เรือนริษยา ตอนที่ 1
บทประพันธ์ : Neananok
บทโทรทัศน์ : เบญจมาศ ดาลหิรัญรัตน์
กำกับการแสดง : สราวุธ วิเชียรสาร
ผลิต : บริษัท ดวงมาลีมณีจันทร์ จำกัด โดย จันจิรา จูแจ้ง
ออกอากาศ : จันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางช่อง 3 เริ่ม 26 พ.ค. 2557
ป่ารกทึบในอดีตราว 25 ปี ก่อน ท่ามกลางเสียงสิงห์สาราสัตว์ที่ร้องดังอยู่โดยรอบ ลึกเข้ามาในป่า เห็นโครงกระดูกสัตว์ร้อยเป็นพวงแขวนอยู่ที่เสาไม้ปักโอนเอน 2 ทาง เหมือนบ่งบอกว่าได้มาถึงอาณาเขตของสถานที่ลึกลับแล้ว ลึกเข้าไปอีก เป็นถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางป่านั้น
มองจากปากถ้ำเห็นแสงจากกองไฟแวบวับออกมาจากภายใน เสียงบริกรรมคาถาดังแว่วมาจากด้านใน
ภายในถ้ำอันสลับซับซ้อน...อบอวลไปด้วยควันธูปและกำยาน โครงกระดูกและเขาสัตว์นานาชนิด เรี่ยราดอยู่ตามพื้น เสียงบริกรรมคาถาดังชัด และเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ
พ่อเฒ่ากำลังกำเกร็งกระดูกสัตว์เต็ม 2 มือยกขึ้นจรดหน้าผากอยู่หน้ากองไฟ ปากที่กินหมากจนมีร่องเขรอะฟันดำท่องคาถาภาษาประหลาด
"ลิตร" ชายหนุ่มในวัยเบญจเพสหน้าตาหล่อเหลา แม้จะสวมเชิ้ตเก่าๆ กำลังนั่งพนมมือรอด้วยใจจดจ่อ พ่อเฒ่าท่องคาถาเร็วขึ้น...เร็วขึ้น แล้วโยนกระดูกสัตว์ลงกระจายบนพื้น ตาของพ่อเฒ่ามองกองกระดูกสัตว์แล้วเหลือกโปกอย่างตระหนก ชี้นิ้วมาที่ตัวลิตรในทันที
"มึง...ไอ้ลิตร! คนเลวอย่างมึง ต่อไปชีวิตจะหลงผู้หญิงถึง 3 คน"
ลิตรยิ้มๆ ตามนิสัยเจ้าชู้ กล้าได้กล้าเสีย แต่ตื่นเต้นกับคำทายทัก
"3 คนเลยเหรอพ่อเฒ่า! ทำไมฉันถึงโชคดีขนาดนี้"
พ่อเฒ่าเหลือกตาชี้ทำนายไปที่กระดูกสัตว์อันหนึ่งที่อยู่โดดเดี่ยวตรงหน้า
"นังผู้หญิงคนแรก! มึงจะได้มันเป็นเมีย แล้วมึงจะรักมันหัวปักหัวปำ"
ลิตรมองกระดูกสัตว์ตามอย่างงงๆ ดูไม่ออก ไม่เข้าใจหรอก แล้วพ่อเฒ่าก็ชี้ไปที่กระดูกอีกอันที่ล้อมรอบด้วยกระดูกชิ้นอื่นๆ ราวกับจะปองร้าย
"นังคนที่สอง คือสายเลือดมึงเอง นังลูกสาวที่เกิดมาเพื่อชดใช้เวรกรรมให้มึง"
"แล้วผู้หญิงคนที่ 3 ล่ะ ใคร?" ลิตรถาม
พ่อเฒ่าชี้ไปยังกองกระดูกอีกกลุ่มที่แตกหัก สีหน้าดูหวาดหวั่น
"นังผู้หญิงคนสุดท้าย มันเป็นนางมารร้าย ผีห่าซาตานมาเกิดเลวชาติ โฉดชั่วเสียซะยิ่งกว่ามึงซะอีก โฮ่ว..." พ่อเฒ่าทำท่า 2 มือชูฟูมฟาย
"แปลว่า ชีวิตฉันจะหลีกหนีผู้หญิงทั้ง 3 คนนี้ไม่พ้นใช่ไม๊พ่อเฒ่า?"
"ไม่พ้น...มึงไม่มีวันหนีมันพ้น แต่ชะตาชีวิตมึง มีทางให้เลือกอยู่ 2 ทาง มึงเลือกทางของมึงเองได้"
ลิตรชักเซ็ง
"จะทางไหนก็รีบบอกมาเถอะน่า ที่ฉันมาหาพ่อเฒ่า ก็เพราะฉันอยากจะรวย ฉันเบื่อไอ้ความจนเส็งเคร็งที่ฉันเจอมาตลอดชีวิตนี่เต็มที่แล้ว!"
พ่อเฒ่าหันไปหยิบห่อผ้าสีขาวจากหีบไม้เครื่องรางของขลังมาวางลงบนถาดไม้ตรงหน้าลิตร
"ถ้ามึงใช้ของในห่อผ้านี้ มึงจะรวยกลายเป็นเศรษฐีอย่างที่มึงต้องการ หึๆ แต่มึงต้องแลกด้วยความตายอย่างทรมาน ลูกสาวมึงจะต้องอยู่อย่างรับกรรมกับบาปที่มึงก่อขึ้น"
ลิตรมองห่อผ้าอย่างลังเล
"แล้ว....อีกทางนึงล่ะพ่อเฒ่า?"
"มึงไสหัวกลับไป แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เลิกทำตัวเลวทรามต่ำช้า ผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน ชีวิตมึงจะลำบากสาหัสไปอีก 20 ปี แล้วมึงจะร่ำรวยด้วยตัวเอง บั้นปลายชีวิตจะมีความสุข อยู่กับลูกเมียและข้าทาสบริวาร"
"ว่าไงนะ! จะให้ฉันลำบากไปอีก 20 ปีเหรอ ฮ่ะๆๆ" ลิตรหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนเอ่ยต่อ "ไม่มีวันที่ฉันจะยอมตกนรกอีกแล้ว พ่อเฒ่า!"
ลิตรตัดสินใจคว้าหยิบถุงผ้า แต่พ่อเฒ่าคว้ามือไว้ ลิตรมองมือที่เกร็งดำราวกับปีศาจแล้วมองหน้าพ่อเฒ่าที่กำลังจ้องตาเขาเขม็ง
"คิดให้ดีไอ้ลิตร โอกาสครั้งเดียวในชีวิตของมึงมาถึงแล้ว ฮ่ะๆๆๆ"
ลิตรยิ้มที่มุมปาก แววตากร้าวไม่หวั่นเกรงบาปเวรใดทั้งสิ้น กระชากถุงผ้ามาจากมือพ่อเฒ่า
"ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปพ่อเฒ่า!"
"นรกไม่มีวันปราณีคนชั่ว! ฮ่ะๆๆ"
เสียงพ่อเฒ่าหัวเราะดังก้องไปทั้งถ้ำ
ในอดีต ยามเช้าตรู่ ลิตรขี่มอเตอร์ไซด์คันเก่าด้วยมือข้างหนึ่งมาตามถนนที่ทอดยาวสายๆ อีกมือของเขากุมห่อผ้าไว้แน่น แววตาลิงโลดที่จะได้ร่ำรวยซะที เขายิ้มก้มลงมองห่อผ้าที่กำไว้กับอก ทำให้รถมอเตอร์ไซด์วิ่งกินเลนไป จังหวะนั้นรถยนต์หรูคันหนึ่งแล่นสวนมาพอดี เสียงกดแตรไล่ แปร้ด ! เสียงดัง
ลิตรตกใจเงยหน้ามองไป
"เฮ้ย"
ลิตรหักหัวรถหลบ ทำให้รถเสียหลักแฉลบลงข้างทาง รถล้ม ร่างลิตรกลิ้งถไลลงข้างทาง ห่อผ้ากระเด็นหลุดจากมือ เขานอนเจ็บคว่ำหน้ามึนๆ อยู่กับพื้น
รถคันนั้นรีบปราดเข้ามาจอดริมทาง "ชิด" คนขับรถรีบลงจากรถมาเปิดประตู ให้ "เรไร" เศรษฐีนีแต่งตัวดี ใส่เครื่องทองราคาแพงก้าวลงจากรถ เธอรีบเดินเข้ามายืนมองเขาด้วยท่าทางตกอกตกใจ
"คุณ! เป็นยังไงบ้าง ไปดูซินายชิด เค้าตายหรือเปล่า"
ชิดรีบเข้ามาดูจะจับตัวลิตร แต่ลิตรหันมาปัดมือเสียก่อน
"ไม่ต้อง! ฉันยังไม่ตาย"
ลิตรพูดพลางยันตัวลุกขึ้นนั่งปัดเนื้อตัว มองไปที่ห่อผ้าขาว แล้วรีบคว้ามากุมไว้ แต่พอจะลุกขึ้น...ต้องกัดฟันกรอกเมื่อพบว่าเข่าข้างหนึ่งถลอกจนกางเกงขาดมีเลือดไหลออกมา เรไรชักรู้สึกหมั่นไส้ท่าทางอวดเก่งของลิตร เลยเยาะใส่
"หึ ไม่เป็นไร! ดูซิขาเจ็บถลอกปอกเปิก ยังจะทำเป็นปากเก่งอีก"
ลิตรเงยหน้าขึ้นมองจะสวนคืน แล้วต้องชะงักเมื่อมองไปที่หน้าเรไร แต่สายตากลับมองผ่านไหล่เรไรไปยัง "รำเพย" ที่ก้าวลงจากรถตามมายืนมองตกใจอยู่ข้างหลัง
ลิตรมองรำเพยตะลึงราวกับต้องมนต์สะกด ทำเอาเรไรชักเขินอาย คิดว่ามองตัวเอง
"หน้าฉันมีอะไร...ทำไมถึงมองฉันยังงี้"
"หรือว่า...ผมจะตายไปแล้วจริงๆ ถึงได้เห็นนางฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้า"
คำพูดนั้น ทำเอาสาวแก่อย่างเรไรถึงกับยกมือขึ้นทาบอก หัวใจเต้นแรง เลือดสูบฉีด หน้าแดงเขินอาย ขณะที่รำเพยรีบหลบตาหนีเพราะรู้ว่าลิตรหมายถึงตัวเอง
"ต๊าย! พูดจาอะไรไม่รู้ มาชมกันต่อหน้าแบบนี้ นางฟงนางฟ้าอะไร ไม่ใช่หรอก"
"ใช่...คุณใช่นางฟ้าของผมจริงๆ" ลิตรกำลังจะก้าวเดินไปหา "โอ๊ะ!"
เขาทรุดลงเพราะขาเจ็บ แต่เรไรคว้าแขน ประคองไว้ ลิตรเงยหน้ามองสบตา ...เรไรตกหลุมรักหนุ่มรูปหล่ออย่างลิตรในทันที
"ในเมื่อคุณเห็นฉันเป็นนางฟ้าของคุณ ฉันจะทำให้คุณผิดหวังได้ยังไง ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล แล้วก็รับผิดชอบดูแลรักษาคุณให้ดีที่สุด จนกว่าคุณจะหาย"
เรไรยิ้มให้ด้วยใจรัก แต่ลิตรกลับมองมืออันขาวผ่องและเต็มไปด้วยเครื่องประดับราคาแพง ทั้งแหวนและกำไลที่หนุ่มจน ๆ อย่างเขาไม่เคยได้สัมผัสของล้ำค่าพวกนี้เลยในชีวิตนี้ จนเกิดความโลภขึ้นในใจ
ลิตรเผยยิ้มส่งให้ในทันที เรไรอึ้งมองลิตรราวกับถูกยาเสน่ห์
ผ่านเวลามา ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออก รถของเรไรแล่นเข้าไปในเขตรั้วที่มีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 100 ไร่ ก่อนมุ่งตรงไปยังบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เรือนรัตนะ...เรือนไทยขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังตั้งอยู่ตรงกลาง มีเรือนไทยขนาดต่างๆปลูกรายล้อมอยู่ซ้ายขวาหลายหลัง รถจอดที่หน้าเรือนรัตนะ ชิดรีบลงจากรถมาเปิดประตูให้ เรไรก้าวลงจากรถมาก่อน หันไปบอกคนที่นั่งคู่กับเธอมาในรถ
"ลงมาซีจ๊ะ!"
ลิตรก้าวลงจากรถ...ตามองไปที่เรือนรัตนะอย่างตื่นตาตื่นใจ ลิตรอยู่ในชุดภูมิฐาน มีราคา ยิ่งทำให้ลิตรดูหล่อเหลามากขึ้น ดูดีมีสกุลขึ้น ผิดไปเป็นคนละคน
"เป็นอะไรไปจ๊ะลิตร เห็นเรือนรัตนะของพี่แล้ว ตกใจอะไร"
"ปล่าวครับพี่ ผมตะลึงในความงามของบ้านหลังนี้ต่างหาก มันงามเหมือนเจ้าของบ้านเลย"
ลิตรพูดพลางจับมือเรไรขึ้นมาหอมพลางมองตาเยิ้ม เรไรแทบจะละลายอยู่ตรงนั้น
ชิดยืนกุมมือสงบนิ่งอยู่ข้างหลัง แอบเหลือบตาขึ้นมองท่าทีของลิตรที่พยายามมัดใจเรไรไว้
"เป็นบุญวาสนาของผมจริงๆ ที่พี่ให้ความเมตตาคนเร่ร่อนอย่างผม"
เรไรยิ้ม ยกมืออีกข้างขึ้นจับหน้าเขาอย่างหลงใหล
"ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องเร่ร่อนไปไหนอีกแล้ว เธอต้องอยู่กับพี่ ที่นี่จะเป็นบ้านของเธอ"
ลิตรดึงเรไรมากอดไว้
"เรา 2 คนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะครับพี่"
เรไรพยักหน้าสุดแสนจะมีความสุขเหมือนดั่งขึ้นสวรรค์ ลิตรแอบยิ้ม รวยสมดั่งหวัง
"ไปจ้ะ! เราเข้าบ้านกันเถอะ"
เรไรจูงมือลิตรพาเดินขึ้นบ้านไป
พอผลักประตูเปิด...ก็เจอรำเพยที่เปิดประตูออกมาพอดี ลิตรตะลึงมองหน้าที่แสนจะอ่อนหวานของรำเพย ราวกับต้องมนต์สะกด
เรไรแนะนำ
"รำเพย ต่อไปนี้ คุณลิตรจะเข้ามาอยู่ในเรือนรัตนะกับพี่ ในฐานะพี่เขยของรำเพยนะ"
เธอพูดพลางเกาะแขน ว่าที่น้องเมียยกมือขึ้นไหว้เขา
"สวัสดีค่ะพี่ลิตร"
"สวัสดีจ้ะน้องรำเพย"
ลิตรยกมือขึ้นยิ้มรับไหว้ ตาแอบมองรำเพยอย่างหลงใหล จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
"ลิตรมีอะไรจะให้รำเพยช่วยก็บอกนะ แม่น้องสาวคนเดียวของพี่คนนี้ เค้าเก่งงานบ้านงานเรือนไปซะทุกอย่าง ไปดูห้องหอของเรากันดีกว่าจ้ะ"
เรไรจูงมือลิตรเดินไป รำเพยยืนมอง เห็นลิตรเหลียวมาแอบเธอด้วยสายตาคมกริบ
จนเธอต้องรีบหลบหน้า แล้วเดินหลบมายืนแอบที่ผนังบ้าน ใจคอนึกหวั่นอย่างประหลาด
วันใหม่ ในเวลากลางคืน ท้องฟ้าก่อนฝนตกมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง คะนองดัง รถเมอร์เซเดส เบนซ์หรูคันหนึ่งขับเร็วเข้ามาจอดเอี๊ยดที่หน้าบ้านไม้เก่า ๆ หลังหนึ่งที่ปลูกโดดเดี่ยวอยู่กลางสวนห่างไกลผู้คน
ลิตรเปิดประตูลงจากรถด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน มาเปิดประตูอีกด้าน...เห็นรำเพยนั่งกอดกระเป๋าเสื้อผ้าร้องไห้อยู่ในนั้น
"นี่บ้านใครอ่ะ พี่ลิตรพาฉันมาทำไม๊"
ลิตรไม่ตอบ แต่คว้าข้อมือรำเพยดึงลงจากรถออกคำสั่ง
"ลงมา!"
"ฉันไม่ลง! พี่จะทำอะไร ปล่อยฉันนะ"
ลิตรกระชากกระเป๋าเสื้อรำเพยทิ้ง จับข้อมือทั้ง 2 ข้างของรำเพยแน่น
"พี่ไม่มีวันปล่อยรำเพยไปแต่งงานกับคนอื่น"
เขาดึงเธอเข้ามากอดจูบ รำเพยขัดขืนเต็มกำลัง
"อย่าทำยังงี้ พี่ลิตร ฉันขอร้อง ปล่อยฉันไป พี่เป็นพี่เขยฉันนะ"
"พี่ไม่เคยรักพี่เรไรเลย รำเพยคือคนที่พี่รักตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า รำเพยเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ ถึงได้คอยหลบหน้าพี่มาตลอด"
"แต่พี่เรไรมีบุญคุณกับพี่นะ ที่พี่สุขสบายทุกวันนี้ก็เพราะพี่เรไร แล้วพี่จะมาทรยศพี่เรไรได้ลงคอเหรอ"
"พี่ไม่สน! พี่รู้แต่ว่าพี่รักรำเพย พี่ทนไม่ได้ที่รำเพยจะเป็นเมียคนอื่น รำเพยต้องเป็นเมียพี่"
ลิตรอุ้มรำเพยเดินเข้าบ้าน รำเพยดิ้นร้องไปตลอดทาง
"ปล่อยฉันนะพี่ลิตร ปล่อย...อย่าทำยังงี้ ปล่อย!"
ลิตรเปิดประตูพารำเพยเข้าบ้าน ปิดประตูปัง!
หน้าต่างห้องข้างบนที่เปิดไฟสว่าง ลิตรกำลังปลุกปล้ำรำเพย พร้อมเสียงร้องของรำเพยเล็ดลอดออกมาจากในบ้านดังก้อง
"อย่าพี่ลิตร...อย่า…อ๊าย!"
วันใหม่ ภายในเรือนรัตนะ เรไรทั้งช็อกทั้งแค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้น
"แกว่าอะไรนะไอ้ชิด! ที่นังรำเพยมันหนีงานแต่งงานหายตัวไปเป็นปี มันไปอยู่กับใคร?"
"เอ่อ...คุณรำเพย แอบไปอยู่กินกับ...กับคุณลิตรที่บ้านกลางสวน นอกเมืองโน่นแน่ะครับ"
เรไรค่อย ๆ ยก 2 มือที่สั่นเทาขึ้นจับหัวของตัวเอง ราวกับโลกทั้งโลกถล่มลงมาทับตัวเธอ..ส่ายหน้า น้ำตาไหลพรั่งพรูแทบคลั่ง ก่อนจะส่งเสียงร้องกรี๊ดโหยหวนดังออกมา
เธอใช้มือกวาดข้าวของบนโต๊ะตกระเนระนาด คว้าข้าวของเขวี้ยงลงพื้นอาละวาดระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง จนรู้สึกหน้ามืด อาการความดันกำเริบ ทำเอาวูบจะล้ม ชิดตกใจรีบเข้ามาประคอง
"นายหญิง! พอเถอะครับ หยุดได้แล้ว เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป"
เรไรผลัก
"แกไม่ต้องมาห่วงฉัน ไปฆ่ามัน!"
ชิดตกใจ
"ห่ะ! นายหญิงจะให้กระผม ไปฆ่าใครครับ"
"ก็ฆ่าอีรำเพยไง! อีน้องทรยศ แย่งผัวกู ฮือๆๆฉันรู้ มันแอบหว่านเสน่ห์ให้ลิตรของฉันมานานแล้ว ฉันเห็นมันเป็นน้องสาว ฉันเลยไม่อยากจะทำอะไรมัน อุตส่าห์หาตาวิชัยลูกชายเสี่ยท้ายตลาดให้มาเป็นผัวมัน แต่มันกลับหนีงานแต่งงานแอบไปอยู่กินกับผัวฉันเงียบๆ ฮือๆๆ" เรไรพูดพลางกำหมัดทุบอกเบาๆ ประมาณเจ็บลึก "มิน่าล่ะ หนึ่งปีมานี้ ลิตรไม่ค่อยอยู่บ้านเลย อ้างว่าไปธุระโน่นนี่ที่ต่างจังหวัดตลอดเวลา ที่แท้...ฮือๆ ที่แท้ก็แอบไปกกอยู่กับอีรำเพย อีน้องอกตัญญู ฮือๆๆ"
บริเวณบันไดขึ้นเรือน ลิตรกลับมาพอดีได้ยินเข้า ก็ยืนหลบ ตกใจที่ความลับแตก
เรไรปาดน้ำตาทิ้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสุดแค้น
"ไอ้ชิด"
"ครับนายหญิง"
"แกรักฉันไม๊?"
ชิดคุกเข่ายกมือไหว้
"นายหญิงมีเมตตา ช่วยใช้หนี้ให้กระผมแล้วยังให้ที่อยู่ที่กินกระผม นายหญิงเป็นยิ่งกว่าแม่ของกระผมซะอีกครับ"
"ถ้าอย่างงั้นแกไป...ไปกำจัดหนามหยอกอกให้ฉัน ไปหลอกพานังรำเพยมาจากรังรักของมัน แล้วพามันไปฆ่าถ่วงน้ำทิ้งซะ อย่าให้ลิตรรู้"
"อะไรนะ! นายหญิงจะให้กระผมฆ่าคุณรำเพยจริงๆ เหรอครับ กระผม...กระผมทำไม่ได้"
เรไรผลักนายชิดจนล้มหงายลง
"อี่ย์!ก็ไหนแกบอกว่ารักฉันไง ฉันเป็นยิ่งกว่าแม่ของแก ทำไมแกถึงทำให้ฉันไม่ได้ ฮือๆๆๆ ฉันทนอยู่โดยขาดลิตรไม่ได้ ถ้าไม่มีมันเสียคน ลิตรต้องกลับมารักฉันคนเดียว ฉันต้องกำจัดอีรำเพยซะ ฉันกับมันจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ในชาตินี้!"
เรไรคว้าของใกล้มือปาไปที่รูปถ่ายที่เธอกับรำเพยถ่ายคู่กัน กระจกแตกโพละ! ลิตรตกใจมากที่ได้ยินอย่างงั้น เขาส่ายหน้า และคิด...เขาต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วก็นึกถึงห่อผ้าขาวของพ่อเฒ่าได้ รีบหันเดินกลับลงจากเรือนไปอย่างเงียบๆ
ดอกรำเพยสีส้มร่วงอยู่ที่พื้นสวนข้างเรือนรัตนะ... ลิตรรีบเดินมาแต่ไกล ตรงมายังม้านั่งไม้ใกล้ต้นรำเพยที่กำลังออกดอกสะพรั่ง เขาขยับม้านั่งออก ก้มมองหาจุดที่เขาฝังของสำคัญไว้...เขาหันรีหันขวาง เจอพลั่วอันเล็ก ๆ วางอยู่ใกล้ๆกรรไกรตัดหญ้า จึงคว้าพลั่วมาขุด พลางหันมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวใครจะมาเห็นเข้า เขาปาดเหงื่อที่ไหลโทรมหน้า
สักพัก...ลิตรก็ขุดเจอกระสอบป่านใส่ข้าวสารฝังดินอยู่ เขาชะงักมอง ก่อนจะรีบใช้ 2 มือตะกุยดิน ดึงกระสอบป่านขึ้นมา เปิดปากกระสอบป่านออกมา เห็นห่อผ้าสีขาวของพ่อเฒ่าอยู่ข้างใน ลิตรหยิบห่อผ้าออกมา แล้วแกะห่อออก เห็นเป็นกิ่งรำเพยแห้งๆ 3-4 กิ่งวางอยู่ในห่อผ้า เขาหยิบกิ่งรำเพยขึ้นมา
เสียงพ่อเฒ่าดังก้องขึ้นในโสตประสาททันที
"กิ่งรำเพย! มึงรู้จักไม๊ไอ้ลิตร ถ้ามึงรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน แก้วแหวนเงินทองทุกสิ่งทุกอย่างที่มึงฝันอยากจะมี ก็จะมาอยู่ในมือของมึง ฮ่ะๆๆ"
ลิตรกำกิ่งรำเพยไว้แน่น แววตาแน่วแน่
"ในเมื่อพี่คิดจะฆ่าผู้หญิงที่ผมรัก ผมก็จำเป็นต้องกำจัดพี่ซะ!"
อ่านต่อหน้า 2
เรือนริษยา ตอนที่ 1 (ต่อ)
วันใหม่ ในเวลาต่อมา รำเพยอุ้มลูกสาวชื่อ นันทนัชที่เพิ่งเกิดก้าวขึ้นบันไดเรือนรัตนะมาด้วยน้ำตา...บ้านที่รักและผูกพัน
แล้วต้องหยุดยืนน้ำตาไหลเผาะแทบหมดแรง...เมื่อมองตรงไป เห็นรูปถ่ายขาวดำของเรไรในกรอบไม้สีดำตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน ด้านหน้ามีกระถางธูปปักธูป 1ดอกไว้ มีโกศใส่เถ้ากระดูกวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ
"พี่เรไร!"
รำเพยเดินเข้าไปทรุดลงนั่งกองกับพื้น กอดลูกร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้ารูปถ่ายเรไร
เขาเดินตามขึ้นบันไดมาหยุดมองอย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
"ฉันขอโทษ....ฉันทำผิดต่อพี่ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เลย"
ลิตรเดินเข้ามานั่งลงโอบปลอบรำเพย
"อย่าเสียใจไปเลยรำเพย พี่เรไรเค้าไปดีแล้วนะ"
"ทิพย์" ที่ดูสวยเรียบ เป็นสาวชาวบ้าน ไม่มีตระกูลเดินออกมาจากในบ้าน แล้วหยุดมองทั้งคู่
"มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่เรไรถึงบุญน้อยนัก" รำเพยถาม
"เอ่อ...หมอบอกว่าพี่เรไรหัวใจวายเฉียบพลัน"
รำเพยส่ายหน้า
"ไม่! เป็นไปไม่ได้ พี่เรไรไม่ได้เป็นโรคหัวใจ พี่เรไรยังแข็งแรงดีตอนที่ฉันไปจากที่นี่ อยู่ ๆ พี่เรไรจะมาตายได้ยังไง"
ลิตรตัดบท
"หักห้ามใจเสียบ้างเถอะจ้ะรำเพย ไหนๆ พี่เรไรก็ตายไปแล้ว" เขามองไปเห็นทิพย์ยืนอยู่... "ต่อไป รำเพยก็กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนะจ๊ะ พี่เตรียมพี่เลี้ยงไว้ช่วยรำเพยเลี้ยงลูกของเราแล้ว เข้ามาซิ ทิพย์"
ทิพย์เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งลงแล้วไหว้
"สวัสดีค่ะคุณรำเพย ทิพย์ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"
รำเพยรับไหว้ แต่ยังงง ๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"เธอช่วยรับลูกสาวฉันไปดูที ฉันจะคุยกับคุณรำเพย" ลิตรบอก
"ค่ะ คุณผู้ชาย"
แวบหนึ่งในดวงตา ทิพย์มองลิตรอย่างปลาบปลื้ม ก่อนยื่นมือไปรับลูกสาวจากมือรำเพย แต่รำเพยยังไม่ยอมปล่อยมือ เป็นห่วงลูก ไม่มั่นใจ
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณรำเพย ทิพย์จะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด จะรักให้เหมือนลูกสาวของทิพย์เองเลยค่า"
นั่นแหละ...รำเพยถึงปล่อยมือ ลุกขึ้นยืนมองทิพย์อุ้มยายหนูเดินหยอกล้อเข้าบ้านไป
ลิตรดีใจที่ได้ครอบครองทั้งสมบัติและตัวรำเพย โดยไม่มีเรไรเป็นอุปสรรคอีกแล้ว
"ขอต้อนรับกลับเรือนรัตนะอีกครั้งจ้ะรำเพย"
แต่รำเพยกลับพูดกับลิตรด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาจ้องจับผิด พูดย้ำอย่างไม่เชื่อลิตร
"พี่เรไรไม่ได้หัวใจวายตาย! บอกความจริงกับฉันมา พี่ลิตรทำอะไรพี่เรไร"
ลิตรตกใจ อึ้งมองหน้า
"รำเพย"
"พูดความจริงซีพี่ลิตร ฉันอยากได้ยินจากปากของพี่ ถ้าพี่รักฉันจริง อย่างที่พร่ำบอกฉันตลอดเวลาที่กักขังฉันไว้เป็นเมียของพี่ พี่ต้องไม่โกหกฉัน พี่ทำอะไรกับพี่เรไร บอกมาซี...บอกฉันมา...ฮือๆๆ"
รำเพยระดมตีลิตรเบาๆ ร้องไห้ เขาดึงเธอมากอดแนบอก พูดบอกเธอที่ข้างหูเบาๆ
"พี่เรไรจะส่งคนไปฆ่ารำเพย พี่เลย...จำเป็นต้องชิงลงมือก่อน"
"ห่ะ!"
"แต่รำเพยไม่ต้องห่วงนะ พี่เรไรเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น ไม่ได้ทรมานอะไรเลย"
รำเพยแทบขาดใจ
"ฮือๆๆ พี่ฆ่าพี่สาวฉัน พี่ฆ่าผู้หญิงที่มีบุญคุณกับพี่ที่สุด พี่ทำลงไปได้ยังไง"
"พี่ทำลงไปเพราะรักรำเพย รักลูกของเรา เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตามประสาพ่อ แม่ ลูก!"
เธอผลักเขาออกไป
"ฉันจะอยู่กับคนที่ฆ่าพี่ฉันสาวได้ยังไง ฉันจะไปจากชีวิตพี่ เหมือนกับที่พี่เอาชีวิตพี่เรไรไปจากฉัน"
ลิตรโกรธ
"พี่ทำเพื่อรำเพยขนาดนี้แล้ว ถ้ารำเพยยังทิ้งพี่ไปได้ลงคอล่ะก็ ก็เอาซี๊ พี่ก็จะเอาชีวิตลูกไปจากรำเพย ชาตินี้ อย่าหวังเลยว่ารำเพยจะได้เห็นหน้าลูกอีก!"
รำเพยอ้าปากค้าง เขาเดินผละไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้เธอทรุดนั่งลงร้องไห้มองรูปพี่สาวอย่างรู้สึกผิด
รำเพยค่อย ๆนั่งลงที่ม้านั่งใกล้ต้นรำเพย แล้วหยิบดอกรำเพยสีส้มที่ร่วงอยู่บนม้านั่งขึ้นมาดู พลางรำพึง
"ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันคนเดียว เพราะฉัน...ทำให้พี่เรไรต้องตาย"
น้ำตารำเพยเอ่อ....ปล่อยดอกรำเพยร่วงจากมือ ยกปืนที่เตรียมมาขึ้นจ่อขมับ เธอหลับตาลง น้ำตาร่วงเผาะอาบ 2 แก้ม เป็นจังหวะที่ลิตรวิ่งมาเห็นเข้าพอดีจึงร้องห้าม
"อย่า...รำเพย!"
ทิพย์อุ้มยายหนูออกมาเห็นพอดี ก็ตกใจ อ้าปากค้าง... ลิตรวิ่งเข้าหารำเพย หวังจะหยุดเธอ แต่ช้าไป...รำเพยลั่นไก...ปัง!
"รำเพย"
ร่างรำเพยทรุดลง ลิตรถลาเข้ามาประคองร่างเธอที่มีเลือดไหลอาบแก้ม... ร้องไห้
"ทำไมถึงทำอย่างงี้...ทำไม!"
25 ปีต่อมา ลิตรในวัยใกล้ 50 นอนอยู่บนเตียง เขากำลังฝันร้ายถึงภาพในอดีตที่รำเพยยิงตัวตายซึ่งยังติดตาไม่รู้ลืม เขาเหงื่อแตกซ่าน กระสับกระส่าย มือไขว้คว้าเรียกหาแต่รำเพย
"รำเพย รำเพย อย่า...อย่ายิง!"
เขาสะดุ้งตื่นขึ้น พบตัวเองนอนอยู่ภายในห้องนอนที่แสงสลัว เขาหายใจเหนื่อยหอบแล้วต้องจับคอตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ลิตรมองไป...เห็นควันจางๆลอยอบอวลอยู่ทั่วห้องก็รู้ทันว่า ตัวเองถูกวางยาเสียเองแล้ว
เขากวาดตามอง จนเห็นเงาตะคุ่มใครคนหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวมองจ้องเขาอยู่ที่มุมมืดของห้อง
"กะ...แก...แกเป็นใคร"
เขาพยายามจะลุกจากเตียง แต่แข้งขาหมดเรี่ยวแรง มือป่ายปัดของข้างเตียงร่วง ตัวกลิ้งตกจากเตียง
"อ๊าก!"
เขาร้องลั่น แรงตกกระแทกทำให้แขนเขาหัก ลิตรมองไปที่ไอ้โม่ง
"แก....ฆ่าฉัน ทำไม"
ไอ้โม่งไม่ตอบ รีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปิดประตูห้องไว้
ลิตรเถือกตัวไปที่ประตูอย่างเจ็บปวด พยายามร้องเรียกให้คนช่วยแต่ไม่มีแรง แทบไม่มีเสียง
"ช่วย ช่วย...ด้วย โอ๊ก"
ลิตรรู้สึกหลอดลมตีบ จะหมดลม จับคอดิ้นทุรนทุราย พลิกนอนหงายกับพื้น วินาทีก่อนจะตายนั้น ภาพพ่อเฒ่าทำนายผุดขึ้นในสมอง
"...ถ้ามึงใช้ของในห่อผ้านี้ มึงจะรวยกลายเป็นเศรษฐีอย่างที่มึงต้องการ หึๆ แต่มึงต้องแลกด้วยความตายอย่างทรมาน และลูกสาวมึงจะต้องอยู่อย่างรับกรรมกับบาปที่มึงก่อขึ้น"
ลิตรนอนหายใจขัดเป็นห้วงๆ กำลังจะหมดลม แต่ใจห่วงลูก จนน้ำตาไหลรินพูดประโยคสุดท้ายว่า
"ลูกพ่อ"
แล้วเขาก็หมดลม นอนตายตาเบิกโพลง
ธูปหอมอโรม่าในถาดดินเผา มีควันลอยขึ้นมาเป็นเส้นราวมัจจุราช
หลายวันต่อมา เครื่องบินเที่ยวบินจากอังกฤษ ร่อนลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ
สายพานลำเลียงกระเป๋าจำนวนมากออกมา ผู้โดยสารสายการบินลอนดอน-กรุงเทพยืนรออยู่เป็นจำนวนมาก
"นันทนัช" สวมแว่นดำลากกระเป๋าลงจากสายพาน แม้เธอจะสวมแว่นดำแต่ไม่อาจซ่อนใบหน้าที่โศกเศร้าเสียใจไว้ได้ จมูกยังแดงกล่ำ ปากยังเม้มด้วยอาการหักห้ามน้ำตา บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง
"พ่อคะ...นันกลับมาแล้ว!"
"ธีร์" หนุ่มหล่อ นายแบบที่กำลังก้าวเข้าสู่มืออาชีพ กำลังวิ่งรีบร้อนมาตามทางในสนามบิน เพื่อมารับนันทนัชให้ทันเวลา สีหน้าเขาตื่นเต้นที่จะได้เจอผู้หญิงที่เขาหลงรักมาตลอดเวลา ธีร์ยกนาฬิกาขึ้นมองเวลา แล้ววิ่งเลี้ยวไปทางประตูผู้โดยสารขาเข้าประเทศ
นันทนัชเข็นกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า เขาวิ่งมาถึงประตูพอดี พลางยิ้ม โบกมือเรียกที่ราวเหล็กกั้น
"นัน!"
นันทนัชถอดแว่นกันแดดออก ส่งยิ้มน้อยๆ เดินเข็นกระเป๋าออกมาจากทางกั้น เขารีบมายืนรอรับที่ทางออก มองนันทนัชด้วยตาเป็นประกาย
"เดินทางเป็นไงบ้างจ๊ะนัน"
"ไม่มีความสุขค่ะ ใจนันมาถึงกรุงเทพก่อนตัวจะขึ้นเครื่องที่ลอนดอนซะอีก"
ธีร์หุบยิ้มแทบไม่ทัน มองเธออย่างเห็นใจ
"เอ่อ...พี่ขอโทษ มัวดีใจที่จะได้เจอนัน จนลืมไปว่านันกำลังเสียใจเรื่องพ่อ"
เธอยิ้ม
"ขอโทษทำไม พี่ธีร์ นันสิต้องขอโทษที่โยนภาระทุกอย่างให้พี่ช่วยจัดเตรียมแทนนันที่นี่ นันต้องกราบขอบพระคุณพี่มาก ๆ ค่ะ"
นันทนัชยกมือไหว้ จนแทบจะกราบอกธีร์จริงๆ
"ไม่ต้องขอบคุณพี่ขนาดนี้หรอก นันก็รู้ว่าพี่เต็มใจช่วยนันทุกอย่าง"
ธีร์พูดพลางจับไปที่มือเธอที่กำลังพนมอยู่นั้น นันทนัชเงยหน้ามองทำเป็นดุใส่ ธีร์รีบปล่อยมือเธอยกมือตัวเองไปขยี้ผมท้ายทอยตัวเอง ยิ้มๆ แก้เก้อ
"แฮ่ ไปเถอะ ตอนนี้ลุงสันต์กับลูกน้องกำลังรอคุยกับนันอยู่ที่บชน. เสร็จแล้วเราต้องรีบไปที่วัดอีก เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"
สีหน้าเธอเครียดขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอกำลังจะไปจัดการ
"ค่ะ"
ธีร์ช่วยเข็นกระเป๋าไปให้นันทนัช ทั้ง 2 คนรีบเดินไป
ถนนสายหนึ่ง มีรถบางตา รถคันหนึ่งแล่นแซงซ้ายแซงขวาอย่างเร่งรีบ ภายในรถ "กฤตพนธ์" เป็นคนขับ ตาของเขาจับจ้องเข้มไปที่รถคันหนึ่ง ที่ขับอยู่ข้างหน้าห่างช่วงไปราว 2-3 ช่วงคันรถ ในมือ ถือวอร์กำลังพูด
"พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปเส้นทางนั้นแล้ว จะไปถึงไม่เกิน 5 นาที บอกทุกฝ่ายเตรียมพร้อม!"
เสียงตอบจากภาณุว่า "โอเค"
กฤตพนธ์วางวอร์ แล้วขับแซงรถข้างหน้าไป เพื่อไม่ให้รถที่กำลังติดตามคลาดสายตา
ธีร์กำลังรีบเร่งขับรถไป โดยมีนันทนัชนั่งร้อนใจอยากไปให้ถึงที่หมายเร็วๆ เธอมองไปข้างหน้า ธีร์ยื่นมือไปเปิดเพลงหวานๆ เธอหันมามองหน้า
"ฟังเพลงหวานๆ นันจะได้ไม่เครียดมาก"
เขายิ้มให้แล้วหันกลับไปขับรถต่อ เธอมองเขาอย่างรู้สึกขอบคุณ ธีร์แสนดีกับเธอเสมอ
แต่ใจเธอก็ไม่ได้รักธีร์แบบคนรักเสียที
ที่มุมหนึ่งของถนน ตำรวจตั้งด่านบีบให้รถผ่านไปได้เลนส์เดียว โดยมีกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบราว 10 คนมาเตรียมพร้อม "ภานุ" ยืนคุยอยู่กับกำลังตำรวจกลุ่มนั้น ก่อนจะหันหน้าเดิน ตามองไปไกล มองหารถเป้าหมายอย่างรอคอย เขาเห็นรถแล่นมาแต่ไกล แล้วชี้บอก ...
"มันมาโน่นแล้ว!"
กำลังตำรวจเตรียมพร้อม ประจำจุด ภานุก้มลงมองนาฬิกา
"5 นาทีเป๊ะ หึ กะเวลาได้แม่นมากเพื่อน!"
ภานุยิ้มๆ ชื่นชมเพื่อนคู่หู
บริเวณรถของนักค้ายาข้ามชาติ 4 คนที่กำลังขับมุ่งไปข้างหน้า กลุ่มนักค้ายา 1 ซึ่งเป็นคนขับมองไปข้างหน้าเห็นด่านก็ตกใจ
"Police!"
นักค้ายา 1 เหยียบเบรกทันที ทำเอารถคันหลัง 2-3 คันบีบแตรแล้วหักพวงมาลัยหลบพัลวัน ขณะที่จะใส่เกียร์ถอยหลังจะหนี แต่รถกฤตพนธ์ก็ขับพุ่งมา เขาดึงเบรกมือ ทำให้รถหมุนขวางทางไว้
นักค้ายา1ตกใจเบรกรถเอี๊ยดทำเอาหัวทิ่มกันทั้งคัน
นักค้าทั้ง 4 ร้อง "อ๊าก"
รถของนักค้ายาเฉียดชนรถกฤตพนธ์ได้หวุดหวิด ขณะที่เขายกวอร์รายงานอย่างรวดเร็ว
"มันไหวตัวแล้ว กำลังหนี!"
กฤตพนธ์พูดเสร็จรีบโยนวอร์ ชักปืนรีบเปิดประตูลงจากรถ เห็นนักค้ายาทั้ง 4 ที่รีบเปิดประตูลงจากรถ กฤตพนธ์เล็งปืนกล็อกคู่ชีพไปพร้อมตะโกน
"Stop! or I will shoot!"
แต่นักค้ายา 1กลับชักปืนยิงเข้าใส่ ปังๆๆกฤตพนธ์กลิ้งตัวหลบ เงยหน้ามองไปเห็นนักค้ายาทั้ง 4 ที่ต่างแตกฮือแยกกันวิ่งหนีไปกันละทาง
นักค้ายา 1,2,3 ที่มีปืนวิ่งหนีไปข้างทาง...
"เฮ้ย...หยุดนะ" ภานุบอก
ภานุและกำลังตำรวจที่วิ่งมาตั้งแต่ด่าน แยกกันไล่ตามไป ขณะที่นักค้า 4 หิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใส่เงินวิ่งสวนไปอีกทาง กฤตพนธ์ตัดสินใจลุกวิ่งตามมันไป
ธีร์ขับรถตามมาทางด้านหลัง แต่ต้องหยุดจอดนิ่ง...รถข้างหน้าติดจนไปไหนไม่ได้ เขากดแตร
"ทำไมไม่ไป ถนนออกจะโล่ง ขับมาดี ๆ ก็จอดกันซะงั้น"
"มันติดอะไร เดี๋ยวก็ไปไม่ทัน"
นันทนัชก้มลงดูนาฬิกา
อ่านต่อหน้า 3
เรือนริษยา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ฤตพนธ์วิ่งไล่ตามนักค้ายาคนที่ 4 มาตามถนน ผ่านรถที่จอดเรียงรายติดกันอยู่ นักค้ายาเหลียวหันมามองกฤตพนธ์ เป็นจังหวะที่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่โผล่ออกมา และไม่ทันเห็นเลยชนล้มลง
กฤตพนธ์เห็นอย่างนั้นเลยรีบเหน็บปืนเก็บ แล้วตรงเข้าไปตะครุบตัวมัน...ต้องการจับเป็น แต่มันตวัดหมัดเข้าใส่ เขาผงะหลบหมัด เจอมันเหวี่ยงกระเป๋าเข้าใส่ซ้ำ เฉี่ยวหน้าเขาไปแค่คืบ ตามเตะซ้ำ แต่กฤตพนธ์ยกขาเตะสวนดักขามันได้ กแล้วกำหมัดต่อยเข้าคอหอย
"ย๊าก!"
พ่อค้ายาจับคอผงะ แต่ก็สาวหมัดรัวรุกเข้ามาอีกครั้ง พร้อมเตะสูงตามทักษะคาราเต้ของมันเข้าใส่ กฤตพนธ์ถอยพลางใช้แขนเป็นกราดรับทั้งหมัดและขาของมันอย่างคล่องแคล่ว แล้วต่อยสวนด้วยหมัดลุ้นๆ ตามทักษะยิวยิตสูที่ฝึกฝนมาของเขา จับข้อมือมันได้บิดหักล็อกมัน...เสียงกระดูกลั่นกรอบ มันร้องลั่น
"อ๊าก"
"ยอมให้จับซะดีๆ"
แต่มันไม่ยอมสิ้นฤทธิ์...ใช้อีกมือ ต่อยเข้าหน้ากฤตพนธ์ แล้วสะบัดหลุดจะวิ่งไป กฤตพนธ์ตามคว้าคอเสื้อมันไว้ได้ เขาจับมันทุ่มลงกับพื้น หวังจะจับล็อกมันใส่กุญแจมืออีกครั้ง แต่มันสลัดเสื้อนอกทิ้งลุกวิ่ง กฤตพนธ์ถือเสื้อนอกของมันมองอย่างเซ็ง เหวี่ยงทิ้ง
"ไอ้บ้าเอ้ย...หยุดนะ! จับได้นะมึง"
เขาลุกวิ่งตามมันไปอีก
ทั้งธีร์และนันทนัชหงุดหงิดอยู่ในรถ พ่อค้ายา 4 วิ่งหนีผ่านรถเธอไป ธีร์หันมอง
"อ้าว...ทำไมมาวิ่งอยู่บนถนน ข้างหน้าต้องมีเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อตะกี้ได้ยินเหมือนเสียงปืน" ธีร์ว่า
"ทำไมต้องมามีเรื่องกันตอนนี้ คนกำลังรีบ"
นันทนัชถอนใจอย่างร้อนรุ่ม เปิดประตูลงไป
"นัน! อย่าลงไป"
เป็นจังหวะเดียวกับที่กฤตพนธ์วิ่งมาพอดี
"เฮ้ย...หลีก"
นันทนัชหันไปมอง เห็นกฤตพนธ์ที่พุ่งเข้ามาก็ตกใจ
กฤตพนธ์วิ่งมาเร็วเลยหยุดตัวเองไม่ได้ ชนเธอล้มกลิ้งลงไปนอนเจ็บเคียงข้างกัน
"อ๊าย!"
"โอ๊วะ"
ธีร์ร้อง
"นัน!"
ธีร์รีบเปิดประตูรถลงมา ขณะที่กฤตพนธ์ห่วงพ่อค้ายา เห็นว่ามันวิ่งไปไกลแล้วก็รีบตวัดขากระเด้งตัวเองลุกขึ้นอย่างเท่จะวิ่งตามไป แต่ต้องชะงักก้าวขาไม่ออก เพราะนันทนัชที่นอนอยู่เอามือคว้าขาเขาเอาไว้
"คุณ! มาจับขาผมไว้ทำไม ปล่อย"
"ปล่อยแบบนี้เหรอ"
นันทนัชกระชากขาเต็มแรง ทำให้เขาล้มหน้าคะมำลงกับพื้นอีก เขาใช้มือยันพื้นไว้ทัน
"โธ่เว้ย! ทำบ้าอะไรของคุณ"
ธีร์เข้ามาช่วยพยุงนันทนัชให้ลุกขึ้น
"ฉันกำลังสั่งสอนพวกที่ชนแล้วหนี ไม่รับผิดชอบ คำขอโทษจากปากยังไม่มีเลยสักคำ"
กฤตพนธ์ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเธออย่างหัวเสีย ธีร์ยืนคุมเชิงพร้อมช่วย
"โอเค๊ ผมวิ่งชนคุณล้ม แต่เมื่อกี้คุณกระชากขาผมล้มเหมือนกัน เป็นอันว่าเราเจ๊ากันแล้ว"
เขาพูดพลางยิ้มกวนใส่ ยิ่งกวนโทสะเธอ
"พูดง่ายๆแบบนี้ คุณเป็นลูกผู้ชายรึปล่าวห่ะ!"
เธอชี้หน้า เขาคว้ามือเธอหมับ…เขาโกรธมากแต่ยังเค่นยิ้ม
"ถ้าผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณคงโดนผมสั่งสอนไปแล้วที่มาชี้หน้าผมแบบนี้"
เขามองหน้าที่สวยแปลกตาของเธอ ทำแววตายิ้ม ๆขู่ ธีร์ปรี่เข้ามาจับคอเสื้อกฤตพนธ์
"ปล่อยมือนันเดี๋ยวนี้นะ"
กฤตพนธ์มองหน้าธีร์
"หูแตกหรือไง ผมบอกให้คุณปล่อย" ธีร์ย้ำ
เขาปล่อยมือเธอ แต่หันมาจับข้อมือธีร์ ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่มีใครกลัวใคร
"ผมปล่อยเธอแล้ว แล้วคุณล่ะ จะปล่อยหรือไม่ปล่อย! ไม่อย่างงั้น ผมจะถือว่าคุณกำลังขัดขวางเจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่!"
กฤตพนธ์พูดพลางโชว์บัตรประจำตัว พ.ต.กฤตพนธ์ อัศวัติ สังกัดหน่วยสืบราชการลับ ที่แขวนคออยู่ นันทนัชรีบเข้ามาดึงธีร์
"อย่ามีเรื่องเลยค่ะพี่ธีร์ เรามีเรื่องสำคัญต้องทำ มากกว่ามามีเรื่องกับคนที่ชอบใช้ตำแหน่งมาอวดเบ่งข่มชาวบ้าน"
"ห่ะ ผมนะเหรอใช้ตำแหน่งมาอวดเบ่ง นี่...คุณพูดดีๆนะ"
เสียงวอร์สื่อสารที่หูของกฤตพนธ์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
"ว่าไงครับ สกัดจับตัวมันได้แล้วเหรอ โอเค ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้"
กฤตพนธ์รีบวิ่งไป ขณะที่รถข้างหน้าเริ่มขยับเคลื่อนตัวออกไป ธีร์ดึงนันทนัชกลับขึ้นรถ แล้วขับออกไป
กฤตพนธ์กับภานุกำลังช่วยตำรวจกำลังใส่กุญแจมือพ่อค้ายาทั้ง 4 พามาขึ้นรถกระบะของตำรวจ ทางด้านหลังมีทั้งหน่วยตำรวจและทหารสนธิกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้
"ผมขอส่งมอบตัวคนร้ายให้กับทางตำรวจไปดำเนินการต่อเลยนะครับ" ภานุบอก
"ยินดีมากครับที่ทางหน่วยทหารของเรา ได้ประสานความร่วมมือกับทางตำรวจจับกลุ่มพ่อค้ายาข้ามชาติขบวนใหญ่นี้ได้ซะที หลังจากที่ผมต้องตามกลิ่นมันตามแนวชายแดนมาตั้งนาน หวังว่าโอกาสหน้า คงได้ร่วมงานกันอีกนะครับ" กฤตพนธ์ว่า
กฤตพนธ์ ภานุและเจ้าหน้าที่ทหารอีก 2 คนจับมือกับฝ่ายตำรวจ ตำรวจคุมตัวคนร้ายไป กฤตพนธ์เป่าปาก
"เกือบไปแล้ว! ฉันเกือบทำคนร้ายหลุดมือ เพราะผู้หญิงแสบคนนั้นคนเดียว"
ภานุหนุ่มอารมณ์ดีหัวเราะถาม
"ผู้หญิงที่ไหนวะ ถึงทำให้ผู้พันกฤตพนธ์รมณ์เสียได้ถึงขนาดนี้"
"ช่างเหอะ อย่าให้ฉันเจอแม่นั่นอีกก็แล้วกัน"
"เจอแล้วทำไม แกจะจีบเค้าเหรอ ระวัง คนนั้นของแกหึงเอานะ"
ภานุพูดพลางทำมือเป็นสัดส่วนผู้หญิง...หน้าอกกับก้นใหญ่มาก
"ไอ้บ้า!นั่นคนหรือกระทิงวะ"
มือถือกฤตพนธ์ดังขึ้นพอดี
"อ่ะ! ให้ฉันทาย แม่กระทิงน้อยของแกโทร.มาแหง๋"
กฤตพนธ์กดรับสายเป็นกนกกรโทร.มาจริงๆ
"ฮัลโหล...ครับคุณกิ๊บ…อ๋อ ไปซีครับ ผมเพิ่งเสร็จงาน จะรีบไปเดี๋ยวนี้" เขากดวางสาย ตบไหล่ภานุ แล้วบอก "ไปก่อนนะไอ้นุ!"
"เฮ้ย อะไรวะ ไหนบอกยังไม่ใช่แฟน แต่เค้าโทร.มากริ๊งเดียว แกก็เผ่นแน่บไปหาเค้าซะแล้ว ตกลงไม่ใช่แฟนแต่เป็นกิ๊กเหรอวะ"
เขาขี้เกียจต่อความยาว รีบมาขึ้นรถที่จอดอยู่ ๆ ถอดแจ๊คเก็ตออก เห็นเสื้อเชิร์ตขาวด้านใน เขาคว้าเนคไทมาพาดคอ ก่อนสตาร์ทเครื่องขับออกไป
กฤตพนธ์ขับรถเข้ามาจอด ที่ลานจอดรถของลานวัดแห่งหนึ่ง...กฤตพนธ์ก้าวลงจากรถอยู่ในชุดเชิ้ตขาวสูทดำดูภูมิฐาน ขยับเนคไท ก้าวเดินจะไปที่เมรุเผาศพ เจอกับกลุ่มชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมายืนตะโกนด่าทอสาปแช่ง โดยมีพระกับเจ้าหน้าที่ของวัดมากันขอไว้ไม่ให้เข้าไปด้านใน
"เข้าไปไม่ได้นะยาย" เด็กวัดบอก
"ขี้โกงอย่างมึง ตายไปซะได้ก็ดีไอ้ลิตร" ยายว่า
ป้าคนหนึ่งว่า
"เสียดายอย่างเดียว มึงตายสบายไปหน่อย ไอ้สารเลว โกงที่ดินกูไปเป็นร้อยไร่ ทำไมเวรกรรมถึงตามสนองมึงช้านักวะ"
"คนชั่วอย่างมึงสมควรตายไปตั้งนานแล้ว ทำลายชีวิตคนอื่น มึงต้องชดใช้ด้วยการตายโหงแบบนี้" ลุงคนหนึ่งบอก
พระบอก
"อาตมาขอบิณฑบาตเถอะโยม ไหน ๆคนก็ตายไปแล้ว อโหสิให้เค้าเถอะ อย่าไปสาปแช่งโยมลิตรเค้าเลย เค้าจะได้ไปสู่สุขคติ"
ชาวบ้านไม่ฟัง ยังเฮโลตะโกนด่าทอกันต่อไปราวกับแก๊งม็อบ
กฤตพนธ์มองพลางเดินผ่านเข้าวัดไป เพิ่งได้รับรู้ว่าลิตรเป็นคนที่ชาวบ้านเกลียดชังมากขนาดนี้
รูปถ่ายลิตรที่บริเวณเมรุเผาศพ...ศาลาด้านล่างแขกเหรื่อมาพร้อมรอเวลาฌาปนกิจ
"ฤทัย" กำลังนั่งเศร้าซับน้ำตาที่ไหลซึมๆอยู่ในศาลา โดยมีเหล่าเพื่อนๆคุณหญิงคุณนาย 2-3 ห้อมล้อมพูดคุย
คุณนาย1บอก
"เฮ่อ...ไม่น่าเลยเนอะ คุณลิตรยังดูหนุ่มแข็งแรงอยู่เลย"
ทนายสมุทรชัยกับไกรภัทรลูกชายที่มาร่วมงานนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ทั้ง2 เสแสร้งตีหน้าเศร้าเสียใจ ถัดไปเป็นหมวดเมธเจ้าของคดีที่มาร่วมงานกับลูกน้อง
คุณนาย2 บอก
"แหมเธอ ไม่งั้นจะมีข่าวว่า มีกิ๊กรุ่นลูกตามจับไม่เว้นแต่วันเหรอจ๊ะ"
ฤทัยแอบจิกตามองอย่างไม่พอใจ
คุณนาย3 บอก
"นั่นน่ะซี ฟิตปั๋งขนาดนั้น เธอแน่ใจเหรอฤทัยว่า คุณลิตรหัวใจวายตาย ไม่ได้ไปหักโหมทำอะไรจากข้างนอกจนกลับบ้านมาเพลียน่ะ"
ฤทัยชักเสียแข็ง
"ถ้าพวกเธออยากรู้เรื่องคดีนักล่ะก็ หมวดเมธเจ้าของคดีนั่งอยู่นั่นไง ถามดูซิ ว่าคุณลิตรหัวใจวายจริงไม๊"
คุณนายทั้ง 3 หันมามองหมวดหนุ่มเป็นตาเดียวอย่างอยากสอดรู้สอดเห็น
"เอ่อ...จากรายงานการชันสูตรศพ พบว่าสาเหตุการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจริงๆ ครับ"
คุณนาย1บอก
"แต่เห็นเธอเล่าว่าคืนที่ตายคุณลิตร เค้านอนจุดเทียนอโรม่าเทอร์ร่าฟี้ด้วยเหรอเธอ...ฤทัย"
"รณฤทธิ์" เดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆฤทัย ท่าทางbad boyเด็กสปอยมาก
"โอ๊ยรำคาญ! จะถามอะไรกันนักกันหนา ไม่เห็นหรือไงแม่ผมเสียใจจะตายอยู่แล้ว"
"รณ!" ฤทัยปราม
"คนตายไปแล้ว อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ ขึ้นไปเปิดฝาโลงถามศพบนเมรุเอาเองเลย ดีไม๊ครับ คุณป้า!"
บรรดาคุณนายทั้งหลายต่างสะดุ้ง
"อุ้ยตาย!" คุณนาย2อุทาน
"รณน่า...ไม่เป็นไรหรอก พ่อลิตรเป็นที่นับหน้าถือตา คนก็อยากรู้เป็นธรรมดา"
คุณนาย1บอก
"แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากรู้แล้วค่ะ ไปเหอะตรงนี้มันร้อน!"
คุณนายทั้ง 3 ต่างสะกิดกันลุกเดินไปนั่งที่อื่นอย่างหน้าแตก รณฤทธิ์ยิ้มสะใจ
"หึ แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแม่ ไม่ต้องมาคอยตอบให้เปลืองน้ำลาย"
ฤทัยทำเป็นมองตำหนิ แต่แอบสะใจไม่น้อย กฤตพนธ์เดินเข้ามาในศาลา รณฤทธิ์เห็น ก็สะกิดบอก ฤทัยหันไปเห็นก็ดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ
"คุณกฤตมาคนเดียวเหรอคะ"
"สวัสดีครับ คุณลุงผมท่านยังไม่กลับจากเมืองนอกเลยน่ะครับ"
"ไม่เป็นไร คุณกฤตมาก็ดีใจแล้ว ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์มา น้าแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรอยู่แล้ว พอนึกถึงว่าเพิ่งเห็นหน้าคุณลิตรอยู่หลัดๆ ใจน้าก็จะขาดให้ได้"
"ทำใจให้สบายเถอะครับคุณน้า คุณอาลิตรไปสบายแล้ว"
"จ้ะ เข้ามานั่งก่อนซีจ๊ะ" ฤทัยเดินนำเข้ามา "ยัยกิ๊บก็ถามถึงอยู่ เอ่อ...ยัย..."
ฤทัยหันมองหากนกกร แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา เลยแอบสะกิดถามรณฤทธิ์
"แล้วพี่สาวแกล่ะ หายหัวไปไหน"
รณฤทธิ์ยักไหล่ไม่รู้ ฤทัยหันไปมองกฤตพนธ์ที่ไปนั่งลงข้างทนายสมุทรชัยกับไกรภัทรแล้วยกมือไหว้ทักทายอย่างคนรู้จักกัน
"เอ่อ...นั่งคุยกับคุณทนายไปก่อนนะ เดี๋ยวน้ามานะจ๊ะ"
ฤทัยรีบเดินผละไปจากศาลา หงุดหงิดกับกนกกร
"ไม้" แอบยืนมองฤทัยอยู่นอกศาลา พอเห็นฤทัยเดินออกมาก็แอบเดินตามไป
"กนกร" นั่งอยู่ในรถเบนซ์แอร์เย็นฉ่ำ กำลังทาปากแดง ฤทัยเปิดประตูรถออกผัวะ กนกกรตกใจ
"อุ้ย! ตกใจหมดเลยแม่"
"แกมาหลบทำอะไรอยู่ในรถห่ะ ทำไมไม่อยู่ที่ศาลา"
"หนูร้อน เหงื่อออกจักกะแร้เหม็นเปรี้ยวไปหมดแล้ว นอกจากของก๊อปของปลอมที่หนูเกลียดแล้วนะแม่ ก็มีวัดกับไอ้งานศพนี่แหละที่หนูเกลียดที่สุด พ่อแม่ใครตาย หนูไม่เคยไป"
"ฉันรู้ ถึงไม่มีเพื่อนแกโผล่หัวมางานศพพ่อเลี้ยงแกสักคน แล้วดูชุดที่แกใส่มาซิ มันจะเป็นบิกินี่อยู่แล้วยังมาร้อนอีก แต่งตัวไม่ไว้หน้าฉันเลย แขกเหรื่อออกเต็มงาน เอาเสื้อคลุมใส่ไปช่วยแม่รับแขกเดี๋ยวนี้"
กนกกรทำหน้าขัดใจ
"หนูเบื่ออ่ะแม่ ต้องไปนั่งบีบน้ำตารับแขก ญาติก็ไม่ใช่ ก็แค่ผัวใหม่ของแม่ตายอีกคนก็เท่านั้นเอง"
"ถึงเบื่อแกก็ต้องทน หรือว่าแกจะอยากกลับไปจน ไม่มีบ้านจะอยู่อีกห่ะ มรดกมหาศาลน่ะ ไม่เอาเหรอ แล้วไหนจะคุณกฤตพนธ์ทายาทคนเดียวของตระกูลอัศวัติอีก"
กนกกรดีใจ
"อร๊าย...คุณกฤตมาแล้วเหรอ! แล้วทำไมแม่ไม่รีบบอกตั้งแต่ทีแรก"
"ถ้าแกไม่อยากให้คุณกฤตเค้ามองแกไม่ดีล่ะก็ ใส่เสื้อคลุมแล้วบีบน้ำตาเดินกลับเข้าศาลาไปเดี๋ยวนี้เลย เร็วซี"
"โอ๊ย...รู้แล้วน่าแม่"
กนกกรคว้าเสื้อคลุมลงจากรถ รีบเดินไป โดยไม่ยอมดับเครื่องรถ ฤทัยถอนใจส่ายหน้า แล้วต้องสะดุ้งเมื่อเห็นไม้เดินเข้ามาจากด้านหลังรถมายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
"อุ้ย แหม...นึกว่าใคร"
ไม้ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
"เห็นผมต้องตกใจด้วยเหรอครับพี่"
ฤทัยค้อนเป็นเด็กสาวๆ
"ไม้อ่ะ เล่นอะไรก็ไม่รู้ ชอบแกล้งพี่อยู่เรื่อย"
ไม้พูดตาวาว
"ผมดีใจจริงๆครับพี่ ถึงวันที่นายลิตรถูกเผาไปให้พ้นๆเสียที"
ฤทัยยกมือปิดปากไม้ มองซ้ายมองขวา
"อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ เดี๋ยวเถอะ...ใครมาได้ยินเข้า"
ไม้จับมือฤทัยที่ปิดปากเขามากุมไว้
"ก็ผมมีความสุข ต่อไปนี้ไม่มีไอ้แก่นั่นเป็นก้างขวางคอเราอีกแล้ว"
ฤทัยยิ้มยั่ว แกะมือไม้ออก
"ไว้คุยกันคืนนี้เถอะน่า พี่ต้องรีบเข้าไปที่ศาลาแล้ว"
ฤทัยหันไปดับเครื่องรถเบนซ์ แต่ถูกไม้ดึงเข้าไปในรถ
"อุ้ย...ไม้อ่ะ จะทำอะไร อิๆ"
ในศาลากำลังมีการแจกดอกไม้จันทน์กันแล้ว กนกกรรีบร้อนเดินเข้ามาในศาลา มองหากฤตพนธ์ เห็นเขานั่งคุยอยู่กับหมวดเมธ กนกกรรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนหวาน เดินบีบน้ำตาเข้ามาหากฤตพนธ์
"คุณกฤตค้า เค้ากำลังจะเผาพ่อลิตรของกิ๊บแล้วฮือๆๆ"
รณฤทธ์ที่กำลังนั่ง chat มือถือกับสาวๆอยู่ เงยหน้าขึ้นมอง แอบขำท่าทีของพี่สาว
"อย่าร้องไห้เลยครับคุณกิ๊บ มันเป็นธรรมดาของชีวิต คนเราทุกคนก็ไม่พ้นวันนี้หรอกครับ"
กนกกรอึ้งไปเลย ไกรภัทรแอบยิ้มขำ
"คุณกฤตอ่ะ พูดอะไรอย่างงี้คะ กิ๊บยิ่งเสียใจอยู่"
"อ้าว! ผมพูดผิดเหรอครับเนี่ยะ คือผมอยากให้คุณกิ๊บทำใจให้ได้นะครับ"
"หึ พี่กิ๊บทำใจได้ตั้งแต่วันแรกที่พ่อลิตรตายแล้วล่ะคุณ คร่ำครวญไปงั้นแหละ อยากให้คุณปลอบใจ" รณฤทธิ์บอก
กนกกรถลึงตาใส่
"เงียบไปเลยนายรณ"
ทิพย์เดินเข้ามาในศาลาคนเดียว ด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้จักใคร ขอดอกไม้จันทน์ไป1ดอก แล้วยืนมองไปที่เมรุ ยกมือปิดปากร้องไห้ที่ลิตรตาย
ทนายสมุทรชัยกับไกรภัทรมองมาที่ทิพย์ แล้วหันมามองตากันเงียบๆรั
ฤทัยเดินจัดผมเผ้ากลับมาที่ศาลา โดยมีไม้เดินตามมาห่างๆ เมื่อเห็นทิพย์เข้าก็ไม่พอใจ
"นังทิพย์! มันสะเออะมาทำไม"
เสียงกริ่งดังขึ้นพอดี...กฤตพนธ์และทุกคนพากันลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปขึ้นเมรุวางดอกไม้จันทน์เผาหลอก ทิพย์เตรียมไปต่อแถวจะขึ้นเมรุ ฤทัยรีบปรี่เข้ามากระซิบกระซาบบอกลูกชาย
"รณ! รีบไปบอกลูกน้องของแก ให้ลากนังทิพย์ออกไปจากวัดเดี๋ยวนี้เลย"
"อ้าว นังนั่นมาเมื่อไหร่แม่"
"ไม่รู้ นั่นไง มันยืนอยู่นั่น ไปซี รีบไปจัดการมันเร็ว"
ฤทัยชี้ไป รณฤทธิ์รีบเดินไปหานักเลงหัวไม้ 2 คนที่เลี้ยงไว้ จากนั้นนักเลงทั้ง2คนก็เดินตรงไปหาทิพย์แล้วหิ้วปีกออกไปเงียบๆ
"ว้าย! จะพาฉันไปไหน" ทิพย์ว่า
นักเลงบอก
"หุบปาก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
กฤตพนธ์หันมาเห็น...มองตามอย่างแปลกใจ กนกกรเห็นอย่างนั้นก็รีบเกาะแขนเขาดันให้เขาขึ้นบันไดเมรุไป
ทิพย์ถูก 2 ลูกน้องรณฤทธิ์หิ้วตัวออกมาที่ลานวัด โดยมีรณฤทธิ์เดินตามออกมาด้วย
"ปล่อยฉันเถอะ! ฉันแค่มาวางดอกไม้จันทน์แล้วก็จะไป ขอให้ฉันได้ส่งวิญญาณคุณผู้ชายขึ้นสวรรค์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถอะ"
"แกอยากจะตายตามคุณผู้ชายของแกไปด้วยป่ะล่ะอีคนใช้ ฉันจะได้จัดให้ เฮ้ย...โยนมันทิ้งตรงนี้แหละ" รณฤทธิ์บอก
ลูกน้องทั้ง 2 โยนทิพย์ลงกองกับพื้น
"ว้าย!"
รณฤทธิ์ชี้หน้า
"ไปเลยนะ แกไสหัวไปให้พ้นเลย แล้วอย่ามาให้แม่ฉันเห็นหน้าแกอีก ไม่อย่างงั้น แกเจอกับคุณชายรณฤทธิ์แน่"
รณฤทธิ์ตบอกตัวเอง ก่อนหันเดินกลับไปกับลูกน้อง ทิ้งให้ทิพย์นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น
"ฮือๆๆคุณผู้ชาย"
รถ 2 คันแล่นตามกันเข้ามาจอดข้างๆ ทิพย์ปาดน้ำตาหันไปมอง นันทนัชเปิดประตูรถลงมาจากรถ แม้ไม่ได้เจอกันมา 5 ปี แต่ก็ยังจำกันได้ไม่ลืม
"น้าทิพย์"
"คุณหนู"
ทั้ง 2 โผเข้ากอดกัน ธีร์ลงจากรถตามมา ขณะที่พ.ต.ต.สันต์ลงจากรถอีกคันที่มีลูกน้องตำรวจขับมาให้ แล้วยืนมองทั้งคู่อย่างแปลกใจ ว่าทิพย์เป็นใคร
"ทำไมน้ามานั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแบบนี้ล่ะคะ ไม่เข้าไปข้างในล่ะ"
"น้าเข้าไปแล้วค่ะ แต่คุณฤทัยให้คุณรณจับน้าโยนออกมา น้าอยากจะไปอโหสิกรรมร่ำลาคุณพ่อคุณหนูเป็นครั้งสุดท้าย แต่เค้าไม่ยอมอนุญาต ฮือๆๆ"
ทิพย์กอดนันทนัชร้องไห้
"หึ ทำอย่างงี้มันเกินไปแล้ว! ลุกขึ้นค่ะน้าทิพย์ นันจะพาน้าเข้าไปเอง"
นันทนัชพยุงทิพย์ลุกขึ้น ทิพย์พูดเสี้ยม
"คุณผู้ชายไม่น่าจากไปเร็วยังงี้เลย น้าไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะคุณหนู ว่าคุณผู้ชายจะหัวใจวายตายง่ายๆแบบนี้"
"นันก็ไม่มีวันจะเชื่อเด็ดขาด นันถึงกลับมาหาความจริงไงคะน้าทิพย์"
นันทนัชสีหน้าเอาเรื่อง
อ่านต่อหน้า 4
เรือนริษยา ตอนที่ 1 (ต่อ)
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณเตือนบอกเวลาเผาจริง ทุกคนพร้อมอยู่บนเมรุ สัปเหร่อบอก
"เอานะครับ ผมจะเปิดโลงให้ลูกหลาน ญาติสนิทได้บอกลาคนตายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเผาจริง"
ฤทัยทำเป็นเกาะแขนรณฤทธิ์ปล่อยโฮ กนกกรก็เกาะแขนกฤตพนธ์บีบน้ำตา แต่มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น
"หยุดนะ! ห้ามใครมาเผาศพนี้เด็ดขาด!"
ทุกคนชะงักหันไปมอง นันทนัชก้าวขึ้นบันไดเมรุมา โดยมีธีร์ สันต์ ตำรวจอีก 2 นายเดินตามหลังขึ้นมา ขณะที่ทิพย์หยุดยืนมองสถานการณ์อยู่ข้างล่าง
กฤตพนธ์จำนันทนัชได้ แปลกใจที่เห็นเธอที่นี่
"หือ"
ฤทัยตกใจที่เห็นนันทนัช เช่นเดียวกับสมุทรและไกรภัทรที่เสแสร้งทำเป็นตกใจ
"ห่ะ!"
แต่กนกกรกับรณฤทธิ์ไม่เคยเห็นหน้านันทนัชมาก่อน เพราะเธอไม่ได้กลับมาเมืองไทยเลยตั้งแต่ไปเรียนเมืองนอก
"นี่เธอจะบ้าเหรอ? มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้เผาศพพ่อฉันห่ะ" กนกกรถาม
นันทนัชมองมาที่กนกกร พูดด้วยท่าทีที่เหนือกว่า
"ฉันเป็นลูกของคุณลิตร"
"โธ่เอ้ย ลูกไม้ตื้นๆ มาอ้างเป็นลูก หึ จะมาขอแบ่งมรดกล่ะเซ่ คิดแล้ว ...ว่าต้องมีพวกสิบแปดมงกุฎมาหากินแบบนี้ในงานศพ ไปให้ไกล ๆ เลยไป๊ลูกนอกสมรส" รณฤทธิ์บอก
"ลูกนอกสมรสน่ะ ผมว่าน่าจะเป็นพวกคุณมากกว่ามั้ง" ธีร์บอก
"เฮ้ย แกใครวะ แกว่งปากหาส้นเหรอวะ"
รณฤทธิ์ปรี่จะเอาเรื่อง แต่กฤตพนธ์รีบดึงไว้
"ใจเย็นๆคุณรณ อย่ามีเรื่องกันเลยครับ เห็นแก่อาลิตรเถอะ" กฤตพนธ์ถามนันทนัช "ขอโทษนะครับ คุณเป็นใครครับ มีเหตุผลอะไรถึงมาห้ามไม่ให้เราเผาศพอาลิตร"
เธอมองเขาอย่างจำได้ สันต์ในฐานะตำรวจผู้ใหญ่เลยเอ่ยขึ้น
"ทุกคนครับ นี่คุณนันทนัชลูกสาวคนเดียวของคุณลิตรกับคุณรำเพย"
"หึ ใจคอพวกคุณ จะเผาร่างพ่อฉัน โดยที่ไม่รอลูกแท้ๆ ได้มาเคารพศพพ่อเค้าก่อนเลยเหรอ!"
นันทนัชพูดอย่างโกรธแค้นน้ำตาคลอ กฤตพนธ์และคนที่เพิ่งรู้ต่างพากันอึ้งตะลึงงันไปหมด
"แม่!เงียบอยู่ทำไม พูดอะไรสักอย่างซี" กนกกรว่า
"เอ่อ...ตายจริงหนูนันนี่เอง ไม่ได้เจอกันนาน น้าเลยจำหนูไม่ได้ หนูไปเรียนอยู่ที่ไหนมาจ๊ะ น้าพยายามติดต่อบอกเรื่องที่พ่อหนูเสีย แต่ติดต่อยังไง ก็ติดต่อหนูไม่ได้เลย"
"อย่ามาเล่นละคร! ที่พ่อฉันตาย ก็เพราะเธอนั่นแหละ เธอฆ่าพ่อฉันทำไม"
นันทนัชถลาเข้าไปจับไหล่ทั้ง 2 ข้างของฤทัยเขย่าๆ โวยใส่
"เธอมันฆาตกร"
ฤทัยถึงกับลมใส่ ไม้ฉุน แอบมองนันทนัชด้วยสายตาราวเพชฌฆาต จะเข้าไปจัดการนันทนัช แต่กนกกรออกโรงเสียก่อน ไม้เลยชะงักอยู่ข้างโลง
"ว้าย ตายแล้ว ปล่อยแม่ฉันนะนังบ้า"
กนกกรปรี่เข้าไปกระชากแขนนันทนัชออกมา แล้วเงื้อมือจะตบ แต่นันทนัชจับมือกนกกรไว้ได้ ตบกนกกรคืน ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
"ว้าย!"
กนกกรถลาจะล้ม กฤตพนธ์คว้าตัวประคองไว้ได้ทัน รณฤทธิ์โกรธชี้หน้าเข้าเอาเรื่อง
"แกตบพี่ฉันเหรอ ห่ะ"
ธีร์เข้าขวาง
"อย่านะ! ถ้าทำอะไรนัน คุณเจอผมแน่"
"อยากเจออยู่แล้ว"
รณฤทธิ์ต่อยธีร์พลั่ก ธีร์ต่อยสวนคืนทันที ทั้งคู่ต่อยกัน วุ่นวายอลหม่านไปหมด ทั้งสันต์ ทั้งหมวดเมธ เหล่าตำรวจที่ยืนอยู่ช่วยกันส่งเสียงห้าม
"หยุดครับคุณ หยุด อย่ามีเรื่องกัน"
ทิพย์เห็นอย่างนั้น ก็ตกใจ รีบหลบไปทันที
กฤตพนธ์ต้องเข้าไปจับธีร์ ไกรภัทร์จับรณฤทธิ์ช่วยกันแยกทั้ง 2 ออกจากกัน
ทนายสมุทรชัยตัดสินใจตะโกนขึ้น
"หยุดเถอะครับ...หยุดทุกคน! จะมีเรื่องกันทำไม มาพูดจาตกลงกันดีๆได้ไม๊ คุณนันก็เป็นลูก คุณฤทัยก็เป็นภรรยา ไม่ว่ายังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน"
ได้ผล...ทั้ง 2 ฝ่ายหยุด ธีร์สะบัดมือจากกฤตพนธ์ที่จับเขาไว้ ขยับเข้ามายืนเคียงข้างนันทนัช ทั้ง 2 ฝ่ายยืนมองหน้ากันอย่างไม่มีใครกลัวใคร
ภายในศาลา นันทนัชนั่งเจรจากับฤทัยที่ดมยาดม อาการดีขึ้น โดยมีสมุทรชัยกับไกรภัทรเป็นตัวกลาง ต่อหน้าตำรวจทั้งสันต์และหมวดเมธ โดยมีกฤตพนธ์ กนกกร รณฤทธิ์นั่งฟังอยู่ด้วย ส่วนแขกเหรื่อพากันกระเจิงกลับกันไปหมดแล้ว
"ในฐานะที่คุณนันเป็นทายาทคนเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณลิตร หนูนันมีอะไรจะพูดก็เชิญครับ" สมุทรชัยบอก
"ฉันขอใช้สิทธิ์อายัติศพคุณพ่อเพื่อรื้อคดี ให้มีการพิสูจน์หาสาเหตุการตายใหม่ค่ะ!"
กฤตพนธ์มองไปที่นันทนัช รู้สึกขัดตากับท่าทางแข็ง ๆ เอาเรื่องไม่เห็นแก่หน้าใคร
"หา...จะรื้อคดีทำไม! ตำรวจที่ทำคดีก็นั่งอยู่ตรงนี้ หนูอยากรู้อะไร ก็ถามหมวดเค้าซี" ฤทัยว่า
"ไม่จำเป็น! คุณอาคะ เชิญค่ะ"
นันทนัชหันไปบอกกับพ.ต.ต.สันต์
"คือยังงี้ครับ ทางเราได้รับแจ้งมาว่าการตายของคุณลิตรอาจมีสาเหตุมาจากการฆาตกรรม" สันต์รับหมายศาลมากจากลูกน้อง "นี่ครับ... ผมได้ขอหมายศาลมาขออายัดศพไว้ตรวจพิสูจน์และทำการสอบสวนหาสาเหตุการตายใหม่ทั้งหมด"
"อะไรกันคะคุณตำรวจ อยู่ๆ จะมาเอาศพพี่ลิตรไปผ่าอีกได้ยังไง ดิฉันไม่ยอม"
"ใช่ ศพจะขึ้นเมรุเผาอยู่แล้ว จะไม่ให้คนตายไปสู่สุขคติเลยหรือไง" กนกกรว่า
"หึ ตราบใดที่ฆาตกรยังลอยหน้าบีบน้ำตาอยู่อย่างงี้ จะให้พ่อฉันไปสู่สุขคติได้ยังไงไม่ทราบ!"
รณฤทธิ์ชี้หน้า
"หุบปาก! อย่ามากล่าวหาแม่ฉันนะ"
"นายนั่นแหละหุบปาก" ธีร์บอก
"แกเป็นใคร มาทำตัวแส่อะไรด้วยวะ"
รณฤทธิ์ลุกจะเอาเรื่องธีร์ ไกรภัทรต้องรีบห้าม
"ใจเย็นๆ ครับคุณรณ คุยกันดีๆ เถอะ ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว อย่าให้เรื่องมันบานปลายออกไปข้างนอกเลยนะครับ"
"รณ...นั่งลง!" ฤทัยสั่ง
รณฤทธิ์จำเป็นต้องนั่งลง ฤทัยใช้น้ำเย็นลูบนันทนัช
"ฟังน้านะจ๊ะหนูนัน พี่ลิตรหัวใจวายจริงๆ ตอนที่น้าไปพบศพ พ่อหนูเค้าเอ่อ..."
เธอสวนขึ้นทันที
"พอเถอะ ฉันไม่อยากฟังคุณโกหก"
"โธ่ น้าพูดความจริง อยู่ๆน้าจะลุกขึ้นมาฆ่าคุณลิตรทำไม ในเมื่อเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย"
"เหตุผลง่ายจะตายไป ถ้าพ่อฉันตายเสียคน เมียที่เพิ่งจะจดทะเบียนสมรสได้เพียงแค่ 2 วัน ก็มีสิทธิ์จะได้มรดกของพ่อฉันไง"
ฤทัยอึ้งไปเลยพูดไม่ออก
ขณะที่กฤตพนธ์เองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้
"แต่...แต่ฉันอยู่กินกับพ่อหนูมานาน 2 ปีแล้วนะ"
นันทนัชลุกขึ้น
"เรากลับกันเถอะค่ะพี่ธีร์ คุณอาสันต์คะ นันฝากจัดการเรื่องศพของคุณพ่อด้วยนะคะ!"
บนเมรุ นันทนัชถือธูป 1 ดอกทรุดลงนั่งคุกเข่าลงไหว้ที่หน้าโลงศพลิตร น้ำตารินไหล ขณะที่ธีร์ไหว้เสร็จแล้ว ปักธูปแล้วไปยืนรออยู่ข้างหลัง มองนันทนัชอย่างเห็นใจ
"พ่อขา...นันกลับมาแล้ว นันขอโทษที่มีทิฐิกับพ่อ มันยังไม่สายเกินไปใช่ไม๊คะ ที่นันจะทำเพื่อพ่อสักครั้ง นันจะหาฆาตกรที่ฆ่าพ่อมาลงโทษให้ได้"
เธอปักธูปแล้วก้มลงกราบสะอื้น ธีร์เข้าไปจับไหล่ปลอบ...ประคองให้ลุกขึ้น เดินลงจากเมรุ
ธีร์ขับรถพานันทนัชมาตามทาง บริเวณนั้น 2 ข้างทางรกด้วยป่าหญ้าคา ไม่ค่อยมีรถ ภายในรถบรรทุกคันหนึ่งที่จอดอยู่ริมทาง คนขับหน้าตาเหี้ยมมองกระจกมองข้าง เห็นรถธีร์วิ่งมาด้วยความเร็วประมาณ 60 แล้วก็ขับผ่านไป คนขับรีบออกรถขับตามไปทันที
นันทนัชนั่งเงียบอยู่ในรถ ตามองเหม่อออกไปที่ป่าข้างทาง
"นันไม่เป็นอะไรนะ"
เธอส่ายหน้าบอก
"ทำไมคะพี่ธีร์"
"ก็เห็นนันนั่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกจากวัดแล้ว"
"นันกำลังบอกตัวเองค่ะ ว่าต้องสู้ จะอ่อนแอไม่ได้ พวกนั้นเค้ามีกันเป็นแก๊งค์ แต่นันเหลือแค่ตัวคนเดียว"
"นันตัวคนเดียวที่ไหน นันยังมีพี่อยู่ทั้งคน พี่พร้อมจะช่วยนันเสมอ"
นันทนัชหันมาฝืนยิ้ม
"ช่วยไปส่งนันที่บ้านด้วยนะคะพี่ธีร์"
"เรือนรัตนะน่ะเหรอ"
"ค่ะ เรือนรัตนะ บ้านที่นันจากไปตั้งแต่อายุ15 ทำให้นันไม่ได้พบหน้าพ่อเลย จนกระทั่งวันนี้ นันก็หมดโอกาสที่จะได้พบหน้าพ่อแล้ว"
เธอน้ำตาซึม ธีร์จะจับมือปลอบ แต่เปลี่ยนไปจับไหล่ปลอบแทน
"อย่าเสียใจไปเลยนัน ตอนนี้วิญญาณของคุณพ่อก็คงจะรับรู้แล้วว่า ตลอดเวลาถึงนันจะหนีหน้า ไม่ยอมกลับมาเมืองไทยพบหน้าพ่อ แต่จริงๆ แล้วนันก็มีพ่ออยู่ในใจตลอดเวลา"
เธอฝืนยิ้มทั้งน้ำตา พยักหน้าให้ธีร์
ทางด้านหลัง รถบรรทุกขับตามหลังด้วยความเร็ว กว่าธีร์จะเงยหน้ามองกระจกหลัง รถก็ขับจี้มาที่ท้ายรถแล้ว
"เฮ้ย!"
มันบีบแตรไล่เสียงดัง แล้วขับแซงขวาขึ้นมาอย่างรวดเร็วหักพวงมาลัยเบียดเข้าใส่รถธีร์
"โอ๊ะ!"
"ระวังพี่ธีร์!"
ธีร์ตกใจหักพวงมาลัยหลบ ทำให้รถเสียหลักตกถนนไป
คนขับรถบรรทุกหน้าเหี้ยมจอดมอง พลางยกมือถือขึ้นพูด
"ฉันจัดการเสร็จแล้ว แกรีบลงมือต่อเลย ตามคำสั่ง"
คนขับรถบรรทุกรีบขับหายไป
รถธีร์แฉลบลงข้างทางซึ่งเป็นที่เนิน รถไถลไกลอย่างเบรกแตกหยุดไม่อยู่
"อ๊าก - อ๊าย"
แล้วรถก็ชนเข้ากับต้นไม้เสียงดังโครมใหญ่ รถอัดแน่นิ่งอยู่กับต้นไม้ ควันโขมง ทุกอย่างนิ่งเงียบ
ภายในรถ ธีร์หัวแตกเลือดอาบสลบคาพวงมาลัยที่มีแอร์แบ็คออกมา
ขณะที่นันทนัชยังมีสติ แม้ใบหน้าจะมีร่องรอยกระจกบาด คิ้วแตก และเจ็บจุกที่หน้าอกเพราะแรงกระแทกของแอร์แบ็ค นันทนัชครางอย่างเจ็บ สะบัดหัวพยายามลืมตาขึ้นมอง ยื่นมือไปปลุกธีร์
"พี่ธีร์คะ...พี่ธีร์...ตื่นซี"
เรียกยังไงธีร์ก็ไม่รู้สึกตัว นันทนัชกัดฟันถอดเซฟตี้เบลต์พาตัวเองออกจากประตูรถที่เปิดผงะออก นันทนัชร่วงลงจากรถด้วยอาการที่ยังมึนอยู่
ไอ้โม่งที่ซุ่มลงมือต่ออยู่แถวนั้นเดินลุยป่าหญ้าคาไปหานันทนัชที่นอนเจ็บอยู่ข้างรถ
เธอพยายามเถือกตัวลุกขึ้นยืน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเท้าของไอ้โม่งก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นคนสวมหมวกไอ้โม่งยืนก้มหน้ามองเธออยู่
"ห่ะ!"
เธอตกใจ พยายามจะลุกหนี แต่ไอ้โม่งก็มาคว้าคอเสื้อเธอไว้
"จะหนีไปไหน...มานี่"
ไอ้โม่งลากตัวเธอเข้าป่าไป
ถนนด้านบน กฤตพนธ์ขับรถผ่านมาเห็นรถชนตกอยู่ข้างทางเลยจอด เขารีบลงจากรถมายืนดู เห็นหลังนันทนัชถูกไอ้โม่งลากเข้าป่าไป เขาตกใจ กลับไปเปิดประตูรถอีกครั้ง เปิดแก๊ะคว้าปืนคู่กายออกมา
กฤตพนธ์แวะดูธีร์ที่รถ เอามือจับชีพจรที่คอและตรวจลมหายใจ พบว่าธีร์ยังไม่ตาย แต่เขาห่วงนันทนัชที่ถูกลากตัวเข้าป่าหายไปแล้ว เลยตัดสินใจทิ้งธีร์ไว้ก่อน รีบตามนันทนัชไป
นันทนัชถูกไอ้โม่งลากถูลู่ถูกังเข้าป่ามา ขาเธอเจ็บกระเผลก แต่เริ่มมีสติมากขึ้น
"แกเป็นใคร จะพาฉันไปไหน ปล่อย"
นันทนัชฮึดสู้... ใช้หัวโม่งเข้าหน้าไอ้โม่งเต็มแรง มันผงะ เจ็บ มึน ถึงกับเลือดกำเดาไหล
"โอ๊ะ!"
ไอ้โม่งปล่อยมือมาจับจมูกตัวเอง เธอใช้ขาข้างที่ไม่เจ็บถีบมันกระเด็นไปก่อนวิ่งหนี
"มึงจะหนีไปไหน"
ไอ้โม่งโกรธลืมตัววิ่งตามไป เธอเจ็บขาวิ่งกระเผลกได้ไม่เร็วนัก เหลียวหลังไปดูเห็นไอ้โม่งตามมาติดๆ
"ช่วยด้วย...ช่วยด้วย"
กฤตพนธ์หยุดฟัง หันมองหาทิศทางที่มาของเสียง ที่เธอใช้เสียงตะโกนร้องของความช่วยเหลือ เขารีบวิ่งตามไป
นันทนัชวิ่งหนีเตลิดลึกเข้าป่ามา แล้วสะดุดล้ม ตัวกลิ้งลงเนินไปหลายตลบ
"อ๊าย"
เธอกลิ้งลงมาถึงเบื้องล่าง เจ็บปวดไปทั้งตัว พยายามเถือกตัวหนี ก็พบว่ามีบึงน้ำอยู่ตรงหน้า ไอ้โม่งวิ่งตามมาถึงตัวกระชากคอเธอขึ้นมา
"ฤทธิ์มากนักเหรอมึง นี่"
ไอ้โม่งตบหน้าเธอเต็มแรง ตามด้วยต่อยท้องเธอไป 2 ที เธอเจ็บจุก ได้แต่อ้าปากค้างร้องไม่ออก ไอ้โม่งลากเธอลงมาที่บึง จับหน้าเธอกดกับน้ำ
"โชคร้ายของแกอีหนู ที่ดันเกิดมาเป็นลูกสาวของนายลิตร"
ไอ้โม่งจับหน้านันทนัชกดน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เธอได้แต่หายใจเฮือกๆหมดแรงที่จะช่วยเหลือตัวเอง สติกำลังจะดับวูบ แต่ตอนนั้น...กฤตพนธ์ก็วิ่งตามมาทัน ชักปืน
"หยุดนะ"
ไอ้โม่งตกใจ ยกตัวนันทนัชขึ้นมาเป็นโล่บัง เขาไม่กล้ายิงเพราะกลัวจะถูกเธอ ได้แต่เดินถือปืนปรี่เข้ามาใกล้
"ปล่อยเธอลงเดี๋ยวนี้นะ"
จังหวะนั้นที่เขาเดินเข้ามาใกล้ได้ระยะเตะ ไอ้โม่งก็ตวัดขาเตะมือจน ปืนหลุดจากมือเขา กระเด็นไป
ไอ้โม่งชักปืนที่เหน็บเอวออกมาจ่อจะยิงเผาขน แต่กฤตพนธ์ไวกว่า พุ่งเข้าล็อกแขนที่ถือปืนของมัน ทำให้กระสุนพลาดเขาไป ขณะเดียวกันร่างของเธอที่กำลังหมดสติลงช้าๆ หน้าคว่ำลงไปในน้ำ และตัวค่อยๆ จมลงไปในบึง
กฤตพนธ์ศอกหลังใส่หน้า ตามด้วยต่อยด้วยหมัดหลัง แต่ถูกมันล็อกคอ ต่อยๆที่หน้าเขาจนปากแตกแล้วต่อยเข้าที่ชายโครงไปหลายครั้ง จนกฤตพนธ์จุก แต่กัดฟันจับคอมันทุ่มผ่านไหล่ลงบนน้ำ ไอ้โม่งถูกทุ่มลงน้ำ แต่มือลั่นไกยิงใส่กฤตพนธ์ปังๆๆ
เขากระโจนหลบกระสุน กลิ้งตัวไปยังปืนของตัวเองที่ตกอยู่ ยิงสวนไปยังไอ้โม่งที่วิ่งขึ้นจากบึงเข้าป่าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ ไอ้โม่งยิงสวนตอบโต้มาหลายนัดพลางวิ่งถอยหนีเข้าป่าไป
กฤตพนธ์วิ่งไล่ตามไปยิงมัน แต่นึกถึงนันทนัชขึ้นได้ จึงวิ่งกลับมาจะมาช่วยเธอในบึง "หะ! คุณ...คุณ"
เขาเห็นเงาขาวลางๆ พบว่าร่างนันทนัชกำลังจมดำดิ่งลงลึกไปแล้ว
กฤตพนธ์จึงโยนปืนและถอดรองเท้าโยนไว้ที่ข้างบึง กระโจนพุ่งหลาวลงไปในน้ำทันที
อ่านต่อตอนที่ 2