อย่าลืมฉัน ตอนที่ 6
เกนหลงเลื่อนแบบแปลนโรงแรมสไตล์บูธีคโฮเต็ลให้ผู้ออกแบบ 2 คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามดู
“เกนตรวจแบบอาคารที่พักแล้ว มีแก้เล็กน้อย เขียนกำกับไว้แล้วค่ะ”
“ได้ครับ ผมจะกลับแก้ไขเรียบร้อยแล้วจะรีบส่งมาให้ดูอีกที”
สถาปนิกยกมือไหว้แล้วก็เดินกันออกไป คุณพจน์ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมด้วย หันมาพูดกับลูกสาว
“ถ้าโรงแรมแห่งใหม่สร้างเสร็จ ลูกต้องมาคุมให้พ่อนะ ห้ามเบี้ยว”
“รับทราบค่ะ กว่าโรงแรมจะเสร็จ เกนก็พักจนชุ่มปอด พร้อมทำงานแน่นอน”
เกนหลงบอกเสียงอ้อนๆ
“ดีมาก ! เออ แล้วเรื่องไปเป็นเลขาให้เขมชาติ เป็นยังไงบ้าง ? เริ่มหรือยัง ?”
“จะเริ่มแล้วค่ะ เร็วๆนี้เกนจะเข้าไปฝึกงานกับ “คุณสุ” เลขาคนปัจจุบันน่ะค่ะ จริงๆเขาก็ดูเป็น
เลขาที่ดี ทำไมเขมไม่ชอบก็ไม่รู้ อ้อ..คุณสุเป็นภรรยาคนสุดท้ายของเจ้าสัวชวลิต รัตนชาติ นะคะคุณพ่อ”
“หา” คุณพจน์ตกใจ “รวยระดับนั้นจะมาเป็นเลขาทำไม ลูกรู้หรือเปล่า ?”
เกนหลงคิด เริ่มสงสัยขึ้นมาเช่นเดียวกัน
เกนหลงไม่ปล่อยให้ความสงสัยค้าคาใจ จึงเริ่มต้นสืบหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็พบคอลัมน์
“ปิดรั้วบ้าน รัตนชาติ” เกนหลงอ่านด้วยความสงสัย
“ในบทสัมภาษณ์ไม่เห็นมีใครพูดถึงคุณสุเลย (คิด) คุณสุกับคนในรัตนชาติต้องมีปัญหากันแน่ๆ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เกนหลงหันไปหยิบมาดู ไม่มีชื่อขึ้น เกนหลงกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
ในขณะที่อรทัยคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน น้ำเสียงที่พยายามให้ดูเป็นกันเองมากที่สุด
“คุณเกนหลง อรเองนะคะ อรทัย รัตนชาติ น้องสาวพี่เอื้อ คิดว่าน่าจะจำกันได้นะคะ”
สุริยงยืนรอที่นอกตึก ชะเง้อมองก็ยังไม่เห็นวี่แววของเขมชาติ ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆ เริ่ม
ทยอยกลับบ้านจนหมดแล้ว ลมฝนเริ่มพัดมา ฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตก สุริยงตัดสินใจเดินออกไป แต่ รปภ.
รีบเดินมาดักไว้ก่อน
“คุณสุริยงครับ ยังไปไม่ได้นะครับ คุณเขมชาติสั่งให้ผมคอยดูคุณไว้ ไม่ให้กลับ ถ้าคุณเขมลง
มาไม่เห็น..ผมซวยแน่ๆครับ”
สุริยงหันมาทาง รปภ. “ฉันไม่กลับหรอก..กลับไปทำงานต่อเถอะ”
“ครับ” รปภ. รีบคำแล้วเดินกลับไป
สุริยงเดินกลับมายืนที่เดิม พร้อมๆ กับที่ลมฝนพัดกรูเข้ามา
จดหมายลาออกของสุริยงยังวางอยู่ตรงหน้า เขมชาติเดินไปเดินมายังคิดไม่ตก พลันฟ้าก็แล่บ
แปล้บ เขมชาติหันมามองที่หน้าต่าง เห็นว่าฝนกำลังจะมา
สุริยงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่ฝนตกมาซู่ใหญ่ เธอจึงมองหาที่กำบัง ซึ่งก็อยู่ไกลพอประมาณ..
ระหว่างกำลังวิ่งไปสมุดแฟ้มงานก็ร่วงลงพื้น สมุด กระดาษ หล่นเกลื่อน สุริยงส่ายหน้า รีบก้มลงเก็บท่ามกลางฝนที่
กระหน่ำลงมาอย่างหนัก
สุริยงกำลังเก็บของกลางสายฝน ทันใดนั้นมีร่มยื่นเข้ามากันฝน และสุริยงเงยหน้า ก็พบว่าเป็น
เขมชาติ ที่ยื่นร่มเข้ามา หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ พลางยันตัวลุกขึ้น และเข้าไปยืนอยู่ในร่มคันเดียวกัน
“กลับได้แล้ว”
พูดจบก็เดินไปดื้อๆ ทิ้งสุริยงไว้ที่เดิม สุริยงรีบเดินตากฝนตามไป เขมชาติเดินถือร่มไปที่รถอย่าง
สบายใจ ในขณะที่สุริยงวิ่งตามฝนหัวซุกหัวซุน เขมชาติยิ้มร้าย
รถเขมชาติจอดรออยู่กลางสายฝน เจ้าของรถเข้าไปนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่
สุริยงเปิดประตูเข้ามาในรถทั้งที่ตัวเปียกโชก เขมชาติปรายตามองแล้วก็พูดกวนๆ
“ระวังอย่าทำให้เบาะรถเปียก!ผมไม่ชอบ”
สุริยงปรายตามอง แล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดแขน เช็ดเสื้อผ้า ซับๆ แล้วก็แกล้ง
สะบัดผ้า น้ำกระจายใส่หน้าเขมชาติ แล้วแกล้งทำเป็นตกใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”
เขมชาติหันหน้าขวับกลับมาทันที
“ไม่ได้ตั้งใจอะไร แบบนี้มันตั้งใจแกล้งกันชัดๆ”
น้ำเสียงเริ่มไม่สบอารมณ์
“เหมือนกับที่ผู้อำนวยการ ตั้งใจแกล้งให้ดิฉันยืนรอ จนฝนตกหน่ะเหรอคะ ?”
สุริยงไม่ยอมแพ้
“ถ้าใช่...ก็ถือซะว่า..เราหายกัน”
เขมชาติมองหน้าสุริยงแค้น ก่อนที่จะออกรถไปอย่างแรง สุริยงรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดแทบไม่
ทัน
“ที่โรงงานไม่ได้มีปัญหา อ้าว แล้วคุณเขมสั่งให้ผมมาทำไมเนี่ย ?”
วิบูลย์ถามสมคิด ที่ยืนอยู่ด้วยกันในห้องย้อมด้าย ภายในโรงงานด้วยความประหลาดใจ
“ผมแวะมาเตรียมจัดงานต้อนรับลูกค้าตั้งแต่เย็น ไม่มีอะไรผิดปกตินะ”
คำตอบของสมคิด ทำให้วิบูลย์ยิ่งงหนัก
“แต่คุณเขมบอกผมแบบนั้นจริงๆ ขนาดผมบอกว่าคุณสุรถเสีย ผมต้องไปส่งที่บ้าน ก็ยังรีบไล่ให้ผม
มาโรงงาน บอกว่าจะไปส่งคุณสุให้เอง”
สมคิดหันขวับมา
“นั่นไง ผมว่าเพราะเหตุผลนี้แหละที่คุณเขมส่งคุณมาที่นี่”
“เหตุผลอะไร”
วิบูลย์ไม่วายสงสัย
“ก็คุณสุไง ผมว่านะ คุณเขมจะต้องหาจังหวะคุยกับคุณสุเรื่องลาออกแน่ๆ เลยส่งให้คุณมาที่นี่”
สมคิดตั้งข้อสังเกต
“ขนาดนั้นเลย ที่จริง บอกตรงๆไม่ต้องให้ผมขับรถมาก็ได้นะครับ ออกนอกเมืองตอนเย็น รถติดยัง
กับอะไรดี นั่งจนก้นชาไปหมดแล้ว”
“เอาน่า ยอมก้นชา ถ้าคุณเขมเปลี่ยนใจไม่ให้คุณสุลาออกได้ ถือว่าคุ้ม”
สมคิดมองโลกในแง่ดี
“ แต่...มันต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ ? มันมากไปหน่อยหรือเปล่า”
“พูดยังกับไม่รู้ว่าคุณเขมเป็นยังไง แค่นี้ไม่มากไปหรอก ยิ่งกว่านี้เราก็เจอกันมาแล้ว”
สมคิดยิ้ม แล้วก็หันไปทำงานต่อ ในขณะที่วิบูลย์ยังยืนอยู่ที่เดิม ยังรู้สึกคาค้างใจอยู่ดี
รถเขมชาติแล่นมจอดที่หน้าบ้านสุริยง
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”
สุริยงหันมาบอกเขมชาติ พลางขยับตัวเตรียมจะลง แต่เขมชาติรีบเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยว”
สุริยงหันมา เขมชาติพูดต่อ โดยไม่มองหน้าคนฟัง
“เรื่องลาออก ผมไม่ให้ออก”
สุริยงพูดนิ่มๆ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ให้ออก ดิฉันก็จะออกค่ะ”
“ทนรับความจริงไม่ได้ก็ “หนี” ไม่กล้าบอกความจริงก็หนี”
“ดิฉันไม่เคยหนี”
สุริยง เสียงแข็ง
“แล้วที่เขียนข้อความทิ้งไว้ แล้วหายไปแต่งงาน เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ชุบตัวใหม่ ไม่ยอมรับ
ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง” เขมชาติเริ่มเสียงดัง “ ถ้าไม่เรียกว่า หนี แล้วเรียกว่าอะไร”
สุริยง ทิ้งจังหวะชั่วครู่ก่อนจะสวนกลับ
“เรียกว่า “เริ่มต้นชีวิตใหม่” ในเมื่อเงื่อนไขในชีวิตมันเปลี่ยนไป เราจะอยู่แบบเดิมไม่ได้ เพื่อความ
อยู่รอด เราก็ต้อง “ทิ้ง” อะไรเดิมๆ แล้วก็เริ่มต้นสิ่งใหม่”
เขมชาติสะอึก สุริยงพูดต่อ
“แต่ถ้าผู้อำนวยการจะคิดว่ามันคือการ “หนี” ดิฉันก็จนปัญญาจะอธิบาย”
พลางตั้งท่าจะลงจากรถอีกครั้ง แต่ก็ไม่ก่อนที่เขมชาติจะยิงคำถามไม้ตาย
“ถ้าอดีตมัน “ทิ้ง” ได้ง่ายขนาดนั้น..ที่ผ่านมาคุณเคยรักใครบ้างหรือเปล่า”
สุริยงสะดุดกึก หันหน้าออกมาทางหน้าต่าง แววตาวูบนั้นเห็นคำตอบว่า “รัก” แต่มันฉายออกมา
แว่บเดียว แว่บเดียว แล้วก็หายไป หากหญิงสาวกลับตอบด้วยน้ำเสียงแห้งผาก
“ดิฉันแต่งงานแล้วนะคะ ไม่น่าจะต้องมาถามคำถามแบบนี้”
สุริยงเปิดประตูลงจากรถไป เขมชาติมองตาม พลางรีบเปิดประตูลงตามไป
“ไม่เคลียร์”
“แต่การแต่งงานก็ไม่ได้แปลว่าจะเคยมีความรัก”
เขมชาติเดินตามมาราวี อย่างไม่ยอมลดละ
“บางคนแต่งเพราะหน้าตาทางสังคมบางคนก็แต่งเพราะเงิน”
สุริยงนึกรู้ว่าโดนแดกดัน หากเธอก็หันมายิ้ม
“ ใช่ค่ะ สำหรับบางคนเงินสำคัญกว่าความรัก เคยได้ยินมั้ยคะที่เขาบอกว่า ความจนเข้าทางประตู
ความรักก็ออกไปทางหน้าต่าง หมดยุคกัดก้อนเกลือกินแล้วค่ะ แต่งเพราะรักแล้วไปลำบากด้วยกัน มีแต่ในนิยาย
น้ำเน่า”
เขมชาติสะอึก มองหน้าสุริยงด้วยแววตาเกลียดชัง
“นี่คือตัวจริงของคุณ หรือว่าความอยากได้อยากมีทำให้คุณเปลี่ยนไป สุริยาวดีที่ผมเคยรู้จักไม่ใช่
คนแบบนี้ “
สุริยงเจ็บจนหน้าชา แต่เก็บไว้ ไม่แสดงออก
“ดิฉันไม่ทราบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง แต่ดิฉัน สุริยง รัตนชาติ คือคนแบบนี้ ดิฉันไม่ยึดติดกับ
อะไรในอดีตทั้งนั้น”
พูดพลางจ้องหน้าเขมชาติ
“เลือกจำแต่สิ่งที่ดีๆ อะไรที่จำแล้วทุกข์ก็ลืมมันไป”
จบประโยค สุริยงก็หันหลังจะเข้าบ้าน หากเขมชาติไม่ยอม คว้าแขนสุริยงดึงกลับมา สุริยงตกใจ
สะดุ้งสุดตัว
เขมชาติ มองหน้าสุริยง แววตาทั้งรัก ทั้งแค้น
“แล้วคุณก็เลือกที่จะลืมผมใช่มั้ย ? สุริยาวดี!”
สุริยงสะอื้นในใจ แต่ต้องใจแข็ง แล้วก็สวนกลับอย่างหนักแน่น
“ถ้าผู้หญิงที่ชื่อสุริยาวดีทำให้คุณเจ็บ คุณก็ควรจะลืมเธอเช่นกัน”
เขมชาติสะอึก สองคนมองตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้นเสียง ไก่กับไข่ก็ดังมาจากในบ้าน
“แม่หนูเล็ก”
สุริยงสะดุ้ง เขมชาติเริ่มรู้สึกตัว
สุริยงได้ยินเสียงไก่ ไข่ วิ่งออกมา ตามด้วยเสียงเอื้อตะโกนไล่หลังตามมาติดๆ
“ นายไก่เพิ่งหายไข้ อย่าเพิ่งซ่า วิ่งช้าๆหน่อย”
สุริยงตกใจ รีบดึงแขนออกจากมือเขมชาติทันที อาการร้อนรนฉายแว่บออกมาทางแววตา
ไก่กับไข่เปิดประตูรั้วผั้วะออกมา
“แม่หนูเล็ก”
แล้วก็ชะงักกึก มองหน้าเขมชาติงงๆ เขมชาติปรายตามามองเด็กแฝด ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“ไก่ไข่ สวัสดีเจ้านายคุณแม่ด้วยครับ”
“สวัสดีครับ”
เขมชาติ ทำตัวไม่ถูก จึงไม่รับไหว้ หากทำได้แค่พยักหน้ารับ พลางมองหน้าไก่ ไข่ แล้วก็สะท้อน
ใจอะไรบางอย่าง เอื้อส่งเสียงถามก่อนจะเดินตามออกมา
“สวัสดีใคร อ้าว คุณเขม”
เอื้อกับเขมชาติเผชิญหน้ากัน เอื้องงๆที่เขมชาติมา ในขณะที่เขมชาติ ก็รู้สึกไม่พอใจ พลางแอบค่อนแคะเบาๆ “มาเฝ้าถึงบ้าน”
“พอดีหนูเล็กรถเสียน่ะค่ะ แล้วฝนก็ตกหนัก ผู้อำนวยการก็เลยขับรถมาส่ง”
สุริยงชิงอธิบายอย่างร้อนตัว
เขมชาติปรายตามามอง อย่างหมั่นไส้
เอื้อหันมาพูดกับสุริยง
“แล้วรถเป็นอะไรมากหรือเปล่า ?”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ ตอนนี้อยู่ที่อู่ พรุ่งนี้คงจะรู้ผล”
“งั้นพรุ่งนี้เช้าผมมารับไปทำงานเอง ตอนเย็นถ้าผมไม่ติดอะไรจะไปรับ ถ้าผมไปเองไม่ได้จะส่งคน
รถไป จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณเขม”
เอื้อเสนอตัว เขมชาติหน้าเชิด
เอื้อหันมาทางเขมชาติ แล้วพูดออกมาอย่างซื่อๆตรงๆ
“ขอบคุณคุณเขมมากนะครับที่มาส่งหนูเล็ก ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมดูแลเอง”
จากนั้นก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร เขมชาติปั้นหน้าไม่ถูก สุริยงปรายมามอง
“แม่หนูเล็กครับ ไข่หิวข้าว”
“อ้าว แล้วนี่ยังไม่ได้ทานกันเหรอ”
สุริยงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เอื้อรีบตอบแทน
“นายสองคนเขารอทานพร้อมหนูเล็ก งั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า ก่อนที่จะมีเด็กเป็นลมเพราะความ
หิว”
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ไก่ไข่ร้องดีใจ สุริยงยิ้ม เอื้อหันมาพูดกับเขมชาติ
“คุณเขมอยู่ทานด้วยกันมั้ยครับ ?”
สุริยงหุบยิ้มทันที เขมชาติหันมาเห็นพอดี
“อย่าดีกว่าครับ ผมไม่อยากรบกวนเวลาของครอบครัว ผมขอตัว”
พลางหันหลังจะเดินกลับรถ สุริยงมองตามนิดๆ อย่างโล่งอก เอื้อหันมาทางสุริยง แล้วก็โอบไหล่ไก่
กับไข่เดินคุยกันไป ดูเป็นบรรยากาศของครอบครัว ที่อบอุ่น น่ารัก
“นี่หนูเล็ก วันนี้ผมทำคูสคูส (Couscous) ของโปรดคุณด้วยนะ ทำเสร็จตั้งแต่เย็น อุ่นแล้วอุ่นอีก
หอมฟุ้งไปทั้งบ้านเลย”
“ใช่ครับ ห้อม หอม” ไก่สนับสนุน
ไข่รีบเสริม “น่ากินมาก”
เขมชาติเดินมาถึงรถแล้วก็แอบมองดูทั้งสี่คนที่กำลังเดินผ่านเข้าบ้านไปอย่างที่ความสุข
สุริยงยิ้มขำๆ
“ขนาดนั้นเลย ต้องรีบเข้าไปดู ว่าหอมน่ากินจริงๆหรือเปล่า”
“จริงๆครับ” เด็กแฝดช่วยกันยืนยัน
“ทำหน้าที่ได้ดีมาก เดี๋ยวพี่เอื้อมีค่าโฆษณาให้”
เขมชาติรีบเบือนหน้าหนี สุริยงปรายตามามองนิดๆ ความเห็นใจวูบขึ้นมาในแววตา ทั้งรู้สึกผิดนิดๆ
กับสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่ หากที่สุดกัดฟันใจแข็งหันหลังเดินเข้าบ้านไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขมชาติก็มาว่ายน้ำไป-กลับอย่างคนบ้าคลั่ง ในใจทั้งเคืองแค้น ทั้งริษยา พลาง
คิดหาทางเอาคืน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น สุริยงควานหยิบมาดูก่อนจะกดรับ
“คุณวิบูลย์..สวัสดีค่ะ”
ยังพูดไม่ทันไม่จบดี วิบูลย์ก็รีบสวนขึ้นมาทันที
“ขอโทษนะครับที่โทร.มาเช้าแบบนี้ พอดีคุณเขมโทร.มาสั่งให้ผมไปรับคุณสุที่บ้าน แล้วก็พาคุณสุ
ไปโรงงาน ต้องให้ถึง 7 โมง บอกว่ามีงานด่วนมาก จะให้คุณสุทำครับ”
“เจ็ดโมง ?”
สุริยงทวนคำเสียงสูง พลางหันไปดูนาฬิกา “ตี 5 ครึ่ง”
เขมชาติยืนสั่งงาน อยู่ที่หน้าห้องโชว์รูมภายในโรงงาน
“พรุ่งนี้จะมีทีมงานต่างชาติขอมาดูงานที่โรงงาน ผมต้องการให้คุณทำความสะอาดบริเวณนี้ !
เก็บขยะ กวาด และทำความสะอาดพื้น จัดพื้นที่ให้เป็นจุดพักดื่มน้ำหลังเดินชมโรงงาน ทำความสะอาดฝุ่นและ
สมคิด วิบูลย์ หน้าตาตื่น ในขณะที่สุริยงยืนอึ้ง
“หะ ทำความสะอาดบนโน้น จริงๆเหรอครับ” สมคิดถามย้ำ
“ใช่ ผมต้องการให้ผู้มาเยี่ยมชมชุดนี้ ประทับใจมากที่สุด”
วิบูลย์รีบแย้ง
“แต่งานนี้มันจะหนักไปสำหรับคุณุสนะครับ ผมว่าให้ช่างกับแม่บ้านมาช่วยกันทำดีกว่า”
“ไม่ได้ วันนี้ผมจะให้แม่บ้านไปทำความสะอาดด้านหน้า ส่วนช่างก็ต้องเตรียมข้อมูลสำหรับทัวร์
วันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ทั้งวันจะไม่มีใครว่าง นอกจาก ....” พลางปรายตามาทางสุริยง “เลขาคนเก่งของพวก
คุณ”
“แต่เราเหลือเวลาอีกไม่มากนะครับ” สมคิดพยายามต่อรอง
“ผมรู้ ผมถึงนัดมาตั้งแต่เช้า และงานนี้ไม่มีคำว่า “เรา” ผมมอบหมายให้สุริยงทำเพียงคนเดียว
คุณสองคนไม่เกี่ยว”
“หา ผมว่าคุณสุคนเดียว ทำไม่ได้หรอกครับ”
“ชื่นชมกันหนักหนาว่าเก่ง แค่งานทำความสะอาดง่ายๆแค่นี้ทำไมจะทำ ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำยังไง
แต่ทุกอย่างจะต้องสะอาดเอี่ยมภายในวันนี้”
สุริยงแอบเครียด แต่ก็ยังใจสู้ “ได้ค่ะ”
เขมชาติยิ้มเหยียด สมคิดกับวิบูลย์มองสุริยงด้วยความเห็นใจ
“คุณสุครับ“ สมคิดยังพูดไม่ทันจบ เขมชาติก็รีบพูดแทรกขึ้น
“คุณสมคิดเดี๋ยวคุณไปช่วยผมดูเครื่องบำบัดน้ำเสียตัวใหม่ที่เพิ่งสั่งเข้ามา ส่วนคุณวิบูลย์ไปดู
ความเรียบร้อยที่ช็อป แล้วมารายงานผมด้วย”
สมคิด วิบูลย์จำใจรับคำ “ครับ”
เขมชาติปรายตามองสุริยง ก่อนที่จะยิ้มร้าย แล้วเดินออกไป สมคิดมองด้วยความเป็นห่วง แล้วก็
จับไหล่ให้กำลังใจสุริยงก่อนจะเดินตามเขมชาติไป วิบูลย์มองด้วยความเห็นใจแล้วก็จำใจต้องเดินตามออกไป
สุริยงมองโรงงานรอบๆ แหงนมองเพดานด้วยความหนักใจ
ที่ห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด สุริยงเลือกไม้กวาด สารพัดแบบ รวมทั้งผ้า และน้ำยาทำความ
สะอาดพื้น ก่อนที่จะหยิบอุปกรณ์ใส่รถเข็นที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็เข็นไปยืนข้างรถกระเช้ามีคนงานอธิบายวิธี สีหน้า
สุริยงหนักใจมาก
สุริยงขับรถกระเช้าฝ่าเปลวแดดด้วยความทุลักทุเล ในขณะที่เขมชาติยืนอยู่มุมหนึ่งมองสุริยงขับ
รถฝ่าเปลวแดด ด้วยความเป็นห่วงลึกๆ แต่ไม่ยอมรับ แล้วก็เบือนหน้าหนีทำไม่สน สมคิดยืนอยู่ไม่ห่างมองสุริยง
ด้วยความเห็นใจ
รถตำรวจนำขบวนคาราวานบิ๊คไบค์แล่นมาตามทาง,มุ่งสู่เขาใหญ่ ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนระอุ
ทุกคันจะมีคนนั่งซ้อนมาด้วย ยกเว้นของเอื้อ ที่ขี่อยู่แถวหน้า
ขบวนรถมุ่งเข้าสู่ประตูโรงแรมหรู ด้านหน้าเป็นป้ายผ้า “ยินดีต้อนรับชาวคณะ Ride For Reading งานการกุศลเพื่อหารายได้ซื้อหนังสือให้ห้องสมุดในโรงเรียนห่างไกล สนับสนุนโดย ธนาคารรัตนชาติ” พนักงานโรงแรม ยืนแถว พร้อมกับปรบมือ รถเข้าจอดเทียบทีละคัน สวยงาม
อัมพิกาเดินมาต้อนรับ พร้อมยิ้มทักทาย ก่อนที่จะเดินมาดึงเอื้อขึ้นมายืนที่ด้านหน้า แล้วก็พูดต้อนรับชาวคณะ
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน และเอื้อ ขอขอบคุณทุกท่านที่ควักกระเป๋าซื้อบัตรเข้ามาร่วมงาน Ride for reading
เพื่อหาทุนซื้อหนังสือให้เด็กๆในโรงเรียนห่างไกล ในงานนี้นอกจากทุกท่านจะได้ฟินกับการขับขี่รถคู่ใจจากกรุงเทพ
มาเขาใหญ่แล้ว เรายังมีรายการให้ร่วมสนุกอีกมาก ตอนนี้เชิญพักผ่อนในล็อบบี้ เราได้เตรียมเครื่องดื่มเย็นๆไว้ให้จากนั้นเรามีกิจกรรมพิเศษที่สวนด้านหลัง ใครยังมีแรงเหลือ เจอกันค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ทุกคนปรบมือ อัมพิกาและเอื้อยิ้มรับ ชาวคณะแยกย้ายกันไป เอื้อกำลังจะไป หากอัมพิการีบเรียก
ไว้
“เอื้อ เดี๋ยวเราเข้าร่วมกิจกรรมด้วยนะ”
เอื้อหันมาทางพี่สาว
“กิจกรรมอะไรครับ ?”
“จับคู่แข่งทำอาหาร แล้วพี่ก็หาคู่มาให้เราแล้ว “
เอื้องง อัมพิกาพยักเพยิดไปทางด้านหลังเอื้อ
“อร ทางนี้”
เอื้อหันไปดู ในใจคิดว่าอัมพิกาจับคู่ให้ตัวเองคู่กับอรทัยน้องสาว หากก็ต้องชะงักด้วยความแปลก
ใจ
“เกนหลง”
อรทัยเดินมากับเกนหลง ที่อยู่ในชุดสปอร์ตแบบทะมัดทะแมง น่ารัก สดใส
เกนหลงยิ้มให้เอื้อ
“พร้อมจะลงแข่งหรือยังคะ เชฟพี่เอื้อ ?”
อรทัยยิ้มกริ่มยืนอยู่ข้างๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์ ส่งยิ้มให้อัมพิกาที่ยืนอยู่ข้างเอื้ออย่างรู้กัน เอื้อมองหน้า
อัมพิกา กับอรทัยอย่างก็รู้ทันพี่น้องของตัวเอง
สุริยงในสภาพเหงื่อท่วมตัว ทรุดตัวนั่ง หอบพลางโบกมือ พัดใส่หน้าตัวเอง ก่อนที่จะเหลือบดูนาฬิกา บ่ายสอง
สุริยงรีบสะบัดรองเท้าส้นสูงทิ้ง แล้วก็ดึงเสื้อที่ทับอยู่ในกระโปรงออก พลางแหงนไปมองเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
เกนหลง ยืนอยู่ข้างเอื้อ ข้างหน้ามีโต๊ะพร้อมอุปกรณ์ทำอาหารวางอยู่ รอบๆมีผู้เข้าแข่งขันอีก 5-6 คู่ ตั้งโต๊ะล้อมเป็นวง พิธีกรยืนอยู่ตรงกลาง
เอื้อ หันมาพูดกับเกนหลง
“เกนมาได้ไงเนี่ย ?”
“คุณอรติดต่อมาทางเพื่อนของเพื่อนอีกทีค่ะ บอกว่าจะชวนมางานการกุศลของธนาคาร แล้วก็มา
เป็นคู่แข่งขันของพี่เอื้อด้วย เกนนึกว่าพี่เอื้อรู้ตัวซะอีก”
เกนหลงพูดจบ พร้อมๆ กับเสียงของพิธีกร ดังขึ้นมาจากกลางวง
“การแข่งขันทำอาหารของเราง่ายมาก เรามีเวลาให้หนึ่งชั่วโมงทำเมนูอะไรก็ได้ตามใจ แต่มีข้อแม้
อยู่อย่างเดียวคือ ต้องใช้วัตถุดิบในไร่ด้านหลังนี้เท่านั้น”
“พี่ก็เพิ่งรู้นี่แหละ”
เอื้อหันมาบอกเกนหลง แล้วก็คุยกันด้วยท่าทีสนิทสนม
อรทัยยืนอยู่มุมหนึ่ง สะกิดให้อัมพิกาดู สองคนมองแล้วก็ยิ้มพอใจ เอื้อหันมาพอดี เห็นสองสาว
กำลังมองอยู่ พอสายตาประสานกัน สองสาวก็ทำเป็นหันไปมองพิธีกร เอื้อหลิ่วตา รู้ทัน
พิธีกรดำเนินรายการต่อเนื่อง
“เราจะมีกรรมการเป็นเชฟสามท่านจากโรงแรม เป็นคนตัดสิน คู่ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษในค่ำคืน
นี้ ส่วนรางวัลจะเป็นอะไร ต้องลุ้นกันเอาเองนะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มได้เลยครับ”
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปรบมือกันสนุกสนาน คู่อื่นๆ เริ่มกระจายกันไปหาวัตถุดิบ
“ไม่ต้องห่วงนะคะพี่เอื้อ เรื่องอาหารเกนถนัดอยู่แล้ว พี่เอื้อยืนเชียร์ได้เลย”
“พูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ ถึงหน้าไม่ให้ แต่ขอโทษฝีมือระดับมิชิลินนะครับ”
เอื้ออวดสรรพคุณแบบขำๆ
“โอเค ถ้ามั่นมาก ก็ทำด้วยกัน แต่ถ้าแพ้เกนไม่ยอมจริงๆนะคะ”
“ได้เลย เพราะถ้าแพ้ไม่ใช่เพราะพี่แน่ๆ”
เอื้อกับเกนหลงยิ้มแล้วยักคิ้วท้าทายกัน ก่อนที่จะคว้าตะกร้าเดินลุยเข้าไปหาวัตถุดิบ
อรทัยและอัมพิกาหันมาตีมือกันอย่างถูกใจ
สุริยงอยู่บนกระเช้ารถเครน สวมผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกผม หน้าตามอมแมม กำลังเช็ดฝุ่นและหยากไย่ที่ตะแกรงบนเพดานสูงๆ เหงื่อออกซึม หน้าแดงก่ำ ด้วยความเหนื่อย ฝุ่นละอองที่อวลไปทั่วบริเวณ ทำเอาเธอถึงกับจามแล้วจามอีก
ในขณะที่เขมชาติแอบมอง ดูนาฬิกาไปด้วย สุริยงหันมาเห็นเขมชาติยืนอยู่ชูนาฬิกาขึ้นเหมือนจะบอกให้เร็วๆ สุริยงหันหนี ด้วยความเซ็ง แล้วก็รีบทำต่อ
ทางด้านเอื้อกับเกนหลง ก็ช่วยกันเก็บองุ่น ช่วยกันเลือกดูอย่างคนที่ดูของเป็น แล้วย้ายไปที่แปลงผักช่วยกันเก็บผักมีความสุข เอื้อจะเก็บให้เยอะๆแต่เกนหลงห้าม แล้วชี้ให้ดูอีกคู่ที่เมียเอาของใส่ตะกร้าให้สามีถือเยอะมากจนทะเลาะกัน เอื้อกับเกนหลงเห็นแล้วแอบขำ
จากนั้นทั้งคู่ ก็ช่วยกันทำอาหารอย่างเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เอื้อเอื้อมมือจะหยิบเครื่องปรุง เกนหลงก็รู้ใจส่งให้เลย อัมพิกา อรทัย มองแล้วก็ยิ้ม
เศษขยะ และข้าวของที่ไมได้ใช้แล้ว ถูกกวาดมารวมกันระเกะระกะอยู่เต็มพื้น วิบูลย์ที่แอบเข้ามาช่วยด้วย หันมาถามสุริยงด้วยความเป็นห่วง และเห็นใจ
“ของพวกนี้คุณสุจะทิ้งใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมเอาไปทิ้งให้”
“ขอบคุณค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของวิบูลย์ ก็ดังขึ้น วิบูลย์รีบกดรับ
“ครับคุณเขม ครับๆ จะไปเดี๋ยวนี้ครับ ขอโทษนะครับคุณเขมให้ผมไปช่วยดู ที่จอดรถสำหรับพรุ่งนี้
เดี๋ยวผมแว่บมาช่วยใหม่”
วิบูลย์รีบเดินออกไป ด้านนอกอีกมุมหนึ่ง เห็นเขมชาติยืนมองอยู่แล้ว แอบหงุดหงิดนิดๆ ที่เห็น
วิบูลย์แอบเข้าไปช่วยสุริยง
ในขณะที่การแข่งขันทำอาการที่เขาใหญ่ดำเนินมาถึงตอนตัดสินแล้ว กรรมการเดินชิมอาหารที่ตั้งอยู่เรียงรายเต็มโต๊ะ แล้วเอาป้ายที่หนึ่งมาปักตรงหน้าคู่ของเอื้อกับเกนหลง ทั้งสองดีใจกระโดดตีมือกัน อัมพิกาและอรทัยหันมายิ้มให้กัน ที่แผนการสำเร็จไปได้ด้วยดี
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
สมคิด กับ วิบูลย์ เดินมาเจอกันที่ด้านหน้า ต่างคนต่างก็มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นเขมชาติ แล้วก็รีบเดินเข้าไปในโชว์รูมตั้งใจว่าจะไปช่วยสุริยง พอเดินเข้ามาในห้องก็เห็นสุริยงอยู่บนบันได กำลังจะเอื้อมมือขึ้นไปเช็ดกระจกในมุมสูง เห็นบันไดส่ายไปมา สมคิด วิบูลย์ตกใจรีบร้องขึ้น
“คุณสุ ระวังครับ”
สุริยงงง หันมา สมคิดกับวิบูลย์รีบเข้ามาช่วย
“บันไดมันจะล้มอยู่แล้วครับ” สมคิดบอกด้วยความเป็นห่วง วิบูลย์ช่วยเสริม
“ใช่ครับ ผมปีนขึ้นไปติดให้เองดีกว่า คุณสุลงมาเถอะครับ”
สมคิดกับวิบูลย์กุลีกุจอจะเข้าไปช่วย ทันใดนั้นเสียงดุๆ ของเขมชาติก็ดังขึ้น
“ทำอะไรกัน”
“เฮ้ย”
วิบูลย์สะดุ้ง หันไปมองเขมชาติ ขณะที่ไม่ทันระวังตัว จึงเผลอเตะถังน้ำที่มีน้ำยาล้างพื้นล้มลง น้ำเจิ่งนอง แล้วตัวเองก็งลื่นเสียหลักเซจะล้ม
สมคิดร้องเตือนด้วยวามตกใจ “ระวังง”
ทว่าก็ไม่ทัน วิบูลย์เสียหลักจะล้มลง มือคว้าสะเปะสะปะ จนมาจับเอามือสมคิดแล้วก็ลากเข้ามาในพื้นที่เปียกลื่นด้วยกัน ก่อนที่จะล้มเสียหลักไปชนกับบันไดของสุริยงโครมใหญ่
เขมชาติหันไปเห็นสุริยงกำลังจะตกจากบันได ในวูบนั้นจึงเกิดอาการลืมตัวชั่วขณะ ปล่อยให้ความเป็นห่วงหลุดรอดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“วดี”
เขมชาติรีบวิ่งเข้าไปหาสุริยงที่กำลังจะร่วงลงมา พลางพุ่งตัวเข้าไป และรับตัวสุริยงไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
ทั้งสองคนล้มลงที่พื้น เขมชาติรีบหันมาและถามสุริยงด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่า ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ?”
สุริยงอึ้ง มองเขมชาติที่กำลังจับแขน และ ถามตัวเองด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ตอบเบาๆ แบบยังงงๆ อยู่
“ไม่เจ็บค่ะ”
วิบูลย์ สมคิดค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล และเมื่อหันมาเห็นภาพเขมชาติและสุริยงตรงหน้า ทั้งคู่ ก็อ้าปากค้าง
เขมชาติเหลือบเห็น ก็รู้สึกตัว รีบทิ้งสุริยงลงพื้นอย่างแรง ก่อนที่จตะลุกพรวดขึ้น และทำเสียงเข้มใส่สมคิด กับวิบูลย์
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ให้มาช่วย แล้วมาทำอะไรกัน ?”
สมคิดกับวิบูลย์อึกๆอักๆ เขมชาติรีบปรายตามาทางสุริยง
“ใช้มารยาตามถนัดอีกหล่ะสิ ถึงได้เรียกมาได้ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ นี่ถ้าปล่อยให้อยู่นานกว่านี้ คงจะเรียกผู้ชายมาได้ทั้งโรงงาน”
สุริยงหันขวับมามองเขมชาติ ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ สมคิดเห็นแล้วก็สงสารรีบแทรกเข้ามาช่วย
“ดะ เดี๋ยวครับ คือ คุณสุไม่ได้เรียกเราสองคนมาช่วยนะครับ ราแค่เดินมาทักทาย มาดูว่าทำไปถึง
ไหนแล้ว ก็แค่นั้นครับ”
“เดินมาดู”
“ครับๆ”
“งั้นก็ดูเสร็จแล้วนี่ รีบกลับไปได้ต่อได้แล้ว”
วิบูลย์มองดูสภาพห้อวที่ยังเละเทะมาก “แต่”
“ไม่ต้องแต่ คุณมาช่วยผมเช็คด้ายชุดใหม่ที่เพิ่งมาลงด้วยถ้าไม่เป็นอะไรก็ทำงานต่อได้ อย่าลืมวันนี้
ต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จ ไม่ต้องกลับ”
เขมชาติเดินออกไป สุริยงได้แต่ยืนงงๆ มองของที่เกลื่อนกลาดเต็มห้อง วิบูลย์หน้าจ๋อยๆ
“ผมขอโทษจริงๆครับ”
“วิบูลย์” เขมชาติตะโกนเร่ง
“ครับ ไปแล้วครับ”
วิบูลย์หันมามองสุริยงอีกครั้งด้วยความเสียใจ แล้วก็รีบเดินตามเขมชาติออกไป ในขณะที่สมคิดยืน
อยู่ที่เดิม เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดแขนของตัวเอง แล้วก็คิดๆ จะเดินตามไป แต่แล้วก็เดินกลับมาหาสุริยง
“ผมว่า คุณสุพักสักแป๊บดีกว่านะครับ ล้างมือ ล้างตัวสักหน่อย ผมก็จะไปล้างเหมือนกัน เสร็จแล้ว
เดี๋ยวผมไปเอากาแฟมาให้”
สุริยงคิดๆ แล้วก็พยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
สมคิดยื่นแก้วกาแฟให้สุริยง พลางนั่งลงข้างๆ มองสุริยงที่นั่งเหนื่อย หอบ แล้วก็เริ่มเล่า
“ ผมรู้ว่าการเจอกันครั้งแรกของคุณกับคุณเขมมันไม่ค่อยจะน่าจดจำเท่าไหร่ ของผมก็ไม่ต่างกัน ตอนผมเจอคุณเขมครั้งแรก ความรู้สึกของผมก็คือ ไอ้เด็กคนนี้มันบ้า”
สุริยง ชะงัก พลางหันกลับมาถาม
“บ้า ยังไงคะ ?”
“บ้า ที่กล้าไว้ใจผู้ชายแก่ๆ กับโรงงานเก่าๆ ที่กำลังจะเจ๊ง”
สุริยงแปลกใจ สมคิดเล่าต่อ
“ตอนนั้นเขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก ถ้าผมจำไม่ผิด พอจบตรี เขาก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางด้าน
วิทยาศาสตร์สิ่งทอที่อเมริกา แล้วก็ไปได้คอนเนคชั่นเกี่ยวกับการทอผ้าสำหรับทำแอร์แบคในรถยนต์มาจากที่โน่น
เชาก็กลับมาเพื่อหาโรงงานที่จะทำส่ง และเขาก็เลือกผม คนแก่ที่หมดไฟ”
สมย้อนคิดคิดถึงอดีต...
ภาพในอดีต สมคิด บอกกับเขมชาติด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง
“โรงงานผมกำลังจะเจ๊ง คุณไปหาที่อื่นเถอะ ผมทำให้คุณไม่ได้”
เขมชาติ ที่ขณะนั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม ที่มีพลังในแววตาเต็มเปี่ยม
“คุณไม่ต้องทำอะไร ผมทำเอง ผมมีตลาด มีสมอง ผมเรียนทางด้านนี้มาโดยตรง ผมต้องการแค่
เครื่องจักรเท่าที่คุณมี ผมก็ทำผ้าส่งลูกค้าได้แล้ว คุณไม่ต้องทำอะไร แค่เชื่อใจผม ให้ผมใช้เครื่อง แล้วเราจะรวยไป
ด้วยกัน”
สมคิดมองหน้าเขมชาติที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น พลางคิด
เขมชาติทำงานทุกอย่างอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ดูเครื่อง สั่งเครื่อง ดูผ้า จนกระทั่งทำเสร็จเป็นม้วนๆอย่าง
สวยงาม มีสมคิดคอยช่วยเหลือ และเฝ้าดูเขมชาติที่ทำงานอย่างหนัก ไม่หลับไม่นอน
ลูกค้าฝรั่งเช็คผ้าและพยักหน้ายิ้มรับด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับส่งเอกสารให้เซ็นส่งมอบของ
เขมชาติยิ้มกว้างรีบเซ็นรับ ลูกค้าฝรั่งทยอยยกผ้าออกไป เขมชาติรับซองเช็คมาด้วยความภูมิใจ
สมคิดมองเช็คในมือที่เขมชาติเพิ่งยื่นให้
“สามล้าน”
เขมชาติยิ้มกว้าง
“เชื่อผมหรือยัง ว่าเราจะรวยไปด้วยกัน”
สมคิดพยักหน้า ยิ้มรับ “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” พลางรีบเก็บเช็ค
“นี่แค่เริ่มต้น ผมยังไม่หยุดแค่นี้ เรามีลูกค้าในมืออีกเพียบ”
เขมชาติส่งแก้วให้สมคิด ที่รับมา และชนกับเขมชาติ
“งานนี้รวยเละ”
เขมชาติยิ้มสะใจ ก่อนที่จะยกแก้วดื่ม ฉลอง สมคิดยิ้มตามแล้วก็ถามด้วยความสงสัย
“คุณเขม..ผมสงสัย ทำไมคุณไม่ไปเที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น จะทำงานหนักขนาดนี้ไปทำไม พ่อแม่ก็
ไม่มีแล้ว แฟนก็ไม่เห็นจะมีสักคน”
เขมชาติชะงัก...แววตาเครียด
“มี ผมเคยมีแฟน แต่เขาทิ้งผมไปแต่งงานกับคนรวย ตั้งแต่นั้นมาผมตั้งใจไว้ว่าผมจะต้องรวย รวย
มากๆ รวยจนเขาต้องหันมามองด้วยความเสียดายที่ทิ้งผมไป วันที่เขามาเจอผม เขาจะต้องเสียดาย และเสียใจ
อย่างที่สุด”
เขมชาติพูดด้วยความแค้น ในขณะที่ สมคิดฟังด้วยความเข้าใจและเห็นใจ
“ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้น เป็นใคร แต่เขาเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้คุณเขมมีวันนี้”
สุริยงอึ้งไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผู้ญิงคนนั้น คือตัวเอง
“ที่ผมเล่าให้คุณสุฟัง เพราะอยากให้คุณสุเข้าใจ กว่าคุณเขมจะมีวันนี้ได้ เขาต้องเจออะไรมามาก
บางทีก็ดูเป็นคนใจร้าย ชอบหาเรื่องทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ถ้าคุณสุผ่านด่านนี้ไปได้ คุณจะรู้ว่า คุณเขมเป็นคนที่
น่ารัก และรักลูกน้องมากๆ ผมเอาใจช่วยให้คุณสุผ่านมันไปให้ได้นะครับ”
สุริยงคิด แล้วพูดกับสมคิด
“บางทีสิ่งที่สุกำลังเจอ มันอาจจะไม่ใช่ด่านทดสอบที่มีไว้สำหรับคัดเลือกลูกน้อง แต่เป็นบทลงโทษ
เพื่อความสะใจก็ได้นะคะ”
สมคิดหันมามองหน้างง สุริยง พยายามฝืนยิ้ม
“ขอบคุณคุณสมคิดมากนะคะ สำหรับกำลังใจ คุณบอกว่า ผู้อำนวยการเป็นเจ้านายที่น่ารัก แต่สุ
คิดว่า เขาโชคดีมากที่มีผู้ร่วมงานที่น่ารักกว่า อย่างคุณสมคิด สุขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
สุริยงลุกขึ้น แล้วก็เดินถือแก้วกาแฟเดินกลับเข้าไปในโชว์รูม สมคิดได้แต่มองตามด้วยความเห็นใจ
อรทัย เกนหลง เอื้อ นั่งจิบชาอยู่ในสวน มีชั้นขนมวางอยู่ดูเก๋ไก๋
“อู๊ย ระดับคุณเกนจะต้องไปทำงานทำไมคะ ? ยิ่งเป็นงานเลขา ไม่เห็นจะน่าทำ ถึงจะเป็นเลขาของเขมชาติก็เถอะ ไม่สมศักดิ์ศรีเอาซะเลย”
อรทัยพูดจ้อๆ โดยไม่ทันสังเกตเกนหลง ที่ชะงักนิดๆ
“อรว่า ปฎิเสธคุณเขมแล้วมาเป็น “ผู้ช่วย” พี่เอื้อดีกว่าค่ะ”
เอื้อ หันมามองหน้าอรทัย ในขณะที่เกนหลงตอบยิ้มๆ
“ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่เกนคงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะถ้าพี่เอื้อต้องการผู้ช่วยจริงๆ คงจะเลือก
“คุณสุ” มากกว่า”
เอื้อหันมาทางเกนหลง เกนหลงหันมามองหน้าตอบอย่างรู้กัน อรทัยสะดุดกึก
“สุ สุไหนคะ ?”
“สุริยง รัตนชาติ ค่ะ”
เกนหลงตอบเรียบๆ อรทัยชะงักนิดๆ
“ คุณเกนรู้จักมัน” เมื่อเห็นเอื้อมองมา อรทัยลดความแรงลงนิดนึง “ สุริยงน่ะค่ะ รู้จักได้ยังไงคะ ?”
“เกนเจอที่บริษัทเขมค่ะ ตอนนี้คุณสุเป็นเลขาให้เขมอยู่ค่ะ”
อรทัยชักสีหน้า แปลกใจ ระคนไม่พอใจ
เอื้อรีบเสริม
“ใช่ และเกนพูดถูก ถ้าพี่เลือกได้ พี่ก็อยากให้หนูเล็กมาเป็นผู้ช่วยพี่ ส่วนเกนก็เหมาะจะเป็นเลขา
ให้เขมชาติ จับคู่กันแบบนี้ เหมาะสมที่สุดแล้ว”
เกนหลงตัดบท
“เกนขอตัวไปพักที่ห้องก่อนนะคะ เจอกันในงานเลี้ยงตอนเย็นค่ะ”
เกนหลงยิ้มให้อรทัยและเอื้อ แล้วก็ลุกออกไปจากโต๊ะ
“อรก็ไปพักบ้างดีกว่า”
เอื้อรีบดักคอ
“เดี๋ยว”
อรทัยชะงัก
“อย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้ว่าเรากับพี่อัม คิดจะทำอะไรกัน”
อรทัย ยิ้มอย่างไม่แคร์
“รู้ก็ดีแล้วค่ะ จะได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และสิ่งที่อรกับพี่อัมคิดไว้ ก็ยังไม่หมดแค่นี้นะคะ
ยังมีอีกเพียบ เตรียมเซอร์ไพรส์ได้เลย”
อรทัยยิ้มร่าเริง ก่อนที่จะเดินไปอย่างไม่แคร์ เอื้อส่ายหน้าอย่างระอาเต็มทน
เกนหลงกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องพัก พลันได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วเข้ามา
“นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆจากคุณอัมพิกา สำหรับผลการตัดสินเมื่อตอนบ่าย”
เกนหลงชะงักกึก ค่อยๆ มองหาต้นเสียง จนเห็นอัมพิกานั่งหันหลังอยู่ ข้างๆ เป็นพิธีกรแข่งขัน
ทำอาหาร และมีเชฟยืนอยู่ตรงข้าม
เชฟ ยื่นมือรับซองมา
“ที่จริง ถึงคุณไม่ขอความร่วมมือ พวกผมก็ให้คุณเอื้อกับคุณเกนหลงชนะอยู่ดี เพราะเขาทำอาหาร
ได้อร่อยจริงๆ”
เกนหลงอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
อัมพิกาพูดขึ้นบ้าง
“เอาน่า ถือซะว่าเป็นค่าความมั่นใจของฉันก็แล้วกัน “ พลางหันมาทางพิธีกร “ส่วนเรื่องของรางวัล
ในคืนนี้...เรียบร้อยหรือเปล่า ?”
“เรียบร้อยครับ ผมให้ทางวงเตรียมเพลงหวาน จังหวะสโลว์ ไว้เพียบเลยครับ พอทุกคนพร้อม ผม
จะประกาศให้คุณเอื้อ และคุณเกนหลงมาเต้นรำเปิดฟลอร์ถือว่าเป็นของรางวัลสุดเซอร์ไพรส์”
เกนหลงฟังแล้วแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนที่จะรีบหันหลังออกมา พลางครุ่นคิด ทำอย่างไรดี
อย่าลืมฉัน ตอนที่ 6 (ต่อ)
สมคิด วิบูลย์ยืนคุยอยู่ที่ลานจอดรถ ด้วยความกังวล
“งานคุณสุ เพิ่งทำความสะอาดได้แค่ครึ่งเดียวเองครับ ผมเป็นห่วงแกจริงๆ นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้
จะเสร็จกี่โมง”
“ผมจะลองคุยกับคุณเขมดู เผื่อจะให้ส่งคนเข้าไปช่วย” สมคิดออกความเห็น
พลันเสียงเขมชาติ ก็ดังมาจากด้านหลัง
“ผมไม่ส่งใครไปทั้งนั้น ไม่เสร็จก็นอนที่นี่ คุณสองคนกลับไปได้”
สมคิด กับวิบูลย์อึกๆอักๆ
“กลับไปสิ” เขมชาติพูดซ้ำ
“ครับๆ กลับครับ”
สมคิดกับวิบูลย์จำต้องกลับบ้านไป คล้อยหลังสองคนนั้น เขมชาติก็มองไปที่โชว์รูม ลึกๆแอบเป็น
ห่วง
จากสภาพที่ระเกะระกะ เต็มไปด้วยขยะ ฝุ่น ผง และหยากไย่ ยามนี้ในชว์รูม เริ่มสะอาดสะอ้านขึ้น
สุริยง ยังคงตั้งตาตั้งตาทำงาน พร้อมๆ กับล่านิทานผ่านทางสมอลล์ทอล์คให้ไก่ ไข่ ฟังไปด้วย
“ผีเสื้อตัวน้อยต้องบินฝ่าทั้งพายุ ลม ฝน เพื่อไปให้ถึงจุดหมายตามที่สัญญาไว้ให้ได้ ไก่ กับ ไข่ จำ
สัญญาของผีเสื้อได้มั้ยครับ ?”
ไก่ กับ ไข่ นอนเคลิ้มๆอยู่บนเตียง..เปิดสปีกเกอร์โฟน แล้วก็ตอบเสียงง่วงๆ
“จำได้ครับ”
“สัญญาว่าจะไปหาพี่ดอกไม้”
“เก่งมาก”
สุริยงชมลูกแฝด เขมชาติ ที่เดินมาถึงกับสะดุดกึก พลางค่อยๆเงี่ยหูฟัง ในขณะที่สุริยงเล่าต่อ
“ผีเสื้อสัญญากับดอกไม้ว่า ในหน้าร้อนจะบินไปหา และขนละอองเกสรของดอกไม้ไปแจกจ่าย
ให้กับทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลแสนไกล”
เขมชาติ..ค่อยๆเดินเข้ามา และแอบฟังสุริยงเล่านิทานให้ไก่กับไข่ฟัง
สุริยงเล่าต่ออย่างออกรสชาติ
“ดอกไม้เชื่อว่าผีเสื้อจะต้องรักษาสัญญา เจ้าดอกไม้ก็รอ ร้อ รอ และแล้ว ผีเสื้อก็มาตามคำสัญญา
ดอกไม้ดีใจที่การรอคอยของไม่สูญเปล่า เจ้าผีเสื้อทักทายดอกไม้ด้วยความคิดถึงและนำพาเกสรของเธอ ออกไปยัง
ทุ่งกว้าง ละอองเกสรปลิวไปทั่วในอากาศ และค่อยๆตกลงที่ดอกไม้ดอกอื่นๆในทุ่งแห่งนั้น ในปีต่อมาก็มีดอกไม้บาน
สะพรั่งเต็มไปทั่ว”
เขมชาติแอบอมยิ้ม หากเมื่อรู้สึกตัว ก็รีบหุบยิ้ม
“ทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง กลายเป็นทุ่งดอกไม้ เพราะผีเสื้อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ ไก่กับไข่ จำได้มั้ยครับว่า
สัญญาอะไรไว้กับคุณแม่”
ไก่ตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“สัญญาว่าฟังนิทานจบแล้ว”
ไข่พูดต่อ “ก็จะนอน”
สุริยงยิ้ม “เก่งมาก...ตอนนี้นิทานก็จบแล้ว..นอนหลับฝันดีนะคะ”
“ครับ”
“จุ๊บๆ ก่อน”
ไก่ ไข่ ส่งจูบ “จุ๊บๆ “ แล้วกดวางสายไป
สุริยงวางสายแล้วก็หันมา เห็นเขมชาติยืนอยู่ สุริยงสะดุ้งตกใจ
“ผู้อำนวยการ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
“ก็นานพอจะได้ยินนิทานหลอกเด็ก สอนให้เด็กรักษาสัญญา แล้วตัวเอง ทำได้เหรอ ?”
เขมชาติประชดเข้าให้ สุริยง จุก หากก็รีบตอบกลับ
“ถ้าดิฉันสัญญาแล้ว ไม่เคยลืม และต้องทำให้ได้ แต่ที่ไม่ได้ทำ หรือ “ลืม” ก็เพราะไม่เคยสัญญา
อะไรกับใคร ถ้าจะมีคนติดค้างคาใจ ก็คงจะเป็นเพราะเขาคิดไปเอง”
เขมชาติสวนกลับเสียงเข้ม
“ผมรู้แล้ว ผู้หญิงอย่างคุณ คำสัญญาคงไม่มีค่าเท่ากับ “คำสั่ง” โดยเฉพาะคำสั่งที่ทำตามแล้วได้
เงิน ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ก้มหน้าก้มตาทำงานตามคำสั่งแบบนี้”
สุริยงเชิดหน้า
“ใช่ค่ะ โดยเฉพาะคำสั่งที่มาพร้อมกับโอที ดิฉันคิดทุกวินาทีไม่มีตกหล่น”
“ได้ เอาไปเลย เงินผมมีเยอะ จ่ายค่าล่วงเวลาให้ไม่กี่บาท เพื่อแลกกับความสะใจที่ได้กดหัวใช้งาน
คุณทั้งวัน ... คุ้มจะตาย”
น้ำเสียงของเขมชาติดุดัน สุริยงมองหน้า ทั้งเจ็บ ทั้งแค้น แต่ป่วยการจะเถียง
“ แต่ถ้าทำงานไม่เสร็จตามที่ผมสั่ง ผมจะไม่ได้เงินล่วงเวลาแม้แต่วินาทีเดียว”
เขมชาติยื่นคำขาด ก่อนที่จะดึงผ้าที่แขวนอยู่แถวนั้นตกลงมากองอยู่ที่พื้นเพื่อความสะใจ แล้วก็
เดินออกไปอย่างไม่ไยดี สุริยงมองไปรอบๆ เห็นผ้ากองมหึมาแล้วก็ถอนใจ
“เกนหลงปวดหัว ?”
อัมพิกา ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ VIP หน้าเวที ร้องเสียงหลง
“ค่ะ เนี่ย เกนหลงให้เด็กส่งโน้ตมาให้ บอกว่าปวดหัวมาก ขอนอนพัก” อรทัย ที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบ
อธิบาย
พิธีกรแทรกอย่างสุภาพ
“คุณอัมครับ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เราคงจะต้องเริ่มเปิดฟลอร์ แต่ถ้าคุณเกนหลงป่วย แล้วเราจะทำ
ยังไงกันดีครับ”
อัมพิกาออกคำสั่ง
“อร ไปตามเกนหลงมา บอกว่าพี่ขอร้อง”
“พี่อัม แต่เกนเขาไม่สบาย พี่จะไปขอร้องให้เขาลำบากใจทำไมครับ”
เอื้อ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่เห็นด้วยกับพี่สาว หากอัมพิกาไม่ฟังเสียง
“เอื้ออยู่เฉยๆ พี่จัดการเอง อร ไป”
“ค่ะ”
อรทัยกำลังจะเดินไป เอื้อสวนขึ้น
“พี่จะจัดการอะไรก็เรื่องของพี่ แต่ผมไม่ขอร่วมด้วย”
เอื้อลุกขึ้นแล้วก็เดินออกจากโต๊ะ ทิ้งให้อรทัย และพิธีกร มองตามอย่างงงๆ
“ เอื้อ หยุดนะ เอื้อ กลับมาเดี๋ยวนี้”
อัมพิกาออกคำสั่งเสียงเข้ม เอื้อหยุดและกลับมาจริงๆ อัมพิกายิ้ม เอื้อเอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์และ
แก้วที่วางอยู่ แล้วก็หันหลังเดินไปอีกรอบคราวนี้ไม่กลับมาเลย อัมพิกาหุบยิ้แทบไม่ทัน
พิธีกรถามเสียงจ๋อยๆ
“แล้วเรื่องที่จะเปิดฟลอร์”
“ ไม่ต้องป่ง ไม่ต้องเปิดมันแล้ว ใครอยากจะเต้นก็เต้นไปเลย ไป”
อัมพิกาเริ่มพาล
“ ครับๆ” พิธีกรรับคำอย่างลนลาน
อัมพิกานั่งหน้าแค้น ที่ทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจ อรทัยขยำกระดาษโน้ตของเกนหลง ปาลงพื้นด้วยความ
หงุดหงิด
เกนหลงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างสดชื่น แล้วก็หันมาเปิดไวน์ ดังป๊อก !! ทันใดนั้นเสียงเปิดไวน์อีก
เสียงก็ดังขึ้นใกล้ๆ กัน
เกนหลงชะงัก เอื้อ ที่นั่งอยู่อีกมุมของสวน ก็ชะงัก เอ๊ะ ?
สองคนค่อยๆลุกขึ้น แล้วก็แหวกต้นไม้ มาเจอกัน ต่างคนต่างตกใจ
“ พี่เอื้อ”
“เกน”
“พี่เอื้อมาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ ?”
เกนหลงถามด้วยความสงสัย
เอื้อไม่ตอบ แต่ย้อนถามกลับ
“แล้วเรามาทำอะไร ? ไหนบอกว่าปวดหัว”
เกนหลง ยิ้มเจื่อนๆ ที่โดนจับได้
“แย่จัง โดนจับได้ แต่พี่เอื้อแอบมาอยู่ตรงนี้คนเดียว แสดงว่าต้องกำลังคิดเหมือนเกนแน่ๆ ใช่มั้ย
คะ”
เอื้อพยักหน้า แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะอย่างรู้ใจ
ภายในห้องจัดเลี้ยง ในขณะที่ผู้ร่วมงานคนอื่น กำลังคู่เต้นรำสโลว์ซบอย่างหวานซึ้ง ทว่าอัมพิกา
กลับนั่งทำหน้าเบื่อ เซ็ง ในขณะที่อรทัยก็นั่งเล่นมือถือ ท่าทางหงุดหงิดไม่แพ้กัน
“พี่ไปนอนแล้วนะ งานที่เหลือเราก็จัดการเองแล้วกัน”
อรทัยเงยหน้าจากโทรศัพท์
“อ้าวแล้วเรื่องเกนหลงกับพี่เอื้อหล่ะคะ”
“โอ้ย อีกคนก็ปวดหัว อีกคนก็หายตัว พี่จะทำอะไรได้ วันนี้แค่นี้แหละ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน”
อัมพิกาเดินออกไปเลย ทิ้งให้อรทัยนั่งหงุดหิดอยู่ตามลำพัง
ในขณะเดียวกัน ที่อีกมุมหนึ่งของสวน เอื้อกับเกนหลงชนแก้วไวน์กัน ท่ามกลางบรรยากาศ
โรแมนติกมาก
“ขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมด แล้วก็ขอโทษที่ พี่อัมกับอร”
เอื้อเริ่มพูดตะกุกตะกัก จนเกนหลงต้องพูดต่อเสียเอง
“พยายามจะจับคู่เราสองคน”
“เกนก็รู้สึกใช่ไหม”
“ค่ะ แต่เกนก็ไม่โกรธนะคะ แค่สงสัยว่าทำไมพี่อัมกับคุณอรต้องทำแบบนี้ เพราะคุณสุหรือเปล่า
คะ”
เอื้อชะงัก เกนหลงพูดต่อ
“เมื่อกลางวันตอนเกนพูดชื่อคุณสุ ดูเหมือนคุณอรจะไม่พอใจ”
“ใช่ ทั้งพี่อัม กับ อร ไม่พอใจที่พี่มาสนิทกับหนูเล็ก เขาห่วงไปหมด โดยเฉพาะห่วงเรื่องหน้าตาทาง
สังคม แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงมันก็น่าเม้าธ์จริงๆ”
เกนหลงพูดจากใจ
“ มันก็จริง แล้วถ้าพี่อัม กับคุณอร ขอร้องให้พี่เอื้อเลิกคิดแบบนั้นกับคุณสุ พี่เอื้อจะทำได้หรือเปล่า
คะ ?”
เอื้อคิด แล้วก็ตอบอย่างจริงใจ นุ่มนวล และตรงไปตรงมา
“พี่กับหนูเล็ก เราผ่านอะไรกันมามาก มันไม่ใช่ความลุ่มหลงแบบหนุ่มสาว แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆ
ที่ค่อยๆเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ผ่านเวลาและอุปสรรค จนมันค่อยๆชัดเจนขึ้นมา มันก็เลยยากถ้าจะให้เลิกคิด หรือตัดใจ”
คำตอบของเอื้อทำเอาเกนหลงอึ้ง และชื่นชมในความสวยงามของความคิดเอื้อ
“เกนรู้ว่ามันไม่ง่าย และก็ไม่อยากคาดเดาปลายทาง แต่เกนจะเป็นกำลังใจให้พี่เอื้อนะคะ”
“ขอบคุณมาก”
เอื้อกับเกนหลงยิ้มเป็นกำลังใจกันและกัน
เขมชาตินั่งทำงานอยู่อีกตึก พลางเหลือบมองดูนาฬิกา ตีสามกว่าๆ เขมชาตินึกเป็นห่วงสุริยง
“ข้าวกล่องที่คุณเขมให้ไปซื้อครับ”
รปภ. เดินเข้ามา พร้อมกับถุงข้าวกล่องในมือ
“เอาไปให้ ไม่ต้อง..วางไว้ตรงนี้”
“ครับ”
รปภ.วางไว้แล้วก็เดินไป ในขณะที่เขมชาติคิดถึงสุริยง
เขมชาติเดินถือถุงอาหารกล่องมาที่โชว์รูม แล้วก็ต้องหยุดกึก เพราะโชว์รูมปิดไฟมืด เขมชาติรีบเดิน
พุ่งเข้าไปทันที ก่อนที่จะเปิดประตู เปิดไฟ
ทันทีที่ไฟในโชว์รูมสว่างพรึ่บ เขมชาติก็เห็นห้องที่สะอาดสะอ้าน เก้าอี้ถูกจัดวางเข้าที่ ก่อนที่จะ
กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าสุริยงจะทำได้
แต่ตอนนี้สุริยงก็หายไป เขมชาติรีบวิ่งออกไปทันที เห็นสุริยงกำลังจะเดินขึ้นแท็กซี่ เขมชาติรีบทิ้ง
ถุงข้าวกล่องไว้ แล้วก็วิ่งไปหาสุริยงทันที
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”
สุริยงเปิดประตูค้างไว้และหันมาตอบ “ดิฉันทำงานตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว”
“ผมเห็นแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”
สุริยงเสียงเข้ม
“ผู้อำนวยการไม่ต้องห่วงค่ะ ค่ารถแท็กซี่ครั้งนี้ดิฉันจะขอเบิก พร้อมกับค่าล่วงเวลา พรุ่งนี้ดิฉันจะ
เข้าออฟฟิศตรงเวลาไม่สายแม้แต่วินาทีเดียว “
เขมชาติ ไม่ยอม ดึงแขนไว้
“ผมบอกแล้วไงว่าจะไปส่ง”
สุริยง หันมาสะบัดแขน แล้วพูดโพล่งออกมาเลย
“ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
เขมชาติชะงักไปทันที ไม่คิดว่าจะเจอคำนี้จากสุริยง ที่ตอนนี้อารมณ์ขาดสะบั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง ทั้งเครียด
“พอได้แล้ว วันนี้ฉันยอมทั้งวัน ยอมมามากเกินไปแล้ว พอ เลิกทำตัวเป็นเด็กๆสักที”
“ใครทำตัวเป็นเด็กๆ”
“ก็คนที่ใช้แต่อารมณ์ ไม่มีเหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ใครที่ทำแบบนั้นก็
รู้ตัวด้วยว่าผู้ใหญ่ดีๆ เขาไม่ทำกัน”
“นี่คุณด่าผมเหรอ?”
สุริยงสวนกลับทันที “ไม่ได้ชมก็แล้วกัน”
เขมชาติสะอึก สุริยงรีบใส่ต่อ อย่างไม่ยอมให้มีช่องว่าง
“ถ้าไม่ให้ฉันลาออก แล้วให้มาทำงานแบบนี้ บอกไว้เลยฉันไม่ทน ถึงคุณไม่ให้ฉันไป ฉันก็
จะไป คุณก็รู้ว่าฉันทำได้ และฉันก็เคยทำมาแล้ว”
คำพูดสุริยงกรีดเข้าไปในใจของเขมชาติ จนเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจ จากนั้นสุริยงหันไปขึ้นรถ ปิดประตู
กดล็อค ก่อนจะหันไปบอกคนขับ
“ไปเลยค่ะ”
เขมชาติรู้สึกตัว รีบเรียกไว้
“เดี๋ยว! หยุดมาคุยกันก่อน หยุด ผมบอกให้หยุด วดี วดี วดี”
แท็กซี่แล่นออกไปไม่ใยดี เขมชาติวิ่งตามสักพักก็หยุด กำหมัดแน่น ด้วยความเจ็บในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น เกนหลงสะพายกระเป๋าค่อยๆเดินออกมาจากห้อง แล้วเดินไปตามทางในโรงแรมอย่าง
ระมัดระวัง ทันใดนั้นเสียงเอื้อก็ดังขึ้น
“อะแฮ่ม ! จะหนีกลับบ้านแล้วหล่ะสิ”
เกนหลงตกใจหันขวับมา เห็นเอื้อถือกระเป๋าอยู่ในมือ
“คงไม่ใช่เกนคนเดียวมั้งคะที่คิดแบบนี้”
เอื้อหัวเราะ ยอมรับ “แล้วเราจะกลับยังไง ?”
“ว่าจะเช่ารถที่โรงแรมค่ะ”
“พี่มีความคิดที่ดีกว่านั้น”
เกนหลงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เอื้อไม่ตอบ หากเดินมาฉวยสายกระเป๋าจากไหล่เกนหลง ไปถือ แล้วก็
เดินนำไปเลย เกนหลงหมุนตามแรงดึงกระเป๋าเล็กน้อย ด้วยความงง
เอื้อพยักหน้าเรียก “common” เกนหลงหลิ่วตาสงสัย แล้วก็เดินตามไป “ไปยังไงนะ?”
เกนหลงนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ของเอื้อ ที่ขี่ผ่านท้องทุ่งหญ้าเขียวขจี สองข้างทางร่ม
รื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องกับแสงแดดยามเช้า และทอดเงาลงมา งดงามราวภาพวาด
เกนหลงมองบรรยากาศรอบๆแล้วก็สูดหายใจเข้าปอดด้วยความสดชื่น
“เป็นความคิดที่ดีมากจริงๆค่ะ”
เอื้อยิ้มรับแล้วก็ขี่รถไปอย่างมีความสุข ทั้งสองคนร่วมทางไปด้วยกัน อย่างสบายใจ โดยไม่รู้เลยว่า
เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ความเข้าใจได้ถูกหยอดลงไปในหัวใจของทั้งสองคนอย่างแผ่วเบาและสวยงาม
จบตอนที่ 6