ปีกมงกุฎ ตอนที่ 6
รุ่งเช้า ขณะที่อติรุจกำลังคุยงานกับรัตน์อยู่ที่ด้านในล็อบบี้ มอลลี่เดินหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับข้าวตู และ ข้าวตัง
“คุณรุจคะ คุณรุจ เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
อติรุจแปลกใจ “มีอะไร”
“น้องแซนที่จะมาถ่าย VTR กับสาวๆ ของเรา เกิดอุบัติเหตุเมื่อเช้านี้ค่ะ” มอลลี่หมายถึง แซน นายแบบชื่อดัง
อติรุจถาม “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“แขนหักค่ะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ผู้จัดการของแซนเพิ่งแจ้งมาค่ะ”
“อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“นั่นซิคะ จะถามใครมาตอนนี้ก็คงไม่ทัน ถ้าเราอยู่กรุงเทพฯว่าไปอย่างนะคะ” มอลลี่ว่า
อติรุจมองมอลลี่อย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันไปเห็นชญานนท์เดินมา อติรุจคิดบางอย่างออก
ตอนนี้ชญานนท์มองอติรุจที มองมอลลี่ที มอง ข้าวตู กะข้าวตังที ก่อนจะหันมาทางอติรุจอีกที
“ไม่อ่ะ ชั้นทำไม่ได้....ชั้นไม่เคยเป็นนายแบบ”
อติรุจบอก “ไม่เคยก็เคยได้นี่ ไม่ยากหรอก”
“ไม่ยาก....นายก็เป็นเองซิ”
“ชั้นต้องคุมงานอื่นอีก นายนั่นแหละดีแล้ว”
ชญานนท์ย้อนแย้ง “ดียังไง ลูกชายเจ้าของสถานีโทรทัศน์ที่จัดงาน นางสาว ณ สยาม มาเป็นนายแบบเอง โห...โดนวิพากษ์วิจารณ์ยับแน่”
อติรุจหันไปทางรัตน์ “เราทำข่าวออกไปก่อนได้ไม๊ครับคุณรัตน์”
รัตน์ทำท่าคิดนิดหนึ่ง “ได้ค่ะ”
ชญานนท์อดขำกับคำพูดและท่าทีรัตน์ไม่ได้ “นี่คุณรัตน์ก็เห็นดีไปกับนายรุจด้วยเหรอครับ”
“เราทำข่าวที่จริงใจที่สุด รับรองว่าได้กระแสแน่ค่ะ แซมประสบอุบัติเหตุ แต่งานต้องดำเนินต่อไป ทีมงานขอร้องให้คุณชญานนท์ช่วย ถึงแม้จะไม่อยากทำแต่เพื่องาน คุณก็เลยยอม” รัตน์เล่าเป็นฉากๆ
ชญานนท์แย้ง “ผมว่าเราหานายแบบใหม่จะง่ายกว่านะ”
“มันก็ไม่ยากหรอก แต่ทุกอย่างต้องเลื่อนไปหมด รวมทั้งวันตัดสิน นางสาว ณ สยามด้วย” อติรุจว่า
“ใช่ค่ะ เพราะกว่าเราจะหานายแบบคนใหม่ได้ กว่าจะมาที่นี่ อย่างเร็วที่สุดก็เย็นนี้ แล้วเริ่มถ่ายงานพรุ่งนี้เช้าค่ะ”
ชญานนท์มองอติรุจที มองรัตน์ที แล้วหันไปมองมอลลี่ ข้าวตู ข้าวตัง ที่กำลังโทร.ติดต่อนายแบบอยู่ ก่อนจะหันกลับมามองอติรุจ
“ชั้นว่านายพยายามหานายแบบให้ได้ดีกว่า ชั้นไม่เหมาะจะเป็นนายแบบของนายหรอก”
“ถ้าคิดว่า งานช้าแล้วไม่มีปัญหาก็ตามใจ” อติรุจว่า
ชญานนท์ถอนหายใจเบาๆ เหมือนโดนกดดันหนัก
การทำงานเริ่มต้นขึ้น และดำเนินไป ตรีอัปสรกับอรสินีเดินมาจากคนละด้าน ในชุดสวยงาม เว่อร์วัง เป็นการถ่ายทำวีทีอาร์ เพื่อใช้ในวันประกวด ภาพจากมอนิเตอร์ เห็นตรีอัปสรเดินมา จังหวะนี้ ชญานนท์แต่งตัวด้วยชุดโบราณสีทองสง่างาม เดินมาจากด้านหลังก้าวมายืนตรงกลาง ตรีอัปสรหันไปมองในจังหวะที่ชญานนท์หันมามองสบตากันพอดี
อรสินีซึ่งเดินมาอีกทาง มายืนข้างชญานนท์อีกด้าน อรสินียิ้มหวานให้กล้อง แล้วหันไปยิ้มให้ชญานนท์ ซึ่งยิ้มตอบมานัยน์ตาหวานฉ่ำ ในขณะที่ตรีอัปสรยังยืนนิ่งอยู่กับที่
มอลลี่ร้องขึ้น “คัท...คัท”
ทั้ง 3 คนหันไปมองทางมอลลี่ กับ ข้าวตู เดินเข้ามาหา
“น้องตรี ยิ้มด้วยนะคะ พอเดินมาถึง ยิ้มให้กล้องแล้วหันมายิ้มให้คุณนนท์ แล้วคุณนนท์ก็หันไปมองน้องอร แล้วยิ้มให้กัน ขออีกเทคนะคะ”
ข้าวตูวิ่งกลับมาหน้ามอนิเตอร์ ทั้ง 3 คนแยกย้ายกลับไปที่จุดเดิม ตรีอัปสรค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ
เสียงข้าวตังดังขึ้น “5…4…3…2…”
ตรีอัปสรเดินมาเหมือนเดิม รวมทั้งอรสินี พอเดินมาถึงจุดก็หยุด ชญานนท์เดินออกมาหยุดยืนตรีอัปสรยิ้มกับชญานนท์ ส่วนชญานนท์หันไปยิ้มให้อรสินี สองสาวเดินกลับมาทางเก่า ชญานนท์เดินมาข้างหน้าอีกก้าว วรัญญากับภารดี ก็เดินเข้ามาคนละด้านแบบเดียวกันแล้วเดินออกไป ผู้เข้าประกวดคนอื่นๆ รวมทั้ง ดาราวรรณและกัลยาณี ทำตามกัน
มอลลี่กับข้าวตู และ ข้าวตัง ยังคงวุ่นวายกับการถ่ายทำอยู่ ตรงหน้ามอนิเตอร์ ส่วนที่มุมพักผ่อนใกล้ๆ เห็นตรีอัปสรกับอรสินีนั่งอยู่ด้วยกัน สีหน้าของตรีอัปสรยังนิ่งๆ ดูเกร็งๆ
อรสินีถามด้วยความแปลกใจ “ตรี...ไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ตรีไม่ได้เป็นอะไร...ทำไมเหรอคะ”
“ก็ปกติอรไม่เคยเห็นตรีเป็นแบบนี้นี่ เวลาถ่ายหรือสัมภาษณ์ ตรีจะคล่องแคล่ว ไหลลื่นมาก”
ตรีอัปสรยิ้มแห้งๆ “อาจจะเป็นเพราะต้องถ่ายกับคุณนนท์มั้งคะ ตรีรู้สึกแปลกๆ ก็เลยเหมือนทำอะไรไม่ถูก”
อรสินียิ้มนิดๆ “อะไรกัน นี่ขนาดนางแบบขึ้นปกบีลิฟน่ะเนี่ย มาเสียทีเอางานนี้...ได้ยังไง”
ตรีอัปสรพูดขำๆทีเล่นทีจริง “ใครจะเก่งเหมือนคุณอรกับคุณนนท์ล่ะคะ ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เนียนจนจับไม่ติดเลย ว่าเป็นคนรักกัน”
“ทำไงได้ล่ะ ก็คุณแม่อยากให้ปิดข่าวก่อน อีกอย่างอรก็พยายามคิดว่าพี่นนท์เป็นนายแบบทั่วๆ ไปที่มาถ่ายกับเรา”
ตรีอัปสรยิ้มหวานให้ คิดในใจคิดตรงข้าม
“ทำเป็นหน้าใสใจสะอาด มาสอนชั้นทางอ้อม...ยัยซื่อบื้อเอ๊ย”
ช่างแต่งหน้ากำลังซับหน้าชญานนท์ โดยมีข้าวตู กับข้าวตัง ยืนอยู่ข้างๆ
วรัญญา นั่งคู่อยู่กับภารดี ดาราวรรณและกัลยาณี ภารดีมองไปทางชญานนท์อย่างพิจารณาก่อนจะหันมาทางวรัญญา
“คุณชญานนท์นี่หล่อ เท่ห์ รวย เก่ง ฉลาด ครบสูตรเลยนะ”
“เจอเค้ามาตั้งหลายครั้งแล้ว เพิ่งจะรู้สึกเหรอ” วรัญญาว่า
“ชั้นรู้มานานแล้วย่ะ แต่เพิ่งจะมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดวันนี้”
ดาราวรรณยื่นหน้าเข้ามา “สมบูรณ์แบบหยั่งเงี้ย ไม่มีทางโสดหรอก”
ภารดีมองดาราวรรณอย่างหมั่นไส้ “ใครขอความเห็นหล่อนยะ”
ดาราวรรณเหน็บ “ไม่ต้องขอหรอก...ชั้นยินดีให้”
ภารดีชักสีหน้า เสียงดังใส่ “อย่ามากวนประสาทชั้นนะ...นังบ้า”
สาวงามคนอื่นๆ หันมามองภารดีเป็นตาเดียว วรัญญามองภารดีอย่างเบื่อหน่ายในพฤติกรรม
“ชั้นว่าเธอควรจะฝึกระงับอารมณ์ให้ได้ก่อนนะ ภารดี หรือเธอคิดว่าตกรอบเพราะโดนปลดออก มันดูดีกว่าตกรอบปกติใช่ไม๊”
ภารดีหันมามองตาขวาง โกรธกับคำพูดของวรัญญา แต่พยายามระงับอารมณ์
กัลยาณีขยับเข้ามา “เม้าท์เรื่องคุณชญานนท์ต่อดีกว่า เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”
ภารดีหันมามองกัลยาณี แล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น วรัญญา ดาราวรรณ กัลยาณี สบตากันเองแล้วอมยิ้มนิดๆ
ภาพจากในจอทีวีที่ร้านขายของในชุมชน เห็นเป็นภาพอรสินีกับตรีอัปสรกำลังซ้อมกันอยู่ มีอิริยาบถที่น่ารัก ป้าเมี้ยนเจ้าของร้านโชว์ห่วยในชุมชน ยืนดูอยู่กับเจ๊คิ้ม
“ชั้นว่า 2 คนนี้ ต้องเป็นตัวเก็งแน่ๆ เลย ว่าไม๊ ป้าเมี้ยน”
ป้าเมี้ยนพยักหน้า “สวยเด้งออกมานอกจอขนาดนี้ ก็ต้องได้แน่ๆ เห็นเค้าว่าเป็นไฮโซด้วยใช่ไม๊”
“ใช่ แต่สวยขนาดนี้ คงทำมาทั้งตัวหัวถึงเท้านั่นล่ะ”
ป้าเมี้ยนท้วง “เฮ้ย...ไม่ใช่ม้าง ดูลักษณะแล้ว...สวยธรรมชาตินะ”
“อูย...หมอสมัยนี้เค้าก็เก่ง ทำให้ดูเหมือนไม่ได้ทำ...เหมือนสวยมาตั้งกะเกิดนั่นล่ะ”
ระหว่างที่ป้าเมี้ยน กับเจ๊คิ้มคุยกันอยู่ ชบาเดินถือกระจาดแวะมาจะซื้อของ ชบาเลือกของได้แต่ป้าเมี้ยนมัวแต่คุย
“เอ้า จะคุยกันอีกนานไม๊ ชั้นจะได้ไปซื้อร้านอื่น”
ป้าเมี้ยนหันมามอง “อ้าว ชบา ซื้ออะไรล่ะ เลือกได้ยังว่าเอาไรมั่ง”
“เลือกวาง...เลือกวางไป 3 รอบแล้ว คุยอะไรกันนักหนาห๊ะ” ชบาหงุดหงิด
เจ๊คิ้มบอก “คุยเรื่องนางงามที่ประกวด นางสาว ณ สยาม นั่นไง 2 คนนั่นน่ะ ตัวเก็งเลยนะ”
ชบามองไปที่จอทีวี เห็นอรสินีกับตรีอัปสร หน้าชัดๆ
เจ๊คิ้มบอก “คนนี้ชื่ออรสินี นี่ๆๆ คนนี้ ตรีอัปสร”
ชบามองอย่างพิจารณา สีหน้าครุ่นคิด ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ
“ตรีอัปสรเหรอ”
เจ๊คิ้มบอกอีก “เออ...สวยไม๊ล่ะ ชั้นว่าคนนี้ได้แน่ๆ”
“แต่อีกคนก็สวยนะ สวยหวานเชียว ที่ชื่ออรสินีน่ะ” ป้าเมี้ยนว่า
“แต่ชั้นว่า ตรีอัปสรสวยกว่านะ ดูลักษณะเหมาะจะเป็นนางสาว ณ สยาม มากกว่า ว่าไม๊...ชบา”
ชบามองทีวีนิ่งอย่างพิจารณา ปากก็พึมพำเบาๆ
“ตรีอัปสร”
จู่ๆ ชบาก็หุนหันเดินกลับไป โดยไม่ซื้ออะไรเลย ป้าเมี้ยน กับเจ๊คิ้มมองตามไปอย่างงงงๆ
“อ้าว ชบา อะไรของมันวะ อยู่ดีๆ ก็พรวดพราดไป ข้าวของก็ไม่ซื้อ...เออ...ประหลาด”
เจ๊คิ้มพูดขำๆ “เพิ่งนึกออกมั้งว่าได้เวลาให้เหล้าผัวกิน”
“อีเจ๊คิ้ม อย่าพูดให้ชบามันได้ยินเชียวนะ มันด่าเปิงแน่ ปากมันยิ่งร้ายๆอยู่ด้วย”
ป้าเมี้ยนปราม ด้วยรู้ฤทธิ์ปากชบาดี
กล้านั่งกินเหล้าอยู่ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่สนใจอะไร วินาทีนั้นกระจาดก็ลอยหวือเข้ามาใส่หน้า ด้วยฝีมือชบา กล้าเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับปัดทิ้งไป
“อะไรวะ เดี๋ยวเหล้าก็หกหมด...เอ๊อ...”
กล้าทำเสียงรำคาญ พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นดก ชบาเดินเข้ามากระแทกตัวนั่งข้าง
“ก็มันน่าไม๊ล่ะ ชั้นอุตส่าห์รีบกลับมาเล่าเรื่องลูกสาวแก แทนที่แกจะกระตือรือล้น คิดอะไร ทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ กลับนั่งบื้อ กินเหล้าอยู่นั่น”
กล้ามองจ้องหน้าชบา “คิดอะไร ทำอะไร แกจะให้ชั้นทำอะไรห๊ะ ชบา เรื่องมันจบไปเป็นสิบปีแล้ว ชั้นกับดารินทร์กับลูก ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว”
“ไอ้กล้า ไอ้บ้า นี่แกกินเหล้าจนเพี้ยนไปแล้วรึไง คนเป็นพ่อลูกกันยังไงก็ตัดกันไม่ได้ ขายกันไม่ขาด”
“แกจะให้ชั้นทำอะไรห๊ะ ชบา”
“แกเป็นพ่อนังตรีมัน แกก็ไปอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อไปซิ จะมาซุกหัวอยู่ในสลัมกรอกเหล้าขาวเข้าปาก กระเป๋าแฟบอยู่ทำไม ชั้นเองก็เคยเลี้ยงมันมา มันก็ต้องสำนึกบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนมั่งละ”
กล้าลุกพรวดขึ้น “นังชบา เอ็งนี่มันบ้าเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว ก็รู้อยู่เต็มอกว่า ข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลูกไม่ได้อีกแล้ว สัญญากับแม่มันเป็นมั่นเป็นเหมาะ หัดมีสัจจะซะมั่ง” กล้าหงุดหงิด “จะกินเหล้าก็ไม่มีความสุข”
กล้าคว้าขวดเหล้ามาหนีบแล้วเดินเซนิดๆ ออกไป ชบามองตามอย่างโกรธๆ ตะโกนตามหลังไป
“ไอ้กล้า ไอ้เวร เอะอะก็หนีบขวดเหล้า ออกไป เอ็งจะไปไหนห๊ะ”
กล้าตะโกนตอบมาโดยไม่หันมามอง “เรื่องของข้า...บอกไปเอ็งก็ตามไปถูกอ่ะดิ”
กล้าพูดไปก็หัวเราะไป ชบามองตามไปอย่างแค้นใจ
“ไอ้ผัวเฮงซวย ไม่ได้อย่างใจเลย”
มุมหนึ่งไม่ห่างจากทางเข้าออกสลัมนัก กล้าเข้ามาซุกตัวนั่งกับพื้นบริเวณนั้น ยกขวดเหล้าขึ้นดื่ม มองไปที่ทางเข้าออก ด้วยสีหน้ารำลึกจดจำ
เด็กหญิงตรีอัปสร ในชุดนักเรียนเก่า ซอมซ่อ นั่งอยู่หน้าทางเข้า ออก สลัมเหมือนจะรอใครบางคน สักครู่ กล้าซึ่งยังหนุ่มแน่น หนีบขวดเหล้ามา เห็นตรีอัปสรนั่งอยู่ก็หงุดหงิดก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ตรี มานั่งทำอะไรแถวนี้ห๊ะ แม่แกมันไปอยู่กับผัวใหม่แล้ว ไม่ต้องไปคอยมันหรอก ไป๊ เข้าบ้าน”
ตรีอัปสรบอก “แต่แม่บอกว่า แม่จะมา”
“ถ้าแม่แกจะมา มันก็มาไปนานแล้ว ไป๊ ไปช่วยน้าชบากวาดถูบ้านมั่ง มานั่งจมอยู่นี่ น้าชบาเค้าถึงได้บอกว่า แกชอบอู้งาน หลบงาน”
เด็กหญิงตรีอัปสรมองหน้าพ่อ แววตาทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บช้ำ กล้ายกขวดเหล้าขึ้นดื่ม แล้วมองตรีอัปสร แววตาของกล้าเหมือนสงสารวูบหนึ่ง แต่ก็รีบกลบเกลื่อน
“เอ้า จะมองหน้าหาอะไรเนี่ย แม่แกไม่ได้อยู่บนหน้าชั้นหรอก ไป๊...เร็ว”
ตรีอัปสรขยับตัวลงจากแคร่ ก่อนจะเดินไป
กล้ามองตามตรีอัปสรตอนเด็กไป น้ำตาคลอนิดๆ สีหน้ารำลึกจดจำเรื่องราวในอดีต
วันนั้นเด็กหญิงตรีอัปสรกำลังถูบ้านอยู่ ส่วนกล้า นั่งกินเหล้าเมากึ่มอยู่กับชบาที่กินข้าวอยู่ใกล้
“ถูให้เสร็จ เก็บผ้ามาพับ แล้วค่อยกินข้าว”
ตรีอัปสรเงยหน้าขึ้นมองชบาอย่างรังเกียจ ชบามองตรีอัปสร
“มองอะไรนังตรี ตัวแค่นี้ แกหัดด่าชั้นทางลูกกะตาเหรอห๊ะ เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวจะโดนตบ แล้วให้อดกินข้าวด้วย”
ตรีอัปสรหันไปมองกล้า ซึ่งกินเหล้าอยู่ กล้ามองตรีอัปสรแล้วเมินหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากเห็นแววตาตัดพ้อของลูก ตรีอัปสรมองเลยไปทางประตู แววตา ท่าทางเปลี่ยนไปทันที สีหน้าดีใจสุดขีด
“แม่”
ดารินทร์สวมแว่นดำทรงโตเดินสง่าเข้ามา
ไม่นานต่อมาเงินสดเป็นปึกๆ 3 แสนบาท ถูกวางลงบนมือกล้าโดยดารินทร์ ที่ยืนอยู่กับกล้าและชบา
“3 แสนบาท” ดารินทร์บอก
ชบาตาโต “โอ้โฮ้”
“ชั้นไม่อยากจะพูดนะว่า ชั้นซื้อคำว่าพ่อกลับมาด้วยเงินก้อนนี้”
“คนเป็นพ่อลูกกัน จ่ายมาเท่าไหร่ก็ซื้อกันไม่ได้ขายกันไม่ขาดหรอก” กล้าบอก
“ถ้าไม่ขาย ชั้นก็ไม่ซื้อ”
ดารินทร์ฉุนดึงเงินกลับไปขยับจะเดินออก โดยไม่สนใจใคร ชบารีบวิ่งมาดักหน้าดารินทร์ร้องเสียงหลง
“เดี๋ยวๆๆๆๆ”
ดารินทร์หยุดยืน ชบาวิ่งกลับมาดึงกล้าไปตรงหน้าดารินทร์
“ยอมๆ ไปเถอะจะได้จบๆ นังตรีมันนั่งรอแม่มันทุกวัน นี่ก็เห็นอยู่ เราเลี้ยงไว้เองก็ลำบาก เงินทองก็ไม่ค่อยมี”
ดารินทร์มองกล้าเหมือนจะหยั่งเชิงกัน ก่อนที่กล้าจะพูด “ก็ได้ ตกลงตามนั้น”
“หวังว่าคงจะมีความเป็นลูกผู้ชายพอที่จะจำไว้นะ ว่าตกลงอะไรกับชั้นไว้ นับจากนี้ไประหว่างเรา ชั้นกับลูก ไม่เกี่ยวข้อง รู้จักกับนายอีก เราขาดจากกัน”
ดารินทร์ยื่นเงินให้ กล้ารับไว้ พร้อมๆ กับหันไปทางห้องด้านใน
“ตรี...ตรี...พร้อมรึยังลูก”
เด็กหญิงตรีอัปสรวิ่งออกมาพร้อมกับถุงกระดาษใส่เสื้อผ้า อีกมือหอบหนังสือเรียนมาด้วย เหมือนรอแม่เรียกอยู่แล้ว
“เสร็จแล้วค่ะ”
ดารินทร์รับของในมือตรีอัปสร มาไว้กับตัวทั้งหมด
“ไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น ทิ้งไว้ที่นี่ให้หมด แม่ไปซื้อให้ใหม่ดีกว่า”
ดารินทร์โยนทั้งถุงเสื้อผ้าและหนังสือเรียนลงพื้น ก่อนจะจูงตรีอัปสรเดินออกไป
ตรีอัปสรหันมามองกล้าอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับเดินไปกับแม่อย่างเร็ว
กล้าเดินมาเรื่อยเปื่อย จนถึงร้านขายของชำป้าเมี้ยน หยุดยืนหน้าร้าน ยกขวดเหล้าในมือขึ้นส่องแล้วแกว่ง ว่าเหลือเหล้าในขวดเท่าไหร่ ก่อนจะหันไปในร้าน
“ยัยเมี้ยน เอาเหล้ามาขวดนึง”
“เออ...รอแป๊บ”
ป้าเมี้ยนหยิบของขายให้ลูกค้าคนอื่นก่อน ระหว่างรอ กล้าดูทีวีซึ่งเป็นภาพตรีอัปสรที่ให้คนดูทางบ้านโหวตเพื่อเป็นขวัญใจประชาชน กล้ายืนมองนิ่งขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหน
เหตุการณ์ตอนที่กล้าเห็นตรีอัปสรผุดซ้อนขึ้นมาในห้วงคิด
“ตรี” กล้าพึมพำด้วยสีหน้าสับสน เหมือนจะปลื้มที่ลูกมาหา และเหมือนเสียใจที่ลูกไม่บอกว่าเป็นลูก
กล้ายื่นมือมาคว้าขวดเหล้าที่กลิ้งอยู่ ยกขวดขึ้นดื่มแต่ไม่มีเหล้าออกมาสักหยด กล้าปล่อยมือที่ถือขวดเหล้าลงอย่างอ่อนแรง ชบาเดินเข้ามาในบ้านมองกล้าอย่างหงุดหงิด
“ให้ชั้นเดินหาซะทั่วตรอก ที่แท้ก็กลับมาซุกอยู่บ้านนี่เอง ทำไม มานั่งรำลึกถึงอดีตรึไง”
กล้าเงยหน้าขึ้นมองเห็นชบา ยืนท้าวสะเอว หน้าบึ้งอยู่
“เรื่องของข้า”
ชบาพยายามพูดอย่างใจเย็น “ใจคอจะนั่งซึมกะทืออยู่อย่างนี้อีกนานไม๊ พี่กล้า มานั่งคิดให้เสียเวลาทำไมห๊ะ เอาเวลาไปอาบน้ำอาบท่าให้สะอาดสะอ้านให้สมฐานะแล้วไปแสดงตัวว่าเป็นพ่อนางงามจะดีกว่านะ พี่กล้า”
กล้าหันไปมองชบาอย่างครุ่นคิด ชบาเห็นท่าทางลังเลของ กล้าก็พูดกระพือให้กล้าเห็นด้วย
“เรื่องอะไรจะปล่อยให้นังดารินทร์มันชุบมือเปิบ ได้ทั้งหน้าได้ทั้งเงินที่มีลูกเป็นนางงามไปคนเดียว พี่เป็นพ่อ พี่ก็ควรจะแสดงตัวไปรับส่วนแบ่ง
กล้ามองชบานิ่ง สีหน้ากล้าครุ่นคิดคล้ายลังเล
ในห้องจัดงานเลี้ยงของโรงแรม ตอนเย็น บนเวทีมีป้าย นางสาว ณ สยาม เห็นผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ เหมือนเตรียมจัดงาน ดูแล ความเรียบร้อย คุณรัตน์กับมุกตาภาเดินเข้ามาดู ชี้สั่งงานไป ซ้อนภาพให้เห็นว่ามีการตกแต่ง เพิ่มมากขึ้น ซ้อนภาพด้านหน้า มีแขกเริ่มทยอยเข้ามาในงาน รวมไปถึง อัศวิน ดารินทร์ สลิลทิพย์ รวมทั้งผู้ว่าฯเชียงราย เจ้าหน้าที่จากททท. มาร่วมงาน ทยอยเดินเข้ามานั่งในงานเลี้ยง
บนเวทีพิธีกรเดินออกมา มาดลูกทุ่งนิดๆ แต่งตัวดูไม่เป็นทางการมาก แต่แคล่วงคล่องพูดฉะฉาน
“ขอต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน เข้าสู่งานเลี้ยงซึ่งทางจังหวัดและการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายจัดขึ้นเพื่อเลี้ยงส่งผู้เข้าประกวดนางสาว ณ สยาม ที่มาเก็บตัวและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายครับผม และที่สำคัญที่สุด ในค่ำคืนนี้ จะมีการประกาศสาวงามผู้ได้รับเลือกให้เป็นขวัญใจเชียงราย อันเป็นตำแหน่งที่ได้จากการโหวตของชาวเชียงรายนะครับ”
ดารินทร์เดินแยกมา ไม่ได้มาพร้อมนายพลอัศวิน สลิลทิพย์เดินมากับอติรุจ ทั้งดารินทร์และสลิลทิพย์แยกไปนั่งโต๊ะสำหรับแขกผู้มีเกียรติ
หลังเวที บรรดาสาวงามแต่งตัวสวยงามในชุดสาวเหนือ กำลังตรวจดูความสวยงามของตัวเอง อรสินียืนอยู่กับตรีอัปสร วรัญญา ภารดี และคนอื่นๆ ต่างก็ดูความเรียบร้อยสวยงามของตัวเอง อรสินีมองไปเห็นชุดด้านหลังของภารดีรั้งขึ้นไปไม่เรียบร้อย อรสินีเดินไปช่วยดึงเสื้อให้ ภารดีหันขวับมาก่อนที่อรสินีจะทำให้เรียบร้อย
ภารดีตวัดเสียงใส่ “ทำอะไรน่ะ”
อรสินียิ้มอ่อนๆ อย่างจิตใจดี “ชุดของเธอรั้งขึ้นไป”
ภารดีหมุนตัวจะดูแต่ก็ไม่ถนัด อรสินีช่วยดึงลงมา
“เรียบร้อยแล้ว”
อรสินียิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ภารดีอ่อนลง มองอรสินีซาบซึ้งนิดๆ “ขอบใจนะ”
อรสินียิ้มให้แล้วเดินกลับมาหาตรีอัปสร ซึ่งมองอยู่
“ไปช่วยมันทำไมน่ะคุณอร ปล่อยให้มันออกไปทั้งอย่างนั้นน่ะ...ดีแล้ว”
“ภารดีก็จะขายหน้า แล้วพี่เลี้ยงคนดูแลเสื้อผ้า ก็จะโดนคุณดรีมริกาดุเอา”
ตรีอัปสรถอนหายใจเซ็งๆ “จะห่วงใย ผู้คนไปทำไมมากมายขนาดนั้นคะ คุณอร ดูแลตัวเราเองก่อนดีกว่าไม๊”
อรสินียิ้ม “อรดูตัวเองแล้วว่าเรียบร้อยดี แล้วก็ช่วยดูให้คนอื่นด้วย มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ ตรี...คนเราอยู่ด้วยกัน ในโลกใบเดียวกัน ก็ควรจะช่วยเหลือกัน มีเมตตาให้กัน จริงไม๊”
ตรีอัปสรยิ้มให้อรสินีเหมือนเห็นด้วย
ตรีอัปสรได้แค่หมั่นไส้ อยู่ในใจ “ไม่จริงอะยะ จะสร้างภาพไปถึงไหนเนี่ย”
พี่เลี้ยง 1 บอก “เอ้า สาวๆ เตรียมตัวนะ แยกกันไปคนละด้านเหมือนตอนที่ซ้อมเลยค่ะ”
บรรดาสาวๆ ลุกขึ้น แยกกันไป
พิธีกรยืนอยู่ที่โพเดียมด้านหนึ่งของเวที ขณะที่สาวงามเดินออกมายืนเรียงตามเลข อรสินี และตรีอัปสร ยืนอยู่ตรงกลาง ประกบด้วยวรัญญา ภารดี ดาราวรรณ กัลยาณี สาวงามทุกคนยิ้มหวาน
“ท่านผู้มีเกียรติครับ ตอนนี้สาวงามทั้ง 20 คนก็ออกมายืนเรียงรายอวดโฉมให้ทุกท่านได้ชื่นชมแล้วนะครับ และหนึ่งในสาวงามบนเวทีนี้ จะเป็นผู้ซึ่งชาวเชียงรายร่วมกันโหวตในช่วงที่ผู้เข้าประกวด นางสาว ณ สยามมาเก็บตัว ให้เป็นขวัญใจชาวเชียงราย”
มีทีมงานถือซองมาส่งให้พิธีกร “และขณะนี้ผลโหวตก็อยู่ในมือผมแล้วครับ...”
พิธีกรทำท่าเปิดซอง
ด้านสลิลทิพย์ และดารินทร์ ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ใกล้กัน แอบปรายตามองกันอย่างเชือดเฉือน หมายมั่นไม่ต่างกัน
บนเวทีตรีอัปสรมาดมั่น ดูเชื่อมั่นสูงว่าตัวเองจะต้องได้ตำแหน่งแน่นอน
อรสินี ซึ่งยิ้มนิดๆ หน้าตาอ่อนโยน พิธีกรเปิดซองหยิบกระดาษออกมาคลี่อ่าน บิ้วท์อารมณ์คนดูสุดๆ
“และ สาวงามผู้เป็นขวัญใจชาวเชียงรายคือ...สาวงามหมายเลข...หมายเลข...”
แต่ละคนแอบลุ้นตามจริตใครมัน
พิธีกรประกาศ “หมายเลข 9 นางสาว อรสินี วัณณุวรรธน์ ครับ และขอเรียนเชิญพ่อเมืองเชียงรายของเรา ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายขึ้นมามอบของรางวัล เรียนเชิญคุณน้องนุช ภรรยาท่านผู้ว่าฯ ขึ้นมามอบสายสะพายให้กับขวัญใจชาวเชียงรายด้วยครับ”
ท่านผู้ว่าฯและภรรยา ขึ้นไปมอบรางวัลและใส่สายสะพายให้กับอรสินี ตรีอัปสรยืนหน้าเย็นชา วรัญญาปรายตามองตรีอัปสร แล้วยิ้มอย่างสะใจเล็กๆ รวมทั้งภารดีด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วรัญญาและภารดีคิดอ่านตรงกัน และเห็นด้วยเหมือนกัน
ส่วนที่โต๊ะอาหาร สลิลทิพย์ลุกยืนตบมือให้อรสินีออกนอกหน้า และยืนอยู่อย่างนั้นจนอรสินีใส่สายสะพายเสร็จ จึงทรุดตัวลงนั่ง ยิ้มหวานให้ทุกคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ
“ลูกสาวดิชั้นเองค่ะ”
คนที่นั่งร่วมโต๊ะ ต่างยิ้มให้ ตามมารยาท ยินดีด้วย แต่ดารินทร์ฝืนยิ้มนิดเดียว หลังจากทุก
คนแสดงความยินดีแล้วสลิลทิพย์ก็หันมาทางดารินทร์ มองดารินทร์เหมือนจะบอกว่า คราวนี้ตาชั้นบ้างละ
“เสียใจด้วยนะ ที่ลูกสาวเธอปิ๋ว ไม่ได้รับตำแหน่ง”
ดารินทร์ยิ้มกลับอย่างไม่แคร์ “เข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณสลิลทิพย์ ชั้นไม่เสียใจเลยค่ะ อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเองซิคะ ชั้นว่าแทนที่คุณจะหันมางับชั้น คุณควรหันไปชื่นชมลูกคุณให้สุดๆ ดีกว่าไม๊คะ เวลาไปเล่าให้ใครฟัง จะได้ไม่ตกหล่น”
ดารินทร์พูดจบก็เมินหน้าไปทางเวที สลิลทิพย์มองตามไปทางเวที เห็นอรสินียืนยิ้ม โบกมือให้ทุกคน แขกในงานรุมถ่ายรูปหน้าเวที
ชญานนท์ มุกตาภา อติรุจ ณเดชย์ ซึ่งนั่งดูอยู่ด้วยกัน มองอรสินีอย่างชื่นชมโดยเฉพาะชญานนท์
ในขณะที่ณเดชย์มองตรีอัปสรอย่างเป็นปลื้มๆ
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 6 (ต่อ)
อรสินี ตรีอัปสรและทุกคนทยอยเดินเข้ามาหลังเวที ตรีอัปสรเข้าไปกอดอรสินีเพื่อแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยนะคะ คุณอร”
มีดาราวรรณ กัลยาณี ภารดี วรัญญาและคนอื่นๆ มาจับมือ แสดงความยินดีด้วย
“ขอบคุณนะตรี...ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ”
ทุกคนยิ้มให้ มีสาวงามมาคุยกับอรสินี วรัญญายังยืนอยู่พูดกับตรีอัปสร
“เสียดายไม๊ ตรี...ตำแหน่งแรกก็พลาดซะแล้ว”
ตรีอัปสรมองวรัญญาอย่างดูถูก “ทำไมชั้นจะต้องเสียดาย”
วรัญญายิ้มเยาะนิดๆ “แน่ใจเหรอ”
ตรีอัปสรยักไหล่อย่างไม่สนใจ ภารดีซึ่งได้ยินที่วรัญญากัดตรีอัปสรก็ขยับเข้ามา
“ถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอยะ”
ตรีอัปสรมองวรัญญากับภารดีอย่างดูถูก ก่อนจะพูดเสียงเย็นชา
“เปล่า แต่ชั้นขี้เกียจต่อปากกับพวกนางงามเดินสายปลายแถว”
ตรีอัปสรพูดจบก็เดินเชิดไป วรัญญากับภารดีถึงกับอ้าปากค้าง ภารดีหันขวับมาทางวรัญญา
“เป็นไงล่ะ เห็นฤทธิ์นังนี่หรือยัง”
“ชั้นเห็นมาตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีพัฒนาการเร็วขนาดนี้”
วรัญญาพูดจบก็เดินไป ภารดีหมั่นไส้ ค้อนลมแล้งตามหลังไป
ดารินทร์เข้ามาเคาะประตูห้องลูกสาว ประตูเปิดออก ตรีอัปสรมองเห็นแม่ก็แปลกใจ
“แม่ มาได้ยังไงอ่ะ พี่เลี้ยงมาเห็นล่ะก้อ ตรีโดนแน่เลย”
“แกไม่รู้เหรอว่าชั้นเป็นใคร พี่ล้งพี่เลี้ยงที่ไหน ก็ไม่กล้าว่าชั้นหรอก”
ตรีอัปสรเซ็ง “แล้วฝ่าด่านมาหาตรี...มีอะไรด่วนรึเปล่า”
ดารินทร์ชะโงกมองเข้าไปในห้อง “ยัยอรสินีล่ะ”
“อาบน้ำอยู่”
ดารินทร์มองซ้ายมองขวาก่อนจะพูด “เมื่อกี้นังสลิลทิพย์มันกระแทกแดกดันชั้นสารพัดที่ลูกมันได้รางวัล”
ตรีอัปสรหงุดหงิด “แม่จะไปสนใจทำไม กะอีแค่ตำแหน่งขวัญใจ”
“ขอให้เป็นรางวัลเดียวที่ลูกนังสลิลได้แล้วกัน” ดารินทร์แค้น
“แน่นอนอยู่แล้ว...แม่ก็รู้ว่าตรีไม่ยอมเป็นที่สองรองใครหรอก”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี อย่าให้ใครหรืออะไรมาขวางทางของแกได้”
เสียงเหมือนเปิดประตูห้องน้ำ ตรีอัปสรหันไปทางดารินทร์
“แม่กลับไปได้แล้ว ตรีไม่อยากให้คุณอรเห็น”
ดารินทร์พยักหน้าแล้วเดินกลับไป ตรีอัปสรปิดประตู เป็นจังหวะที่อรสินีเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี
“ตรีคุยกับใครเหรอ ได้ยินเสียงแว่วๆ”
“พี่เลี้ยงค่ะ...ตรีไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
อรสินีพยักหน้า ตรีอัปสรเดินแยกไป เสียงไลน์จากมือถือดังขึ้น อรสินีหันไปมอง
ในสวนสวยมุมลับตาคนของโรงแรม ชญานนท์ยืนอยู่ เหมือนมาเดินเล่นต้องการความสงบ สักครู่ เขาหันไปมองทางหนึ่งด้วยสีหน้าดีใจมาก เดินตรงเข้าไปหา อรสินีในชุดสีเข้มกลืนกับความมืดเดินเข้ามา สีหน้าดูเป็นกังวลไม่สบายใจนัก
ชญานนท์ดึงร่างอรสินีเข้ามากอดด้วยความคิดถึง “คิดถึงเหลือเกิน น้องอร”
อรสินีซุกหน้าอยู่กับอกของชญานนท์นิ่งๆ แววตามีความสุข ยิ้มอย่างอิ่มเอมชั่วครู่ ก่อนจะได้สติ ขยับตัวออก
“เห็นกันทุกวัน ยังคิดถึงกันอีกเหรอคะ”
“อยู่ใกล้แค่ไหน แต่เหมือนไกลกัน ก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ก็เราต้องทำหน้าที่ของเรานี่คะ”
ชญานนท์ดึงอรสินีเข้ามากอดอีกครั้ง “พี่ก็อยากทำหน้าที่ของพี่เหมือนกัน”
“ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะทำยังไงคะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
ชญานนท์ดึงอรสินีออก มองอรสินีแล้วอมยิ้ม สีหน้าเจ้าเล่ห์นิดๆ
“พี่บอกให้ทีมงานไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า”
อรสินีมองท่าทางเจ้าเล่ห์ กรุ้มกริ่มของชญานนท์แล้วอดขำไม่ได้
“อรเพิ่งรู้นะคะ ว่าพี่นนท์ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน”
“ความรักมันสอนให้เราทำได้ทุกอย่างจ้ะ...น้องอร”
ชญานนท์มองอรสินีแววตากรุ้มกริ่ม
ตรีอัปสรตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก พอออกมาจากห้องน้ำ เดินตรงไปที่เตียงต้องชะงัก เมื่อมองซ้ายแลขวา ไม่เห็นอรสินีนอนอยู่บนเตียง ตรีอัปสรเดินไปดูที่ระเบียงก็ไม่มี เดินกลับมาเห็นก็โทรศัพท์ของอรสินีวางอยู่หัวเตียง
ตรีอัปสรมองซ้ายขวา จนแน่ใจแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ของอรสินีมาเปิดดู กดไปที่ข้อความไลน์ เห็นเป็นชญานนท์ส่งข้อความมาว่า
“รอที่สวนนะครับ” และ “คิดถึงใจจะขาด”
ตรีอัปสรเบ้ปากนิดๆ อย่างหมั่นไส้แกมอิจฉา แล้วสีหน้าหล่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบาย
อ่านต่อตอนต่อไป
อรสินีกับชญานนท์ยังคงอิงแอบแนบซบกันอยู่ในสวนสวยตรงมุมลับตา ซักครู่หนึ่ง อรสินีจึงขยับตัวออก
“ดึกมากแล้ว อรไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าเหมือนกัน”
“โอเค” ชญานนท์จับมืออรสินีบอกเสียงนุ่ม “เจอกันที่กรุงเทพฯนะ”
“ค่ะ”
อรสินียิ้มหวาน แล้วเดินออกไปคนเดียวก่อน ตรงทางเดินเข้าไปด้านในโรงแรม ตรีอัปสรแอบหลบยืนมองอยู่ อรสินีเดินผ่านไปโดยไม่เห็น ตรีอัปสรมองไปทางสวน
ดึกมากแล้ว ชญานนนท์รออยู่สักครู่ จึงเดินจากในสวนเข้ามาในโรงแรม อันเป็นจังหวะที่ตรีอัปสรเดินออกมาจากอีกด้านพอดี 2 คน เจอกันตรงมุมตึกตรีอัปสรแสร้งทำเป็นตกใจเนียนๆ
“อุ๊ย...คุณนนท์”
“อ้าว ตรี ลงมาทำอะไรเหรอ”
“ตรีลงมาตามหาคุณอรค่ะ คุณนนท์เห็นคุณอรไม๊คะ”
ชญานนท์มองจับสังเกตตรีอัปสรนิ่งๆ เหมือนพยายามจะมองว่ามีพิรุธอะไรหรือเปล่า แต่สีหน้าแววตา ตลอดท่าทางของหล่อนใสซื่อ
“เห็น แต่น่าจะขึ้นไปที่ห้องแล้วนะ”
ตรีอัปสรทำเป็นนึกออก “อ๋อ...ค่ะ ตรีไม่ทราบว่าคุณอรลงมาหาคุณนนท์ ไม่งั้นก็คงไม่ไปบอกพี่เลี้ยงให้ช่วยกันตามหา”
ชญานนท์เลิกคิ้วฉงน “เหรอ” เขาพูดดักคอทีเล่นทีจริง “ความจริงก็ไม่น่าห่วงอะไร บางทีคนเราก็อยากจะหาเวลาส่วนตัวบ้าง...ซักนิดก็ยังดี คุณเองก็เคยแว่บมาอยู่ตามลำพังเหมือนกันนี่”
ตรีอัปสรตีหน้าซื่อ “ก็จริงค่ะ ตรีก็เคยแว่บมาเดินเล่นอยู่ในสวนเหมือนกัน ตรีคงเป็นห่วงคุณอรมากไปก็เลยลืมคิดเรื่องนี้”
“ต้องขอบใจแทนน้องอรด้วยนะ ที่เป็นห่วง ไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ”
ตรีอัปสรหมุนตัวกลับ เป็นจังหวะที่พี่เลี้ยงชื่อ แหวว กับพี่เลี้ยง 2 เดินมาพอดี
“พบน้องอรไม๊ น้องตรี”
ตรีอัปสรบอก “ไม่พบค่ะ”
แหวว กับ พี่เลี้ยง 2 มองเลยไป เห็นชญานนท์เดินมา
“คุณนนท์” แหววทัก
ชญานนท์ทำหน้าขรึม พูดเสียงเรียบๆ “ไม่ต้องตามแล้วล่ะ อรสินีน่าจะกลับห้องไปแล้ว เมื่อกี้สวนกับผม”
“อ๋อ...ค่ะ ถ้างั้น ขอตัวก่อนนะคะ” แหววหันไปทางตรีอัปสร “ไปเถอะน้องตรี”
ตรีอัปสรพยักหน้า “ค่ะ”
ก่อนไปตรีอัปสรหันมาสบตาชญานนท์อีกครั้ง ก่อนจะเดินตามแหวว และพี่เลี้ยง 2 ไป
ชญานนท์มองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญตริตรอง
ภายในห้องบอลรูมของโรงแรม บรรดาสาวงามกำลังซ้อมการแสดงอย่างตั้งใจ แลเห็นอรสินี ตรีอัปสร และสาวงามคนอื่นๆ แสดงความสามารถส่วนตัว ศรศรี มณีศิลป์ ยืนรายงานข่าวอยู่ด้านหน้าเวที
“อีกไม่ถึง 2 วัน เราก็จะได้ นางสาว ณ สยาม ประจำปี 2557 กันแล้วนะคะ และในวันนี้บรรดาสาวงามทั้ง 20 คน ต่างก็ขะมักเขม้นซ้อมการแสดงที่จะเกิดขึ้นในวันตัดสินการประกวดค่ะ เราไปชมภาพบรรยากาศกันนะคะ”
ตรีอัปสร และ อรสินี กำลังซ้อม รวมทั้งวรัญญา ภารดี ดาราวรรณและกัลยาณี ก็ซ้อมด้วย โดยความงดงามและลีลา ทำให้ ตรีอัปสร กับ อรสินี กลายเป็นตัวเด่นในโชว์นี้ ในขณะที่คนอื่นๆ เหมือนจะเป็นตัวเสริม ตัวประกอบมากกว่า
เช้านี้ นายพลอัศวินนั่งทานอาหารเช้าอยู่กับคุณหญิงสุดสวาทและณเดชย์ พ่อกับลูกมองภาพในจอทีวีอย่างสนอกสนใจ จนคุณหญิงสุดสวาทมองอย่างหมั่นไส้
“เอ้า...จ้องกันตาเป็นมัน ทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ”
ณเดชย์หันไปมองคุณหญิงแล้วยิ้มให้ ท่าทางสบายๆ
“มีผู้ชายแท้ๆ คนไหนบ้างครับ จะไม่มองผู้หญิงสวย”
คุณหญิงค้อน “ย่ะ แล้วมองคนเดียวกันรึเปล่าล่ะ พ่อ...ลูก”
นายพลอัศวินหัวเราะเบาๆ “จะมาซักไซ้ให้มันได้อะไรนะ คุณหญิง รู้มากไปก็ไม่มีความสุข
คุณหญิงสวนทันที “รู้น้อยไปก็ไม่มีความสุขเหมือนกันค่ะ”
“แต่ผมว่า รู้ไม่จริง ทุกข์ที่สุด ใช่ไม๊...นายนะ”
“ครับผม”
คุณหญิงหมั่นไส้อีก “แหม...เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะยะ”
คุณหญิงสุดสวาทมองไปที่โทรทัศน์ เห็นอรสินีกับตรีอัปสรยืนคู่กันอยู่
“คนที่สวยหวานๆ นั่น น่าจะได้นะคะ”
ณเดชย์แย้ง “แต่ผมว่าอีกคนสวยกว่า”
“สวยก็จริง แต่ดูแรงๆ แรดๆ” คุณหญิงว่า
นายพลอัศวินและณเดชย์หันมามองหน้าคุณหญิง พร้อมกัน คุณหญิงมองแล้วพูดต่อ
“แหม...พูดแค่นี้ถึงกับหันขวับมาพร้อมกันเชียว” คุณหญิงพูดกับณเดชย์ “แม่พูดตามที่เห็น” แล้วหันมาทางสามี “แล้วดิชั้นก็ไม่ได้อคติ เพราะยายนี่เป็นลูกสาวยายดารินทร์ผู้หญิงของคุณด้วย...ผู้หญิงด้วยกันมันดูกันออกค่ะ.ว่ายายตรีอัปสรเนี่ยแรด”
คุณหญิงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วขยับลุกขึ้น
“พูดมากไปก็จะขัดใจพ่อลูกเปล่าๆ ดิชั้นไปดีกว่าใกล้เวลานัดแล้วด้วย”
คุณหญิงสุดสวาทเดินนวยนาดออกไป ณเดชย์มองตามแม่ไปแล้วลุกขึ้น
“ผมไปทำงานนะครับ พ่อ”
“แล้วอย่ามัวแต่ทำงานจนลืมคู่หมั้นล่ะ”
ณเดชย์มองนายพลอัศวินและพูดอย่างมีนัย “ผมไม่ลืมหรอกครับ ว่าตอนนี้ผมยังมีคู่หมั้นอยู่”
“เฮ้ย พูดแบบนี้หมายความว่าไงห๊ะ นายนะ”
ณเดชย์ไม่ตอบแต่หลิ่วตาให้พ่อ ก่อนจะเดินออกไป นายพลอัศวินมองตามแล้วส่ายหน้าเอือมๆก่อนจะหันมาดูทีวี มองตรีอัปสรในทีวีด้วยแววตาหมายมาดปนหื่นนิดๆ
ชญานนท์ยืนมองผ่านกระจกห้องทำงานออกไปด้านนอกตึก ก่อนจะหันมาแล้วทรุดตัวนั่ง
“คุณมีหลักฐานไม๊”
นักสืบชาย 1 ที่ชญานนท์จ้างให้สืบเรื่องของณเดชย์ กับ ตรีอัปสร บอกแข็งขัน จริงจัง
“มีครับ คุณณเดชย์โอนเงินจ่ายค่ารถสปอร์ตให้คุณตรีอัปสรครับ จ่ายสด ซื้อสด”
นักสืบหยิบเอกสารออกมาส่งให้ชญานนท์อ่าน
“คุณณเดชย์กับคุณตรีอัปสรรู้จักกันตั้งแต่ตอนอยู่อังกฤษ ผมเช็คจากคนวงใน ข้อมูลถูกต้องไม่ป้ายสีแน่นอนครับ”
“สองคนนั้น รู้จักกันประมาณไหน”
“ก็...อยู่ในระดับลึกซึ้งครับ” นักสืบชาย 1 ว่า
ชญานนท์นิ่งงันไป ไม่พูดอะไร สีหน้าครุ่นคิดหนัก
บรรดาสาวงามกำลังซ้อมรำอย่างขะมักเขม้นภายในสตูดิโอ รวมทั้งอรสินี ตรีอัปสร ซึ่งเป็นตัวเด่น มีวรัญญา ภารดีเป็นตัวประกอบอยู่ 2 ด้าน
ดาราวรรณและกัลยาณี นั่งพักอยู่อีกด้านหนึ่ง สองสาวมองการซ้อมของทั้ง 4 คน กัลยาณีบ่นขึ้นมา
“ชั้นว่าพรุ่งนี้ทางกองประกวดคงเตรียมปูพรมแดงให้ยายไฮโซ 2 คนนั้นไว้เรียบร้อยแล้วละ ดูซิ ขนาดการแสดงยังจัดให้เด่นกว่าคนอื่น”
“พักนี้เธอบ่นเรื่องนี้ถี่ไปหน่อยไม๊ จริงๆชั้นว่าเราก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไม่มีทางได้ตำแหน่งอะไรทั้งนั้น นอกจากได้ชื่อว่าเป็น1 ใน 20 ของการประกวดครั้งนี้...หรือเธอคิดว่าเธอจะได้เป็นนางสาว ณ สยาม”
กัลยาณีฉุน “อย่ามาแดกดันกันหน่อยเลย ชั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก แต่ชั้นก็อดหมั่นไส้ 2 คนนั้นไม่ได้”
ดาราวรรณเหน็บ “บรรยากาศสิ่งแวดล้อมนี่ทำให้ คนเราเปลี่ยนไปได้จริงๆ”
กัลยาณีหันมามองดาราวรรณ “หมายถึงใคร”
“ก็เธอไง ตอนมาสมัคร ชั้นว่าเธอโลกสวยกว่าชั้นเยอะเลยนะ แต่วันนี้ชั้นว่าเธอแรงขึ้นว่ะ”
กัลยาณีมองดาราวรรณด้วยแววตาสับสน “จริงอ่ะ”
“เออ ชั้นว่าเธอลดๆ ลงไปหน่อยเหอะ เราทำมาได้ขนาดนี้ ก็มีราคามีค่าขึ้นเยอะแล้ว อย่าไปทะเยอทะยานไม่เข้าท่าเลย ฟุ้งซ่านไปให้จิตตกหน้าหมอง หน้าเหี่ยว เปลืองค่าจิ้มหน้าเปล่าๆ”
กัลยาณีมองดาราวรรณ แล้วยิ้มบางๆ มีทีท่าอ่อนลง กัลยาณีมองไปอีกทาง
“ชั้นไม่ทะเยอทะยานเรื่องตำแหน่ง แต่เปลี่ยนมาทะเยอทะยานเรื่องผู้ชายได้ป่ะ”
ดาราวรรณมองกัลยาณีแล้วมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป เห็นชญานนท์ยืนกอดอกดูการซ้อมอยู่ ดาราวรรณค้อนก่อนจะพูดเบาๆ
“อาการหนักแล้ว นังณี”
กัลยาณียักคิ้วให้ขำๆ
ตรีอัปสรกับอรสินีจบท่าสุดท้ายของการโชว์ ครูผู้ฝึกสอน ตบมือให้ มีอาจารย์ดรีมริกาและพี่เลี้ยงทั้ง 4 คนอยู่ในนั้นด้วย
“เก่งมาก...สวยมาก พรุ่งนี้ขอแบบนี้เลยนะ” ครูเอ่ยชม
อรสินียิ้ม “ค่ะ”
วรัญญายิ้มให้อรสินี ส่วนภารดีมองอรสินีค้อนเล็กๆ แต่ไม่พูดอะไร วรัญญามองภารดีแล้วยิ้มเยาะ
“สงบปากก็เป็นเหมือนกันนี่”
“ก็ลองเป็นนังตรีอัปสรมันพูดซิ ชั้นไม่ปล่อยแน่ นี่เป็นยายอรอ้อแอ้ ชั้นไม่อยากหาเรื่อง กระดูกคนละเบอร์”
วรัญญาขำๆ “ย่ะ ทำตัวเป็นนางงามมาเฟียมากเลยนะ”
วรัญญาเดินไปนั่ง เป็นจังหวะที่ตรีอัปสรลุกขึ้นเดินสวนออกไป ภารดีเดินมาทรุดตัวนั่งข้างวรัญญาแล้วมองตามตรีอัปสรไป ภารดีหันมาพูดกับวรัญญาเบาๆ
“ดูมันซิ พอเรานั่งปุ๊บ มันก็ลุกปั๊บ”
วรัญญาตัดรำคาญ “เอาเถอะน่ะ พรุ่งนี้ก็แยกย้ายแล้ว”
ภารดีมองวรัญญา “ถ้าชั้นติด 1 ใน 10...1 ใน 5 หรือ...1 ใน 3 ชั้นต้องอยู่กับนังนี่ไปอีกเป็นปีนะ”
วรัญญายิ้มขำ “เหรอ...งั้นรอให้ถึงตอนนั้นก่อนละกัน”
ภารดีค้อนควักวรัญญาแล้วสะบัดหน้าเมินไปทางอื่น
สายมากแล้ว ประตูห้องน้ำหญิงเปิดออก ตรีอัปสรเดินออกมาจากห้องน้ำ พอเดินไปถึงหัวมุมก็ต้องชะงัก เพราะชญานนท์เดินออกมา เหมือนดักหน้าไว้
ตรีอัปสรตกใจเล็กๆ “อุ๊ย...คุณนนท์”
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ตรีอัปสรมองชญานนท์นิ่งๆ “คุณนนท์ มีอะไรกับตรีรึเปล่าคะ”
ชญานนท์เลิกคิ้ว “ทำไมถึงคิดว่าผมจะมีอะไรกับคุณล่ะ”
ตรีอัปสรยิ้มบางๆ “ถ้าไม่มีอะไร คุณนนท์คงไม่มายืนดักตรีแบบนี้หรอกค่ะ”
ชญานนท์มองตรีอัปสรนิ่ง แววตาฉายแววพอใจเล็กๆ ในความฉลาดรู้ทันคนของหล่อน
“ว่าไงคะ มีอะไรรึเปล่า ตรีต้องรีบเข้าไปซ้อมต่อ”
“ผม...ตั้งใจทำให้ดีที่สุดนะ...ขอให้โชคดี”
ชญานนท์พูดจบก็เดินผ่านไป ตรีอัปสรไม่คิดว่าชญานนท์จะพูดแบบนี้พึมพำเบาๆ
“มายืนดักเราเพื่อจะอวยพรเหรอ”
แม้จะแปลกใจ แต่ตรีอัปสรก็อดที่จะยิ้มนิดๆ อย่างปลื้มปริ่มไม่ได้ ขณะเดินแยกไปอีกทาง
ชญานนท์เดินเข้ามาตามทาง สีหน้าอึดอัดอัดอั้นเล็กๆ ที่ไม่กล้าพูดเรื่องณเดชย์กับตรีอัปสร ชญานนท์เดินมา 2-3 ก้าว ก็เห็นมุกตาภาเดินมา
“พี่นนท์ จะไปไหนคะ”
“แล้วมุกล่ะ”
“มุกนัดกับเพื่อนไว้ค่ะ”
“อ้าว แล้วใครดูงานทางนี้”
“มุกฝากคุณรัตน์ไว้แล้วค่ะ มุกไปไม่นานหรอกค่ะ แล้วพี่นนท์ล่ะคะ”
“พี่จะไปหาคุณพ่อ สรุปงานทั้งหมดของวันพรุ่งนี้”
“ขอให้โชคดี นะคะ” มุกตาภาแหย่พี่ชายเล่น “ขอให้ผ่านทุกเรื่องนะคะ”
มุกตาภายิ้มขำๆ แล้วเดินแยกไป ชญานนท์มองตามไป เสียงมือถือดังขึ้น ชญานนท์หยิบมารับสาย
“ครับพ่อ...ไปเดี๋ยวนี้แล้วครับ”
ชญานนท์เดินไปเร็วรี่
ที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้านอาหารหรู แพรวนั่งอยู่ สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นอาการมุกตาภา
“แพรวตั้งใจจะโทร.บอกมุก แต่เห็นมุกบอกว่าอยู่กับคุณนะ ก็เลยไม่อยากบอกให้เสียบรรยากาศ”
มุกตาภาหน้าตึงเปรี๊ยะ โกรธจัด “ลิปสติกที่แก้วไวน์ใน ไอ จี นั่น ก็คงเป็นของนังตรีอัปสรใช่ไม๊ แพรว”
แพรวพยักหน้า “ใช่ พยานหลักฐาน มัดแน่นขนาดนั้น”
มุกตาภาคำราม “นังแมวขโมย ทำท่าใสซื่อ มันยิ้มแย้ม แจ่มใสคุยกับมุกเหมือนไม่มีอะไรทั้งๆ ที่มันฉกคู่หมั้นมุกไปกก” ยิ่งพูดก็ยิ่งแค้นใจมากขึ้น “แม่มันเป็นยังไง ลูกมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มุกสงสัยมาตั้งนานแล้ว แต่จับไม่มั่น คั้นไม่ตาย มันต้องไปได้กันตอนนะไปอังกฤษแน่ๆ เพราะนังนั่นก็เรียนที่อังกฤษเหมือนกัน”
“แล้ว มุกจะทำยังไงต่อ แพรวว่ารอให้ผ่านงานประกวดก่อนดีกว่าไม๊”
“ไม่” มุกตาภาเสียงเข้มแค้นแทบกระอัก มองหน้าแพรว “ทำไมจะต้องรอ มุกให้นังนั่นมันเสพย์สุขกับนะมาพอแล้ว”
แพรวกังวล “แต่มันจะทำให้เสียงานนะ มุก ไหนๆ ก็อดทนมาได้ตั้งนานแล้ว ทนอีกซักนิดจะเป็นไร”
“มุกไม่ได้ทน แต่มุกไม่รู้ต่างหาก ลองถ้ามุกรู้ตั้งแต่แรกซิ อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นมันมาลอยหน้าประกวดนางสาว ณ สยามแบบนี้”
แพรวตกใจ “มุกจะทำอะไร”
“ทำให้มันได้ขึ้นหน้าหนึ่ง เอาให้ดังฉาวโฉ่แบบไม่ต้องมีมงกุฎไปเลย”
แพรวมีสีหน้าเป็นกังวลมาก
ในขณะที่มุกตาภามีสีหน้าแววตามุ่งมั่น ดูเหมือนที่เคยรังเกียจตรีอัปสรอยู่แล้ว บัดนี้ ความโกรธ ความเกลียดชัง ยิ่งมากขึ้นทบทวีโดยมีความหึงหวงเป็นพาหะ
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 6 (ต่อ)
สาวงาม ซ้อมโชว์กับครูสอนเต้นอยู่บนเวที ครูหันมาทางตรีอัปสรกับอรสินีพลางถามขึ้นว่า
“จะซ้อมอีกซักครั้งไม๊”
ตรีอัปสรยิ้ม “ได้ค่ะ”
ภารดีทำเสียงประชด “ช่วยถามเพื่อนๆ ก่อนตอบได้ไม๊คะ” พลางหันไปพูดกับครู “หนูดีเมื่อยจนยกขาแทบจะไม่ขึ้นแล้วค่ะครู ขอพักแป๊บนะคะ”
ครูพยักหน้า “ก็ได้”
ตรีอัปสรหันมายิ้มให้กับภารดี “ขอโทษนะ ที่ตอบเร็วไปนิด คิดว่าทุกคนยังไหวอยู่”
ภารดี วรัญญา และ อรสินี หันมามองตรีอัปสรด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน อรสินีคิดว่าตรีอัปสรเริ่มอ่อนลง มองโลกสวยขึ้น ส่วนภารดีกับวรัญญางงที่ตรีอัปสรไม่เหวี่ยงวีนหาเรื่องเหมือนเคย แถมอารมณ์ดีจนผิดสังเกต ตรีอัปสรยิ้มให้ทุกคน ก่อนจะหันไปทางครู
“พักก่อนได้ใช่ไม๊คะ ครู”
“ได้ซิ จริงๆ พวกเราก็ค่อนข้างเป๊ะแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มาซ้อมอีกทีตอนบ่ายก็ได้”
“ค่ะ”
ครูพูดจบก็เดินออกไป ภารดีกับวรัญญาหันมาทางตรีอัปสร
“มองอะไร หน้าชั้นมีอะไรผิดปกติเหรอ”
ตรีอัปสรพูดพร้อมกับจับหน้าตัวเอง วรัญญามองอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“กินยาผิดหรือว่าลืมเขย่าขวดรึเปล่าเนี่ย” ภารดีค่อน
“แต่ชั้นว่า...น่าจะอารมณ์ดีเพราะมีความรักมากกว่านะ” วรัญญาว่า
อรสินีหันมามองตรีอัปสร คิดไปถึงอติรุจมากกว่า อดอมยิ้มไม่ได้แต่ไม่พูดอะไร ตรีอัปสรมองวรัญญากับภารดีแล้วหัวเราะเบาๆ วรัญญามองตรีอัปสรอย่างครุ่นคิดแปลกใจ
ขณะเดียวกัน คุณดิษฐ์ดูรายละเอียดในจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะหันมาทางชญานนท์ ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
“คะแนนสูสีกันเลยนะ อรสินีกับตรีอัปสร”
“ครับ”
คุณดิษฐ์อมยิ้ม “แอบเชียร์หนูอรอยู่ใช่ไม๊”
ชญานนท์ยิ้มรับ “ถ้าให้ตอบจริงๆ ผมเชียร์ให้ตกรอบมากกว่าครับ”
คุณดิษฐ์หัวเราะขำ “เป็นงั้นไป หวงแฟนล่ะซิเรา”
คุณดิษฐ์คลิกเม้าท์เหมือนเปลี่ยนเรื่องคุยด้วย
“นนท์เห็นแผนงานของสถานีปีหน้าแล้วใช่ไม๊”
“ครับ”
“พ่อต้องการให้ไทยเท็นขึ้นอันดับหนึ่ง เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุด เราต้องบุกเต็มที่สู้กันที่รายการทั้งสาระ บันเทิง ละคร ตอนนี้เรามีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งมีทีวีดิจิตอลเพิ่มมาอีกยี่สิบกว่าช่อง เราจะนิ่งไม่ได้” เจ้าพ่อสื่อของไทยบอก
“ครับพ่อ ผมนัดฝ่ายรายการ ฝ่ายข่าว ฝ่ายละครคุยแล้วครับ คงต้องปรับเปลี่ยนแนวทางค่อนข้างเยอะ”
“เราต้องทำทุกวิถีทางให้ช่องเรามีเรื่องราว มีความน่าสนใจ มีข่าวความเคลื่อนไหวของช่องตลอดเวลา ทั้งข่าวดีแล้วก็ข่าวคาว นึกภาพออกใช่ไม๊”
ชญานนท์ยิ้มนิดๆ “คนเรานี่ก็แปลกนะครับ เรื่องดีๆ ไม่ค่อยสนใจแต่พอเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ชู้สาว ภาพหลุดละก้อ ขายดิบขายดีเลย”
“เป็นธรรมดา อะไรที่มันมีสีสันฉูดฉาด มันก็น่าสนใจกว่าอยู่แล้ว ช่วงแรกนนท์ต้องคุมเองก่อน แล้วหาคนมารับผิดชอบคุมเกมให้อยู่ฝ่ายข่าวของเราต้องแน่น หลังจากเราได้ นางสาว ณ สยาม กับรองแล้ว...นั่นหมายความว่า ไทยเท็นจะได้นางเอก นางแบบ นางงาม ผู้ประกาศข่าว เพิ่มขึ้นมาอีก”
“ครับ”
“นนท์จะกลับไปโรงแรมอีกรึเปล่า”
“ไปครับ”
“พ่อไปด้วย พ่อมีนัดทานข้าวกับคุณสุทธิเจ้าของโรงแรม”
“พ่อจะไปเลยไม๊ครับ”
“ไปซิ”
คุณดิษฐ์ปิดคอมพ์แล้วขยับลุกขึ้น ชญานนท์เดินตามไป
เจ๊จูเจ้าของห้องเช่า เดินมาหน้าบ้านกล้า ชะเง้อมองเข้าไปในบ้านที่ปิดเงียบ
“กล้า...กล้า...ไอ้กล้า” เจ๊จูตะเบ็งเสียงดังขึ้น “ไอ้กล้า นังชบา เอ้า หายหัวกันไปไหนหมดเนี่ย เฮ้ยโผล่หัวออกมาหน่อยซิ”
เจ๊จูเดินไปตบประตูอย่างรุนแรง
“เฮ้ย มุดหัวอยู่ไหนกันหมดวะ แหม จมูกไวกันเหลือเกินนะ พอรู้ว่าชั้นจะมาละ หายกันไปหมดเลย”
เจ๊จูมองไปอีกด้าน ก็พุ่งไปหากล้าซึ่งเดินโซเซกอดขวดเหล้ากลับมา
“ไอ้กล้า”
“อ้าว เจ๊จู มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
“ก็มาเก็บค่าเช่าบ้านน่ะซิ ชบาอยู่ไหน”
กล้าส่ายหน้า “ไม่รู้”
พูดจบกล้าก็เดินผ่านเจ๊จูไป เจ๊จูคว้าคอเสื้อด้านหลังของกล้าไว้
“เดี๋ยวซิ จะรีบไปไหน”
กล้าสะบัดหนี “ชั้นจะเข้าบ้าน นี่ เจ๊จู ถ้าอยากได้เงินก็ตามไปเก็บที่แผงลอยซิ ชบามันขายของอยู่ เจ๊ก็รู้นี่”
เจ๊จูตวาด “ชั้นไม่รู้ เพราะวันนี้ชั้นเก็บแผงไม่ให้นังชบามันขายของแล้ว ติดค่าแผงมาเป็นเดือน ใครจะให้ขาย”
กล้าโกรธมั่ง ขึ้นเสียงใส่ “อ้าว ไม่ให้ขายแล้วจะเอาอะไรกินล่ะ เจ๊จู ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะโว้ย”
“อยากทำให้ถูกมั้ยล่ะ ถ้าอยากให้ถูกนะ วันนี้ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าบ้านชั้นก็เก็บข้าวของออกไปจากบ้านชั้นเลย ไป๊ ฟังให้ดีนะ ไอ้กล้า ถ้าแกกับเมียแกดื้อด้าน ไม่ยอมออกไปดีๆ ละก้อ ชั้นจะให้คนมาช่วยย้ายของให้”
กล้าเห็นเจ๊จูเอาจริง ก็ถึงกับสร่างเมา เปลี่ยนท่าทางอ่อนลงทันที
“เจ๊จู ใจเย็นๆ ซิ เรามันคนกันเอง รู้จักกันมาเนิ่นนานแล้วนะ”
เจ๊จูไม่ดีด้วย “ไม่เย็นแล้วโว้ย ฟังให้ดีนะ ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายชั้นวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก็ไปเลย ไปเก็บข้าวของ แล้วไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
เสียงชบาดังขึ้นมา “งั้นก็เอาไปเลย”
เจ๊จูกับกล้าหันไปมอง เห็นชบาดึงแบงค์พันเป็นฟ่อนชูขึ้นมา
เวลาต่อมา กล้าเข้ามาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้อง มองชบาซึ่งยังนั่งนับเงินอย่างมีความสุข
“แกไปเอาเงินมาจากไหน”
“มีคนให้มา”
กล้าขมวดคิ้ว “เงินตั้งเยอะแยะ ใครจะให้มาฟรีๆ”
“ใครบอกล่ะ...ว่าเค้าให้มาฟรีๆ คนที่ให้มาเค้าต้องการให้พี่ทำงานให้เค้า”
กล้าแปลกใจมากขึ้น “ทำอะไร แกไปรับเงินเค้ามาแบบนี้ แล้วถ้าเกิดข้าทำให้เค้าไม่ได้จะทำยังไง”ชบายิ้มย่อง “ชั้นรู้ว่าพี่ทำได้...ชั้นถึงได้รับปาก...แล้วก็รับเงินเค้ามาแล้ว”
“แล้วข้าต้องทำอะไร”
ชบามองกล้าอย่างพอใจ โล่งอกที่กล้ายอมทำ
รถของมุกตาภาแล่นมาจอดหน้าทางเข้าโรงแรม หล่อนก้าวลงจากรถ เดินเข้ามาในโรงแรมเป็นจังหวะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มุกตาภารับสาย
“ฮัลโหล....เรียบร้อยไม๊”
เสียงนักสืบชายตอบมาว่า “เรียบร้อยครับ”
“ดี...เวลามีน้อย ให้รีบจัดการเลยนะ”
“ภายในวันนี้ครับ”
“ชั้นจะเตรียมนักข่าวไว้ ตอนไหนก็บอกมาแล้วกัน”
มุกตาภาตัดสาย แล้วเดินฮับๆ เข้าไปในโรงแรม สีหน้ามุ่งมั่น สะใจ
การซ้อมบนเวทีเหมือนจริงทุกอย่างเพียงแต่สาวงามไม่ได้ใส่ชุดเต็มเท่านั้น รัตน์ยืนดูการซ้อมอยู่ห่างๆ ซักครู่จึงหันไปเห็นมุกตาภาเดินเข้ามา
“เป็นยังไงมั่งคะ คุณรัตน์”
“เรียบร้อยค่ะ พรุ่งนี้เราจะมีซ้อมใหญ่ ชุดเต็ม อีกครั้งก่อนถ่ายทอดสดค่ะ”
มุกตาภาพยักหน้า “ค่ะ”
“ดิชั้นขอตัวไปคุยกับทีมแบ็คสเตจก่อนนะคะ”
รัตน์เดินแยกไปทางหนึ่ง เป็นจังหวะที่ชญานนท์เดินมา มุกตาภาไม่เห็น เพราะมัวแต่จ้องตรีอัปสรราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออยู่ ชญานนท์เห็นสีหน้าและแววตาของน้องสาว เห็นแววเคียดแค้นเกลียดชังในนั้น ก็เพ่งมองอย่างแปลกใจ แล้วมองตามสายตาของมุกตาภาไป พบว่าไปหยุดที่ตรีอัปสร ซึ่งยืนอยู่บนเวทีกับอรสินี
ชญานนท์เรียก “มุก...มุก...”
มุกตาภาไม่ได้ยินเพราะมัวแต่มองตรีอัปสร
ชญานนท์เรียกเสียงเข้ม ดังขึ้น “มุกตาภา”
มุกตาภารู้สึกตัว สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันมามอง
“พี่นนท์...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เพิ่งมาเดี๋ยวนี้ละ คุณพ่อมาด้วย”
มุกตาภามองหา “แล้วคุณพ่ออยู่ไหนคะ”
“ทานข้าวกับคุณสุทธิ”
มุกตาภาผ่อนลมหายใจเบาๆ ไม่ให้ชญานนท์รู้สึกว่าโล่งอก ชญานนท์มองน้องอย่างพิเคราะห์
“มีอะไรรึเปล่ามุก เมื่อกี้พี่เรียกมุกตั้งหลายครั้ง แต่มุกไม่ได้ยิน มัวแต่มองตรีอัปสร เหมือนมีอะไรกัน”
มุกตาภามองชญานนท์แล้วยิ้มขำ “มุกไม่ได้มองตรีอัปสรค่ะ มุกมองทุกคนบนเวที” แล้วทำเป็นนึกอะไรขึ้นมาได้ “เห็นผู้หญิงสาวๆ สวยๆ แล้วก็คิดถึงเรื่องคุณนะขึ้นมาได้ พี่นนท์สืบให้มุกรึยังคะ เรื่องผู้หญิงที่มาวุ่นวายกับคุณนะ”
“พี่ให้นักสืบจัดการให้แล้ว อีก 2-3 วันน่าจะรู้เรื่อง”
มุกตาภาเย้า “นักสืบของพี่นนท์ ทำงานช้าจริงๆนะคะ”
“นักสืบไม่ช้าหรอก แต่พี่งานยุ่ง มุกก็เห็นนี่”
“ค่ะ มุกเข้าใจ หลังจากงานประกวด มุกคงรู้เรื่องใช่ไม๊คะ”
ชญานนท์พยักหน้า “ก็น่าจะ...นะ”
โทรศัพท์มุกตาภาดังขึ้น หล่อนหยิบออกมาดู แล้วหันมาทางชญานนท์
“มุกขอตัวก่อนนะคะ”
มุกตาภาพูดจบก็เดินแยกไปพร้อมกับรับสาย ชญานนท์มองตามไปสังหรณ์ใจโดยประหลาด
มีนักข่าว 4-5 คน นั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่บริเวณลอบบี้ เพื่อรอสัมภาษณ์สาวงาม ซักครู่มุกตาภาเดินมาหา ไหว้ทักทายนักข่าวยิ้มแย้มแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ”
นักข่าวหญิง 1 ทักตอบอย่างคุ้นเคยกัน “คุณมุก ลงมาดูเองเลยเหรอคะ งานนี้” นักข่าวสาวอมยิ้ม “สงสัยจะข่าวใหญ่ข่าวพิเศษ”
มุกตาภายิ้มแบบมีเลศนัย “อีกซักครู่พอได้ภาพ ได้ข่าวแล้วก็จะรู้ค่ะ ว่าใหญ่ พิเศษรึเปล่า เดี๋ยวเชิญที่ห้องติดกับสวนด้านโน้นดีกว่านะคะ จะได้ภาพชัดๆ เด็ดๆ”
นักข่าวหญิง 1 รับ “ได้ค่ะ ได้” แล้วหันไปทางเพื่อนนักข่าวด้วยกัน “ไป พวกเรา”
นักข่าวทั้งหมดขยับลุกขึ้นจะเดินไป รัตน์เดินมาพอดี มองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหามุกตาภาที่ยืนกอดอก อมยิ้มอยู่ นักข่าวทักทายรัตน์แล้วเดินไป
“มีอะไรรึเปล่าคะ คุณมุก เราจะแถลงข่าวอะไรรึเปล่าคะ ดิชั้นไม่ทราบเลยค่ะ”
มุกตาภายิ้มนิดๆ “ไม่รู้ซักเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอกคุณรัตน์ มุกไม่บอกคุณพ่อให้ไล่ออกหรอก”
พูดเท่านั้นมุกตาภาก็เดินไปเลย รัตน์มองตามไปอย่างแปลกใจ
มุกตาภาก้าวเดินไปด้วยสีหน้าสะใจ
แหววเดินแกมวิ่งหน้าตาตื่นเล็กๆ ผ่านไป รัตน์ซึ่งแยกมาจากมุกตาภามองตามแหววไปอย่างแปลกใจ รัตน์ทำท่าคิด ก่อนจะเดินตามแหววไป
ตรีอัปสรเข้ามาหยุดยืนนิ่ง มองแหวว
“มีผู้ชายมาขอพบน้องตรี”
ตรีอัปสรขมวดคิ้วนิดๆ “ผู้ชายเหรอคะ”
เสียงรัตน์ดังแทรกเข้ามา “ผู้ชายที่ไหน ใครกัน”
ทั้งตรีอัปสรทั้งแหวว หันไปมองเห็นรัตน์เดินตรงเข้ามา
“เค้าบอกว่า เค้าเป็นคุณพ่อของน้องตรีค่ะ” แหววว่า
ตรีอัปสรตกใจมาก “อะไรนะคะ”
รัตน์หันมามองตรีอัปสรเป็นเชิงถาม ตรีอัปสรส่ายหน้านิดๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“ไม่จริงค่ะ เป็นไปไม่ได้ พ่อของตรีเสียไปตั้งนานแล้วนะคะ”
“นั่นซิ...พี่ก็จำได้ว่าตรีเขียนในใบสมัครไว้อย่างนั้น”
แหววย้ำ “แต่เค้ายืนยันว่าเค้าเป็นพ่อของน้องตรีนะคะ น้องตรีจะออกไปหาเค้าหน่อยไม๊คะ”
“แต่ชั้นว่าจะไม่เหมาะนะ” รัตน์ค้าน
“ใช่ค่ะ พ่อตรีเสียไปนานแล้วนะคะ คุณรัตน์ แล้วจะมีพ่อที่ไหนมาอีก ตรีว่าต้องมีคนมาแอบอ้างแน่ๆค่ะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะ คนสมัยนี้ มันน่ากลัว เห็นว่าตรีมีแววจะโด่งดังก็เข้ามามั่วนิ่ม ผื่อฟลุค” รัตน์ว่า
แหววกังวลปนหนักใจ “แล้วเราจะทำยังไงดีคะ คุณรัตน์”
“ข้างนอกก็มีนักข่าวเต็มไปหมด จะทำอะไรโฉ่งฉ่างก็ไม่ได้ เอางี้ เดี๋ยวชั้นจะไปปรึกษาคุณมุกก่อน”
ตรีอัปสรหน้าเสีย “นักข่าวมาเหรอคะ”
“ใช่ รอทำข่าวอะไรก็ไม่รู้ มากันเพียบเลย แต่ไม่เป็นไรน่ะ ไม่ต้องกังวล”
ตรีอัปสรพยักหน้า “ค่ะ”
รัตน์ขยับจะเดินไป แต่ตรีอัปสรเรียกไว้อีก “พี่รัตน์คะ”
รัตน์หันมาหา ตรีอัปสรมีสีหน้ากังวลไม่สบายใจชัดเจน
“ตรีว่าต้องมีใครที่เกลียดตรี อยากทำลายชื่อเสียงของตรีอยู่เบื้องหลังผู้ชายคนนี้แน่นอนค่ะ”
รัตน์มีท่าทีเห็นด้วย “เอาเถอะ ใจเย็นๆ ตรีอยู่ที่นี่ อย่าออกไปเลย” รัตน์หันไปทางแหวว “ดูน้องด้วยนะ”
“ค่ะ”
รัตน์เดินแยกออกไป แหววหันมาทางตรีอัปสร ทำท่าปลอบใจ
“พี่แหววคะ ตรีขอโทรศัพท์ได้ไม๊คะ ตรีอยากบอกแม่”
แหววมองตรีอย่างเข้าใจ แล้วพยักหน้าอนุญาต ตรีอัปสรยกมือไหว้ขอบคุณ
เวลาเดียวกัน ดารินทร์อยู่ที่ห้องเสื้อ Ouiset กำลังพูดโทรศัพท์ด้วยท่าทางตกใจ คาดไม่ถึง
“อะไรนะ” ดารินทร์มองมาทางลูกน้อง ก่อนจะเดินไปอีกทางซึ่งไม่มีคน “พ่อแกมาหาแกเหรอ”
ตรีอัปสรพูดเสียงเบาๆ “ตรีไม่รู้ว่าใช่พ่อรึเปล่า เพราะตรีไม่ได้ออกไปหา”
“ดีแล้ว แกอย่าออกไปเด็ดขาด เดี๋ยวชั้นจัดการเอง”
“แม่จะไปหาพ่อเหรอ”
ดารินทร์สั่งเสียงเข้ม “อย่าพูดแบบนี้ ตรีอัปสร พ่อแกตายไปแล้ว”
ตรีอัปสรนอยด์สุดขีด ทั้งกลัวทั้งสับสน “แต่ถ้าพ่อไปบอกนักข่าวว่า พ่อเป็นพ่อตรี แล้วเราจะทำยังไงล่ะแม่”
“ไอ้ขี้เมาแบบนั้น พูดอะไร ใครจะเชื่อ”
ตรีอัปสรคิดไปไกล “แล้วถ้าพ่อบอกนักข่าวให้ตรวจดีเอ็นเอล่ะแม่ ตรีออกไปพูดกับพ่อ อธิบายให้พ่อฟังดีกว่า”
“หยุด หยุดเลยยายตรี แกอยู่นิ่งๆ ทำหน้าที่ของแกไป ปล่อยให้ชั้นจัดการเอง”
ดารินทร์ตัดสายทิ้ง สีหน้าเอาเรื่องเหมือนแม่เสือหวงลูก
ด้านตรีอัปสรมีสีหน้าเป็นกังวล มือหมุนโทรศัพท์ไปมา
เสียงอรสินีดังขึ้น “ตรี”
ตรีอัปสรสะดุ้งเฮือกตกใจ หันขวับไปมองเห็นเป็นอรสินีก็ผ่อนลมหายใจ
“คุณอร ตรีตกใจหมดเลยค่ะ”
“อรขอโทษนะ อรไม่คิดว่าตรีจะตกใจขนาดนี้ หน้าตรีซีดเชียว ไม่สบายรึเปล่า”
ตรีอัปสรเอามือลูบหน้า “ตรีปวดหัว...สงสัยจะไมเกรนกำเริบ”
“ทานยา แล้วไปนอนพักเถอะ เดินไหวไม๊”
ตรีอัปสรมองอรสินีอย่างพิจารณามองหารอยพิรุธบนใบหน้า โดยไม่ขยับตอบอะไร
“ตรี...ตรี เดินไหวไม๊ ตรี”
ตรีอัปสรยังนิ่งจนอรสินีต้อง เขย่าตัว ตรีอัปสร
“ตรี”
ตรีอัปสร รู้สึกตัว แต่ยังนิ่ง กระพริบตานิดๆ ก่อนจะตอบ “ไหวค่ะ”
“แน่ใจนะ” อรสินีถามย้ำ
“ค่ะ ฝากคุณอรบอกครูให้ด้วยนะคะ แล้วฝากโทรศัพท์คืนพี่แหววด้วยนะคะ”
อรสินีพยักหน้ารับโทรศัพท์มา แล้วเดินแยกไป ตรีอัปสรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหมุนตัวเดินไปอีกทาง แต่ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นมุกตาภายืนมองอยู่ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“คุณมุก”
“ไปกับชั้น” มุกตาภาพูดเสียงเย็น
“ไปไหนคะ”
มุกตาภาไม่ตอบ
จังหวะเดียวกัน รัตน์เดินมาตามทาง แล้วต้องชะงัก เมื่อมองไปเห็นมุกตาภาเดินไปกับตรีอัปสร รัตน์เขม้นมองอย่างแปลกใจ จนมุกตาภากับตรีอัปสรเดินเลี้ยวมุมไป รัตน์ทำท่าคิด
เสียงชญานนท์ดังขึ้น “คุณรัตน์...คุณรัตน์”
รัตน์รู้สึกตัวหันไปมอง เห็นชญานนท์
“มีอะไรรึเปล่า คุณรัตน์ ทำไมทำหน้ายุ่งแบบนั้นล่ะ”
รัตน์ยิ้มแห้งๆ “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“แล้วยายมุกล่ะ เห็นแวบๆเดินไปกับใคร”
รัตน์มองชญานนท์ ไม่ตอบ แต่สีหน้ากังวลเพิ่มขึ้น
ฝ่ายมุกตาภาเดินนำตรีอัปสรมา ซักครู่หยุดเดิน หันมาทางตรีอัปสร
“นักข่าวรอสัมภาษณ์เธออยู่ในสวน”
“สัมภาษณ์เรื่องอะไรคะ”
มุกตาภาชักสีหน้าขึ้นมานิดหนึ่ง แต่พยายามปรับสีหน้าให้อ่อนลง พยายามยิ้มให้แล้วพูดเสียงอ่อนโยน
“นี่เธอไม่รู้จริงๆ เหรอ ว่าเธอเป็นตัวเก็ง ที่สื่อเชื่อว่าจะได้ครองมงกุฎนางสาว ณ สยาม”
ตรีอัปสรมองมุกตาภาอย่างพิจารณา ก่อนจะยิ้มให้
“ก็พอจะทราบค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ตรีคนเดียวนี่คะ คุณอรก็เป็นตัวเก็งเหมือนกัน แล้วทำไมถึงสัมภาษณ์ตรีคนเดียวล่ะคะ”
มุกตาภายิ้มนิดๆ ทำท่าสนิทสนม “ใครบอกว่า สัมภาษณ์เธอคนเดียวล่ะ คือว่าพวกนักข่าว เค้าไม่อยากสัมภาษณ์พร้อมกัน”
ตรีอัปสรนิ่งไปนิด สีหน้าเริ่มคล้อยตามเห็นด้วย
“อ๋อ....ค่ะ”
“เอางี้ เธอไปหานักข่าวก่อนแล้วกัน ชั้นจะไปตามอรมา นักข่าวสัมภาษณ์เธอเสร็จ จะได้สัมภาษณ์อรต่อ”
ตรีอัปสรพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ตรีอัปสรเดินแยกไป มุกตาภามองตามแล้วยิ้มอย่างสะใจ
กล้าซึ่งนั่งรออยู่ ขยับลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองไปทางด้านใน แล้วกลับมานั่งอีก ท่าทางลุกลน
ด้านนักข่าว 4-5 คน จับกลุ่มรออยู่ด้วยกัน มองซ้าย มองขวา
“ไม่เห็นมีอะไรเลย...เชื่อได้ไม๊เนี่ย” นักข่าวชาย 1 บ่น
นักข่าวหญิง 1 ว่า “เอาน่า...ใจเย็นๆ คุณมุกออกมาบอกเราเองแบบนี้ มีข่าวเด็ดแน่ ของดีต้องใจเย็นๆ”
นักข่าวชาย 1 มองนักข่าวหญิง 1อย่างพิจารณา “ออกนอกหน้าเลยน่ะ คุณมุกให้มาเท่าไหร่เนี่ย”
“บ้า ชั้นมีจรรยาบรรณโว้ย ไม่ขายตัว”
นักข่าวหญิง 1 สะบัดหน้าไปอีกด้าน นักข่าวที่เหลือสะกิดกันแล้วหันไปมองทางเดิม
ตรีอัปสรเดินไปทางเดินไปด้านหลังสตูดิโอ
ส่วนกล้ารอแล้วรอเล่า สุดท้ายขยับลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปเดินมา ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ทำไมยังไม่มาอีก”
มุกตาภาเดินเข้ามายืนกอดอกดูผลงาน มองผ่านกระจกออกไป เห็นกล้าอยู่ด้านนอกคนเดียว มุกตาภามองไปอีกด้านเห็นเหมือนรอลุ้น ที่สุดก็เห็นตรีอัปสรเดินมา ใกล้จะถึงประตูที่เปิดออกไปนอกสตูบริเวณที่กล้ารออยู่ มุกตาภายิ้มอย่างสะใจ
ตรีอัปสรเดินไปจนใกล้ถึงประตู มองซ้าย มองขวา ก่อนจะคว้าลูกบิดประตู แต่ยังไม่ทันหมุนเปิด ก็มีมือเข้ามารวบเอว กระชากตัวตรีอัปสรออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟากมุกตาภารอลุ้นตรีอัปสรออกไปเจอกล้า แต่ทุกอย่างสงบนิ่ง มุกตาภาขมวดคิ้วแปลกใจบ่นพึมพำ
“ทำไม...ช้าจัง”
ร่างตรีอัปสรโดนจับตัวติดผนังไว้ ถูกมือปิดปาก ตรีอัปสรดิ้นแล้วมองคนที่จับตัวเองไว้ พบว่าเป็นชญานนท์ก็หยุดดิ้น มองเขาอย่างแปลกใจ ชญานนท์ปล่อยมือออกจากปากตรีอัปสร
“คุณนนท์” สีหน้าแววตาเป็นคำถามว่า ทำแบบนี้ทำไม
ชญานนท์รู้สึกตัวว่าทำเยอะเกินไป แต่ก็พยายามหาข้อแก้ตัว
“อืม...ขอโทษนะ...ที่ทำให้ตกใจ”
ชญานนท์ขยับตัวออก เพราะตรีอัปสรยังอยู่ในอ้อมกอดตน
“ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”
ชญานนท์มองหน้าตรีอัปสร แต่ไม่ตอบ
เย็นมากแล้ว กล้าขยับลุกขึ้น ทำท่าจะเดินเข้าไปด้านใน
เสียงดารินทร์ดังขึ้น “จะไปไหน”
กล้าหันขวับมาเห็นดารินทร์ยืนจ้องอยู่ ดารินทร์มองกล้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ชั้นถามว่า จะไปไหน”
“ชั้นจะไปหาลูก”
“สารรูปแบบนี้น่ะเหรอ จะเดินเข้าไปในสตูดิโอใหญ่โต เค้าคงปล่อยให้เข้าไปหรอก”
กล้าสบตาดารินทร์ที่มองตัวเองอย่างดูถูก
ดารินทร์พูดช้าๆ ชัดๆ “อย่า มา ยุ่งเกี่ยว กับ ตรี อัป สร”
“ชั้นก็แค่จะมาอวยพรให้ลูกชนะการประกวด”
ดารินทร์ยิ้มเยาะสวนคำกลับทันที “ไม่จำเป็น ที่ตรีอัปสรเติบโต เจริญก้าวหน้ามาจนถึงวันนี้ ก็เพราะชั้นเลี้ยงมันมา ไม่ใช่เพราะคำอวยพรของใคร”
กล้าโกรธ “ดารินทร์ ตรีอัปสรเป็นลูกชั้นนะ”
“นั่นมันก่อนที่นายจะเอาเงิน 3 แสนไป เงินก้อนนั้นซื้อความเป็นพ่อของลูกชั้นกลับมานานแล้ว...ชั้นกับตรีอัปสร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาย...ไม่ว่าจะในฐานะอะไร กลับไปซะ”
กล้าสวนออกมา “หรือจะให้ชั้นอวยพรลูกผ่านนักข่าว”
ดารินทร์มองกล้าอย่างโกรธจัด “คิดว่าพูดแบบนี้กับชั้นแล้วชั้นจะยอมงั้นซิ”
“ถ้าไม่อยากให้เรื่องถึงนักข่าว ก็ให้ชั้นพบลูกซักครั้ง”
ดารินทร์มองกล้าแน่วนิ่งเหมือนจะประเมินว่า กล้าพูดจริงหรือเพียงแค่ขู่
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ตรีอัปสรเดินเคียงมากับชญานนท์ สองคนหยุดยืนรอลิฟท์ด้วยกัน ตรีอัปสรหันมามองชญานนท์
“ถ้าคุณนนท์มีธุระ ไม่ต้องไปส่งก็ได้ค่ะ ตรีไปห้องซ้อมเองได้”
“ไม่เป็นไร ผมไปส่งดีกว่า” เขาพูดทีเล่นทีจริง “จะได้เห็นว่าคุณไม่ได้แอบแวบไปไหน”
ตรีอัปสรอดขำไม่ได้ ท่าทางผ่อนคลายลง “ตรีจะแวบไปไหนล่ะคะ เมื่อกี้ตรีก็ไม่ได้แวบ ตรีบอกคุณนนท์แล้วไงคะ ว่าคุณมุกให้ตรีไปหานักข่าว เค้าต้องการสัมภาษณ์ตรี”
ชญานนท์หัวเราะเบาๆ “ผมล้อเล่น”
ตรีอัปสรมองอย่างแปลกใจกับท่าทางสบายๆ ขี้เล่นของเขา ชญานนท์เห็นแววตาของตรีอัปสรก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“หน้าผมมีอะไรผิดปกติเหรอ” พลางเอามือลูบหน้า “มีอะไรงอกออกมารึเปล่า”
ตรีอัปสรอดหัวเราะขำไม่ได้ “ไม่มีค่ะ ตรีแค่แปลกใจ วันนี้คุณนนท์ทำให้ตรีแปลกใจหลายอย่างน่ะค่ะ”
“ไม่เห็นมีอะไรต้องแปลกใจเลย ผมก็บอกคุณแล้วเหมือนกันไงว่าที่ผมดึงคุณไม่ให้เจอนักข่าวเพราะคุณพ่อสั่งเปลี่ยนแผนประชาสัมพันธ์กระทันหันก็เท่านั้น”
ลิฟท์เปิดออกพอดี ชญานนน์ชี้ไป
“ลิฟท์มาแล้ว เชิญ”
ตรีอัปสรยิ้มให้ ท่าทางปลื้มมาก ชญานนท์ก็รับรู้ท่าทีนั้น ลิฟท์ปิดลง
ทางด้านดารินทร์ยืนขวางหน้ากล้าไว้ สีหน้ากล้าค่อนข้างหงุดหงิด
“จะพูดจาโยกโย้ ยืดยาด ให้เสียเวลาอีกนานไม๊ ชั้นอยากเจอลูกไม่ได้อยากคุยกับเธอ”
ดารินทร์พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา
“ถามจริงๆเถอะ ตั้งแต่ตรีมาอยู่กับชั้น นายเคยคิดถึง เคยอยากเจอลูกมั่งไม๊ นี่ถ้ามันยังเป็นนังตรีอยู่ ก็คงไม่มีใครสนใจหรอก”
“ตกลงจะให้ชั้นพบลูกรึเปล่า”
ดารินทร์มองกล้าอย่างจับกิริยา พูดเสียงอ่อนโยนลง “พี่กล้า”
คราวนี้กล้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองดารินทร์ เพราะไม่คิดว่าดารินทร์จะเรียกด้วยเสียงอ่อนโยน
“ดาไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่กล้ามีความคิดจะมาหาลูกเอง เพราะถ้าพี่กล้าคิดเอง พี่คงมาหาลูกนานแล้ว ไม่รอมาจนถึงวันนี้หรอก”
กล้าซึ่งสบตาดารินทร์อยู่ เมินหน้าหลบตาเสมองไปทางอื่น ดารินทร์ขยับเข้าไปยืนตรงหน้ากล้า
“ใครเป็นคนบอกให้พี่กล้ามาหาตรี”
กล้าถอนหายใจ “จะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่าจะให้พบลูกไม๊”
ดารินทร์มองกล้าก่อนจะถอนหายใจเหมือนไม่มีประโยชน์ที่จะพูดดีๆด้วยแล้ว
“ถ้าไม่มีใครเสี้ยมให้มาก่อกวนลูกล่ะก้อ ชั้นก็จะให้พบลูกแต่ต้องรอให้ตรีประกวดเสร็จก่อน ชั้นไม่อยากให้ลูกเสียสมาธิ”
“กะอีแค่อวยพรลูก มันจะเสียสมาธิตรงไหน”
ดารินทร์เปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมา กล้ามองเงินในมือดารินทร์
“เก็บเอาไว้ใช้ ระหว่างที่รอเจอตรี”
กล้ารับเงินไปใส่กระเป๋าอย่างเร็ว ดารินทร์มองกล้าอย่างรู้ทัน
“อย่าให้ชั้นรู้นะ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ชั้นเอาเรื่องแน่”
กล้าหมุนตัวเดินออกไป ดารินทร์มองตามอย่างครุ่นคิด
อรสินี วรัญญา ภารดี ดาราวรรณ กัลยาณี และหมู่มวลนางงามอีก 14 คน ซ้อมกันอยู่บนเวที บางคนก็นั่งดู บางคนก็ซ้อมคิวตัวเอง อรสินีนั่งอยู่กับวรัญญา ภารดีมองไปทางเข้า เห็นตรีอัปสรเดินมากับชญานนท์
“ต๊าย ไวนะยะ ดูนังตรีอัปสรซิ เดินคลอคู่กับมากับคุณนนท์ แหม...กะจะอ่อยเหยื่อ หว่านเสน่ห์ ลูกชายเจ้าของสถานี นังนี่มันร้ายจริงๆ”
ทั้งอรสินี วรัญญาหันไปมอง อรสินีมีสีหน้าผิดปกติไปนิด แต่ก็ปรับให้เป็นปกติ
“นี่ถ้าชั้นเป็นแฟนคุณนนท์ แล้วเห็นแบบนี้ล่ะก้อ ยายตรีมีเจ็บตัวแน่” วรัญญาว่า
“ชั้นว่าผู้หญิงคนไหนก็ทำแบบหล่อนทั้งนั้นล่ะ ต่อให้เรียบร้อยแบบอรสินี ชั้นว่าก็ทนไมได้ ใช่ไม๊อร”
ภารดีหันไปทางอรสินี อรสินีมองตรีอัปสรที่เดินตรงมาหา ส่วนชญานนท์เดินแยกออกไป แล้วหันมาทางภารดี
“แต่ถ้าเราเชื่อมั่นในคนของเรา ไม่จินตนาการไปเอง มันก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ”
ตรีอัปสรก็เดินตรงมาหา ท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ”
ภารดีมองจ้อง พูดกวนๆ “คุยเรื่องเธอนั่นแหละ”
พูดจบภารดีก็เดินหนีไป ตรีอัปสรมองตามไป แล้วหันมามองอรสินีเหมือนจะถาม แต่อรสินียิ้มให้ แต่ไม่ตอบอะไร
ตรงมุมส่วนตัวในคอฟฟี่ชอปโรงแรมเวลานี้ รัตน์มีสีหน้าอึดอัด ไม่สบายใจ มองไปทางมุกตาภาที่นั่งหน้าตึง คอแข็งอยู่นิ่งๆ ชญานนท์มองมาที่รัตน์อย่างให้กำลังใจ
“ขอบคุณ คุณรัตน์มากนะครับ ผมต้องรบกวนคุณรัตน์ช่วยไปเคลียร์กับนักข่าว หาประเด็นที่น่าสนใจ อย่าให้นักข่าวเสียความรู้สึกนะครับ”
“ได้ค่ะ”
รัตน์ขยับลุกขึ้นไป มุกตาภาก็ขยับลุกตาม ชญานนท์หันมาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน มุก”
มุกตาภาชะงักมองชญานนท์อย่างเกรงๆ เพราะท่าทางชญานนท์นิ่ง เอาจริง
“มุกจะรีบไปช่วยคุณรัตน์ค่ะ”
“แต่พี่มีเรื่องคุยกับมุก”
มุกตาภาสบตาชญานนท์ แล้วหลบตาวูบ เพราะชญานนท์จ้องมาอย่างรู้ทัน
“เรื่องอะไรคะ”
ชญานนท์พูดช้าๆ ชัดๆ “พี่ต้องการให้การประกวด นางสาว ณ สยาม ผ่านไปอย่างดีที่สุด”
“มุกทราบแล้วค่ะ”
“แต่ก็ยังทำ”
“มุกทำอะไรคะ มุกไม่ได้ทำอะไรซักนิด มุกก็แค่คิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นพ่อตรีอัปสรจริงๆ เค้าก็ควรจะได้พบลูกเค้า”
“แต่เราควรจะตรวจสอบก่อน”
มุกตาภาของขึ้นจนลืมตัว “มุกตรวจแล้วค่ะ ใช่พ่อยายนั่นแน่นอน”
ชญานนท์เสียงเข้ม “มุก” มุกตาภาชะงักไปนิด “พี่ไม่อยากคิดนะ ว่าเรื่องนี้ มุกเป็นคนต้นเรื่อง สิ่งที่เราต้องทำตามหน้าที่ของเราในฐานะเจ้าหน้าที่กองประกวดคือทำให้งานนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น และในฐานะลูกของกรรมการผู้จัดการสถานีโทรทัศน์ไทยเท็น งานนี้ต้องสร้างเรตติ้งและผลทางบวกให้กับช่อง ถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้ พี่ว่าคุณพ่อต้องไม่ชอบแน่ๆ”
ชญานนท์พูดช้าๆ มองน้องสาวนิ่ง มุกตาภาหลบตาวูบ สีหน้าอัดอั้นเหมือนไม่เห็นด้วย แต่ทำอะไรไม่ได้
ฝ่ายภารดีกำลังซ้อมท่ากับวรัญญา ดาราวรรณ และกัลยาณี โดยมีครูสอนคุมเข้ม อรสินีกับตรีอัปสร ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ตรีอัปสรหันมามองอรสินีซึ่งนั่งดูเพื่อนๆ ซ้อมอยู่
“คุณอร ไม่ได้คิดเหมือนพวกนั้นใช่ไม๊คะ”
อรสินีหันมามองตรีอัปสร “คิดเรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องตรีที่เดินมากับคุณนนท์อ่ะค่ะ”
อรสินียิ้ม “ก็ตรีบอกแล้วนี่ ว่าทำไมถึงเดินมาด้วยกัน ก็ไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ”
ตรีอัปสรพยายามมองประเมินความผิดปกติของอรสินี แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความบริสุทธิ์ใจ ตรีอัปสรค่อยๆคลายยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“คนอื่นจะคิดยังไง ตรีไม่สนหรอกค่ะ ตรีห่วงความรู้สึกของคุณอร ถ้าคุณอรเชื่อใจตรี ตรีก็สบายใจค่ะ”
อรสินียิ้ม “อรเชื่อใจพี่นนท์ด้วย...ตรีไม่ต้องกังวลหรอกน่ะ”
อรสินีพูดเสียงอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มให้ แล้วหันไปมองทางที่เพื่อนๆ ซ้อมกัน ตรีอัปสรมองอรสินีอย่างหมั่นไส้สุดขีด และคิดจะเอาชนะอรสินีให้ได้
ฟากชญานนท์มองมุกตาภาอย่างตำหนิก่อนจะพูด ด้วยเสียงจริงจัง
“อย่าเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าเลยมุก เพราะมันอาจไม่ใช่แค่ตรีอัปสรที่มุกต้องการจะให้เสียหาย แต่ความเสียหายมันจะมาถึงไทยเท็นด้วย แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น มุกจะทำยังไง มุกรับผิดชอบไหวไม๊”
มุกตาภาลุกพรวดอย่างหมดความอดทน “พอเถอะค่ะ พี่นนท์ พี่นนท์จะบ้างานก็บ้าไปคนเดียวเถอะ อย่ามาลากมุกไปเกี่ยวข้องด้วย นังตรีอัปสรมันคั่วอยู่กับคู่หมั้นมุก พี่นนท์ยังจะให้มุกคิดดี ทำดีกับมันอีกเหรอคะ”
ชญานนท์ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆ “ถ้าคิดว่าแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก พี่ว่ามุกกลับบ้านไปก่อนดีกว่า”
มุกตาภาตะลึงคิดไม่ถึง “พี่นนท์ มุกไม่ใช่หุ่นยนต์เหมือนพี่นนท์นะคะ”
ชญานนท์ไม่ตอบขยับลุกขึ้นมองมุกตาภาอย่างเอาจริง และปรามในที มุกตาภามองพี่ชายแล้วหลบตาอย่างเกรงๆ ชญานนท์เดินไป มุกตาภานั่งนิ่งแค้นแน่นอก
บรรดาสาวงามทยอยกันออกมาจากการซ้อม อรสินีเดินไปกับวรัญญา ตรีอัปสรเดินออกมาคนสุดท้าย หน้าบูดบึ้ง ดารินทร์เดินมาอีกด้าน
“ตรี ยายตรี”
ตรีอัปสรหันไปมองเห็นดารินทร์ ก็หันซ้ายหันขวา พอเห็นไม่มีใครก็รีบเดินไปหาอย่างเร็ว ดารินทร์ดึงตรีอัปสรไป
“แม่....ใช่พ่อไม๊”
“ใช่”
ตรีอัปสรหน้าเสีย มีอาการกังวล ลนลาน
“แล้ว...พ่อมาทำไม นี่ถ้าเราไม่เขียนลงไปว่าพ่อตายแล้ว เราก็ยังพอแก้ไขได้ ตรีก็ยังออกไปหาพ่อได้ แล้วนี่เราจะทำยังไงคะแม่ แล้วตอนนี้พ่อยังอยู่รึเปล่าคะ”
ดารินทร์เสียงเข้ม “หยุด แกหยุดตีโพยตีพายได้แล้ว...ยายตรี”
ตรีอัปสรชะงักมองดารินทร์ ท่าทางดารินทร์มุ่งมั่น เข้มแข็ง เด็ดขาด
“ชั้นมาไกลเกินกว่าจะให้พ่อแกมาขวางทางชั้น”
ตรีอัปสรสงบลง “แม่เจอพ่อแล้วใช่ไม๊คะ”
“เจอแล้ว คุยกันแล้ว ตอนนี้กลับไปแล้ว”
“พ่อบอกแม่รึเปล่าคะ...ว่ามาหาตรีทำไม”
ดารินทร์ถอนหายใจ “แกอย่าไปสนใจเลย มีเรื่องใหญ่กว่า สำคัญกว่า รออยู่ตรงหน้า”
“ถ้าตรีได้ตำแหน่งแล้วพ่อมาหาตรี หรือไปดักรอตรีตอนออกงาน ตรีจะทำยังไงล่ะแม่”
“แกต้องเชื่อมั่นในตัวแม่ ว่าแม่จะจัดการเรื่องนี้ได้ แม่ก็จะเชื่อมั่นในตัวแก ว่าแกต้องได้สวมมงกุฎ นางสาว ณ สยาม เข้าใจไม๊ ตรีอัปสร”
ตรีอัปสรมีสีหน้าดีขึ้น เห็นชัดว่าแววตามุ่งมั่น ก่อนจะหันไปมองดารินทร์
“ค่ะ แม่”
ดารินทร์ยิ้มอย่างพอใจ
ชญานนท์เดินหน้าตึงมา จนพอเลี้ยวหัวมุมแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นดารินทร์เดินมาทางนี้ ดารินทร์ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มหวานให้ชญานนท์
“สวัสดีค่ะ คุณชญานนท์”
“สวัสดีครับ คุณดารินทร์ มาหาตรีอัปสรเหรอครับ”
“ค่ะ แวะมาให้กำลังใจลูกน่ะค่ะ ทำยังไงได้ล่ะคะ มีกันอยู่ 2 คน แม่ลูกก็ต้องดูแลกันไป ไม่เหมือนหนูอร มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายแล้วยังมีคุณนนท์อีกคน”
ชญานนท์ยิ้มบางๆ “ตรีอัปสรก็มีคนมาให้กำลังใจเหมือนกันนี่ครับ”
ดารินทร์มองชญานนท์สบตากัน เหมือนชญานนท์จะบอกอ้อมๆ ว่า รู้เรื่องพ่อตรีอัปสรมาเยี่ยม ดารินทร์รับรู้ได้
“แฟนคลับให้กำลังใจ ก็สู้ญาติพี่น้องคนใกล้ชิดไม่ได้หรอกค่ะ”
“ครับ ผมเห็นด้วย มีพ่อ แม่ ญาติพี่น้องก็ต้องดูแลกันไว้ อย่าตัดญาติขาดมิตร คุณดารินทร์เห็นด้วยไม๊ครับ”
ชญานนท์มองดารินทร์แน่วนิ่งอย่างรู้ทัน
ดารินทร์เดินกระแทกเท้าปึงปังออกมาจากในสตูหน้าบึ้ง พึมพำอย่างโกรธๆ
“นึกว่าถือไพ่เหนือชั้นอยู่รึไง หรือมันจะรู้เรื่อง...หรือจะเป็นนายชญานนท์ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
ดารินทร์ครุ่นคิดหนักมากขึ้น
ฝ่ายอรสินีถือแก้วน้ำส้ม 2 แก้วเดินมาหาตรีอัปสรซึ่งนั่งอยู่คนเดียวตรงมุมแคนทีน ในสตูดิโอ อรสินีวางแก้วให้ ตรีอัปสรเงยหน้าขึ้นมอง
“ขอบคุณค่ะ”
อรสินีมองตรีอัปสรอย่างพิจารณา “ตรียังไม่หายปวดหัวเหรอ หน้ายังซีดอยู่เลย หรือว่าจะซ้อมหนักเกินไป”
ตรีอัปสรยิ้มเนือยๆ “ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อยค่ะ คุณอร”
“ดื่มน้ำส้มแล้วไปพักดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเหนื่อยทั้งวัน เผลอๆ อีกหลายวันด้วย ถ้าตรีได้ตำแหน่ง นางสาว ณ สยาม”
ตรีอัปสรมองอรสินีแล้วพูดทีเล่นทีจริง “คุณอรประชดตรีรึเปล่าคะเนี่ย”
“อรจะประชดตรีทำไม อรพูดจริงๆ ตรีทั้งสวย ทั้งเก่ง”
ตรีอัปสรสบตาอรสินี “แล้วถ้าตรีได้เป็น นางสาว ณ สยามจริงๆ คุณอรไม่เสียดายเหรอคะ”
อรสินีหัวเราะเบาๆ “ไม่เสียดายเลย...จริงๆ นะ”
“แต่คุณแม่ของคุณอร คงไม่คิดแบบนั้นแน่ค่ะ”
อรสินียิ้มนิดๆ “อรเชื่อว่าคุณแม่ต้องเข้าใจ ทำใจได้”
ตรีอัปสรไม่ตอบ ยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ ตามองอรสินีที่ดื่มน้ำส้มเหมือนกัน
“พรุ่งนี้ก็รู้ ว่าแม่แกจะทำใจได้จริงๆ รึเปล่า”
ตรีอัปสรคิดในใจ แววตาล้ำลึกยากจะรู้ว่าคิดอะไร
อ่านต่อตอนที่ 7