พายุเทวดา ตอนที่ 6
เทวาหลับตานิ่งในท่าทีเหนื่อยอ่อน ปลาดุกวิ่งกลับมาพร้อมถ้วยยาหอม นิลวิ่งตามมาด้วย
“บีบนวดซะหน่อยมั้ย ให้เลือดลมมันเดินดีๆ”
นิลว่าพลางบีบน่องให้เทวา พลางส่ายหน้า ปลาดุกจับกรอกยาหอมให้เทวา
“เกิดเป็นบนเวทีจะว่ายังไงวะ”
ฝ่ายดารินผวาลุกขึ้นจากที่นอน แล้วโผเผไปที่ประตู เปิดออกไปผ่านบุญเกิดที่ยังไม่หลับ
“ริน...ริน”
ดารินไม่ฟัง วิ่งออกไปข้างนอกบ้าน แหงนมองท้องฟ้า เหมือนต้องการสูดลมหายใจแรง...แรง...
บุญเกิดแอบมองอยู่ แล้วตามไปที่สนาม
“หนูริน..เป็นอะไร หายใจไม่ออกเหรอ”
ดารินพยักหน้าเร็วๆ สูดอากาศเต็มปอด แล้วพอมีเรี่ยวแรง หันมาบอกบุญเกิด
“อา..รินไม่ได้ประสาทนะ รินรู้ตัวทุกอย่าง เวลาที่รินเป็นแบบนี้ รินจะอยากไปเกาะมุกอย่างรุนแรงเลย รินเป็นอะไรไม่รู้ค่ะอา”
บุญเกิดพยักหน้าช้าๆ เหมือนเข้าใจ
“ถ้าดีขึ้นก็กลับไปนอนเถอะ น้ำค้างแรงมาก แรงเหมือนจะมีฝนตกปรอยๆ เลย...กลับขึ้นบ้านเถอะครับ”
เช่นเดียวกับฤทธิ์นอนกระสับกระส่าย ถีบผ้าห่มออกจากตัว
“โว้ย..เป็นอะไรวะ หายใจไม่ออก”
ฤทธิ์วิ่งออกไปที่ด้านนอก ริมทะเลสวยๆ หอบหายใจแรง ฤทธิ์มองไป เห็นกระแสพลังเทวดาอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
“หลวงปู่ ส่งอะไรมา คิดเหรอว่าผมจะกลัว...ผมไม่มีวันกลับไปสยบกับหลวงปู่หรอก”
ฝ่ายหลวงปู่หาญบอกกับทุกคน “ทุกคนได้รับกระแสพลังเทวดาจากพวกเราแล้ว แต่...”
มนต์ถามขัดขึ้น “เทวาจะมามั้ยครับ”
หลวงปู่ส่ายหน้า ทุกคนต่างมีสีหน้าผิดหวัง
“แล้วเขาจะมา แต่คงไม่ใช่วันสองวันนี้หรอก”
เดชมีหวัง “ก็ยังดีที่มันรับพลังจากเราได้”
ก้องแหงนมองฟ้า “คืนอมาวสี ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เชียวเหรอ”
สิงห์บอกขำๆ “สักวันพวกเราจะมารวมตัวกันหมด รวมถึงใครนะน้าบุญกู้ น้องผมอีกคนใช่มั้ย น้องเล็ก เป็นผู้หญิง ไม่รู้จะสวยหรือเปล่านะ”
ดาริน น้องเล็กที่สิงห์เอ่ยถึง กำลังนอนมองเพดานในความมืดสลัวอย่างสับสน พึมพำเบาๆ
“ฉันเป็นอะไร...ฉันเป็นอะไร...ทําไมฉันต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วย”
รุ่งเช้าเป้ายืนมองหน้าร้าน เห็นปลอกกระสุนร่วงอยู่ เปียยืนซึม เป้าหยิบขึ้นมาดู
“มีกํานันที่เป็นพวกเดียวกับโจร เราจะหวังพึ่งกํานันได้ยังไง”
“พ่อ เราหนีไปอยู่ที่อื่นกันมั้ย...เขามีเงิน เขามีอํานาจดูสิพ่อ ห้องแถวที่ถูกไฟไหม้วอดไปทั้งตลาด เขาก็เนรมิตขึ้นมาได้ในไม่กี่เดือน...อํานาจของเขามีมากมาย เราจะอยู่กันยังไง”
เป้าบอกลูก “ถ้าเราทิ้งแผ่นดินของเรา...ลูกหลานวันหน้าจะด่าว่าปู่ ย่าตายายมันขี้ขลาด พ่อจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เป้ามองหน้าเปีย ถามด้วยความสะเทือนใจ
“เปีย เอ็งรักไอ้สิงห์หรือเปล่า เอ็งบอกพ่อมาตามตรง”
เปียมองหน้าพ่อแล้วพยักหน้า
ไม่นานนัก บุญกู้ถึงกับถือไม้กวาดค้าง หันมาถามเป้าอย่างไม่เชื่อหู
“จะให้ไอ้สิงห์แต่งงานกับนังเปีย”
“จ้ะ พี่บุญกู้ เจ้าสิงห์มันพอรู้มาบ้างแล้ว ฉันเคยบอกมันนังเปียมันก็มีใจให้เจ้าสิงห์...ฉันก็เลยอยากแต่งให้มันถูกต้องตามประเพณี”
“ไอ้สิงห์มันเด็กวัด ไม่มีสินสอดเงินทองไปแต่งหรอกนะ” บุญกู้ว่า
“ไม่เอา ไม่ๆๆ ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น รบกวนแต่ให้พี่บุญกู้ส่งผู้ใหญ่ไปหาฉัน นําขบวนเจ้าบ่าวไปบ้านฉันก็พอ คนที่ตลาดเขาจะไม่นินทานังเปียได้ว่าเปิดประตูรับผู้ชายไปอยู่ในบ้าน”
บุญกู้พยักหน้า
เสียงกลองยาวดังขึ้นจังหวะชวนคึกคัก โดยขบวนกลองยาวเกาะมุก ที่มีสิงห์แต่งตัวหล่อเดินคู่มากับประสิทธิ์ และสน แสงดาว แสงจันทร์ มนต์
ก้อง เดช พากันรําป้อตามจังหวะเพลง คนอื่นก็พากันโห่ร้องดีใจ ก้องตะโกน
“ไอ้สิงห์จะมีเมียแล้วโว้ย”
สิงห์หัวเราะ คนในขบวนแห่ก็พากันโห่แล้วรับลูกคอกันเป็นทอดๆ
รถของเฮียเม้ง ซึ่งมีหยาดฟ้านั่งอยู่ พร้อมคํารณและลูกน้องติดอยู่ด้านหลัง หยาดฟ้าเริ่มหงุดหงิด
“กดแตรให้มันหลีกทางให้เราสิเฮียเม้ง”
“เอางั้นเลยเหรอครับ คุณหยาด” เม้งลังเล
“ถ้าแกรอมัน เมื่อไหร่จะถึง”
เฮียเม้งกดแตร สนหันไปเห็นก็กระซิบบอกประสิทธิ์ นทีรําคู่แสงดาวเหลียวมองไป
แสงดาวบอก “ช่างมัน คุณหมอ”
“ครับ เอาไงเอากัน” นทีหันไปรำต่อ
เฮียเม้งกดแตรอีกหลายครั้ง คนในขบวนเริ่มหันไปดู เดชเดินมาที่หน้ารถ บอกเสียงดัง
“รอหน่อยสิคร้าบ...นี่มันงานมงคลของคนเกาะมุก คนที่อื่นอาจจะมองว่าไม่สําคัญ แต่พวกเราสําคัญครับ จริงมั้ยพวกเรา”
ชาวบ้านประสานเสียงดัง “จริง”
กลองยาวทําเพลงดังขึ้น คนรําเริ่มรายล้อมรถของเฮียเม้ง ทําให้หยาดฟ้าหงุดหงิด หยาดฟ้าเอื้อมไปกดแตรเอง กดยาวๆ หนักๆ หงุดหงิดสุดขีด “โว้ย”
คํารณบอก “ลุยมันเลยเฮียเม้ง”
เฮียเม้งเริ่มเร่งเครื่องออกรถ คนในขบวนกระจายตัวออก ยอมให้รถผ่านไป ท่ามกลางเสียโห่ไล่หลัง
พัน ธง ศร โมโห แทนเจ้านาย ยิงปื นขึ้นฟ้าวางอํานาจ
คนในขบวนแห่เริ่มมีอารมณ์ สนยกมือขึ้นปรามๆ
“อย่าโว้ย วันนี้เป็ นงานมงคลไอ้สิงห์มัน”
เดชเห็นด้วย “ใช่ ๆ ลุงสน รีบเถอะ จะไม่ทันฤกษ์”
ขบวนกองยาวแห่เจ้าบ่าวดําเนินไปอย่างครึกครื้น
ต่อมาไม่นาน คนอื่นๆ ออกันอยู่หน้าร้าน สน ประสิทธิ์ แสงจันทร์ แสงดาว นที มนต์ ก้อง เดช และแขกผู้ใหญ่ นั่งบนเสื่อที่ปูลาดไว้ต้อนรับ สิงห์นั่งหน้าหล่อแต่งตัวเป็นเจ้าบ่าวยิ้มแฉ่งอยู่
สักครู่เป้าพาเปียออกมาจากข้างใน เปียแต่งตัวชุดเจ้าสาวไทยๆ ดูสวยหวานและงดงามกว่าทุกวัน สิงห์มองตะลึง
เป้ากับเปียนั่งลง ครูประสิทธิ์เป็นผู้ใหญ่ในงานกล่าวอำนวยพรขึ้น
“วันนี้ถือเป็นวันดีของชาวเกาะมุก เป็นวันที่จะประกาศ ว่าหนุ่มสาวสองคนคือเจ้าสิงห์ เด็กวัดผู้เป็ นที่รักของเราทุกคน จะได้แต่งงานกับเปีย เด็กสาวที่เราก็เอ็นดูมาตั้งแต่เกิด ทั้งสองตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในฐานะที่ผมเป็นผู้ใหญ่ในพิธีวันนี้ ผมขออวยพรให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความสุข ครองรักกันยั่งยืนไปจนวันตาย”
เปียนั่งคู่กับสิงห์ ทั้งสองยิ้มให้ทุกคน
“ฉันเองก็ดีใจที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันรัก เสียใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือพี่สองคนที่รักมาก ไม่มีโอกาสได้มาร่วมงาน คือพี่ฤทธิ์ กับเทวา”
ขาดคําของสิงห์ รถของเฮียเม้งก็จอดที่หน้าร้านเป้า
สนเขม่น “มาดีหรือมาร้ายวะเนี่ย”
ฤทธิ์ หยาดฟ้า คํารณ และลูกน้องทั้งสามปรากฏตัวที่หน้าร้าน ชาวบ้านที่รอแสดงความดีใจรีบผละหนีไป
สิงห์ยืนขึ้นท่าทีดีใจ “พี่ฤทธิ์...พี่มางานแต่งของผมเหรอครับ ดีใจจริงๆ”
ฤทธิ์วางมาดกำนัน บอกท่าทีเฉยชา “เปล่า แต่ข้าจะมาบอกว่าแต่งแล้วก็รีบขายร้านนี้ให้คุณหยาดซะ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป”
เดชโมโห “พี่ฤทธิ์ อย่ามาวางอํานาจที่นี่นะ อย่าคิดว่าตําแหน่งกํานันของพี่มันจะมีอํานาจค้ำหัวทุกคนบนเกาะได้”
สนมองฤทธิ์และมองเลยไปยังหยาดฟ้ากับคํารณ
“งานมงคล อย่าไปสนใจพวกเศษสวะเลย สิงห์ทําพิธีต่อเถอะ”
หยาดฟ้าฉุน “แกว่าใครเศษสวะ”
แสงดาวสอดขึ้น “พ่อฉันพูดลอยๆ ใครอยากรับก็รับไปสิ”
เป้าหายไปในบ้านแล้วลากปืนยาวออกมา
“ไอ้ฤทธิ์ มึงกับกูมาดวลปืนกันดีกว่า ถ้าคิดจะข่มขู่บีบให้กูขายร้านนี้ให้ กูไม่ยอมหรอก กูยอมตายคาร้าน นี่แหละวะ”
พัน ธง ศรขยับปืน คํารณก็ทําท่าไม่ต่างจากลูกน้อง
เปียตกใจร้องห้าม “พ่ออย่า”
เปียหันไปบอกกับฤทธิ์ “พี่ฤทธิ์ ฉันไม่ขายให้พี่หรอก เพราะร้านนี้คือชีวิตของฉันกับพ่อ...พี่ฤทธิ์
ไปซื้อที่อืนเถอะนะจ๊ะ”
หยาดฟ้าสวนออกมา “แต่ฉันอยากได้ที่นี่เท่านั้น”
คํารณแหลมขึ้น “เป็นความประสงค์ของคุณหยาดฟ้า ใครก็ขัดไม่ได้”
“หน้ามันไม่เหมือนแม่ข้า ข้าไม่สนใจหรอกโว้ย ว่าไงไอ้ฤทธิ์ ดวลปืนกันมั้ย อย่างดีก็แค่ตาย” เป้าว่า
สิงห์ก้าวมาตรงหน้าฤทธิ์ เดช มนต์ ก้อง ยืนอยู่ด้านหลัง
“ถ้าพี่ฤทธิ์ยังคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน ฉันก็ขอร้องให้พี่กลับไปซะ วันนี้เป็นวันมงคลของฉัน”
“กูเห็นแก่มึงนะไอ้สิงห์ แต่คนอื่น” ฤทธิ์กวาดตาไปทั่ว “กูไม่ลืม”
ฤทธิ์เดินกลับขึ้นรถ ทุกคนแยกย้ายกันไป
เปียน้ำตาไหล แสงจันทร์ปลอบโยน “ให้วันนี้ผ่านไปก่อนนะเปีย แล้วเราค่อยหาทางแก้ไขกัน อย่าร้อง มันจะเป็นลางไม่ดี”
“ยังมีอะไรดีๆ หลงเหลืออีกเหรอพี่แสงจันทร์”
นที มนต์ เดช ก้อง และทุกคนมองเปียอย่างเห็นใจ
คงคารู้เรื่องก็โกรธจัด “ทําแบบนี้มันเท่ากับฆ่าตัวเอง...เพิ่งจะมีตําแหน่งก็ไปแสดงอํานาจให้คนเขาเกลียดชังแล้ว...ทําให้พวกมันรักเรา ยอมรับเราก่อนสิ ต่อไปไอ้พวกชาวบ้านนี่แหละ มันจะเป็นเกราะป้องกันเรา...ต่อสู้เป็นปากเสียงแทนพวกเรา”
หยาดฟ้าท้วง “แต่ที่เราไม่ได้มีปัญหากับพวกชาวบ้านนะคะ เสี่ยแต่มีปัญหากับไอ้พวกเทวดา”
“ฉันอยากฆ่ามันทุกตัวเลย”
คํารณแค้นมองหน้าฤทธิ์ ฤทธิ์รู้สึกอึดอัด
คงคามองหน้าฤทธิ์ “นายฤทธิ์ ลูกชายฉันพูดยังงี้นายรู้สึกยังไงบ้าง”
“เสี่ยอย่ากังวลเลยครับ ผมเลือกข้างแล้ว..ยังไงผมก็อยู่ข้างเสี่ย..ผมรับรองว่าจะไม่ให้ชาวบ้านมีปัญหากับผมหรอก..ส่วนเรื่องน้องๆ ของผม ก็แล้วแต่คุณคํารณ”
ทุกคนหันไปมองหน้าฤทธิ์ คงคาถามย้ำ “แน่ใจนะนายฤทธิ์”
ฤทธิ์ตอบหนักแน่น “ครับเสี่ย”
ที่ชายหาดในเวลาต่อมาคงคาบอกกับทุกคน
“ทางเดียวที่จะเอาชนะพวกเทวดาได้ก็คือเราต้องเรียนวิชากับอาจารย์คล้าม...เพื่อจะได้มีวิชาไปต่อสู้กับพวกมัน”
“แต่ครั้งก่อน อาจารย์คล้ามก็ทําอะไรหลวงปู่ หาญไม่ได้...ใช่มั้ยนายฤทธิ์” คำรณหันมาทางฤทธิ์
“ครับ แต่ผมคิดว่าอาจารย์คล้ามน่าจะมีวิธี เพราะครั้งก่อนอาจารย์ไม่ได้ลงมือเอง”
คงคาสรุป “พวกแกต้องเรียนวิชากับอาจารย์คล้าม”
คํารณถาม “แล้วพ่อล่ะ”
“หายกันไปหมด คนจะสงสัย”
คงคาหันไปเรียกคล้าม มองออกไปที่ทะเล
“อาจารย์ครับ...อาจารย์ หากอาจารย์รับรู้ก็จงโปรดตอบผมด้วย”
ลมแรงพัดมา คลื่นซัดอย่างแรง ทุกคนมองไปรอบๆ คล้ามปรากฏขึ้นใกล้ๆ ทุกคนตกใจ
“วิชาของข้า ไม่ใช่กรวดทรายข้างถนน พวกเจ้าจะต้องไปเรียนที่ถ้ำของข้า”
ร่างของคล้ามเลือนหายไป ธงกับศรขยี้ตาเหมือนไม่เชื่อ
“ต้องไปถึงไหนพ่อ”
“เกาะหัวสิงห์ นายฤทธิ์พาไป ไม่ต้องพึ่งพาไอ้โชติหรอก”
“ครับเสี่ย”
ฤทธิ์พาทุกคนดั้นด้นมาที่หน้าถ้ำ เกิดเป็นควันดําพุ่งออกมาจากปากถ้ำ ทุกคนสําลัก ไอออกมาอย่างแรง
คํารณป้องปากป้องตา ด่าฤทธิ์ “ไอ้ฤทธิ์ เอ็งหลอกข้ามาที่นี่ทําไมวะ”
“ที่นี่แหละครับ คุณคํารณ ไม่ผิดแน่”
“ข้าคงตายก่อนที่จะได้เรียนวิชา...” คำรณไอติดๆ กันแล้วร้อง “โอ๊ย”
ควันจางไปอย่างเร็ว ปากถ้ำเปิ ดออก นกหลายตัวบินกรูกันออกมา ฤทธิ์ คํารณ พัน ธง ศรหลบ นกบินเฉี่ยวหน้า คํารณทําท่าจะทําร้ายนก แต่ฤทธิ์ห้ามไว้
“อย่าทําอะไรนกพวกนี้นะครับ...เป็นบริวารของอาจารย์คล้าม”
คํารณฉุนพูดตอบโต้ขณะที่นกบินมาไม่ขาดระยะ
“แล้วแกจะให้มันจิกลูกตาข้าบอดก่อนหรือไงวะ”
คํารณปัดป้องนกที่บินฉวัดเฉวียน เช่นเดียวกับ พัน ธง ศร ฤทธิ์ยืนตัวตรง กําหนดจิตบอกตัวเองในใจ
“ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมายา เป็นภาพลวงตา ไม่ใช่ของจริง จิตใจเราต้องเข้มแข็ง...ที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ของจริง”
นกหายไป ฤทธิ์ มองไปยังกลุ่มคํารณ แล้วบอก
“คุณคํารณ กําหนดจิตว่านกพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง กําหนดว่าตรงหน้าเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าสิครับ”
“เอางั้นหรือวะ”
คํารณ พัน ธง ศร หลับตา กําหนดจิต ภาพนกหายไป เหลือแต่ภาพปากถ้ำว่างเปล่า
เสียงอาจารย์คล้ามหัวเราะ แล้วบอกเสียงตํ่าๆ ดังขึ้นมา “เข้ามาได้...”
ขณะเดียวกัน หลวงปู่หาญนั่งสมาธิ หลับตานิ่งอยู่ในโบสถ์ ใบหน้าของคล้ามผุดเข้ามาในห้วงสมาธิ คล้ามหัวเราะกึกก้อง
หลวงปู่หาญยังคงนั่งสงบ เสียงดังในใจ “สหายคล้ามเอ๋ย เราต่างก็มีทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ในกายสังขาร หรือเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด...เราอย่าอาฆาตจองเวรกันเลย ต่างอโหสิกรรมแก่กันและกันเถิด”
อาจารย์คล้ามในห้วงสมาธิชี้มือมาที่หลวงปู่หาญ
“กลัวตายละสิ...อย่าคิดนะว่าจะชนะข้าได้”
จากนั้นคล้ามก็หายไปจากห้วงสมาธิ หลวงปู่หาญลืมตาขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
พายุเทวดา ตอนที่ 6 (ต่อ)
คํารณเข้ามาในถ้ำหัวสิงห์ แล้วยืนตะลึงมองศพของคล้าม พัน ธง ศรนั่งลง ฤทธิ์นั่งแล้วกราบนํา พัน ธง ศรยกมือไหว้ตาม คํารณงงถามเสียงดัง
“นี่เหรอ มันศพนี่ ทําไมถึงยอมรับมันเป็นอาจารย์”
ขาดคําของคํารณลมก็พัดมาวูบหนึ่ง คํารณล้มลงไป
“โอ๊ย”
ร่างของคล้ามปรากฏขึ้น คํารณลุกขึ้นมายืนเผชิญหน้า ตกใจ คล้ามตบหน้าคํารณอย่างแรง
“โอ๊ย”
คํารณร้องลั่น ซวนเซและล้มลงไปอีกครั้ง ร่างนั้นวูบขึ้นไปที่ศพ แล้วศพก็ทะลึ่งพรวดขึ้นอย่างเร็ว ขณะที่ร่างของคล้ามตบหน้าคํารณนั้น ศพยังนอนนิ่งอยู่บนแท่นหิน พัน ธง ศร ตกใจสะดุ้ง
“ให้อภัยเจ้านายผมด้วยเถอะครับ อาจารย์ อาจารย์ผม ไม่เคยมาหาอาจารย์ที่นี่”
“ได้..แต่จําไว้ว่าอย่าปากดีกับข้า...อย่าคิดดูหมิ่นล่วงเกินข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จงรําลึกอยู่ตลอดเวลาว่าข้าคืออาจารย์ของพวกเจ้า...ทําได้มั้ย”
สามสมุนประสานเสียง “ได้ครับ อาจารย์”
ฤทธิ์บอก “ผมยอมรับอาจารย์ครับ”
คล้ามชี้หน้าไปที่คำรณ “แล้วเจ้าล่ะ”
คํารณตัวสั่นด้วยความกลัว นั่งลงแล้วกราบทันที คล้ามหัวเราะทันที
“ดี...วันที่ข้ากําจัดไอ้หาญได้ วันนั้นพวกเจ้าจะเป็นใหญ่ ใครก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเจ้าได้...แต่อย่าลืมนะโว้ย”
คล้ามชี้มาที่กลุ่มของพัน ธง ศร “พวกเอ็งมีหน้าที่เติมน้ำผึ้งให้แก่กายสังขารของข้าทุกเดือน จงทําอย่าได้ขาด ไม่งั้นข้านี่แหละจะเล่นงานพวกเอ็งแทน”
พัน ธง ศรรับคําเสียงสั่น “คะ..ครับ อาจารย์”
คล้ามหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะของคล้ามดังก้องสะท้อนไปทั้งถ้ำหังสิงห์
ฟากบุญกู้เดินหลังค่อมเข้ามาหาหลวงปู่หาญ ซึ่งอยู่ที่ลานต้นโพธิ์
“หลวงปู่ มีอะไรให้ผมทําหรือครับ”
“คืนอมาวสีก็ไม่สามารถตามเทวากลับมาได้ หลวงปู่ กลัวว่าสถานการณ์ในเกาะมุกจะรุนแรงมากขึ้น” หลวงปู่ปรารภ
“หลวงปู่ อยากให้ไปตามมันหรือครับ ผมจะได้บอกเจ้ามนต์ ดูจะฉลาดกว่าคนอื่นหน่อย”
“ลองปรึกษากันดูนะ..เทวาคือศิษย์เทวดาคนเดียวที่ได้รับการประจุพลังธาตุทั้งสี่ไป หากมีแต่เทวาเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะศัตรูได้ทั้งหมด”
บุญกู้พยักหน้า ไม่ทันเห็นว่าหลวงปู่หาญมองออกไปเบื้องหน้า ดวงตากังวลอย่างเห็นได้ชัด
คล้ามยืนอยู่ที่หน้าปากถ้ำ ทำการถ่ายทอดวิชามารให้ ทั้ง 5 คน
“ทําจิตให้เป็นสมาธิ วิชาแรกที่ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นวิชาที่ข้าไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร แต่จงใช้ในเวลาจําเป็นเท่านั้น เรียกว่าวิชามนตราปักษี”
คํารณบอก “ชื่อแปลกจังครับอาจารย์”
“พญาปักษีจะแสดงอํานาจจิกตีศัตรูเพียงเจ้าท่องวิชาต่อไปนี้ ข้าจะบอกเพียงสามครั้ง ใครจําได้ก็ได้วิชาไป ปักษี ปักษา อิทธิฤทธา มหาเตชา อภิโลกาวินาศสันตุ...ปักษี ปักษา อิทธิฤทธา มหาเตชา อภิโลกาวินาศสันตุ...”
ทุกคนพยายามท่องตาม เสียงคล้ามท่องคาถาครั้งที่สามดังมา คล้าม หัวเราะในลําคอแล้วบอกศิษย์
“อ้าปากขณะที่ท่องในใจ ลองทําดู...แหงนหน้าขึ้นด้วย”
ทุกคนแหงนหน้าแล้วท่องในใจ พลันเห็นนกบินออกจากปากทุกคน คนละหลายตัว นกบินไป ที่บนท้องฟ้า ขยับปีกไปในฟ้ากว้าง
คล้ามหัวเราะเสียงดัง คํารณกับฤทธิ์หันมา เช่นเดียวกับพัน ธง ศร
คํารณทึ่งสุดๆ “เป็นไปได้ยังไงกันครับอาจารย์”
“นี่มันวิชาเด็กๆ เวลาที่เจ้าใช้คาถามนตราปักษี ให้พวกเจ้านึกถึงหน้าศัตรูไว้...แต่ให้ใช้ในเวลาจําเป็นเท่านั้น” คล้ามย้ำ
คํารณรับปาก “ครับอาจารย์”
เย็นแล้วมนต์กับแสงจันทร์แวะมาที่วัด มนต์รับปากกับบุญกู้ เดช ก้อง อยู่ด้วย
“ไปได้ น้าบุญกู้ แต่ต้องรอเด็กปิดเทอมก่อน ก็อีกเดือนหนึ่งนะ น้ารอได้มั้ย”
“น้าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก มนต์ แต่หลวงปู่สิ ทําไมดูใจร้อนจัง อาจเป็นเพราะตั้งแต่คืนที่น้าถูกคุณไสยเล่นงานน่ะแหละ ท่านบอกว่าศัตรูของท่านทํา”
“ฉันกับไอ้ก้องไปตามหามันแทนก็ได้” เดชแปลกใจ
“นั่นสิ..คงไม่ยากหรอกน่า” ก้องว่า
แสงจันทร์ท้วง “แต่กรุงเทพฯ มันกว้างมากนะ ไม่เหมือนเกาะมุกคนก็มีตั้งหลายล้านคน”
มนต์เอ่ยขึ้น “ฉันเห็นว่ายังไม่ควรไปตามหามันหรอก”
ทุกคนมองมนต์อย่างสงสัยเป็นตาเดียว บุญกู้ถาม “ทําไมล่ะมนต์”
“ถ้าหลวงปู่ บอกว่ามีศัตรูเก่าส่งคุณไสยมาแบบนี้ พวกเรายิ่งไม่ควรไปไหน ควรจะอยู่ดูแลแล้วก็ช่วยเหลือหลวงปู่มากกว่า...หลวงปู่ ไม่ได้มีค่าและมีความหมายเฉพาะพวกเรานะ แต่ท่านเป็นคนสําคัญของทุกคนที่เกาะมุก”
ทางด้านเทวานั่งอยู่ที่มุมสงบในวัดแห่งนั้น ดารินเดินเข้ามาหา เทวาหันไปมอง เห็นดารินแต่งตัวทันสมัย ใส่แว่นตาดําเข้ากับใบหน้า ก็ตำหนิ
“มาวัดน่ะแต่งตัวให้มันเรียบร้อยหน่อยสิ...ที่นี่วัดนะไม่ใช่สถานบันเทิง”
“ก็นัดฉันที่วัดทําไม” ดารินย้อนเอา
“ผมไม่มีเงินทองนัดคุณดารินที่โรงแรมหรูๆ หรือร้านอาหารแพงนี่ครับ...มีธุระอะไรก็ว่ามา แต่บอกก่อนนะ ถ้าพูดเรื่องเกาะมุกละก็ไม่พูดด้วย”
ดารินหน้าตึง พูดเน้นคํา “ฉันจะไปเกาะมุก...นายจะไปกับฉันมั้ย”
“โอย ไม่ไหวหรอกแม่คุณ”
“ทําไม”
“อ้าว ก็หล่อนตั้งใจจะไปเกาะมุกทําไมล่ะ”
ดารินพูดกำกวม “ก็ทํางาน”
เทวาจ้องหน้า “งานอะไร”
ดารินยักไหล่พรืด “นายก็รู้ ฉันไม่จําเป็นต้องตอบนาย”
“บอกกี่ครั้งแล้วคนเกาะมุกเขาไม่ต้อนรับผู้หญิงที่ทํางานแบบเธอ”
ดารินกวน “ทําไม งานแบบฉันมันไม่ดีตรงไหน”
เทวาเกาหัว มองหน้าดาริน “นี่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่”
“โอเค รู้ก็รู้...งั้นฉันถามนายบ้าง ทําไมนายถึงไม่อยากกลับไปเกาะมุก มันน่ารังเกียจมากนักเหรอ”
เทวาไม่ตอบ
ดารินมองหน้าเทวา ยิ้มเยาะ “ขี้ขลาด..ไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้ากับอะไรสักอย่างใช่มั้ย..ฉันทายเลยนะว่านายต้องหนีอะไรมาจากเกาะมุก ถามจริงๆ เถอะนายจะหนีได้ตลอดชีวิตเหรอ”
เทวาหันข้างให้ ไม่อยากพูดด้วย ดารินจับตัวเทวาให้หันมา
“พูดกันให้รู้เรื่องก่อน..ฉันไม่ชอบให้ใครมาทํากับฉันแบบนี้นะ..นายเทวา หันมา”
เทวาสะบัดแข็งขืน เบี่ยงตัวหลบ ดารินเลยเสียหลักเข้าไปอิงกับตัวเทวา เหมือนซบ
เสียงแม่ชีดังเข้ามา “นี่มันในวัดในวานะ เกรงใจพระ เจ้าบ้าง”
ดารินรีบยกมือไหว้แม่ชี แม่ชีเดินไป เทวาหัวเราะ
“หัวเราะอะไร”
“สมน้าหน้า อยากตื๊อเขาดีนัก”
เทวาเดินหนีไป ดารินเดินตามตื๊อไม่เลิก
“นายเทวา..นายตอบฉันมานะว่านายหนีอะไร..นายเทวานายจะไปเกาะมุกกับฉันมั้ย..นายเทวา”
ทั้งสองเดินตามกันออกไป
อ่านต่อหน้า 3
พายุเทวดา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ฝ่ายปลาดุกซ้อมมวยอยู่ในค่าย นิลเดินมาหา ถามถึงเทวา
“ไอ้เทวาไปไหน...อีกสองอาทิตย์มันก็จะชกแล้วนะ”
“อย่าไปสนใจเลยพ่อ...เดี๋ยวก็คงกลับมา”
“ยังงี้มีหวังแพ้แหงๆ”
นิลบ่นเดินหัวเสียออกไป ปลาดุกมองตามไป แล้วถอนใจหน้าเศร้า
“เขาอาจจะไม่อยู่กับเราแล้วก็ได้พ่อ”
นิลหันมา “แล้วทําไมมันถึงบอกว่าจะชกมวยล่ะ พ่อไปติดต่อหาคู่ชกให้มันแล้วด้วย ยังงี้เสียหายกันหมด”
ปลาดุกหน้าเสียไป
ดารินนั่งซึมคู่กับเทวาอยู่ตรงม้านั่งในมุมหนึ่ง ของสวนสาธารณะ
“ฉันแค่อยากไปเหยียบเกาะมุก ถ้านายอายที่จะต้องไปกับผู้หญิงขายตัวอย่างฉัน ถึงเกาะมุกนายไม่ต้องทําตัวว่ารู้จักฉัน เราจะไม่รู้จักกัน”
เทวามองหน้าดาริน “ทําไม”
“นายจะได้สบายใจไง อีกอย่าง ถ้านายขืนวอแววุ่นวายอยู่กับฉัน ผู้ชายใจดีที่ไหนเขาจะเข้าใกล้ฉันล่ะ”
“อันหลังนี่ละมั้ง เหตุผลที่แท้จริงของแม่คุณ...จําเริญๆ เถอะ...กรุงเทพฯ ไม่มีลูกค้าแล้วหรือไง ถึงอยากไปหากินที่นั่น...ไม่ไหว ยิ่งคุยยิ่งเครียด”
เทวาเดินไป ดารินยืนขึ้นเรียกตามไป
“นายเทวา..นายเทวา...นายอย่าเดินหนีฉันนะ”
เทวาหันมาแขวะ “สูงศักดิ์มาจากไหน หรือว่าลงมาจากสวรรค์ล่ะแม่คุณ คนถึงเดินหนีแม่คุณไม่ได้”
เทวาเดินไปไม่สนใจ ดาริน หน้าบึ้ง พูดเสียงดังตามไป
“ฉันไม่ง้อนายก็ได้ ฉันจะไปกับปลาดุก”
เทวาทําเป็นไม่สนใจ เดินหนีไป
กลับถึงบ้านเสี่ยตอนกลางคืน พันยืนกระหยิ่มใจอยู่ พร้อมเดินมาหา บ่นสีหน้าบึ้งตึง
“คอยดูนะ วันไหนที่คุณผู้หญิงเฉดหัวแกออกจากบ้าน ฉันจะทําบุญเจ็ดวัดเจ็ดวาเลย”
พันหันไปถามเสียงขุ่น “เป็นไรแม่ ใครทําแม่ไม่สบายใจเหรอ”
“ก็นังหวานใจสิ มันถือตัวว่าเป็นคนสนิทของคุณหยาด มันก็จิกหัวแม่ใช้ทําโน่นทํานี่ ทั้งที่มันก็เป็นคนรับใช้ เหมือนกัน...มันไม่เห็นหัวแม่เลย แม่ก็แก่คราวแม่มันแล้ว..เหลืออดวันไหนจะเอาอีโต้สับปากให้คอยดู”
“นังหวานใจน่ะเหรอ”
“จะมีใครซะอีก โลกนี้มีกะเทยชื่อแบบนี้สักกี่คนล่ะไอ้พัน”
พร้อมเดินหัวเสียออกไป พันหน้าเครียด
ขณะที่หวานใจแต่งตัวจะออกไปนอกบ้าน งัดกระจกขึ้นมาเติมแป้ง
มุมหนึ่งพันยืนอยู่ มองหวานใจด้วยสายตาไม่พอใจ
“ดี...ฉันจะได้ลองวิชากับแก นังหวานใจ”
พันอ้าปาก แหงนมองฟ้า สำรวมจิตท่องคาถา
“ปักษี ปักษา อิทธิฤทธา มหาเตชา อภิโลกาวินาศสันตุ..
พลันมีนกสีดําตัวหนึ่งบินผ่านหน้าพันไป ตรงไปยังหวานใจ นกตรงเข้าจิกตีหวานใจ หวานใจปัดป้องกรีดร้องสุดเสียง
“ว้าย ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไอ้นกบ้า...ช่วยด้วย”
พันยืนมองอยู่ พร้อมกับกานดาวิ่งมา
“นกมาจากไหนน่ะพร้อม ไปดูซิ”
“โอ๊ย ไม่เอาหรอกค่ะ กลัวมันจิกตา”
ธงกับศร คํารณ และฤทธิ์ ออกมาจากข้างใน
คํารณรู้ทันที “ไอ้พันแน่ๆ
ทั้งหมดหันมาเห็นพันยืนจ้องไปที่หวานใจ ซึ่งไล่นก ปัดป้องร้องไห้โฮๆ
คํารณบอก “ฤทธิ์ไปช่วยมันหน่อยเร็ว”
“ครับ คุณคํารณ”
ฤทธิ์ตรงเข้าไป กอดหวานใจไว้ เอาตัวบังนกไว้
“มันไม่มีจริง นกไม่มี เห็นมั้ย มองดูสิ ไม่มีนก”
หวานใจกอดฤทธิ์ซุกหน้าหวาดกลัว แล้วค่อย ๆ ลืมตา นกหายไปจริงๆ
“มันหายไปแล้ว”
พันเดินหนี คํารณเรียกเสียงดัง
“ไอ้พัน...” พันเดินหนี “ไอ้พัน..ไอ้พัน ข้าเรียกไม่ได้ยินเหรอ”
พร้อมตกใจ “อะไรหรือคะคุณคํารณ”
“บอกมันให้ไปพบฉันที่ตึกใหญ่ด้วย..ไม่งั้นแกกับลูกก็ออกไปจากบ้านนี้”
กานดาไม่พอใจนัก “คํารณ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดจากันสิ”
หวานใจร้องไห้สะอึกสะอื้น หยาดฟ้าเดินมากับคงคาพอดี
“คุณหยาดขา ช่วยหวานใจด้วยค่ะ นกบ้าอะไรก็ไม่รู้มันจิกหวานเจ็บไปหมด” กะเทยถึงฟ้องนาย
หยาดฟ้างง “บ้านเรามีนกด้วยหรือคะเสี่ย”
คงคามองหน้าฤทธิ์ ฤทธิ์ตอบเบาๆ “ไม่ใช่นกจริงๆ หรอกครับเสี่ย”
คงคาพยักหน้าพอเข้าใจ
หยาดฟ้าสงสัย “อะไรเหรอคะเสี่ย บอกหยาดหน่อยสิคะ” พลางหันมาทางฤทธิ์ “อะไรเหรอนายฤทธิ์”
“เดี๋ยวคุณหยาดก็คงทราบ”
ไม่นานต่อมา พร้อมพาพันเข้ามาห้องโถงบ้านใหญ่ มีกานดาตามมาด้วย คนอื่นๆ อยู่กันพร้อมหน้า
“อิฉันเอาตัวมันมาหาคุณคํารณแล้วค่ะ”
คํารณตวัดสายตาไปที่หยาดฟ้า หยาดฟ้าเดินมาแล้วตบหน้าพันอย่างแรง พันหน้าหันไป
พร้อมตกใจร้องลั่น “ว้าย..คุณหยาดขา ทําไอ้พันมันทําไมคะ”
กานดาบอก “พร้อม กลับเถอะ...ฝนตกขี้หมูไหล”
กานดาเดินนําไปก่อน พร้อมน้ำตาร่วง ยกมือไหว้ขอร้อง
“หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยไอ้พันมันด้วยนะคะ”
พร้อมออกไป ลับร่างของกานดากับพร้อม คงคาก็ชี้หน้าพันด่า
“แกเอาวิชาอาจารย์คล้ามมาเล่นงานกับคนในบ้าน มันใช้ได้ที่ไหนวะ ถ้าแน่จริงคืนนี้เอ็งก็ไปที่เกาะมุก ไปเล่นงานไอ้พวกที่มันตั้งตัวเป็นศัตรูกับเราสิวะ”
“จริงด้วยเสี่ย..อย่างน้อยก็เล่นงานไอ้เป้ากับลูกสาวมัน เอาให้มันตายกันไปทั้งพ่อทั้งลูกเลย” สาวสวยใจทรามว่า
คงคาบอก “ไปให้หมดแหละ นายฤทธิ์พาไป ส่วนคํารณอยู่กับพ่อที่นี่...เผื่อพวกมันส่งอะไรมา จะได้ช่วยพ่อได้”
หยาดฟ้าเยื้อนยิ้มพอใจ “หวังว่านายฤทธิ์จะทํางานนี้สําเร็จนะ”
ที่บ้านพัก ที่ทำการกำนันเกาะมุกของฤทธิ์
ทั้งสี่ยืนอยู่ที่นอกบ้าน บริเวณที่กลางแจ้ง
“ถ้ามันตายทั้งพ่อทั่งลูกก็ดีสิ...คุณหยาดจะได้ที่ดินตรงนั้นพร้อมร้านมาฟรีๆ” ศรว่า
“ใช่ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะฉลาดเท่าคุณหยาดฟ้า” ธงเสริม
พันนิ่งเงียบ หันมาถามฤทธิ์ “แต่น้องชายนายเป็นลูกเขยไอ้เป้าแล้วไม่ใช่เหรอ มันคงอยู่ช่วยกัน ถ้าพลังเทวดาเหนือกว่าพลังของมนตราปักษี นายก็ต้องใช้พลังเทวดาช่วยพวกเรา”
สามคนมองฤทธิ์สายตาคาดคั้น ฤทธิ์จํายอมพยักหน้ายอมรับ
“ได้สิ...ถ้างั้นก็เริ่มกันเถอะ”
ทั้งสี่คนกางแขนอ้าปาก แหงนหน้าขึ้น ท่องคาถา ไม่พร้อมกัน เสียงดังเซ็งแซ่ในความรู้สึก
“ปักษี ปักษา อิทธิฤทธา มหาเตชา อภิโลกาวินาศสันตุ”
เสียงคาถาตอนหลังๆ แทบจะเปล่งออกมาพร้อมกัน
บนฟ้า แลเห็นนกกางปีกบินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งสี่คนมองตามผลงานด้วยสายตาสะใจสมใจ
ขณะที่เปียกําลังจะปิดร้าน แล้วก็ตกใจสุดขีดเมื่อนกตัวหนึ่งบินโฉบเข้ามาที่ใบหน้า
“ว้าย”
สิงห์ซึ่งอยู่ที่ในร้านหันไปพอดี เห็นฝูงนกบินเข้ามา สิงห์ดึงตัวเปียออกมา ผลักเข้าไปในร้าน
เป้ารีบไปคว้าปืน ยิงใส่นก มีบางตัวที่ขนร่วงลงสู่พื้นดิน เป้ายิงอีกหลายนัด แต่ไม่สามารถสกัดนกปิศาจได้
สิงห์ร้องบอกกับเป้า “พ่อ ป่วยการ มันไม่ใช่นกธรรมดาหรอก”
เป้ายิงดะกะให้ถูกนก ถามเสียงดัง “แล้วมันนกอะไรล่ะวะ”
“นกอาคมพ่อ”
สิงห์ตัดสินใจใช้พลังเทวดา เรียกพลังมาประจุที่ในตัว ประกายไฟปรากฏตามลําตัว นกบินโฉบมาใกล้สิงห์ สิงห์ใช้มือตวัดนก เกิดเป็นกระแสไฟที่พุ่งออกจากมือของสิงห์ เห็นขนนกร่วงหล่นกระจายลงพื้น แล้วก็ค่อยๆ หายไป
ที่บ้านฤทธิ์ ที่ทั้งสี่คนตกใจที่เห็นขนนกร่วงที่พื้น และร่วงใส่ศีรษะตนเอง
“เกิดไรขึ้นวะ” ศรแปลกใจ
“หรือว่ามนตราปักษีแพ้มัน...” ธงว่า
ฤทธิ์หน้าเสียไป พันหันมาตะคอกใส่หน้าฤทธิ์
“ว่าไงนายฤทธิ์ นายรับปากแล้วนะว่าถ้าแพ้มันนายจะช่วยพวกเรา”
ฤทธิ์บอก “ฉันว่าพวกเราลองอีกทีดีกว่า...นกมากมายอย่างนี้มันไม่น่าปราบได้”
ศรเอาด้วย “ลองดูก็ได้”
“แต่ถ้าไม่ได้ นายต้องทําตามที่รับปากนะ” ธงคาดคั้น
พันมองจ้องหน้าฤทธิ์ “ไม่งั้นพวกข้าจะบอกเสี่ยคงคาให้จัดการกับนาย”
ทั้งสี่คนแหงนหน้าขึ้นฟ้า ว่าคาถารัวเร็ว
แลเห็นนกบนสู่ท้องฟ้าจนดําทะมึนเต็มไปหมด
อ่านต่อหน้า 4
พายุเทวดา ตอนที่ 6 (ต่อ)
เปียชี้ให้พ่อดูฝูงนก
“พ่อๆๆ มันมากันอีกแล้ว คราวนี้เต็มท้องฟ้าเลย”
“เอาไงวะ ข้าก็มีแต่ลูกปืนนะไอ้สิงห์”
สิงห์บอกด้วยความเป็นห่วง “พ่อ เปีย เข้าบ้านไป...ไปสิ...ไป...”
เป้าฉุดเปียเข้าบ้าน “นังเปีย เร็ว เข้าบ้าน ผัวเอ็งสั่ง เร็วสิ..อันตราย”
เปียกลัวจับใจ ร้องไห้โฮ ตามพ่อไปเข้าบ้าน นกบินโฉบมาจิกเป้ากับเปีย เป้าผลักเปี ยเข้าไปในบ้าน แล้วหันมาสู้กับนก สิงห์ตามมาช่วย นกถูกกระแสไฟในร่างกายของสิงห์ช็อตร่วงลง
แต่นกบินโฉบลงมาไม่ขาดสาย สิงห์ตวัดแขน ตวัดมือใส่นก กระแสไฟช็อตนกร่วงหล่นลงไปตาย ขนนกร่วงกราวเป็นสีดําอยู่รอบตัวสิงห์ แล้วค่อยๆ หายไปกับพื้นถนน
ส่วนที่บ้านสน ทุกคนยืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน มองไปบนฟ้า เห็นนกเต็มไปหมด
“นี่มันอาเพศอะไรวะ”
มนต์มองแล้วก็รีบผละไป แสงจันทร์แปลกใจ เรียกไว้ “พี่มนต์ไปไหน...พี่มนต์”
แสงจันทร์ตามลงมา เห็นมนต์กําลังจะขี่มอเตอร์ไซค์ไป แสงดาวตามมาสมทบ
มนต์หันมาบอก “เข้าบ้านไป นั่นน่ะมันนกอาคม ไม่ใช่นกธรรมดา เร็วปิดหน้าต่างให้หมดนะ”
มนต์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป แสงดาวกับแสงจันทร์มีสีหน้าตื่นตระหนก วิ่งกลับขึ้นไปในบ้าน สามคนพ่อลูกต่างช่วยกันปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
ฟากเทวานั่งสมาธิอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ ตัดรับในห้วงสมาธิ เห็นฝูงนกมากมาย เทวาลืมตาคิดในใจ
“ทําไมมีนกเยอะแยะ ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีแล้ว หรือว่าหลวงปู่ ส่งมาให้ช่วย”
เทวาถอนออกจากสมาธิ ลุกไปที่ระเบียง หลับตาสำรวมจิต
สิงห์ต่อสู้กับนกอยู่ มนต์มาถึง นกพากันโฉบไปหา มนต์ลงจากรถได้ ก็หลับตาทําสมาธิ พลันหมอกสีดําก็ปรากฏเป็นกลุ่มใหญ่คลุมบรรดานกเหล่านั้นจนมองไม่เห็น พลันลมสลาตันก็เกิดขึ้น เห็นลมพัดจนต้นไม้ถูกลมพัดแทบจะโค่นลง ลมสลาตันหอบหมอกสีดําให้เคลื่อนไปอย่างเร็ว
มนต์มองดูขนนกร่วงเต็มพื้นไปหมด แล้วค่อยๆ หายไปในพื้นถนน
สิงห์ดีใจ “พลังเวหาของนายช่วยเราไว้ พลังไฟของผมจัดการกับมันได้เพียงตัวเท่านั้น...ขอบใจนายมาก มนต์”
“ไม่ใช่ของฉันคนเดียวหรอก นายไม่เห็นเหรอมีลม สลาตันของเทวามาช่วยด้วย”
“เทวา” สิงห์ยิ้ม
“นายคิดว่าเป็นฝี มือใคร” มนต์ถาม
“ไม่รู้...ชักเป็นห่วงหลวงปู่ แล้วสิ”
มนต์นึกขึ้นได้ “ใช่...เราไปวัดก่อนนะ”
“ผมไปด้วย...นายไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตามไป”
สิงห์บอกกับเปีย “เปีย พี่จะไปวัดเกาะมุกใต้ พี่เป็นห่วงหลวงปู่ อย่าออกไปไหนนะ แล้วก็ปิ ดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยด้วย อย่าลืมล่ะ”
เป้าออกมาจากข้างใน “ระวังตัวด้วยนะสิงห์”
“ครับพ่อ”
สิงห์ออกไป เปียวิ่งตามมาเกาะประตูมองตามสิงห์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
กลุ่มของพันมองหน้าฤทธิ์ ฤทธิ์หันไปบอก
“พวกนายต้องยอมรับนะว่าปักษีมนตราพ่ายแพ้พลังเทวดา”
พันมองเขม่น “แล้วไงวะไอ้ฤทธิ์หรือเอ็งจะไม่รักษาคําพูด”
“ฉันรักษาคําพูดอยู่แล้ว แต่นายก็ต้องให้เวลาฉันบ้าง...นายพร้อมจะร่วมมือกับฉันมั้ยล่ะ”
พัน ธง ศรมองหน้ากันแล้วก็หันไปมองฤทธิ์ พยักหน้ารับปาก
ฤทธิ์พาทั้งสามคนไปที่ห้องหนึ่งในบ้าน เปิดเข้าไปเห็นปืนอาวุธสงครามอยู่จํานวนหนึ่ง
“ไปทําตามที่ฉันบอก...รอจนกระทั่งไอ้พวกเทวดามันไปรวมกันที่นั่นก่อนแล้วพวกนายค่อยกลับมา..ดูแลตัวเองด้วย”
ธงถามขึ้น “แล้วนายฤทธิ์ล่ะ”
ฤทธิ์ไม่พอใจ “แกไม่ต้องถาม...อย่ามาใช้คําพูดยังงี้กับฉันนะ กระดูกพวกแกน่ะยังอ่อนกว่าฉันนัก”
สามคนมีสีหน้าไม่พอใจ
“แล้วพวกข้าจะคอยดูว่าแกจะทําสําเร็จหรือไม่นายฤทธิ์อย่าลืมนะว่าคุณหยาดหวังไว้มาก” พันบอก
ศรคาดโทษ “ถ้าแกทําไม่สําเร็จ ระวังว่าพวกฉันจะทําเอง”
ฤทธิ์ไม่พอใจ “พวกแกไปได้แล้ว”
กลุ่มของพันซุ่มอยู่ที่หน้าวัด ต่างมีปืนร้ายแรงอยู่ในมือ ท้องฟ้ายามดึก ซึ่งเป็นคืนเดือนมืด ดาวและจันทร์หายไปจากท้องฟ้า ศรเอ่ยขึ้น
“เดือนมืดแบบนี้เหมือนเป็นใจ...ขอให้ไอ้ฤทธิ์มันทํา สําเร็จเถอะ คุณหยาดฟ้าจะได้ดีใจ”
พัน กะธง มองหน้าศร “อย่าบอกนะว่าเอ็งชอบคุณหยาดฟ้า”
“ปากเอ็งนี่หาเรื่องจริงๆ เดี๋ยวกูก็...”
ศรทําท่าจะทําร้ายธง พันห้าม “ไอ้ศร...เอ็งจะคิดยังไงกับคุณหยาด...เอ็งก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่ถ้างานคืนนี้ไม่สําเร็จละก็...พวกเรากับไอ้ฤทธิ์โดนเสี่ยเล่นงานแน่”
ธงบอก “ลงมือเถอะวะ”
ทั้งสามประทับปืนแล้วยิงถล่มกําแพงวัดไม่ยั้ง
ภายในวัดตอนนี้บุญกู้รีบหลบกระสุนปืน ก้องกับเดชตกใจวิ่งเข้ามาหา
“หลบสิวะ”
ทั้งหมดหมอบอยู่ หลบอยู่ จนเสียงปืนสงบ
ส่วนที่นอกวัด กลุ่มของพันย่ามใจ หัวเราะกันเสียงเหี้ยมๆ สะใจ
“กูว่าเป็นศพกันหมดวัดแล้วละวะ”
ขณะเดียวกันหลวงปู่หาญอยู่ในโบสถ์ ลืมตาจากการนั่งสมาธิขึ้น สีหน้าหลวงปู่ กังวลหนัก
ที่ก้องกับเดชคลานมาหากัน เสียงปื นยังดังอยู่
เดช จะรอให้มันยิงอยู่อย่างนี ้เหรอวะ...ข้าว่าต้องพลัง เทวดาละวะ..
บุญกู้หันมา บุญกู้ เรียกมนต์กับเจ้าสิงห์มาช่วยดีกว่า น้าว่างานนี ้ มันกะเล่นหลวงปู่...เดี๋ยวน้าจะไปอยู่กับหลวงปู่
ก้อง ข้าเห็นด้วย... เร็วเถอะเดช..
ก้องกับเดชนั่งประสานมือกัน หลับตาทําสมาธิ ที่ตัวของเดชเปลี่ยนแปลงเป็นสีทองแดง รับที่ก้อง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ทั ้งสองยังประสานมือกัน
ส่วนฝ่ายทั้งสามคนชั่วกลิ้งไปตามแรงสะเทือนของแผ่นดิน
พันบอก “มันเริ่มใช้พลังเทวดาแล้วโว้ย”
ทั้งสามหัวเราะขำกัน
มนต์ผวาตื่น แสงจันทร์ลุกขึ ้น
แสงจันทร์ มีอะไรพี่มนต์
มนต์ อยู่บ้านนะอย่าไปไหน บอกพ่อกับแสงดาวด้วยว่าไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ ้น...ก็อย่าไปไหน...ไม่ต้องห่วงพี่...
แสงจันทร์ พี่บอกฉันก่อนสิว่าจะไปไหน
มนต์ ไปวัด...เดชกับก้องส่งกระแสจิตมา...
มนต์ผลุนผลันลุกขึ ้น คว้าเสื ้อใส่แล้วออกไป หลุดเฟรม
แสงจันทร์สีหน้ากังวล
ส่วนที่บ้านเป้า เปียมาส่งสิงห์ที่หน้าบ้าน สิงห์ เข้าบ้าน เดี๋ยวพี่มา...
เปีย พี่สิงห์ ระวังตัวนะ...
สิงห์ จ้ะ..
สิงห์ขี่มอเตอร์ไซค์ไปอย่างเร็ว เปียจะเข้าบ้าน แต่ฤทธิ์พรวดเข้ามาอย่างกระชั้นชิดจ่อปืนที่หลังเปีย
เปียตกใจ “กํานันฤทธิ์”
“เข้าไป”
เปียตกใจ ตัวสั่นไปหมด เข้าไปในบ้าน ฤทธิ์ตามเข้าไป ปิดประตูลง
เป้าออกมาเห็นเข้าพอดี “ไอ้ฤทธิ์ มึงมาทําไม มึงต้องการอะไร...หา”
“ถามตรงก็ตอบตรง...” ฤทธิ์หัวเราะ “เอ้านี่”
ฤทธิ์ส่งกระดาษที่พับไว้ในกระเป๋าเสื้อส่งให้เป้า ขณะที่ปืนก็ยังขู่เปียอยู่
เป้าคลี่ดู มองหน้าฤทธิ์ “ไอ้ฤทธิ์ นี่มึงคิดจะให้กูเซ็นยกที่ดินผืนนี้ให้มึงเหรอ ไม่มีทางหรอกโว้ย นี่มันวิธีการของโจรชัดๆ กูยอมตาย”
ฤทธิ์จ่อปืนชี้ไปที่เป้า ส่วนมือหนึ่งรวบตัวเปียไว้ ไม่ให้ดิ้น เปียร้องไห้ เป้าหัวเราะใส่หน้าฤทธิ์ สีหน้าไม่กลัว
“ไอ้ฤทธิ์ ไอ้ชาติชั่ว ข้าวสุกหลวงตาไม่ช่วยทําให้มึงมีสํานึกที่ดีบ้างเลยรึไง”
“ไม่ต้องพูด...เซ็นเดี๋ยวนี้หรืออยากเห็นนังเปียมันตายต่อหน้าพ่อมัน”
เปียร้องไห้ “พ่อจ๋าให้เขาไปเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เราไปอยู่ที่อื่นกันก็ได้”
“นังเปีย...พ่อไม่ยอมหรอก กระดูกแม่เอ็งก็ฝังไว้ที่เกาะมุกนี่ เอ็งจะหนีโคตรเหง้าไปอยู่ที่ไหน”
เปียร้องไห้ พยายามมองหน้าฤทธิ์ น้ำตานองหน้า
“พี่ฤทธิ์จ๋า...เห็นใจฉันเถอะจ้ะ...เราสองคนพ่อลูกไม่มี ที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว...พี่ฤทธิ์ต้องการอะไรฉันยอมหมดยกเว้นชีวิตพ่อฉันกับที่ดินผืนนี้”
เป้าตวาด “นังเปีย”
ฤทธิ์หัวเราะ “ก็ได้” แล้วก้มลงจูบพรมไปทั่วใบหน้าของเปีย “คืนนี้ก่อนเช้ามืดเธอต้องไปหาฉันที่บ้าน...ถ้าไม่ไป สองอย่างที่เธอกลัว มันต้องเกิดขึ้นแน่”
ฤทธิ์ผลักเปียไปหาเป้า ชี้ปืนใส่หน้าสองคน ก่อนจะถอยหลังออกไปอย่างระวัง
เปียกอดเป้าร้องไห้โฮ กลับจับจิต “พ่อจ๋า...ที่ดินผืนนี้มันก็เป็นของนอกกาย ให้มันไปเถอะ นะพ่อ”
“ไม่ พ่อไม่ยอม”
เป้าเสียงแข็ง ไม่มีวันยอมคนชั่วแน่
อ่านต่อตอนที่ 7