน่ะทำกันเข้าไปได้ จะปลุกลั่นทมให้เป็นผีดิบหรือไง”
หมอผันไม่สนใจ เขากรอกยาจนหมดแต่ยาก็ไหลออกมาหมดเหมือนกัน
ธารินทร์ถาม “ว่าไงพ่อ..”
ทุกคนมองผันเป็นตาเดียว ผันมองดูซากศพลั่นทมที่นิ่งสงบแล้วตอบช้าๆ
“สุดความสามารถของข้าแล้ว”
อุษาสะอื้น แพทย์วัฒนาแตะไหล่อุษาเบาๆ “หมอจะออกใบมรณบัตรให้”
ชีพดีใจจึงรีบพูด “ดีครับ รีบเอาศพไปวัดเถอะเหม็นจะตายอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ค่ะเอาคุณน้าไว้ในโลง” อุษาค้าน “จนกว่าจะครบหกเดือน”
“เลิกบ้าทีเถอะอุษา นั่นมันศพนะจ๊ะ” รสสุคนธ์เน้น “ศพ”
“หนูษาพูดถูกต้องแล้วเพราะพินัยกรรมระบุไว้อย่างนั้น” ไกรบอก
สารวัตรใหญ่เดินมาดูที่โลงศพ “เก็บกลิ่นได้หรือเปล่า”
“ได้แน่นอนครับ..พวกเราเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นจัดการเอาศพลงโลงเลย คุณลั่นทมคงไม่มีทางฟื้นแล้วละ ผมจะเรียนท่านผู้ว่าเอง”
ชีพกับรสสุคนธ์สบตากันอย่างชื่นมื่น ผันหันมาพยักหน้าเรียกพวกฉ่ำ
“เวก พร ฉ่ำมาช่วยกันยกศพใส่โลงเถอะ”
ทั้งสามคนรวมทั้งธารินทร์ช่วยกันยกศพลั่นทมลงโลง ชีพกับรสสุคนธ์มองตาวาววับแล้วจับมือกันอย่างยินดี พวกหวานร้องไห้ระงม อุษามองร่างลั่นทมแล้วก็สะอื้นร้องไห้โฮ วิญญาณลั่นทมปรากฏขึ้นมองร่างตัวเองถูกยกลงโลงด้วยความเศร้าใจ วิญญาณลั่นทมเดินมานั่งลงข้างๆอุษาแล้วปลอบใจ
“อย่าเสียใจไปเลยษา น้าขอบใจเธอมากที่คอยดูแลน้าอย่างดีทั้งตอนที่ยังมีชีวิตและตอนที่น้าตายแล้ว ขอบใจนะจ๊ะ”
อุษาร้องไห้โดยไม่มีท่าทางรับรู้คำพูดของลั่นทมเลยแม้แต่น้อย


ชีพกับรสสุคนธ์ชุมนุมอยู่กับเรวัตและนฤมล ทั้งสองต่างมีสีหน้าแช่มชื่น ชีพเดินไปมาชะเง้อมองหน้าบ้าน
“ช้าจริง” ชีพว่า
รสสุคนธ์หัวเราะร่าเริง
“ไม่ต้องใจร้อนหรอกค่ะชีพ ยังไงเราก็ได้ถลุงเงินนังลั่นทมแน่ๆ อุ๊ย เงินสดในธนาคารนะไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร”
นฤมลสะกิด “ยังไงก็อย่าลืมแบ่งเศษๆเงินมาให้พี่ใช้บ้างนะจ๊ะน้องรส พี่เรวัตเขาตกงานมานานแล้ว เงินทองนะไม่เคยได้ผ่านมือพี่จนจะใช้เงินไม่เป็นอยู่แล้วล่ะ”
“ก็เพราะรู้ว่าพี่ๆลำบาก รสถึงชวนมาอยู่ด้วยเรื่องเงินนะไม่ต้องห่วงแต่เวลารสให้ช่วยอะไรก็ต้องช่วยกันบ้างเราจะได้อยู่กันยืดๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะน้องรส พี่ยินดีรับใช้ทุกเรื่องขอแค่น้องรสเอ่ยปาก”
เรวัตมองรสสุคนธ์อย่างมีความนัย รสสุคนธ์ยิ้มพอใจ ไกรเดินเข้ามาพูด
“สวัสดีครับทุกคน เอ๊ะแล้วหนูอุษา...”
อุษาเดินมากับธารินทร์แล้วเข้ามานั่งเป็นพยานด้วย ไกรพยักหน้าพอใจก่อนจะหยิบพินัยกรรมออกมา ชีพ รสสุคนธ์ยิ้มให้กัน
นฤมลกับเรวัตกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่อีกทาง ชีพเร่ง “เริ่มเร็วๆหน่อยได้มั้ยคุณไกรผมรอมานานมากแล้ว”
“ครับผมจะเริ่มเดี๋ยวนี้ สาระสำคัญของพินัยกรรมก็คือ..เครื่องเพชรทั้งหมด..เงินสดในบัญชีคุณลั่นทม..โรงงาน ที่ดินสิบเก้าแปลง บ้านนี้ เรือนไทย ทั้งหมดเป็นของคุณชีพ..แต่ต้องหลังหกเดือนไปแล้ว” ไกรว่า
พรรคพวกชีพทุกคนหน้าบานจึงหันไปยิ้มและสบตากัน
“พวกอสังหาริมทรัพย์จะยักย้ายขายโอนไม่ได้...ผมรู้แต่เครื่องเพชร กับเงินสดในธนาคารล่ะผมใช้ได้เลยใช่มั้ย”
“มันก็ต้องได้อยู่แล้วสิคะไม่งั้นจะให้อดตายหรือไง” รสสุคนธ์ว่า
“ถ้าคุณชีพต้องการใช้เงินก็สามารถเบิกจากผมได้เฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในบ้านตามความจริง ส่วนเครื่องเพชรหรือเงินสดห้ามแตะต้องครับ”
พรรคพวกชีพทุกคนสะดุ้ง ชีพตาเหลือก “อะไรวะ”
“ส่วนเงินหมุนเวียนในโรงงานคุณอุษามีหน้าที่ดูแลอยู่แล้ว..คุณชีพก็ได้รับเงินเดือนตามปกติของคุณไป”
“บ้า ฉันไม่ใช่เด็กจะได้มาแบมือขอเบิกเงินจากคุณนะคุณไกร นังลั่นทมทำ แบบนี้มันจงใจแกล้งผัวตัวเองชัดๆไม่มีใครเขาทำกันหรอกนอกจากคนบ้า นังลั่นทมมันบ้า...” ชีพว่า
อุษาไม่พอใจ ธารินทร์จับมือเธอไว้ให้ใจเย็น ไกรหยิบพินัยกรรมทั้งหมดเลื่อนไปวางตรงหน้าชีพ
“เชิญอ่านรายละเอียดพินัยกรรมได้ครับถ้าคุณชีพไม่เชื่อ” ไกรบอก
“ทุเรศ ทุเรศที่สุดเนี่ยเหรอคุณนายลั่นทมที่ใครๆว่าใจดีมีคุณธรรมมันคือนังปีศาจที่นรกส่งมาชัดๆ”
รสสุคนธ์ผลุนผลันลุกออกไปอย่างเหลืออด นฤมลกับเรวัตรีบเดินตามไป ชีพนั่งเครียดกำมือแน่น ไม่ยอมแตะพินัยกรรม อุษาพูดเรียบๆ
“ษาขอตัวก่อนนะคะ” อุษาพูดกับชีพ “เย็นนี้จะมีการสวดศพคุณน้าที่บ้านสุสานนะคะ”
อุษาไหว้ไกรแล้วลุกขึ้นพร้อมธารินทร์เพื่อจะเดินออกไป ชีพลุกพรวดแล้วพูดแค้นๆ
“เออ..อยากสวดก็สวดไป ฉันจะเตรียมพิธีแต่งงานของฉันกับรสมันทำกับฉันแสบแค่ไหนฉันจะทำมันกลับให้เจ็บแสบกว่าฉันเป็นร้อยเท่า”
ชีพหัวเราะเหมือนคนเสียสติ เขาลุกเดินปึงๆออกไป อุษา ธารินทร์ และไกรมองตามไปอย่างสมเพช


อุษาเดินเข้ามาในสุสานกับธารินทร์ ธารินทร์รออยู่ทางหนึ่ง อุษาจุดธูปบูชาศพแล้วพนมมือ
“ษาเชื่อค่ะว่าวิญญาณคุณน้ายังไม่ไปไหน ได้โปรดอย่าอาฆาตจองเวรคุณน้าชีพเลย”
วิญญาณลั่นทมยืนมองอยู่แต่อุษากับธารินทร์ไม่เห็น
“ษาอยากให้คุณน้าไปสู่ภพภูมิที่ดี..ที่ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใส มีแต่ความสงบชั่วนิรันดร์”
อุษากราบศพลั่นทมที่อยู่ในโลงแล้วเดินออกไปกับธารินทร์ วิญญาณลั่นทมยืนสงบนิ่งแล้วหันมองไปทางเบื้องบนที่กำลังปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าฉายลงมา วิญญาณลั่นทมมองไปที่แสงสว่างนั้นแล้วน้ำตาก็กลบตา
“ฉันไม่อยากสร้างบาป ไม่อยากทำร้ายใคร แต่พวกเขา.....”
แววตาลั่นทมที่มองไปที่แสงสว่างนั้น แม้จะมีน้ำตากลบตาแต่ก็แข็งกร้าวชนิดพร้อมที่จะลงมือเล่นงานพวกชีพ

หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ ฉ่ำ วิเวก และสมพรในชุดไว้ทุกข์พากันเดินมาหน้าสุสานเพื่อเข้าไปคอยดูแลงานศพของลั่นทม ส่วนอุษาสวมชุดไว้ทุกข์รอรับแขก พวกหวานพากันเดินเข้าไป สายสมรและพนักงานโรงงานลั่นทมจำนวนหนึ่งในชุดพนักงานโรงงานพากันเดินมา อุษาที่หน้าตาเศร้าหมองต้อนรับ
“เชิญค่ะ”
ทุกคนพากันเข้าไปในงาน สายสมรเข้ามามองไปรอบๆ กระซิบถาม
“ผู้จัดการล่ะคะ ดิฉันไปแวะที่บ้านไม่เห็น”
“คงอยู่ข้างบนกับรสสุคนธ์ค่ะ..” อุษาตอบ
“อยู่ข้างบน..กับรสสุคนธ์..นี่หมายความว่า..ตายแล้ว” สายสมรพูดเบาๆ “ทำไมเขาถึงน่าเกลียดจริง..เขาน่าจะรอให้ศพ..”
อุษาตัดบท “ช่างเขาเถิดค่ะเชิญด้านในเลยนะคะ”
สายสมรรับรู้ด้วยอาการสมเพชใจเต็มที แล้วตามคนอื่นๆเข้าไป ผันกับต้อยติ่งในชุดไว้ทุกข์พากันมา
อุษาไหว้หมอผันแล้วรับไหว้ต้อยติ่ง
“ได้พักผ่อนหรือเปล่าหนูอุษา..” ผันถาม
“ได้ค่ะ..แต่ก็ไม่ค่อยหลับ” อุษาบอก
“เดี๋ยวพี่ธารินทร์มานะคะพี่ษา จอดรถอยู่ค่ะ”
“จ้ะ..หนูไปไหว้ศพคุณน้าก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ..” ต้อยติ่งรับคำ
หมอผันกับต้อยติ่งพากันเข้าไปในห้องสุสานและไหว้พระพุทธและศพลั่นทม ซึ่งมีคนอื่นๆ ไหว้อยู่ก่อนแล้ว แขกในงานทยอยแยกย้ายกันไปนั่ง ธารินทร์ชุดไว้ทุกข์เดินเข้ามา อุษาเห็นก็ร้องไห้ “รินทร์คะ..เสร็จพิธีสวดษาอยากไปจากที่นี่..”
ธารินทร์งง


ธารินทร์ประคองอุษาหลบแขกในงานมาคุยกัน
“มีอะไรจ๊ะษา”
“ษาทนเห็นน้าชีพกับ รสสุคนธ์ดูถูกคุณน้าลั่นทมไม่ได้ ษาทนไม่ไหวอีกแล้วค่ะรินทร์”
อุษาร้องไห้ด้วยความอัดอั้น ธารินทร์ไม่ซัก เขาปล่อยให้อุษาร้องจนพอใจ ครู่หนึ่งอุษาก็ข่มใจได้
“พวกเขาเหยียดหยามคุณน้าทั้งๆ ที่คุณน้าตายแล้ว ดูสิคะขนาดสวดศพคุณน้าเขาก็ไม่ลงมา ษาทนดูเขาทำร้ายจิตใจคุณน้าไม่ไหวอีกแล้ว”
“ผมเองก็ไม่ได้อยากให้ษาอยู่ที่นี่ แต่ษาก็ต้องทน เขาพยายามบีบ”
“ให้ษาไป เพื่อพวกเขาจะได้ทำชั่วได้เต็มที่”
“เขาต้องได้ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณน้า ษาคงขวางเขาไม่ได้หรอกค่ะ”
“ผมไม่ได้ให้ษาอยู่เพราะเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่ผมต้องการคืนความยุติธรรมให้คุณน้า ษาจะให้คุณน้าตายฟรีแล้วให้คนชั่วลอยนวลเหรอครับ”
อุษานิ่งคิดตาม ธารินทร์อธิบายต่อ “ผมกำลังหาหลักฐานเล่นงานพวกเขาอยู่ อดทนอีกหน่อยนะษา”
“ก็ได้ค่ะษาเข้าใจแล้ว ษาจะทำตามที่คุณแนะนำ”
ธารินทร์ดึงตัวอุษาเข้ามากอดไว้ด้วยความสงสาร


ชีพกับรสสุคนธ์ที่สวมชุดนอนมีเสื้อคลุมสีสันฉูดฉาดกำลังมีความสุขอยู่กับการกำหนดรายชื่อผู้ที่จะเชิญมาในงานแต่งงานของพวกเขา ในขณะที่วิญญาณลั่นทมนั่งมองอยู่ด้วย
“เชิญให้หมด..เริ่มตั้งแต่ท่านผู้ว่าฉันจะจัดให้ใหญ่โตเลย”
“แต่รสไม่รู้จักใครเลยนี่คะไม่รู้จะเชิญใคร”
“งั้นฉันจะให้พนักงานพิมพ์รายชื่อมาให้ พวกฝ่ายบุคคลคงรู้ว่าลั่นทมรู้จักใครบ้าง เชิญมาให้หมด”
ลั่นทมพูดกับชีพด้วยอาการโกรธ “คุณใจดำกับทมมากนะชีพ ศพทมยังคาบ้านแต่คุณมาคิดเรื่องแต่งงาน”
“แบบนั้นก็ดี งานแต่งงานของเราจะต้องดังที่สุดในจังหวัด..เอาให้คนพูดถึงไปอีกนานเลย แหมจริงๆแล้วอยากให้วิญญาณมันมีจริงเหมือนกันนะ มันคงกระอักแน่ๆ” รสสุคนธ์ว่า
ลั่นทมมองรสสุคนธ์ตาขวางและมีแววตาดุร้าย เธอเอื้อมมือไปที่คอรสสุคนธ์แต่แล้วก็ชะงักและทำส่ายหน้าข่มใจ วิญญาณลั่นทมหายไป กระดาษหลายใบที่รสสุคนธ์เอามาจะจดปลิวไสวทั้งๆที่ไม่มีลม ชีพกับรสสุคนธ์มองตากันอึ้งๆ ก่อนจะมองไปรอบๆแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ชีพกำลังสั่งงานเสียงดังให้วิเวก สมพรและฉ่ำกับฉลองจัดสถานที่สำหรับงานแต่งงานอยู่ที่หน้าบ้านลั่นทม ฉ่ำ วิเวก และสมพรแต่งชุดไว้ทุกข์ ส่วนฉลองแต่งกายตามสบาย
“เอาไฟประดับตามต้นไม้ทุกๆต้นเลยนะ อ้อ ฉ่ำ แล้วทำเป็นซุ้มดอกไม้ตรงที่ตั่งรดน้ำด้วยนะ”
“เอ้อ..จะประดับไฟวันไหนดีครับ” สมพรถาม
“ก็วันนี้เลยซีวะเสร็จแล้วก็ลองเปิดไฟดูจะได้รู้ว่าต้องแก้ไขจุดไหน” ชีพว่า
“จะเหมาะเหรอครับ ก็คืนนี้ศพคุณนายยังสวดอยู่”
“ก็สวดไปซิวะ ฉันจะจัดแต่งงานฉัน พวกแกก็เลิกไว้ทุกข์ได้มันไม่เป็นมงคล”
หวานผ่านมามองก่อนจะเดินเข้ามาอย่างไม่สบายใจ
“ดิฉันขอบังอาจพูดอะไรสักหน่อยเถอะค่ะ” หวานว่า
ชีพรำคาญ “มีอะไร”
“ดิฉันว่ามันไม่สมควร ศพคุณนายยังไม่ได้เผา คาอยู่ในบ้าน ด้วยคุณกลับจัดงานแต่งงานซ้อนขึ้นมา คนจะนินทาเอาได้ นะคะ”
“ฉันอยากให้คนนินทา ให้คนเขารู้ไปให้ทั่วว่าฉันไม่ได้รักนังเมียตัวแสบเลย ฉันจะแก้แค้นลั่นทมที่มันทำกับฉัน น้าหวานไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
หวานอึ้งที่เห็นรสสุคนธ์แต่งตัวสีสันฉูดฉาดนวยนาดออกมาดูการตกแต่งสถานที่ รสสุคนธ์ถือการ์ดปึกใหญ่มาและกำลังจะออกไปข้างนอกกับชีพ นฤมล เรวัต หนุ่ย โหน่งและทุกคนสวมชุดอยู่บ้านตามสบายพากันเดินออกมาสมทบรสสุคนธ์
“ต้องเป็นงานแต่งที่โอ่อ่าที่สุดในละแวกนี้เลยนะน้องรส” นฤมลบอก
“ใช่ ฉันจะเชิญให้หมดทั้งจังหวัดเลย แล้วพี่มลก็เชิญทางบ้านเก่า ของเราให้หมดด้วย ถึงไม่ใช่ญาติก็เชิญมา”
“ได้ค่ะพี่จะจัดให้ พวกที่มันเคยดูถูกเรา จะได้มาเห็นบ้านช่องของรสมันคงจะอึ้งกันจนพูดไม่ออกเลยสะใจจริงๆ” อุษาสวมชุดไว้ทุกข์เดินออกมาจะไปทำงาน รสสุคนธ์รีบตะโกนบอก
“อย่าลืมมางานแต่งงานของฉันด้วยนะจ๊ะแม่อุษา”
อุษาเฉยเหมือนไม่ได้ยินไม่ได้สนใจแม้แต่จะมอง เธอเดินตรงไปที่รถเก๋งแล้วขับหน้าเชิดออกไป รสสุคนธ์มองตามแววตามุ่งร้ายก่อนจะพึมพำ
“แกจะเชิดได้อีกไม่นานหรอกนังอุษา”


พระสวด อุษานั่งอยู่กับธารินทร์ หมอผัน ต้อยติ่งและทุกคน วิญญาณลั่นทมนั่งพนมมือฟังพระอย่างสำรวมและมีสีหน้าเปลี่ยนไป เธอหันขวับมองไปทางบ้านเขม็ง ชีพกับรสสุคนธ์กำลังดื่มและกำลังเต้นกันอย่างสนุกสนานโดยเปิดเพลงจังหวะสนุกๆดังกระหึ่มอยู่ในบ้าน นฤมลกับเรวัตดื่มกินอยู่ใกล้ๆ ราวกับมีปาร์ตี้ เพลงจบชีพกับรสสุคนธ์เดินมานั่งพักเหนื่อย
“ว้าวสนุกจังเลย ชีพเหนื่อยแล้วเหรอคะ”
“โธ่แค่นี้เหนื่อยก็ดูถูกกันมากไปแล้ว”
รสสุคนธ์ลุกขึ้นฉุดชีพ
“งั้นต่อกันเลยค่ะพี่มล พี่วัตเป็นพยานนะใครพักก่อนคนนั้นแพ้”
“ได้ๆพี่สองคนจะเป็นกรรมการตัดสินให้ เรวัตคะไปเปิดเพลงให้น้องรสหน่อยสิ”
“ได้เลย” เรวัตบอก
เรวัตเดินไปเปิดเพลงที่เครื่องเสียงมุมห้อง รสสุคนธ์กับชีพยืนรอ พอเพลงดังกระหึ่มขึ้นืั้งสองคนก็เต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง วิญญาณลั่นทมมองเขม็งแล้วก็ข่มใจหันกลับมาฟังพระสวดต่อด้วยท่าทางที่พยายามข่มอารมณ์

ชีพกับรสสุคนธ์ที่เริ่มเมายังเต้นต่อด้วยความสนุกและเริ่มเมา
“สนุกเป็นบ้า ไม่ได้ปลดปล่อยแบบนี้มานานแล้ว” ชีพว่า
รสสุคนธ์หัวเราะ “ก็ใครใช้ให้คุณได้เมียเหมือนแม่ชีละคะ”
ชีพคว้าตัวรสสุคนธ์ไปกอดก่อนจะก้มลงซุกไซ้
“ใช่ไม่เหมือนเธอสุดยอดจริงๆ”
นฤมลเห็นสองคนจู๋จี๋กันก็สะกิดเรวัตเพื่อจะหลบไป เธฮรีบบอกรสสุคนธ์
“น้องรสขาพี่ขอตัวไปดูหนุ่ยกับโหน่งก่อนนะจ๊ะ”
รสสุคนธ์โบกมือให้ “ตามสบายค่ะตามสบาย”
เพลงจบ ชีพดึงรสสุคนธ์ไปล้มตัวลงนอนทับกันบนโซฟา ชีพมองรสสุคนธ์ด้วยความหลงใหล
“ฉันโชคดีจริงๆที่ได้พบเธอ ไม่งั้นชีวิตก็คงจมปลักดักดานอยู่กับปลาร้าแห้งๆ เตะนิดก็โอ๊ยเตะหน่อยก็จะตาย ดีมันตายไปซะได้นะดี”

วิญญาณลั่นทมมีสีหน้าแววตากร้าว เธอลดมือลง แล้วก็มีนัยน์ตาเบิกโพลงแดงก่ำ ร่างลั่นทมค่อยๆ เลือนหายไป ชีพก้มลงจะจูบรสสุคนธ์ รสสุคนธ์หลับตาพริ้ม เสียงสวดศพดังเหมือนสวดอยู่ในห้องรับแขก ชีพชะงัก
“เฮ้ยทำไมสวดดังมาถึงนี่อะไรกันวะ”
“ไปเปิดเพลงดังๆสิคะจะได้กลบเสียงบ้าๆนั่น”
ชีพพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดเพลงโรแมนติกหวานๆ ได้บรรยากาศ ชีพกลับมาก้มลงหารสสุคนธ์ ทันใดนั้นเพลงก็เปลี่ยนเป็นพญาโศก ชีพอึ้ง รสสุคนธ์มองชีพ
“บ้าจังใครมาอัดทับเนี่ย” ชีพว่า
“เสียงพระสวดเงียบไปแล้วปิดเลยดีกว่าค่ะ”
ชีพพยักหน้าแล้วเดินไปปิดเพลง เขากลับมาแล้วก้มลงหารสสุคนธ์
เสียงพระสวดดังขึ้นมาอีก แล้วก็ดังขึ้นเรื่อยๆ รสสุคนธ์อุดหูแล้วลุกขึ้นนั่งหวาดๆ
“ชีพคะมันชักยังไงๆนะคะหรือว่านังลั่นทม..”
ชีพมองไปรอบๆ แล้วตะโกนท้า
“เธอมาเหรอลั่นทม มาเลยออกมาสิฉันไม่กลัวเธอหรอก”
ชีพคว้าตัวรสสุคนธ์มากอดและจูบอย่างแรงก่อนจะหันมาพูดกับอากาศ
“มาดูเสียให้เต็มตา นี่ไงเมียรักของฉันไม่ใช่เธอ มาสิมาดูมาเป็นพยานรักให้เราสองคน”
รสสุคนธ์เลิ่กลั่ก ชีพกอดจูบรสสุคนธ์อีกแล้วหันมาท้าทาย
“เป็นไงเห็นเต็มสองตามั้ยนังผีบ้าแน่จริงออกมา ออกมา”
วิญญาณลั่นทมยืนตาแดงก่ำและมีสีหน้าแววตาโกรธขึ้ง ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาชีพอย่างรวดเร็ว ชีพยังท้าทายด้วยท่าทางเมามาก รสสุคนธ์รีบลุกขึ้นฉุดชีพ
“ ขึ้นนอนเถอะค่ะชีพ รสว่าไม่สนุกแล้วล่ะ”
รสสุคนธ์พาชีพเดินผ่านวิญญาณลั่นทมไป ลั่นทมมองตามแล้วพึมพำ
“ฉันต้องไม่ทำบาป ไม่ ฉันจะไม่ทำ”
วิญญาณลั่นทมหายไป รสสุคนธ์พาชีพเดินขึ้นบันได ชีพยังท้าทายไม่หยุด
“มันไม่แน่จริง ไม่แน่นี่หว่า”


ดึกสงัด พระจันทร์กลมโตมีเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวเข้ามาบดบัง เสียงหมาโหนโหยหวนเยือกเย็น
ชีพกับรสสุคนธ์นอนหลับสบายอยู่บนเตียง จู่ๆ ชีพที่หลับสนิทอยู่ก็สะดุ้งตื่น เขาตาเหลือกตาลานที่เห็นลั่นทมในสภาพศพน่ากลัวกำลังยืนมอง ลั่นทมพุ่งเข้าหาชีพแล้วบีบคอเขาด้วยความโกรธแค้น ชีพดิ้น
“ยะอย่า..โอ๊ยอย่า....”
ชีพตาเหลือกและพยายามดิ้นสุดชีวิต


ชีพลุกพรวดขึ้นมานั่งหอบ เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีลั่นทม ชีพจับคอตัวเองก็พบว่าปกติ ชีพถอนหายใจโล่งอก
“ฝันไปนะเอง”
ชีพตบต้นคอตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันไปมองรสสุคนธ์ที่นอนหลับสนิท ชีพก้มไปจูบแก้มรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ขยับตัว”นอนเถอะค่ะง่วง”
“จ้ะ” ชีพรับคำ
ชีพล้มตัวนอนครู่เดียวเสียงกระดิ่งก็ดัง ชีพลืมตาโพลงลุกขึ้นนั่ง
“เอาอีกแล้ว ไอ้พวกนี้มันคิดจะลองดีฉันเหรอ”
ชีพลงจากเตียงแล้ววิ่งออกจากห้องด้วยความโกรธจัด เขาปิดประตูปังใหญ่ รสสุคนธ์ลืมตามอง
“จะไปไหนของเขา”


ชีพวิ่งลงมาจากชั้นบนเข้ามาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าโกรธจัด เสียงกระดิ่งในห้องรับแขกดังลั่น
ชีพชะงักมองไปรอบๆ
“อะไรวะทำไมเสียงมันมาดังที่นี่อีก”
เสียงกระดิ่งดังมากขึ้นและถี่ขึ้นจนชีพต้องอุดหูแล้วตะโกน
“ ไอ้บ้าใครทำวะพวกแกติดสัญญาณบ้าๆนี่ทั่วบ้านเลยเหรอ ใครออกมา บอกให้ออกมา”
ชีพขว้างข้าวของด้วยความโกรธจัด เขายืนหมุนคว้างอยู่กลางห้อง เสียงกระดิ่งยังดังต่อเนื่อง
ชีพแค้นสุดขีด “นังลั่นทมแกหลอกฉันเหรอ ฉันไม่กลัวแกหรอก ถ้าเป็นแกทำออกมา สิวะออกมา”
รสสุคนธ์วิ่งลงมาตามด้วยนฤมลกับเรวัตที่หน้าตาตื่น
“อะไรกันคะน้องรส เสียงเอะอะอะไร” นฤมลถาม
รสสุคนธ์วิ่งเข้าไปหาชีพ
“คุณเป็นอะไรนะชีพ แล้วนี่ขว้างปาของทำไม”
“ก็ไอ้เสียงกริ่งบ้านี่สิ ฉันจะเล่นงานมันไม่ว่าผีหรือคนใครทำออกมา” ชีพว่า
รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
นฤมลกระซิบ “คุณชีพเมาค้างหรือเปล่าน้องรส”
“นั่นสิเสียงกริ่งอะไรพี่ไม่เห็นได้ยิน”
“ชีพคะรสก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”
ชีพอึ้งแล้วตะโกนลั่น “นังผีดิบลั่นทม มันแกล้งฉันมันแกล้ง โอ๊ย มันดังอีกแล้วไม่มีใครได้ยินหรือไง”
ชีพอุดหูแล้วนั่งลงกับพื้น นฤมลดูอาการชีพแล้วก็บอกรสสุคนธ์อย่างมั่นใจ
“พี่ว่าไม่ใช่ผีใช่สางหรอกค่ะพวกคุณนายลั่นทมแกล้งใส่อะไรในอาหารหรือเครื่องดื่มให้คุณชีพกินแน่ คุณชีพเลยประสาทหลอน”
ชีพชะงัก รสสุคนธ์เห็นด้วย
“เออ พี่มลพูดเข้าท่า อาจเป็นได้นะคะชีพ”
“แสดงว่าพวกมันก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น เราวางใจไม่ได้แล้วล่ะน้องรส พี่ว่าพาคุณชีพไปหาหมอก่อนดีกว่า”
รสสุคนธ์กับเรวัตเข้ามาประคองชีพ ชีพลุกขึ้นแล้วส่ายหน้าโดยมีอาการสงบลง
“ ไม่ต้อง ฉันไม่ได้ยินเสียงแล้ว”
ทุกคนงง ชีพมีท่าทางเข้มแข็งขึ้น “ถ้าพวกมันแกล้งฉัน ฉันต้องไม่มีปฏิกิริยาไม่อย่างนั้นมันจะสะใจ ฉันไม่ได้ยิน ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น”
“ดี ดีค่ะ”
ชีพเดินขึ้นชั้นบนโดยท่องไปด้วย
“ฉันจะไปนอนฉันไม่ได้ยินฉันไม่ได้ยินฉันจะไปนอน”
เสียงกระดิ่งดังอีก ชีพสะดุ้งแล้วรีบท่องดังกว่าเดิม รสสุคนธ์หันมาบอกทุกคน
“ไม่มีอะไรแล้วไปนอนกันเถอะ”
รสสุคนธ์เดินตามชีพไป


วิญญาณลั่นทมยืนอยู่ในห้องหันหน้าเข้าหาประตู ประตูเปิดออก ชีพกับรสสุคนธ์เดินเข้ามาปิดประตู แล้วเดินทะลุร่างลั่นทมตรงไปที่เตียง ชีพนั่งลงบนเตียง รสสุคนธ์เดินมานั่งข้างๆ
“เป็นไงคะดีขึ้นมั้ย”
“ ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ขอบใจนะรส”
รสสุคนธ์กอดชีพ
“คุณคงเครียดนะ เอางี้รสจะทำให้คุณหายเครียดเอง”
รสสุคนธ์ถอดเสื้อชีพแล้วยิ้มยั่วยวน ชีพถอดเสื้อคลุมของรสสุคนธ์ออก ลั่นทมมองด้วยความโกรธก่อนจะตวาดเสียงดัง
“ไปให้พ้น นี่มันเตียงฉัน”
ชีพจูบรสสุคนธ์อย่างดูดดื่ม ลั่นทมพุ่งเข้าใส่รสสุคนธ์แล้วกระชากผมเธอจนหน้าหงาย รสสุคนธ์นึกว่าชีพดึงจึงหัวเราะเบาๆ
“อุ๊ยแหม อย่าดุเดือดนักสิคะ”
ชีพงงๆ แต่ทั้งสองคนก็จูบกันต่อ ลั่นทมแค้นจึงมองทั้งสองเขม็ง ลมพายุพัดรุนแรงจนหน้าต่างกระทบดังสนั่น ชีพกับรสสุคนธ์ผละออกจากกัน
“สงสัยมีพายุอีกแล้ว”
“รสปิดหน้าต่างก่อนค่ะ”
รสสุคนธ์ลุกไปที่หน้าต่างก่อนจะยื่นมือออกไปปิด ลั่นทมมองอย่างโกรธๆ หน้าต่างปิดเข้ามาอย่างแรงทั้งที่ไม่มีลมจนกระแทกหน้ารสสุคนธ์ผงะล้มหงายมานั่งอยู่กับพื้น “โอ๊ย”
ชีพหันไปมองก็ตกใจรีบกระโดดลงไปประคองรสสุคนธ์
“เป็นอะไรรส”
รสสุคนธ์กุมจมูกที่แดงก่ำ
“ไอ้หน้าต่างบ้ามันตีใส่หน้ารสอุ๊ยเจ็บจังเลยดั้งหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ชีพช่วยดูแล้วรีบประคองรสสุคนธ์ไปนั่งที่เตียง
“เดี๋ยวฉันหายามาทาให้”
ชีพเดินไปหายาที่ลิ้นชัก ลั่นทมตรงรี่เข้าหารสสุคนธ์ด้วยความสะใจ แต่ก็มีควันธูปลอยมาปะทะร่างลั่นทม ลั่นทมหันไปมองทางสุสาน

อ่านต่อหน้าที่ 3


สุสานคนเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)

ควันธูปที่อุษาจุดลอยขึ้น อุษาพนมมืออยู่หน้าพระพุทธรูปข้างศพลั่นทมพร้อมกับพูดอธิษฐาน

“เกิดชาติใหม่ขออำนาจพระพุทธคุณ จงดลบันดาลให้คุณน้าเป็นปกติเหมือนอย่างคนอื่น อย่าต้องทนทุกข์ทรมานอย่างชาตินี้เลย..”
คนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย หวานซับน้ำตา ควันธูปยังคงลอยไป


ควันธูปลอยต่อเนื่องมาที่หน้าลั่นทมทำให้ลั่นทมชะงัก สีหน้าที่ดุร้ายเกรี้ยวกราดเริ่มสำนึกได้
“ฉันกำลังจะทำบาปอีกแล้ว..”
ลั่นทมถอยหลังมองรสสุคนธ์อย่างข่มใจ ลั่นทมน้ำตาไหล เธอคิดถึงตอนที่นอนอยู่ในโลงศพ แต่ยังไม่ตาย ลั่นทมเห็นสัปเหร่อกำลังมัดตราสังข์ เสียงของเธอดัง
“ยัง ฉันยังไม่ตาย อย่ามัดฉัน ฉันกลัวๆ” เสียงตอกโลงดัง
ลั่นทมที่ยังไม่ตายถูกนำเข้าโลงศพไปบรรจุที่ป่าช้า
“อย่าเอาฉันมาไว้ที่นี่ ฉันกลัว อย่า..”
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา วิญญาณลั่นทมก็ยืนน้ำตาไหล เธอมองชีพกับรสสุคนธ์อย่างตัดใจ
“ฉันจะไม่ทำบาป ฉันจะไม่ทำ”
วิญญาณลั่นทมเลือนหายไป ชีพถือตลับยามาทาให้รสสุคนธ์
“โอ๊ยเบาๆหน่อยค่ะเจ็บ”
“ โธ่เอ๊ยปิดยังไงลมก็ไม่มีปล่อยให้หน้าต่างตีหน้าเข้าได้”
รสสุคนธ์นิ่งคิด “จริงสิ... เมื่อกี้ไม่มีลมสักนิด หน้าต่างมันดันปิดเข้ามาได้ยังไงกันชีพคะ หรือว่า..”
ชีพผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธ เขาผลุนผลันเปิดประตูออกไป รสสุคนธ์ถลาลุกตามไปอย่างลืมเจ็บ
“ชีพเดี๋ยว รอรสด้วย..โอ๊ย”


ชีพที่เดินเร็วจนเกือบจะวิ่งมาหยุดที่ประตูห้องสุสานของลั่นทม เขามองเข้าไปด้วยสีหน้าถมึงทึง
“นึกแล้วไม่มีผิด สุมหัวกันอยู่นี่เอง คิดวางแผนอะไรกันอีก”
หวานกำลังเก็บถาดซ้อนกันอยู่มุมหนึ่ง ใกล้กับจิ้มลิ้ม ยาใจที่ช่วยเก็บข้าวของ อุษานั่งอยู่ใกล้ๆ โลงศพอย่างเศร้าสร้อย มีธารินทร์อยู่ใกล้ๆ ชีพมองไปแล้วเดินเข้าไปใกล้อุษาและธารินทร์แล้วมองอย่างหาเรื่อง
“จะหาทางเล่นงานอะไรฉันอีก” ชีพว่า
“ใครกันแน่ครับที่คอยหาทางเล่นงาน” ธารินทร์ย้อน
“ก็พวกแกนะสิ แกล้งฉันตั้งแต่เรื่องเสียงออดในโลงศพนั่นอย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ” ชีพชี้ไปที่โลงศพ “เปิดโลงออกแล้วเอาไอ้สัญญาณบ้าๆ ออกได้แล้ว”
ธารินทร์พูดเรียบๆ “เราเอาออกก่อนจะเอาศพลง เพราะเรารู้ว่าคุณน้าไม่ฟื้น แน่ไม่จำเป็นต้องใช้สัญญาณแล้ว”
ชีพมอง “เป็นไปไม่ได้ เอาออกแล้วมันดังได้ไง”
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะเริ่มขยับเข้ามาร่วมกลุ่มอย่างหวาดๆ ชีพงงสุดๆ
“ก็ฝีมือพวกแกนะสิ คิดจะทำให้คุณชีพกับฉันกลัวใช่มั้ยทั้งเรื่องกริ่งเรื่องเสียงสวดศพกับทำลมพายุพัดในห้อง พวกแกร่วมมือกันทำทั้งนั้น” รสสุคนธ์ว่า
อุษาและธารินทร์มองหน้ากันด้วยลางสังหรณ์แปลกๆ
“พวกเราไม่ได้ทำ” อุษาย้ำ
“หรือว่าคุณผู้หญิงท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น” หวานพูด
“อ๋อเหรอ กลัวตายล่ะ” รสสุคนธ์ว่า
รสสุคนธ์เดินไปหยิบพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชาก่อนจะตรงไปหยุดที่หน้าโลงศพลั่นทม แล้วยื่นพระพุทธรูปไปที่โลงศพ
“ถ้าเป็นแกจริงๆก็ออกมาสิ เก่งจริงมาเลย”
อุษาปราดมาดึงรสสุคนธ์ออกไป “ไปให้พ้น”
รสสุคนธ์เงื้อมือจะทำร้ายอุษา แต่ธารินทร์เข้ามาจับไว้แล้วจ้องขู่
ชีพตวาด “ธารินทร์ อย่าแตะต้องรสนะ”
ธารินทร์ตอบทันควัน “คนของคุณก็ห้ามแตะต้องอุษา”
ธารินทร์ปล่อยแขนรสสุคนธ์ รสสุคนธ์สะบัดออกไปหาชีพ ชีพยกมือชี้กราดไปทางฉ่ำ สมพร วิเวกและพวกน้าหวาน “ ถ้าพวกแกยังมาซ่องสุมกันฉันจะไล่ออก รีบกลับไปนอนแล้วเตรียมตัวช่วยฉันจัดงานแต่งงานกับรสพรุ่งนี้”
ชีพดึงแขนรสสุคนธืแล้วพาออกไป อุษาตะลึง “พรุ่งนี้เหรอ....”
อุษาหันไปมองโลงศพลั่นทมด้วยความเศร้าสะเทือนใจ


เช้าตรู่ ชีพกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน
“ไม่ต้องถามให้มากความ เธอมีหน้าที่ทำตามที่ฉันสั่งก็ทำไป”
ชีพตัดการติดต่ออย่างฉุนๆ รสสุคนธ์นุ่งผ้าขนหนูเข้ามาโอบด้านหลังอย่างออเซาะ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ เสียงดังเชียว”
“หน้าไหนมันจะกล้ามีปัญหา เป็นแค่สมุห์ฉันสั่งก็ต้องทำ”
“ตกลงเราจะแต่งงานกันคืนนี้แน่ๆใช่มั้ยคะ รสไม่ได้ฝันไปนะคะชีพ”
“แน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันพูดคำไหนเป็นคำนั้น”
รสสุคนธ์จูบชีพอย่างเอาใจ
“รสรักคุณจังคะชีพ แต่รสจะเตรียมตัวทันมั้ยเนี่ย ไหนจะชุดแต่งงานไหนจะต้องแต่งหน้าทำผม โอ๊ยนี่รสจะเริ่มตรงไหนก่อนดีล่ะอุ๊ยรีบแต่งตัวก่อนดีกว่า”
รสสุคนธ์ตื่นเต้นสุดๆ เธอรีบผละจากชีพไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกชุดที่จะใส่ออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน ชีพพึมพำอย่างสะใจ
“ถ้าวิญญาณเธอมีอยู่จริง เธอจะได้รู้รสชาติของความเจ็บปวด ฉันจะเอาคืนให้สาสมกับที่เธอทำกับฉัน นังลั่นทม”


ศพลั่นทมในโลงลืมตาโพลงขึ้น แววตาของลั่นทมฉายแววอาฆาตมาดร้ายอย่างสุดๆ ลั่นทมเปล่งเสียงกราดเกรี้ยว
“ชีพ...ฉันพยายามไม่ทำบาป ฉันพยายามจะให้อภัยคุณ แต่คุณไม่เคยสำนึก ไม่เคยเลิกที่จะทำร้ายจิตใจฉันไม่ว่าฉันจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากคุณไปแล้วก็ตาม”
ศพลั่นทมลุกพรวดขึ้นหันหน้าไปทางบ้านด้วยดวงตาแดงก่ำดุร้าย
“คืนนี้...เราจะได้เห็นดีกัน”
ลั่นทมทำหน้าน่ากลัวมาก


ชีพที่กำลังจะเดินออกจากตัวบ้านชะงักเพราะเสียงอุษา
“เดี๋ยวค่ะน้าชีพ...”
ชีพหยุดยืนนิ่งแต่ไม่หันมา อุษาเดินเข้ามายืนตรงหน้าชีพ ชีพมองอุษาอย่างยียวน อุษาข่มใจแล้วพยายามพูดดีๆด้วย
“น้าชีพคะ ษาอยากขอร้องให้น้าชีพทบทวนใหม่”
“ทบทวนอะไร” ชีพย้อนถาม
“ก็เรื่องที่น้าชีพจะแต่งงานกับรสสุคนธ์คืนนี้”
ชีพยิ้มกวน “ทำไม..เอ๋อย่าบอกนะว่าเธอเกิดหึงหวงน้าขึ้นมา”
อุษาหน้าตึงแต่พยายามข่มใจ “น้าชีพก็รู้ว่าษามาขอร้องทำไม เห็นแก่คุณน้าลั่นทมเถิดนะคะ กรุณาอย่าทำอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจคุณน้าให้มากไปกว่านี้เลย”
ชีพทำท่าครุ่นคิดจริงจัง “ก็ได้น้าจะยกเลิกการแต่งงานกับรสก็ได้”
อุษาดีใจจนยิ้มออกแต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของชีพ
“แต่เธอก็ต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับไอ้หมวดธารินทร์เป็นการแลกเปลี่ยนตกลงมั้ยล่ะ”
อุษามองหน้าชีพอย่างสะอิดสะเอียน
“ษาพยายามที่จะช่วยน้าชีพแล้วนะคะ แต่ถ้าน้าชีพอยากจะเสี่ยงทำให้วิญญาณคุณน้าลั่นทมโกรธ น้าชีพก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้ได้”
ชีพหัวเราะเยาะ
“ไม่ต้องมาขู่..ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าฉันไม่กลัวนังผีนรกนั่น ฉันไม่เคยกลัว” ชีพตะโกน “แน่จริงก็ออกมาหักคอฉันสิ ออกมาเลย”
อุษามีสีหน้าหวาดหวั่น เธอมองไปรอบๆอย่างใจไม่ดีเพราะบรรยากาศรอบๆแปลกไป ชีพหัวเราะเยาะแล้วทำท่าไม่แคร์ เขายักไหล่แล้วเดินลอยชายออกไป อุษามองตามแล้วถอนใจเพราะไม่สบายใจมาก

พนักงานในโรงงานจับกลุ่มกระซิบกันเพราะกำลังตื่นเต้นกับข่าวการแต่งงานใหม่ บางคนทำท่าตกใจ
บางคนทำยื่นหน้าเข้าไปนินทากัน สายสมรเดินเข้ามามองอย่างไม่พอใจ
“อะไรกันจ๊ะๆ ไม่มีงานทำกันหรือไง”
พวกคนงานผละออก สายสมรเดินมาถึงกลุ่มพนักงานสาวอีก 2-3 คน
“พี่หมอนคะ ช่วงบ่ายหยุดหรือคะ”
สายสมรหยุดเดิน
“หยุดทำไม”
“อ้าว พี่ยังไม่รู้หรือคะว่า ผู้จัดการจะแต่งงานใหม่เย็นนี้”
“บ้า ใครบอก”
“ก็มีใบติดประกาศทั่วโรงงานเลยค่ะ ให้หยุดครึ่งวันเพื่อเตรียมตัวไปฉลองงานแต่งงานของท่านกับแม่รสสุคนธ์ไงคะ”
สายสมรตะลึง “ผู้จัดการต้องโดนเสน่ห์ยัยรสแน่ๆถึงทำเรื่องบ้าๆได้ขนาดนี้”
สายสมรรีบวิ่งไปที่ห้องอุษา


อุษายืนอยู่ต่อหน้าสมุห์ที่พูดด้วยสีหน้าเศร้าและน้ำตาคลอเบ้า
“คุณษาจะให้จ่ายเงินให้ผู้จัดการจริงๆเหรอคะ”
“ค่ะ น้าชีพเขามีสิทธิ์ขอเบิกจ่ายอยู่แล้ว เราก็จ่ายตามค่าใช้จ่ายจริง”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้จัดการจะกล้าทำ”
“ษาก็เพิ่งรู้เมื่อคืน”
สายสมรวิ่งเข้ามารีบถาม “เขาลือกันทั่วเลยค่ะว่าผู้จัดการจะแต่งงานจริงเหรอคะ”
อุษานิ่งแล้วถอนใจ สมุห์รีบตอบแทน “จริงค่ะ โทรศัพท์สั่งพี่ตั้งแต่เช้ามืดเลย ให้เตรียมเบิกเงินไว้ให้”
“ทำไมคุณษาไม่ค้านละคะทำได้ไงศพท่านผู้อำนวยการยังอยู่เลย”
“ช่างเขาเถิดค่ะถ้าเขาไม่มีสำนึกเราไปพูดก็คงเท่านั้น”
“ดิฉันอยากรู้จังว่าคืนนี้ ผู้จัดการกับแม่รสสุคนธ์จะทำหน้ายังไงงานนี้ได้เป็นขี้ปากคนเขาไปทั่วแน่ๆ”


ช่วงค่ำ ชีพกับรสสุคนธ์ซึ่งเป็นคู่บ่าวสาวแต่งชุดหรูหรามีสีหน้ายิ้มระรื่น รสสุคนธ์อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวลออตา เสียงเพลงจากเครื่องสายไทยเดิมคลออยู่ หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ และฉ่ำในชุดไว้ทุกข์รวมตัวกันอยู่ทางหนึ่ง ทุกคนอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะแสดงกิริยาอาการอย่างไรออกมากับภาพเบื้องหน้า
เรวัต นฤมล หนุ่ย และโหน่งฉลองในชุดสวยงาม ทุกคนรวมตัวกันอยู่ทางหนึ่งด้วยหน้าตาเบิกบาน ไกรอยู่ในชุดกลางๆเช่นเดียวกับแขกเหรื่อผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงที่กำลังยืนลับๆ ล่อๆ เพราะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
บางคนยืนซุบซิบ พอชีพหรือรสสุคนธ์เดินผ่านมาก็หยุดที่หน้าบ้าน ชาวบ้านในชุดปกติ สมุห์ สายสมร และพนักงานโรงงานทยอยกันเดินเข้ามา วิเวกกับสมพรในชุดไว้ทุกข์เสื้อขาวกางเกงดำเดินเข้ามา ฉ่ำรีบเข้ามาสมทบ ชีพเดินผ่านมาดุ “ทำไมพวกแกแต่งขาวดำฮะแกจะลองดีกับฉันเหรอ”
“ปละเปล่าครับคือเอ้อ..” ฉ่ำอึกอัก
“พวกเรายังคิดถึงคุณผู้หญิงอยู่นะครับ” วิเวกตอบ
“คุณผู้หญิงเพิ่งตาย แค่พวกเรามาร่วมฉลองเนี่ยก็รู้สึกผิดแล้วละครับ” สมพรว่า
“ไม่ต้องรู้สึกผิดเลย..คุณผู้หญิงของพวกแกมันใจดำพวกแกก็เห็นมันแกล้งฉันสารพัด ที่ฉันทำเนี่ยฉันต้องการตอบแทนให้สาสมเข้าใจมั้ย ไปไปเปลี่ยนชุดให้มันมีสีสัน เร็ว”
แขกผู้ใหญ่ 2 คนเดินผ่านมา กลุ่มฉ่ำรีบหลบไป ชีพไหว้แขกผู้ใหญ่
“ขอบคุณมากครับที่มา”
“เราคนกันเองไม่มาได้ไง เอ้อคุณชีพ..ถามหน่อยเถอะ ทำไมรีบร้อนแต่งนักล่ะคะเขาลือกันว่าโกรธคุณลั่นทมเรอะ..” แขกผู้ใหญ่ถามเพราะอยากรู้มาก “มันเรื่องอะไรกัน เล่าหน่อยๆ”
แขกอีกหลายคนล้อมเข้ามาฟัง ชีพเล่าทำหน้าตาน่าสงสาร
“ลั่นทมแกล้งผม..ทำพินัยกรรมบ้าๆ สร้าง สุสานไว้ในบ้าน แล้วสั่งให้เอาศพไว้ ถ้าผมไม่ทำผมจะไม่มีสิทธิ์ในสมบัติทุกอย่างทั้งๆ ที่ผมก็เป็นคนช่วยสร้างขึ้นมา”
“ตายจริงมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
แขกกระซิบกระซาบกันบางกลุ่มเริ่มเห็นใจชีพ แต่บางกลุ่มก็ไม่ค่อยเชื่อ ชีพทำหน้าเศร้า
“ลั่นทมเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ตายแล้วไม่ยอมตาย คิดแกล้งคนที่ยังอยู่ทั้งๆที่ผมดูแลเอาใจใส่เขาสารพัด”
วิญญาณลั่นทมปรากฏร่างขึ้นมองชีพอย่างไม่พอใจ
“คุณกล้าใส่ร้ายทมหน้าตาเฉยนะชีพ”
รสสุคนธ์เดินวางมาดเข้ามาเกาะแขนชีพแล้วก็ยิ้มหวานกับทุกคน ลั่นทมจ้องสองคนตาแดงก่ำ จนอยู่ๆก็เกิดลมพายุพัดเข้ามาในงาน โต๊ะอาหารและข้าวของปลิวว่อน แขกเหรื่อวิ่งกันวุ่น ลมพัดเข้าใส่ชีพกับรสสุคนธ์หนักกว่าคนอื่นๆ ครู่หนึ่งลมก็สงบ แขกไปออกันอยู่มุมหนึ่งแล้วมองมาที่ชีพกับรสสุคนธ์ที่มีสภาพผมเผ้าหลุดลุ่ยชี้ฟู เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นและใบไม้ รสสุคนธ์ก้มมองตัวเองแล้วร้องลั่น
“ว้าย..หมดกัน นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
ชีพรู้สึกว่าเป็นการกระทำของลั่นทมก็หันรีหันขวางมองหา
ชีพตะโกน “ลั่นทม ฉันรู้นะว่าเธอ อย่าแกล้งกันได้มั้ยวะ” ชีพพูดกับแขก “นี่ไงครับ เห็นมั้ยเขา แกล้งผม..
แขกเหรื่อยังคงตะลึงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรกันแน่”
“ทุกคนไม่ต้องกลัวนะครับ ผีกระจอกอย่างลั่นทมก็ทำได้แค่นี้ ไม่ต้อง ไปสนเรามาฉลองกันต่อเถอะครับ”
กลุ่มแขกกระซิบกระซาบกัน ชีพโอบรสสุคนธ์พาเดินรับแขกต่อ รสสุคนธ์ฝืนยิ้มทั้งๆที่เซ็งกับเสื้อผ้าผมเผ้าที่ดูตลกสิ้นดี


ธารินทร์ อุษา ผัน และต้อยติ่งมองเหตุการณ์อยู่ภายในบ้านโดยไม่ออกไปในงาน อุษาหันกลับมาอย่างสลดใจ
“สงสารคุณน้าลั่นทมจริงๆ เขาจัดงานหยามคุณน้ายังไม่พอยังกล้าพูดจาให้ร้ายคุณน้าอีก”
“ปล่อยให้เขาทำซะให้พอ คนที่รู้จักคุณน้าจริงๆไม่มีทางเชื่อเขาหรอก” ธารินทร์บอก
“แล้วพายุเมื่อกี้ฝีมือคุณน้าจริงๆหรือเปล่าคะ” ต้อยติ่งว่า
อุษากับธารินทร์อึ้ง ผันยกมือไหว้ “อย่าจองเวรจองกรรมกันเลยครับ ถือว่าผมขอเถอะ..”
ต้อยติ่งถาม “พ่อพูดกะใครนะ”
ผันไม่ตอบแต่มีสีหน้าไม่สบายใจ ต้อยติ่งมองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่นและใจไม่ดี


งานฉลองงานแต่งงานของชีพกับรสสุคนธ์ บรรดาชาวบ้านและพวกพนักงานที่โรงงานลั่นทมดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ไกรเดินไปหากลุ่มอุษา ธารินทร์ หมอผัน และต้อยติ่งที่มุมหนึ่ง
“คุณชีพไม่น่าทำแบบนี้เลย ผมสังหรณ์ใจว่าเรื่องมันจะไม่จบ”
“เพราะความโลภไงคะคุณน้า เขาถึงทำได้ทุกอย่าง” อุษาว่า
ทั้งสี่คนมองออกไปที่ชีพที่กำลังเดินด้วยอาการเมาจัดทักแขกเหรื่อไปทั่ว รสสุคนธ์คอยรั้งชีพที่เดินเซจะไปชนคนอื่นๆ เรวัต นฤมล ฉลอง หนุ่ยและโหน่งรวมกลุ่มกันดื่มกินพูดคุยด้วยหน้าตาเบิกบาน
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจ วิเวก สมพร และฉ่ำที่เกือบจะอยู่วงนอกของงานมีหน้าตาไม่สบายใจนัก
สมุห์กับสายสมรอยู่กับกลุ่มคนงานในโรงงานลั่นทมมองดูชีพและรสสุคนธ์ปลงๆ
ชีพที่เมาจัดนึกได้ก็ฉุดรสสุคนธ์ “ฉันนึกอะไรออกแล้วรส ! ไป ไปด้วยกัน”
“จะไปไหนคะชีพ..แขกยังไม่กลับ”
“ชีพไม่ฟังเสียง เขาฉุดรสสุคนธ์ไป
“ไปเถอะน่า..ไป ฉันอยากให้เธอสะใจกับฉันด้วย”
ไกรชะเง้อมอง “นั่นเขาจะไปไหนกัน”
“ท่าทางน้าชีพจะเมามาก”
อุษาผลุดลุกขึ้น “ไปทางสุสานคุณน้านี่คะ เขาจะไปทำอะไร”
ผันกังวล “หาเรื่องอีกแล้ว”
อุษาจะเดินตาม ธารินทร์ดึงแขนไว้ “ปล่อยเขา ยิ่งเราห้ามก็เหมือนยิ่งยุ คนแบบนี้ต้องทำเป็นไม่สนใจ”
“หมวดพูดถูก เห็นไม่มีใครสนใจเดี๋ยวก็กลับมาเอง แขกยังอยู่เต็มบ้าน” ไกรว่า
อุษาพยักหน้าข่มใจไม่สนก่อนจะนั่งลง

ชีพเมามายจนคุมสติแทบไม่อยู่ฉุดรสสุคนธ์เข้ามาที่หน้าสุสานลั่นทม รสสุคนธ์กังวลเพราะเห็นบรรยากาศน่ากลัว
“ชีพคะ..เราทิ้งแขกมานะคะ ทำไมมันเงียบสนิทแบบนี้ รสว่าเรากลับเถอะ”
ชีพเมามากจนไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
“น่า..ขอฉันเข้าไปบอกมันหน่อยว่าฉันกำลังมีความสุขมาก..กับเมียคนนี้”
ชีพดึงรสสุคนธ์เข้ามากอดกระชับ ชีพเอื้อมมือจะไปเปิดประตูแต่ยังไม่ถึงประตูก็ค่อยๆเปิดออกเอง รสสุคนธ์อึ้ง เธอดึงแขนชีพไว้
“ชีพ..ประตูมันเปิดได้ไง กลับเถอะค่ะ”
“ก็มันไม่ได้ปิดมันก็เปิดนะสิ อย่าปอดน่ามากับฉันไม่ต้องกลัวไปเข้าไป”
ชีพลากรสสุคนธ์เข้าไปจนได้ ประตูปิดตามอย่างช้าๆ


อุษาทนนั่งเฉยไม่ไหวจึงลุกพรวดขึ้นจะเดินตามออกไป ธารินทร์รีบคว้าแขนไว้
“ษาจะไปไหน”
“ษาทนให้สองคนนั่นไปรบกวนคุณน้าไม่ได้คะรินทร์ ษารู้ว่าน้าชีพต้องไปพูดจาเยาะเย้ยให้คุณน้าเจ็บช้ำใจแน่ๆ”
ผันแทรกขึ้นเบาๆ
“ปล่อยให้พวกเขาแสดงเสียให้พอเถอะหนูษา ชอบหาเรื่อง” ผันพูดเบาๆ “เดี๋ยวก็เจอดีจนได้”
ต้อยติ่งหันมาถามด้วยอาการตกใจ “เจอดีอะไรพ่อ พ่อหมายถึงเจอผีคุณนายลั่นทมเหรอ”
ต้อยติ่งหวาดๆ จึงรีบขยับเข้ามาหาผัน “ต้อยติ่งว่าเรากลับกันก่อนดีมั้ย บรรยากาศมันชักไม่ดีแล้วนะพ่อ”
อุษามองผันด้วยอาการตกใจ ผันรีบดุต้อยติ่ง “ผีเผออะไรเล่านังต้อยติ่งข้าไม่ได้หมายความว่ายังงั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า เชื่อลุงสิหนูอุษา เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาเอง”
อุษาไม่สบายใจ เธอมองหน้าธารินทร์ ธารินทร์พยักหน้าเป็นเชิงให้เชื่อผัน อุษาถอนใจนั่งลงแต่ตาคอยมองไปทางสุสานอย่างไม่ค่อยไว้ใจ



บรรยากาศภายในสุสานเต็มไปด้วยความเยือกเย็น วังเวง น่าขนพองสยองเกล้า มีไฟเปิดไว้ทึมๆ ชีพเดินเซโอบรสสุคนธ์ไว้แล้วส่งเสียงเอะอะ
“นังลั่นทม ลุกมาแสดงความยินดีกับเราหน่อยสิ นี่ไงเมียฉัน”
ชีพโอบรสสุคนธ์ไปชะโงกที่โลง
“หลับตาเฉยอยู่ทำไม ลืมตามามองดูสินังผีบ้า เมียฉันสวยกว่าแกร้อยเท่า ฮ่ะๆๆ”
ศพลั่นทมลืมตาโพลงแต่ทั้งสองคนไม่เห็นเพราะชีพเมาส่วนรสสุคนธ์ก็พยายามดึงตัวชีพกลับ
“กลับกันเถอะชีพ คุณเมามากแล้วออกไปกันเถอะรสหายใจไม่ค่อยออก ในนี้อับจะตาย”
“ม่าย..ม่ายยังไม่กลับ ฉันจะอวดมันฉันจะแกล้งมัน ลั่นทมได้ยินมั้ย”
ลั่นทมพยายามข่มความโกรธไว้ “ไม่โกรธ....”
รสสุคนธ์มองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ “ชีพคะไปเถอะรสกลัว”
“กลัวทำไม..นังผีกระจอกมันไม่มีปัญญาทำอะไรหรอกนอกจากนอนขึ้นอืด..ถุยน่าทุเรศ รู้ไว้ด้วยว่าฉันไม่ได้รักแกเลยนังลั่นทม ฉันรักเมีย คนนี้มากกว่า คนนี้ๆ นี่จูบให้ดู”
ชีพรั้งรสสุคนธ์เข้ามากอดและจูบ ลั่นทมพยายามข่มอารมณ์แล้วบอกตัวเอง
“อโหสิ..”
ชีพไม่เลิก “เราจะส่งตัวกันที่นี่..ที่เตียงนี้”
ลั่นทมพูดกับตัวเอง “ให้อภัย...”
“ไม่เอา ว้าย ! ไม่ค่ะ เตียงไว้ศพลั่นทม .ยี้ รสขยะแขยง”
รสสุคนธ์ออกแรงลากชีพออกไป ชีพยังโวยวาย
“ก็ได้ๆ น่าเสียดายนะลั่นทมเธอเลยอดดูเราสวีทกันเลย เพราะเมียฉันเขาขยะแขยงเธอ ฮ่ะๆๆ ถ้าเธอแน่จริงก็ตามไปดูเราที่บ้านโน้นสิ ฮ่ะๆๆ”
ชีพกอดรสสุคนธ์พาเดินเซออกไป ฝาโลงเปิดแล้วกระเด็นออก ลั่นทมลุกพรวดขึ้นนั่งด้วยหน้าตาโกรธแค้นสายตาดุดัน
“คนอย่างแกเอาชนะด้วยความดีไม่ได้แล้วละชีพ”


รสสุคนธ์ประคองชีพเดินกลับมาอย่างทุลักทุกเล ลั่นทมเคลื่อนตามหลังสองคนมาอย่างเร็วมากแต่แล้วกลับหยุดชะงัก เมื่อเสียงหวานดังอยู่ใกล้ๆ
“แล้วทำไมพวกแกถึงไม่ห้าม จะบ้าหรือเปล่าไปทำไมที่สุสาน”
หวาน นฤมล เรวัตกำลังเดินมา นฤมลรีบชี้มาทางชีพกับรสสุคนธ์
“อยู่นั่นไง..น้าหวาน”
หวานรีบวิ่งเข้ามาหารสสุคนธ์กับชีพ โดยที่นฤมลกับเรวัตเดินตามมา
หวานพูดกับรสสุคนธ์ “นี่แกทำบ้าอะไรหึนังรส พาคุณชีพไปสุสานทำไม”
“ฉันไม่ได้พาไป คุณชีพต่างหากที่พาฉันไป จะบ้าตาย มากันก็ดีแล้วมาช่วยกันประคองคุณชีพหน่อย เมาจนจะเดินไปไหวอยู่แล้ว”
ชีพพูดอ้อแอ้ “ม่ายเมา ใครว่าฉันเมา ม่ายต้องประคองม่ายต้อง”
เรวัตเข้าประคองชีพ ลมพัดมาอย่างแรง เสียงหมาหอนโหยหวนชวนขนลุก ทุกคนชะงักมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี หวานรีบยกมือไหว้
“คุณผู้หญิงเจ้าขาอิฉันขอโทษแทนคุณชีพกับนังรสด้วยนะคะ อย่าถือสาคนเมาเลยเจ้าค่ะ”
หวานหันมาเร่งทุกคน “เอ้ายืนตะลึกอะไรกันอยู่ได้ รีบๆพาคุณชีพกลับไปเร็วๆเข้า”
ทั้งหมดรีบพาหันไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ลั่นทมปรากฎร่างแล้วมองตามไปอย่างโกรธแค้น

เรวัตประคองชีพเข้ามาในงาน ตามด้วยรสสุคนธ์ หวาน และนฤมล บรรดาแขกหันมามองพวกชีพอย่างอยากรู้ รสสุคนธ์เข้าประคองชีพไว้เอง
“ฉันจะพาคุณเข้าบ้านแล้ว พี่มล พี่วัตดูแลพวกแขกด้วยก็แล้วกัน”
“จะบ้าเหรอ แขกยังไม่กลับแกจะทิ้งแขกได้ไงนังรส” หวานว่า
“โอ๊ยไม่สำคัญหรอกนะน้า ไม่ใช่ญาติติโกโหติกาข้างไหนซะหน่อย ก็แค่ให้มารับรู้ว่าฉันเป็นเมียที่ถูกต้องของคุณชีพก็แค่นั้น กินกันอิ่มแล้วเดี๋ยวเขาก็กลับไปกันเองแหละ”
รสสุคนธ์หันไปทางนฤมล “ฝากด้วยนะพี่มล”
“จ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ดูแลให้เอง ไปเถอะรีบไปส่งตัวกันเถอะก่อนเจ้าบ่าวจะเมาจนทำอะไรไม่ไหว”
นฤมลเย้า ชีพชี้หน้านฤมลพูโเสียงดัง “อ๊ะอ๊ะ อย่ามาดูถูกกันน่า คืนนี้ฉันจะมีความสุขให้นังผีลั่นทมมันอิจฉาจนตาลุกเชียว ฮ่ะๆๆ”
รสสุคนธ์รีบประคองชีพที่เมามากเข้าไปในบ้าน หวานมองตามอย่างไม่สบอารมณ์

รสสุคนธ์ประคองชีพเข้ามาแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นพวกอุษามองอยู่ ทุกคนไม่สนใจแล้วคุยกันต่อ ชีพโวยวาย
“อ๋อมารอส่งตัวบ่าวสาวเหรอได้ๆๆๆๆเรากำลังจะไปส่งเดี๋ยวนี้”
“แต่แขกยังไม่กลับเลยนะครับคุณชีพ” ไกรว่า
“ช่างหัวมัน เดี๋ยวมันกินอิ่มหมดเรื่องเม้าท์มันก็กลับกันไปเอง” ชีพบอก
ชีพกับรสสุคนธ์เดินขึ้นข้างบนแบบไม่สนใจใคร ไกร ธารินทร์ อุษา และผันมองตามอย่างสมเพช
“งั้นผมขอตัวกลับเลยล่ะกัน” ไกรบอก
“เจ้ารินทร์ พ่อก็กลับก่อนนะ เอ็งอยู่เป็นเพื่อนหนูษาก่อนก็ได้ไม่ต้องห่วง”
“ผมไปส่งลุงหมอให้ก็ได้ครับ”
ธารินทร์กับอุษายกมือไหว้ไกร “ขอบคุณครับ”
ทั้งหมดพากันเดินออกไป

ชีพที่เมาจัดรั้งร่างรสสุคนธ์ล้มลงบนเตียง รสสุคนธ์พยายามดันไว้
“อาบน้ำก่อนดีมั้ยคะชีพ”
“อาบทำไมเสียเวลาเปล่าๆ เรามาสวีทกันเถอะ นังลั่นทมมันจะได้ทรมานใจ ฮ่ะๆๆๆสะใจฉันสะใจจริงๆ”
ชีพก้มลงซุกไซ้รสสุคนธ์แล้วเงยหน้าตะโกนท้า
“บาดใจมั้ยจ๊ะน้องทม นี่ๆๆๆ” ชีพก้มลงจูบรสสุคนธ์อีก “บาดใจนักก็ออกมาเลยอย่ามัวแต่แอบร้องไห้ขี้มูกโป่ง ออกมาสิฉันอยากเจอแก”
รสสุคนธ์ชักรำคาญ
“พอเถอะค่ะชีพ เวลาแบบนี้เลิกพูดถึงลั่นทมดีกว่า”
“ก็ได้ก็ได้ โธ่เอ๊ยนังผีขี้แพ้ไม่มีน้ำยา”
เสียงลั่นทมดังขึ้นอย่างเยือกเย็นแต่ไม่มีใครได้ยิน “ฉันมาแล้วชีพ”
ชีพก้มลงจะแสดงความรักกับรสสุคนธ์ แต่เขากลับผงะอย่างตกใจที่เห็นรสสุคนธ์กลายเป็นลั่นทม
ในสภาพศพน่าเกลียด ลั่นทมแสยะยิ้มสยดสยอง
“เอาเลยสิจะกอดจูบตรงไหนก็เชิญ” ลั่นทมว่า
ชีพขืนตัวไว้ รสสุคนธ์โอบรอบคอชีพแล้วโน้มลงมาหา แต่ชีพเห็นเป็นลั่นทมจึงขยะแขยงสุดๆ
“ไม่...”
รสสุคนธ์แปลกใจ “ชีพ เป็นอะไรคะ”
รสสุคนธ์รั้งตัวชีพลงมาจนปากแทบจะจูบกัน ชีพตาเหลือกพยายามดิ้น รสสุคนธ์กลายเป็นลั่นทมที่แสยะยิ้มเชิญชวน
“มาเลยจูบเมียรักคนนี้ให้ชื่นใจสิคะชีพ”
ชีพขืนตัวไว้สุดชีวิต รสสุคนธ์พลิกตัวชีพลงไปนอนกับเตียง ส่วนตัวเองขึ้นมาอยู่บนตัวชีพแล้วหัวเราะขำ
“รู้แล้วจะให้รสแสดงเองใช่มั้ย”
รสสุคนธ์ก้มลงไปหาชีพ ชีพเห็นเป็นลั่นทมที่มีน้ำเหลืองหยดใส่หน้าเขาจึงผลักสุดแรง รสสุคนธ์หล่นจากเตียงลงไปนั่งก้มจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นแล้วร้องโอดโอย
“โอ๊ยอะไรกันนี่ชีพ ผลักรสทำไมอู๊ยสะโพกครากเหรือเปล่าเนี่ย”
ชีพนั่งตะลึงที่เห็นเป็นรสสุคนธ์ตัวจริง ชีพอุทาน “รส”
“ก็รสนะสิ ทำไมเดี๋ยวนี้คุณรุนแรงจังคะ”
รสสุคนธ์พยายามจะลุก ชีพถลาเข้าไปประคองพอลุกขึ้นได้รสสุคนธ์ก็กลายเป็นลั่นทมอีก
“ต่อเลยนะคะที่รัก” ลั่นทมว่า
ชีพตาเหลือก เขาผลักรสสุคนธ์ล้มกระเด็นไปอีก รสสุคนธ์นั่งงงๆ
“แกไม่ใช่รส” ชีพว่า
“โอ๊ยนี่มันอะไรกันคะชีพ รสเจ็บนะ”
ชีพขยี้ตามองเพราะเดี๋ยวเห็นเป็นรสสุคนธ์เดี๋ยวเป็นลั่นทม “อะไรกันวะ”
สุดท้ายชีพเห็นเป็นลั่นทมที่แสยะยิ้มเยาะเย้ยพร้อมกับกวักมือเรียก
“มาสิชีพเรามาสวีทกันเร็วเข้ามาสิ”
ชีพแค้นจัดจนลืมกลัว เขาพุ่งเข้าจับหัวลั่นทมโขกกับพื้นอย่างบ้าเลือด
“นังลั่นทมแก ท้าทายฉันเหรอ ได้เลยนี่ไงนี่ๆๆฉันจะทำให้แกตายอีกรอบ”
ชีพกำลังจับหัวรสสุคนธ์โขกกับพื้น รสสุคนธ์ร้องห้ามเสียงหลง
“โอ๊ยชีพอย่า เจ็บ รสเจ็บโอ๊ย”
รสสุคนธ์สะบัดจนหลุดออกมาได้ เธอตกใจวิ่งหนีไปมุมห้องพลางร้องเสียงดัง
“คุณเป็นบ้าอะไรชีพ คุณจะฆ่าฉันทำไม ช่วยด้วยใครก็ได้ ช่วยด้วยชีพบ้าไปแล้ว”
รสสุคนธ์วิ่งหนีออกจากห้อง ชีพมีสีหน้าตกใจและได้สติจึงรีบวิ่งตาม “รส..”


หวานกำลังดูแลให้ทุกคนช่วยกันเก็บข้าวของ ทั้งหมดตกใจที่เห็นรสสุคนธ์วิ่งหน้าตื่นร้องให้คนช่วยลงบันไดมา “ช่วยด้วยๆๆ”
อุษากับธารินทร์เดินเข้ามาพอดี ทั้งสองมองอย่างงงๆ รสสุคนธ์วิ่งมาหลบหลังหวาน ชีพวิ่งตามมาตะโกน“รสเดี๋ยวรส...รสฟังฉันก่อน”
“ไม่..น้าหวานคุณชีพเป็นบ้า..เขาทำร้ายฉัน”
ทุกคนมองชีพงงๆ ชีพเข้ามาหยุดอยู่ห่างๆ
“เปล่า..ฉันไม่ได้บ้ารสฟังนะเมื่อกี้ฉันเห็นเธอเป็นลั่นทม”
ทุกคนตะลึง รสสุคนธ์ก็อึ้ง
“จริงๆ ฉันขอโทษ เราโดนมันแกล้งอีกแล้ว ฉันเห็นเธอเป็นลั่นทมฉันก็เลยทำร้ายเธอ ฉันขอโทษ รสฉันรักเธอ เธอก็รู้นี่”
รสสุคนธ์ยังหวาดๆ จึงไม่กล้าเข้าหาชีพ ชีพโมโห
“นังลั่นทมแกจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
อยู่ๆ เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นอีก ชีพมองไปรอบๆ “นั่นไงเสียงกริ่งผีนั่นมันดังอีกแล้ว”
ทุกคนมองชีพอย่างงงๆ พวกฉ่ำกระซิบกระซาบกัน
ชีพหันมามองพวกฉ่ำ “พวกแกได้ยินมั้ย”
พวกฉ่ำส่ายหน้าอย่างหวาดๆ ชีพตวาด “ไอ้พวกนี้หูแตกกันรึไงกันวะ ไม่ได้ยินได้ยังไงมันดังอยู่เนี่ย”
นฤมลกับเรวัตวิ่งลงมา “อะไรกันเอะอะเสียงดังอะไรกัน”
“พี่มลพี่ได้ยินเสียงกริ่งใช่มั้ยได้ยินใช่มั้ย”
นฤมลพยายามฟังแล้วส่ายหน้า “ไม่มีเสียงอะไรนี่คะ”
ชีพฉุนมาก “กูทนไม่ไหวแล้ว” ชีพตะโกน “กูจะสู้กับมึงนังลั่นทม”
ชีพหันรีหันขวางก่อนจะวิ่งหายไปด้านใน ครู่เดียวเขาก็ถือค้อนวิ่งออกมา
“ไอ้ฉ่ำ ไอ้เวก ไอ้พรไปกับกู”
ชีพวิ่งออกไป ทุกคนมองตามไปโดยไม่มีใครตามไป รสสุคนธ์ยังห่วงชีพจึงตวาดพวกฉ่ำ
“ตามคุณชีพไปสิใครไม่ไปฉันไล่ออก พี่มลพี่วัตไปเป็นเพื่อนรสหน่อยเร็ว”
รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตรีบตามออกไป พวกฉ่ำหันไปมองอุษา
“ตามไปเร็วเข้า เดี๋ยวไปวุ่นวายกับศพคุณน้า” อุษาบอก
อุษากับธารินทร์เดินนำออกไป พวกฉ่ำจำใจเดินตามไปด้วย พวกสวาทขยับเข้าใกล้หวาน
“ฉันว่าคุณผู้ชายเจอคุณผู้หญิงเล่นงานเข้าให้แล้ว”
“แหงอยู่แล้ว” จิ้มลิ้มว่า “เจอเข้าเต็มๆแบบนั้นบรื๊อขนลุก”
“ก็ชอบท้าทายท่านดีนักนี่ สมควรแล้วล่ะ” ยาใจว่า
หวานนิ่งแต่มีสีหน้าหนักใจ


ชีพพุ่งเข้ามาในสุสานแล้วยืนจังก้าจ้องโลงศพลั่นทมด้วยความแค้นมาก
“นังผีร้ายมาเลยมาสู้กับฉัน”
รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตเดินเข้ามา ชีพถลาเข้าไปแล้วเงื้อค้อนขึ้น เรวัตรีบวิ่งเข้าไปยึดมือชีพไว้ได้ทัน
“คุณชีพคุณจะทำอะไร” เรวัติถาม
“ปล่อยฉันจะอัดมันให้เละ”
รสสุคนธ์กับนฤมลรีบเข้าไปช่วยกันยึดชีพที่มีท่าทางเหมือนคนบ้า อุษา ธารินทร์ และพวกฉ่ำวิ่งเข้ามา อุษาตะลึงตวาดเสียงดัง
“หยุดนะน้าชีพ”
เรวัตแย่งค้อนมาจนได้ ชีพโมโหจึงไล่ทุบข้าวของแล้วโยนทุกอย่างที่ขวางหน้า สุดท้ายเขาก็ถีบโลงอย่างแรงจนโลงตกลงจากแท่นที่รองดังสนั่น ทุกคนมองชีพอย่างตะลึงงันเพราะคิดไม่ถึง อุษาตกใจจนพูดไม่ออก
“มาสิวะนังผีบ้ากูไม่กลัวมึงหรอก” ชีพว่า
ลั่นทมปรากฏร่างขึ้นจ้องชีพอย่างเดือดดาล “ไม่สำนึกใช่มั้ยชีพ”
รสสุคนธ์วิ่งเข้าไปยึดชีพ
“กลับเถอะชีพนี่คุณเป็นอะไรไประงับอารมณ์บ้างสิ คุณทำแบบนี้เราอาจจะหมดสิทธิ์ในพินัยกรรมนะ”
ลั่นทมพุ่งเข้าสิงร่างชีพ ชีพหันขวับกลับมาจ้องรสสุคนธ์ตาขวาง ชีพตบรสสุคนธ์หน้าหงาย แล้วกระชากเสื้อรสสุคนธ์ขาดติดมือโยนทิ้งไปที่พื้น รสสุคนธ์เสื้อขาดจนเห็นเสื้อชั้นในจึงตาเหลือกร้องกรี๊ดอับอายยกมือปิดบัง คนอื่นๆ มีสีหน้าต่างๆ กัน ทั้งตลก ทั้งตื่นตะลึง บางคนมองดูเสื้อที่กองอยู่ แล้วเงยหน้ามองรสสุคนธ์ก่อนจะหลับตา

อ่านต่อหน้าที่ 4


สุสานคนเป็น ตอนที่ 8 (ต่อ)

ฉ่ำอ้าปากทำท่าตลกๆ แล้วปิดตาแบบห่างๆ สมพรกับวิเวกมีอาการต่างกัน อุษาตกใจ ธารินทร์เบือนหน้า รสสุคนธ์ร้องกรี๊ดๆ เต้นเร่าๆ

“ไอ้บ้าชีพ ฉันเตือนดีๆทำไมมาทำกับฉันแบบนี้ไอ้คนบ้า”
รสสุคนธ์วิ่งหนีออกไปอย่างอับอาย ชีพผงะหงายหลังแล้วเด้งกลับมาเพราะลั่นทมออกจากร่าง
ชีพงง นฤมลพูดฉุนๆ “คุณทำบ้าอะไรนะคุณชีพ”
นฤมลวิ่งตามรสสุคนธ์ออกไป เรวัตเดินตามไปด้วย ชีพมองเสื้อรสสุคนธ์ที่ขาดอยู่ที่พื้นอย่างไม่เข้าใจ เขาหยิบขึ้นมาดู
“อะไรกันไอ้ฉ่ำนี่มันเสื้อรสนี่ทำไมขาดแบบนี้”
“จะไม่ขาดได้ไงละครับ ก็คุณผู้ชายฉีกเองกับมือ” ฉ่ำบอก
“ทำแบบนี้พวกผมก็ตากุ้งยิงกันพอดี”
“อี๊ย..คุณรสเนี่ยค้าว ขวานะครับ” สมพรบอก
ชีพตะลึงตกใจ เขารีบผลุนผลันวิ่งตามรสสุคนธ์ออกไป อุษาเดินไปนั่งคุกเข่าไหว้ศพลั่นทมร้องไห้ “คุณน้าขาปล่อยให้เขาได้รับกรรมเองเถอะค่ะคุณน้าอย่าทำอีกเลยนะคะ ษายังไม่อยากให้คุณน้ามีบาปติดตัว ษาขอร้อง”
ลั่นทมปรากฏร่างมองอุษาด้วยสีหน้าที่คลายความโกรธลง
“น้าก็ไม่อยากทำแต่น้าระงับใจไม่อยู่จริงๆ”


เช้าวันใหม่ สวาท ยาใจกำลังเข้ามาทำความสะอาดห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนชะงักที่เห็นชีพนอนหมดสติอยู่
“ว้าย..คุณผู้ชายนี่นังใจ”
ยาใจกับสวาทวิ่งเข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ
“เป็นอะไรนะทำไมมานอนอยู่ตรงนี้”
“หรือว่าเมื่อคืนโดนคุณผู้หญิงหักคอ”
ยาใจตกใจ “เฮ้ยงั้นคุณผู้ชายก็ตายแล้วนะสิ”
ทั้งสองคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หวานถือถาดอาหารเช้าเข้ามากับจิ้มลิ้ม
“นั่งทำอะไรกันเอ๊ะคุณผู้ชาย..”
ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ รสสุคนธ์ก็ตะโกนหาชีพแล้วก็เดินเข้ามา
“ชีพคะชีพ...อ้าวมาเมาหลับอยู่นี่เอง สงสัยเมื่อคืนแอบลงมาตอนรสหลับล่ะสิ”
รสสุคนธ์เข้ามาปลุกชีพ “ชีพลุกสิคะอี๊..กลิ่นเหล้าหึ่งเลย ชีพตื่นเถอะ”
ชีพงัวเงียลืมตาพอเห็นรสสุคนธ์ ชีพก็กอดแน่น “รส..รสนังลั่นทมมันมา มัน..”
ชีพมองอย่างหวาดๆ ไปรอบๆ รสสุคนธ์รำคาญ
“เอาอีกแล้วชีพ ผีลั่นทมนะมีที่ไหน คุณเมา เมามาก เมาจนฟุบหลับอยู่เนี่ยตั้งแต่เมื่อคืน ลุกเถอะค่ะไปอาบน้ำไป นี่นังหวาด จิ้มลิ้มประคองคุณผู้ชายขึ้นไปทีฉันเหม็นกลิ่นเหล้า”
สวาทกับจิ้มลิ้มเข้ามาประคองชีพไป ชีพยังมองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ รสสุคนธ์มองตามอย่างรำคาญก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้าน หวานวางถาดบนบาร์เหล้าแล้วพูด
“นังใจจัดโต๊ะทีนะเดี๋ยวข้ามา”
หวานเดินตามรสสุคนธ์ออกไป


รสสุคนธ์ยืนสูดอากาศยามเช้า หวานเดินเข้ามาด้านหลัง
“นังรสข้าอยากจะบอกอะไรแกสักหน่อย”
รสสุคนธ์หันมามองเบื่อๆ
“เลิกด่าฉันซะทีเถอะน้าด่าฉันมากเสียจนฉันสำนึกผิดไม่ทันแล้วล่ะ”
“ข้าไม่ได้มาด่า แต่อยากขอร้องให้แกไปอยู่ซะที่อื่นเถอะ”
“ทำไมฉันต้องไป นี่มันบ้านผัวฉัน”
“เชื่อข้าสักครั้งเถอะนังรส แกไม่เห็นเหรอว่ามันมีแต่เรื่องแปลกๆ ข้าสังหรณ์ใจชอบกล”
“มันไม่มีเรื่องแปลกหรอกน้า ที่คุณชีพเขาเพี้ยนๆก็เพราะนังอุษามันเอาอะไรให้คุณชีพกิน ถึงมีอาการประสาทหลอน มันวางแผนจะให้เรากลัวคิดว่าผีนังลั่นทมอาละวาดแล้วฉันก็ต้องไปจากที่นี่อย่างที่น้ากำลังบอกอยู่นี่ไง”
“คุณอุษาไม่ได้ทำ” หวานบอก
“งั้นใครทำน้าเหรอ”
“ไม่มีใครทำทั้งนั้น คุณผู้หญิงท่านคงเอาเรื่องแน่แกอย่าอยู่ลองดีกับท่านเลย ไปเสียเถอะนังรส”
“ฉันไม่ไป คนที่จะต้องไปจากที่นี่ก็คือนังอุษา”
รสสุคนธ์สะบัดเดินกลับเข้าบ้าน หวานกลุ้มใจและมีท่าทางหวาดหวั่นกลัววิญญาณลั่นทม


อุษากำลังถวายอาหาร กับเครื่องสังฆทานหลวงพ่อ โดยที่วิญญาณลั่นทมยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง อุษากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลก่อนจะกราบลาหลวงพ่อแล้วเดินออกไปจากศาลา วิญญาณลั่นทมลุกขึ้นแล้วก็สะดุ้งที่อยู่ๆหลวงพ่อก็ทัก
“ โยมมีความสุขดีหรือ”
ลั่นทมชะงักแล้วหันมามองหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดต่อ
“การอาฆาตจองเวรมีแต่ทำให้โยมร้อนรุ่ม”
ลั่นทมทรุดตัวลงนั่งแล้วก้มหน้าหลบตาไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลวงพ่อ
“จะสร้างเวรก่อกรรมอีกทำไม ลืมไปแล้วหรือที่โยมทุกข์ ทรมาน เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ต้องไปอยู่ในโลงศพทั้งๆ ที่ยังไม่ตายน่ะ”
ลั่นทมเงยหน้าขึ้นแล้วน้ำตาก็ไหล เธอปิดปากสะอื้นด้วยท่าทางกลัวมาก
“นั่นก็คือกรรมเก่าของโยม ชาตินี้มีกรรมมากแล้วอย่าไปทำร้ายใครอีก ไม่อย่างนั้นเท่ากับโยมเพิ่มบาปให้ตัวเอง”
หลวงพ่อลุกขึ้นเดินอย่างสำรวมเข้าไปด้านใน ลั่นทมก้มลงกราบแล้วก็สะอื้นร้องไห้


พายุกรูเข้ามาที่สุสาน ประตูสุสานเปิด ลั่นทมเดินโซเซเข้ามาในสุสานแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าโลงศพตัวเอง เธอสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพรากขณะที่ลมยังคงพัดพริ้ว
เสียงหลวงพ่อย้อนกลับมา “จะสร้างเวรก่อกรรมอีกทำไม ลืมไปแล้วหรือที่โยมทุกข์ทรมาน เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ต้องไปอยู่ในโลงศพทั้งๆ ที่ยังไม่ตายน่ะนั่นก็คือกรรมเก่าของโยม ชาตินี้มีกรรมมากแล้วอย่าไป ทำร้ายใครอีก ไม่อย่างนั้นเท่ากับโยมเพิ่มบาปให้ตัวเอง”
ลั่นทมสะอื้นและมีท่าทางคิดได้ “เจ้าค่ะหลวงพ่อ”
ลั่นทมสั่นเอนพริ้วแล้วโอนเอนลอยเข้าไปในร่างที่อยู่ในโลงศพ ศพลั่นทมสงบนิ่งในโลง ลมพายุสงบ ภายในสุสานเงียบสนิท

ชีพ รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตกำลังปรึกษาหารือกัน สวาทยกถาดกาแฟมาวางแล้วเงี่ยหูฟัง
“แปลกนะที่ผลการตรวจออกมาเป็นแบบนั้น”
“หมอยืนยันว่าไม่มีสารอะไรแน่นอน คุณชีพไม่ได้กินยาหรืออะไรแปลกปลอมเข้าไปที่จะทำให้เกิดประสาทหลอนได้” รสสุคนธ์บอก
“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าคุณชีพโดนผีเมียเก่าหลอกเอาจริงๆเหรอ” เรวัติว่า
นฤมลกลัวจึงมองลูกๆที่วิ่งเล่นอยู่รอบๆ อย่างไม่สบายใจ
“อุ๊ยถ้าบ้านนี้มีผีพี่เห็นจะต้องขอลาล่ะลูกๆพี่ยังเล็กเดี๋ยวมันมาหลอกเด็กๆ พี่ไม่เอาด้วยดีกว่า”
ชีพไม่เชื่อ “บ้าน่าผีมีจริงที่ไหน เมื่อวานมันแค้นมันเก็บกดที่นังลั่นทมมันแกล้งฉัน ฉันยอมรับว่าจิตใจคิดถึงแต่มัน อีกอย่างฉันก็กินเหล้ามากเกินขนาด อาจจะทำให้เห็นมันไปเองก็ได้”
รสสุคนธ์กลัวจะไม่มีพวกจึงรีบสนับสนุนชีพ
“จริงด้วยถ้าผีนังลั่นทมมันลุกมาอาละวาดจริง มันต้องเล่นงานรสก่อนคนอื่น มันเกลียดรสยังกะอะไร แต่นี่รสไม่เห็นโดนอะไรเลย รสว่าที่คุณชีพคิดนะถูกแล้วล่ะ”
นฤมลสบตากับเรวัตอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไร


สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจที่เก็บล้างถ้วยชามอยู่พากันซุบซิบ
“แบบนี้แสดงว่าคุณผู้ชายโดนผีหลอกเต็มๆ”
“ฉันก็ว่างั้น สงสัยตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะแกตอนที่จู่ๆก็มีลมพายุพัดในงาน ลมอะไรวะไม่มีเค้ามาก่อนเลย”
“ดีสมน้ำหน้าให้คุณผู้หญิงหลอกซะให้เข็ด”
“แล้วแกไม่กลัวคุณผู้หญิงแล้วเหรอ”
จิ้มลิ้มยืนหันหลังให้ประตูครัวแล้วพูดอย่ากล้าหาญ
“ฉันไม่กลัวหรอกยังไงคุณผู้หญิงก็ไม่มาหลอกฉันแน่นอน”
หวานแตะมือที่บ่าจิ้มลิ้ม สวาททำท่าตกใจยกมือไหว้ท่วมหัว “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง”
จิ้มลิ้มโยนจานในมือทิ้งแล้ววิ่งไปมุดอยู่ใต้โต๊ะตัวสั่น
“โอ๊ยลูกช้างกลัวแล้วอย่ามาหลอกมาหลอนกันเลยลูกช้างจะทำบุญไปให้เจ้าค่ะ”

หวานดุแบบไม่จริงจัง
“ตั้งวงนินทาเจ้านายอยู่นั่นแหละ รีบๆทำแล้วก็รีบๆไปนอนได้แล้ว แล้วก็เลิกพูดถึงคุณผู้หญิงเสียทีเดี๋ยววิญญาณท่านก็ไม่สงบหรอก”
หวานเดินออกไป จิ้มลิ้มรู้ว่าถูกหลอกจึงจะมุดออกมาแต่ก็ออกไม่ได้
“โอ๊ย นังหวาดนังใจช่วยเอาฉันออกไปหน่อย”
สวาทกับยาใจเดินมาก้มดูแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“ไหนว่าไม่กลัวไงแกมุดเข้าไปได้ยังไง แล้วที่นี่จะออกมายังไงล่ะ”
ยาใจกับสวาทมองหน้ากัน สวาทร้องตกใจ
“ว๊ายมืออะไรอยู่ข้างหลังแกจิ้มลิ้ม”
จิ้มลิ้มตกใจกระโจนพรวดออกมาได้ สองคนหัวเราะขำกลิ้ง จิ้มลิ้มรู้ว่าถูกหลอกอีกก็โมโหจนเดือด
“พวกแกสองคนหลอกฉันอีกแล้วเหรอ”
“ไม่ได้หลอกนะ ฉันช่วยให้แกออกมาได้ต่างหากล่ะ” สวาทว่า
จิ้มลิ้มฉุนจึงพึมพำด่าทั้งสองคนชุดใหญ่ สวาทกับยาใจหัวเราะสนุก


ชีพนอนคิดอยู่บนเตียง รสสุคนธ์ทาครีมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง รสสุคนธ์ชะงักแล้วหันมามอง
“คิดอะไรอยู่คะชีพ”
“ก็ยังสงสัยอยู่นะว่าตกลงมันคืออะไรกันแน่ฉันถูกลั่นทมหลอก”
“หรือว่าฉันเมาจนขาดสติคิดไปเอง”
รสสุคนธ์คิดแล้วก็ลุกเดินมาหาชีพที่เตียง
“ถ้าคุณอยากรู้จริงๆรสมีวิธีพิสูจน์”
ชีพสนใจ “ทำยังไง”
รสสุคนธ์ยิ้มและมีสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์สุดๆ


ฉลองเดินผิวปากสบายใจกลับมาที่พักแล้วมองไปทางห้องอุษาด้วยสีหน้าแสดงความเสียดาย ก่อนจะเดินเลยไปเปิดประตูเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วก็ต้องชะงักที่เห็นเงาคนนั่งอยู่ในความมืด ฉลองตวาดออกไป
“ใคร..”
“ฉันเอง” รสสุคนธ์พูด
ฉลองเปิดไฟก็เห็นเป็นรสสุคนธ์จริงๆ ฉลองแปลกใจ
“คุณรส คุณเข้ามาห้องผมทำไม..อย่าบอก นะครับว่าเข้าห้องผิด”
รสสุคนธ์ตวาดอย่างเอาจริง “อย่าทะลึ่ง ! ฉันมีงานให้แกทำ”
ฉลองมองรสสุคนธ์เขม็ง ทั้งสองคนทำสีหน้าเจ้าเล่ห์


ทุกคนมานั่งชุมนุมกันในห้อง ฉ่ำถามหวาน
“แม่รสท่านเรียกมาประชุมทำไมจะขึ้นเงินเดือนให้เหรอแม่หวาน”
“ข้าไม่รู้” หวานว่า
“เฮอะขึ้นเงินเดือนเหรอฝันไปเถอะตาฉ่ำ แม่คุณขู่จะไล่ออกเช้า ไล่ออกเย็น”
“ข้าว่าวันนี้ไม่ใครก็ใครต้องโดนแจ็คพ็อตเข้าสักคนล่ะน่า” วิเวกบอก
ทุกคนหยุดพูด รสสุคนธ์แต่งตัวสวยเดินเข้ามานั่งวางมาดเป็นนางพญาก่อนจะกวาดตามองทั้งหมดแล้วยิ้มพอใจ
“มารวมกันอยู่นี่หมดแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครช่วยแกได้แน่นังอุษา ถ้าผีนังลั่นทมมีจริงแกก็รอดคนที่ซวยก็คือไอ้ฉลองไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ถ้าผีนังลั่นทมไม่มีจริง แกก็จะได้มีผัวเป็นตัวเป็นตนล่ะ”
รสสุคนธ์ยิ้มอย่างหมายมาด


อุษาเปิดประตูเข้ามาโดยในมือถือถาดใส่เครื่องเซ่นไหว้ อุษาเดินเข้ามาที่แท่นหน้าโลงศพแล้ววางถาดเครื่องเซ่นจุดธูปปักแล้วพนมมือไหว้
“คุณน้าคะ หากวิญญาณคุณน้ายังวนเวียนอยู่ ษาอยากขอร้องให้คุณน้าอดทน ไม่ว่าน้าชีพจะรบกวนคุณน้ายังไงขอให้คุณน้าเมตตา ยกโทษให้เถอะนะคะจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีก ษาอยากให้คุณน้าสงบอย่ามาเดือนร้อนวุ่นวายใจอยู่กับคนชั่วเลยค่ะ”
วิญญาณลั่นทมปรากฎเข้ามามองดูอุษาด้วยความเมตตา
“น้ารู้แล้วษาน้าจะไม่ทำร้ายใครอีก น้ารับปากหลวงพ่อไว้แล้วษาไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ”
อุษานิ่งอึ้ง เสียงที่ได้ยินเป็นเพียงความรู้สึกไม่ใช่ได้ยินมาจากการพูด อุษามองไปรอบๆ อย่างไม่แน่ใจจึงถามเบาๆ
“คุณน้าหรือเปล่าคะ ?”
ลั่นทมหายไป อุษามองไปรอบๆ พอไม่เห็นใครเธอก็ก้มกราบ ฉลองเข้ามาด้านหลังอุษาแล้วเคลื่อนตัวเข้ามารวดเร็ว อุษารู้สึกตัวหันขวับกลับไปแล้วก็ตกใจ ฉลองพรวดเข้าถึงตัว
อุษาร้องลั่น “ว้าย..ช่วย..”
ฉลองปิดปากอุษาแล้วพยายามลากอุษาไปที่เตียงลั่นทม อุษาดิ้นรน
ฉลองหื่น “วันนี้แกต้องเป็นเมียฉันแน่ๆอย่าดิ้นไม่งั้นเจ็บตัวนะ”
วิญญาณลั่นทมลุกขึ้นมองดูการกระทำของฉลองด้วยความโกรธแค้น
“แก..” ลั่นทมยกมือพนมไหว้ “หลวงพ่อเจ้าขาลูกขอผิดคำสัญญาสักครั้งเถอะค่ะ”
ลั่นทมพุ่งออกมาเข้าคว้าผมของฉลอง แต่มือลั่นทมกลับผ่านร่างฉลองวืดไป
“เอ๊ะทำไมฉันไม่มีพลังเลย”
ลั่นทมใช้สองมือคว้าร่างฉลองแต่ก็ผ่านวืดไปอีก ลั่นทมหน้าเสีย
“กลางวันฉันจะไม่มีพลังเหรอเนี่ย แย่แล้ว”
ฉลองรั้งตัวอุษาล้มไปที่เตียง อุษาสู้สุดกำลัง ลั่นทมพยายามคิด
“ฉันจะทำยังไงดี” ลั่นทมนึกได้ “รู้แล้ว...”
ลั่นทมหายวับไปอย่างรวดเร็ว


พวกฉ่ำกำลังช่วยกันเคลื่อนย้ายตู้กับชุดรับแขก พวกหวานก็ช่วยกันเช็ดถูขันแข็ง ฉ่ำกระซิบวิเวกกับสมพร
“นึกว่าเรียกมาทำไม ที่แท้เรียกมาใช้งานหนักนี่เอง”
“ทำๆไปเถอะเขาไม่ไล่ออกก็ดีแล้วน่า”
“กลัวพวกเรานั่งๆนอนๆมั้ง เฮ้ออยู่ดีๆก็ให้ย้ายของห้องนี้ไปห้องโน้นย้ายห้องโน้นมาห้องนี่”
รสสุคนธ์เดินมองดูทุกคนทำงานด้วยความพอใจ สายตาของเธอแอบมองไปทางสุสาน ลั่นทมมาปรากฏร่างข้างๆ ฉ่ำด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
“นายฉ่ำไปช่วยอุษาเร็ว..ที่สุสาน”
ฉ่ำชะงักเหมือนได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ อยู่ในโสตประสาท เขาหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไรจึงไม่สนใจก่อนจะหันไปดูแลสนามต่อ ลั่นทมรวบรวมสมาธิคว้าผมฉ่ำกระชากมือลั่นทมผ่านหัวฉ่ำวืดไป
“โอ๊ย ทำไมฉันเหนื่อยเหลือเกิน..ทำไมฉันไม่มีแรงเลย”
ลั่นทมร้องตะโกนอีก “นายฉ่ำ นายพรวิเวกไปช่วยอุษาที่สุสานเร็ว”
ทุกคนทำงานต่อโดยไม่มีใครได้ยิน ลั่นทมลังเลแล้วรีบหายตัวไป



รถธารินทร์แล่นมาตามถนนจนถึงแยกที่จะตรงไปโรงพักกับแยกไปบ้านลั่นทม ธารินทร์ชะลอแล้วลังเลและพึมพำ
“สายแล้วษาคงไปทำงานแล้วมั้ง”
ธารินทร์จะหักพวงมาลัยไปทางโรงพัก มือลั่นทมปรากฏขึ้นจับพวงมาลัยรถหันหัวไปทางบ้านลั่นทม ธารินทร์มองไม่เห็นมือก็ตกใจรีบเบรก
“อะไรเนี่ย..ทำไม”
ธารินทร์มองไปทางบ้านลั่นทมด้วยสีหน้าฉุกคิดได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรกับอุษา ธารินทร์รีบขับรถอย่างเร็วไปทางบ้านลั่นทม ลั่นทมปรากฏร่างข้างๆ ธารินทร์ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างมาก เธอพึมพำอย่างอ่อนระโหย “เร็วธารินทร์เร็วเข้า”

ฉลองพยายามปล้ำอุษา อุษาสู้ด้วยการถีบฉลองจนกระเด็น อุษาลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนี ฉลองรีบกระโดดตามแล้วจับขาอุษาได้ อุษาล้มลง ฉลองขึ้นคร่อมแล้วตบอุษาจนหน้าหัน อุษานิ่งไป
“ฤทธิ์มากจริงๆนะนังนี่ กว่าจะเอาอยู่กูเสียเหงื่อเป็นปี๊บเลย”
ฉลองก้มลงจะอุ้มอุษา อุษาลืมตาขึ้นแล้วชกฉลองอย่างจัง ฉลองหน้าหงาย อุษาเตะซ้ำฉลองกันไว้แล้วกระโดดรวมมืออุษาจับไขว้หลัง “โอ๊ย...”
“ไม่หมดฤทธิ์ง่ายๆเลยนะ ดีๆดุๆอย่างนี้หลองชอบ”
ฉลองดันอุษาไปที่เตียงแล้วกดอุษาลงนอน เขากดมืออุษาไว้ทั้งสองข้าง
“คราวนี้ยังไงก็ดิ้นไม่หลุดเป็นเมียหลองเถอะนะ”
ฉลองก้มลงหาอุษา เสียงประตูถูกถีบดังสนั่น ฉลองหันไปก็เจอเท้าธารินทร์ถีบหน้าเข้าเต็มๆ ฉลองกระเด็นตกลงไปข้างเตียง
ธารินทร์ตามอัดไม่นับอย่างแค้นจัด จนฉลองเลือดกลบหน้า อุษารีบเข้ามาดึงธารินทร์
“พอเถอะค่ะรินทร์ พอแล้ว”
ธารินทร์ลุกขึ้นหอบๆ แล้วชี้หน้า “ไอ้ชาติชั่ว คราวนี้ฉันเอาแกติดคุกหัวโตแน่”
ธารินทร์กระชากตัวฉลองขึ้นมาแล้วลากออกไปอย่างไม่ปรานี อุษาตามออกไปด้วย


รสสุคนธ์นั่งวางมาดอ่านหนังสือพิมพ์ นฤมลกับเรวัตเดินเข้ามา
“ต๊ายทำบ้านกันใหญ่เลยจะมีงานอะไรอีกหรือเปล่าคะน้องรส”
รสสุคนธ์ยังไม่ทันตอบ เธอตกใจที่เห็นฉลองถูกผลักเข้ามาล้มลงที่เท้า รสสุคนธ์ตกใจ ธารินทร์กับอุษามองรสสุคนธ์อย่างรู้ทัน ทุกคนหยุดทำงานแล้วล้อมวงเข้ามา รสสุคนธ์ทำไก๋
“อะไรกัน..นายหลองทำไมหน้าตาแตกยับเยินอย่างนี้ล่ะ”
“มันเข้าไปปล้ำอุษาที่สุสาน” ธารินทร์
พวกฉ่ำ พวกหวานตกใจและอย่างรวดเร็วทุกคนสามัคคีกันยำบาทาใส่ฉลองอย่างสุดแค้น
“ไอ้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้นรก ไอ้เวร ไอ้ชิงหมาเกิด”
ฉลองพยายามจะปิดป้อง
“โอ๊ย ช่วยด้วย อย่า”
รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตตกใจ รีบเข้าไปห้าม
“พอแล้วพอๆๆฉันบอกให้พอไง ไม่มีใครยอมหยุด รสตวาด ใครไม่หยุดฉันไล่ออก”
ทุกคนชะงักมองหน้ากันแล้วพร้อมใจกันพูด
“ออกเป็นออก”
ทุกคนพากันยำฉลองต่อ อุษารีบห้าม
“หยุดเถอะจ้ะทุกคน ให้กฎหมายลงโทษดีกว่า”
ทุกคนหยุด ฉลองน่วมจนร้องโอดโอย
“คอยดูคราวนี้ผมต้องเค้นเอาความจริงให้ได้ ใครร่วมมือกับมันผมจะจับให้หมด”
ฉลองมองหน้ารส รสคิดหาวิธีให้ฉลองหนี รสแกล้งโมโห”
“พวกแกมามุงอะไรไปให้พ้นใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ ไปสิ”
ทุกคนไม่ไป อุษารีบบอก
“ไปเถอะค่ะษาไม่เป็นอะไรแล้ว รินทร์ก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องห่วง”
ทุกคนมองฉลองอย่างโกรธแค้นก่อนจะแยกย้ายกันไป รสสุคนธ์หันมาตะคอกฉลอง
“แกนะแกเลี้ยงไม่เชื่องฉันช่วยอะไรแกไม่ได้แล้ว หมวดเอาตัวมันไปโรงพักเลย”
นฤมลกับเรวัตตกใจ ฉลองมองรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ขยิบตาให้ อุษากับธารินทร์แปลกใจ
“ก็ดี ไป..ลุกนายฉลองอย่าตุกติกนะไม่งั้นฉันยิงแกทิ้งแน่”
ฉลองลุกขึ้นเดินเซๆ นำไป ธารินทร์ อุษา รสสุคนธ์ นฤมล และเรวัตเดินตามออกมากันจนถึงหน้าบ้าน รสสุคนธ์เดินอยู่หลังธารินทร์แล้วแกล้งร้องแล้วก็ล้มลง “โอ๊ย..”
นฤมลตกใจ “ว้ายน้องรสเป็นอะไรไป”
รสสุคนธ์ล้มหมดสติ ธารินทร์ อุษาลืมตัวตกใจหันมามอง ที่ฉลองได้จังหวะรีบวิ่งหนีสุดชีวิต ธารินทร์รู้ตัวว่าเสียรู้รีบหันไป “ไอ้ฉลอง”
ธารินทร์วิ่งตามไปติดๆ อุษายืนงง รสสุคนธ์แอบหรี่ตาส่งสัญญาณให้นฤมลรู้ว่าแกล้งทำ


ชีพขับรถมาแล้วมองไปก็เห็นฉลองวิ่งออกมาจากบ้านก่อนจะวิ่งลงไปที่รกร้างข้างทาง ธารินทร์วิ่งกวดมาไกลๆ ชีพรู้ว่าคงมีเรื่องจึงรีบขับรถเข้าขวางหน้าธารินทร์เพื่อยืดเวลาให้ฉลองหนี ธารินทร์ชะงักมองชีพที่ลงจากรถแล้วก็ทำหน้าแปลกใจ
“มีอะไรกันหมวด วิ่งไล่ใครมา”
“ไอ้ฉลอง”
ธารินทร์จะวิ่งตาม ชีพกระโดดไปขวางไว้“เดี๋ยวสิไอ้ฉลองมันทำอะไรอีกล่ะ”
ธารินทร์มองชีพอย่างรู้ทัน
“ถ้าคุณยังไม่ถอยไปผมจะถือว่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่”
ชีพทำท่าไม่แคร์ก่อนจะหลีกทางให้ธารินทร์ ธารินทร์รีบวิ่งไป


ธารินทร์มีสีหน้าเจ็บใจ
“เจ็บใจจริงๆ มันหนีไปจนได้ ผมเชื่อว่าน้าชีพกับรสสุคนธ์ต้องรู้เห็นเป็นใจแน่”
“ษาก็คิดอย่างนั้นค่ะพวกเขาช่วยให้นายฉลองหนี”
“มันไปไหนไม่รอดหรอกผมสั่งลูกน้องดักไว้ทุกที่ นอกจากมันจะมีปีกบินได้แค่นั้น”
อุษาจับมือธารินทร์ด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณนะคะรินทร์ถ้าคุณไม่มาช่วยษาคงแย่ ว่าแต่ทำไมคุณถึงรู้ละคะ”
ธารินทร์อึ้งและครุ่นคิด
“ผมคิดว่าคุณน้าคงต้องการให้ผมมาช่วยคุณ”
“คุณน้าเหรอคะ”
“ผมอธิบายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรรู้แต่ว่าคุณคงกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมพูดแบบนี้คุณจะกลัวหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะษาดีใจเสียอีกที่คุณน้าหักห้ามใจไม่ทำร้ายนายฉลองให้เป็นบาป แต่ยอมให้ใช้กฎหมายจัดการกับคนชั่วแทน”
“คุณต้องระวังตัวมากขึ้นนะษาเพราะตัวบงการยังอยู่ใกล้ตัวคุณมาก”
อุษามองขึ้นไปที่ห้องนอนชีพ “ษารู้ค่ะ”


ชีพ รสสุคนธ์ เรวัต และนฤมลปรึกษาหารือกัน นฤมลยกนิ้วให้รสสุคนธ์
“น้องรสเนี่ยฉลาดเป็นกรดเลย ช่วยไอ้หลองหนีไปจนได้” นฤมลว่า
“ถ้าไม่ติดว่ามันโดนจับพวกเราจะซวยไปด้วย รสไม่ช่วยหรอก หน้าโง่จริงๆ ผู้หญิงคนเดียวให้พลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก”
ชีพมีสีหน้าพอใจ
“มันก็ไม่เสียเปล่าซะทีเดียวหรอกรส อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าวิญญาณลั่นทมไม่มีจริง”
“ก็ถูกค่ะ ที่นี่พี่มลพี่วัตก็สบายใจได้แล้ว ยังคิดจะไปจากที่นี่อีกหรือเปล่า”
“โอ๊ยถ้าไม่มีผีพี่ก็ไม่กลัวอยู่แล้ว สู้กับคนนะพี่สู้ได้สบายมากขอให้น้องรสบอกมาเถอะ”
รสสุคนธ์มองอย่างพอใจ “ดีอีกไม่นานนี่ รสคงต้องให้พี่กับพี่วัตช่วยแน่ๆ”

ฉลองเดินเข้ามาที่มุมหนึ่งของตลาดท่ารถต่างจังหวัด เขามุ่งหน้าจะไปห้องขายตั๋ว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเจอธารินทร์ในเครื่องแบบและตำรวจระดับนายสิบอีก2 นายคุมเชิงมองหาฉลอง ฉลองหลบแว่บเข้ามุมหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวาแล้วหลบไปจากที่นั้น ธารินทร์มองหาฉลอง ตำรวจอีกสองนายมองรูปฉลองในมือแล้วมองหา
“เฝ้าไว้นะผมเชื่อว่ายังไงมันต้องมาที่นี่”
ธารินทร์มองไปรอบๆ ก่อนที่ตัวเองจะผละไป ตำรวจสองนายเดินค้นทั่วท่ารถ


ลั่นทมนั่งมองไปข้างหน้าเหมือนจ้องอะไรอยู่ โหน่งกับหนุ่ยวิ่งไล่กันมาแล้วชะงักมอง ก่อนจะเดินมาใกล้ๆ บริเวณที่ลั่นทมนั่งพูดคนเดียว
“ธารินทร์ไม่เจอมันแน่..ฉันไม่อยากทำบาป แต่จะให้ปล่อยมันไปได้ยังไง มันทำร้ายอุษา”
หนุ่ยและโหน่งเดินมาหยุดที่ลั่นทมด้านหลังแล้วมองด้วยความแปลกใจ
“น้า พูดกับใคร”
ลั่นทมหันขวับมาสีหน้ากราดเกรี้ยว ปากสั่น นัยน์ตาถมึงทึง
“เห็นฉันเหรอ”
หนุ่ยพยักหน้า “ก็เห็นน่ะสิ น้านั่งอยู่นี่ไม่เห็นได้ไง”
ลั่นทมมองหนุ่ยและโหน่งเขม็ง โหน่งจับแขนหนุ่ยคล้ายนึกได้
“นึกออกแล้ว เค้าเคยเห็นน้าคนนี้ที่ไหน”
“ที่ไหน หนุ่ยไม่เคยเห็นเลย”
“ก็ในรูปที่น้ารสเขาขนไปทิ้งที่ห้องเก็บของไง หนุ่ยไม่ได้ไป ห้องเก็บของนี่ แต่เค้าไป..”
หนุ่ยมองลั่นทม “น้าอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ทำไมพวกเราไม่รู้จัก”
ลั่นทมมองเด็กทั้งสองนิ่ง “แต่ฉันรู้จักเธอดี รู้จักแม่เธอ พ่อเธอ และน้าเธอ”
ลั่นทมลุกขึ้นยืน “บอกพวกเค้าให้เลิกคิดทำร้ายคนอื่นไม่อย่างนั้นจะหาจะหาว่าฉันไม่เตือน”
พูดจบลั่นทมก็เดินไปช้าๆ หายเข้าไปทางพุ่มไม้ หนุ่ยกับโหน่งหันมาคุยกัน
“พูดอะไรวะ โหน่งรู้เรื่องมั้ย”
“ไม่เห็นรู้เรื่อง”
เด็กทั้งสองหันไปหาลั่นทม แต่ลั่นทมหายไปแล้ว เด็กๆมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“หายไปไหนเร็วจัง”


นฤมลหันมา
“ไหนว่าอะไรนะ เคยเห็นที่ไหน”
“ก็เห็นในห้องเก็บของ” โหน่งบอก
นฤมลขมวดคิ้ว “ใคร แล้วทำไมบอกว่ารู้จักแม่ดี”
รสสุคนธ์เดินยิ้มแย้มเข้ามา
“เด็กๆไปทานข้าวได้แล้วจ๊ะ”
หนุ่ยกับโหน่งรีบวิ่งไป รสสุคนธ์หันมาถามนฤมล
“ใครรู้จักใครเหรอคะพี่มล”
“ก็สองหน่อนั่นนะสิบอกว่าไปเล่นหลังบ้านเจอผู้หญิงในรูปที่ห้องเก็บของ บอกว่ารู้จักพี่ น้องรสดี ใครกัน ในบ้านนี้ยังมีใครที่พี่ไม่เคยเห็นอีกเหรอจ๊ะ”
รสสุคนธ์พึมพำ
“ใคร..รูปในห้องเก็บของก็มีแต่...”
รสสุคนธ์นึกได้ก็ทำหน้าตื่นๆ นฤมลหันมาเห็นก็ถาม “ใครจ๊ะ”
รสสุคนธ์กลัวนฤมลกลัวจึงรีบกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะรูปที่ไหน คงเป็นชาวบ้านแถวนี้มั้งพวกนี้ไม่ค่อยมีมารยาทชอบมาเข้าๆออกๆที่บ้านอย่าไปสนเลยพี่มล ไปทานข้าวเถอะ”


ฉลองซุ่มอยู่บริเวณโต๊ะขายขนมริมถนนใกล้ท่ารถ เขามองขนมด้วยท่าทางหิวโซ ฉลองมองซ้ายมองขวาแล้วก็ทนหิวไม่ไหวจึงเดินออกมาแล้วตรงไปที่คนขายแล้วก็รีบถาม
“ห่อเท่าไร”
ลั่นทมที่ใส่หมวกงอบปิดหน้าเกือบครึ่งยืนขายขนมอยู่ในเงามืดที่มองไม่ชัด
“ฉันจะกลับบ้านแล้วไม่คิดเงินให้กินฟรี”
ฉลองดีใจ “จริงๆเหรอ”
ลั่นทมพยักหน้า “จ้ะหยิบไปตามสบาย”
ฉลองคว้าขนมหลายห่อด้วยความหิวจัด
“ขอบใจนะขอบใจ”
ฉลองวิ่งไปหลบมุมพอจะกินหันมาเขาก็ชะงักเพราะโต๊ะขายขนมกับลั่นทมหายไปแล้ว ฉลองงงเลยชะเง้อมองแล้วพึมพำ
“หายไปไหนวะ สงสัยจะรีบกลับจริงๆ ช่างหัวมัน”
ฉลองแกะห่อขนมไปมองรอบๆอย่างหวาดระแวง ฉลองก้มลงกัดขนมที่มีหนอนยั้วเยี้ยแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ฉลองก้มมองขนมแล้วก็ตาเหลือกจึงลืมตัวร้องเสียงดัง
“เฮ้ย อะไรวะ แหวะหนอน อี๊หนอนทั้งนั้น อีบ้ามึงเอาขนมตั้งแต่ชาติไหนมาให้กูกินวะเนี่ย”
ตำรวจในเครื่องแบบ 2 นายที่ธารินทร์สั่งให้เฝ้าเดินอยู่ไกลๆ ได้ยินก็หันมามองจ้อง ฉลองชะงักแล้วก็นึกได้จึงหันมองตำรวจ
“เวรแล้วกู”
ฉลองออกวิ่ง ตำรวจวิ่งตาม “เฮ้ยหยุด..”
ลั่นทมปรากฎตัวในมุมมืดๆ แล้วมองตาม


ฉลองวิ่งหนีมาแล้วกระโดดพรวดเข้าไปในดงหญ้า ตำรวจสองนายวิ่งตามมาแล้วผ่านเลยไป ฉลองซุ่มอยู่ไม่กล้าขยับเขยื้อน
เวลาผ่านไป บริเวณที่ฉลองซุ่มอยู่มืดลง ฉลองที่ซุ่มอยู่หิวโหยก่อนจะค่อยๆตะกายออกมาริมทาง ฉลองเพ่งมองก็เห็นลั่นทมในสภาพแม่ค้ากำลังหาบข้าวแกงผ่านมา ลั่นทมร้องขายเยือกเย็น
“ข้าวแกงจ๊ะข้าวแกงร้อนๆขนมจีนแกงไก่ก็มีนะจ๊ะ”
ฉลองกลืนน้ำลายเพราะหิวจัด เขามองซ้ายขวาแล้วก็ไม่เห็นตำรวจ ฉลองรีบออกมากวักมือเรียก“แม่ค้าแม่ค้าทางนี้”
ลั่นทมหาบตรงมาหาฉลองแล้ววางหาบลง “กินอะไรดีจ๊ะพี่”
ฉลองรีบเปิดฝาหม้อแล้วน้ำลายก็จะไหล
“เอาข้าวราดแกงไก่นี่ก็ได้ขอข้าวเยอะๆหน่อยนะหิวจนตาลายหมดแล้ว”
ลั่นทมลงมือตักอย่างว่องไว
“ได้สิจ๊ะ เอ้าฉันให้ทั้งข้าวทั้งแกงเยอะๆนี่แถมตีนไก่ให้แทะด้วย”
ฉลองรับข้าวมานั่งลงกับพื้นถนน “เออดีๆๆฉันชอบตีนเปื่อยมั้ย”
“เปื่อยสิจ๊ะพี่”
ลั่นทมนั่งยองๆ มองฉลองกินเอากินเอา ลั่นทมเห็นฉลองกำลังแทะนิ้วคนอย่างเอร็ดอร่อย ลั่นทมแสยะยิ้ม
“อร่อยๆทำเองเหรอน้องสาว” ฉลองถาม
“ทำเองกับมือเลยล่ะ”
ฉลองกินจนอิ่มแล้วยื่นเงินให้
“เอ้าฉันให้ห้าสิบเลยไม่ต้องทอน”
ลั่นทมยิ้มน่ารัก
“ฉันไม่เอาเงินหรอก พี่หล่อฉันให้กินฟรีๆ”
ฉลองอึ้งเมื่อมองเห็นลั่นทมหน้าตาสะสวยฉลองวาดลวดลายเจ้าชู้
“พูดจริงเหรอน้องสาว”
“จริงสิ ฉันหลงรักพี่เสียแล้ว”
“ฮ้า นี่ไอ้หลองมีเสน่ห์ขนาดนี้เลยเหรอ”
“ในจังหวัดนี่ฉันไม่เห็นใครหล่อเท่าพี่เลย พี่มีเมียหรือยังจ๊ะ”
“เฮ้ยพี่ยังโสด”
“งั้นคืนนี้พี่ไปค้างบ้านฉันมั้ยล่ะ”
ฉลองตาโตแล้วพึมพำ “ไอ้ย่ะ..ชวนไปค้างบ้านเลยเหรอ”
ฉลองครุ่นคิด “ยังไงคืนนี้พวกตำรวจมันคงเฝ้าที่นี่ทั้งคืน มีที่พักแถมมีอะไรสนุกๆทำคลายเครียดก็ดีเหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยชิ่ง”
“ถ้าน้องคนสวยเสนอพี่ก็ขอสนองแล้วกัน”
ลั่นทมลุกขึ้นจะหาบของ ฉลองรีบเข้าช่วย
“มามะพี่ช่วยเอง บ้านน้องสาวไปทางไหนล่ะ”
ลั่นทมเดินตามหลังยิ้มสะใจ “เดินตรงไปเลยจ้ะฉันจะคอยบอกทางให้”
ฉลองเดินนำลั่นทมเดินตามหลังติดๆ ด้วยแววตาแดงก่ำจนน่ากลัว

อ่านต่อตอนที่ 9

กำลังโหลดความคิดเห็น