สุสานคนเป็น ตอนที่ 6
ชีพที่อยู่ชุดนอนโอบกอดลั่นทมอยู่ในห้องนอน ชีพอยากรู้เรื่องเรือนไทยแต่ลั่นทมก็พยายามปิดบัง
“บอกผมหน่อยไม่ได้เหรอ”
“อยากรู้นักหรือคะว่าทมจะทำอะไร เอาอย่างนี้ชีพลองทายดูสิคะ”
“ฮึ่ม..ทมคงตกแต่งให้ดีขึ้นทันสมัยขึ้นไว้เป็นที่พักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ผมทายไม่ถูกหรอกทมบอกผมเลยไม่ได้เหรอ”
ลั่นทมนึกถึงตอนที่เธอนอนอยู่ในโลงศพ พอนึกถึงวันที่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในโลงศพเธอก็ประหวั่นพรั่นพรึงและหวาดกลัวจนต้องกอดชีพไว้
“ทมสัญญาค่ะว่าพอสร้างเสร็จทมจะให้ชีพเข้าไปดูเป็นคนแรก”
“มันจะต้องวิจิตรพิสดารมากแน่ๆเลย..อ๋อ รู้แล้ว เขินความคิดตัวเองใช่ไหมล่ะ” ชีพล้อ “ทำห้องกระจกเหรอ ฮึ่มคงได้บรรยากาศแปลกใหม่ดี ไม่เลว”
ลั่นทมยังไม่คลายจากอาการหวาดหวั่น “ชีพคะ..ชีพรักทมมั้ย”
“รักสิจ๊ะ...รักมากด้วย”
“ทมก็รักคุณ” ลั่นทมพูดอย่างจริงใจ “จำไว้นะคะว่าทมไม่เคยรักใครเท่าคุณมาก่อนเลย”
ชีพกอดลั่นทมไว้เพราะในใจก็รู้สึกสงสารลั่นทมอยู่เหมือนกัน
เวลาผ่านไป ชีพหลับไปก่อน แขนที่กอดรัดลั่นทมค่อยๆ คลายออก ชีพหลับสนิทขณะที่ลั่นทมเริ่มจะเคลิ้ม ความมืดเริ่มปกคลุมใบหน้าของเธอ เสียงตอกตะปูปังๆ ก็ดังขึ้น ภาพที่โลงศพสะเทือนเพราะถูกเขย่ามาจากข้างในก็แวบขึ้นมา ลั่นทมผวาเฮือกยกมือขึ้นไขว่คว้าอากาศ
“ไม่..อย่า..อย่าเอาฉันใส่โลงฉันยังไม่ตาย”
ชีพสะดุ้งตื่น เมื่อเห็นอาการตาเบิกค้างของลั่นทมเขาก็จับตัวลั่นทมไว้
“ทม..ทม..ทม ฝันร้ายเหรอ”
ลั่นทมได้สติก็หันมากอดชีพไว้แล้วสะอื้น
“ชีพ..ทมไม่กล้าหลับ..กลัวหลับแล้วไม่ตื่นอีก”
ชีพปลอบ “ไม่เอาน่าทม..ผลการตรวจร่างกายของคุณก็ปกติดีคุณจะไม่เป็นอะไรอีกแล้วเชื่อผมนะผมจะคอยอยู่ข้างๆคุณ”
“ชีพ..ทมกลัวมันทรมาน ทมต้องทรมานอยู่ในโลงศพฟังเสียงพระสวด” ลั่นทมสะอื้น “ไม่มีใครได้ยินทมเลย ต้องอยู่ในสุสานทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย ทมกลัว..กลัวเหลือเกิน”
ชีพกอดลั่นทมไว้แล้วปลอบโยน “อย่าไปคิดถึงมันอีกนะทม ลืมมันซะเถอะเชื่อผมนะคนดี”
ชีพกอดลั่นทมไว้ในขณะที่ลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
เช้าวันใหม่ ฉ่ำเตรียมรถสำหรับชีพและลั่นทม อุษาในชุดทำงานเดินออกมาจากบ้านจะขึ้นมอเตอร์ไซค์เล็กคู่ชีพ ลั่นทมกับชีพเดินออกมาจะไปโรงงาน
“ษาจ๊ะ” ลั่นทมเรียก อุษาชะงักหันมา “ให้ธารินทร์สอนขับรถยนต์ให้ซีจ๊ะ”
รสสุคนธ์ในชุดทำงานเดินออกมาจากบ้าน
อุษาตอบ “ไม่ละคะคุณน้า ษายังไม่มีรถเลยแล้วษาก็ไม่คิดจะซื้อด้วย แค่มอเตอร์ไซค์นี่ก็สะดวกพอแล้วล่ะคะ”
ลั่นทมส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู “หลานน้าเนี่ยพอเพียงจริงๆ” ลั่นทมเหลือบมองรสสุคนธ์ “แต่ มอเตอร์ไซค์มันอันตรายนะจ๊ะ มานี่มา”
ลั่นทมจูงอุษาไปบริเวณที่มีรถป้ายแดงจอดอยู่ อุษาถาม “คุณน้าซื้อรถใหม่เหรอคะ”
“ของษาจ๊ะ..น้าให้” ลั่นทมบอก
รสสุคนธ์มองที่รถด้วยความริษยาที่อุษาได้สิ่งของมีค่าเพิ่มขึ้น รสสุคนธ์ยืนตัวเกร็งเขม็งกัดริมฝีปากแน่น อุษายกมือไหว้ลั่นทม
“ขอบพระคุณค่ะคุณน้าแต่...”
ลั่นทมเสียงดุ “ไม่มีแต่” ลั่นทมหันมาพูดกับชีพ “สวยมั้ยคะชีพ”
ชีพมองด้วยความเสียดายแต่ก็รีบรับคำ “สวยจ้ะเลือกได้ดีเหมาะกับอุษามาก”
ชีพหันไปเห็นรสสุคนธ์จ้องมาพอดี รสสุคนธ์แค้นจนอยากจะกรี๊ด ชีพถลึงตาใส่ให้เธออดทนไว้ รสสุคนธ์จึงสะบัดหน้าเดินหนีไป ชีพมองลั่นทมที่กำลังพาอุษาเดินดูรอบๆรถอย่างไม่ค่อยพอใจ
รสสุคนธ์เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วกราดตามองขวางอย่างสุดแค้นและริษยา
“ฉันรู้ทันแกนะนังลั่นทม แกจงใจแกล้งฉัน เยาะเย้ยฉันแกคิดว่า ฉัน ไม่มีปัญญาใช้มั้ย นังผีดิบแก”
รสสุคนธ์เห็นกรรไกรวางอยู่บนโต๊ะก็วิ่งไปคว้ามาทิ่มแทงหมอนระบายอารมณ์แค้น
“ฉันจะฆ่าแก ฆ่าแก ฆ่าแก”
หวานเปิดประตูเข้ามาเห็นก็ชะงักตกใจ “ว้าย นังรส นั่นแกทำอะไร”
หวานปราดเข้าไปยื้อแย่งกรรไกรจากรสสุคนธ์มาได้ รสสุคนธ์ฟุบหน้าร้องไห้ที่เตียง
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ไปเห็นอะไรบาดตาบาดใจมากอีกล่ะสิโธ่เอ๊ยก็ข้าบอกแล้วถ้าเอ็งไม่ตัดใจ คนที่จะทุกข์ทรมานตกนรกหมกไหม้ก็คือตัวเอ็งนังรส”
“ถ้าน้าไม่คิดช่วยฉันก็เลิกซ้ำเติมเลิกยุ่งกับฉันเสียทีได้มั้ย”
“ข้าก็ไม่อยากยุ่ง แต่นี่มันสายมากแล้ว ล้างหน้าล้างตาแล้วไปทำงานซะ”
รสสุคนธ์ตวาด “ฉันไม่ไป ไม่อยากไป ใครจะทำไม”
รสสุคนธ์ล้มตัวนอนตะแคงไม่สนใจหวาน หวานมองอย่างรำคาญแล้วทำท่าจะด่าแต่ก็เปลี่ยนใจเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจ พอหวานเดินไป รสสุคนธ์ก็ลุกขึ้นนั่งตาวาวโรจน์ น้ำเสียงเคียดแค้นชิงชัง
“นังลั่นทม”
ชีพประคองพาลั่นทมตรวจดูภายในโรงงาน พนักงานต่างพากันไหว้ลั่นทม
“เราขยายกิจการได้ตามเป้า ตามที่ทมเคยพูดไว้” ชีพบอก
สมุห์และสายสมรเดินมาจากทางหนึ่งก็ตรงเข้ามาไหว้ลั่นทม ชีพรับแฟ้มจากสายสมร
สายสมรฟ้อง “วันนี้รสสุคนธ์ไม่มาทำงานค่ะ”
ลั่นทมหันมามอง ชีพไม่พอใจ “แค่พนักงานคนหนึ่งหยุดต้องมาบอกฉันทำไม”
“ไม่ใช่แค่นั้นค่ะเมื่อวานงานยุ่งมาก ดิฉันบอกให้ทำโอทีก็ไม่ยอมทำแล้วก็กลับก่อนเวลาอีกด้วยค่ะ” สายสมรบอก
ชีพตกใจกลัวลั่นทมสงสัยเรื่องเมื่อวาน “เธอเป็นหัวหน้าก็จัดการไปสิ เรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ต้องมารายงานฉัน”
“ค่ะ” สายสมรผละไป ลั่นทมทำเป็นไม่สนใจแต่ลอบมองท่าทีของชีพตลอด
“ไปทางโน้นดีกว่าจ้ะ...” ชีพประคองลั่นทมไปทางหนึ่ง พนักงานยกมือไหว้ลั่นทมตลอดทาง ลั่นทมยิ้มรับทักทาย
รสสุคนธ์สวมชุดอยู่บ้านนั่งฮึดฮัดอยู่คนเดียว หวานเข้ามาพร้อมไม้กวาดและกระป๋องใส่ไม้ถูพื้น
“เอ้อ ดีเหมือนกัน ฝุ่นเต็มห้องเลยฉันว่าจะบอกให้ใครมาทำอยู่พอดี” รสสุคนธ์ว่า
“หนอยนังรส นี่แกคิดจะใช้ข้าถูห้องให้เชียวเหรอ” หวานไม่พอใจ
“อ้าวแล้วน้าเอาของพวกนี้เข้ามาไม่ได้คิดจะถูจะทำหรือไง”
“เอามาให้แกนะสิ เอ้า..กวาดถูห้องเข้าไปจะได้ไม่ฟุ้งซ่านงานการก็ไม่ไปทำอยู่เฉยๆเดี๋ยวบ้า”
“น้านี่ยังไงนะเป็นศัตรูคู่อาฆาตฉันมาแต่ชาติก่อนเหรอ ทำไมต้องคอยจ้องกัดจ้องจิกฉันอยู่ได้”
สวาทโผล่เข้ามา รสสุคนธ์หันไปเห็นก็ตวาด “เจ๋อมาแอบฟังอะไรอีกละ ไสหัวไปให้พ้นเลยนะก่อนที่จะโดนฉันตบ”
“มีมือคนเดียวหรือไง ลองตบมาก็เจอตบกลับนะสิ” สวาทว่า
รสสุคนธ์ลุกขึ้น หวานรีบขวางแล้วดุสวาท“แกจะไปไหนก็ไปไป๊อยู่กันให้ห่างๆได้มั้ย”
“คิดว่าฉันอยากอยู่ใกล้คนพรรค์นี้เหรอแม่หวาน กลัวเชื้อชั่วติดจะตายที่มานี่คุณผู้หญิงตัวจริงท่านสั่งให้คุณผู้หญิงตัวสำรองไปพบย่ะ”
สวาทเบ้หน้าใส่รสสุคนธ์ก่อนจะเดินจากไป หวานหันมามองรสสุคนธ์ที่ยืนกำมือแน่น แล้วเดินไปนั่งที่เตียง
“ทำไมไม่รีบไปล่ะแกก็ได้ยินแล้วนี่” หวานว่า
“ฉันไม่ไป ทำมาวางอำนาจสั่งโน้นสั่งนี่ เชอะ” รสสุคนธ์บอก
“นังนี่จะบ้าขึ้นทุกวันแล้วนะตอนนี้แกเป็นใคร คุณผู้หญิงเป็นใครท่านมีสิทธิ์ที่จะสั่งทุกคนนั่นแหละ”
“มันเป็นเมียคุณชีพ ฉันก็เป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน อยากพบฉันก็มาเองสิ”
รสสุคนธ์ล้มตัวนอนให้รู้ว่าไม่ไปแน่ๆ หวานอ้าปากค้าง
ชีพส่งวิตามินให้ลั่นทมกิน ลั่นทมทำหน้าเบ้
“ทมไม่ชอบกินยาชีพก็รู้นี่”
“นี่ไม่ใช่ยาแต่เป็นวิตามิน ถ้าทมอยากแข็งแรงก็ต้องกิน” ชีพบอก
ลั่นทมพยักหน้าฝืนใจรับยามากิน หวานเดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่ไม่สบายใจ
“อ้าวแล้วรสล่ะฉันให้สวาทไปตามรสไม่ใช่ให้ไปตามน้าหวาน เอ๊ะ...สงสัย สวาทจะฟังผิด” ลั่นทมบอก
ชีพทำเป็นไม่สนใจแล้วหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านแต่หูคอยฟัง
“อ๋อ..คือนังรสมันไม่สบายมากนะคะ อิฉันให้มันกินยาเลยหลับยังไม่ตื่น คุณผู้หญิงมีอะไรจะใช้มันหรือคะอิฉันทำแทนให้ก็ได้”
“ฉันไม่ได้ใช้อะไรหรอก ก็เห็นว่าวันนี้หยุดเมื่อวานก็ลากลับก่อนก็เลยนึกว่ามีเรื่องอะไร อ๋อที่แท้ก็ไม่สบายนี่เอง”
หวานจำต้องโกหก “ค่ะ..มันครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
“ชีพคะ” ลั่นทมเรียก
ชีพสะดุ้งเผลอทำหนังสือพิมพ์ตก ลั่นทมมอง “เป็นอะไรคะ”
“อ้อเมื่อกี้คงเผลอหลับนะพอคุณเรียกเลยตกใจ”
“โธ่..เราก็นึกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ รสเขาไม่สบายนะคะ”
“อ๊อ..แล้วมาบอกผมทำไม”
“ให้เขาหยุดงานจนกว่าจะหายก็แล้วกันนะคะ”
“ก็แล้วแต่ทมจ้ะ” ชีพลุกขึ้น “ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะคืนนี้อยากนอนเร็วๆหน่อยรู้สึกง่วงยังไงก็ไม่รู้”
ชีพเดินไปเหมือนไม่สนใจ ลั่นทมหยิบกระเป๋าถือมาเปิดแล้วหยิบเงินออกมาส่งให้หวาน
“ถ้ายังไม่ดีขึ้น น้าหวานก็พาไปหาหมอซะนะ”
หวานตื้นตันและละอาย “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณผู้หญิงเดี๋ยวมันก็หาย”
“เป็นหมอหรือไงถึงรู้ว่าจะหายเมื่อไร รสก็เหมือนเป็นคนของฉันอีกคนหนึ่งยามดีก็ใช้ยามเจ็บไข้ก็ต้องรักษา”
หวานอึ้ง ลั่นทมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามชีพขึ้นข้างบน หวานอ่อนแรงและน้ำตาร่วง
“น้ำใจประเสริฐเหลือเกินคุณผู้หญิงเจ้าขา อิฉันขอโทษ”
ภายในห้องที่เปิดแค่ไฟโคม ลั่นทมนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆชีพ ชีพค่อยๆลืมตาแล้วกระซิบเรียกลั่นทมเบาๆ
“ทม...ทม”
ลั่นทมหลับนิ่ง ชีพพอใจ เขาค่อยๆลุกจากที่นอนอย่างแผ่วเบา ชีพย่องออกจากห้องเหมือนแมวขโมย เขาปิดประตูห้องเรียบร้อย ลั่นทมที่หลับสนิทอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าแววตาปวดร้าวใจ
หวานมองรสสุคนธ์อย่างเหลืออด “ทำไมแกถึงไม่เห็นความดีของคุณผู้หญิงบ้าง ฮึ”
“กะอีเศษเงินที่มันหยิบยื่นให้แค่นี้ถือว่าเป็นความดีความชอบใหญ่หลวงเลยเหรอน้า”
“ข้าหมายถึงน้ำใจเธอต่างหาก”
รสสุคนธ์อ้าปากจะเถียงต่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงชีพกระซิบกระซาบ
“รส..รสนอนหรือยัง”
รสสุคนธ์ดีใจจนแทบตัวลอย “คุณชีพ...”
หวานอึ้ง รสสุคนธ์ถลาไปเปิดประตู ชีพรีบเข้ามาโดยยังไม่ทันเห็นหวาน รสสุคนธ์กอดชีพ
“ยอดรักของรส..”
หวานทำท่าคลื่นไส้ ชีพชะงักตกใจ “เอ้าน้าหวานอยู่ด้วยเหรอ” ชีพมองรสสุคนธ์ “เห็นว่าไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่าฉันเป็นห่วง”
รสสุคนธ์เหลือบมองหวานแล้วยิ้มอวดก่อนจะสะอื้น “รสเป็นไข้ใจนะสิคะปวดใจทุกครั้งที่เห็นคุณอยู่กับเขา”
ชีพเข้าใจก็ทำท่าจะจูบรับขวัญ แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นหวานจ้องอยู่
รสสุคนธ์รีบหันมาไล่ “ออกไปสิน้าหวานยืนดูอยู่ได้ ยังไงก็ช่วยดูต้นทางให้ด้วยนะ”
หวานมองทั้งสองคนอย่างอึดอัดใจ “ไม่ล่ะข้าจะไปนอนไม่อยากทำบาป”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์อ้อนชีพต่อ “รสนึกว่าคุณจะไม่ห่วงไม่สนใจรสเสียอีก บางทีรสก็น้อยใจคิดว่าคุณช่างรักช่างเทิดทูนลั่นทมเหลือเกิน แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ เมื่อวานรสเสียใจนะคะ”
“ฉันขอโทษแล้วกัน ก็ฉันบอกเธอแล้วนี่ว่าอย่าวู่วาม เราต้อง หาทางยักย้ายถ่ายเทสมบัติลั่นทมให้มาอยู่กับฉันก่อน ถ้าเรื่องแดงตอนนี้ฉันจะลำบากรวมถึงเธอด้วย”
“ที่คุณทำดีกับลั่นทมเพราะเงินอย่างเดียวจริงๆนะคะไม่ใช่ยังรักนะ”
“ใครจะรักผู้หญิงขี้โรคแบบนั้นได้ล่ะ กอดแรงหน่อยก็ไม่ได้” ชีพส่ายหน้า “ไม่ไหวหรอก ไม่เหมือนคนนี้”
ชีพกอดรสสุคนธ์แรงๆ ทั้งสองคนสบตากันอย่างรู้ความหมาย ชีพอุ้มรสสุคนธ์ไปที่เตียงแล้วพากันนอนลง
ไกรหยิบเอกสารออกจากกระเป๋า ต้อยติ่งสะกิดธารินทร์
“หนูขอออกไปเล่นข้างนอกนะพี่รินทร์”
“ได้ แต่อย่าซนนะ” ธารินทร์บอก
“รู้แล้วน่า”
ต้อยติ่งวิ่งออกไปชนกับรสสุคนธ์ในชุดโรงงานที่กำลังเดินผ่านมา
“อุ๊ย ขอโทษค่ะอ้าวพี่นั่นเอง หนูจำเกือบไม่ได้ โหทำไมโทรมจังคะ ไม่เหมือนตอนคุณนายยังไม่ฟื้นเลยนี่ฮิๆๆ” ต้อยติ่งว่า
ต้อยติ่งรีบวิ่งไป รสสุคนธ์แค้น “เด็กผี...ปากดีนัก อยากเจ็บตัวนักใช่มั้ย”
ต้อยติ่งทำหน้าสยองเพราะกลัวรสสุคนธ์แต่รสสุคนธ์ไม่ใส่ใจ เธอมองเข้าไปในห้อง
ลั่นทมพูดกับไกร “มอบโฉนดกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้คุณลุงผันเลยค่ะคุณไกร”
ไกรส่งแฟ้มให้หมอผัน “โฉนดครับคุณลุง ผมทำให้เรียบร้อยแล้ว” ไกรพลิกหลังโฉนด “นี่ ชื่อคุณลุงเป็นกรรมสิทธิ์”
ผันดูหลังโฉนดแล้วไหว้ขอบคุณลั่นทม “ขอบพระคุณอย่างสูงครับ คุณนาย”
รสสุคนธ์ยืนจ้องมองทุกคนอย่างไม่พอใจ
ธารินทร์เดินออกมาจากห้องน้ำก็ชะงักที่รสสุคนธ์เดินเข้ามามองธารินทร์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะ
“คุณมองอะไร”
“มองหนู” รสสุคนธ์บอก ธารินทร์งง “หนูตกถังข้าวสารไงคะ”
ธารินทร์ไม่พอใจ “คุณรส พูดยังงี้ ผมถือว่าดูถูกผมนะ”
“ก็ดูถูกนะสิคะ ฉันว่าฉันดูไม่ผิดหรอก แต่ก็นั่นละนะอุตส่าห์ช่วยจนไม่เป็นอันไปทำงานทำการ ก็ต้องหวังผลตอบแทนบ้างล่ะ แต่นี่มันเกินคุ้มเลยนะคะเนี่ย”
“คุณรสจะมากเกินไปแล้วนะครับ”
“อย่าโกรธเลยค่ะฉันก็แค่มาชื่นชม คุณทำถูกแล้วล่ะโธ่ถ้ามัวแต่กินเงินเดือนหลวง กี่ชาติถึงจะได้ขนาดนี้ละคะ โอ๊ยเรื่อง ธรรมดาไม่ต้องเขินหรอกค่ะ”
“คนบางคนก็คิดได้แต่เรื่องชั่วๆ ตัวเองชั่วก็เลยคิดว่าคนอื่นเขาจะเหมือนตัว ไม่เป็นไรครับผมจะไม่ถือ เพราะผมรู้ว่าจิตใจคุณต่ำอยู่แล้ว คิดเรื่องดีๆไม่เป็น”
ธารินทร์ยิ้มเยาะแล้วเดินหนีไปเหมือนรังเกียจ รสสุคนธ์มองตามอย่างเคียด
“ปากดีไปเถอะอีกไม่นานพวกแกจะรู้สึก”
ธารินทร์กับอุษาเดินมาที่บริเวณมุมต้นไม้สวยๆ ในบ้านลั่นทม อุษาหยุดเดินมองธารินทร์แล้วถามด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมเงียบจังไม่พูดไม่จาเลย”
“ผมไม่ค่อยสบายใจเลย เรื่องที่คุณน้าให้อะไรต่ออะไรพ่อผมมากมาย”
“ทำไมคะ”
“ใครเขาจะมองว่าผมตกถังข้าวสาร”
“ใครจะมามองกันคะ คุณน้าให้ลุงผันไม่ได้คุณซักหน่อย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะผมไม่สบายใจ”
“เดี๋ยวค่ะรินทร์นี่คุณไปฟังใครพูดมา”
“รสสุคนธ์ ผมทนไม่ได้จริงๆนะษาที่จะให้ใครมาคิดแบบนี้มันดูถูกกันเกินไป”
อุษาจับมือธารินทร์แล้วพูดปลอบใจ “อย่าคิดมากนะคะ คุณน่าจะรู้ดีว่ารสสุคนธ์พูดเพราะความอิจฉา อิจฉาสมบัติที่เขาคาดหวังว่าตัวเองจะได้ษารู้อยู่แก่ใจว่าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด ทุกวันนี้ทั้งษาและคุณน้าสำนึกในบุญคุณของคุณและลุงหมอผัน จนรู้สึกว่าอะไรก็ทดแทนบุญคุณ ไม่ได้ คุณน้าเองก็พูดอย่างนั้น”
ธารินทร์เปลี่ยนเป็นจับมืออุษาอย่างขอบคุณ
ธารินทร์ยิ้ม “ผมดีใจที่คุณเข้าใจผม”
ทั้งสองคนมองตากันด้วยความเข้าใจ ธารินทร์ดึงตัวอุษาเข้ามากอดไว้ ผันโผล่พรวดเข้ามา ทั้งสองคนตกใจผละออกจากัน ผันรีบปิดตา
“อ้าวเฮ้ยขอโทษทีพ่อไม่เห็นไม่เห็นอะไรจริงๆ”
อุษาอายหน้าแดง ธารินทร์เก้อแกล้งดุพ่อ“มาทำไมตอนนี้ พ่อ”
“ข้ามาตามหานังต้อยติ่งมันหายไปไหนก็ไม่รู้”
ต้อยติ่งเดินเตร่มาแถวหน้าเรือนทรงไทยที่ได้ยินเสียงตอกโป้งป้างอยู่ข้างใน ต้อยติ่งสงสัยจึงค่อยๆย่องไปที่ประตู เธอลองผลักดูก็พบว่าประตูปิดสนิท ต้อยติ่งพยายามหาร่องเพื่อจะแนบตามองเข้าไปแต่ก็ไม่สำเร็จ
ลั่นทมเดินเข้ามาหาต้อยติ่งจากทางด้านหลังแล้วแตะไหล่ต้อยติ่งเบาๆ ต้อยติ่งสะดุ้งหันมาแล้วก็ยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าเป็นลั่นทม ต้อยติ่งรู้แล้วว่าลั่นทมสั่งห้ามไม่ให้ใครมาบริเวณนี้ ลั่นทมยิ้มให้ต้อยติ่งอย่างเอ็นดู
“ลุงผันจะกลับแล้วจ้ะต้อยติ่ง”
“คือหนูสงสัยน่ะค่ะว่ามีเสียงตอกตะปูอยู่ข้างใน แต่ทำไมข้างนอกต้องปิดกุญแจ”
“เพราะฉันไม่อยากให้ใครเข้าไปก่อนงานก่อสร้างจะ เสร็จไงจ๊ะ”
ต้อยติ่งไหว้ “หนูขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ รีบไปเถอะ”
ต้อยติ่งไหว้ลั่นทมแล้วรีบวิ่งไปทันที ลั่นทมมองตามอย่างเอ็นดูแล้วไขกุญแจเปิดประตูเรือนไทยเข้าไป
ชีพขับรถกลับจากทำงานตรงมาจอดที่หน้าตึกแล้วก็เหมือนนึกอะไรได้จึงมองไปทางเรือนไทย ชีพสตาร์ทรถแล้วขับเลยตัวตึกไปทางเรือนไทย พอถึงเรือนไทยเขาก็จอดแล้วก้าวลงจากรถเดินตรงมาทางบ้านเรือนไทยอย่างอยากรู้อยากเห็น ชีพมาถึงก็จับล็อคประตูแต่ประตูปิดสนิททำให้เปิดไม่ได้เขาจึงตัดสินใจเคาะ
ชีพเคาะประตูเรือนทรงไทยที่ปิดสนิทครู่หนึ่ง ลั่นทมเปิดประตูออกมาด้วยหน้าตาสดชื่น ชีพพยายามจะชะเง้อเข้าไปแต่ลั่นทมดันชีพออกอย่างนุ่มนวลพลางปิดประตู และเดินออกมาอยู่ข้างนอกกับชีพ
“ ไม่เอาค่ะรอให้เสร็จก่อน..อีกไม่นานหรอก ทมรับรอง”
ชีพรั้งลั่นทมเข้ามาและแกล้งต่อว่า “มีความลับกับผมใช่ไหม ต้องทำโทษ”
ชีพแกล้งจูบลั่นทม ลั่นทมยิ้ม “อดใจอีกนิดนะคะ”
“ก็ได้ แต่ผมว่าผมรู้แล้ว..เห็นรถขนของเข้าออกมีทั้งเฟอร์นิเจอร์สวยๆ ตู้เตียงอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ..เรือนหอใหม่ของเราเหรอ” ชีพล้อ “กู๊ดไอเดีย”
ลั่นทมสลดลงนิดหนึ่งเพราะรู้ว่านั่นไม่ใช่สถานที่แห่งความสุขแต่มันคือสุสาน แล้วเธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
“กลับบ้านกันเถอะค่ะ อ้าวคุณเอารถมาด้วยเหรอค่ะดีทมขี้เกียจเดินอยู่เหมือนกัน ไปค่ะ”
ลั่นทมควงคู่ไปกับชีพแล้วขึ้นรถขับออกไป
รสสุคนธ์เดินออกมาแล้วรีบตรงเข้าไปกระแทกประตูเต็มแรงหวังจะให้เปิด แต่ประตูล็อคจากทางด้านใน
รสสุคนธ์เขย่าประตูอย่างแรง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก รสสุคนธ์แทบคะมำเข้าไป พลวัตยืนอยู่มองรสสุคนธ์อย่างไม่พอใจ
“ต้องการอะไรหรือครับ”
“ฉันจะเข้าไปข้างใน” รสสุคนธ์บอก
“ไม่ได้ครับคุณลั่นทมเธอสั่งไว้”
“รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็น..”
เสียงอุษาดังขึ้น “เป็นใครก็เข้าไม่ได้ทั้งนั้น” อุษาเดินเข้าพูดกับพลวัต “เชิญไปทำงานต่อเถอะค่ะฉันจัดการเอง”
พลวัตโล่งอก เขารีบเข้าไปปิดประตู อุษากับรสสุคนธ์มองหน้ากัน
อุษาเดินนำรสสุคนธ์มาเรื่อยๆแล้วก็หยุด ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้าแล้วพูดเสียงเอาเรื่อง
“สะกดกลั้นความโลภของเธอไว้บ้างนะรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์อ้าปากจะเถียงแต่ไม่ทัน อุษาพูดต่อ “ที่เธอยังอยู่ในบ้านนี้ได้เพราะพวกเราเห็นแก่คุณน้า ไม่อยากให้ท่านเสียใจ แต่ถ้าเธอยังทำรุ่มร่ามพูดจาไม่คิดคอยแต่จะให้ร้ายคนอื่น”
“อยู่ๆเรียกฉันมาด่าเรื่องอะไรฉันไปทำอะไรให้เธอ”
“ที่เธอพูดกับคุณธารินทร์ฉันรู้หมดแล้ว”
“อุ๊ยตายรีบแจ้นไปฟ้องกันเลยเหรอ นี่ไหนๆก็พูดแล้วฉันอยากจะเตือนเธอด้วยความหวังดี”
“อะไร”
“หมวดธารินทร์นะเขาไม่จริงจังกับเธอหรอก ถ้าเธอไม่มี สมบัติฉันเชื่อว่าเขาไม่มีวันมองเธอ รู้มั้ยเขานะจ้องฉันตาเป็นมัน แต่ฉันไม่เล่นด้วยต่างหาก”
อุษาหัวเราะเหมือนได้ฟังเรื่องตลกสุดๆ จนรสสุคนธ์งง
“ขำอะไร”
“ฉันว่าเธอคงเสียสติเพราะความโลภเลยพูดผิดพูดถูก ที่จริงเธอน่าจะพูดว่าเธอต่างหากที่จ้องรินทร์ตาเป็นมันแต่รินทร์เขาไม่ เล่นด้วยเธอก็เลยหันมาคว้าน้าชีพ ฉันรู้จักรินทร์ดี เขาไม่ใฝ่ต่ำไปเกลือกกลั้วของโสโครกหรอก”
รสสุคนธ์โกรธจนพูดไม่ออก อุษาเดินไปด้วยท่าทางเชิดอย่างมั่นใจ
ชีพตรงเข้ากอดลั่นทม ลั่นทมผลักออก
“อย่าค่ะชีพ วันนี้ทมเหนื่อย ขอนอนนะคะ”
ชีพชะงักแล้วพยักหน้าถอนใจ “งั้นคุณก็นอนเถอะ”
เวลาผ่านไป ลั่นทมนอนหลับตา ชีพนอนลืมตาโพลง ลั่นทมหลับ ชีพนอนเอาแขนพาดตัวลั่นทม ลั่นทมกอดแขนชีพไว้ มือลั่นทมที่กอดแขนชีพค่อยๆคลายออกแล้ววางพาดข้างตัวเหมือนคนหลับสนิท
ชีพค่อยๆลืมตาขึ้น ยกแขนออกจากตัวลั่นทมอย่างแผ่วเบา เขานอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ชัดแล้วว่าลั่นทมจะไม่ตื่นขึ้น ชีพก็ค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อคลุมสวมแล้วออกจากห้อง ลั่นทมที่นอนตะแคงอยู่ตาค่อยๆหรี่ลืมขึ้น มาในสภาพน้ำตากลบตาเพราะทั้งน้อยใจและเสียใจในการกระทำของชีพแต่ก็อดทน
รสสุคนธ์ยังนั่งเจ็บใจไม่หาย ชีพย่องมาเคาะประตูห้องเบาๆ พอหมุนลูกบิดพบว่าไม่ได้ล็อคก็รีบเปิดเข้าไป รสสุคนธ์มองอยู่พอเห็นว่าเป็นชีพเธอก็ถลาเข้ามากอดรัดไว้แน่น รสสุคนธ์ดีใจเหมือนจากกันนับปีก่อนจะฉุดชีพไปที่เตียง หวานมองดูอยู่มุมหนึ่งอย่างปลงสังเวชเพราะพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แม้จะรังเกียจการกระทำของรสสุคนธ์แต่ด้วยความเป็นน้าหลานก็เลยทำให้จำต้องนิ่งไว้
“เฮ้อ..ทำไมไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษกันเสียบ้างเล้ย”
เสียงอุษาดังขึ้น “พวกกิเลสหนาไงคะน้า ต่อให้พระมาโปรดก็ไม่เข้าใจ”
หวานสะดุ้งหันกลับมาเห็นอุษายืนมองอยู่ไกลๆ
“คุณอุษา..น้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้นะคะน้าเตือนแล้วห้ามแล้ว ทั้งตบทั้งตีมันก็แล้วมันก็ไม่ยอมเลิกน้าไม่รู้จะทำยังไงดี”
“ษารู้ค่ะ น้าเฉยไว้ดีกว่า ษาเองถ้าไม่ติดว่าคุณน้ารักน้าชีพมากษาไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิด ขึ้นตำตาหรอก”
หวานร้องไห้ “อิฉันสงสารคุณผู้หญิงจริงๆ”
อุษาถอนใจมองหน้าห้องรสสุคนธ์แล้วเดินเลี่ยงไป
เช้าวันใหม่ ธารินทร์ขับรถมาจอดหน้าบ้านลั่นทม ต้อยติ่งลงจากรถ ธารินท์ตามลงมา
“หนูคอยแถวนี้นะ” ต้อยติ่งบอก
“ได้ ไม่รู้พี่ษาแต่งตัวเสร็จหรือยัง พี่เข้าไปดูก่อนเสร็จแล้วจะได้ไปหัดขับรถกัน อย่าไปซนไกลๆล่ะ”
“รู้น่า ยังไงก็ต้องรอคุณน้าลั่นทมกลับจากหาหมอก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่..ทำไมคิดจะไถลไปเล่นที่ไหนล่ะ”
“เปล่าสักหน่อย หนูแค่ไม่อยากเข้าไปเป็นกอขอคอน่ะไม่ดีเหรอ”
ธารินทร์ยกมือจะเขกหัว ต้อยติ่งหลบวูบแล้วหัวเราะ
“แก่แดดใหญ่แล้ว”
ธารินทร์เดินเข้าไปในบ้าน ต้อยติ่งเดินเล่นดูต้นไม้แล้วมองไปทางเรือนไทย ต้อยติ่งลัดเลาะไปที่เรือนไทยด้วยความอยากรู้เต็มประดา เสียงตอกกึกกักยังดังมาจากข้างใน ต้อยติ่งพยายามหาช่องที่จะมองเข้าไปแต่ไม่เป็นผลสำเร็จแต่แล้วก็เห็นประตูเปิดแง้มอยู่ด้านหนึ่ง ต้อยติ่งค่อยๆผลักเข้าไปด้วยสีหน้าดีใจ
ต้อยติ่งเบา “ใครลืมปิดแฮะ”
อุษากับธารินทร์รอการกลับมาของลั่นทมจากโรงพยาบาลอยู่ที่บ้าน อุษายกเครื่องดื่มมาต้อนรับธารินทร์อยู่มุมหนึ่ง หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจช่วยกันเช็ดเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆมากมาย รสสุคนธ์ที่อยู่ทางหนึ่งนั่งถือผ้านั่งมองเฉยไม่ลงมือช่วย
“นี่คุณรสขา” สวาทว่า “ช่วยกันเช็ดหน่อยสิแม่คุณ ฉันเห็นเธอนั่งถือผ้าเฉยๆอยู่นานแล้ว พวกเราเช็ดกันจนมือจะหลุด ไม่เอาเปรียบไปหน่อยเหรอ”
“ฉันก็ทำอยู่นี่ไง” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์แกล้งเช็ดเร็วๆ แรงๆ จนเฟอร์นิเจอร์จะพัง
“นังรส...เบาๆ ก็ได้ รีบทำเข้า จะได้เสร็จๆ เดี๋ยวคุณผู้หญิงก็จะมาแล้ว” หวานว่า
รสสุคนธ์ขว้างผ้าลงพื้นเสียงค่อนข้างดัง “ฉันไม่ทำ ฉันไม่ใช่ขี้ข้าเหมือนพวกมัน”
หวานตกใจหันมาเห็นธารินทร์กับอุษาสบตามองอยู่ หวานอ้าปากจะด่า จิ้มลิ้มมองไปทางหน้าบ้านแล้วก็เอะอะขึ้น “คุณผู้หญิงกลับมาแล้ว”
ทุกคนหันไปมองเห็นชีพเกี่ยวก้อยลั่นทมกลับจากโรงพยาบาล ลั่นทมมีหน้าตาสดชื่น อุษารีบเข้าไปหา “ผลประชุมแพทย์ว่ายังไงคะคุณน้า”
ลั่นทมตอบยิ้มๆ “หมอยืนยันจ้ะว่าน้าแข็งแรงดีแล้ว..โอย..หมดไปหลายแสน”
“ช่างมันเถอะจะหมดสักเท่าไรขอให้ทมหายมันก็เกินจะคุ้มใครก็ได้เอาน้ำเย็นๆมาให้คุณผู้หญิงหน่อย” ชีพพูดกับลั่นทม “เมื่อกี้เห็นบ่นคอแห้ง”
“แกนะนังรสไปเอาน้ำทีเร็วๆนะ” หวานสั่ง
รสสุคนธ์มองอย่างสุดแค้น ยิ่งเห็นชีพประคองลั่นทมนั่งด้วยท่าทางห่วงใยมากก็ยิ่งแค้น
ลั่นทมอธิบายกับทุกคนที่กำลังสนใจฟัง “หมอบอกว่าเกี่ยวกับระบบไต”
รสสุคนธ์ทนไม่ไหวแทรกขึ้นหน้าตาเฉย “แต่ฉันว่าน่าจะเกี่ยวกับระบบสมองมากกว่า”
ทุกคนตะลึง ชีพกับหวานปรามพร้อมกัน “รส/นังรส”
ลั่นทมพูดเสียงเยือกเย็น “ยังไงจ๊ะ”
“ก็นอนอยู่ในโลงตั้งหลายวันสมองมันคงถูกเก็บกดฟื้น ขึ้นมาเลยดูเบลอๆเพี้ยนๆอีกอย่างเลือดลมก็คงเดินไม่สะดวก หน้าคุณผู้หญิงถึงซีดยังกับผีดิบ” รสสุคนธ์พูดเรียบๆแต่หน้าตาเอาเรื่อง ทุกคนตะลึงแล้วหันไปมองลั่นทม ลั่นทมยิ้มให้รสสุคนธ์แล้วตอบเรียบๆเช่นกัน “หรือจ้ะ..ที่จริงฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจจะเกี่ยวกับระบบสมอง ก็เลยแบ่งทรัพย์สินในความดูแลไปให้หมอผันบ้าง หนูอุษาบ้างเป็นการลดภาระทางด้านการใช้สมองไงจ๊ะ”
รสสุคนธ์แค้นตอบโต้อย่างลืมตัว “แต่แบบนี้ถ้าเป็นที่บ้านฉันเขาเรียกว่าบ้าค่ะเอาสมบัติไปให้คนอื่นนะมันบ้าชัดๆ”
ทุกคนตกใจ หวานเข้ามากระชากตัวหลานสาว “นังรสหยุดนะ”
“ไม่เป็นไร..ฉันอยากถามเธอหน่อยรสสุคนธ์การที่คนรู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณแถวบ้านเธอเรียกว่าบ้าเหรอจ้ะ ถ้าอย่างนั้นการฉกชิงยื้อแย่งสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวแถวบ้านเธอ เรียกว่าอะไร” ลั่นทมถาม
รสสุคนธ์อึ้งและเริ่มได้สติ ชีพจ้องตาแทบถลน อุษาตอบเน้นๆ
“เนรคุณค่ะ”
ลั่นทมยิ้มแต่ดวงตามีน้ำตากลบตาด้วยความเศร้า สังเวชใจในกิเลสของรสสุคนธ์ประดังขึ้นมาในใจลั่นทม
“เธอว่าใครอุษา” รสสุคนธ์สวน
ชีพเสียงเข้มและพูดจริงจังมาก “หยุดได้แล้วรสสุคนธ์”
ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับเหตุการณ์ตรงหน้า จู่ๆ ต้อยติ่งก็วิ่งเอะอะก็ดังเข้ามา
“โอ๊ยน่ากลัว บรื๋อ..”
“อะไรต้อยติ่งอะไร” ธารินทร์ถาม
“เรือนไทยที่เรือนไทย...”
ต้อยติ่งชะงักที่เห็นลั่นทม ลั่นทมมีสีหน้าราบเรียบ
อ่านต่อหน้าที่ 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 6 (ต่อ)
พลวัตยกมือไหว้ลั่นทม
“ขอโทษจริงๆครับคุณนาย พอดีทุกอย่างเรียบร้อย แล้วผมกำลังเก็บของอยู่ ไม่ทันสังเกตว่าหนูนี่”พลวัตชี้ที่ต้อยติ่ง “เข้ามา”
ธารินทร์ดุต้อยติ่ง “เหลวไหลจริงต้อยติ่ง”
ลั่นทมพูดกับพลวัต “ไม่เป็นไรๆ..เสร็จแล้ว ฉันก็ตั้งใจจะให้พวกเราดูเหมือนกัน เอ้า เชิญข้างในเลยทุกคน”
ลั่นทมเปิดประตูเรือนไทยให้ทุกคนดู ภายในเรือนไทยเป็นห้องที่รวมไว้ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องรับแขกซึ่งแยกเป็นมุมต่างๆสวยงาม เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หรูหราใหม่เอี่ยม ทั้งเตียงนอนตู้โต๊ะผ้าม่านพรมปูพื้นไซค์บอร์ด โทรทัศน์ขนาดใหญ่ เครื่องปรับอากาศโทรศัพท์เครื่องเล่นแผ่นเสียง ไม้ดอกไม้ประดับ
ไฟสีสันสวยงามและวิจิตรพิสดารราวกับวิมานในฝัน ทุกจุดแยกมุมกันไว้อย่างเป็นสัดส่วน แต่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน และที่เด่นชัดคือโลงศพซึ่งเป็นโลงแก้วที่ตั้งอยู่บนแท่นที่ไม่สูงนัก ทุกคนพากันชะงักจ้องโลงศพอย่างตกตะลึง
“ทำไม..มีโลงศพด้วย” ชีพสงสัย
“สุสานไงคะชีพ” ลั่นทมบอก
ชีพตกใจ “สุสาน”
“ใช่ค่ะ สุสานสำหรับคนเป็น..คือทมเอง”
ชีพเดินอย่างไม่มั่นใจไปหยุดที่โลงศพแล้วชะโงกดู ภายในโลงศพสวยงาม ทุกคนตื่นเต้นเมื่อเห็นสภาพในเรือนไทยก็พลอยตะลึงไปหมด ลั่นทมหันมาที่กลุ่มหวานกับพวกสวาทแล้วพูด “นี่เป็นสถานที่ส่วนตัวของฉันจ้ะ หากฉันมีอันเป็นไปอีก จะได้ไม่ต้องไปอยู่ในป่าช้า ฉันขอร้องห้ามพูดให้คนนอกรู้นะ เอาละ ไปทำงานกันได้แล้ว”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจพากันเดินออกไปด้วยท่าทางยังงงๆ รสสุคนธ์ยังยืนมองสำรวจ
ลั่นทมพูดกับรสสุคนธ์ “เธอก็ออกไปได้แล้วรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ยิ้มหยันแล้วเดินตามพวกหวานออกไปด้วย
ลั่นทมพูดกับอุษา ธานินทร์ และต้อยติ่ง “แล้วจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
“ทำไมคุณน้าต้องทำเหมือนแช่งตัวเองอย่างนี้ด้วยคะ” อุษาถาม
ลั่นทมรั้งอุษาเข้ามากอดไว้ “หนูไม่รู้หรอกว่าน้ากลัวขนาดไหนระหว่างที่น้าต้องนอนอยู่ในโลงศพ” ลั่นทมน้ำตาไหล “มันยิ่งกว่าอยู่ในนรกอีก..มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน น้าจึงต้องเตรียมไว้สำหรับถ้าตายอีกหน ออกไปก่อนนะ แล้วน้าจะเล่าให้ฟังว่าน้ามีแผนยังไงบ้าง..ตอนนี้ขอให้น้า อธิบายให้น้าชีพฟังเป็นคนแรก”
อุษา ธารินทร์และต้อยติ่งเดินออกไป เมื่อประตูห้องปิดลั่นทมก็โผเข้าหาชีพที่ยืนงงอยู่
“อยู่กับทมในสุสานนี้นะคะชีพ..”
ชีพตกใจ “ฮะ อะไรนะ”
“ไหนว่ารักทมไงคะ ถ้ารักชีพต้องอยู่ได้”
ชีพนิ่งอึ้งพูดไม่ออกแต่ท่าทีก็ดูออกว่าไม่อยากอยู่ด้วย ลั่นทมสะกดความน้อยใจไว้แล้วพูดต่อเรียบๆ “แต่ถ้ากลัวว่าจะไม่ได้ลอบลงไปหารสสุคนธ์ก็ ตามใจชีพ”
ลั่นทมน้ำตาไหลมองชีพอย่างน้อยใจ ชีพมองลั่นทมอย่างตกตะลึงที่ลั่นทมรู้เรื่องระหว่างตนกับรสสุคนธ์
“ทมรู้..”
ธารินทร์จูงมืออุษาเดินมาถึงหน้าบ้าน รสสุคนธ์เข้ามาขวาง หวาน สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจที่ยังจับกลุ่มคุยเรื่องเรือนไทยอยู่ชะงักมอง
“เมื่อกี้เธอด่าฉัน..” รสสุคนธ์ว่า
“มันยังน้อยไป สำนึกไว้นะรสสุคนธ์ว่าคุณน้ารู้ตลอดเรื่องเธอกับน้าชีพ แต่ท่านไม่พูด ไม่ไสหัว เธอไปเพราะท่านให้โอกาสเธอได้สำนึก..”
รสสุคนธ์เยาะ “โอ๊ะแม่พระ”
“ใช่ท่านเป็นแม่พระมาโปรดสัตว์แท้ๆแต่กลับถูกสัตว์มันกัดไม่ปล่อย”
“แก..แกด่าฉันเป็นสัตว์เหรอ”
รสสุคนธ์ยกมือตบลงมา ธารินทร์เข้ามาคว้าไว้ทันแล้วพูดเสียงเข้ม
“ถ้าแตะษาแม้แต่ปลายเล็บผมเอาเรื่องคุณแน่”
“คิดว่าฉันกลัวเหรอ”
รสสุคนธ์สะบัดมือจากธารินทร์จนหลุด หวานปราดเข้ามาขวางทันแล้วตบหน้ารสสุคนธ์ฉาดใหญ่ สวาท จิ้มลิ้ม ยาใจสะใจ
“นั่นมันต้องอย่างนั้นเอ้าเลยน้าหวาน”
“เลิกบ้าได้แล้ว นังรส แกนี่เอาใหญ่แล้วนะ แกเป็นใครคุณอุษาเป็นใคร” หวานว่า
“มันเป็นแค่หลานแค่คนอาศัยแต่ฉันเป็นเมีย..เมียเจ้าของบ้าน” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์มองกราด “ระวังกันไว้เถอะเห็นหรือยังว่านายพวกแกนะใกล้บ้าเต็มที่แล้วคนดีๆที่ไหนเขาจะทำสุสานไว้ในบ้าน ถ้าไม่ตายเร็วๆนี้ก็ต้องส่งไปโรงพยาบาลบ้า ถึงวันนั้นฉันจะคิดบัญชีเรียงตัวเลย”
รสสุคนธ์เดินสะบัดไป ทุกคนตะลึง
ลั่นทมพูดชัดถ้อยชัดคำ “ทมรู้มานานแล้ว..”
ชีพตะลึงแล้วก็ได้สติ “นานแล้วเหรอ...แล้วทำไมทม”
ลั่นทมกอดชีพแล้วพยายามฝืนทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“ที่ทมไม่พูดเพราะทมรักคุณและทมก็รู้ตัวว่า..ทมคงให้ความสุขคุณไม่พอ เพราะมีโรคประจำตัวคุณถึงไปมีอะไรกับรสสุคนธ์..ถึงทมจะเจ็บแต่ก็ต้องอดทน”
ชีพเลี่ยงจากลั่นทมไปยืนสงบนิ่งอยู่ทางหนึ่งโดยไม่ค่อยกล้าสบตากับลั่นทม
“ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะผมแค่พลาดไปผมตั้งใจจะเลิกแต่พอดีทมมาตายลงกะทันหัน ผมไม่ได้รักรสเลยนะ”
“จริงเหรอคะ แล้วทำไมทมฟื้นแล้วคุณก็ยังแอบไปหากันแทบทุกคืน”
ชีพอึกอักก่อนจะรีบรวบร่างลั่นทมเข้ามากอดไว้
“ผม..คือ ผมกำลังพยายามคุยกับรส ขอร้องให้เขาไปจากที่นี่ แต่รส...เขาขอเวลาหน่อย เขาก็ไม่มีที่ไป”
“ทมเข้าใจค่ะถึงไม่โวยวายอยากให้รสสุคนธ์สำนึกได้และไปจากที่นี่เอง เขาจะได้ไม่ต้องอายคนอื่นๆ
ชีพขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่แน่ใจว่าลั่นทมจะหวังดีต่อผู้อื่น”
“ทำไมทมถึงดีต่อรสสุคนธ์มากจนผมแปลกใจคงไม่มีผู้หญิงคนไหนทำใจได้อย่างคุณ”
“ทมเคยตายมาแล้ว รู้รสชาติว่าเป็นยังไง สภาพที่ทมต้องอยู่ในโลงทั้งที่ยังไม่ตายมันสอนทม..มันน่ากลัวจนทมแทบบ้า ต่อไปนี้” ลั่นทมร้องไห้สะอึกสะอื้น “ทมต้องให้อภัยและมีเมตตาต่อทุกคน ชีวิตในโลงศพสอนทมได้เยอะจริงๆ”
ชีพกอดลั่นทมกระชับเพื่อปลอบใจด้วยท่าทีนิ่งสงบโดยไม่มีทีท่าที่บ่งชัดว่าซาบซึ้งในคุณงามความดีของลั่นทมหรือคิดอะไรอยู่
ธารินทร์ อุษาและต้อยติ่งเดินมาถึงรถ ต้อยติ่งไหว้อุษา อุษาลูบหัวต้อยติ่ง ต้อยติ่งขึ้นไปนั่งรอบนรถ
“ผมกลับก่อนนะษา ช่วงนี้จับตาดูรสสุคนธ์ให้ดีนะผมว่าเขากำลังพยายามประกาศตัว”
“ความโลภนี่มันน่ากลัวจริงๆนะคะรินทร์” อุษาบอก
“ครับ ผมสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้”
“ษาเองก็ใจไม่ค่อยดี ยิ่งเห็นคุณน้าทำสุสานของตัวเองเหมือนมันเป็นลางบอกเหตุ ษากลัวจะเกิดเรื่องร้ายๆค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวนะษา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
อุษามองธารินทร์อย่างซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะรินทร์ขอบคุณจริงๆ”
ธารินทร์ขึ้นรถแล้วขับออกไป อุษามองจนลับตาก่อนจะหันมองไปทางเรือนไทยด้วยสีหน้าวิตก
ลั่นทมเริ่มจะคุมอารมณ์ตัวเองได้เช็ดน้ำตา
“มาทางนี้เถอะค่ะ ทมจะอธิบายให้ชีพรู้ทุกอย่างเลย”
ลั่นทมพาชีพไปดูรอบๆสุสานโดยเริ่มจากที่กินที่นอนก่อน
“นี่โต๊ะอาหารสำหรับเราจะเข้ามาทานอะไรอร่อยๆกัน” ลั่นทมพามาที่เตียงนอน “คืนไหนไม่อยากนอนข้างบนเราจะมาที่นี่”
ลั่นทมพาชีพมาที่โลงศพที่จัดไว้อย่างวิจิตรพิสดาร ชีพกระอักกระอ่วนใจแต่ก็ฝืนทำเป็นสนใจ
“หากทมมีอาการเหมือนคราวที่แล้วชีพต้องเอาทมลงนอนบนเตียงให้หมอผันรักษานะคะ..ถ้าไม่ได้ผลให้เอาทมมาไว้ในนี้แล้วปล่อยไว้ เผื่อทมจะรู้สึกตัวขึ้นมาเองอย่างทุกที...ทมจะได้ไม่ต้องไปอยู่วัด”
ชีพอ้ำอึ้ง “แล้วจะ..ให้ผมคอยเฝ้าเหรอ”
“ไม่ต้องค่ะ..คุณนอนข้างบน หากทมเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว” ลั่นทมก้มจับพื้นเบาะที่รองอยู่ในโลง “สัญญาณจะไปดังที่โน่นเอง ทมทำสัญญาณไว้ค่ะ อยู่ใต้ผ้าบุ นี่ไงคะ”
ลั่นทมชี้ที่ผ้าบุโลงศพ ชีพมองอย่างอึ้งๆ ลั่นทมเอื้อมมือกดสวิตซ์ที่โลงศพ
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจช่วยกันทำความสะอาดห้องนอนชีพกับลั่นทม
“พวกแกว่าคุณผู้หญิงจะเพี้ยนๆจริงหรือเปล่า”
“นี่แกเชื่อตามที่นังรสพูดเหรอ”
“ก็ไม่ได้เชื่อหรอก แต่ทำไม..คุณผู้หญิงเอาโลงศพมาไว้ในบ้าน”
“ฉันก็ว่ามันทะแม่งๆยังไงชอบกลนะแก ทำบ้านดีๆเป็นสุสาน น่ากลัวชะมัด” สวาทว่า
อยู่ๆเสียงสัญญาณก็ดังมาจากข้างเตียง สวาท จิ้มลิ้มกับยาใจสะดุ้งสุดตัว “ว้าย..”
ทั้งสามเหลียวมองที่มาของเสียงกันเลิ่กลั่ก สวาทหันมาถาม
“อะไร เสียงอะไร”
เสียงสัญญาณดังมาจากข้างๆเตียงอีกครั้ง จิ้มลิ้มชี้ “นี่..ดังตรงนี้”
จิ้มลิ้มกับยาใจเผ่นออกจากเตียงมองไปยังที่มาของเสียงตาหูเหลือก
“ใช่..มะมันดังตรงนี้..แต่ว่ามันมาจากไหนล่ะ” ยาใจถาม
“ถ้าแกอยากรู้ก็อยู่หามันสิ แต่ฉันไม่เอาแล้วโว้ย..” จิ้มลิ้มเผ่นออกไป “ฉันก็ไปด้วย” สวาทเผ่นตามไปอีกคน
ยาใจตาเหลือก “เฮ้ย...รอด้วย อย่าทิ้งกันซี่”
ยาใจวิ่งตามไปติดๆ
ทั้งสามวิ่งหน้าตั้งไล่กันมาแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่ข้างๆหวานที่กำลังปัดถูอยู่ที่ชั้นล่าง
“พวกแกเล่นบ้าอะไรกันเนี่ย ให้ไปทำห้องคุณผู้หญิงดันมาวิ่งไล่กันเป็นเด็กๆไปได้”
ทั้งสามหอบแฮ่กๆแต่ยังแย่งกันพูด
“ไม่ได้วิ่งเล่นนะน้า ห้องคุณผู้หญิงโอ๊ย...” ยาใจพูด
จิ้มลิ้มพูดต่อ “มี..มีเสียงประหลาด อี๊ย ..ขนลุก”
“ใช่น่ากลัวเป็นบ้าเลย ไม่มีตัวมีแต่เสียง”
ทั้งสามคนหันมามองกันตาโตก่อนจะพูดพร้อมกัน “ผี..ผีหลอก”
เสียงลั่นทมดังขึ้น “ไม่ใช่ผีไม่ใช่สางอะไรหรอกจ้ะ”
ทั้งหมดหันมามองลั่นทมที่ยืนคู่กับชีพอยู่ที่หน้าบ้าน ลั่นทมเดินเข้ามาพูดยิ้มๆ
“ฉันทำไว้เองจ้ะ..เป็นสัญญาณจากในโลงศพ”
หวาน สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มทวนคำ “สัญญาณจากโลงศพ”
“ถ้าฉันฟื้นฉันจะได้กดเรียก เมื่อกี้ฉันลองกดดู ขอโทษทีนะที่ทำให้พวกเราตกใจ”
ไกรเดินเข้ามา ลั่นทมหันไปทัก “อ้าวคุณไกรมาแล้วเหรอคะเชิญที่ห้องหนังสือเลยค่ะ”
ลั่นทมเดินนำชีพกับไกรเข้ามาในบ้าน จู่ๆ รสสุคนธ์ก็เข้ามาขวางแล้วมองลั่นทมอย่างเอาเรื่อง ทุกคนตกใจ ชีพพยายามถลึงตาห้ามแต่รสสุคนธ์ไม่สน “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณ..ผู้หญิง”
ลั่นทมนิ่ง ชีพรีบเข้ามากระชากแขนรสสุคนธ์แล้วพูดเสียงดุ
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นรสสุคนธ์”
ชีพรีบหันไปบอกลั่นทม “ทมไปกับคุณไกรเถอะจ้ะทางนี้ผมจัดการเอง”
ลั่นทมพยักหน้านิ่งๆ แล้วเดินต่อ ไกรเดินตามไปติดๆ ชีพกระชากรสสุคนธ์ไปค่อนข้างแรง
หวานโมโห “มันชักจะกล้ามากขึ้นทุกวันแล้ว”
หวาน สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจมองตามอย่างอยากรู้อยากเห็น
ไกรเตรียมตัวจดอย่างตั้งใจ ลั่นทมเดินไปมาและพูดไปด้วย
“ถ้าฉันมีอันเป็นไปให้เอาร่างไว้บนเตียง แล้วให้คุณลุงหมอ ผันช่วยรักษาเหมือนที่เคยทำ..หากผ่านไปหลายวันยังไม่ ได้ผล ให้เอาร่างฉันไว้ในโลง รอให้ฟื้น....” ลั่นทมนิ่งเพื่อข่มใจ “แต่ถ้าไม่ฟื้นแล้วร่างเน่าอืด ก็เอาศพฉันไปจัดการตามประเพณีได้”
ลั่นทมมีสีหน้าเศร้าใจมาก ไกรจดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นถาม
“แค่นี้เหรอครับ”
“ยังค่ะคุณเตรียมจดต่อนะคะ”
ลั่นทมเดินมานั่งตรงข้ามไกรแล้วพูดให้เขาจดด้วยท่าทางจริงจัง ไกรจดตาม
ชีพกระชากรสสุคนธ์มาที่มุมหนึ่งแล้วปล่อยค่อนข้างแรง
“คิดจะทำอะไร ทำไมจะต้องออกฤทธิ์ขนาดนั้น..บอกกี่ครั้งว่าให้อยู่เฉยๆ”
รสสุคนธ์จ้องมองชีพอย่างหวาดๆระคนน้อยใจ “ก็รสอึดอัด คับแค้นใจจนจะบ้าอยู่แล้ว คุณไม่มาเป็นรส รสต้องทนให้ไอ้พวกขี้ข้ามันเยาะเย้ยถากถาง”
“แล้วไง” ชีพถามต่อ
“มันไม่แค่นั้นนะคะ นังอุษานะตัวดีด่ารสไม่พอมันยังมาขู่รสว่านังลั่นทมรู้เรื่องรสแล้ว รสก็อยากจะรู้ว่ามันรู้จริงหรือเปล่า”
ชีพอึดอัดแล้วก็โพล่งออกมา “ใช่..ลั่นทมรู้แล้ว รู้อยู่เต็มอก..รู้ทุกครั้งที่ฉันแอบไปหาเธอ”
รสสุคนธ์ตะลึงแล้วก็ได้สติ “ไม่จริง ถ้ารู้ ทำไมมันเฉย มันต้องอาละวาดแหกอกรสแล้ว”
“เพราะเขาต้องการให้รสสำนึก..ต้องการให้รสเลิกทำบาปเขาให้อภัยรสให้อภัยฉัน”
“คุณเชื่อ” รสสุคนธ์เยาะ “นี่คุณคงคิดว่าเมียคุณเป็นยอดหญิงที่แสนประเสริฐละสิท่า ฟังนะคุณชีพเมียคุณนะแผนสูงมากที่เขาไม่โวยวาย เพราะเขาแค้นเรา โดยเฉพาะคุณ”
ชีพค้าน “ไม่ใช่อย่างนั้นรส”
“ฟังให้ดีนะคะชีพ ตั้งแต่เขาฟื้นมาเขาก็รีบยกสมบัติให้คนอื่นๆ เขาต้องการแกล้งคุณถ้าเขาตายอีกคุณจะเหลืออะไรเขากลัวคุณได้เสวยสุข ถ้าเขารักคุณให้เกียรติคุณจริง เขาต้องปรึกษาคุณสิ แต่นี่ไม่เลย เขาทำให้คุณสำนึกว่าทุกอย่าง มันเป็นของเขาคุณนะไม่มีสิทธิ์” รสสุคนธ์ว่า
ชีพนิ่งอึ้งเพราะเริ่มจะเห็นคล้อยตามที่รสสุคนธ์พูด
รสสุคนธ์รีบยุต่อ “ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่โกรธไม่แค้นหรอกค่ะที่ผัวมีเมียน้อยแต่ละคนก็มีวิธีแก้แค้นต่างกัน เมียคุณเขาใช้วิธีฆ่าคุณทางอ้อมอย่างเลือดเย็นไง”
ชีพคิดหนัก รสสุคนธ์ยิ้มพอใจ หวานเดินเข้ามาพูด “คุณผู้ชายคะ คุณผู้หญิงให้มาเชิญค่ะ”
ชีพได้สติก็พยักหน้าแล้วรีบผละจากรสสุคนธ์เดินลิ่วไป
รสสุคนธ์เดือดดาลหวาน “น้าเข้ามาทำไม หนูกำลังกล่อมเขาจะอยู่หมัดอยู่แล้ว”
รสสุคนธ์สะบัดหน้าเดินไป หวานมองตามหลานสาวด้วยความโมโห
ณ เรือนไทยของลั่นทม หวานดูแลให้สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจจัดเตรียมอาหารสำหรับชีพและลั่นทม
อยู่ที่โต๊ะกินข้าวในสุสานของลั่นทม สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจคอยแต่จะชำเลืองมองไปทางโลงศพอย่างหวาดๆจนหวานรำคาญ
“กลัวอะไรนักหนาฮะ..โลงศพยังไม่มีคนตายซักหน่อย พูดกันตามจริงในนี่ก็เหมือนบ้านธรรมดา ทำท่าหวาดกันอยู่ได้”
ชีพกับลั่นทมเข้ามาเงียบๆ หวานหันมาก็ตกใจ “ว้าย..”
พวกสวาทพากันหัวเราะเยาะหวาน หวานเขินจึงรีบรายงานลั่นทมแก้เก้อ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ..ออกไปกันเถอะ”
ทั้งสี่คนเดินออกไปแล้วปิดประตู ลั่นทมเปิดไฟแสงสีแพรวพราวและเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง ชีพกระอักกระอ่วนใจ เขามองไปรอบๆ ผ่านโลงศพเห็นสภาพแวดล้อมที่พิลึกพิลั่น แต่ก็พยายามฝืนเดินไปมองดูอาหาร ลั่นทมเลือกแผ่นเสียงสำหรับจะเปิดในลำดับต่อไปเตรียมไว้ ชีพมองไปที่โลงศพ
“บรรยากาศมันไม่น่ากินเลยน้ะทม..”
“ทมอยากจะทำตัวให้ชินกับห้องนี้ค่ะ”
ลั่นทมนั่งลงที่โต๊ะแล้วตักอาหารทานอย่างเอร็ดอร่อย เธอเงยมองชีพ
“นั่งสิคะชีพ”
ชีพรับคำ “จ้ะ”
ชีพนั่งลงแล้วแอบถอนใจมองอาหารเพราะไม่อยากกิน ลั่นทมยิ้มรีบตักอาหารใส่จานชีพ
“ทานสิคะชีพลาบปลาดุกของโปรดชีพ น้าหวานทำได้แซ่บอร่อยดีจัง”
ชีพฝืนใจตักเข้าปากทำท่าเหมือนจะขย้อนจนต้องรีบหยิบน้ำมาดื่มเพื่อกล้ำกลืนลงไป เขามองลั่นทมกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ชีพทำสีหน้าครุ่นคิด
ลั่นทมนอนหนุนแขนชีพอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ามีความสุขมาก ตรงข้ามกับชีพอย่างสิ้นเชิง
“ชีพขาทมมีความสุขเหลือเกิน ชีพละคะ”
ชีพอึกอัก ลั่นทมตะแคงตัวมองสามีแล้วพูด “ดูชีพนอนไม่ค่อยสบายนะคะ”
“ผม..ผมคงยังไม่ค่อยชิน”
ชีพขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองลั่นทมแล้วพูดจริงจัง “ผมอยากคุยกับทมเรื่องรสสุคนธ์”
ลั่นทมนิ่งแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าพร้อมฟัง “ค่ะ..ทมพร้อมแล้วชีพพูดมาได้เลย”
ชีพพูดน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าคุณอยากจะไล่เขาไปผมก็ไม่ขัดข้องนะ”
“คุณพูดจริงเหรอคะ คุณจะไม่เสียใจเหรอคะชีพ ทมบอกแล้วว่าทมรับได้ ทมปลงแล้ว ความตายมันสอนให้ทมไม่ยึดติด”
“ยิ่งคุณเป็นแบบนี้ผมยิ่งละอายใจ ผมบอกทมแล้วว่าผมไม่ได้รักรสสุคนธ์ แค่เผลอไผล เขาเป็นแค่ทางผ่านแต่ทม ทมคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก”
ลั่นทมโผเข้าซบชีพ ชีพกอดลั่นทมกระชับไว้ “ผมขอโทษ...ยกโทษให้ผมนะทม”
ลั่นทมพยักหน้า “โอชีพขา..ทมดีใจเหลือเกิน ความอดทนความดีที่ทำมา มันส่งผลให้ทมแล้วใช่มั้ยคะ”
“จ้ะที่รัก ผมมันบ้า มันโง่สิ้นดี มีเพชรอยู่ในมือแท้ๆยังไปคว้าก้อนกรวดมาได้ ถ้าคุณไม่อยากไล่รส ผมจะจัดการเอง”
“อย่าถึงกับไล่เลยค่ะ ทมไม่อยากทำบาปให้เขาอยู่ไปก่อนจนกว่าเขาจะมีที่ไป”
“ก็ได้ตามใจทม แต่ถ้าเขาก้าวร้าวทมอีกผมไม่เอาเขาไว้แน่ถ้าการไล่คนเนรคุณเป็นบาป ผมจะขอรับบาปนั้นไว้เอง”
ลั่นทมกอดชีพแน่นอย่างซาบซึ้งใจ ชีพกอดตอบด้วยแววตาฉายแววประหลาดออกมาวูบหนึ่ง พอลั่นทมเงยหน้ามอง ชีพก็จูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา
เช้าวันต่อมา ธารินทร์ขับรถมาจอดข้างๆรถเก๋งของอุษาที่ลั่นทมยกให้ใช้ ธารินทร์รออยู่ครู่หนึ่ง อุษาที่อยู่ในชุดทำงานรีบออกมาส่งกุญแจรถให้ธารินทร์
ธารินทร์ส่ายหน้า “รถใคร คนนั้นก็ขับสิครับ”
“เสี่ยงนะ”
“แล้วจากบ้านขับมาถึงที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ค่อยๆคลานมา”
“งั้นเราก็จะคลานไป คุณจะได้ขับคล่องขึ้น”
อุษาเปิดประตูที่นั่งคนขับให้ธารินทร์นั่งข้าง ๆ
“งั้นทิ้งรถคุณไว้นี่ก่อน หัดเสร็จแล้วค่อยกลับมาเอารถนะคะ”
ธารินทร์พยักหน้า อุษาสตาร์ทเครื่องแล้วเข้าเกียร์ถอยหลังแต่เข้าผิดพอเดินเครื่องรถจึงพุ่งไปข้างหน้า
ธารินทร์ตกใจ “เอ้ย....”
อุษาเบรคแล้วหันมายิ้มเซียวๆให้ธารินทร์ “โทษค่ะ..สับสนนิดหน่อย”
ทั้งสองคนชะงัก ทั้งคู่เห็นรสสุคนธ์กำลังยืนจ้องอย่างริษยาอยู่ที่มุมหนึ่ง พอเห็นทั้งสองคนมองมาก็สะบัดหน้าเดินไป
“ช่วงนี้ต้องระวังมากขึ้นนะ”
“ค่ะษาระวังอยู่ตลอด รสสุคนธ์ดูจะกล้าบ้าบิ่นมากขึ้น”
“จากท่าทางเขา ผมคิดว่าอีกไม่นานนี่แหละเขาสองคนต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแน่”
อุษาตกใจ “อะไรนะคุณรู้อะไรมาเหรอคะรินทร์”
“เปล่าแต่มันเป็นสัญชาตญาณของตำรวจ รสสุคนธ์น่ะร้อยเปอร์เซ็นต์อยากให้คุณน้าลั่นทมตายๆไปเสียให้พ้นแต่น้าชีพยังมองไม่ออก อยากให้คุณเพิ่มความสังเกตและระวังให้มากขึ้น”
อุษานิ่งอึ้งและมีสีหน้าหวาดหวั่น ธารินทร์จับมืออุษาแล้วพูด
“ไม่ต้องห่วง จำที่ผมบอกได้มั้ยไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้นผมจะปกป้องคุณสุดชีวิต”
ทั้งสองมองตากันหวานซึ้ง
ลั่นทมเดินเข้ามาในสุสานกับชีพอย่างสดชื่น ชีพแซวยิ้มๆ
“ตกลงเราจะมากินมานอนที่นี่ทุกวันเลยใช่มั้ยจ้ะ”
ลั่นทมเดินไปเปิดเครื่องปรับอากาศ ชีพเดินไปเปิดไฟ “ค่ะก็มันเป็นที่ของทมนี่คะ”
“คุณอาจจะไม่ต้องใช้มันก็ได้นะ ช่วงนี้ผมไม่เห็นทมเป็นอย่างเก่าเลย”
ชีพเดินไปเลือกแผ่นเสียงแล้วเปิดเพลงเอง ลั่นทมมองยิ้มๆ
“ไม่กลัวที่นี่แล้วใช่ไหมคะ”
“ผมไม่เคยกลัว..”
ลั่นทมล้อ “จริงๆนะ”
“จริงสิ...สมมุติว่าทมตายไปจริงๆผมก็จะนอนเฝ้าจนกว่าทมจะฟื้นจะมาเปิดเพลงกล่อมทม มาคุยกับทม ทมจะได้ไม่กลัว”
ลั่นทมหันมาจ้องมองชีพอย่างปีติ “จริงหรือคะ”
“จริงสิ”
ชีพตรงเข้ามาอุ้มลั่นทมไป ลั่นทมหัวเราะเสียงสดชื่นมาก
รสสุคนธ์ที่คอยชีพอยู่ผุดลุกผุดนั่งที่เตียง เธอมองนาฬิกาเห็นเป็นเวลาตี 2
“โอ๊ย ตั้งตี 2 แล้วคุณชีพนี่คุณไม่คิดจะหามารสจริงๆเหรอ”
รสสุคนธ์ลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นทางเดินไปสุสานลั่นทม รสสุคนธ์มองนิ่ง “เมื่อไหร่แกจะตายๆ ไปซะทีนะ”
เสียงชีพดังขึ้น “รส”
รสสุคนธ์หันขวับมาเห็นชีพยืนอยู่หน้าประตูแล้วเดินเข้ามา รสสุคนธ์โผเข้าไปกอดแล้วจูบชีพอย่างรุนแรงพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
รสสุคนธ์ร้องไห้ “รสคิดว่าคุณไม่มาหารสเสียแล้ว”
“แล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
“ก็รสคิดถึงคุณน่ะสิคะ ชีพขา อย่าทิ้งรสนะ รสรักคุณ รสขาดคุณไม่ได้”รสสุคนธ์กระหน่ำจูบ
รสสุคนธ์ปลดชุดนอนแล้วเหวี่ยงไป ชีพถูกดึงมาที่เตียงพร้อมกับเสียงรสสุคนธ์พร่ำเพ้อ “รสรักคุณๆๆ”
เวลาผ่านไป ทั้งสองอยู่บนเตียง ชีพนอนนิ่งมองนาฬิกาเห็นเวลาบอกสี่นาฬิกา รสสุคนธ์สะอื้น ชีพหันมา “รสร้องไห้ทำไม”
“ก็รู้สิคะว่าเดี๋ยวคุณก็จะไปแล้ว สุดท้ายคุณก็เลือกเมีย”
ชีพหันมากอดรสสุคนธ์แล้วมีสีหน้าครุ่นคิดหนัก
“ใครบอกฉันนะรักเธอหลงเธอจะตายอยู่แล้ว”
รสสุคนธ์ชะงัก เธอหยุดร้องด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มมาก
ชีพพูดต่อ “รู้มั้ยว่า ฉันกำลังหาทางให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
รสสุคนธ์ดีใจมาก “อู้ย จริงหรือคะชีพ”
รสสุคนธ์โผผวาเข้าหาชีพแล้วระดมกอดจูบด้วยความดีใจ
เช้าวันต่อมา ชีพประคองลั่นทมเข้ามาที่ห้องรับแขกของบ้าน อุษากำลังดูแลให้จิ้มลิ้ม ยาใจ สวาท หวาน ทำความสะอาดในบริเวณบ้าน
ชีพพูดขึ้นมาลอยๆ “ท่าทางอุษาสั่งการอย่างกับเป็นเจ้าของบ้านเลยนะ”
“ษาก็คอยดูแลแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่คะ”
“แต่ผมว่าตั้งแต่ได้แบ่งสมบัติมากมายนี่เขาดูเปลี่ยนๆไปนะ”
ลั่นทมที่อยู่ทางหนึ่งสังเกตกิริยาท่าทีอุษา “ชีพคิดมากไปหรือเปล่าคะ” ลั่นทมถาม
“วันเวลาเปลี่ยนคนได้..โดยเฉพาะเมื่อมีทรัพย์สินจำนวน มหาศาลมาเกี่ยวข้อง” ชีพบอก
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะชีพ อุษาเป็นคนทำให้ทมฟื้นนะคะ”
“อุษาอาจไม่คิด แต่ธารินทร์เราไม่รู้”
“คุณมองเขาแง่ร้ายไปหรือเปล่าคะเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
อุษากับทุกคนยังไม่เห็นว่าชีพกับลั่นทมยืนมองอยู่ อุษาเข้าไปพูดกับหวานแต่ลั่นทมไม่ได้ยิน
“น้าหวานคะ อย่าว่าษาจู้จี้เลย..ทุกคนด้วยช่วยกันทำให้สะอาดมากๆหน่อย ฝุ่นเยอะๆ คุณน้าอาจจะแพ้ เดี๋ยว เกิดไม่สบายขึ้นอีก เรายังไม่รู้ว่าคุณน้าแพ้อะไรถึงเป็นโรคแบบนั้นได้ ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่าจริงมั้ยจ๊ะ”
“จริงค่ะ คุณษา” ทุกคนเห็นด้วย
ชีพกระซิบบอกลั่นทม
“ดูคนในบ้านนอบน้อมกับอุษาเท่าๆกับคุณเลยนะทั้งๆที่อุษาเป็นแค่หลาน คุณต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้าน”
ลั่นทมฟังเฉยไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ สีหน้าของเธอยังคงอิ่มเอิบเหมือนเดิม
อุษาหันมาเห็นลั่นทม “คุณน้า จะรับอาหารเช้าเลยมั้ยคะ”
“ดีจ้ะ แต่วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศไปทานที่โต๊ะหน้าบ้านนะจ้ะ” ลั่นทมบอก
“ได้ค่ะ”
ลั่นทมคล้องแขนชีพพาเดินไปหน้าบ้านอย่างมีความสุข
ชีพ อุษา และลั่นทมนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้บ้าน หวานนำพวกสวาทถืออาหารเช้าเข้ามาวาง รสสุคนธ์แต่งตัวสวยเพราะจะออกไปข้างนอกเดินผ่านมา ลั่นทมมอง
หวานรีบเรียกไว้ “นังรส..นั่นแกจะไปไหน วันหยุดก็ควรมาช่วยงานการกันบ้าง”
รสสุคนธ์หยุดเดิน “ฉันไม่ว่าง จะออกไปเสริมสวยแล้วก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆใส่”
ฉ่ำเดินผ่านมารสสุคนธ์เรียกเสียงดัง“ไอ้ฉ่ำขับรถพาฉันไปข้างนอกหน่อย”
ทุกคนชะงักแล้วหันไปมองลั่นทม ลั่นทมกำช้อนแน่น ฉ่ำอึกอักหาตัวช่วย
รสสุคนธ์ตวาด “ไม่ได้ยินเหรอเร็วๆเข้า”
อุษาเหลืออด “เธอไม่มีสิทธิ์มาใช้รถคุณน้าและไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งคนในบ้าน”
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ ฉันมีสิทธิ์มากกว่าเธอเสียอีกอุษา หุบปากเธอไปซะ เธอมันแค่หลาน แต่ฉันเป็นเมีย”
ทุกคนตะลึง รสสุคนธ์เดินเข้ามามองลั่นทมอย่างไม่แคร์
“ไม่ต้องตกใจกลัวคุณนายลั่นทมเธอช็อคกันไปหรอกเพราะเธอรู้ตั้งนานแล้วว่าฉันเป็นใคร เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดต้องบังกันอีกแล้ว ผัวยังใช้ร่วมกันได้กะอีแค่รถทำไมจะใช้ไม่ได้ใช่มั้ยคะคุณ
ผู้หญิง” รสสุคนธ์หันมาพูดกับลั่นทม
ลั่นทมหลับตาสงบใจ ชีพมองอย่างไม่พอใจ
อุษาเหลือทนจึงลุกขึ้นด่า “หน้าด้าน..ไร้ยางอาย หนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณน้าไม่เอาเรื่องเธอ แทนที่เธอจะสำนึก ต่อให้กราบขอขมาคุณน้าก็ยังไม่พอ นี่ยังมาก้าวร้าวแสดงท่าทาง ยโส ขนาดนี้ เธอมาจากนรกขุมไหน ฮึ รสสุคนธ์”
รสสุคนธ์ยักไหล่ไม่สะท้าน “กราบเหรอ น้าเธอนั่นแหละต้องมากราบฉันที่ฉันช่วยให้ความสุขกับผัวเขาแทนมาตั้งนาน”
รสสุคนธ์หัวเราะสะใจแล้วเดินออกไปก่อนจะชะงักเพราะชีพสั่งเสียงดังมาก
“รสสุคนธ์กลับมากราบขอโทษคุณลั่นทมเดี๋ยวนี้”
รสสุคนธ์ชะงักมองชีพงงๆ แต่ยังปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ค่ะ”
“ถ้าเธอไม่ทำก็ไสหัวออกจากบ้านนี้ไปเดี๋ยวนี้เลย” ชีพไล่
รสสุคนธ์ตะลึง “คุณชีพ..คุณ..คุณพูดอะไรออกมา คุณไล่รสเหรอ”
“ใช่ฉันไล่เธอ...ออกไป ไปให้พ้น”
ทุกคนตะลึงมองชีพอย่างไม่อยากเชื่อ ลั่นทมมองชีพอย่างตื้นตันจนน้ำตากลบตา เธอทั้งตื้นตันใจและตกใจแต่ก็รั้งแขนชีพไว้แล้วพูดเตือนสติเบาๆ
“ชีพคะใจเย็นๆค่ะ”
ชีพพูดกับลั่นทม “พอกันที..คนแบบนี้เลี้ยงไว้ก็เหมือนเลี้ยงงูพิษ ขนาดทมดีกับเขาสารพัด ยังแว้งกัดได้ตลอดเวลา”
ชีพล้วงกระเป๋าหยิบเงินมาปึกหนึ่งซึ่งมียางรัดเรียบร้อยโยนให้รสสุคนธ์
“เอาไป..แล้วไสหัวไปให้พ้น”
รสสุคนธ์ตะลึงตาค้างเพราะคิดว่าชีพเปลี่ยนไปจริงๆ รสสุคนธ์น้ำตากลบตา
“คุณชีพ..นี่มันอะไรกันก็ไหนเมื่อคืนคุณยัง..”
ชีพตวาด “หุบปาก หรือต้องโดนของแข็งก่อนถึงจะไปได้”
ชีพทำท่าเหมือนจะเข้ามาทำร้าย ลั่นทมดึงไว้ “อย่าค่ะชีพ”
หวานรีบมาดึงรสสุคนธ์ให้ออกไป รสสุคนธ์ก้มลงคว้าเงินมากำไว้ในสภาพตัวเนื้อสั่น
“ก็ได้..ฉันไปแน่” รสสุคนธ์มองลั่นทม “อย่าดีใจไปเลยนังลั่นทม ไอ้ผู้ชายห่วยๆคนนี้มันก็ไม่ได้รักแกเหมือนกันนั่นแหละอยากรู้มั้ยเมื่อคืนมันพูดอะไรกับฉัน”
อ่านต่อหน้าที่ 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชีพปราดเข้ามาตบหน้ารสสุคนธ์ฉาดใหญ่ รสสุคนธ์เซถลา ทุกคนตะลึง ชีพหันไปสั่งอุษา
“ษาพาลั่นทมเข้าไป น้าจะจัดการทางนี้เอง”
อุษารีบเข้ามาประคองลั่นทมเพื่อจะพาไป แต่รสสุคนธ์ลุกขึ้นด้วยท่าทางแค้นจัดแล้วรีบพูดแทบไม่ได้หายใจ
“อย่าเพิ่งไปลั่นทมรู้ไว้ด้วยว่าผัวแกนะไว้ใจไม่ได้รวมทั้งนังหลานสาวตัวดีของแกด้วย มันขนเงินขน เครื่องเพชรไปประเคนนังอุษาไม่รู้เท่าไหร่..แกมันโง่ ทั้งผัวทั้งหลานมันกำลังช่วยกันสวมเขาให้แก”
“หยุดนะรสสุคนธ์” ชีพว่า
“ไม่หยุด ไหนๆฉันก็ถูกเฉดหัวอยู่แล้ว ขอแฉพวกแกให้หมด ไงจ๊ะนังอุษาผู้แสนกตัญญู พูดออกมาสิว่าแกไม่ได้รับเครื่องเพชรจากไอ้น้าสารเลวคนนี้”
ชีพตบรสสุคนธ์อีกฉาด คราวนี้รสสุคนธ์ล้มฟุบเลือดกลบปาก ลั่นทมมองไปทางอุษาเหมือนจะขอคำตอบ อุษาหน้าซีดและอึ้ง บรรดาคนในบ้านตะลึงไปตามๆกัน ชีพปราดเข้าไปจับรสสุคนธ์กระชากขึ้นมา
“ออกไปเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันจะลากเธอออกไปเอง”
รสสุคนธ์สะบัด “ฉันไปแน่..ขอให้คุณนายลั่นทมมีความสุขกับการใช้ผัวร่วมกับหลานรักซะให้พอนะคะ”
รสสุคนธ์เชิดหน้าเดินออกไปเหมือนไม่แคร์ หวานรีบก้มกราบลั่นทม
“อิฉันกราบขอโทษแทนมันจริงๆค่ะคุณผู้หญิง”
ลั่นทมยังสงบอยู่เรียกเบาๆ “หวาน”
หวานสะดุ้งเฮือก “ขา..”
“ให้เขาอยู่บ้านพักคนงานก่อนก็ได้ มีที่ทางเมื่อไรค่อยขยับขยายไป”
“อย่าดีกว่าจ้ะทมให้ไปอยู่ที่อื่นเลยดีกว่า” ชีพพูดกับฉ่ำ “ฉ่ำแกขับรถไปส่งทีน้าหวานอยากจะตามไปส่งด้วยก็ได้ ฉันให้เวลาเก็บของหนึ่งชั่วโมง”
หวานอึ้งแต่ก็รีบรับคำ “ค่ะ..ค่ะ..ได้ค่ะ”
ลั่นทมปลดมืออุษาที่เกาะแขนอยู่ออกเบาๆไม่ได้มีอาการว่าโกรธอุษาเลย ชีพกับอุษาต่างขยับจะตาม ลั่นทมยกมือห้ามแล้วพูดเรียบๆ
“ขออยู่คนเดียวสักพักไม่ว่าใครก็ไม่ต้องตามมา”
ลั่นทมเดินไป ชีพกับอุษามองหน้ากันอึ้งๆ อุษามีสีหน้าไม่ดีเพราะกลัวลั่นทมเข้าใจผิด
รสสุคนธ์ยืนนิ่งมือกำเงินแน่นจนแทบแหลกแล้วทำท่าจะขว้างทิ้ง แต่แล้วตัดใจเก็บใส่กระเป๋า เธอเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางอย่างเดือดดาลแล้วร้องไห้อย่างอัดอั้นและเจ็บใจสุดๆ
“ไอ้ชีพไอ้เลว ไอ้ทุเรศไอ้กะล่อนไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
หวานเข้ามามองอย่างเวทนา “ฮึ ต้องน้ำตาตกก่อนถึงจะรู้สึก ข้าเตือนแกตั้งกี่ครั้งเคยเชื่อบ้างมั้ยสุดท้ายเขาก็เห็นแกเป็นแค่นางบำเรอ”
รสสุคนธ์ตวาด “ไม่ต้องมาซ้ำเติมฉัน คนอย่างนังรสน่ะไม่หมดท่าง่ายๆ หรอกน้า คอยดูนะฉันจะอาฆาตจองเวรพวกมัน พวกมันไม่มีทางได้อยู่เป็นสุขหรอก”
“ที่แกต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะเวรกรรม ยังไม่เข้าใจอีกเหรอนังรส สงบอกสงบใจได้แล้ว รีบเก็บของเร็วๆเข้า ค่ำมืดจะยิ่งหาที่พักลำบาก”
สวาท จิ้มลิ้ม และยาใจเข้ามามองเยาะๆ
“นี่แหละน้าที่เขาว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” สวาทว่า
“นั่นสิเป็นคนโปรดอยู่หยกๆวันนี้ตกกระป๋องเสียได้เฮ้อ” จิ้มลิ้มแขวะ
“โบราณเขาถึงว่าไงแกแข่งเรือแข่งพายนะแข่งได้แต่แข่งบุญวาสนานะมันแข่งกันยาก” ยาใจบอก
รสสุคนธ์กวาดตามองทั้งสามอย่างสุดแค้น “ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันฉันจะมาเอาคืน”
รสสุคนธ์เดินฉับๆออกไป ทั้งสามคนตะโกนตามอย่างครื้นเครง
“โอ๊ะๆๆกลัวจังเลย รีบกลับมาเอาคืนเร็วๆนะ”
ลั่นทมเข้ามาสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องนอน เสียงรสสุคนธ์ดังก้องในหัว
“อย่าเพิ่งไปลั่นทมรู้ไว้ด้วยว่าผัวแกนะไว้ใจไม่ได้รวมทั้งนัง หลานสาวตัวดีของแกด้วย มันขนเงินขนเครื่องเพชรไปประเคนนังอุษาไม่รู้เท่าไหร่..แกมันโง่ ทั้งผัวทั้งหลานมันกำลังช่วยกันสวมเขาให้แก”
ลั่นทมน้ำตาไหลพรากแล้วสะอึกสะอื้น ชีพเปิดประตูเข้ามา ลั่นทมหันหน้าหนีแล้วรีบเช็ดน้ำตา
ก่อนจะพูดเรียบๆ โดยไม่มองหน้าชีพ
“บอกแล้วไงคะว่าทมขออยู่คนเดียว”
“แต่ ผมอยากเคลียร์กับทมก่อน โดยเฉพาะเรื่องอุษา ผม..”
ลั่นทมยิ้มให้ชีพนิดหนึ่งในสภาพค่อนข้างซีดเซียวก่อนจะสบตาชีพผ่านๆแล้วมองเมินไปทางอื่น “ไม่ต้องอธิบายหรอกค่ะ ทมเชื่อใจหลานของทม คุณออกไปก่อนเถอะทมอยากอยู่คนเดียวจริงๆ”
ชีพถอนใจโล่งอกแล้วพยักหน้าเดินออกไปโดยสวนกับอุษาที่ประตู อุษาเข้ามาถือกล่องเครื่องเพชรที่ชีพให้มาคุกเข่าตรงหน้าลั่นทม ลั่นทมมองนิ่งๆน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อุษาตกใจ
“คุณน้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ษารับเครื่องเพชรจากน้าชีพจริงๆ แต่เพราะษาต้องการเงินเอามาใช้จ่ายในการช่วยให้คุณน้าฟื้น ที่ษาไม่ได้บอกเพราะไม่อยากให้คุณน้ารู้สึกไม่ดีกับน้าชีพ ษา”
ลั่นทมขัดขึ้น “ไม่ต้องอธิบายหรอกษา น้าไม่ได้โกรธษาน้าเข้าใจษาจ้ะ”
“แต่คุณน้าร้องไห้”
“น้าไม่ได้ร้องเพราะษาหรอกและน้าก็เชื่อว่าษาจะไม่มีวันทำให้น้าร้องไห้เด็ดขาด”
อุษาตื้นตันจึงโผเข้ากอดลั่นทม ลั่นทมกอดตอบแล้วลูบผมหลานสาวด้วยความรัก
ฉ่ำกับหวานนำกระเป๋าเดินทางของรสสุคนธ์หลายใบใส่ท้ายรถ รสสุคนธ์หันไปมองที่ตัวบ้านโดยแอบหวังว่าชีพอาจจะเปลี่ยนใจ แต่รสสุคนธ์ก็ไม่เห็นชีพยืนอยู่ที่ใดเลย รสสุคนธ์น้ำตาไหลก่อนจะพึมพำด้วยความแค้น
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านี่มันเป็นเรื่องจริง คุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
หวานเดินมาหาแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถอะนังรส ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ไปเริ่มต้นใหม่ซะแกยังสาวยังสวยยังมีอนาคตเชื่อน้าสักครั้งเถอะ”
รสสุคนธ์สะอื้นแล้วรีบข่มอารมณ์เชิดหน้าขึ้นอย่างผยองก่อนจะเดินฉับๆไปขึ้นรถนั่งคอแข็ง หวานถอนใจเดินตามไปขึ้นข้างหน้า ฉ่ำขึ้นด้านคนขับ รถออกไปพ้นประตูบ้าน ชีพยืนแอบมองอยู่นิ่งๆ ที่มุมหนึ่ง
อุษาถอนใจด้วยความโล่งอก ธารินทร์นั่งอยู่ใกล้ๆ
“ในที่สุดทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี” อุษาบอก
“ษาคิดอย่างนั้นเหรอ” ธารินทร์ถาม
อุษาหันมามองธารินทร์ด้วยความแปลกใจ
“ทำไมคะก็น้าชีพกับรสสุคนธ์เลิกกันแล้ว แถมน้าชีพยังไล่รสสุคนธ์ออกจากบ้านไปด้วย”
“ษาไม่รู้สึกแปลกๆเหรอครับ”
“แปลกยังไงคะ”
“ผมว่าเขาสองคนเลิกกันง่ายเกินไปหรือเปล่า”
อุษานิ่ง ธารินทร์พูดอย่างครุ่นคิด“ฟังจากที่คุณเล่าผมว่าตัวรสสุคนธ์เองก็ยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ”
“ค่ะ..ตอนแรกษาก็คิดนะคะคิดว่าสองคนนั้นจะเล่นละครตบตาคุณน้าหรือเปล่า แต่ท่าทางรสสุคนธ์ช็อคจริงๆถ้าเขารู้กันมันก็ต้องมีพิรุธบ้าง”
“ก็นี่ไงครับพิรุธอย่างหนึ่ง ถ้าจะเลิกกันมันต้องมีสัญญาณเตือนอะไรสักอย่าง แต่นี่อยู่ๆก็เลิกหน้าตาเฉยทั้งๆที่ก่อนหน้านี้น้าชีพหลงรสสุคนธ์แทบเป็นแทบตาย ขนาดคุณน้าลั่นทมฟื้นขึ้นมาแล้วยังไม่ยอมเลิก แล้วอยู่ๆอะไรมาดลใจให้น้าชีพรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
อุษาอึ้งพอคิดตามสีหน้าก็เปลี่ยนไป “นี่คุณกำลังจะบอกษาว่าน้าชีพจัดฉากขึ้นมาเองเหรอคะ”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่มันเป็นความรู้สึกที่บอกตัวเองว่าทุกอย่างมันจบง่ายเกินไป ง่ายจนไม่น่าเชื่อ”
“ถ้าเป็นอย่างที่รินทร์คิด เราก็ยังวางใจน้าชีพไม่ได้นะสิคะ”
“ผมยังอยากให้ษาระวังไว้ก่อน อย่าเพิ่งวางใจมากไป”
“ค่ะษาจะระวัง ขอบคุณนะคะรินทร์ ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างษา”
อุษาเอื้อมมือมาจับมือธารินทร์ ธารินทร์กุมมืออุษาแนบแน่น
“ด้วยความยินดีและเต็มใจครับผม”
ลั่นทมนั่งเหม่อมองเงาตัวเองในกระจกอย่างเศร้าๆ ชีพเข้ามากอดลั่นทมจากทางด้านหลัง ลั่นทมน้ำตาไหลลงมาอีก เธอมองเงาชีพที่สะท้อนในกระจกด้วยความน้อยใจ
ชีพรีบถามด้วยความตกใจ “ร้องไห้ทำไมจ๊ะทม”
ลั่นทมส่ายหน้าไม่ตอบ ชีพคุกเข่าลงหมุนตัวลั่นทมมาเผชิญหน้า
“ผมรู้ว่าผมเลวกับทมผมนอกใจทมแต่ต่อไปนี้ผมจะมีแต่ทมคนเดียว ผมได้พิสูจน์ให้ทมเห็นแล้วไงว่าผู้หญิงอื่นก็เป็นได้แค่ทางผ่าน ทมเท่านั้นคือภรรยาที่รักของผม”
“คุณพูดจริงหรือคะ”
“เอาอย่างนี้...ผมขอสาบานว่าผมจะรักและซื่อสัตย์ต่อคุณคนเดียวถ้าผมผิดคำพูดขอให้ผมมีอันเป็นไป”
ลั่นทมตกใจรีบเอามือปิดปากชีพแต่ก็ไม่ทัน
“ทำไมพูดแบบนั้นละคะน่ากลัวจะตาย” ลั่นทมว่า
“ผมไม่เห็นกลัว ผมอยากให้ทมมั่นใจในตัวผม”
“ทมเชื่อแล้วละคะว่าชีพพูดความจริง”
ชีพกอดลั่นทมจูบซ้ายขวาและพูดพึมพำไปด้วย “ผมจะรักทมคนเดียวจะทำให้ทมมีความสุขที่สุด เราจะมีลูกกันสักโหลเลยนะจ๊ะ”
ลั่นทมหัวเราะ “ไม่ไหวหรอกค่ะทมไม่ไหวหรอก”
“ไหวสิ”
ชีพอุ้มลั่นทมลอยอยู่ในวงแขนแล้วมองตาซึ้งก่อนจะกระซิบอย่างอ่อนโยน
“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน แล้วคุณล่ะ”
ลั่นทมพยักหน้าช้าๆ แล้วน้ำตาก็ไหล เธอซบกับอกชีพ ชีพอุ้มลั่นทมไปที่เตียงแล้วจูบลั่นทม
รถบ้านลั่นทมที่ฉ่ำขับแล่นมาตามถนนนอกเมืองค่อนข้างเร็ว มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งตามมาห่างๆ ฉ่ำขับรถมองตรงไปข้างหน้า รสสุคนธ์นั่งปั่นปึ่งอยู่เบาะหลัง หวานหันมามอง
“ตกลงจะเอายังไงเนี่ย ตระเวนหาหลายที่แล้วนะแกไอ้นั่นก็ไม่ถูกใจไอ้นี่ก็ไม่ชอบแกจะไปอยู่ที่ไหนวะนังรส”
รสสุคนธ์ถอนใจรำคาญมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วชะงักเมื่อเห็นคอนโดค่อนข้างหรูติดป้ายให้เช่าห้องหนึ่ง
รสสุคนธ์รีบสั่งฉ่ำเสียงดัง “นายฉ่ำ เลี้ยวเข้าไปที่คอนโดข้างหน้านั่นสิ”
หวานกับฉ่ำมองตาม “โอโห...จะอยู่ที่นี่เลยหรือแม่รส หะรูหะราซะขนาดนี้จะไหวเหรอ”
“ฉันไม่ได้ขอความเห็นมีหน้าที่ขับก็ขับไป”
“แต่ข้าก็ว่ามันคงแพงหูฉี่ มันจะเกินฐานะแกไปหน่อยนะนังรส”
“ฉันเป็นคนอยู่ฉันจะเลือกเอง แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะไปขอเงินน้าหรอกนะ บอกแล้วว่าคนอย่างฉันไม่หมดท่าง่ายๆ เลี้ยวเข้าไปเลยนายฉ่ำ” ฉ่ำลังเล รสสุคนธ์สำทับ “เร็วสิ เลี้ยวไปเลย”
ฉ่ำเหลือบตามองหวาน หวานพยักหน้าอย่างระอา ฉ่ำเลี้ยวเข้าไปในคอนโด มอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดหน้าคอนโดแล้วมองตามรถที่ฉ่ำขับ คนขี่เงยหน้ามองป้ายชื่อคอนโด
รสสุคนธ์เปิดประตูห้องคอนโดมีเนียมเข้ามา หวานกับฉ่ำช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋ารสสุคนธ์เข้ามา ทั้งสามคนเห็นห้องพักค่อนข้างหรูหรา รสสุคนธ์มองอย่างพอใจ
“หาหอพักถูกๆอยู่ก็ไม่เอา นังนี่มันจมไม่ลงจริงๆ หมดเงินแล้วจะทำยังไง” หวานว่า
รสสุคนธ์ไม่ตอบแต่ชี้มือไปมุมหนึ่ง “เอากระเป๋าวางไว้นั่นแหละ แล้วน้ากับนายฉ่ำก็กลับไปได้แล้ว”
รสสุคนธ์ไปยืนมองเหม่อที่หน้าต่าง หวานเดินเข้าไปหา
“แล้วแกจะอยู่ยังไง งานการก็ยังไม่มีทำ นังรสเอ๊ยนังรส”
รสสุคนธ์หันขวับมาด้วยสีหน้าอวดดี “เลิกทำน้ำเสียงสังเวชฉันเสียทีเถอะน้า ฉันอยู่ของฉันได้ น้ากลับไปเถอะ”
รสสุคนธ์ดันหวานพาเดินเร็วไปที่ประตู ฉ่ำเดินออกไปก่อน หวานถูกผลักตามออกไปแต่หันมาจะพูดด้วย แต่รสสุคนธ์ปิดประตูใส่หน้าอย่างแรงและรวดเร็ว รสสุคนธ์หันมาน้ำตาไหลแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นปิดหน้าสะอื้นอย่างหนักแต่ข่มไว้ไม่ให้มีเสียง
“นี่มันอะไรกัน..คอยดูนะ ชีพ ฉันจะจองเวรพวกคุณทุกคนฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะทรยศฉันยังงี้ ฮือๆๆ”
ลั่นทมอยู่ในอ้อมกอดชีพบนเตียง เธอเงยมองชีพอย่างไม่สบายใจ
“ทมขอโทษนะคะที่ให้ความสุขชีพไม่ได้อย่างที่ชีพต้องการ”
ชีพก้มลงจูบหน้าผากแล้วพูดดุๆ “ถ้าพูดแบบนี้อีกผมจะโกรธทมแน่ๆ”
ลั่นทมอึกอัก “แต่..”
“ไม่มีแต่..ตอนนี้สุขภาพทมยังไม่แข็งแรง อีกหน่อยทมแข็งแรงทุกอย่างก็เหมือนเดิมเอง ผมรอได้ไม่ต้องคิดมากนะสัญญาสิ”
“ค่ะ..ขอบคุณนะคะชีพ ทมจะรีบรักษาตัวให้แข็งแรงเร็วๆ”
เสียงสัญญาณจากสุสานดังขึ้นที่ข้างเตียง ชีพหันไปมองด้วยความแปลกใจ
“เสียงอะไรน่ะ”
“เสียงจากสุสานไงคะ ที่ทมเคยบอกชีพว่าทมทำไว้ถ้าทมตายเวลาฟื้นขยับตัว เสียงจะดังมาที่ห้องนอนของเรา..แต่ว่า ทำไมตอนนี้ถึงดัง..ใครไปยุ่งที่สุสานทม ไปดูกันเถอะค่ะ”
ลั่นทมจูบแก้มชีพเบาๆ แล้วลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย ชีพมองลั่นทมด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็รีบยิ้มให้เมื่อลั่นทมหันมาเร่ง “ลุกสิคะทมจะรีบไปดู”
“จ้ะ” ชีพกุลีกุจอรีบลุกมาแต่งตัวก่อนจะโอบลั่นทมเดินออกไปจากห้อง
ธารินทร์เดินสำรวจสุสานของลั่นทมอย่างสนใจมาก อุษาเดินตาม
“คุณน้ามาที่สุสานนี่แทบทุกวันเลยค่ะ ทำเหมือนมั่นใจมากว่าคุณน้าจะต้องมาอยู่จริงๆ ษาไม่สบายใจเลย”
“ผมทึ่งนะเนี่ย จะมีสักกี่คนที่เตรียมตัวเตรียมใจได้อย่างคุณน้า”
เสียงลั่นทมดังขึ้น “ก็เพราะน้าเคยผ่านความตายมาแล้วนะสิคะคุณธารินทร์”
ธารินทร์กับอุษาหันไปมองเห็นลั่นทมเดินยิ้มแย้มควงแขนชีพเข้ามา ธารินทร์ไหว้ลั่นทมเลยไปถึงชีพด้วย ลั่นทมกับชีพรับไหว้
“นึกว่าใครเข้ามาซนที่แท้ก็คุณธารินทร์กับยายษานี่เอง” ลั่นทมว่า
ธารินทร์แปลกใจ “คุณน้ารู้ด้วยเหรอครับว่ามีคนเข้ามาในสุสานนี่”
ลั่นทมหัวเราะแล้วเดินมาที่โลง “แล้วยังรู้อีกว่ามีคนเอามือลูบลงไปในโลงนี่อย่างนี้ใช่มั้ย”
ธารินทร์ทำหน้าแปลกใจก่อนจะเงยมองรอบๆ ลั่นทมหัวเราะอีก
“ไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดหรอกค่ะ แต่น้าติดสัญญาณไว้ในโลงถ้า หากน้าฟื้นแล้วขยับตัวเสียงจะไปดังที่ห้องนอนบนตึก” ลั่นทมหันไปยิ้มกับชีพ “น้าชีพก็จะได้มาช่วยน้าไงจ๊ะ”
ธารินทร์พยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองชีพก่อนจะพูดแบบมีความนัยแอบแฝง
“แบบนี้น้าชีพคงสบายใจแล้วสิครับ ถ้าหากคุณน้าลั่นทมเกิดเป็นอะไรไปอีกจะได้ไม่ผิดพลาดอย่างคราวก่อน”
“อ๋อ แน่นอนสบายใจ สบายใจมากๆเลย” ชีพพูดหนักแน่น “น้าจะไม่ยอมให้มีการ ผิดพลาดเหมือนคราวก่อนแน่ๆ รับรองได้”
ธารินทร์มองชีพอย่างค้นหา แต่ชีพมองตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ลั่นทมไม่รู้ความนัยจึงหันมายิ้มกับชีพ ชีพโอบลั่นทมไว้แล้วมองโลงศพอย่างหมายมาด
เช้าวันใหม่ ชีพโอบลั่นทมเดินลงมาจากชั้นบน
“ไม่ทานอาหารเช้าก่อนเหรอคะชีพ”
“ ไม่ดีกว่า เมื่อวานก็ไม่ได้เข้าโรงงาน ตอนบ่ายก็มีนัดเอเยนต์ไว้ ผมอยากรีบเข้าไปสะสางงานก่อน”
“งั้นเดี๋ยวทมตามไปนะคะ”
“อย่าเพิ่งเลยที่รัก ช่วงนี้ให้ผมลุยคนเดียวก่อนดีกว่า ผมอยากให้ทมพักเยอะๆจะได้แข็งแรง ลืมสัญญาของเราแล้วเหรอจ๊ะ”
ลั่นทมทำหน้างงๆ ชีพกระซิบกรุ้มกริ่ม “ก็เราจะมีลูกกันสักโหลไง”
ลั่นทมหัวเราะเสียงดังแล้วตีแขนชีพแก้เขิน อุษาเข้ามาพูดยิ้มๆ
“คุณน้าอารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะคะ”
ชีพรีบเดินออกไป ลั่นทมหันมาตอบอุษา
“จ้ะ..น้าคิดว่าเมฆหมอกในชีวิตน้าคงจะหมดไปเสียที น้าชีพเขาลงทุนสาบานกับน้าเลยนะษา ว่าเขาจะไม่มีใครอีกจะรักน้าคนเดียว”
“เหรอคะ..ษาดีใจด้วยนะคะคุณน้า”
หวานเข้ามารายงาน “ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะคุณผู้หญิง”
“เอ้อหวาน..ตกลงรสสุคนธ์เขามีที่พักเรียบร้อยมั้ย” ลั่นทมถาม
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณผู้หญิง..” หวานบอก
“ที่จริงฉันก็สงสารรสเขานะไม่ได้อยากให้เรื่องมันจบลงแบบนี้เลยหวานคงไม่โกรธคุณผู้ชายนะ”
“ไม่หรอกค่ะ..นังรสมันลืมตัวหวังสูงต้องได้รับบทเรียนเจ็บๆแบบนี้ล่ะค่ะมันถึงจะจำ ไม่คิดไปเป็นเมียน้อยเมียเก็บใครเขาอีก”
ลั่นทมพยักหน้าเดินนำไปที่ห้องอาหาร หวานเดินตามไปติดๆ อุษามองตามแล้วบ่นพึมพำ
“ษาก็ภาวนาขอให้รสสุคนธ์เขาจำและเข็ดจริงๆก็แล้วกัน”
รสสุคนธ์นั่งกินข้าวกล่องอยู่ในห้อง พอกินไปได้สองสามคำก็หงุดหงิดปัดกล่องหล่นกระจาย รสสุคนธ์กรี๊ดออกมาอย่างเหลืออด
“โอ๊ย ..ทำไมฉันต้องมานั่งกินข้าวกล่องแบบนี้เนี่ย”
รสสุคนธ์วิ่งมาที่กระเป๋าแล้วหยิบเงินออกมานับดูคร่าวๆ รสสุคนธ์เจ็บใจมาก
“ไอ้ชีพแกนึกว่าเศษเงินแค่นี้มันจะพอยาไส้ฉันเหรอ เจ็บใจนักฉันอุตส่าห์ปรนเปรอให้ความสุขแกจนแทบสำลัก แกตอบแทนฉัน แค่นี้เองไอ้สารเลว”
รสสุคนธ์แค้นใจร้องไห้ทุบหมอนระบายอารมณ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งที่ประตู รสสุคนธ์ชะงัก
“ใคร...” รสสุคนธ์ตะโกน “นั่นใคร”
เสียงผู้ชายดังขึ้น “เอาของมาส่งครับ”
“ของอะไร...”
รสสุคนธ์งงแต่ก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูส่งซองสีน้ำตาลขนาดกลางให้
รสสุคนธ์รับมาอย่างงงๆ
“อะไร....ใครให้มาส่ง”
“ผมไม่ทราบครับผมมีหน้าที่มาส่ง”
ชายคนนั้นก้มหัวให้แล้วรีบเดินไป รสสุคนธ์ตะโกนตาม “เดี๋ยวสิเดี๋ยว....”
ชายคนนั้นเดินไปอย่างรวดเร็ว รสสุคนธ์เข้าห้องแล้วมองซองด้วยความแปลกใจ เธอพลิกดูหน้าหลังก็พบว่าไม่มีเขียนอะไรไว้เลย รสสุคนธ์พึมพำ
“ชื่อใครก็ไม่มีส่งผิดหรือเปล่า..”
รสสุคนธ์ฉีกซองออกแล้วชะงักอ้าปากค้าง รสสุคนธ์หยิบเงินปึกหนึ่งออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“เงิน..นี่มันเงินจริงๆนี่ โอ...”
รสสุคนธ์นับเงินคร่าวๆ ด้วยตาโตเพราะตื่นเต้นดีใจ
“หนึ่งแสน อู๊ยโชคช่วยฉันแล้ว...เอ๊ะว่าแต่ใครส่งเงินมากมายอย่างนี้มาให้นะ”
รสสุคนธ์ครุ่นคิดแล้วยิ้มหวาน “ต้องเป็นเสี่ยคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในคอนโดนี่แน่ๆ คงเห็นเราแล้วถูกใจสิท่า ฮึ่มครั้งแรกก็ส่งเงินมาเป็นของกำนัลแบบนี้แสดงว่ากระเป๋าคงหนักไม่เบา”
รสสุคนธ์มองเงินแล้วยกขึ้นมาจูบ “ไม่เสียแรงที่ฉันเลือกมาอยู่ที่นี่ ดีเอาไว้แก้ขัดไปก่อน โอ๊ยนังรส นะนังรส คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องไม่หมดท่าง่ายๆ”
รสสุคนธ์ลุกไปยืนโพสท์ท่าตัวเองในกระจกชื่นชมความงามของตัวเองอย่างพอใจมาก
ชีพเซ็นเอกสารเสร็จก็รีบลุกขึ้นอย่างรีบร้อนจะออกไปข้างนอกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อลั่นทมเปิดประตูห้องเข้ามาก่อน
“อ้าวทม นี่คุณมาทำไม”
“ทมอยากไปพบเอเยนต์ด้วยนะคะ”
ชีพอึ้งแล้วแกล้งดุ “แต่ผมอยากให้คุณพักมากกว่านะ”
ลั่นทมเข้ามากอดชีพแล้วอ้อน “อย่าทำเหมือนทมเป็นคนอ่อนแอขี้โรคเลยนะคะให้ทมทำงานเหมือนปกติเถอะ อยู่แต่บ้านทมเบื่อ ไว้ทมไม่ไหวแล้วทมจะบอก..นะ..นะคะ”
ชีพแกล้งถอนใจ “ก็ได้..ตามใจเฮ้อมีเมียดื้อนี่น่าตีจริงๆ”
ลั่นทมหัวเราะดีใจที่ชีพยอม ชีพเข้ามาโอบลั่นทมเหมือนรักมาก
รสสุคนธ์แต่งตัวสวยมากนั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่ล็อบบี้ แต่ตาคอยสอดส่ายมองหาคนที่คิดว่าสนใจตัวเอง คนแล้วคนเล่าที่ผ่านไปหันมามอง รสสุคนธ์ยิ้มอ่อยแต่ก็ไม่เป็นผล
รสสุคนธ์ชักหงุดหงิด “ฉันมานั่งตรงนี้สองชั่วโมงแล้วนะตกลงใครกันแน่ที่มันสนใจเราเนี่ย”
รสสุคนธ์ชะงักเมื่อเห็นเสี่ยพุงพลุ้ยแต่ท่าทางรวยมากออกมาจากลิฟต์
รสสุคนธ์มองอย่างไม่แน่ใจแล้วก็พึมพำ “หวังว่าคงไม่ใช่ไอ้แป๊ะหัวล้านนี่หรอกนะ ฮึมแต่ดูท่าทางมันจะรวยมากเลย ช่างมันเถอะ ทนๆ ไปก่อน”
รสสุคนธ์มองยั่วๆ เสี่ยหันมาเห็นก็ชะงักแล้วตัดสินใจเดินเข้ามาหา
“สวัสดีครับคนสวยนั่งรอใครอยู่หรือเปล่า”
“ก็รอคนที่ใช่ไงคะ”
“อ๊ะถ้างั้นผมขอเป็นคนที่ใช่จะได้มั้ยครับ”
รสสุคนธ์มองเครื่องประดับมากมายบนตัวเสี่ยแล้วยิ้มยั่วยวน
“คงต้องขอฟังขอเสนอก่อนค่ะฉันถึงจะตอบได้”
เสี่ยตาลุกวาว “แหมพูดตรงๆแบบนี้ผมชอบ งั้นเราไปหาที่ฟังเพลงไปคุยกันไปดีมั้ยครับ”
เสี่ยยื่นมือไปหารสสุคนธ์ รสสุคนธ์จับมือด้วยแล้วลุกขึ้นเป็นการยอมรับ เสี่ยรีบพารสสุคนธ์ออกไปจากคอนโดอย่างดีใจ
ณ ผับหรูตอนกลางคืน พนักงานพาชีพกับลั่นทมมานั่งที่โต๊ะหนึ่งก่อนจะถอยออกไป ลั่นทมมองไปรอบๆ
“ไม่ได้มาที่แบบนี้นานแล้วนะคะ”
ชีพเงียบ ลั่นทมหันมามองแล้วเรียก “ชีพคะ..”
ชีพสะดุ้ง “จ้ะทมว่าอะไรนะ”
“คิดอะไรอยู่คะหรือยังโมโหเอเยนต์ไม่หาย”
“ก็นิดหน่อยนะ อะไรกันจะไม่มาก็น่าจะโทรแจ้งล่วงหน้าไม่ใช่ ให้เรามารอ สงสัยจะร่วมงานกันไม่ยืดแล้วละมั้ง”
“ใจเย็นๆเถอะค่ะ คนเราก็มีธุระด่วนได้ คิดในแง่ดีสิคะเพราะเขาไม่มาเลยทำให้ชีพกับทมได้มีเวลามาเที่ยวผ่อนคลายกัน เอ๊ะ...” ลั่นทมชะงักจ้องไปที่โต๊ะหนึ่งอย่างตกใจ
ชีพสงสัยจึงหันไปมองแล้วก็ตกใจมากกว่าลั่นทม เพราะที่โต๊ะไม่ไกลนั้นรสสุคนธ์กำลังนั่งคลอเคลียอยู่กับเสี่ย โดยเสี่ยเอาใจเธอมาก
ลั่นทมหันมามองชีพ “นั่นมันรสสุคนธ์นี่คะ..มากับใครนะทำไมดูสนิทสนมกันจัง”
ชีพรีบปรับท่าทางแล้วหันกลับมา “คงเป็นเหยื่อรายใหม่มั้ง เห็นมั้ยผู้หญิงใจง่ายแบบนี้เลิกกับผม
แค่ไม่กี่วันก็มีผู้ชายใหม่แล้ว”
ลั่นทมมองชีพอย่างค้นหา “คุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรือคะ”
“รู้สึกอะไรก็ผมไม่ได้รักเขา ผมบอกทมแล้วว่าผมแค่พลาดถ้าเป็นทมไปนั่งกับใครสิผมจะอัดมันให้น่วมไปเลย”
ลั่นทมเอื้อมมือมากุมมือชีพบนโต๊ะ “รู้มั้ยคะว่าทมสบายใจที่สุดเลยรู้สึกว่าอะไรที่มันติดค้างอยู่ในใจมันหลุดออกไปจนหมดแล้วละคะ”
“ผมว่าเราไปที่อื่นกันดีกว่ามั้ย เจอกันก็รังแต่จะรำคาญใจคุณเปล่าๆ” ชีพว่า
“ได้ค่ะทมตามใจชีพทุกอย่าง”
ชีพพาลั่นทมเดินหลบออกไป รสสุคนธ์มัวแต่เพลินกับการที่เสี่ยเอาใจจึงไม่เห็นชีพกับลั่นทม
เสี่ยกับรสสุคนธ์ที่ต่างคนต่างเมาเดินประคองกันและกันมาถึงหน้าห้อง รสสุคนธ์เปิดประตู เสี่ยทำท่าจะตามเข้าไป รสสุคนธ์ดันตัวไว้
“อย่าค่ะเสี่ยยังเข้าไปไม่ได้”
“ทำไมล่ะ..ที่เธอไปกับฉันก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องลงเอยแบบนี้”
“รสรู้ค่ะแต่เสี่ยยังไม่ได้ให้ข้อเสนอดีๆกับรสเลยนี่คะ”
“อ๋อ..เข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว”
เสี่ยโซเซหยิบกระเป๋าเงินออกมาควักเงินสองพันบาทมายื่นให้
“เอ้าสองพัน..แต่ถ้าถูกใจเดี๋ยวมีทิปให้อีกนะ”
รสสุคนธ์แทบหายเมาตาลุกเพราะโกรธ “ไอ้บ้าฉันไม่ใช่ผู้หญิงหากินนะ”
“เอ้าแล้วที่ไปอ่อยอยู่ข้างล่างนะไม่ได้คิดจะหากินเหรอ นี่อย่าลีลาอัพค่าตัวน่า บอกแล้วไงว่าเอาไปสองพันก่อน ถ้าทำดีเดี๋ยวมีเพิ่ม พูดตรงๆนะปกติฉันไม่เคยจ่ายเกินพันห้าที่ให้เธอสองพันเนี่ยถือว่าพิเศษแล้วนะจ๊ะ”
เสี่ยลูบไล้ไหล่ขาวผ่องของรสสุคนธ์อย่างหื่นๆ รสสุคนธ์เริ่มเข้าใจจึงผลักเสี่ยจนล้มไปกับพื้น
“นี่แก..แกไม่ใช่คนที่เอาเงินมาให้ฉันเมื่อเช้าใช่มั้ย”
เสี่ยงง “เงิน..เงินอะไร”
รสสุคนธ์สะอิดสะเอียนทำหน้าเบ้เหมือนอยากจะอาเจียนพอรู้ว่าผิดคน
“ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศน้ำหน้าอย่างแกไม่ได้เห็นขาอ่อนฉันหรอก”
รสสุคนธ์รีบวิ่งเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้า เสี่ยทุบประตูโวยวายสักพักแล้วก็เงียบไป รสสุคนธ์เดินมาดึงลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งหยิบซองเงินออกมามองครุ่นคิด
“ตกลงใครกันนะที่แอบมาปิ๊งเรา บ้าเอ๊ยเกือบเสียท่าไอ้หมูโสโครกเข้าแล้ว ไม่เป็นไรถ้ายังไม่อยากแสดงตัว เอาแต่เงินมาให้ฉัน บ่อยๆก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”
รสสุคนธ์ฮัมเพลงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างสบายใจ
วันต่อมา ชีพแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยหันไปมองลั่นทมที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกเพื่อเตรียมไปดินเนอร์กับลูกค้า ลั่นทมกำลังจะสวมสร้อยเพชรแต่ไม่ถนัด ชีพมองเพชรแล้วรีบเดินมาช่วยใส่อย่างเอาใจ ลั่นทมยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ทม...”
ชีพทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ลั่นทมแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือเปล่า”
ลั่นทมหันมากอดชีพเพื่อเอาใจ “โธ่ชีพคะ..มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะคุณกับทมไม่มีคำว่าไม่ควรหรอกค่ะ”
“ผมอยากเตือนคุณเรื่องที่คุณเอ่ยปากยกอะไรต่ออะไรให้อุษา”
“ทำไมคะ”
“คุณทำแบบนั้นมันเป็นอันตรายกับตัวคุณนะทม”
“ชีพหมายความว่าอะไรคะ ฟังดูเหมือนคุณไม่ไว้ใจษา”
“แต่ก่อนนะผมไว้ใจ แต่เงินทองมหาศาลที่คุณเอ่ยปากให้เขาอาจทำให้อุษาเปลี่ยนไป ผมเคยเตือนคุณแล้วจำได้มั้ย ผมรู้สึกว่าตั้งแต่ทมพูดว่ายกให้อุษา อุษากับธารินทร์ดูแปลกๆ”
ลั่นทมเริ่มจะว้าวุ่นใจขึ้นมาอีก “ชีพคะ อย่าคิดแบบนั้นกับอุษาเลย”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของทม แต่เงินทองน่ะมันไม่เข้าใครออกใครนะ เพื่อความมั่นใจผมอยากให้คุณทดสอบดู”
ลั่นทมนิ่งและมีสีหน้าลังเลใจ ชีพกล่อมต่อ “คุณลองบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมในส่วนของอุษาดูสิ อุษาจะมีปฏิกิริยายังไง”
ลั่นทมนิ่งอึ้ง “ทมเป็นผู้ใหญ่ พูดแล้วจะให้คืนคำมันไม่น่าจะเป็นผลดีกับตัวทมเลยนะคะชีพ อีกอย่างหนึ่งทมมั่นใจว่าถึงทมพูดอุษาก็จะไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่ชีพกลัวหรอกค่ะ เชื่อทมสิ”
ชีพไม่ค่อยสบอารมณ์แต่ก็พยายามข่มใจ
อุษาในชุดทำงานเพิ่งเลิกงานขับรถกลับมาบ้านจอดและลงจากรถที่ลั่นทมยกให้ ธารินทร์ในชุดตำรวจครึ่งท่อนขับรถตามมาแล้วก้าวลงจากรถเข้ามาหาอุษา อุษายืนรอ เธอมองหน้าธารินทร์ที่เดินเข้ามาแล้วพูด
“ไงคะ..ษาขับดีขึ้นขนาดนี้คุณยังกังวลอีกเหรอหน้าเครียดเชียว”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องขับรถ แต่พอเข้ามาที่นี่ทีไร ผมก็รู้สึกกังวลเรื่องคุณน้าทุกที”
ธารินทร์มองที่ตัวตึกแล้วมองเลยไปทางสุสาน “มันสังหรณ์ใจยังไงบอกไม่ถูก...ผมคิดว่าคุณน้าชีพต้องกำลังคิดทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงทรัพย์สินต่างๆที่คุณน้าลั่นทมยกให้คุณคืน”
ทั้งสองเดินคุยกันเข้าไปในบ้าน “สมมุติได้คืนแล้วจะยังไงต่อไปคะ”
“คุณน้าลั่นทมก็จะอยู่ในอันตรายน่ะซี”
อุษานิ่งมองธารินทร์ด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวลมาก อุษารีบหัวเราะ
“สัญชาตญาณตำรวจของคุณอาจจะถูกก็ได้นะคะ แต่อย่ากังวลไปเลยค่ะ ถึงน้าชีพจะยุยงคุณน้ายังไง ษาก็เชื่อว่าคุณน้าไม่มีวันยึดอะไรคืนจากษาแน่ค่ะ”
สีหน้าท่าทางของอุษามั่นใจมาก
อ่านต่อหน้าที่ 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 6 (ต่อ)
ชีพเดินลงบันไดมากับลั่นทม อุษากับธารินทร์เข้ามาในบ้านพอดี
ชีพกระซิบบอกลั่นทม “จะลองดูหน่อยมั้ยละ”
ลั่นทมอึ้งแล้วรับไหว้ธารินทร์ ชีพรับไหว้แล้วเข้ามาตบบ่าธารินทร์
“ไงครับหมวดมานานแล้วหรือ”
“ซักครู่นี่เองครับ..”
“เอ้อษาจ๊ะมาทางนี้หน่อยได้มั้ย น้ามีเรื่องจะปรึกษา”
อุษารับคำ “ค่ะ”
ลั่นทมยิ้มให้ธารินทร์แล้วพาอุษาไปทางหนึ่ง ธารินทร์มองตาม ชีพยิ้มอย่างพอใจ
ลั่นทมพาอุษามามุมหนึ่งในบ้าน เธอลังเลแต่แล้วก็ตัดสินใจพูด
“ษาจ๊ะ..ถ้าน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับษา..ษาจะ...”
อุษาตาค้างเพราะตกใจจนเผลออุทานเพราะตรงกับที่ธารินทร์พูดไว้
“คุณน้า..”
ลั่นทมก็ชะงักมองอุษานิ่งอึ้งเพราะทุกอย่างดูตรงตามที่ชีพบอกไว้ เธอคิดว่าอุษาตกใจเพราะไม่อยากคืน
ลั่นทมยิ้ม “กลัวน้ายึดคืนมาทั้งหมดหรือจ๊ะ”
อุษาตะลึงแล้วก็ได้สติ “ไม่ค่ะ..ไม่ได้กลัวยึดคืน”
ลั่นทมถามยิ้มๆ “แล้วทำไมถึงตกใจขนาดนี้”
“เอ้อ เปล่าค่ะ..ษา..คือ..”
อุษาไม่รู้จะบอกยังไงว่ามันตรงกับที่ธารินทร์คาดเดาไว้ ลั่นทมพินิจพิเคราะห์อุษา โดยที่สีหน้าท่าทางของลั่นทมไม่ได้เปลี่ยนไป เธอยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสก่อนจะตบบ่าอุษาเบาๆ
“แล้วค่อยคุยรายละเอียดกันอีกที น้าไปก่อนนะ วันนี้นัดทานข้าวกับลูกค้าบอกคุณธารินทร์ตามสบาย”
ลั่นทมเดินกลับไปหาชีพ อุษามองตามอย่างตกตะลึง
ลั่นทมกับชีพคลอเคลียกันออกมาจากในบ้านแล้วตรงมาที่รถ ชีพนั่งคู่คนขับด้านหน้า ลั่นทมเข้าประจำที่คนขับ ฉ่ำเดินเข้ามา ชีพบอกฉ่ำเรียบๆ “ไม่ต้องนายฉ่ำ คุณผู้หญิงจะขับเอง”
ฉ่ำตกใจ “จะดีหรือครับ”
“ไม่เป็นไรฉันอยู่ทั้งคน” ชีพบอก
ฉ่ำถอยออกไป ลั่นทมขับรถกำลังจะออกจากบ้าน
“เดี๋ยว..” ชีพพูดขึ้น
ลั่นทมชะงัก ชีพพยักเพยิดไปที่มุมหนึ่งที่อุษากำลังพูดกับธารินทร์ด้วยท่าทางร้อนรน ลั่นทมขมวดคิ้ว
ชีพพูดเรื่อยๆ “คนไม่อยากได้สมบัติทำไมพอรู้ว่าจะถูกเอาคืนถึงร้อนรนกระวนกระวายใจขนาดนั้นล่ะ ทมว่ามันดูแปลกๆมั้ยจ๊ะ”
ลั่นทมอึ้งเพราะตอบไม่ถูก ชีพมองอาการของลั่นทมด้วยความสะใจ
สีหน้าอุษากังวลมาก ธารินทร์รับมืออุษามากุมไว้
“ใจเย็นๆอย่าเพิ่งกังวลมากไปนะษา”
“ษาไม่อยากเชื่อเลย นี่น้าชีพเขากล่อมคุณน้ายังไงกันคะ”
“อย่าลืมสิษาว่าน้าชีพเขาเป็นสามีคุณน้า ยิ่งทำตัวดีคุณน้าก็ยิ่งไว้ใจพูดอะไรก็น่าเชื่อถือไปหมด”
“นี่ใช่มั้ยคะที่น้าชีพถึงไล่รสสุคนธ์ออกไป เพื่อให้คุณน้าตายใจ”
“ผมแค่สงสัยแต่ดูจากภาพรวมแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างดูไม่น่าไว้ใจเลย”
“โธ่คุณน้า แสดงว่าคุณน้ากำลังตกอยู่ในอันตรายอีกแล้ว โอ๊ะ รินทร์คะคุณน้าออกไปกับน้าชีพสองคน ถ้าเกิดน้าชีพคิดจะทำอะไรคุณน้า...”
“ยังหรอกษายังไม่ใช่ตอนนี้ ตราบใดที่พินัยกรรมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าเขาคงแค่คิดแต่ยังไม่ลงมือทำแน่นอน”
สีหน้าของอุษายังเต็มไปด้วยความกังวล
รถลั่นทมแล่นมาอย่างรวดเร็ว ลั่นทมขับรถตามองตรงไปข้างหน้า ชีพก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มเอกสารในมือ ชีพเงยหน้าขึ้นมองถนนแว่บหนึ่ง
“ไม่ต้องรีบก็ได้จ้ะที่รัก ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ”
“ทมไหวค่ะ...ทมแข็งแรงดี คงจะไม่เป็นแบบ เก่าอีกแล้ว”
“ยังไงก็อย่าประมาทนะจ๊ะผมห่วงคุณ”
“ก็ได้ค่ะ ทมจะขับให้ช้าลง..”
ลั่นทมผ่อนความเร็วลง มอเตอร์ไซค์แล่นตัดหน้า ลั่นทมตกใจเหยียบเบรกหมุนพวงมาลัยปัดไปมาทำให้รถส่ายไปมาวูบวาบ แล้วรถก็เบรกเอี๊ยดอยู่ริมถนนในสภาพที่ขวางถนน ลั่นทมกำพวงมาลัยแน่น แล้วหันไปมองทางมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์ขับเอ้อระเหยไปทางหนึ่งอย่างสบายใจ
“บ้าจังเกือบไปแล้ว นี่ถ้าเบรคไม่อยู่จะทำไงเนี่ย” ลั่นทมยกมือทาบอก “ตกใจหมดเลย”
ลั่นทมเตรียมจะออกรถ
ชีพเกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่าจะจัดการกับลั่นทมอย่างไร
ชีพจินตนาการเป็นภาพลั่นทมขับรถมา มอเตอร์ไซค์ขี่ตัดหน้า รถส่ายวูบวาบแล้วเกิดเสียงโครม ลั่นทมกระเด็นออกมาล้มฟาดพื้นตาค้างมีเลือดเปรอะที่คอ กระจกแตกกระจายอยู่แถวนั้น ลั่นทมตาย
เมื่อคิดเช่นนั้น ชีพก็มองไปข้างหน้าเขม็งเพราะคิดจะใช้วิธีนี้กับลั่นทม เขาชำเลืองมองลั่นทมซึ่งขับรถอยู่ข้างๆ อย่างเจ้าเล่ห์
บนโต๊ะอาหารในร้านอาหารหรูหรามีอาหารตั้งอยู่เต็ม ลั่นทมกับชีพจิบเครื่องดื่มรอเจฟ ชั่วครู่เจฟก็เดินเข้ามา ชีพลุกขึ้นต้อนรับจับมือเจฟ ส่วนลั่นทมไม่ได้ลุกขึ้นเพียงยื่นมือให้เจฟจับ
“แกลด ทู ซี ยู เกน เจฟ” ชีพทัก
ลั่นทมทักสั้นๆ “ไฮ..”
เจฟกับชีพนั่ง “ว็อท วูล์ด ยู ไล้ค์..แชมเปญ..?”
เจฟตอบ “เยส”
ชีพหันไปกระดิกนิ้วเรียกพนักงาน
เวลาผ่านไป เจฟพูดโทรศัพท์มือถือของชีพเพื่อนัดแนะกับเพื่อนให้เตรียมตัวไว้อีกสักครู่จะโทร.กลับไปใหม่เพื่อบอกสถานที่นัดพบ ชีพชะโงกเข้ามาหาลั่นทมกระซิบ
“เจฟเขาอยากให้ผมไปต่อกับเขา..”
ลั่นทมยิ้มอย่างรู้ทัน “ตามประสาผู้ชายใช่มั้ยล่ะ..งั้นแวะส่งทมที่คอนโดก็ได้”
ชีพจับมือลั่นทมไว้อย่างคนรู้ใจกัน
ลั่นทมเปิดโทรทัศน์ในห้องที่คอนโดมีเนียมของชีพ ชีพจะเดินออกจากห้อง เขายกโทรศัพท์มือถือ
“ผมจะเปิดเครื่องไว้มีอะไรโทรหาผมได้ตลอดนะ”
“ตามสบายเถอะค่ะทมไม่รบกวนหรอก”
ลั่นทมหันไปหยิบขวดพลาสติกเล็กๆใส่ยาเม็ด “นอนไม่หลับทมมีตัวช่วยค่ะ”
ชีพเข้ามาจุมพิตลั่นทมเบาๆอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ถ้าปลีกตัวได้ผมจะรีบกลับ..ไม่อยากให้คุณกินยา”
ลั่นทมยิ้มให้ชีพ ชีพเดินออกจากห้องแล้วปิดประตู ลั่นทมมองตามอย่างรักใคร่แล้วนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์
ชีพพาเจฟกับเพื่อนเจฟเข้ามาในเมมเบอร์คลับที่มีสาวสวยต้อนรับพาไปนั่งที่โต๊ะหนึ่ง เจ้าของเมมเบอร์คลับเข้ามาไหว้ชีพ
“สวัสดีค่ะ คุณชีพ วันนี้พาลูกค้ามาเอนเตอร์เทนหรือคะ”
“ครับ..” ชีพชะโงกเข้ามาพูดกันสองคน “ช่วยดูแลให้เป็นพิเศษด้วย”
“ได้ค่ะไม่ต้องห่วงค้า”
เจ้าของฯหันไปทางเจฟแล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินนำไป
รสสุคนธ์เดินเซมาตามทางเดินหน้าห้องพักด้วยท่าทีเศร้าสร้อย เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องเธอก็หยุดพิงประตู
หลับตาแล้วก็มีน้ำตาซึมออกมา หนุ่มร่วมคอนโดคนหนึ่งเดินสวนมาหยุดมอง
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
รสสุคนธ์ค่อยๆลืมตาขึ้นมองหนุ่มหัวจรดเท้าพอเห็นท่าทางและการแต่งตัวว่าไม่ได้มีเงินแน่ รสสุคนธ์ก็ยักไหล่ใส่ “มี..ช่วยไปให้ไกลๆฉันหน่อยไปไม่ต้องมายุ่ง”
หนุ่มรีบเดินไป รสสุคนธ์ไขประตูเข้าไปโดยยังไม่ได้เปิดไฟ พอจะปิดแล้วก็ต้องตกใจที่มีคนตามเข้ามา
รสสุคนธ์รีบผลักประตูแล้วร้อง
“ไอ้บ้าออกไปนะออกไปเดี๋ยวนี้ช่วย....”
ชีพกระซิบเข้มๆ “อย่าร้องฉันเองรส..”
รสสุคนธ์ตะลึงรีบป่ายมือเปะปะเปิดไฟให้สว่างขึ้น รสสุคนธ์มองชีพอย่างไม่เชื่อสายตา พอเธอได้สติก็ร้องไห้สะอื้นแล้วโผเข้ากอดชีพ
“คุณชีพ..คุณจริงๆด้วย คุณไม่โกรธไม่เกลียดรสแล้วเหรอคะ”
ชีพรีบกอดปลอบรสสุคนธ์ “รสฉันขอโทษที่ฉันไม่ได้บอกแผนของฉันกับเธอ”
รสสุคนธ์หยุดร้องมองชีพไม่เข้าใจ “แผน..แผนอะไรคะ”
“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ..ฉันแกล้งโกรธแกล้งไล่เธอน่ะมันเป็นแผนทั้งหมดที่ให้รสรู้ล่วงหน้าไม่ได้ เพราะกลัวว่ารสจะมีพิรุธทำเสียเรื่อง..รสยิ่งเก็บ อารมณ์ไม่เคยอยู่”
รสสุคนธ์ตะลึงตาเบิกกว้าง “หมายความว่า คุณ..คุณ คุณแกล้งไล่รส แกล้งด่าว่า..”
ชีพพูดต่อ “แล้วก็แกล้งทำเป็นตบตีเธอด้วย ทุกคนเชื่อสนิทเพราะตอนนั้นรสโกรธจริงๆ..เห็นมั้ยว่ามันได้ผล”
รสสุคนธ์ได้สติ จากตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นดีใจ เธอโผเข้ากอดชีพไว้แล้วร้องไห้ด้วยความปีติ
“คุณชีพ..โอ้ย..คุณฉลาดลึกล้ำจริงๆ..รสรักคุณ รสต้องการคุณ..รสคิดถึงคุณ”
“ฉันคิดถึงรสมากกว่าอีก”
ลั่นทมที่อยู่ในชุดนอนทำท่าจะเคลิ้มหลับแล้วก็ผวาไขว่คว้าอย่างคนขวัญเสีย “กรี๊ด..ไม่..ฉันยังไม่ตาย..ช่วยด้วย”
ลั่นทมรู้สึกตัวว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงและไม่ได้ตายก็หอบเหนื่อยกระสับกระส่าย เธอลืมตาอยู่ครู่หนึ่งด้วยอาการหวาดกลัว
“เวรกรรมอะไรนะทำไมฉันถึงลืมภาพตอนที่อยู่ในโลงศพไม่ได้สักที ชีพขา ทมกลัว..ชีพคุณอยู่ไหนเนี่ย”
ลั่นทมลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์แล้วก็พยายามตัดใจ
“อย่าเลย..เขาอาจอยู่กับลูกค้า..นอนๆๆ..”
ลั่นทมกลับไปที่เตียงแล้วพยายามข่มตาให้หลับ มือของเธอค่อยๆทอดลงข้างตัว แล้วลั่นทมก็ผวาไขว่คว้าเมื่อจะเคลิ้มหลับ คราวนี้ลั่นทมถึงกับสะอื้นด้วยความแค้นใจตัวเอง
“โอย..นี่มันอะไรกันนักหนา..ฉันเป็นอะไรทำไมกลัวอย่างนี้..ชีพขา คุณอยู่ไหน..ฉันกลัว..กลัวเหลือเกิน”
ชีพกับรสสุคนธ์ที่มีผ้าห่มคลุมร่างเปลือยเปล่านอนคุยกันบนเตียง
“ตอนนี้เค้ากลัวตายที่สุด..นอนหวาดผวาว่าจะตายอยู่ตลอดเวลา”
“รสอยากให้มันตายจริงๆ รสดีใจที่คุณไม่ได้รักได้หลงมัน”
“ฉันไม่มีทางรักผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของฉัน รสพูดถูกลั่นทมไม่เคยเห็นหัวฉัน ถ้าไม่มีฉันโรงงานจะเจริญขนาดนี้เหรอ แต่ลั่นทมกลับคิดว่าสมบัติทั้งหมดเป็นของเขาคนเดียว คอยดูนะฉันจะต้องเอา
สมบัติพวกนั้นคืนมาเป็นของฉันให้หมด”
“คุณต้องรีบแล้วนะคะชีพ รสว่าการที่มันสร้างสุสานขึ้นมาต้องมีแผนอะไรสักอย่าง บางทีมันอาจจะอยากให้คุณไปอยู่ในโลงกับมันก็ได้”
“บ้านะสิ คนบ้าเท่านั้นที่จะยอมลงไปอยู่กับศพนะ เอาเป็นว่าตอนนี้รสอดทนไปก่อนนะ เงินที่ฉันฝากมาให้ยังไม่หมดใช่มั้ย”
“เอ๊ะที่แท้เงินนั้นของคุณเหรอคะ”
ชีพพยักหน้า “ทำไมคิดว่าเสี่ยที่ไหนมันมาทุ่มให้หรือไง ฉันให้คนตามเธอมาจนรู้ที่อยู่แล้วก็ให้เอาเงินมาให้เพราะฉันห่วงเธอไง”
“รสรักคุณที่สุดเลย”
“แต่ฉันเห็นเธอไปกินข้าวกับผู้ชาย”
รสสุคนธ์อึกอัก “โธ่ก็แค่ไปกินข้าวรสเหงาๆเขามาชวนก็ไปไม่มีอะไรหรอกค่ะ รับรองได้”
“ฉันเชื่อใจเธอ แต่รู้มั้ยคืนนั้นมันยิ่งทำให้ลั่นทมมั่นใจในตัวฉันมากขึ้นเพราะเขาคิดว่ารสมีคนอื่นไปแล้ว”
ชีพลุกขึ้น รสสุคนธ์รีบถาม “คุณจะกลับเหรอคะ” รสสุคนธ์ทำงอน
“ใช่..อย่าทำเสียเรื่องนะรับรองเร็วๆนี้เธอจะได้กลับไปเป็นคุณผู้หญิงที่บ้านนั้นอย่างแน่นอน”
สีหน้าแววตาของชีพดูน่ากลัว รสสุคนธ์โผเข้ากอดแล้วยิ้มอ้อนทำตัวว่าง่าย
“ค่ะรสจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง”
ลั่นทมที่ผวาจากอาการหลับสนิทลุกขึ้นนั่งมือไม้สั่นรัว หน้าตาซีดเซียวอย่างทรมานกับอาการ
หวาดหวั่นที่ยังฝังใจ ลั่นทมหันไปมองโทรศัพท์แล้วตัดสินใจโทรไปหาชีพ
“ฮัลโหล..ชีพคะ”
ขณะลั่นทมพูด ชีพก็เปิดประตูห้องนอนเข้ามา
“ชีพคะทมขอโทษ..คุณอยู่ไหนทมกลัว ทม..”
ชีพพูดโทรศัพท์ “ไม่ต้องกลัวที่รัก ผมอยู่นี่”
ลั่นทมชะงักหันมนเห็นชีพยืนอยู่ก็ตะลึงแล้ววางโทรศัพท์โผเข้ากอดชีพไว้แน่น
ลั่นทมละล่ำละลัก “ชีพคะ..ทมกลัวตาย..ตายอย่างที่เคย..ตายทั้งเป็น ทมกลัวมันทรมาน ทมกลัวตัวเองจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก”
“หมอยืนยันแล้วนะว่าคุณจะไม่เป็นอีก” ชีพบอก
ลั่นทมพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ค่ะ แต่ภาพพวกนั้นไม่ยอมลบหายไปซักทีนี่คะ..โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในโลงศพ..ทมกลัวเหลือเกิน ชีพขา..อย่าไปไหนอีกได้มั้ย อย่าอยู่ห่างทม”
“ผมสัญญาจ้ะ..แต่ทมก็ต้องเชื่อผมบ้างได้มั้ย”
“ได้สิคะชีพจะให้ทมทำอะไรทมจะทำตามทุกอย่าง”
ชีพยิ้มอย่างพอใจ ในรอยยิ้มนั้นแฝงเล่ห์เหลี่ยมที่ร้ายกาจ
วันต่อมา รถของชีพจอดหน้าธนาคาร ชีพมองกล่องใส่เครื่องเพชรทั้งหมดอย่างพอใจ
“คุณนึกอะไรขึ้นมาคะถึงให้ทมเอาเครื่องเพชรออกจากธนาคารมาหมดอย่างนี้” ลั่นทมถาม
“ผมกลัวว่าคนที่คุณไว้ใจจะวางแผนทำให้คุณตาย..เพื่อเขาจะได้ของที่คุณเอ่ยปากยกให้ก่อนที่คุณจะเปลี่ยนใจนะสิ”
“ชีพหมายถึงอุษาเหรอคะ”
“เมื่อวานคุณก็เห็นกับตาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่คุณพูดกับอุษา”
ลั่นทมอึ้งแต่ก็พยายามแก้ตัวแทน “บางทีษาอาจจะตกใจเพราะคิดไม่ถึงก็ได้นี่คะ”
“ผมรู้ว่าคุณก็คิดใช่มั้ยทม ที่ผมกำลังทำทุกอย่างเพราะผมกลัว กลัวจะเสียคุณไป ลำพังอุษานะไม่เท่าไร แต่ผมกลัวนายธารินทร์จะวางแผนอะไรร้ายๆเขาเป็นตำรวจแผนการต้องแยบยลมากๆ เราอาจจะไม่ทันเกมเขาก็ได้ สังเกตมั้ยว่าเขามาบ้านเราถี่เกินไป แล้วทำไมต้องเข้าไปสำรวจในสุสานของคุณด้วย ซักโน่นซักนี่ ผมว่าเขาต้องคิดฆ่าคุณแน่”
ลั่นทมอึ้ง “ไม่นะทมกลัวทมยังไม่อยากตาย”
“ถ้าอย่างนั้นทมต้องเชื่อผมเราต้องป้องกันไว้ก่อน”
“ชีพจะให้ทมทำอะไรบ้างคะ”
“ยับยั้งการทำพินัยกรรมยกบ้านหลังใหญ่กับเรือนไทยให้อุษาหรือใครๆ ผมไม่อยากให้ทมมีอันเป็นไปด้วยมือลึกลับคุณต้องเชื่อผม”
“ค่ะๆ ได้ทมจะทำตามที่ชีพบอก”
ลั่นทมมีท่าทางหวาดกลัว ชีพดึงลั่นทมมากอดยิ้มอย่างหมายมาด
ลั่นทมยืนมองออกไปที่โต๊ะนั่งเล่นตรงสนามก็เห็นธารินทร์กับอุษากำลังคุยกันด้วยท่าทางเคร่งเครียด หลายครั้งที่ทั้งสองคนมองมาที่ตัวบ้านและมองไปทางสุสาน ลั่นทมมีสีหน้าคิดหนัก ลั่นทมสลัดหัวแรงๆเหมือนจะไล่ความคิดออกไปก่อนจะพึมพำ
“ไม่จริงนะสองคนนั่นไม่มีวันทำร้ายฉันแน่นอน”
เสียงชีพดังก้องในหัว “ลำพังอุษานะไม่เท่าไร แต่ผมกลัวนายธารินทร์จะวางแผนอะไรร้ายๆเขาเป็นตำรวจแผนการต้องแยบยลมากๆเราอาจจะไม่ทันเกมเขาก็ได้ สังเกตมั้ยว่าเขามาบ้านเราถี่เกินไป แล้วทำไมต้อเข้าไปสำรวจในสุสานของคุณด้วย ซักโน่นซักนี่ผมว่าเขาต้องคิดฆ่าคุณแน่”
ลั่นทมกุมหัวแล้วก็เริ่มเซ หวานเข้ามาเห็นก็ตกใจรีบเข้ามาประคอง
“อุ๊ยคุณผู้หญิงเป็นอะไรไปคะ”
ลั่นทมนั่งลงแล้วส่ายหน้าพร้อมทั้งฝืนยิ้มให้
“ไม่ได้เป็นอะไร คิดโน่นนี่เลยปวดหัวจี๊ดขึ้นมาแต่ตอนนี้หายแล้ว”
“คิดอะไรอีกเหรอคะ ถ้าเป็นเรื่องนังรสคุณผู้หญิงสบายใจได้แล้วนะคะ”
“จริงสิพูดถึงรสสุคนธ์ฉันเจอเขาด้วย”
“เจอนังรส เจอที่ไหนคะหรือมันยังมาตื้อคุณผู้ชายอีก หนอยนังนี่ เดี๋ยวอิฉันจะจัดการเอง”
“ไม่ใช่ฉันเจอเขาที่ผับเห็นไปกับผู้ชาย ดูท่าทางน่าเป็นห่วงนะ ฉันไม่อยากให้ชีวิตเขาต้องจมปลักลงไปเรื่อยๆ นี่น้าหวานถ้ายังไงก็ไปดูแล้วก็เตือนๆเขาบ้าง”
ลั่นทมลุกขึ้นเดินไป หวานนั่งอึ้งมีสีหน้าห่วงใยรสสุคนธ์
รสสุคนธ์นั่งมองเครื่องเพชรบนเตียงอย่างตกตะลึง เธอเงยมองชีพแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“ว้าว...คุณเก่งจังค่ะชีพ เยี่ยมๆที่สุดเลยคุณทำได้ยังไง”
“ฉันกล่อมลั่นทมจนเชื่อฉันทุกอย่างตอนนี้เขาเริ่มระแวงหลานสุดที่รักเข้าให้แล้ว คอยดูนะอีกไม่นานนี่แหละฉันจะเอาทุกอย่างคืน มาเป็นของเราให้หมด”
รสสุคนธ์โผเข้ากอดชีพแล้วระดมจูบเอาใจ ชีพหัวเราะชอบใจ เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ชีพชะงักและมีท่าทางระแวง “ใคร”
“สงสัยอาหารมาส่งนะคะรสสั่งจากร้านอาหารข้างล่างไว้”
ชีพพยักหน้า รสสุคนธ์เดินไปเปิดประตูแล้วก็ตกใจที่เห็นหวานยืนอยู่หน้าประตู รสสุคนธ์ได้สติจะรีบปิดประตู หวานรู้ทันก็รีบผลักเข้ามาโดยปากก็พูดไปด้วย
“แกไม่ต้องมาปิดฉันนังรส มีผู้ชายอยู่ในห้องใช่มั้ย แกนะแกทำไมไม่เลิกใฝ่ต่ำเสียที ไหนขอดูหน้าหน่อยไอ้ผู้ชายคนใหม่ของแก”
หวานชะงักตาค้างอย่างตกใจสุดขีดและพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“คุณผู้ชาย...”
หวานหันไปมองรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ยิ้มอย่างอวดๆ หวานหันกลับมามองชีพ ชีพหลบตาหวานด้วยสีหน้าท่าทางว้าวุ่นใจ
หวานนั่งซึมกอดเข่าจับเจ่าอยู่บนเตียง แต่แล้วก็กลับฮึดฮัดท่าทางเอาเรื่องขึ้นมาทันที เธอลุกพรวด“เป็นไงเป็นกันสิวะ”
หวานตรงดิ่งออกจากห้องนอน
หวานตรงมาที่โทรศัพท์อย่างกระวนกระวาย เธอยกหูขึ้นแล้วก็ตกใจที่เห็นอุษากับธารินทร์ช่วยกันยกกาแฟกับผลไม้ผ่านมา
“อุ๊ย คุณษา..”
“ตกใจอะไรจ๊ะน้าหวาน แล้วกำลังจะโทรหาใครเหรอจ๊ะ” อุษาถาม
หวานมองโทรศัพท์ในมือรีบวางลงอย่างลุกลน
“เอ้อ..อ๋อ ปละเปล่าค่ะ อิฉันเห็นมันวางไม่สนิทเลยจะวางใหม่”
หวานฝืนยิ้มแล้วรีบเดินหลบไป อุษาเดินต่อแต่ธารินทร์มองตามหวานด้วยความสงสัย
ชีพขับรถเข้ามาจอดแล้วลงจากรถกำลังจะเข้าบ้าน ชีพชะงักที่เห็นหวานรออยู่ในเงามืด ชีพมองซ้ายขวาแล้วเดินเข้าไปหา
“น้าหวานมีอะไร”
“อิฉันขอร้องละคะคุณผู้ชายอย่าทำแบบนี้เลยอิฉันทนไม่ไหว”
“แต่น้าหวานสัญญาแล้วนะว่าจะไม่พูด”
“อิฉันไม่อยากเป็นคนเนรคุณกับคุณผู้หญิง เลิกเถอะนะคะมันบาป” หวานพูดจริงจัง “ถ้าคุณผู้ชายไม่เลิกกับนังรส อิฉันคงต้องบอกคุณผู้หญิง”
ชีพอึ้งและชักโมโห “เอาสิถ้าน้าหวานต้องการให้คุณผู้หญิงที่น้าหวานรักตายเร็วขึ้นก็บอกเลย ฉันก็คงห้ามน้าหวานไม่ได้ แต่ถ้าคราวนี้ลั่นทมตายก็เพราะน้าหวานนะไม่ใช่ใครที่ไหนจำไว้ด้วย”
ชีพเดินไปอย่างถือไพ่เหนือกว่า หวานยืนอึ้ง ธารินทร์แอบมองสองคนอยู่ที่มุมหนึ่ง
อุษามาส่งธารินทร์ที่รถ ธารินทร์มองไปที่ตัวบ้านก่อนจะพูด
“ษา ผมมีอะไรจะบอกคุณ”
“อะไรคะ”
“ผมคิดว่าน้าชีพกับรสสุคนธ์ไม่ได้เลิกกันจริงๆ”
อุษาตกใจ “คุณแน่ใจแล้วหรือคะ”
ธารินทร์พูดจริงจัง “ผมแน่ใจและที่สำคัญมีคนสมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้ด้วย”
“ใครกันคะรินทร์”
“น้าหวาน”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะน้าหวานรักคุณน้ามาก”
“ใช่น้าหวานรักคุณน้าแต่คุณน้าเป็นแค่นายจ้าง รสสุคนธ์เป็นหลานแท้ๆนะ” ธารินทร์บอก อุษาทำท่าไม่เชื่อ “ผมเห็นน้าหวานกับคุณชีพทำลับๆ ล่อๆ ทำให้ผมคิดว่าสองคนนั่นต้องมีอะไรที่ ปิดบัง..แล้วมันจะอะไร..ถ้าไม่ใช่เรื่องรสสุคนธ์”
“คุณแน่ใจหรือคะ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อลองจับตาดูน้าหวานให้ดี แต่อย่ามีปฏิกิริยาอะไรนะ ผมว่าแผนของพวกเขากำลังเริ่มต้นแล้วล่ะ ระวังตัวนะษา ผมห่วงคุณ”
อุษาพยักหน้า ธารินทร์ขึ้นรถขับออกไป อุษามองตาม
หวานลับๆล่อๆ พูดโทรศัพท์เอามือป้องปากกันเสียงดัง
“นังรสแกต้องเลิกกับคุณผู้ชายได้ยินมั้ย หยุดทำบาปเถอะคนเนรคุณไม่มีวันเจริญหรอก ข้าขอร้อง...ขอร้องละนังรสฟังกันบ้าง นังรส..นังรส...”
หวานชะงักมองโทรศัพท์อย่างฉุนๆ ก่อนจะพึมพำ“วางหูใส่กูเหรอฮึ่ม”
หวานทำท่าจะกดใหม่แล้วก็สะดุ้งสุดตัวกับเสียงอุษาที่ดังมาจากด้านหลัง
“โทรหาใครจ๊ะน้าหวาน”
หวานหันกลับมาหน้าซีดเผือด อุษาเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดเรื่อยๆ
“เหมือนจะได้ยินชื่อรส โทรหารสสุคนธ์เหรอจ๊ะ”
หวานซีดหนักขึ้นจนพูดไม่ออก อุษามองอย่างระแวงแต่แล้วกลับยิ้มแล้วพูดนิ่มๆ
“ไม่เห็นต้องตกใจหรือกลัวเลยนี่ ยังไงรสก็เป็นหลานน้า น้าหวานจะโทรถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้างก็ไม่เห็นแปลก”
หวานพยายามคุมสติตัวเอง “คือง่า..อิฉันก็อดห่วงมันไม่ได้นะคะคุณ”
“ตามสบายเถอะจ้ะษาจะขึ้นห้องแล้ว”
อุษายิ้มเหมือนไม่มีอะไรแล้วเดินไป หวานถอนใจระบายความอึดอัด
อ่านต่อตอนที่ 7